กระบี่จงมา 290.1-292.1
บทที่ 290.1 ส่งหัวคนไกลพันลี้
โดย
ProjectZyphon
เด็กหนุ่มชุดขาวตกอยู่ในวงล้อม ไม่เพียงแต่ไม่ถอยหนี กลับกันยังบุกรุดหน้า หลังจากปล่อยไปหลายหมัดเข้าก็ทำเอาสหายของพวกเขาไร้เรี่ยวแรงให้เอาคืน
นี่ทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมการล้อมโจมตีครั้งนี้อดรู้สึกกระวนกระวายในใจไม่ได้
หากไม่เป็นเพราะชายฉกรรจ์ส่งเสียงเอ่ยเตือน อาจารย์คุมทัพที่อยู่ทางทิศเหนือก็อาจจะตายคาที่ไปแล้ว
เวลานั้นผู้เฒ่าที่ช่วยสร้างค่ายกลย้ายภูเขารินน้ำให้กับทุกคนกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น จัดวางธงเล็กสีเหลืองดินหลายผืนกระจายไปทั่ว ต่อให้สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติเขาก็ยังตบอกตัวเองหนึ่งที ตบยันต์ตัวตายตัวแทนราคาแพงที่ซ่อนอยู่ให้แตกออกอย่างไม่ลังเล ดังนั้นตำแหน่งของเขากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์จึงสลับสับเปลี่ยนกันในเสี้ยววินาที
ทันใดนั้นกระบี่บินเล่มหนึ่งที่ยากจะแยกแยะได้ว่าเป็นจริงหรือมายาก็พุ่งลงมาจากฟ้า ประหนึ่งตะเกียบที่แทงลงไปในน้ำแล้วกระชากให้เกิดริ้วน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก ความเร็วนั้นมากอย่างถึงที่สุด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีสีหน้างงงันถูกกระบี่บินใหญ่ยักษ์ผ่าแสกหน้าเรื่อยลงมาตั้งแต่ศีรษะจรดบั้นเอว หนึ่งร่างแยกออกเป็นสองส่วน ก่อนที่ศพซึ่งแยกออกเป็นสองร่างนี้จะล้มตึงลงไปบนพื้น ไส้ทะลักไหลนองตายคาที่ สภาพน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้
กระบี่บินที่ใหญ่มหึมายิ่งกว่ากระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปพกติดตัวไม่ได้ปักลงบนพื้น แต่หายวับไป กระบี่บินจมลงเบื้องล่างโดยที่พื้นผิวดินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
นาทีถัดมาอาจารย์คุมทัพก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปตรงตำแหน่งหัวใจ ราวกับว่าจะใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนอีกครั้ง ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะใช้ชีวิตของศิษย์ผู้สืบทอดคนที่สองมาแลกกับความปลอดภัยของตัวเอง
เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้ฝึกลมปราณพรรคมารที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันรับมือไหวตัวได้ทันแล้ว เขาไม่ได้นิ่งดูดายเฉยๆ แม้ว่าจะยืนอยู่ห่างไปไกลแต่ก็ควักหม้อดินขนาดเล็กสีดำที่สลักเต็มไปด้วยอักขระยันต์ใบหนึ่งออกมา ท่องคาถาพลางแกว่งมันเบาๆ อยู่หลายครั้ง ควันดำขุมหนึ่งที่มืดทะมึนเยียบเย็นก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้า พอออกมาจากหม้อดินแล้วก็แยกเป็นสามส่วน แบ่งกันพุ่งไปหาอาจารย์คุมทัพ เด็กสาวและลู่ไถที่ยืนบังคับกระบี่อยู่บนกิ่งไม้สูง
กระบี่บินปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าอีกครั้ง ยังคงฟันลงมาแสกหน้าอยู่เหมือนเดิม
แต่ไม่ได้พุ่งตรงไปยังอาจารย์กระบี่ที่ตบยันต์ กลับตรงเข้าหาเด็กสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความตะลึงพรึงเพริด
ควันดำกลิ้งหลุนๆ ที่เกิดจากการรวมตัวกันของผีร้ายและวัตถุหยินจำนวนนับไม่ถ้วนบังอยู่เหนือศีรษะของเด็กสาว เหมือนช่วยกางร่มกันฝนให้กับนาง
ทว่ากระบี่บินใหญ่ยักษ์มีพลังอำนาจมากเกินไป มันพุ่งลงมาดุจผ่าลำไม้ไผ่ แหวกทลายควันดำที่กีดขวางอย่างรวดเร็ว และยังคงผ่าเด็กสาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เด็กสาวเยาว์วัยกลับต้องมาตายก่อนวัยอันควรอยู่บนมหามรรคาเช่นนี้
แสวงหาชีวิตอมตะอย่างยากลำบาก ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นยี่สิบปี
สีหน้าของลู่ไถที่ใช้มือข้างหนึ่งค้ำยันลำต้นของต้นไม้ไม่ค่อยน่าดูนัก
ธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งจริงๆ
อาจารย์คุมทัพผู้นั้นไม่ได้ใช้ยันต์ตัวตายตัวแทนจริงๆ การตบอกครั้งที่สองเป็นแค่อุบายที่ล่อให้ปลายกระบี่ของเขาเบนเข้าหาเด็กสาวเท่านั้น
ลู่ไถที่แพ้ไปหนึ่งกระดานกลับไม่รู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้น การฝึกตนบนภูเขา ข้อแรกคนโง่ย่อมไม่มีคุณสมบัติให้ข้ามผ่านธรณีของประตูภูเขาไปได้ ข้อสองต่อให้เป็นคนที่เบาปัญญาแค่ไหน แม้จะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเป็นดั่งสุนัขตัวหนึ่ง แต่หลายสิบปีหลายร้อยปีผ่านไป ต่อให้เป็นสุนัขจริงๆ ก็ควรจะกลายเป็นภูตผีปีศาจได้แล้ว
ดังนั้นจึงไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
แม้ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นจะมีขนาดใหญ่มาก แต่ความเร็วของมันกลับน่าเหลือเชื่อ ลู่ไถยืนอยู่ที่เดิม ปล่อยให้ควันดำพุ่งกระโจนเข้าใส่อย่างดุดัน หลังจากกระบี่บินสังหารเด็กสาวไปแล้ว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้านายอย่างลู่ไถ ซัดกระแทกให้ควันดำที่เต็มไปด้วยความอาฆาต เสียงคร่ำครวญ และใบหน้าที่ดุร้ายแตกสลาย
นักพรตลัทธิมารแกว่งหม้อดินเผากลางฝ่ามือไม่หยุด พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงน่าสะพรึงกลัวไปด้วยว่า “กล้าทำลายวัตถุหยินของข้า อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีปราณวิญญาณให้เอามาผลาญสักเท่าไหร่!”
ควันดำบินออกมาจากหม้อดินเผาเส้นแล้วเส้นเล่า คล้ายดอกไม้ขนาดมหึมาสีดำดอกหนึ่งที่ผลิบานอยู่กลางฝ่ามือของเขา
อาจารย์คุมทัพกลัวจริงๆ ว่าไอ้หมอนั่นจะปล่อยกระบี่ใส่ตนอีกครั้ง ด้วยความจนใจจึงต้องควักเอาไข่มุกสีขาวหิมะกำใหญ่ออกมาโปรย ไข่มุกหลายสิบเม็ดหยุดลอยอยู่รอบกายเขา สามปฏิญาณ สี่ลักษณะ เจ็ดดาว แปดกว้า เก้ากง (ชื่อเรียกตามหลักโหราศาสตร์ของจีน) ไข่มุกจำนวนไม่เท่ากันลอยอยู่ในตำแหน่งที่พิถีพิถันอย่างมาก สร้างขึ้นเป็นค่ายกลคุ้มกันกายค่ายแล้วค่ายเล่า หลังสร้างค่ายกลสำเร็จ แสงสว่างก็พลันเจิดจ้า ส่องสว่างให้ตัวของอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าเจิดจ้ายิ่งใหญ่อย่างที่มิอาจหาสิ่งใดมาทัดเทียมได้
เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ค่ายกลที่เขาวางไว้ก่อนหน้านั้นจึงต้องถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้าไปอีกไม่น้อย
และผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นก็รู้ดีว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำไม่อาจโน้มน้าวอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าที่รักตัวกลัวตายผู้นี้ได้สำเร็จ ขณะเดียวกันกับที่เขาบังคับควันดำให้พุ่งเข้าหาลู่ไถก็เอ่ยเตือนไปด้วยว่า “รีบจัดวางค่ายกลซะ หาไม่แล้วครั้งนี้ที่พวกเราเดินทางมานับพันลี้ก็ถือว่าเสียเที่ยว อีกอย่างหากสังหารสองคนนั้นไม่ได้ ย่อมมีภัยร้ายตามมาเบื้องหลังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าลองชั่งน้ำหนักดูเอาเองก็แล้วกัน!”
สีหน้าของอาจารย์คุมทัพผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน แล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาดสลายค่ายกลเล็กออกไปครึ่งหนึ่ง เก็บไข่มุกหลายสิบเม็ดมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ความเร็วในการจัดวางค่ายกลแห่งต่างๆ จึงเร็วกว่าเดิมอีกหลายส่วน
สนามรบทางทิศใต้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำล้มฟุบลงไปบนพื้น กระอักเลือดไม่หยุดราวกับว่าจะขย้อนเอาอวัยวะข้างในออกมาด้วย พื้นดินทั้งแถบอาบย้อมไปด้วยสีแดงสด น่าอนาถอย่างถึงที่สุด
เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตัวจริงเสียงจริงคนหนึ่ง สั่งสมพลังจากการหล่อหลอมเรือนกายทั้งวันทั้งคืนมาเนิ่นนาน จึงเป็นคนที่รับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด
เพียงแต่ว่าบนวิถีวรยุทธ์ หากไม่เคยได้รับคำแนะนำจากพระวิสุทธิจารย์ การเดินย่อมเป็นไปอย่างยากลำบาก หากรากฐานขอบเขตสามหลอมร่างกายปูได้ไม่แน่นพอ เต็มไปด้วยรูรั่ว แม้การใช้ทุกวิธีโดยไม่สนผลลัพธ์สามารถเลื่อนจากสี่ไปห้าได้ก็จริง แต่หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นก็ไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตหกไปได้ตลอดชีวิต
คนมีชีวิตอยู่จะปล่อยให้ตายเพราะอั้นฉี่คงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกเดินบนเส้นทางที่เบี่ยงเบน วิธีเชิญเทพของเขามาจากตำราครึ่งเล่มที่ไม่สมบูรณ์แบบ แน่นอนว่าได้มาจากการ ‘ล่าอาหารป่า’ เพราะมีแค่ตำราครึ่งหนึ่งของช่วงต้น จึงรู้แค่ว่าควรจะเชื้อเชิญอย่างไร แต่ไม่รู้ว่าควรจะส่งกลับอย่างไร เชิญเทพมาง่ายส่งกลับยากก็คือหลักการนี้
ทุกครั้งที่เทพเข้าสิงร่างต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล คลำทางมาเกือบยี่สิบปี วิ่งวุ่นขอให้คนอื่นช่วยเหลือไปทั่วทิศ ซื้อตำราลับของเซียนประเภทเดียวกันนี้มาเป็นจำนวนมาก กว่าจะควบคุมต้นตอโรคร้ายที่ทิ้งไว้ภายหลังของวิชาลับนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยเฉพาะวันนี้ที่เชิญเทพมาครึ่งทาง กลับถูกเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นต่อยให้ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ ถอยกลับไปที่แท่นบูชาเทพ สำหรับการอัญเชิญเทพที่มีกฎระเบียบเข้มงวดแล้ว นี่ถือว่าไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด ดังนั้นพลังสะท้อนกลับจึงรุนแรงอย่างยิ่ง จิตวิญญาณแต่ละกลุ่มล่องลอยออกไปจากช่องโพรงลมปราณเหมือนควันจากธูปสามดอกที่ลอยกรุ่น
หลังจากธูปทั้งสามดอกเผาไหม้จนหมดสิ้นก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง ตลอดทั้งแผ่นหลังของชายฉกรรจ์มีควันลอยกรุ่น ต้องรู้ว่าควันเหล่านี้คือตัวแทนถึงพละกำลังและความกล้าหาญของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า คือพลังต้นกำเนิดอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง
ชายฉกรรจ์พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ช่วยข้าด้วย!”
ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญเวทไม้ห้าธาตุคนนั้นขมวดคิ้วแน่น จำต้องถอนวิชาย้ายภูเขาลากไม้ที่ใช้รับมือกับเด็กหนุ่มชุดขาวโดยเฉพาะออก มาหยุดอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์แล้วนั่งยองลง นิ้วมือของมือทั้งสองข้างทำมุทรา ใบหน้าของเขาแดงก่ำ แสงดาวหม่นมัวลอยมาจากพื้นดินเบื้องล่างแล้วล้อมวนอยู่รอบปลายนิ้วทั้งสิบ จากนั้นก็ถูกผู้ฝึกลมปราณตบเข้าไปที่แผ่นหลังของชายฉกรรจ์
ร่างของชายฉกรรจ์ที่ล้มกองอยู่ในดินพลันดีดเด้ง สีหน้าแดงปลั่งในชั่วพริบตา ข้อต่อใหญ่ๆ ตลอดทั้งร่างส่งเสียงลั่นดังเหมือนเสียงถั่วเหลืองระเบิด ประหนึ่งไม้แห้งเหี่ยวที่ได้เจอกับฤดูใบไม้ผลิ ชายฉกรรจ์พลิกตัวกลับมา ดีดตัวขึ้นในท่านอนหงาย มือถือแส้คู่แล้วลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่เหลือความห่อเหี่ยวอีกแม้แต่น้อย
ผู้ฝึกลมปราณที่ให้ความช่วยเหลือเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “จดไว้ในบัญชีด้วย”
ชายฉกรรจ์เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวที่ลงมือได้อย่างน่าตะลึงพลางพยักหน้ารับ “จัดการแพะอ้วนสองตัวนี้ได้ ทุกเรื่องล้วนพูดง่าย!”
