หมอดูยอดอัจฉริยะ 291-292
ตอนที่ 291 ซื้อรถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร้านขายรถยนต์ในปักกิ่งมีอยู่สองสามที่ แต่ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมมากที่สุดก็ต้องไปที่ตลาดซื้อขายรถยนต์ ในหมู่บ้านเอเชียนเกมส์ และรถออดี้คันนั้นของเยี่ยเทียนก็ซื้อมาจากที่นั่นเช่นกัน
วันนี้ไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์และก็ไม่ใช่วันหยุดเทศกาล ในตลาดซื้อขายรถยนต์จึงมีคนไม่มาก หลังจากเยี่ยเทียนนำรถซานทาน่าคันนั้นจอดอยู่นอกตลาดซื้อขายรถยนต์แล้ว เขาจึงพาอวี๋ชิงหย่ากับถังเสวียเสวี่ยเดินเข้าไป
ตลาดซื้อขายรถยนต์แห่งนี้เป็นลานขนาดใหญ่ ภายในลานมีรถมือสองจอดอยู่มากมาย และตรงที่อยู่ใกล้กับร้านก็ยังมีรถคันใหม่สำหรับจัดโชว์อยู่บ้าง
ร้านแบบนี้ส่วนใหญ่จะได้สิทธิ์การขายโดยเฉพาะและยังมีตราสัญลักษณ์ของบริษัทอยู่บนยี่ห้อรถอีกด้วย หลังจากเห็นพวกของเยี่ยเทียนทั้งสามคนเดินเข้ามา จึงมีคนที่อยู่หน้าร้านเข้ามาแนะนำรถอย่างกระตือรือร้น
“รถญี่ปุ่น? ไม่สนใจ…”
เยี่ยเทียนผ่านร้านที่ขายรถติดต่อกันสองสามร้าน ถ้าไม่ใช่รถฮอนด้าก็เป็นรถโตโยต้า เขาจึงไม่ฟังแม้แต่การแนะนำ แล้วจึงเดินผ่านไปเลย
อย่างแรกเยี่ยเทียนถูกอาจารย์พูดกรอกหูบ่อยๆ เขาจึงไม่ค่อยชอบรถตระกูลญี่ปุ่น แม้แต่ของใช้ญี่ปุ่นเขาก็ไม่สนใจ
อย่างที่สองก่อนที่เขาจะซื้อรถก็ได้ทำการบ้านมาบ้าง ความปลอดภัยของรถญี่ปุ่น ไม่สามารถเทียบกับรถของยุโรปได้ ดังนั้นก่อนที่ยังมาไม่ถึงที่นี่ รถญี่ปุ่นจึงถูกตัดออกไปจากในใจของเยี่ยเทียนแล้ว
“เยี่ยเทียน นายจะซื้อรถอะไรกันแน่?”
อวี๋ชิงหย่าเดินตามหลังอย่างหมดความอดทน เพราะตอนที่เธออยู่เซี่ยงไฮ้ เมื่อไปถึงร้านเจอคันที่ถูกใจ ก็รูดบัตรซื้อทันที ไม่ต้องมาเดินเล่นอยู่ในตลาดซื้อขายรถยนต์แบบนี้?
และผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่ขายรถพวกนี้ มีคนหนึ่งใช้สายตาจ้องมองเธอ ทำให้อวี๋ชิงหย่ารู้สึกไม่สบายมาก
“ฉันอยากซื้อรถออฟโรด รถคันหนาตัวถังใหญ่ แบบนั้นเวลาขับแล้วรู้สึกสนุกดี”
เยี่ยเทียนพูดพลางเดินมองไปรอบๆ แต่ร้านขายรถที่นี่ส่วนใหญ่เป็นรถที่ใช้ในบ้าน ไม่มีแบบที่เขาถูกใจสักคัน
“เอ๊ะ ตรงนั้นก็ขายรถใช่ไหม? เหมือนฉันจะเห็นข้างหลังกระจกก็มีรถจอดอยู่เหมือนกัน!”
จู่ๆ เยี่ยเทียนก็มองเห็นข้างนอกของลานใหญ่ มีสิ่งก่อสร้างที่ใช้ท่อเหล็กสร้างขึ้นมา และใช้กระจกคลุมภายนอก อาคารทั้งหมด ทำให้ดูพิเศษไม่เหมือนใคร
อวี๋ชิงหย่าพูดพลางไล่มองตามนิ้วของเยี่ยเทียน “น่าจะใช่ นายดูสิข้างบนมีสัญลักษณ์ของรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู ด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“ไป เดินไปดูกันเถอะ…” เยี่ยเทียนพา อวี๋ชิงหย่ากับถังเสวียเสวี่ยเดินออกจากลานบ้านขนาดใหญ่ แล้วเดินตรงไปที่อาคารหลังนั้น
“สุดยอด เป็นร้านขายรถจริงๆ ด้วย? นี่ต้องลงทุนเท่าไรกันเชียว?”
