ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 287-310

 ตอนที่ 287 ต้องการคนสวยที่เล่นกู่เจิง


ได้ยินคำพูดของอู่เหมย เจียงซินเหมยถึงจะเชื่อ อดมองอู่เชาด้วยสายตาที่ทึ่งไม่ได้ จึงเอ่ยถาม “อู่เชา ในเมื่อเธอเล่นเป็นตั้งหลายอย่าง ทำไมเมื่อก่อนไม่สมัคร?”


“ก็เธอไม่ได้มาถามฉันนี่ ทำไมฉันต้องกระตือรือร้นขนาดนั้น?” อู่เชากลอกตาจนตาเข


เจียงซินเหมยก็ไม่โต้เถียงกับเขา พูดยิ้มกริ่ม “ฉันขาดการแสดงหนึ่งรายการพอดี ไม่อย่างนั้น อู่เชา เธอขึ้นเวที แสดงการเป่าปี่นะ!”


อู่เชาทำกระบิดกระบวนสักพัก พูดตะกุกตะกัก ไม่รับปากตรงไปตรงมา เจียงซินเหมยทนดูผู้ชายที่ทำกระบิดกระบวนไม่ได้ที่สุด สู้พวกสาวๆ ก็ไม่ได้ สีหน้าของเธอพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาทันที


“อู่เชา เธอเป็นผู้ชายหรือเปล่า? จะไปหรือไม่ไป พูดมาคำเดียว”


“ไปสิ ใครไม่ไป คนนั้นเป็นตัวเมีย!”


เจ้าอ้วนทนยั่วยุไม่ไหว รับปากอย่างรวดเร็ว รอดูให้เจียงซินเหมยที่ดีใจอย่างที่สุดเดินจากไป แต่แล้วเขากลับรู้สึกเสียใจภายหลัง


อู่เหมยพูดอย่างอารมณ์เสีย “เธอไม่ได้เป่าปี่ไม่เป็นสักหน่อย จะกลัดกลุ้มอะไร? อย่าทำตัวไร้เหตุผลเกินไปหน่อยเลย!”


อู่เชาถมึงตาใส่เธอ พูดด้วยความโกรธ “ฉันไร้เหตุผลอะไร ฉันก็แค่คิดว่าหรือจะไม่ไป แต่ถ้าไปแล้วก็จะต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงทันทีไงล่ะ”


“งั้นเธอก็เป่าสักเพลงที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงเถอะ!” อู่เหมยไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น


“เธอจะไปรู้อะไร? แม้ว่าเพลงจะดีขนาดไหน แค่ปี่เหมือนกันก็ยังน่าทึ่งไม่พอ มันจืดชืดเกินไป”


“งั้น ทำยังไง?”


สักพักอู่เชาก็มีความคึกคักขึ้นมา พูดเสียงเบา “ฉันคิดว่าอย่างนี้นะ บรรเลงเพลงหมู่ของปี่กับพิณสักชุด คนหนึ่งเป่าปี่ คนหนึ่งเล่นพิณ ถ้าจะให้ดีที่สุดต้องมีสาวสวยคนหนึ่งเล่น แต่งตัวเป็นสาวงามโบราณที่ใส่ชุดฮั่นสีขาวที่ปลิวพัดไหวดั่งกับเทพ แล้วเล่นเพลงเกาซานเหลียงสุ่ยที่มีทำนองโบราณ ทำให้มีหมอกเล็กน้อย โอ้! ไม่น่าทึ่งเกินไปหรอก ยังไงคราวนี้ก็ชนะรางวัลร้อยเปอร์เซ็นต์!”


อู่เหมยมองเจ้าอ้วนที่หน้าบานเป็นกระด้งด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันเธอก็แอบรู้สึกหดหู่ใจ มิน่าที่ชายอ้วนตัวเล็กคนนี้ถึงสามารถอยู่ในวงการบันเทิงดั่งปลาได้น้ำ และในเวลานี้ได้สะท้อนให้เห็นสายตาอันยาวไกลของเขาเมื่ออยู่บนเวที


สวมชุดฮั่นเล่นกู่เจิง ในรุ่นหลังได้รับความนิยมพักหนึ่ง แต่อย่างน้อยเมื่อสิบ ยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนี้ทุกคนยังคงร้องเพลง ‘ดอกไม้แห่งมาตุภูมิ’!