บนถนนเรียกสวรรค์ของสำนักฝูจีในคืนนั้น เจ้าคนที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสตรีผู้นั้นจ่ายเงินอย่างมือเติบจนทำให้ผู้ฝึกอิสระขอบเขตโอสถทองละอายใจที่สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไม่สามารถหาเงินร้อนน้อยได้มากมายขนาดนั้น แต่ต้องรู้ว่าของที่คุณชายผู้หล่อเหลาซื้อไปล้วนเป็นของเล่นที่ผลาญเงินอย่างสัตว์มันแพะ แมงมุมฝันวสันต์ คนกระดาษยันต์ ซึ่งไม่ใช่สมบัติจู่โจมที่ใช้สังหารศัตรู และไม่ใช่อาวุธสำคัญที่ใช้ในการปกป้องชีวิต!
ผู้ฝึกตนของใบถงทวีป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบหรือผู้ฝึกตนอิสระ ใครบ้างที่พูดภาษาทางการของใบถงทวีปได้ไม่คล่อง?
คนหนุ่มสองคนที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนต่างถิ่นมาจากทวีปอื่น ตลอดทางมานี้แค่เดินทางระหว่างป่าเขาและตลาด ขึ้นเหนือมาพันลี้ไม่เคยแวะเยี่ยมเยียนตระกูลเซียนระหว่างทางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็ไม่เคยมีผู้ฝึกตนใหญ่คนใดตั้งใจเดินทางมาพบพวกเขา นี่หมายความว่าอะไร? นี่หมายความว่าลูกนกหัดบินทั้งสองคนนี้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์ เป็นพวกคนรวยที่เอวร้อยเงินหมื่นกว้าน ย่อมมีชีวิตที่สุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยรู้เลยว่าน้ำในยุทธภพนั้นลึก ลมบนภูเขาพัดแรง!
ไม่จัดการกับเจ้าคนมุทะลุที่รวยเหมือนหมูที่อ้วนจนมันเยิ้มสองคนนี้ จะไม่ผิดต่อการฝึกตนอย่างยากลำบากตลอดหลายปีของตนหรอกหรือ? นอกจากออกตามหาโชควาสนาไปทั่วทิศ ใช้มีดดื่มเลือดคนอื่น ยังต้องก้มหัวทำตัวเป็นสุนัขรับใช้พวกตระกูลเซียนบนภูเขา คอยเก็บเงิน ช่วยพวกเขาจัดการเรื่องสกปรกที่เจ้าตัวดูแคลนจะทำเอง แบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุด?
ตั้งแต่ชายฉกรรจ์ถูกกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าต่อยรัวติดต่อกันห้าหมัด อาการร่อแร่ใกล้ตาย จนกระทั่งผู้ฝึกลมปราณใช้เวทลับดึงเอาโชคชะตาน้ำและภูเขาของที่แห่งนี้มารักษาชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ ทั้งหมดนี้กินเวลาสั้นๆ แค่ดีดนิ้วไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เฉินผิงอันถูกอาจารย์กระบี่วัยกลางคนบังคับปราณกระบี่กลุ่มแล้วกลุ่มเล่ามาขัดขวาง ทำให้ไม่สามารถสังหารชายฉกรรจ์ถือแส้เหล็กได้สำเร็จในรวดเดียว
ใช้ลมปราณควบคุมกระบี่ เมื่ออยู่ในยุทธภพถือเป็นวิชาอภินิหารของตระกูลเซียนที่ร้ายกาจมากแล้ว
ในสถานที่กันดารมากมาย คำกล่าวในตำราหรือบทกวีที่บอกว่ากระบี่บินตัดหัวพันลี้นั้น อันที่จริงไม่ได้หมายถึงผู้ฝึกกระบี่ แต่หมายถึงอาจารย์กระบี่ที่มักจะเผยโฉมต่อหน้าผู้คนบ่อยๆ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกระบี่บนภูเขากับมือกระบี่ในยุทธภพแล้ว อาจารย์กระบี่ที่เป็นดั่งน้ำครึ่งถัง สูงไปก็รับไม่ไหว ต่ำไปก็ไม่เอามักชื่นชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอมเสียมากกว่า
อาจารย์กระบี่ท่านหนึ่งควบคุมกระบี่ให้สังหารศัตรู วัตถุที่ออกมาจากชายแขนเสื้อมักจะมีทั้งปราณกระบี่และกระบี่จริง ฝ่ายแรกได้เปรียบที่จำนวนมีมาก ฝ่ายหลังมีดีที่พละกำลังมหาศาล
สวมชุดเกราะเบาคุมทัพ ช่วงชิงความได้เปรียบ สวมชุดเกราะหนักเจาะทะลวงขบวนรบ บรรลุชัยชนะ สองฝ่ายร่วมมือกัน จะขาดไม่ได้แม้แต่อย่างเดียว
เห็นได้ชัดว่าอาจารย์กระบี่ที่คุมเชิงอยู่กับเฉินผิงอันท่านนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ชายแขนเสื้อของเขาพองโป่ง ภายนอกของชายเสื้อมีประกายแสงสีเขียวกระเพื่อมเป็นระลอก ปราณกระบี่สีเขียวแต่ละเส้นที่พุ่งออกมาจากข้างในนั้นคมกริบมากเป็นพิเศษ
ยังดีที่การควบคุมปราณกระบี่ในแต่ละครั้งของอาจารย์กระบี่อย่างมากสุดก็แค่สองกลุ่มเท่านั้น
เฉินผิงอันจึงหลบเลี่ยงได้อย่างผ่อนคลาย ไม่ถึงขั้นที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ แต่ก็ถูกควบคุมไว้ค่อนข้างตายตัว
เฉินผิงอันไม่ได้ใช้วิธีฆ่าศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย ก่อนหน้านี้หลังจากทำให้ชายฉกรรจ์บาดเจ็บสาหัสได้แล้ว เนื่องจากมีอาจารย์กระบี่คอยถ่วงรั้งอยู่ ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิชาไม้ห้าธาตุจะช่วยชายฉกรรจ์เอาไว้ได้ แต่ก็ยังทำให้เกิดจังหวะติดชะงัก เดือดร้อนให้อาจารย์กระบี่คาดการณ์ผิดพลาด ปล่อยปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งไปรออยู่ใกล้กับร่างของชายฉกรรจ์ ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันพลันเพิ่มความเร็วกระโจนเข้าใส่อาจารย์กระบี่จนเข้ามาใกล้ในรัศมีหนึ่งจั้งเบื้องหน้าเขา
ทำเอาอาจารย์กระบี่ตกใจจนเหงื่อแตกท่วมร่าง จำต้องใช้ท่าไม้ตายที่แท้จริง
กระบี่เล็กของจริงเล่มนั้นไม่ได้ออกมาจากชายแขนเสื้อ แต่มาโผล่อยู่บนมวยผมเหนือศีรษะของเขาอย่างเงียบเชียบ ที่แท้ปิ่นหยกสีเขียวชิ้นนั้นก็คือ ‘ฝักกระบี่’ ที่ใช้อำพรางกระบี่เล่มเล็ก
นั่นคือกระบี่เล่มเล็กไร้ฝักที่มีลักษณะเหมือนใบหลิ่วสีเขียวมรกต เรียวบางอย่างยิ่ง มันหมุนติ้วๆ บินรอบกายอาจารย์กระบี่พาให้เกิดประกายแสงสีเขียวอ่อนเป็นกลุ่มๆ
นักพรตพรรคมหายันต์คนนั้นเอ่ยเตือนเสียงเฉียบ “ยันต์บ่อแห้งสองใบของข้าอยู่ได้มากสุดอีกแค่ชั่วดีดนิ้วยี่สิบครั้ง! รีบรบรีบจบ รีบสังหารเจ้าตะพาบน้อยคนนั้นให้ได้! หากกระบี่บินของเขาฝ่ากรงขังออกมาได้ ถึงเวลานั้นพวกเราก็เตรียมเข้าแถววางคอรอให้คนเขาเชือดได้เลย!”
นักพรตเฒ่าใบหน้าแห้งตอบ นิ้วทั้งสิบผอมแห้ง ระหว่างที่พูดก็ขยับหมุนมือสองข้างอย่างเชื่องช้า น่าจะกำลังควบคุมยันต์สองแผ่นที่กักตัวชูอีกับสืออู่ นักพรตเฒ่าโมโหจนเสียงสั่นไปหมด “ในรายงานลับของพวกเจ้า เจ้าเด็กนี่ไม่ใช่มือกระบี่ผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ? ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าลูกกระต่ายนี่ยังมีกระบี่บินอีกสองเล่มด้วย สองเล่ม! หากไม่ใช่เพราะข้าผู้อาวุโสมีสมบัติอยู่เล็กน้อย เสียสละยันต์สองแผ่นที่เดิมทีคิดจะเอาไว้เป็นมรดกตกทอด คราวนี้พวกเราก็คงจบเห่กันไปแล้ว! ส่วนแบ่งที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว!”
ชายฉกรรจ์คนนั้นสีหน้าย่ำแย่ ก้าวยาวๆ เข้าหาเฉินผิงอัน พูดเสียงหนักโดยไม่แม้แต่จะชายตามองผู้เฒ่า “เรื่องแก้ไขส่วนแบ่ง พูดง่าย ถึงอย่างไรก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องขาดทุน”
นักพรตเฒ่าแค่นเสียงเย็นหนึ่งที
ในใจเหมือนมีแม่น้ำและมหาสมุทรโถมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง จ้องมองเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นเขม็ง
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผู้ฝึกกระบี่มีร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
แล้วยังมีคุณชายหล่อเหลาที่ยังยืนอยู่บนต้นไม้คนนั้นอีก มันเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหมือนกัน มิน่าเล่าคนทั้งสองถึงกล้ามาเดินอาดๆ อยู่ต่างบ้านต่างเมือง ผู้ฝึกกระบี่สองคน กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม ต่อให้พวกเขาเดินอาดๆ จากสำนักกุยหยกไปถึงสำนักใบถงของใบถงทวีป ขอแค่ไม่ไปท้าทายตระกูลเซียนทั้งหลายก่อน ช่วงเวลาปกติจะมีผู้ฝึกตนอิสระสักกี่คนที่กล้าไปหาเรื่อง?
พวกเขากลุ่มนี้เหมือนปลากับมังกรที่ปะปนกัน เดิมทีย่อมไม่มีทางมาอยู่เป็นพวกเดียวกันได้ แต่นี่ล้วนเป็นเพราะผลประโยชน์ แม้ว่าตบะและขอบเขตของทุกคนล้วนไม่ถือว่าสูง แต่ต่างคนต่างก็มีข้อดี อีกทั้งตลอดทางมานี้ยังมียอดฝีมือคอยวางแผนการให้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นต่อให้คิดจะสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง ขอแค่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวมาก่อน พวกเขาก็ล้วนสามารถงัดข้อด้วยได้ ไม่แน่อาจได้กลายเป็นมหาเศรษฐีในชั่วข้ามคืนเลยก็เป็นได้
ยกตัวอย่างเช่นการลงมือของเขาครั้งนี้ก็เพราะหมายตาสัตว์มันแพะอายุน้อยตัวนั้น
และต้องได้มันมาครอบครองเท่านั้น!
อันที่จริงก็ถือว่าพวกเขาประเมินเด็กหนุ่มทั้งสองคนไว้สูงพอแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสองจะรับมือได้ยากขนาดนี้
บทที่ 290.2 ส่งหัวคนไกลพันลี้
โดย
ProjectZyphon
คราวนี้มีอาจารย์กระบี่วัยกลางคนช่วยถ่วงรั้งเด็กหนุ่มคนนั้นไว้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีผู้ฝึกลมปราณเชี่ยวชาญวิชาไม้ที่อยู่ในป่าเขาแห่งนี้ก็เหมือนได้รับเงื่อนไขและสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นพิเศษ เขาสามารถบังคับให้ต้นไม้โบราณแต่ละต้นทะยานขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วเดินหน้ามาประหนึ่งคนแก่ที่เดินกะโผลกกะเผลก ชายฉกรรจ์ควักยาเม็ดสีชาดออกมาหนึ่งเม็ด โยนเข้าใส่ปาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
เขาจะอัญเชิญเทพลงมาอีกครั้ง!