พอเดินมาถึงหน้าอาคารเรือนกระจก เยี่ยเทียนก็อ้าปากค้างไม่หยุด เพราะอาคารเหล็กเสริมกระจก นี้กินพื้นที่ของตลาดซื้อขายรถยนต์เกือบครึ่งหนึ่ง มีรถยี่ห้อเดียวจัดวางอยู่ภายใน นั่นก็คือรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู
และอย่าเพิ่งพูดถึงอย่างอื่น เพียงแค่ตัวอาคารหลังนี้ อย่าคิดว่าเงินเพียงสิบยี่สิบล้านก็สามารถซื้อได้ และเป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนเพิ่งจะรู้ว่าการขายรถมันดีขนาดนี้?
“ไม่รู้ว่า นี่จะเป็นร้านที่มีสิทธิ์การขายโดยเฉพาะไหม? เพราะตอนที่ฉันอยู่เซี่ยงไฮ้ก็ไม่เคยเห็น” อวี๋ชิงหย่าส่ายหน้า ตอนที่เธอซื้อรถสปอร์ตเฟอร์รารี่คันนั้น ยังห่างกันไกลมากเมื่อเทียบกับร้านนี้
ถังเสวียเสวี่ยเห็นท่าทางมึนงงของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่า จึงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พี่เยี่ยเทียน หนูรู้ค่ะ นี่คือร้าน 4S ที่ฮ่องกงก็มีค่ะ!”
“ร้าน 4S? เอาไว้ทำอะไร? ข้างบนนี้ก็ไม่เห็นจะมี S สี่ตัว?” เยี่ยเทียนตกตะลึงครู่หนึ่ง พลางมองไปที่หน้าร้านใหญ่โตนานครึ่งค่อนวัน นอกจากเขาจะเห็นสัญลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิ้ลยูแล้ว ก็ไม่เห็นตัวอักษรที่เกี่ยวกับ 4S เลย
ท่าทางของเยี่ยเทียนทำให้ถังเสวี่ยเสวี่ยขำมาก เธอหัวเราะพลางพูด “พี่เยี่ยเทียน 4S ไม่ใช่สัญลักษณ์ค่ะ พี่โง่จริงๆ เหรอ 4S เป็นรูปแบบการดำเนินกิจการค่ะ…”
หลังจากได้ยินถังเสวียเสวี่ยอธิบาย เยี่ยเทียนจึงเกาศีรษะแกรกๆ พลางยิ้ม เพราะตัวเองไม่รู้จักจริงๆ และตามที่ถังเสวียเสวี่ยพูด ร้าน 4S เป็นรูปแบบการขายรถยนต์ที่มีองค์ประกอบหลัก “สี่อย่างในหนึ่งเดียว” เป็นหัวใจหลัก
รูปแบบการบริการนี้ประกอบไปด้วยการขายรถยนต์ อุปกรณ์และอะไหล่ บริการหลังการขาย และการตอบกลับข้อมูล และทั้งสี่คำนี้มีตัวอักษรขึ้นต้นด้วยตัว S เหมือนกัน ดังนั้นจึงเรียกว่า 4S
ร้าน 4S มีรูปแบบภายนอกที่เหมือนกัน มีสัญลักษณ์เหมือนกัน มีมาตรฐานการจัดการที่เหมือนกัน และดำเนินกิจการเฉพาะแบรนด์เดียวเท่านั้นมันคือตลาดที่มีรูปแบบโดดเด่นเฉพาะอย่างหนึ่ง มีข้อดีในการเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์รถยนต์ และกิจการการผลิตรถยนต์ที่ชัดเจนมาก
“คุณผู้หญิงท่านนี้มีความเข้าใจมากเลยนะคะ ร้าน 4S ในประเทศจีนมีเพียงสองสามร้าน และร้านของพวกเราเพิ่งจะเปิดบริการได้เพียงสองสามเดือนค่ะ เชิญคุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงเข้าไปด้านในค่ะ!”