“ความคิดของนายไม่เลว แต่เธอไม่ใช่ซุนหวู่คง คงจะไม่แปลงร่างไปเล่นกู่เจิงนะ? อีกอย่าง ถึงแม้ว่านายจะแปลงร่างใส่ชุดฮั่นแต่นายก็ไม่ใช่สาวสวยนะ!”


อู่เหมยชายตามองรูปร่างที่อ้วนป้อมของอู่เชาด้วยความรังเกียจ


รูปร่างแบบนี้คล้ายสาวงามราชวงศ์ถัง


อู่เชาหน้าเหยเกทันที ความคิดในอุดมคตินั้นน่าทึ่ง แต่ความเป็นจริงกลับใช้ไม่ได้ ไม่มีสาวสวยที่เล่นกู่เจิงเป็น ถึงจิตนาการจะดีขนาดไหนก็เป็นเรื่องไร้สาระ


อู่เหมยรู้สึกว่าการแสดงที่อู่เชาคิดนั้นยอดเยี่ยมมาก หากเขาได้ขึ้นเวทีต้องติดอันดับแน่นอน หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่แน่อู่เชาอาจยังคงมีส่วนร่วมในการแสดงวันปีใหม่ของเมืองด้วย!


โรงเรียนทดสอบก็เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แต่ไรมาแล้ว การแสดงที่ดีที่ติดสามอันดับแรกจากการแสดงของโรงเรียน ทั้งหมดจะถูกเสนอให้เข้าร่วมในการแสดงของทั้งเมือง และการแสดงยอดเยี่ยมที่ถูกจัดอันดับที่ดีของเมืองได้นั้น ก็ยิ่งมีความเป็นได้ที่จะได้เข้าร่วมงานกลางคืนในเทศกาลตรุษจีนของเมืองจินด้วย!


เพราะความเป็นไปได้ที่จะได้เข้าร่วมงานกลางคืนในเทศกาลตรุษจีนของเมืองจินนั้นน้อยมาก อู่เหมยไม่แม้แต่จะคิด เธอรู้สึกว่าโอกาสการเข้าร่วมการแสดงของเมืองนั้นมีมากกกว่า แต่ว่าก่อนอื่นต้องหาสาวสวยที่เล่นกู่เจิงเป็นก่อนถึงจะมีโอกาส


ในหัวก็มีภาพคนๆ หนึ่งแวบขึ้นมา อู่เหมยร้องออกมาด้วยความดีใจ ก้มตัวลงไปพูดข้างหูอู่เชา “ฉันนึกถึงคนหนึ่ง คนนั้นต้องเล่นกู่เจิงเป็นแน่นอน และก็เป็นคนสวยด้วย”


“ใคร?”


อู่เชาแววตาเป็นประกาย มองดูเหมยอย่างเฝ้าปรารถนา


“สยงมู่มู่ เขาเล่นกู่เจิงเป็นอย่างแน่นอน และเขาก็สวยกว่าผู้หญิงอีก!”


แววตาของอู่เชาหมองลง เหลือบมองเธออย่างเหยียดๆ แวบหนึ่ง กล่าวอย่างอารมณ์เสีย “เธอปัญญาอ่อนเหรอ? สยงมู่มู่อยู่ชั้นมัธยมต้น หากเขาต้องการเข้าร่วมการแสดงก็ต้องเป็นการแสดงของมัธยมต้น จะมาโรงเรียนประถมได้อย่างไร?”


………………………………………………….


ตอนที่ 288 อู่เยวี่ยที่ท้อแท้ใจ


อู่เหมยกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ยังมีความเป็นไปได้ ทางโรงเรียนไม่ได้กำหนดว่าขอความช่วยเหลือจากข้างนอกไม่ได้ อู่เชาพอได้ฟังความคิดของเธอ ก็รู้สึกตื่นเต้น ยิ่งคิดตายิ่งเป็นประกาย


“เหมยเหมย เธอไปลองถามสยงมู่มู่ก่อน ดูว่าเขาดีดกู่เจิงเป็นหรือเปล่า? อย่าให้ฉันพูดเกลี้ยกล่อมครูแล้ว แต่สยงมู่มู่กลับทำพลาดเสียเองล่ะ” อู่เชาพูดเร่ง


อู่เหมยดูแล้วรู้สึกประหลาดใจ ทำไมเจ้าอ้วนถึงได้กระตือรืนร้นกับการแสดงปุบปับอย่างนี้?