กิ่งของต้นไม้ใหญ่เหมือนแส้เส้นยาวหลายเส้นที่ฟาดโบยลงมาบนร่างของเฉินผิงอันอย่างรุนแรง ระหว่างที่เบี่ยงตัวหลบพวกมัน เฉินผิงอันยังต้องคอยเบี่ยงหลบแสงกระบี่สีเขียวสองเส้นที่อันตรายอย่างถึงที่สุด ชั่วขณะนั้นเขาพลันตกอยู่ในอันตรายที่รายล้อมรอบด้าน
ยังดีที่เพียงไม่นานลู่ไถก็ส่งเสียงทางจิตมาบอกว่าควรจะรับมือกับต้นไม้โบราณพวกนั้นอย่างไร หลังจากนั้นทุกหมัดของเฉินผิงอันจึงต่อยลงบนตัวอักษรตัวเล็กๆ ที่ร้อยเรียงกันและถูกอำพรางไว้บนต้นไม้ใหญ่ให้แตกละเอียดได้อย่างแม่นยำ มีเพียงเฉินผิงอันต่อยคาถาเหล่านั้นให้แหลกสลายได้สำเร็จ ถึงจะมีภาพที่ประกายแสงสีเงินแตกพร่าง แล้วต้นไม้ใหญ่ก็ล้มลงตามไป อีกทั้งต้นไม้ที่เดิมทีเป็นสีเขียวชอุ่มก็ยิ่งแห้งเหี่ยวลงในบัดดล
ลู่ไถยังเตือนเฉินผิงอันว่า เวลาชั่วดีดนิ้วยี่สิบครั้งที่นักพรตพรรคมหายันต์ซึ่งเป็นคนกักกระบี่บินทั้งสองเล่มบอกไว้อาจไม่จริงเสมอไป มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นสามสิบครั้ง หรืออาจจะนานยิ่งกว่านั้น
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ น่าจะเป็นเพราะไม่สามารถวอกแวกได้ หลังจากที่เขาทำลายต้นไม้โบราณประหลาดจนหมด ชายฉกรรจ์ที่ทิ้งแส้เหล็กไปแล้วก็อัญเชิญเทพได้สำเร็จ ดวงตาของเขาเป็นสีขาวหิมะ ไม่เหมือนสายตาของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่เหมือนองค์เทพองค์หนึ่งที่หลุบตามองต่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างเย็นชาเสียมากกว่า
แต่ในใจลู่ไถกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เพราะเขาสังเกตได้ว่า หลังจากฟังคำเตือนของเขาจบ ทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอันกลับไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมไหว เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกับแผนการของนักพรตเฒ่าอยู่แล้ว จิตใจของเขาถึงได้สงบนิ่งขนาดนี้
อายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนเก่าคนแก่ในยุทธภพนี่นา
ลู่ไถใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งค้ำยันลำต้นของต้นไม้ เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันที่เข่นฆ่ากับผู้กล้าของแต่ละฝ่ายอุตลุดแล้ว ทางฝ่ายของเขากลับน่าเบื่ออย่างมาก
‘เจินเจียน’ กระบี่บินของเขาสังหารอาจารย์คุมทัพผู้นั้นไม่ได้แล้ว วิญญาณควันดำที่โผล่ออกมาจากในหม้อดินเผาก็ทำอะไรลู่ไถไม่ได้เหมือนกัน
แล้วนับประสาอะไรกับที่ลู่ไถยังเอาเชือกห้าสีเส้นหนึ่งออกมารัดไว้ที่ข้อมือ แม้ว่าวัตถุชิ้นนี้จะเทียบกับสายรัดเอวหลากสีของชุดสตรีไม่ได้ ห่างชั้นกันถึงหนึ่งแสนแปดพันลี้ แต่สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่ถือเป็นสมบัติอาคมที่ไม่เลว เชือกห้าสีที่รัดพันอยู่ตรงข้อมือแบ่งออกเป็นเชือกซู่มิ่งซิน สามารถเพิ่มระดับการดูดซับปราณวิญญาณ เชือกพี่ปิงเจิง ฟันแทงไม่เข้า แน่นอนว่าไม่ใช่อาวุธทุกชนิดที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หาไม่แล้วระดับขั้นก็ต้องเป็นอาวุธกึ่งเซียน ไม่ใช่สมบัติอาคมแล้ว เชือกปี้เสียซั่ว ตรงปลายของเชือกเส้นนี้จะเหมือนงูตัวเล็กเฉลียวฉลาดที่ผงกศีรษะขึ้น สามารถปัดเป่าให้ไอความชั่วร้ายสลายไปได้ เชือกถู่เจี้ยนซือ สามารถบินแยกออกไปเพียงลำพัง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินเล่มหนึ่งที่อาจารย์กระบี่เป็นผู้ควบคุม สุดท้ายคือเชือกพันธนาการปีศาจเส้นเล็กจิ๋ว
ความแข็งแกร่งของสมบัติอาคมชิ้นนี้ของลู่ไถอยู่ที่ว่ามันครอบคลุมรอบด้าน ได้ทั้งรุกและรับ
แต่เอาเข้าจริงแล้ว ขอแค่ไม่ใช่ขอบเขตโอสถทองที่มีขอบเขตสูงกว่าคนปกติทั่วไปหนึ่งถึงสองระดับ ไม่ว่าใครก็กลัวเสียเวลา กลัวมดกัดช้างตายกันทั้งนั้น
ยังดีที่วันนี้เฉินผิงอันช่วยถ่วงกำลังหลักของศัตรูเอาไว้ ลู่ไถที่ ‘อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ’ จึงเกิดความละอายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คราวนี้เขาประมาทเกินไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงขั้นรวมตัวกันมาล้อมโจมตีพวกเขา อีกทั้งยังตัดสินใจกันอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมติดตามพวกเขามาไกลถึงหนึ่งพันลี้
สนามรบทางทิศเหนือ ดูท่าผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นคงเสียดายควันดำที่สลายไปอย่างต่อเนื่อง จึงหันไปตะโกนเสียงดังใส่นักพรตเฒ่าว่า “ยังมียันต์บ่อแห้งอีกหรือไม่ ถ้ามีก็รีบโยนออกมาอีกแผ่น ขอติดไว้ก่อน วันหน้าข้ากับเขาจะช่วยกันใช้หนี้ให้เจ้าเอง!”
นักพรตเฒ่าโมโจจนเต้นผาง สบถด่า “มีกับบิดาเจ้าสิ!”
ผู้ฝึกตนลัทธิมารโมโหอยู่ในใจ แต่ตอนนี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้ คิดเอาว่าวันเวลายังอีกยาวไกล วันหน้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้านักพรตเฒ่าจมูกวัวหน้าเหม็นคนนี้ให้จงได้
เดิมทีนักพรตเฒ่าก็ดูแคลนผู้ฝึกตนลัทธิมารที่จะคนก็ไม่ใช่จะผีก็ไม่เชิงผู้นั้นอยู่แล้ว และราวกับกลัวว่าเวลาชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจะสิ้นสุดลง จึงสะบัดชายแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบคล้ายเตรียมการอะไรบางอย่าง
ยิ่งนานแรงสั่นสะเทือนของยันต์สองแผ่นที่กักกระบี่บินไว้ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
นักพรตเฒ่ามีความลำบากใจที่ยากจะเอื้อนเอ่ย
ตอนแรกที่เขาพูดเสียงดังว่าสามารถกักกระบี่บินได้แค่ชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งนั้น ก็เป็นอย่างที่ลู่ไถคาดเดาไว้ เขาจงใจหลอกเฉินผิงอัน หวังให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อผ่านชั่วเวลาดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งไปแล้วจะสามารถเอากระบี่กลับคืนไปได้ เป็นเหตุให้เฉินผิงอันเปิดฉากสังหารอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้นักพรตเฒ่าเป็นเหมือนคนใบ้กินหวงเหลียนที่ต่อให้ขมแค่ไหนก็บอกใครไม่ได้ ที่แท้ยันต์วิเศษสองแผ่นที่มีมูลค่าควรเมืองนั้น สามารถกักกระบี่บินไว้ได้แค่ชั่วดีดนิ้วมือยี่สิบครั้งจริงๆ ไม่ใช่สี่สิบครั้งอย่างที่คาดการณ์เอาไว้!
ยันต์มีชื่อว่ายันต์บ่อแห้ง
สามารถสยบกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้
ใช้ไม้ที่ถูกสายฟ้าผ่ามาทำเป็นตะปูเล็กๆ เจ็ดตัว วาดเรียงเป็นรูปดาวไถ ใช้เวทลับสลักเข้าไปในกระดาษยันต์พิเศษ ผสมกับดินที่หล่นลงมาจากช่วงปลายของลมพายุอีกหนึ่งตำลึง ต้องเป็นลมตะวันตกเฉียงเหนือหนึ่งในลมแปดทิศด้วย บนยันต์วาดเป็นภาพที่กระบี่ถูกกักขังอยู่ในบ่อ ด้านหลังกระดาษเขียนสองคำว่า ‘ไม่ขยับ’ นี่ถึงจะเป็นลำต้นหลัก ส่วน ‘กิ่งก้าน’ ที่เหลือของยันต์ยังต้องใช้ขั้นตอนอีกมาก
นี่คือยันต์ลับชั้นสูงชนิดหนึ่งของสำนักนอกรีตของพรรคมหายันต์ในใบถงทวีป แม้ว่าจะเทียบกับ ‘ยันต์ฝักกระบี่’ และ ‘ยันต์ผนึกภูเขา’ ที่ลู่ไถกล่าวถึงไม่ได้ แต่ก็ไม่อาจดูแคลน เพราะมันคือยันต์คุ้มกันกายที่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางใช้รับมือกับผู้ฝึกกระบี่โดยเฉพาะ มูลค่ามากเท่าทองพันชั่ง
การศึกษายันต์บ่อแห้งที่มีรายละเอียดยิบย่อยทั้งเสียเวลาและยิ่งเสียเงิน
ขอแค่เรียกยันต์ชิ้นนี้ออกมา เมื่อเจอกระบี่บินในรัศมีสิบจั้งก็จะสามารถทำให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่เหมือนคนที่ยืนอยู่ในบ่อ ไม่สามารถขยับตัวกระดุกกระดิกได้
ระดับยันต์สูงหรือต่ำก็ต้องดูที่ว่าสามารถกักกระบี่บินไว้ได้นานแค่ไหน
หากคิดจะคลายผนึกก็จำเป็นต้องท่องคาถาสะบัดแขนเสื้อลมโชย กระบี่บินที่ ‘อยู่ในบ่อ’ จึงจะจากไปได้อย่างอิสระ
คนอื่นใช้เวลาสิบปีในการขัดเกลาหนึ่งกระบี่ แต่นักพรตเฒ่ากลับใช้เวลาสิบปีศึกษาหนึ่งยันต์ ไม่ว่าจะทะนุถนอมและเห็นค่าแค่ไหนก็ไม่เกินเลยสักนิด
สนามรบทั้งสองแห่ง ศึกใหญ่กำลังปะทุอย่างดุเดือด
ในป่าลึกกลางภูเขามีคนสองคนมองมายังที่แห่งนี้อยู่ไกลๆ
นั่งดูไฟชายฝั่ง
คนผู้หนึ่งก็คือลูกค้าที่แย่งชิงสัตว์มันแพะกับลู่ไถในร้านค้าของสำนักฝูจง ร่างเตี้ยม่อต้อ รูปโฉมไม่สะดุดตา บนใบหน้ามีแววลำพองใจเล็กน้อย
อีกคนหนึ่งคือมือกระบี่ชุดแดงที่ตรงเอวห้อยกระบี่ยาว เรือนกายเพรียวบาง ท่วงท่าน่าเกรงขาม เวลานี้กำลังจับด้ามกระบี่มองสถานการณ์การต่อสู้ของของทางฝั่งนั้นพลางยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ทุกคนล้วนคิดว่าเจ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่ข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตอนนี้มาลองดูแล้ว โชคดีที่เจ้ารู้จักระมัดระวังตัว ช่วยลดปัญหาให้ข้าได้ไม่น้อย”
บุรุษชุดแดงคือมือกระบี่ที่มีวิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง
เมื่ออยู่ในยุทธภพล่างภูเขาของใบถงทวีปก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีกระบี่สมชื่อแล้ว แม้จะมีอายุถึงเจ็ดสิบปี แต่ใบหน้าก็ยังเยาว์วัยหล่อเหลา ตลอดหลายสิบปีมานี้เขาขี่กระบี่ทะยานไปหลายสิบแคว้น น้อยครั้งที่จะพบคนที่มีฝีมือพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้
แล้วนับประสาอะไรกับที่กระบี่ยาวที่เขาพกไว้ตรงเอวคือสมบัติของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งที่คมกริบอย่างถึงที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกยุทธ์มือกระบี่คนนี้กล้าพูดว่าเมื่อตนเจอกับ ‘ขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินโอสถทอง หนึ่งกระบี่ทำร้ายศัตรู ต่ำกว่าประตูมังกร หนึ่งกระบี่ปลิดชีพ’ อีกทั้งไม่ว่าจะคนบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็น้อยนักที่จะมีใครกังขาในตัวเขา
ชื่อเสียงบารมีเลื่องลือ อีกทั้งยังรูปงามไร้ผู้ใดจะทัดเทียม ไม่รู้ว่ามีสตรีมากน้อยแค่ไหนที่เลื่อมใสศรัทธาเซียนกระบี่แห่งยุทธภพที่ไม่หวังเป็นอมตะท่านนี้ ถึงขั้นมีข่าวลือเล็กๆ บอกว่าฮองเฮาสกุลจ้าวของแคว้นอวิ๋นลู่ก็ยังมีความสัมพันธ์กับคนผู้นี้ ส่วนพวกเทพธิดาและจอมยุทธ์หญิงมีชื่อเสียงในยุทธภพที่เลื่อมใสเซียนกระบี่ชุดแดงผู้นี้ก็ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน
ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ความระมัดระวังตัวของข้าผู้แซ่หม่าเป็นไปเองตามความเคยชิน ตอนยังหนุ่มเคยลำบากและเสียเปรียบคนอื่นมาหลายครั้ง ดังนั้นจึงจำเรื่องหนึ่งไว้ขึ้นใจ นั่นคือเมื่อรับมือกับเซียนซือที่มีชาติกำเนิดดีพวกนี้ พวกเราที่อยู่ในยุทธภพต้องทำตัวเหมือนสิงโตจับกระต่าย จับได้แล้วต้องกินพวกเขาให้หมดในคราวเดียว หาไม่แล้วต่อให้โชคดีเอาชนะได้ก็เป็นชัยชนะแบบอเนจอนาถ ผลเก็บเกี่ยวไม่มากพอ”
มือกระบี่ชุดแดงคลี่ยิ้ม “หม่าว่านฝ่า ก่อนหน้านี้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะช่วยพวกเจ้าคุมท้ายขบวนเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน กระบี่เล่มที่เด็กหนุ่มชุดขาวสะพายอยู่ด้านหลังเป็นของข้าตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้เหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นแล้ว ต้องให้ข้าลงมือสังหารศัตรูด้วยตัวเองจริงๆ ถ้าเช่นนั้น…”
บุรุษพยักหน้ารับ “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไม่สามารถมอบให้เจ้าได้ อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่บนร่างของเจ้าเด็กหนุ่มสองคนนี้ อย่างน้อยก็มีวัตถุฟางชุ่นหนึ่งชิ้น ของที่อยู่ข้างใน ข้าต้องเอาออกมาเป็นส่วนแบ่ง เจ้าสามารถเอาวัตถุฟางชุ่นไปได้ ตกลงไหม?”