เดิมทีผู้หญิงคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าร้านไม่ได้สนใจพวกเยี่ยเทียนเลย เพราะพวกเขาดูเป็นวัยรุ่นเกินไป ไม่เหมาะที่จะเป็นเป้าหมายในการขาย
แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของถังเสวียเสวี่ย เธอจึงเปลี่ยนทัศนคติทันที เพราะว่าคนที่รู้จักร้าน 4S ในประเทศจีนมีน้อยมากจริงๆ ทุกครั้งพวกเขาจะต้องอธิบายให้บรรดาลูกค้านานครึ่งค่อนวัน
“เยี่ยเทียน พวกเราเข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ ฉันเจ็บเท้าไปหมดแล้ว…” อวี๋ชิงหย่าดึงแขนของเยี่ยเทียน เพราะวันนี้เธอออกมาจากสถานีโทรทัศน์รายการทีวีก็ตรงมาที่นี่เลย แม้แต่รองเท้าส้นสูงก็ยังเปลี่ยนไม่ทัน
และคุณผู้หญิงที่ต้อนรับอยู่หน้าประตู ก็ทำให้อวี๋ชิงหย่าอารมณ์ดีมาก ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าที่ต้องถูกสายตาคนแก่ พวกนั้นจ้องมอง
“ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ซื้อบีเอ็มดับเบิ้ลยูก็แล้วกัน อย่างน้อยสภาพแวดล้อมในการขายก็ยังทำให้รู้สึกสบายใจกว่า!” เยี่ยเทียนพยักหน้า และเดินเข้าไปในร้าน คำพูดของเขาก็ทำให้พนักงานขายคนนั้นตาเป็นประกาย แล้วจึงรีบเดินตามอย่างกระฉับกระเฉง
“คุณผู้ชายคะ นี่คือนามบัตรของฉันค่ะ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรคะ?”
หลังจากเข้ามาในห้องโถงใหญ่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นจึงยื่นนามบัตรให้เยี่ยเทียน แล้วจึงพูด “ที่นี่คือรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูรุ่นใหม่ล่าสุดของพวกเรา คุณสามารถดูได้ว่าชอบรุ่นไหนบ้างค่ะ?”
เยี่ยเทียนมองชื่อบนนามบัตรแล้วจึงยิ้มพลางพูด “ตัวตั่ว? ชื่อเพราะดีนะครับ ผมชื่อเยี่ยเทียน!”
“คุณผู้ชายคะ ตั่วเป็นแซ่ และชื่อเดี่ยวของฉันก็คือตัวค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดเตือนเยี่ยเทียนอย่างมีมารยาทท
เยี่ยเทียนพยักหน้ายิ้ม พลางพูด “ผมรู้ครับ คุณคือชาวหุยใช่ไหมครับ? แซ่ตั่วเป็นเสียงภาษาจีนที่เหมือนกับ ชนกลุ่มน้อยเผ่าหุยมานานแล้ว ในสมัยของจักรพรรดิเซวียนเต๋อราชวงศ์หมิงมีบุคคลนามว่าตั่วซือหมา เดินทางจากทิศตะวันตกเข้ามายังประเทศจีนนำสิงโตมาถวายต่อองค์จักรพรรดิ จากนั้นก็อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ซึ่งน่าจะเป็นบรรพบุรุษของคุณใช่ไหมครับ?”
“คุณ…คุณรู้ได้ยังไงคะ?” ก่อนหน้านั้นผู้หญิงคนนี้พูดจาดูถูกเยี่ยเทียนเพราะเห็นว่าเขายังเป็นเด็กหนุ่ม ทว่าตอนนี้เธอกลับตกใจในตัวเยี่ยเทียนมาก
ในประเทศจีนคนแซ่ตั่วมีน้อยมาก และเกรงว่าในจำนวนหนึ่งหมื่นคนก็คงไม่มีใครรู้จัก แต่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากลับพูดชื่อบรรพุรุษของเธอออกมา
ความจริงสาเหตุที่เยี่ยเทียนรู้จักแซ่ตั่ว ก็เป็นเพราะในสมัยราชวงศ์ชิง มีนักทำนายดวงชะตาของชนเผ่าหุยปรากฏตัว ในเมืองปักกิ่งนามว่าตั่วซื่อหลิน ตอนนั้นท่านนักพรตเคยพูดให้เขาฟัง ทำให้เยี่ยเทียนจึงจำแซ่นี้ได้
แต่การผ่านเหตุการณ์มานานนับร้อยปี ทำให้การสืบทอดมรดกของวิชาลึกลับได้หายสาบสูญไปเป็นจำนวนมาก เยี่ยเทียนจึงไม่คิดว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้จะเข้าใจการทำนายดวงชะตาของตั่วซื่อหลิน มิฉะนั้นเธอคงไม่มา เป็นพนักงานขายรถ
“ใครสั่งให้นายโปรยขนมจีบ?” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนคุยกับผู้หญิงคนนั้นอย่างสนุกสนาน มือเล็กของอวี๋ชิงหย่า จึงเอื้อมไปอยู่ที่เอวของเยี่ยเทียนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จากนั้นเธอจึงหยิกเขาอย่างแรง
ตอนนี้เยี่ยเทียนเป็นเด็กหนุ่มที่ร่ำรวยมาก ถึงแม้อวี๋ชิงหย่าจะมีเงินเหมือนกัน แต่เธอก็กลัวว่า เขาจะถูกผู้หญิงคนอื่นแย่งไป
“อัยโย่!”