“ไม่อย่างนั้นพี่จะไม่เข้าร่วมการแสดง หากเข้าร่วมการแสดงทั่วทั้งฮอลล์ต้องทึ่งแน่นอน และพวกเราตระกูลอู่จะขายหน้าไม่ได้!” อู่เชาคุยโวตบหน้าอกที่อวบอ้วน


อู่เหมยหัวเราะเยาะ ได้ยินคำว่าตระกูลอู่ก็ไม่มีอารมณ์แล้ว ขี้เกียจสนใจเจ้าอ้วน


อู่เยวี่ยที่อยู่มัธยมต้นกลับอารมณ์ไม่ดี ฝืนทำหน้ายิ้มแย้ม


กรรมการศิลปวรรณคดีในชั้นเรียนของเธอก็เริ่มรวบรวมรายการแสดงต่างๆ แล้ว เมื่อก่อนเธอร่วมคลาสการเต้นทุกปี มีนักเรียนหญิงสิบคนเต้นด้วยกัน ไม่ได้มีเทคนิคอะไร แต่งตัวดีนิดหน่อย ทาแก้มเหมือนตูดลิง เคลื่อนไหวพร้อมกันเล็กน้อย ผลที่ออกมาก็ยังถือว่าไม่เลวทีเดียว


ทว่าเธอรอมาหนึ่งวันแล้ว ก็ไม่มีกรรมการศิลปวรรณคดีมาหาเธอ ตอนแรกเธอเข้าใจว่ายังไม่เริ่มรวบรวม แต่ตอนที่เธอไปเข้าห้องน้ำ เธอได้ยินเพื่อนนักเรียนหญิงสองคนคุยกันโดยบังเอิญ อู่เยวี่ยก็อารมณ์เสียขึ้นมาทันที


“ปีนี้คงไม่ให้อู่เยวี่ยร่วมการแสดงล่ะสิ?”


“ก็ไม่มีน่ะสิ พวกเราเต้นจนเหงื่อท่วม เธอนั่งอยู่ไม่ขยับก็เหม็นแทบตายแล้ว พอเต้นก็เต้นได้ทุเรศมาก พวกเราได้รับความไม่เป็นธรรมก็ยังไม่เป็นอะไร แต่อย่าทำให้ครูที่อยู่ด้านล่างเวทีต้องเป็นลมเลย!’


“ใช่ อีกอย่างอู่เยวี่ยเต้นก็ไม่เป็น บิดแขน เตะขายังแข็งกว่าคนแก่ เมื่อก่อนเป็นเพราะครูเห็นว่าเธอผลการเรียนดีหรอกนะ ถึงได้ให้เข้ามาเต้นด้วย แล้วเธอยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถด้านศิลปะมาก ไม่ดูตัวเองเอาซะเลย”


“ก็ใช่น่ะสิ ปีนี้เธอคงจะไม่มีหน้าไปพูดกับครูหรอกนะ? แป๊บเดียวก็แย่ลงไปเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นฉันก็คงจะไม่มีหน้ามาเรียนแล้ว”


……


อู่เยวี่ยได้ยินคำพูดของเพื่อนนักเรียนหญิงสองคนนี้ชัดเจน ใจของเธอเหมือนถูกมีดกรีด โดยปกติเพื่อนนักเรียนหญิงสองคนนี้ยังมีคุยเล่นสนุกกับเธอ อย่าว่าแต่สนิทกันแค่ไหนเลย คิดไม่ถึงว่าลับหลังจะพูดถึงเธออย่างนี้!


ใจคนยากแท้หยั่งถึงอย่างไม่น่าเชื่อ!


เห็นๆ อยู่ว่าเธอก็ไม่ได้กลิ่นตัวแรง ทำไมคนพวกนี้ต้องใส่ร้ายเธอ?