มือกระบี่ชุดแดงยิ้มตาหยี “ประเสริฐ”
ชายฉกรรจ์ลังเลเล็กน้อย “แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะมั่นคงแล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องระวัง เด็กหนุ่มชุดขาวนั่นน่าจะกระดิกตัวได้ยากแล้ว แต่เจ้าคนที่หน้าหวานเหมือนสตรีผู้นั้นอาจจะยังพอเหลือกำลังให้รับมืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเจ้าจัดการกับเจ้าหมอนี่ก่อนดีไหม? อีกคนก็หนีรอดไปไหนไม่ได้แล้ว”
มือดาบชุดแดงส่ายหน้า “เจ้าคนที่อยู่บนต้นไม้มีสมบัติอาคมคุ้มกันกายรัดอยู่ที่ข้อมือ แถมยังมีกระบี่บินคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายอย่างลับๆ อยากที่ข้าจะแอบโจมตีอย่างเงียบเชียบได้สำเร็จในครั้งเดียว กลับเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นที่ข้าสามารถสังหารได้ด้วยกระบี่เดียว เมื่อไม่มีสหาย เจ้าเด็กหนุ่มที่บอบบางยิ่งกว่าสตรีผู้นั้นต้องสติหลุดเป็นแน่ ถึงเวลานั้นจะให้ข้าเป็นคนสังหาร หรือเจ้าจะลงมือด้วยตัวเองก็ไม่สำคัญแล้ว”
ชายฉกรรจ์คิดตามแล้วก็พยักหน้าตอบรับ “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”
จากนั้นเขาก็คลี่ยิ้ม “ยันต์บ่อแห้งสองแผ่นของนักพรตเฒ่าใกล้จะประคองตัวไม่ไหวแล้ว เจ้าจะลงมือตอนไหน?”
“ตอนนี้แหละ!”
ร่างของมือกระบี่ชุดแดงหายวับไป ตรงจุดเดิมที่เขาเคยยืนอยู่หลงเหลือเพียงเสียงที่ยังดังไม่ขาดคำ
กิ่งไม้ที่เขาเหยียบไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีความเคลื่อนไหว
นี่แสดงให้เห็นถึงความเร็วและวรยุทธ์ที่สูงส่งของปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพท่านนี้
บนสนามรบทางทิศใต้ เฉินผิงอันโรมรันอยู่กับชายร่างกำยำที่อัญเชิญเทพมาสิงร่าง เพราะฝ่ายหลังมีคนสองคนคอยให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายจึงยากจะแยกแยะ ดูท่าสถานการณ์วุ่นวายนี้คงดำเนินไปอีกนาน
เส้นแสงสีแดงเส้นหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้า รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ พริบตาเดียวก็ฉีกกระชากสนามรบ ปราณกระบี่ที่เยียบเย็นอัดแน่นเต็มไปทั้งฟ้าดิน
กระบี่ที่พุ่งออกจากฝักแทงไปยังหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มชุดขาว
จ้วงแทงตรงไปอย่างไร้ซึ่งความลังเล
มุมปากของมือกระบี่ชุดแดงตวัดโค้ง นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าสนใจและก็น่าเบื่อไปในคราวเดียวกัน
ได้สังหารผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอีกคนหนึ่งแล้ว
แต่นาทีถัดมา มือกระบี่ชุดแดงก็ต้องถอยกรูดไปด้านหลัง แม้แต่กระบี่ประจำกายซึ่งเป็นสมบัติอาคมตระกูลเซียนเล่มนั้นก็ยังต้องละทิ้งไปก่อน
เพราะชีวิตสำคัญยิ่งกว่า
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นปากอ้าตาค้าง การบุกเข้ามาของปรมาจารย์วิถีกระบี่ท่านนี้มาพร้อมกับพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่เกินไป ทุกคนจึงหยุดนิ่งด้วยไม่อยากวาดงูเติมหาง (ทำสิ่งที่เกินความจำเป็น) หลีกเลี่ยงไม่ให้หลังจากปรมาจารย์ใหญ่สังหารเด็กหนุ่มด้วยกระบี่เดียวแล้วอาจจะตวัดกระบี่มาจ้วงแทงพวกเขาเอาง่ายๆ หลังจบเรื่องก็พูดเอาดีเข้าตัวว่าสังหารพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถึงเวลานั้นคนที่จะได้รับส่วนแบ่งน้อยลงไปอีกคนหนึ่ง ก็หมายความว่าคนที่เหลือจะได้รับส่วนแบ่งเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน คนที่มีชีวิตอยู่ ใครบ้างจะไม่ยินดี?
แต่ภาพที่เกิดขึ้นในอันดับถัดมากลับเป็นภาพที่ทุกคนยากจะลืมเลือนไปได้ชั่วชีวิต
หลังจากมือกระบี่ชุดแดงแทงกระบี่เข้าใส่หว่างคิ้วของเด็กหนุ่มหน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดที่สวมชุดขาวหิมะ
จากตำแหน่งปลายกระบี่ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางได้มีริ้วคลื่นแสงที่ทำให้คนตาพร่ากระเพื่อมขึ้นเป็นระลอก เผยให้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงของชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ
มันกลายมาเป็นชุดสีทอง!
ดั่งทะเลเมฆสีทองที่มีเจียวหลงตัวแล้วตัวเล่าดำผุดดำว่าย
เฉินผิงอันไม่ได้จงใจสะกดกลั้นพลังอำนาจของชุดคลุมอาคมที่เป็นสมบัติตกทอดของเซียนนอกมหาสมุทรเอาไว้อีก ไม่จงใจเปิดเผยช่องโหว่หลายครั้งจนตัวเองได้รับบาดเจ็บ ปล่อยให้เลือดโชกจนตัวเองกระเซอะกระเซิงอีกต่อไป
ดังนั้นกระบี่เล่มนี้แทงเข้ามายังชุดคลุมสีทองก็จริง แต่กลับไม่สามารถทำลายมันได้แม้แต่นิดเดียว
ลู่ไถไม่ได้บอกพูดอะไร
แต่เฉินผิงอันกลับรอคอยช่วงเวลานี้มาตลอดเวลา
รอให้ยอดฝีมือที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังออกมาเป็นผู้ตัดสินคนสุดท้าย
ไม่มา เฉินผิงอันก็ไม่เสียเปรียบ
มาแล้ว เฉินผิงอันก็ได้กำไรก้อนโต
ตลอดทางมานี้ นับตั้งแต่ครั้งแรกที่ออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูไปยังสำนักศึกษาต้าสุย จนไปถึงครั้งที่สองที่ออกจากบ้านเกิดไปยังภูเขาห้อยหัว
ไม่เคยมีนาทีใดที่เขาไม่ระวังตัว คอยแสวงหาแต่คำว่า ‘ไร้ข้อผิดพลาด’ วันแล้ววันเล่า และในที่สุดเฉินผิงอันก็ได้รับการตอบแทน
ชั่วพริบตานั้น
มือกระบี่ชุดแดงเพิ่งจะปล่อยด้ามกระบี่ก็เห็นว่าเด็กหนุ่มที่เดินก้าวอาดๆ เสือกตัวใส่ปลายกระบี่ของเขายื่นมือไปชักกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังออกจากฝัก
หนึ่งกระบี่ฟันฉับตัดหัว
ต่อให้เป็นลู่ไถก็ยังอ้าปากค้าง จากนั้นก็กวาดตามองรอบด้าน ยิ้มหวานให้กับคนพวกนั้นที่ขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมดแล้ว “พวกเจ้าน่ะ เอาหัวมาส่งไกลถึงพันลี้ นี่เรียกว่าของขวัญเบาบาง แต่น้ำใจหนักอึ้งอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันพลิกมือกลับสอด ‘ปราณยาว’ กลับเข้าฝักกระบี่ เดินไปข้างหน้าหลายก้าว มืออีกข้างกุมกระบี่ยาวเล่มนั้นไว้หลวมๆ แล้วหยุดยืนนิ่ง
ท่าทางที่เขาจับกระบี่กลับหัว
มองดูแล้วก็สง่างามอยู่นิดๆ
บทที่ 291.1 กลบฝังลงดินอย่างสงบ
โดย
ProjectZyphon
ตรงเอวของศพไร้หัวของมือกระบี่ชุดแดงมีแสงสีทองอ่อนจางเส้นหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็นพุ่งผ่านไป
และตรงหว่างคิ้วของศีรษะที่กลิ้งตกไปอยู่จุดอื่นก็มีเลือดสดหยดหนึ่งที่ค่อยๆ หลั่งมารวมตัวกัน
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองลู่ไถที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ ฝ่ายหลังเลิกคิ้วขึ้น ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาหมุนเบาๆ มีวัตถุน้อยสีทอง ‘เส้นหนึ่ง’ ล้อมวนอยู่รอบนิ้วของลู่ไถอย่างเชื่องช้า หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันสายตาดีมากก็คงไม่สังเกตเห็น
ชุดคลุมอาคมสีทอง ‘จินหลี่’ บนร่างของเฉินผิงอันที่เพิ่งจะ ‘เผยโฉมหน้าแท้จริง’ ตรงไหล่ที่ฉีกขาดเพราะแสงกระบี่ของอาจารย์กระบี่ได้ซ่อมแซมตัวเองจนไร้ความเสียหายนานแล้ว
วัตถุที่เซียนห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งทิ้งไว้ถูกเจียวเฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดเอาไปสวมใส่ตลอดทั้งปี ย่อมไม่ใช่ชุดคลุมอาคมธรรมดา ‘ป่าไผ่หมึก’ ชุดคลุมอาคมที่ข้ารับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดบนเกาะกุ้ยฮวาสวมใส่ก็ยังเป็นรองเสื้อจินหลี่ชิ้นนี้อยู่ไม่น้อย
มันเหมือนสาวงามที่ออกมาให้คนเห็นแค่แวบเดียวก็หลบเร้นไปซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลม อำพรางรูปโฉมที่งามเลิศล้ำของตัวเองเอาไว้ ดังนั้นเวลานี้เฉินผิงอันจึงเปลี่ยนกลับไปสวมชุดคลุมสีขาวอีกครั้ง
ยันต์บ่อแห้งสองแผ่นระเบิดโพล๊ะอยู่กลางอากาศ
ชูอีกับสืออู่กระบี่บินสองเล่มจึงหลุดพ้นจากพันธนาการมาได้
เฉินผิงอันสามารถสัมผัสได้ถึงความแค้นเคืองของชูอีอย่างชัดเจน นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะขนาดสืออู่ที่มีนิสัยอ่อนโยนว่าง่าย อารมณ์ที่ถ่ายทอดมาให้เขาจากจิตที่เชื่อมโยงกันก็ยังเต็มไปด้วยไฟโทสะ
เฉินผิงอันจึงได้แต่พูดในใจว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน ไม่แน่ว่าศัตรูอาจมีแผนอื่นไว้รอรับมือ”
กระบี่บินชูอีพุ่งไปพุ่งมาอยู่กลางอากาศอย่างกำเริบเสิบสาน พาให้เกิดรุ้งกระบี่สีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าที่ชวนให้คนมองอกสั่นขวัญผวา
กระบี่บินสืออู่สีเขียวไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด มันบินวนรอบตัวเฉินผิงอันอย่างเชื่องช้าด้วยความฉงนสนเท่ห์
แน่นอนว่าพวกมันคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ ของโลกใบนี้
แต่พวกมันกลับไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีความสัมพันธ์เหมือนกษัตริย์กับขุนนาง หรือนายกับบ่าว แต่เหมือนเฉินผิงอันพาเด็กน้อยที่เพิ่งรู้ประสาสองคน คนหนึ่งนิสัยเอาแต่ใจ อีกคนหนึ่งอ่อนโยนว่าง่ายออกมาเที่ยวก็เท่านั้น
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ไม่เลว