เยี่ยเทียนอ้าปากร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะเวลาที่ผู้หญิงหึงจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร จากนั้นเยี่ยเทียนจึงเก็บสีหน้าทันที แล้วพูดกับตัวตั่วว่า “พวกเราดูรถกันก่อนดีกว่าครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณ มีรถออฟโรดไหมครับ?”
เมื่อเห็นการกระทำของเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่า ตั่วตัวจึงเม้มปากยิ้มแล้วพูด “รถออฟโรดมีคันหนึ่งค่ะ แต่มีคนอื่นจองไว้แล้ว คุณเยี่ยสามารถดูก่อนได้ ถ้าหากชอบ ก็สามารถจองผ่านพวกเราได้ค่ะ”
“มีจริงๆ เหรอครับ? พาผมไปดูหน่อย!” เยี่ยเทียนแค่ลองถามดู แต่หลังจากที่ได้ยินตั่วตัวตอบกลับมา เขาจึงรู้สึกดีใจมาก
“เยี่ยเทียน นายไปดูเถอะ ฉันกับเสวียเสวี่ยจะนั่งตรงนี้สักพัก!”
อวี๋ชิงหย่ารู้ว่าเธอไม่ควรตามติดผู้ชายมากนัก ไม่อย่างนั้นจะทำให้เสียเขาไป ดังนั้นหลังจากการตักเตือนเมื่อครู่แล้ว เธอจึงปล่อยเขาให้เป็นอิสระทันที
ร้าน 4S มีโกดังรถรวมอยู่ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการบริการลูกค้าอย่างหนึ่ง หากเจอรถที่ถูกใจแล้วก็จะได้นำสินค้าให้ทันที หลังจากเธอพูดผ่านวิทยุสื่อสารแล้ว ตั่วตัวจึงพูดกับเยี่ยเทียน “คุณเยี่ยคะ รถคันนั้นถูกลูกค้าคนหนึ่งของพวกเราจองเอาไว้ จึงไม่ได้นำไปจอดในพื้นที่จัดแสดง แต่คุณสามารถไปดูรถที่โกดังกับฉันได้นะคะ”
“ได้ครับ ไปกันเถอะ!” เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วจึงเดินตามตั่วตัวออกจากร้าน 4S ทางประตูด้านข้าง จนเดินมาถึงโกดังรถที่อยู่ข้างหลัง
ตั่วตัวพูดกับผู้ชายวัยกลางคนที่กำลังรออยู่หน้าประตูของโกดัง “ผู้จัดการอู่คะ นี่คือคุณเยี่ย เขาอยากจะมาดูแลนด์โรเวอร์รถออฟโรดค่ะ”
เมื่อมองเยี่ยเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้จัดการอู่คนนั้นก็ไม่ได้สนใจเขา จากนั้นจึงหยิบกุญแจเปิดประตูของโกดัง พลางพูด “นี่คือรถที่คนอื่นจองไว้แล้ว ดูได้อย่างเดียว ไม่สามารถทดลองขับได้!”
“เฮ้ รถสวยจัง!” หลังจากประตูใหญ่ของโกดังเปิดออกแล้ว ดวงตาของเยี่ยเทียนก็เป็นประกายทันที และรีบเดินเข้าไป
ตัวถังรถออฟโรดสีดำคันนี้มีหน้ากว้างมาก ล้อแมกซ์สี่ล้อที่โดดเด่นกว่าล้อรถยนต์ทั่วไป ใต้ท้องของตัวถังยกสูงขึ้นมาก แผงไฟรถสว่างจ้าตา เด่นชัดไม่เหมือนใคร
“รถคันนี้คือยี่ห้ออะไรครับ?” เยี่ยเทียนเอ่ยปากถาม
“ตั่วตัว?” หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนถาม ผู้จัดการอู่จึงมองไปที่ตั่วตัวไม่หยุด พลางคิดว่านี่คือลูกค้าประเภทไหน? จะซื้อรถแต่ยังไม่รู้แม้แต่ยี่ห้อรถด้วยซ้ำ?