บรรยากาศในผืนป่าหนักอึ้งและแปลกประหลาด
มือกระบี่ชุดแดงที่เป็นดั่งเสาค้ำมหาสมุทรได้ตายไปแล้ว ตายอย่างรวดเร็วฉับไวไม่มีอืดอาด หากไม่เป็นเพราะจำแลงกายเป็นสายรุ้งพุ่งมาอย่างเหี้ยมหาญ หลังจากนั้นก็จ้วงกระบี่แทงไปที่หว่างคิ้วของฝ่ายตรงข้ามอย่างสง่างาม ทุกคนคงเข้าใจผิดคิดว่าไอ้หมอนี่คือนักต้มตุ๋นในยุทธภพที่สร้างชื่อเสียงหลอกลวงคนไปทั่วแล้ว
ดวงตาสีเงินของชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่อัญเชิญเทพเข้าสิงร่างเริ่มหม่นแสง จนกระทั่งกลับคืนมาเป็นปกติ
ก่อนหน้านี้คนผู้นี้มีพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงมากที่สุด โดดเด่นอย่างที่ใครก็มิอาจทัดเทียม แต่เวลานี้เขากลับหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริก ทำท่าอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ดูแล้วน่าสงสารยิ่ง
เขาชำเลืองตามองแส้สองชิ้นที่อยู่ห่างไปไกล แต่ความกล้าที่จะขยับออกจากที่ยังไม่มี ไหนเลยจะกล้าไปหยิบมันมา กลัวยิ่งนักว่านาทีถัดมาตัวเองจะถูกกระบี่บินแทงทะลุหัวใจ
สีหน้าของอาจารย์กระบี่วัยกลางคนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน ในใจเริ่มคิดจะถอยแล้ว
มือทั้งสองข้างของเขาห้อยตกแนบลำตัว แสงสว่างที่อัดเต็มชายแขนเสื้อก่อนหน้านี้ไม่เหลือภาพปรากฎการณ์พิเศษอีก
มีเพียงกระบี่เล่มเล็กเหมือนใบหลิ่วที่ใช้ปิ่นหยกแทนฝักกระบี่ซึ่งตอนนี้ลอยอยู่เหนือไหล่ของเขาเท่านั้นที่คล้ายสุนัขเฝ้าประตูผู้ซื่อสัตย์ คอยปกป้องเจ้านาย
การล้อมโจมตีครั้งนี้ที่เดิมทีนึกว่าไม่ต่างจากการเที่ยวเล่นชานเมืองในฤดูใบไม้ร่วงกลับกลายเป็นสภาพอเนจอนาถที่คนบาดเจ็บและล้มตายอย่างดาษดื่น
ส่วนคนหนุ่มต่างถิ่นสองคนนั้น คนหนึ่งพลังการต่อสู้ไม่ถดถอย อีกคนที่อยู่บนต้นไม้ก็ยิ่งไร้ร่องรอยบาดเจ็บเสียหาย
นาทีนี้ความหวาดกลัวที่มีต่อตระกูลเซียนบนภูเขาแผ่ขึ้นมาปกคลุมจิตใจของเหล่าผู้ฝึกตนอิสระที่พอจะสามารถเรียกลมเรียกฝนได้ตามใจชอบในถิ่นของตัวเองอีกครั้ง
อาจารย์คุมทัพหมดอาลัยตายอยาก ขาดอีกแค่นิดเดียวค่ายกลก็จะจัดวางได้สำเร็จ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกเจ้าปรมาจารย์กระบี่ที่สมควรโดนแทงพันครั้งคนนั้นทำลายจนสิ้น
ขโมยไก่ไม่สำเร็จต้องเสียข้าวสารอีกหนึ่งกำมือ ศิษย์ที่ภาคภูมิใจสองคนต้องมาตายคาที่ เด็กดวงซวยสองคนนั้นไม่ได้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ แต่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เรียกใช้ได้ดังใจต้องการทุกเรื่อง
อาจารย์คุมทัพควักไข่มุกวิเศษที่เก็บใส่ชายแขนเสื้อไปแล้วออกมาอีกครั้ง ทยอยจัดวางค่ายกล ค่ายกลเล็กๆ จึงรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกลใหญ่คุ้มกันกาย
ตั้งมั่นพร้อมรับมือกับศัตรู
ผู้ฝึกลมปราณที่ฝึกวิชาไม้ของห้าธาตุเงียบงันอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฝึกลมปราณที่ได้ทั้งรุกและรับอย่างเขา นอกจากสามารถย้ายภูเขาถอนต้นไม้แล้ว ยังสามารถเลี้ยงบุปผาและแมลง เลี้ยงภูตพืชหญ้าให้เป็นประหนึ่งกำลังเสริมในสนามรบ นอกจากนี้ก็ยังเชี่ยวชาญวิชาด้านการรักษาบาดแผลและถอนพิษ พวกเขามักจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่ไม่สามารถตัดสินสถานการณ์ในการต่อสู้ได้ แต่กลับเป็นที่ยอมรับของผู้คน
หากสามารถเลือกสหายร่วมเดินทางได้สามคน ถ้าเช่นนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุด อยู่ยงคงกระพันมากที่สุด ผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ฆ่าไม่ตาย บวกกับปรมาจารย์โอสถสำนักกสิกรรม ลูกศิษย์พรรคโอสถนอกของลัทธิเต๋า หรือผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ ก็เรียกได้ว่าเป็นการรวมกลุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการออกหาประสบการณ์ทั่วทิศ บุกตะลุยทั่วใต้หล้าอย่างที่แทบไม่มีอะไรมาทัดเทียมได้
ไม่มีใครเต็มใจเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อน
ต่างคนต่างก็มีความคิดต่างกันไป
เฉินผิงอันคว้าจับปลายกระบี่ยาวที่มือกระบี่ชุดแดงทิ้งไว้ ก้มหน้าลงมองสำรวจ
ตัวกระบี่เหมือนน้ำใสสะอาดที่พอแสงอาทิตย์ส่องลอดผ่านแมกไม้ลงไปก็เกิดเป็นประกายน้ำระยิบระยับ
ต้องเป็นกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่งอย่างแน่นอน
แค่ไม่รู้ว่ามีค่ามากเท่าไหร่
ผู้ฝึกตนลัทธิมารคือคนเดียวที่มีการกระทำที่ใจกล้ามากที่สุด เขาแอบเอื้อมมือไปด้านหลังอย่างลับๆ ล่อๆ กลางฝ่ามือประคองขวดกระเบื้องสีเงินใบหนึ่งที่สูงหนึ่งฉื่อ ปากแคบร่างใหญ่ พื้นผิวภายนอกของขวดกระเบื้องมีใบหน้าดุร้ายว่ายวนไปมา ราวกับนี่คือคุกกักขังวิญญาณที่ทารุณแห่งหนึ่ง
คนผู้นี้ท่องคาถาเงียบๆ หมายจะใช้อาวุธวิเศษที่อยู่ในมือแอบเก็บเอาดวงวิญญาณของมือกระบี่ที่ตายไปมาไว้ นี่คือโอกาสหายากที่พันปีกว่าจะได้พานพบ หากทำสำเร็จ พลังของตนจะเพิ่มพูนขึ้น ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหกขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ระดับความหนาข้นของดวงวิญญาณนั้น ขอแค่มานำมาหลอมเป็นทหารหยินแม่ทัพหยินตนหนึ่งได้สำเร็จ เลี้ยงบำรุงอย่างเหมาะสม จากนั้นก็นำไปปล่อยไว้ที่สุสานไร้ญาติหรือไม่ก็สมรภูมิรบโบราณ ปล่อยให้มันดูดซับปราณหยินที่อึมครึมเยือกเย็นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่แน่ว่าอาจสามารถกลับคืนสู่ขอบเขตหก หรือถึงขั้นมีหวังที่จะสร้างวิญญาณวีรบุรุษตนหนึ่งขึ้นมาได้
ถึงเวลานั้นตนยังจะต้องคอยมองสีหน้าของคนอื่นอีกหรือ?
เกรงว่าพวกจักรพรรดิของแคว้นเล็กๆ ต่างหากที่ต้องคอยมองสีหน้าของตน
ลู่ไถมองการกระทำเล็กๆ น้อยๆ ของผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นออกในทันที จึงคำรามอย่างเดือดดาล “กล้าขโมยของใต้เปลือกตาข้าเชียวรึ?!”
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มที่มีขนาดใหญ่มหึมาเกินจะเปรียบ แต่กลับมีชื่อว่า ‘เจินเจียน’ (ปลายเข็ม) มาปรากฎอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของผู้ฝึกตนลัทธิมารแล้วพุ่งดิ่งลงมา
ผู้ฝึกตนลัทธิมารรีบเผ่นหนีเป็นพัลวัน ขณะเดียวกันก็เก็บขวดกระเบื้องสีเงินที่เป็นสมบัติตกทอดจากตระกูลชิ้นนั้นลงไป จำต้องล้มเลิกความคิดที่จะเก็บดวงวิญญาณมา ใช้วัตถุหยินที่รวบรวมไว้ในหม้อดินเผาสีดำมาต้านทานการไล่ฆ่าที่น่ากลัวของกระบี่บินเล่มนั้น แต่ไม่ว่าผู้ฝึกตนลัทธิมารจะหลบเลี่ยงเบี่ยงหนีอย่างไร กระบี่บินเจินเจียนก็ยังคงตามติดเหมือนดั่งเงา
การล้อมโจมตีในครั้งนี้ ถ้าหากนับรวมหม่าว่านฝ่าที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง และถ้าหากค่ายกลของอาจารย์คุมทัพถูกจัดวางได้สำเร็จ รวมไปถึงถ้าหากมือกระบี่ชุดแดงไม่ได้ตายคาที่ เมื่อมวลชนสมัครสมานสามัคคีย่อมแข็งแกร่งดุจกำแพงเมือง ถ้าอย่างนั้นการรับมือกับผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองย่อมเหลือเฟือ ถ้าหากทุกคนไม่กลัวตาย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองสองคน มาเจอกับพวกเขาก็ไม่มีทางได้เปรียบแม้แต่น้อย
เพียงแต่บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหากมากมายขนาดนั้น
ถอยไปพูดหนึ่งก้าว คนกลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันด้วยผลประโยชน์ เมื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ละคนย่อมดุดันเหมือนพยัคฆ์ แต่หากเสียเปรียบเมื่อไหร่ จิตใจคนก็แตกซ่าน กลายเป็นพวกหัวมังกุท้ายมังกร
ชายฉกรรจ์ที่เป็นม้าตีนปลายแล้วพลันมีสีหน้าตกตะลึงระคนยินดี รีบตะโกนเสียงดังว่า “นายท่านบ้านข้าบอกแล้วว่าอีกไม่นานเขาจะมาถึง จะรับมือกับสองคนนี้ด้วยตัวเอง! ทุกท่าน นอกจาก ‘ชือซิน’ (จิตที่หลงใหล) ซึ่งเป็นกระบี่พกประจำกายของโต้วจื่อจือแล้ว วัตถุฟางชุ่นชิ้นที่เดิมทีรับปากว่าจะมอบให้โต้วจื่อจือ บวกกับทรัพย์สมบัติส่วนตัวของโต้วจื่อจือ ล้วนจะนำมามอบให้เป็นส่วนแบ่งทุกท่าน!”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแผดเสียงด้วยความตื่นเต้นถึงขีดสุด “แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางอันตราย จะกลับไปเป็นหนูที่ขุดรูอยู่ หรือจะกลับไปเป็นคนที่มีคุณสมบัติได้นั่งทัดเทียมกับคนบนภูเขา ก็อยู่ที่การตัดสินใจในครั้งนี้แล้ว!”
อาจารย์กระบี่วัยกลางคนสีหน้าเย็นชา แผ่ปราณสังหารท่วมท้น พูดเสียงหนักว่า “ข้าเห็นด้วย เจ้าเด็กสองคนนี้สมควรตาย!”
จากนั้นเขาก็บิดข้อมือหนึ่งครั้ง แสงสีเขียวปรากฏขึ้นในชายแขนเสื้อ ตั้งท่าพร้อมรับมือ
อาจารย์คุมทัพยิ้มบางๆ “ค่ายกลย้ายภูเขาใกล้จะสำเร็จแล้ว สามารถต่อสู้ได้ แค่ช่วยถ่วงเวลาให้ข้าสักพักหนึ่ง อย่างมากสุดคือครึ่งก้านธูป!”
นักพรตลัทธิมารที่ถูกกระบี่บินไล่ฆ่าจนหัวหูยุ่งเหยิง หน้าตามอมแมมตะโกนขึ้นว่า “รวมข้าไปด้วยอีกคน! ตกลงกันก่อนว่า นอกจากแบ่งผลกำไรกันใหม่แล้ว ข้าผู้อาวุโสยังต้องการวิญญาณของตาเฒ่าโต้วด้วย ใครก็อย่าคิดจะมาแย่งกับข้า!”
ผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่ได้เอื้อนเอ่ยคำใด
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ยื่นมือไปกระชากแส้เหล็กสองเส้นมาไว้ในมือ แล้วเดินอาดๆ เข้าหาเฉินผิงอันก่อนใคร
ก่อนหน้านี้นายท่านของเขาส่งข้อความเสียงอย่างลับๆ มาบอกว่าจะเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเอง ต้องสังหารแพะอ้วนสองตัวนี้ให้จงได้
จากนั้นแทบจะเวลาเดียวกัน อาจารย์กระบี่วัยกลางคนก็โบกชายแขนเสื้อ แล้วหมุนตัวเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
อาจารย์คุมทัพใช้ยันต์ย่อพื้นที่ แถมยังไม่ใช่แค่แผ่นเดียว ทุกครั้งร่างของเขาจะไปปรากฏตัวอยู่ไกลสิบกว่าจั้ง กะพริบตาไม่กี่ครั้งร่างก็ผลุบหายเข้าไปในผืนป่า แล้วก็ไม่เห็นแม้เงา
ผู้ฝึกลมปราณวิชาไม้ดีดปลายเท้าเอนตัวไปด้านหลัง ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าร่างของเขาชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แต่จู่ๆ กลับหายวับไป
มีเพียงผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นที่ยังวิ่งเข้าหาเฉินผิงอัน
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำอึ้งงันอยู่กับที่ สบถว่ามารดามันเถอะหนึ่งคำ แล้วก็ไม่กล้าขยับเดินหน้าพาตัวไปตายอีก
ความสามารถเล็กน้อยของตนจะเพียงพอได้อย่างไร
ที่เขาทำเช่นนี้ก็แค่โยนอิฐล่อให้หยกออกมาเท่านั้น (อุปมาว่าใช้ความคิดเห็นที่ตื้นๆ เพื่อล่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมออกมา)
บทที่ 291.2 กลบฝังลงดินอย่างสงบ
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปก่อน แต่แล้วก็โล่งใจ นี่ต่างหากถึงจะสมเหตุสมผล
และตนก็ได้เรียนรู้เพิ่มมากขึ้นอีกนิด
ลู่ไถสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เอ่ยกับเฉินผิงอันว่า “ผู้บงการคนนั้นเพิ่งจะหนีไป ข้าจะไล่ตามเขาไป ทางฝั่งนี้เจ้าน่าจะรับมือได้ อีกเดี๋ยวข้าก็กลับมา”
ลู่ไถเก็บกระบี่บินเจินเจียนที่รูปร่างไม่สมชื่อเล่มนั้นลงไปก่อน
ตรงข้อมือทั้งสองและข้อเท้าทั้งสองของเขาต่างก็มีภาพดอกบัวตูมสีม่วงทองรอเบ่งบานปรากฎขึ้น
ลู่ไถเอ่ยเสียงเบา “ดอกไม้ผลิบาน”
ดอกบัวสีม่วงทองสี่ดอกที่มีชีวิตชีวาเสมือนจริงพลันเบ่งบานทันใด
ลู่ไถกัดฟัน กระโดดขึ้นสูง จากนั้นก็ทะยานลมจากไปไกล
ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้า หรี่ตามองไปทิศไกล ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่พองโป่ง สะบัดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ เส้นผมตรงจอนหูปลิวไสวยุ่งเหยิง
เขาเหลียวซ้ายแลขวา จากนั้นก็เล็งไปยังตำแหน่งหนึ่งแล้วพุ่งตัวไป
ผู้ฝึกตนลัทธิมารกลืนน้ำลายลงคอ มือหนึ่งถือหม้อดินเผาที่บรรจุวิญญาณร้ายไว้จนเต็ม อีกมือหนึ่งกลับทำมือเป็นท่าคารวะของหลวงจีน ยิ้มประจบพูดว่า “คุณชายเซียนกระบี่ท่านนี้ ครั้งนี้เป็นข้าที่ล่วงเกินท่าน เสียมารยาทแล้วๆ คราวหน้าที่พบเจอกันข้าจะต้องเป็นฝ่ายหลบลี้หนีห่างให้ไกลแน่นอน หากถึงเวลานั้นคุณชายมีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อะไรจะมอบหมายให้กับข้าน้อย ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธแน่”
ระหว่างที่พูดผู้ฝึกตนลัทธิมารก็คอยสังเกตสีหน้าและท่าทางของเด็กหนุ่มชุดขาวอยู่ตลอดเวลา ร่างถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้ก็เป็นคนที่เด็ดขาดมากเหมือนกัน ก่อนจะเผ่นหนีไปจึงบีบหม้อดินเผาสีดำที่เลี้ยงวิญญาณใบนั้นให้แหลกละเอียด ควันดำพลันแผ่ตลบอบอวล
จิ้งจกหางขาด (กล่าวถึงจิ้งจกเวลาที่เจอศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าจะกัดหางตัวเองให้ขาดแล้วหนีไป หางที่ขาดยังขยับได้อยู่ จึงเป็นการดึงดูดความสนใจของศัตรู ส่วนมันก็ฉวยโอกาสนี้หนีเอาตัวรอด)
แสงสีทองเล็กบางเส้นหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ท่ามกลางควันดำที่กลิ้งหลุนๆ สามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าควันที่มืดทะมึนดุจน้ำหมึกเหนียวข้นสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
แต่กว่าที่ควันสกปรกเหล่านี้จะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิงได้นั้นยังต้องใช้เวลาอีกครู่หนึ่ง
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว เดินไปข้างหน้าหลายก้าว ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนยอดบนสุดของต้นไม้ใหญ่
เรือนกายของคนผู้หนึ่งพลันกลายเป็นควันสีเทาบางเบาเผ่นหนีไปไกลในผืนป่าอย่างรวดเร็ว
ชูอีไล่ตามไปด้วยตัวเองก่อนแล้ว
จิตของเฉินผิงอันเคลื่อนไหวเล็กน้อย สืออู่จึงไล่ตามไปติดๆ
เฉินผิงอันพลิ้วกายกลับลงมาบนพื้น ก่อนจะสัมผัสกับพื้นดิน เขาพลิกหมุนข้อมืออยู่กลางอากาศ สลับด้านถือกระบี่ตระกูลเซียนของโต้วจื่อจือมือกระบี่ชุดแดงด้วยท่าจับกระบี่ปกติ
แม้ว่ามันจะหนักกกว่ากระบี่ไม้ไหวไม่น้อย แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าเบาเกินไป
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ลู่ไถหายตัวไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก้มหน้าลงมองแส้เหล็กในมือแล้วยิ้มขื่น
ในใจรู้ดีว่าวันนี้ต้องตายอย่างแน่นอน
ความอาฆาต ผิดหวัง เจ็บแค้นล้วนมีครบหมด พวกมันทยอยกันลอยขึ้นมาในใจ ก่อนจะทยอยกันเจือจางหายไป
ชาตินี้มีชีวิตอย่างอัดอั้นน่าสมเพช แต่ตอนจะตายได้ตายอย่างผู้กล้ากับเขาสักครั้ง
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำขว้างแส้เหล็กลงบนพื้นอย่างแรง เริ่มอัญเชิญเทพลงมาเป็นครั้งที่สาม ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าหนักๆ มือทั้งคู่ประกบเข้าหากัน ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ใบหน้าซีดขาว หัวเราะเสียงดังอย่างสาสมใจ “กล้ารออีกสักครู่ ให้ข้ารบอย่างเต็มคราบอีกสักครั้งหรือไม่?!”
เฉินผิงอันขว้างกระบี่ ‘ชือซิน’ เล่มนั้นออกไป
มันแทงทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ร่างกำยำไปโดยตรง
กระบี่ยาวปักตรึงอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
หลังจากทะลุผ่านหัวใจของชายฉกรรจ์ได้สำเร็จ เฉินผิงอันก็เห็นได้ชัดเจนว่าตัวของกระบี่มีแสงสีแดงเปล่งวาบผ่านไป ประหนึ่งคนหิวโหยได้กินอาหารอิ่มหนึ่งมื้อ เสมือนผีขี้เหล้าที่ได้กินดื่มอย่างเต็มคราบ
เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าจะหาท่าเรือตระกูลเซียนหรือไม่ก็ร้านค้าเทพเซียนบนภูเขาร้านหนึ่งแล้วขายกระบี่เล่มนี้ออกไป
แสงสีทองพร่างพราวเส้นนั้นยังคงสลายควันดำอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย
ไม่เสียแรงที่เป็นสมบัติอาคมชั้นยอดที่สร้างมาจากหนวดยาวของเจียวเฒ่า
แค่หนวดสองเส้นก็มีพลานุภาพยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้จริงๆ ว่าแส้ปัดฝุ่นของเจียวหลงเจินจวินที่อยู่บนภูเขาห้อยหัวควรจะมีอานุภาพไร้เทียมทานสักแค่ไหน
เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง ลังเลอยู่ชั่วขณะก็เก็บกระบี่ยาวกลับมา หยิบกิ่งไม้ที่ใหญ่เท่าแขนขึ้นมาหนึ่งกิ่ง ใช้กระบี่เหลามันให้แหลม จากนั้นก็เริ่มขุดหลุมใหญ่หลายหลุมอย่างเงียบเชียบ นำศพของมือกระบี่ชุดแดง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพฝังลงดิน สุดท้ายเอาดินกลบหลุม พยายามปกปิดร่องรอยให้แนบเนียนมากที่สุด คนที่เดินทางผ่านมาทางนี้จะได้ไม่พบเบาะแสอย่างง่ายดาย
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง รอคอยให้ชูอี สืออู่และลู่ไถกลับมาอย่างอดทน
วางฝักกระบี่ ‘ชือซิน’ ที่เพิ่มขึ้นมาเล่มนั้นพาดขวางไว้บนหัวเข่า
ห่างออกไปไกล ควันดำวิญญาณหยินโรมรันอยู่กับแสงสีทองอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องถอยร่นไม่ขาดระยะ เพราะถึงแม้จะสูญเสียสติปัญญาไปนานแล้ว แต่สัญชาติญาณรักตัวกลัวตายนั้น ต่อให้เป็นวัตถุหยินที่ตายไปแล้วก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทันใดนั้นก็มีควันดำที่ซัดตลบกลุ่มใหญ่เตรียมจะหนีเข้าไปในป่าลึก
เฉินผิงอันพลันนึกขึ้นมาได้ว่าห่างไปไกลยังมีคฤหาสน์อยู่อีกหลังหนึ่ง
หากเป็นคนในยุทธภพที่ไม่คุ้นเคยกับเวทคาถา เกรงว่าคงปล่อยให้คนอื่นโดนร่างแหเดือดร้อนไปด้วยนานแล้ว
เฉินผิงอันถือกระบี่ลุกขึ้นยืน เขากวาดตามองไปรอบๆ ก่อน หลังจากแน่ใจว่าไม่มีความผิดปกติแล้วถึงได้กรอกจิตและปณิธานลงไปในเสื้อคลุมอาคมจินหลี่ พริบตาเดียวกายธรรมมายาสูงจิบกว่าจั้งที่โฉมหน้าพร่าเลือน แต่ส่องแสงสีทองอร่ามจับตาก็ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน มายืนขวางอยู่เบื้องหน้าควันดำกลุ่มนั้นพอดี สะบัดแขนเสื้อกว้างใหญ่หนึ่งครั้ง วิญญาณหยินพวกนั้นก็ถูกหอบเข้ามาในชายแขนเสื้อ วิญญาณหยินเหมือนเข้าไปในบ่อสายฟ้า ส่งเสียงซี่ๆ เพียงไม่นานก็ระเหยเป็นไอลอยหายไป
เฉินผิงอันกลับไปนั่งที่เดิม สีหน้าซีดขาว ปวดหัวราวศีรษะจะระเบิดแตก
ครั้งนี้เผยอานุภาพของชุดคลุมอาคมจินหลี่อย่างไม่กักเก็บพลังเอาไว้ เผาผลาญลมปราณที่แท้จริงของเขาไปหนึ่งเฮือกเต็มๆ อีกทั้งยังมีวี่แววว่ายากจะยืนหยัดได้ต่อด้วย
หากต่อสู้อยู่กับคนอื่น ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็ไม่ควรใช้วิธีนี้ง่ายๆ โดยเด็ดขาด เพราะถ้าอีกฝ่ายมีความสามารถในการปกป้องชีวิตที่เหนือความคาดฝัน นั่นก็เท่ากับว่าเฉินผิงอันใช้สองมือประคองศีรษะของตัวเองส่งไปให้อีกฝ่าย
แต่บอกตามตรง ความรู้สึกที่จิตวิญญาณล่องลอยออกไปจากร่างนั้นช่างมหัศจรรย์จริงๆ
อยู่ที่สูงหลุบตามองต่ำมายังภูเขาและแม่น้ำ
เฉินผิงอันยื่นนิ้วออกมาลูบชุดคลุมอาคมสีทองเบาๆ เนื้อสัมผัสนิ่มละเอียดเย็นฉ่ำ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารครั้งใหญ่ที่ต้องอกสั่นขวัญหายอยู่ตลอดเวลา แทบจะเผาผลาญพลังใจจนหมดสิ้น ตอนนี้เฉินผิงอันจึงรู้สึกง่วงเล็กน้อย เขาเอนหลังพิงลำต้นไม้ใหญ่ เริ่มหลับตาทำสมาธิ
ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ลมหายใจกลับมาราบรื่นได้อีกครั้ง
บนข้อมือของเฉินผิงอันมีเชือกสีทองเส้นหนึ่งที่หลอมมาจากเชือกพันธนาการปีศาจผูกไว้
เพียงไม่นานก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าและสีเขียวสดปลั่งบินพรวดกลับมา รวดเร็วราวสายฟ้าแลบ แม้ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มจะเล็กบางอย่างถึงที่สุด แต่ริ้วแสงสองเส้นยาวสิบกว่าจั้งที่ถูกลากมาตามหลังพวกมันกลับสะดุดตาอย่างยิ่ง แล้วแสงทั้งสองก็พากันผลุบหายเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
สัมผัสถึงความรู้สึกของพวกมันที่ส่งผ่านมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
น่าจะสังหารศัตรูได้อย่างราบรื่น
เฉินผิงอันจึงวางใจลงได้
นี่เป็นครั้งแรกที่ชูอีกับสืออู่ออกห่างจากเฉินผิงอันไปไกลขนาดนี้
แต่นี่ก็ทำให้เขาได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง นั่นคือความสามารถในการเข่นฆ่าศัตรูของผู้ฝึกตนอิสระอาจจะเทียบกับลูกศิษย์ตระกูลเซียนบนภูเขาไม่ได้เสมอไป แต่เรื่องการเผ่นหนีเอาชีวิตรอดนั้นกลับเชี่ยวชาญกันทุกคน
ตนก็เป็นแบบนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?