ต้องรู้ก่อนว่า การพาลูกค้ามาดูรถที่คนอื่นจองไว้แล้วนั้นเป็นการผิดกฎของบริษัท ถ้าหากไม่ใช่เพราะตั่วตัวพูดว่าคนคนนี้ต้องการจะซื้อรถล่ะก็ ผู้จัดการอู่ก็คงไม่เปิดประตูนี้ให้เยี่ยเทียนหรอก
ตั่วตัวมองผู้จัดการอู่ด้วยสายตาขออภัย แล้วจึงอธิบายให้เยี่ยทียน “คุณเยี่ยคะ นี่คือยี่ห้อแลนด์โรเวอร์รถออฟโรดสมรรถนะสูงของประเทศอังกฤษค่ะ ยังไม่มีการนำเข้ามาในประเทศจีน ถ้าไม่ใช่เพราะลูกค้าต้องการ ที่นี่ของพวกเราก็คงไม่มีค่ะ”
เยี่ยเทียนดูออกว่าตั่วตัวกำลังเล่นแง่ ดังนั้นเขาจึงถามไปตามตรง “รถคันนี้ราคาเท่าไรครับ?”
“รถคันนี้นำเข้ามาบวกภาษีแล้ว ประมาณเก้าแสนหยวน ถ้าหากคุณเยี่ยต้องการจริงๆ ราคาประมาณแปดแสนแปดหมื่นหยวนก็น่าจะซื้อได้ค่ะ!” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนต้องการซื้อรถ ผู้จัดการอู่จึงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา
“ผู้จัดการอู่ มีคนมาก่อเรื่องอยู่หน้าร้าน คุณรีบไปดูหน่อยครับ!” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะถามว่าจะทำการจองซื้อรถรุ่นนี้อย่างไร ก็มีพนักงานขายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน
……
ตอนที่ 292 ปืน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ลนลานอะไรนักหนา? ฝึกนายมาให้เสียเวลาจริงๆ?” มองดูท่าทางลุกลี้ลุกลนของผู้ที่มาถึง ผู้จัดการอู่น้าเสีย
“พนักงานคิดเงินร้องไห้ครวญคราง ” ผู้จัดการอู่ มีคนก่อเรื่องขึ้นจริงๆ คุณดูสิ ฉันโดนตบเข้าที่ตรงนี้”
เยี่ยเทียนและพวกต่างก็ชะโงกดูรอยบนหน้าเขา เห็นรอยแดงช้ำเป็นรูปฝ่ามือ ยังมีรอยนิ้วทั้งห้าทาบอยู่ด้วย
ผู้จัดการอู่หันไปถามเยี่ยเทียนว่า “คุณเยี่ย คุณว่าเรื่องนี้?”
เยี่ยเทียนไขความนัยให้ “ผู้จัดการอู่ไม่เป็นไรหรอก คุณไปทำงานต่อเถอะ ให้คุณตั่วตัวให้คำแนะนำผมก็ได้ ถ้าผมตกลงจะซื้อแล้ว ก็จะจ่ายเงินมัดจำให้คุณทันที”
“ตั่วตัว เธออธิบายรายละเอียดรถให้คุณเยี่ยฟัง คุณเยี่ย ถ้างั้นผมขอตัว”
ผู้จัดการอู่ปลีกตัวออกมา เดินไปพูดไปว่า “เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ข้างนอกยังมียามอยู่อีกนะ? จ่ายเงินเดือนจ้างพวกนั้นมาทำอะไร?”
“ผู้จัดการอู่ นี่ต้องให้คุณออกหน้า อยู่ๆคนที่แซ่หวงก็เกิดทะเลาะกับคุณผู้หญิงสองคนที่นั่งอยู่ในโชว์รูม ผมเข้าไปห้ามก็โดนตบกลับมา!” พนักงานแคชเชียร์คนนั้นสีหน้าเศร้าหมอง
“อะไรนะ? ทะเลาะกับผู้หญิงสองคนนั้นเหรอ?”
หูของเยี่ยเทียนไวมาก แม้ว่าผู้จัดการกับพนักงานเดินออกจากโกดังรถไปแล้วยังได้ยิน โยนเอกสารที่ตั่วตัวยื่นให้ทิ้งไว้ข้างๆ แล้วออกเดินตามไป
“เดี๋ยวก่อนนะ ผู้หญิงสองคนนี่คนหนึ่งสูงๆ อีกคนตัวเล็กบอบบางใช่ไหม?” เยี่ยเทียนรั้งพนักงานคิดเงินมาสอบถามให้แน่ชัด
ตอนที่เยี่ยเทียนเข้ามาในร้าน ข้างในคนไม่เยอะมาก ถ้ามีหญิงสาวสองคนมาด้วยกัน ก็น่าจะเป็นอวี๋ชิงหย่า กับถังเสวียเสวี่ยไม่ผิด
พนักงานพยักหน้า “ใช่ครับ เอ้อ ดูท่าทางว่าจะมากับคุณด้วย”
“โอ๊ย ทำไมไม่รีบบอก?” เยี่ยเทียนถลึงตาใสพนักงานคนนั้นอย่างโมโห แล้วรีบวิ่งออกจากประตูด้านข้างโชว์รูมไป
“ขอเตือนนายไว้ก่อนนะ อยู่ห่างๆจากฉันหน่อย แฟนฉันอยู่ที่นี่ด้วย…” เยี่ยเทียนเพิ่งเข้ามาในโชว์รูมก็ได้ยินเสียง โวยวายของอวี๋ชิงหย่า
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของอวี๋ชิงหย่า เสียงของชายคนนั้นก็ดังระเบิดขึ้น “แฟนเธอ?คงไม่ใช่ตาแก่อายุเจ็ดแปดสิบคนนั้นหรอกนะ? ปีนี้พี่เพิ่งจะอายุสามสิบสาม เราสองคนเหมาะกัน อย่างกับกิ่งทองใบหยก!”