ในเมื่อไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ เฉินผิงอันจึงเริ่มนั่งฝึกท่าเจี้ยนหลู
สะพายกระบี่คือการฝึกตน สวมใส่อาภรณ์ก็คือการฝึกตน
ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เคยติดตามเซียนท่านหนึ่งนานร้อยปีหรืออาจถึงพันปี สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้วคือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่สามารถรวบรวมปราณวิญญาณได้
แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่งแล้ว จินหลี่ย่อมเป็นยันต์คุ้มกันกายที่หาได้ยากยิ่ง แต่ก็มีความยุ่งยากเล็กๆ นั่นคือจำเป็นต้องคอยต้านทานปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้าหาจินหลี่อย่างต่อเนื่อง อย่างไรซะผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวก็ต้องสลายปราณวิญญาณทั้งหมดในช่องโพรงลมปราณตั้งแต่แรกอย่างเด็ดเดี่ยว ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว ถึงจะถือว่าเดินขึ้นไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธ์อย่างแท้จริง
อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เนื่องจากปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้น การต้านทานจึงเป็นไปอย่างยากลำบาก ออกจากปลาวาฬกลืนสมบัติ เดินทางอยู่ในป่าเขาจึงผ่อนคลายขึ้นเยอะมาก เพราะถึงอย่างไรป่าเขาทั่วไปก็มีปราณวิญญาณเบาบางซึ่งสามารถมองข้ามไปได้
เฉินผิงอันรอมาเกือบหนึ่งชั่วยาม ลู่ไถที่เดินอาดๆ อยู่บนทางภูเขาถึงได้รีบเร่งรุดกลับมาหาเฉินผิงอัน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นมอมแมม ยังดีที่ไม่มีรอยเลือด
อีกอย่างดูจากท่าทางแล้วเหมือนคนที่ได้ผลเก็บเกี่ยวกลับมาเต็มไม้เต็มมือ
เขาเดินมาทางต้นไม้ใหญ่ที่เฉินผิงอันอยู่พลางเก็บธงค่ายกลมากมายที่อาจารย์คุมทัพจัดวางไว้รอบด้านเข้าชายแขนเสื้อไปด้วย ลู่ไถเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้านี่มีจิตใจดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ ทำไมไม่ปล่อยให้ศพพวกนั้นตากแดดแห้งเหี่ยว ปล่อยให้สัตว์ป่ากัดแทะ นกกาจิกกินไปเล่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดจบที่พวกเขาสมควรได้รับ เจ้าจะสงสารคนพวกนี้ไปทำไม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้สงสารพวกเขา ข้าแค่สนใจเรื่องที่ว่า ‘คนตายสำคัญกว่า ฝังกลบลงดินเพื่อความสงบ’ เท่านั้น”
ลู่ไถส่ายหน้า คร้านจะคิดให้มากความ แต่แล้วจู่ๆ ก็หมุนตัวกลับวิ่งไปยัง ‘หลุมฝังศพ’ ที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นมากที่สุด ถามตำแหน่งหลุมศพของคนเหล่านั้นคร่าวๆ จากนั้นลู่ไถก็สาบถสาบานว่า อีกเดี๋ยวจะเติมดินกลับให้ดีดังเดิม ไม่รอให้เฉินผิงอันตอบรับ ลู่ไถก็ฟาดฝ่ามือลงไปหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงคละคลุ้ง แล้วเขาก็วิ่งเข้าไปเริ่มทำการพลิกค้นศพ แม้แต่ลูกศิษย์สองคนของอาจารย์คุมทัพเขาก็ไม่ละเว้น ยากจะจินตนาการได้ว่าคนที่ชอบผัดแป้งแต่งหน้าอย่างเจ้าหมอนี่จะขุดหลุมศพได้คล่องแคล่วถึงเพียงนี้ แถมยังไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย
เลี่ยงไม่ได้ที่บนร่างของลู่ไถจะเปรอะเปื้อนเลือดและคราบดิน เพียงแต่ว่าพอสมบัติอาคมที่เป็นเชือกห้าสีเส้นนั้นล้อมพันข้อมือ แค่ไม่นานทั่วร่างของเขาก็ถูกจัดการเสียจนสะอาดเอี่ยม สมบัติอาคมของตระกูลเซียนมีความมหัศจรรย์มากมายจนน่าเหลือเชื่ออย่างนี้เอง
ลู่ไถที่อยู่ตรงนั้นบ่นพึมพำกับตัวเอง “จะดีจะชั่วก็เป็นถึงปรมาจารย์ท่านหนึ่งในยุทธภพ แต่เจ้ามันเป็นผีอนาถาจริงๆ! ดูสิเนี่ย ในวัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่ามีแต่ภูเขาเงินภูเขาทอง หันกลับมามองเจ้า เจ้าควรอับอายจนกลับมามีชีวิตแล้วก็ตายซ้ำอีกครั้งซะจริง”
“เฮ้อ ข้าก็ไม่ได้อยากตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เมื่อเทียบกับเจ้านายของเจ้าแล้ว ทรัพย์สมบัติแค่นี้บนร่างเจ้ามันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน มีเพียงตั๋วเงินปึกนี้ที่พอจะคลี่คลายสถานการณ์เร่งด่วนของพวกเราได้บ้าง เพราะถ้าซื้อของด้านล่างภูเขาแล้วมอบเงินเกล็ดหิมะให้พวกเขา เจ้าของร้านต้องลงไม้ลงมือตีคนแน่…”
“ยวนยางโชคร้ายอย่างพวกเจ้าสองคน ชาติหน้าไปเกิดใหม่ก็จงจำไว้ว่าหาอาจารย์ที่ดีหน่อย ต่อให้ความสามารถจะด้อยไปบ้างก็อย่าได้หาอาจารย์แบบนี้อีกเลย”
เฉินผิงอันไม่ได้รบกวนลู่ไถที่ง่วนอยู่กับงานตรงหน้า
เพียงแค่มองแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง
สุดท้ายลู่ไถเติมดินกลับเข้าไปอีกครั้ง ปัดมือ มองพื้นดินที่ราบเรียบด้วยความรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
“คนบงการเบื้องหลังผู้นี้ซี้แหงแก๋ไปแล้ว ทุกอย่างล้วนราบรื่นเป็นมงคล!”
ลู่ไถเดินกลับมายังใต้ต้นไม้ที่เฉินผิงอันอยู่ ให้ตายก็ไม่ยอมขึ้นไป เขาเงยหน้ากวักมือเรียก “ได้เวลาแบ่งสมบัติแล้ว!”
บทที่ 292.1 บนภูเขาล่างภูเขา
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกี่ยวกับมรสุมครั้งนี้ ก่อนหน้านั้นเจ้าเคยทำนายและรู้คำตอบมาก่อนล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?”
ลู่ไถยกมือขึ้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็ลูบไปที่เส้นผมข้างหู ดวงตามีประกายน้ำเปล่งวิบวับ ทำมือชดช้อย พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าทำนายดวงอยู่ทุกวัน นี่คือการบ้านที่ลูกศิษย์สำนักหยินหยางต้องทำเป็นประจำ ไม่อย่างนั้นคราวนี้ก็คงบอกให้เจ้าเผ่นหนีไปก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ไม่อาจบอกเจ้าได้ บอกแล้วจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”
เฉินผิงอันใช้สายตามองประเมินลู่ไถ “คราวหน้าอย่าให้เกิดขึ้นอีก”
ลู่ไถเบ้ปาก กล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “คล้อยไปตามสถานการณ์ มีอะไรที่ไม่ดี ผลประโยชน์มาอยู่ตรงหน้าไม่คว้าไว้ คงต้องถูกฟ้าผ่า”
กล่าวมาถึงตรงนี้ลู่ไถก็บิดข้อมือ แผ่นหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ “วัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่า สมบัติของเขาล้วนอยู่ในนี้แล้ว เมื่อเทียบกับโต้วจื่อจือที่ฝึกวรยุทธ์ หม่าว่านฝ่าถือว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่เลว เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณประตูมังกรคนหนึ่งกลับได้ครอบครองวัตถุฟางชุ่น แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของคนผู้นี้อยู่ตรงไหน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ลู่ไถหัวเราะหึหึ “หม่าว่านฝ่าคือคนเลี้ยงไหมที่หาได้ยาก เชี่ยวชาญการสาวเส้นไหม ดังนั้นถึงปรารถนาอยากได้ตัวพวกเราสองคนขนาดนี้ไงล่ะ การที่เขาหาพรรคพวกกลุ่มใหญ่มาล้อมโจมตีพวกเราก็เพราะหม่าว่านฝ่ามั่นใจว่าเมื่อพวกเราตายไปแล้วจะสามารถเอาวัตถุฟางชุ่นของพวกเราออกมาได้ คาดว่าหม่าว่านฝ่าคงคิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนจะเป็น ‘เซียนกระบี่’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของข้าไม่ต้องคิดให้มากความ แต่กระบี่สองเล่มของเจ้ากลับบอกได้ยาก หากถูกคนแย่งเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไปได้…”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่ต่อคำ
สำหรับการหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตและสมบัติอาคมอาวุธวิเศษให้เป็นภาพมายา เนื่องจากเคยหลอมชุดคลุมอาคมจินหลี่และเชือกพันธนาการปีศาจที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันจึงพอจะเข้าใจคร่าวๆ วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็เหมือนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ คนตายก็หายสาบสูญ แม้แต่เทพเซียนก็ยากจะรั้งไว้ได้อยู่
แต่วัตถุทั่วไปที่ถูกหล่อหลอม แม้ว่าจะถูกซ่อนไว้ในช่องโพรงลมปราณอย่างเป็นความลับ แต่เมื่อคนตายไปก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไปล่องลอยอยู่ในจิตวิญญาณ ไม่สลายหายไปได้เร็วขนาดนั้น
หากเป็นวัตถุที่มีระดับขั้นสูงมาก ต่อให้จิตวิญญาณของร่างที่สิงสู่แตกสลายก็มีความเป็นไปได้ว่าจะ ‘กระโดดออกมา’ กลับสู่โลกมนุษย์ บนโลกมีพื้นที่ลับมากมายที่เกิดจากถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลปริแตก หลังจากที่จวนตระกูลเซียนถูกคลายผนึกพันธนาการ เหตุใดบริเวณใกล้เคียงกับศพของเซียนที่ตายในสนามรบมักจะมีสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมถูกทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ ก็คือเหตุผลข้อนี้
สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว วัตถุชะตาแห่งชีวิตถูกกำหนดมาแล้วว่ามีน้อยมาก แต่วัตถุที่ถูกหล่อหลอมกลับมีจำนวนมากกว่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังน้อยจนนับนิ้วได้
ยิ่งเป็นวัตถุวิเศษและสมบัติอาคมที่ระดับขั้นยิ่งสูงก็ยิ่งหล่อหลอมได้ยากมากเท่านั้น วัตถุดิบวิเศษ เวลาและกำลังที่ต้องเผาผลาญไป มากพอจะทำให้ผู้ฝึกลมปราณส่วนใหญ่ที่ระดับขั้นต่ำกว่าเซียนดินยอมแพ้
และอย่างกระบี่เซียนของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ต่อให้คนที่ถือกระบี่คือเทียนซือใหญ่ที่มีมรรคกถาเลิศล้ำค้ำฟ้าก็ยังยากที่จะหลอมมันให้กลายมาเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้
กระบี่เซียนของเต๋าเหล่าเอ้อร์ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เก้าทวีปมีเซียนกระบี่จำนวนมาก แน่นอนว่ากระบี่เซียนก็ต้องมากตามไปด้วย แต่กระบี่เซียนที่ตรงตามความหมายแท้จริง ต่อให้เอาหลายใต้หล้ามารวมกัน อันที่จริงก็ยังมีแค่สี่เล่มเท่านั้น
แค่สี่เล่มเท่านั้น
เป็นอย่างนี้มานานนับหมื่นปีแล้ว
ดังนั้นหร่วนฉงแห่งศาลลมหิมะถึงได้สาบานว่าจะต้องหลอมกระบี่เซียนเล่มใหม่เอี่ยมที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีปรากฏอีกในอนาคต
หากคนในปัจจุบันไม่มีอะไรสู้คนในสมัยก่อนได้เลยก็คงน่าเบื่อไร้รสชาติ
ส่วนเรื่องที่ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักการทหารถูกขนานนามให้เป็นคลังยุทโธปกรณ์ที่เดินได้
ก็เพราะว่าพวกเขาสามารถหล่อหลอมสมบัติอาคมไว้ติดกายได้มากกว่า
ลองจินตนาการดู ผู้ฝึกตนสำนักการทหารมีเวทลับที่ทำให้คนเหมือนมีสามเศียรหกกรคอยช่วยเหลือ ในมือถืออาวุธเทพหลายชิ้น บนร่างห่มเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชั้นเยี่ยมหนึ่งตัว บวกกับร่างกายที่ถูกหล่อหลอมมาให้แข็งแกร่ง ใครยังจะกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขา?
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารมีชื่อเสียงว่าฆ่าไม่ตาย แต่ยิ่งเลื่องลือด้านฆ่าคนอื่นให้ตายอย่างง่ายดายมากกว่า
ลู่ไถอารมณ์ดีอย่างถึงที่สุด ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังว่าอะไรคือคนเลี้ยงไหม “วัตถุฟางชุ่นค่อนข้างพิเศษ เพราะไม่ค่อยเหมือนกับวัตถุแห่งชะตาชีวิตและวัตถุที่ถูกหล่อหลอม ไม่เหมือนกับอาวุธอาคมหรือกระบี่บิน พวกมันคล้ายคลึงกับถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ไม่สามารถทำลายได้ในทันทีทันใด อีกทั้งยังยากมากที่จะหลอมวัตถุฟางชุ่นให้เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต ดังนั้นทำอย่างไรถึงจะดึงวัตถุฟางชุ่นออกมาจากร่างของผู้ฝึกลมปราณจึงกลายเป็นความรู้ใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะหากทำได้สำเร็จก็ถือเป็นการค้าที่ได้กำไรมหาศาลอย่างที่เรียกว่าสามปีไม่เปิดกิจการ เปิดกิจการทีกินได้นานสามปี คนบนภูเขามีคนประเภทหนึ่งที่ถูกเรียกว่าคนเลี้ยงไหมโดยเฉพาะ พวกเขาจะมีวิธีลับที่ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลหรือไม่ก็สืบทอดจากอาจารย์ สามารถดึงเอาวัตถุฟางชุ่นออกมาจากวิญญาณของผู้ฝึกลมปราณได้”
ลู่ไถจุ๊ปากพูด “หากหม่าว่านฝ่าสังหารพวกเราได้สำเร็จก็คงรวยเป็นเศรษฐี น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเจ้าบวกกับวัตถุฟางชุ่นของข้า ไม่แน่ว่าแค่เขาทุ่มเงินก็อาจกลายเป็นเทพเซียนพสุธาได้เลย”
จู่ๆ ลู่ไถก็หรี่ตาลง ยิ้มถามว่า “เจ้าจะไม่ถามหน่อยหรือว่าข้าสังหารผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรอย่างไร?”
เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ชูอีกับสืออู่พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ลอยประกบซ้ายขวาคุ้มกันเฉินผิงอัน
ลู่ไถถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่มือด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ข้อมือของลู่ไถไม่มีเชือกห้าสีพันอยู่
อีกอย่างถึงแม้ลู่ไถที่อยู่ตรงหน้าจะจงใจทำท่ามีจริตจะก้านเหมือนสตรี แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนก่อนหน้านี้
บวกกับการที่ลู่ไถจงใจเปิดเผยตัวตนคนเลี้ยงไหมของหม่าว่านฝ่าซึ่งเหมือนต้องการบอกว่าที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง (เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงการกระทำที่อยากปกปิดความจริง แต่กลับเป็นการเปิดเผยเสียมากกว่า)
เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันถามเรื่องทำนายดวง ลู่ไถกลับตอบได้อย่างไม่มีพิรุธ นี่ถึงเป็นจุดที่น่าแปลกใจ หรือว่าหม่าว่านฝ่าก็เป็นผู้ฝึกตนลัทธิมารที่ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญเวทอำพรางตา แต่ยังเชี่ยวชาญการกักวิญญาณเหมือนกัน?
สีหน้าของลู่ไถเยียบเย็นก่อน จากนั้นก็กลั้นยิ้ม สุดท้ายอดไม่ไหวกุมท้องหัวเราะก๊าก ชี้หน้าเฉินผิงอัน “หากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น ข้าแสร้งออกอุบายเช่นนี้ ทั้งเก็บเชือกห้าสี ทั้งแสร้งทำสีหน้าท่าทางผิดปกติ แถมยังปล่อยปราณสังหารออกมาเล็กน้อย ก็คงไม่ต่างจากการชม้อยชม้ายชายตาให้คนตาบอดดู แต่เมื่อใช้กับเจ้าเฉินผิงอันกลับพอเหมาะพอดี เอาล่ะๆ บาดแผลตรงหัวใจที่โดนกระบี่ของโต้วจื่อจือแทง เจ้าก็รีบกระอักเลือดออกมาซะ ไม่อย่างนั้นจะทิ้งต้นตอโรคร้ายไว้เบื้องหลัง”
ลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันยังไม่ยอมเชื่อทั้งหมดก็หัวเราะจนน้ำตาแทบเล็ด เอ่ยเบาๆ ว่า “เจินเจียน ม่ายกวาง ออกมา”
กระบี่ใหญ่ยักษ์เล่มหนึ่งหยุดลอยอยู่กลางอากาศ และยังมี ‘รัศมีแสงปลายรวงข้าว’ สีทองอร่ามอีกเส้นหนึ่งด้วย
เฉินผิงอันโล่งอก หลังจากแน่ใจในตัวตนของลู่ไถแล้วถึงได้รีบหันไปถ่มเลือดหนึ่งคำลงบนพื้น ก่อนจะหันมามองอีกฝ่ายด้วยสายตาขุ่นเคือง “ลู่ไถ!”
ลู่ไถดีดนิ้วหนึ่งครั้ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่างเจินเจียน ม่ายกวางถึงกลับเข้าไปพักในช่องโพรงลมปราณอีกครั้ง
ในมือของลู่ไถก็มีพัดไม้ไผ่ด้ามนั้นปรากฏขึ้นมา เขาพัดโบกเอาลมเย็นใส่ตัว หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ใครใช้ให้เจ้าปล่อยพวกปลาและ…”
เฉินผิงอันโมโหจนอยากจะถีบอีกฝ่าย
แต่จู่ๆ ลู่ไถกลับงอตัว ยื่นมือมาอุดปาก เลือดสดไหลเล็ดรอดมาจากร่องนิ้ว
ไล่ฆ่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งที่เป็นดั่งจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ อีกทั้งยังได้ครอบครองวัตถุฟางชุ่น ไม่ถือว่ายากนัก แต่คิดจะสังหารเขาให้ได้อย่างสิ้นซาก เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองเท่านั้นถึงจะทำได้
ดังนั้นค่าตอบแทนที่ลู่ไถจ่ายไปต้องไม่น้อยอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบจับชายด้านหนึ่งของชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่อยู่บนร่าง กระตุกเบาๆ จินหลี่ทั้งชุดก็ ‘หลุด’ ออกมา เขาโยนมันไปให้ลู่ไถที่ร่างสั่นสะท้านน้อยๆ ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ลองสวมดู ข้าถอนตราผนึกที่อยู่บนชุดคลุมออกแล้ว”
ลู่ไถยื่นมือไปคว้าชุดคลุมอาคมสีทองตัวนั้น เขาไม่ได้หยิบมาสวมใส่ จินหลี่กลับสวมลงไปบนร่างของเขาเองในชั่วพริบตา
เขานั่งแปะลงไปบนพื้น สูดลมหายใจหนึ่งครั้ง ขยับขานั่งขัดสมาธิ ใช้นิ้วข้างหนึ่งปาดเลือดแดงฉานบนริมฝีปากทิ้ง ปากก็สบถด่าหยาบคายไปด้วย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่ทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาหยาบกระด้าง “หากไม่เพราะต้องการแน่ใจว่าจะรักษาพลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดไว้ได้ตลอดเวลา เลยกินยาและยอดสุราไม่ต่างจากหมั่นโถวและน้ำชา ไหนเลยจะมีสภาพอเนจอนาถเช่นนี้ การค้าครั้งนี้ หากพวกเราสองคนแบ่งวัตถุฟางชุ่นของหม่าว่านฝ่ากันคนละครึ่ง เจ้าได้กำไรก้อนโต แต่ข้านี่สิขาดทุนย่อยยับ”
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายเขา ปักกระบี่ชือซินลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ พูดเสียงขุ่น “กระบี่เล่มนี้ของโต้วจื่อจือเป็นของข้า ของที่เหลือเจ้าก็เอาไปให้หมดแล้วกัน”
ลู่ไถเบิกตากว้าง พูดอย่างมีโทสะ “กระบี่เล่มนี้ต่างหากที่มีค่ามากที่สุด ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตหลอมจิตวิญญาณก็ยังใช้ได้! เพื่อให้ได้สมบัติอาคมชิ้นนี้มาครอบครอง ตอนนั้นโต้วจื่อจื่อต้องยอมทุบหม้อขายเหล็กแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวเลยก็ได้ ครั้งนี้ถึงได้ยอมให้หม่าว่านฝ่าเรียกตัวมาช่วยดักปล้นกลางทาง”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “เรื่องนี้ข้าไม่สนหรอก”
หลังจากได้สวมจินหลี่ ลมหายใจของลู่ไถก็สงบขึ้นเยอะมาก “เอาล่ะ พวกเรามาแบ่งของกันเถอะ”
“ค่ายกลที่อาจารย์คุมทัพจัดวางไว้เรียกว่าค่ายกลย้ายภูเขา สามารถทำให้การไหลเวียนของจิตวิญญาณคนที่ตกอยู่กลางค่ายกลติดขัด เหมือนกับแบกภูเขาลูกหนึ่งไว้บนหลัง ใช้ได้ผลดีกับผู้ฝึกลมปราณที่มีขอบเขตต่ำกว่าโอสถทอง ธงผืนเล็กๆ พวกนั้นระดับขั้นไม่สูงมาก เพียงแต่ว่ามีเยอะ จึงถือว่ามีมูลค่า”
“ระหว่างทางที่เดินกลับ ข้าเจอกับนักพรตเฒ่าพรรคมหายันต์ที่โชคร้ายคนนั้นพอดี ตาเฒ่าเกือบจะถูกเจินเจียนผ่าครึ่งเป็นสองท่อน ตกใจจนรีบลงไปคุกเข่าอ้อนวอน ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะหน้า ข้าเลยบอกให้เขามอบสมบัติทุกชิ้นที่มีมาให้ ไหนเลยที่ตาเฒ่าจะยินยอม จึงสู้ตายกับข้าเป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้าย ข้าเลยได้แต่จบชีวิตของเขาซะ บวกกับที่ต้องตรวจสอบว่าในดวงวิญญาณของนักพรตเฒ่ามีวัตถุฟางชุ่นหรือสมบัติอาคมที่ถูกชุบหลอมอยู่หรือไม่ จึงทำให้อาการบาดเจ็บสาหัสขึ้น”
“น่าเสียดายที่ได้มาแค่ ‘ยันต์ปลาผ้า’ ยันต์ที่เดิมทีกักกระบี่บินสองเล่มของเจ้าก็คือแก่นสำคัญของตำราวาดยันต์เล่มนี้ มีชื่อว่า ‘ยันต์บ่อแห้ง’ ระดับขั้นของยันต์ชนิดนี้เทียบกับยันต์ ‘ยันต์ฝักกระบี่’ และ ‘ยันต์ผนึกภูเขา’ ที่ข้าเล่าให้ฟังไม่ได้ แต่ก็ถือว่าน่าสนใจมากแล้ว หากข้าเอากลับไปไว้ในชั้นหนังสือที่ตระกูลก็ถือว่าได้ทำความดีความชอบครั้งหนึ่ง”
“หากเจ้าสังหารนักพรตเฒ่า พวกเราแบ่งของกันคนละครึ่ง อาการบาดเจ็บข้าก็คงไม่หนักขึ้นไปอีก ข้าทุ่มชีวิตครึ่งหนึ่งสังหารนักพรตเฒ่า แต่ยังต้องมาแบ่งของกับเจ้าคนละครึ่งอีก เจ้าว่ามันน่าโมโหหรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าวว่า “ผู้ฝึกตนลัทธิมารคนนั้นทุบหม้อดินเผาของตัวเองจนแตก ก่อนหน้านี้ปราณหยินจึงพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ควันดำซัดตลบอบอวล หากไม่เป็นเพราะชุดคลุมอาคมชุดนี้ก็คงขัดขวางมันไว้ไม่อยู่ และคฤหาสน์แห่งนั้นก็จะถูกพวกเราทำร้ายไปด้วย แบบนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ต้องมาเดือดร้อนไปเปล่าๆ หรอกหรือ”
ลู่ไถชูแผ่นหยกที่อยู่ในมือขึ้น “แผ่นหยกสีเขียวเข้มชิ้นนี้ทำมาจากวัสดุที่หายากยิ่งกว่าเงินเกล็ดหิมะซะอีก ได้แต่ปรารถนาไม่อาจได้มาครอบครอง ดังนั้นเมื่อเทียบกับวัตถุฟางชุ่นทั่วไป มูลค่าจึงสูงกว่าไม่น้อย อันที่จริงของที่อยู่ด้านในไม่ได้แปลกประหลาดมากนัก เงินทองของมีค่า ของเล่นโบราณหายากบนโลกมีเป็นตั้งๆ แต่เจ้าของสายตาแย่มาก ของปลอมถึงได้ปะปนอยู่นับไม่ถ้วน ยาไม่กี่ขวดในนี้ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร หากไม่นับรวมกับแผ่นหยก รวมๆ กันแล้วก็มีมูลค่าประมาณหนึ่งหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น เป็นสมบัติของขอบเขตประตูมังกรเหมือนกัน แต่คนของใบถงทวีปเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ได้จริงๆ”
ในถ้อยคำของลู่ไถเปี่ยมไปด้วยความเสียดาย
รวมไปถึงความภาคภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ก็เหมือนท่าทีของเซียนกระบี่บางคนที่ปฏิบัติต่อผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ
เหมือนคนบางคนที่มาจากอุตรกุรุทวีปปฏิบัติต่อคนที่มาจากแจกันสมบัติทวีป
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันเองที่ตอนนั้นอยู่ตรงด่านชายแดนท่ามกลางลมหิมะ หลังจากได้เห็นหทารม้าเหล็กต้าหลีแสดงความเป็นมิตร และได้ยินว่ากองทัพของแคว้นหวงถิงใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะแตกซ่านเต็มที เฉินผิงอันก็ยังแอบดีใจอยู่กับตัวเอง
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แค่หนึ่งหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะเองหรือ?!”
ลู่ไถถามกลับ “แล้วจะให้มีมูลค่าเท่าไหร่ล่ะ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น