“เป็นเจ้านั่นจริงด้วย?”
ผู้จัดการอู่ที่รีบวิ่งตามเยี่ยเทียนเข้ามา แต่ไม่กล้าเข้าไปแทรกกลางวง ได้แต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย
“นายเพ้อเจ้ออะไร พี่เยี่ยเทียนไม่ได้แก่ขนาดนั้น นายสิถึงเป็นตาแก่เจ็ดแปดสิบน่ะ” เสียงของถังเสวียเสวี่ย ดังแทรกขึ้นมา เยี่ยเทียนรีบวิ่งเข้ามา เลี้ยวตรงหัวมุม ฉากการวิวาทก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
สองสาวยังยืนอยู่บริเวณโต๊ะรับแขกที่ใช้นั่งคอย ตรงหน้าของอวี๋ชิงหย่ามีชายฉกรรจ์สามคนยืนประจันหน้ากันอยู่ ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกสองคนยืนประกบอยู่
ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าอวี๋ชิงหย่าถลึงตาใส่สาวน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมว่า “สาวน้อย นี่ไม่เกี่ยวกับเธอ ผอมอย่างกับไม้เสียบผี ไปยืนรอข้างๆไป…”
“นายมันคนเลว เดี๋ยวรอให้พี่เยี่ยเทียนมาจัดการพวกนาย!” ถังเสวียเสวี่ยด่าคนไม่เป็น คำด่าว่าเลวคงเป็นคำที่หยาบที่สุดสำหรับด่าคนที่หล่อนเกลียดแล้ว
ฝ่ายตรงข้ามเบะปาก “พี่เยี่ยเทียนของเธอไม่ได้อายุเจ็ดแปดสิบแล้วเหรอ? จะมาจัดการพวกพี่ไหวเหรอ?”
“ฉันยังไม่แก่ ถ้าพวกแกอยากร้องไห้หาแม่ล่ะก็ ฉันก็จะจัดให้ ไอ้หนู!” เสียงของเยี่ยเทียนดังแทรกขึ้น ฝ่าวงล้อมของพนักงานและยาม เข้าไปยืนประจันหน้าอยู่กับชายคนนั้น
อยู่ๆก็มีคนร่างสูงใหญ่เข้าประชิด ทำให้เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พอยืนอย่างมั่นคงแล้ว เห็นเยี่ยเทียนมาคนเดียว ก็อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ “แก เรียกใครเป็นไอ้หนูนะ?”
“ใครอยากรับก็รับไปสิ ไอ้หนู อย่ามาหาเรื่องที่นี่เลย ระวังจะเดือดร้อนไปถึงที่บ้าน!”
เยี่ยเทียนมองด้วยสายตาเย็นชา รูปลักษณ์ท่าทางก็ดูน่าเกลียด แต่ในแววตามีความหยิ่งทระนง น่าจะไม่ยอมใครง่ายๆ คงจะถูกสั่งสอนมาแบบนี้
“แก…แกเป็นใคร?”
เห็นท่าทางโอ้อวดยิ่งกว่าตนของเยี่ยเทียน ยังอดตะลึงไม่ได้ แอบพิจารณาท่าทีเยี่ยเทียนดูแล้ว ยิ้มมุมปากอย่างดูถูก “ตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่มีของแบรนด์เนมสักชิ้น ยังจะกล้าออกมาเดินในเมืองปักกิ่งอวดความจนหรือไง?”
“ฉันก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แล้วจะทำไม? อยากจะสั่งสอนฉันงั้นเหรอ?” เยี่ยเทียนท้าทายฝ่ายตรงข้าม ในใจคิดว่าฝ่ายนั้นเป็นพวกชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า
เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจคนนั้นมากนัก กลับหลังหันไปถามอวี๋ชิงหย่าด้วยความเป็นห่วง “ชิงหย่า เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม?”
“เปล่า เมื่อกี้ฉันคุยกัยเสวียเสวี่ยอยู่ดีๆ นายคนนั้นก็เดินเข้ามาขอเบอร์ฉัน ฉันไม่ให้เขาก็มาแย่งกระเป๋าฉันไป ยังดีที่มีคนมาช่วยห้ามไว้ได้ทัน!”
อวี๋ชิงหย่ารู้ดีถึงนิสัยของเยี่ยเทียน เธอไม่อยากให้เขาไปมีเรื่องกับฝ่ายตรงข้าม พอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบก็พูดต่อว่า “เยี่ยเทียน เราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคนแบบนี้เลย…”
เยี่ยเทียนพยักหน้าเห็นด้วย หลายวันก่อนได้ละเมิดศีลข้อปาณาติบาตไป เขาไม่อยากให้ความโหดร้าย ในจิตใจเพิ่มขึ้น ไม่อยากสร้างกรรมเพิ่ม
“นี่ ไอ้น้อง หยุดก่อน แกคิดว่าฉันจบแล้วจะจากไปได้ง่ายๆเหรอ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะหันหลังกลับ ฝ่ายตรงข้ามก็ตวาดไล่หลังมา ถ้าเยี่ยเทียนยังแข็งสู้ต่อ บางทีฝ่ายตรงข้าม อาจจะไม่กล้าขนาดนี้ แต่การเลือกที่จะเดินออกมาทำให้ฝ่ายนั้นมองว่าเยี่ยเทียนใจเสาะ
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ทำท่าจะหยุดชะงักก็เหลือบไปเห็นสายตาวิงวอนของอวี๋ชิงหย่า ก็ส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “ไปเถอะ เราไม่อยากสนใจคนพวกนี้….”
เยี่ยเทียนไม่อยากมีเรื่องแต่เรื่องก็มาหาเองถึงที่ ยังไม่ทันถึงก้าวที่สาม รู้สึกได้ถึงแรงลมจากทางด้านหลังพุ่งเข้ามา มีคนลอบโจมตีเขาจากเบื้องหลัง
“ให้ตายเถอะ ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงบ้างเลย!”
เยี่ยเทียนก้มหลบไปทางด้านหน้าแล้วตวัดขาไปด้านหลังเป็นท่าแมงป่องฟาดหาง ขาขวาถีบออกไปโดนเข้าที่หน้าท้อง ของหวงซือจื้อเข้าอย่างจัง
“โอ๊ย!” เสียงร้องดังขึ้น ชายคนนั้นเอามือกุมท้องถอยหลังไปหลายก้าว ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น
“ประธานหวง ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?” ผู้ติดตามของเขารีบรุดเข้ามาประคอง
“บ้าเอ๊ย ฉันจะไม่เป็นไรได้ไง?”
หวงซือจื้อนั่งหน้างออยู่ที่พื้น ตะโกนใส่ผู้ติดตามทั้งสองว่า “ยังยืนบื้ออยู่ทำไม? ฉันจ้างพวกนาย มายืนดูฉันโดนซ้อมรึไง?”
คนอย่างหวงซือจื้อ อยู่ในแวดวงค่ายทหารมาตั้งแต่เด็ก เป็นต้นแบบหนึ่งของคุณชายเจ้าสำราญ สมัยก่อนตอนปี 1955 ปู่ของเขาเป็นหนึ่งในแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อก่อร่างสร้างประเทศ พอปี 80 เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคก๊กมินตั๋ง นับเป็นผู้บุกเบิกประเทศคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
แต่น่าเสียดายบ้านตระกูลหวงมีเชื้อสายเพียงคนเดียว คุณปู่กวดขันบุตรชายอย่างเข้มงวด แต่กลับตามใจหลานชาย จนเสียผู้เสียคน
พอมีคุณปู่คอยให้ท้าย หวงซือจื้อจึงเย่อหยิ่งจองหองตั้งแต่เล็ก เคยเรียนวิชาการต่อสู้กับศัตรูมาจากคุณปู่บ้าง พอใครพูดไม่เข้าหูก็รัวหมัดเข้าให้ จนกลายเป็นนักเลงประจำเมืองไปแล้ว
เริ่มยุคปี 90 ช่วงสมัยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต หวงซือจื้ออาศัยความสัมพันธ์กับทหารคนหนึ่งในโซเวียต จนสร้างการค้าระหว่างสองประเทศจนใหญ่โต ภายในเวลาแค่ปีกว่า ก็สามารถทำเงินได้มหาศาล
แต่พอปลายยุคปี 90 คุณปู่เสียชีวิตลง
หวงซือจื้อยังคงนิสัยเย่อหยิ่งอวดดีแต่ก็ไม่ได้โง่ เขายังพอจะรู้ว่าเมื่อก่อนคนอื่นเห็นแก่หน้าคุณปู่ถึงยอมให้เขา ระยะหลังจึงทำอะไรระวังตัวมากขึ้น ตอนนี้เปิดบริษัทการค้าก็เพื่อฆ่าเวลา
นิสัยคนเรามันเปลี่ยนกันยาก หวงซือจื้อมักจะมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่นอยู่บ่อย พอถูกรังแกแค่ครั้งสองครั้ง ก็ยอมเสียเงินจ้างผู้คุ้มกันมาถึงสองคน
เมื่อครู่ถูกเยี่ยเทียนถีบเข้าที่ท้อง นิสัยเก่าจึงถูกจุดชนวนขึ้นมา ผู้คุ้มกันทั้งสองไม่รู้จะทำอย่างไร จึงไปพุ่งตัว ออกไปยืนอยู่หน้าเยี่ยเทียน
“ยุ่งยากจริง…”เยี่ยเทียนถอนใจ หันไปพูดกับอวี๋ชิงหย่าว่า “เธอสองคนรอฉันแป้บนึง ฉันจัดการเสร็จแล้วจะตามไป!”
เยี่ยเทียนตบมืออวี๋ชิงหย่าเบาๆ แล้วหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับผู้คุ้มกันทั้งสอง เรื่องราวใหญ่โตจนไม่อาจยอมความกันได้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเจรจากันอีก วางมวยใส่กันเลย
“เจ้าหนุ่มนี่แย่แน่ สองรุมหนึ่ง สู้เขาไม่ไหวหรอก…”
“ผู้จัดการอู่ล่ะ? เรียกเขามาห้ามทัพคุณชายหวงเร็ว!”
“โอ๊ย ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม? ทำไมสองคนนั้นลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วล่ะ?”
ผู้ที่มุงดูอยู่ ต่างตกตะลึง น่าจะเป็นเยี่ยเทียนที่โดนเล่นงาน แต่ตอนที่การต่อสู้หยุดลง กลายเป็นฝ่ายผู้คุ้มกัน สองคนของหวงซือจื้อนอนร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น
เยี่ยเทียนตบมือ ยิ้มเย็นให้หวงซือจื้อที่นั่งอยู่ไม่ไกล พูดว่า “ทีหลังอย่าเที่ยวหาเรื่องไปทั่วล่ะ ในโลกนี้ยังมีคนที่แกไม่ควรยุ่งด้วยอยู่อีกมาก!”
เยี่ยเทียนมองออกว่า ชายตรงหน้าลักษณะวาสนาดี เกิดมาชีวิตสุขสบาย แต่ดูจากนิสัยส่วนตัวแล้ว สิ่งที่ได้มาไม่น่าจะมาจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง เพราะทำบุญมาดีจึงได้เกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย
คำโบราณกล่าวว่า มังกรมีลูกเก้าตน แต่ละตนนั้นมีลักษณะเด่นต่างกันไป คนที่กล้าหาญอาจจะไม่ใช่นิสัยลูกผู้ชาย เยี่ยเทียนไม่อยากจะมีเรื่องต่อ กล่าวเตือนเขาจบก็หันหลังเดินจากมา
“แก หยุดนะ แกกล้าทำฉัน ฉันจะระเบิดแกให้เป็นชิ้นๆ!”
ตอนที่เยี่ยเทียนหันหลังกลับ อยู่ๆ ก็ขนหัวลุก เพราะเขาเห็นฝ่ายตรงข้ามชักปืนที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา ปากกระบอกปืนดำทะมึนชี้มาที่ตน
ตั้งแต่เยี่ยเทียนจากสำนักมาได้พบเจอกับเรื่องราวมากมาย แต่ถึงขนาดโดนเอาปืนจ่อขนาดนี้เป็นครั้งแรก เสียดายไม่ได้พกเครื่องรางอู๋เหินกับต้าฉีมาด้วย
กวาดตาดูแว้บหนึ่ง เยี่ยเทียนกวาดเท้าลงไปที่พื้น คนที่เพิ่งจะโดนเขาต่อยล้มไปโดนสกัดขาลอยขึ้น ล้มตัวเข้าใส่หวงซือจื้อเต็มๆ
ขณะเดียวกันเยี่ยเทียนรีบเข้าประชิดตัว มือขวาเอื้อมไปคว้าปืนมาจากใต้รักแร้ของฝ่ายนั้น ซัดทีหนึ่ง กระตุกทีหนึ่ง ปืนของหวงซือจื้อก็ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น