การแสดงเมื่อก่อนก็ไม่ใช่เธอที่ไปขอร้องกับครูประจำชั้น เธอไม่เคยไปบอกด้วยซ้ำ


อีกอย่างเธอเต้นไม่ดีตรงไหน?


อย่างน้อยก็ยังดีกว่านังสารเลวสองคนนั้นตั้งหลายเท่า!


คนพวกนี้พอเห็นว่าเธอไม่ได้ที่หนึ่งแล้ว ถึงได้เหยียบย่ำเธอทุกทาง รอให้เธอกลับมาได้ที่หนึ่งอีกครั้ง เธอก็จะไม่สนใจคนเลวที่คอยประจบสอพลอตีสองหน้าพวกนี้อีก


ตอนพักกลางวัน ครูประจำตั้งใจเรียกอู่เยวี่ยไปที่ห้องพักครูโดยเฉพาะ ในสายตามีความผิดหวังเล็กน้อย เธอพูดอ้อมค้อมเกี่ยวกับเรื่องการแสดง ให้อู่เยวี่ยเก็บแรงไว้สำหรับการเรียนเป็นหลัก การสอบประจำเดือนครั้งถัดไปพยายามสอบให้ได้ที่หนึ่ง อย่าให้เรื่องที่ไร้สาระมากวนใจ


สรุปก็คือให้อู่เยวี่ยตั้งใจเรียน ไม่ต้องไปคิดเรื่องการแสดง


จริงๆ แล้ว ครูประจำชั้นมีเจตนาดี อู่เยวี่ยคือหน้าตาของโรงเรียน ตกอันดับไปสิบกว่าอันดับอย่างไม่คาดคิด แม้แต่ผู้อำนวยการก็ยังตกใจ ทำไมเธอจะไม่ร้อนใจเล่า?


อู่เยวี่ยเมื่อก่อนผลการเรียนดี ครองอันดับหนึ่งมาตลอด เรื่องเต้นก็เป็นการเสริมส่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น แต่ตอนนี้แย่ขนาดนี้ ยังจะเต้นอะไรอีก?


รีบเรียนให้อันดับสูงขึ้นถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง!


อู่เยวี่ยกลับคิดมาก เข้าใจว่าครูประจำชั้นก็เหมือนกับคนอื่นๆ รังเกียจเธอแล้ว แค่คิดก็รู้สึกแย่แล้ว กับครูประจำชั้นก็ยังตำหนิกันได้


เธอรู้สึกว่าคนในโลกทุกคนล้วนทรยศเธอ ไม่จริงใจสักคน


เดิมอู่เยวี่ยที่จิตใจคับแคบเพราะเหตุนี้ยิ่งเป็นคนดื้อรั้น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นเย็นชามากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่สนุกสนาน สุภาพเรียบร้อย


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 289 การแสดงกลุ่มสามคน


หลังเลิกเรียน อู่เหมย อู่เชาและสยงมู่มู่ทั้งสามคน ไปร้านอาหารเฟิ้งไหลด้วยกัน พอได้ยินว่ามีซาลาเปาไข่ปู สองคนนี้ก็ตาเป็นประกาย ยากมากที่จะไม่เถียงกัน


อู่เหมยซื้อซาลาเปาน้ำซุปสามเข่ง ต้าทังเปาแวววาวใสแจ๋วร้อนๆ สามชิ้น เห็นแล้วก็จิตใจเบิกบาน


“พวกเรากินกันก่อน ไม่พอค่อยซื้อใหม่” อู่เหยมกล่าว


สยงมู่มู่กับอู่เชาร้องไชโยด้วยความดีใจ ทั้งสองคนดูดน้ำซุปอย่างพร้อมเพรียงกัน ท่าทางเป็นจังหวะเดียวกันด้วยสีหน้าพอพึงพอใจ ผ่านไปไม่นานต้าทังเปาก็หมดเกลี้ยง เสี่ยวทังเปาก็หมดเกลี้ยงตาม เหมือนผีตายอดตายอยากกลับชาติมาเกิด


“โอ๊ย! ถ้ารู้ว่าเหมยเหมยจะเลี้ยง ฉันก็จะไม่กินข้าวกลางวัน!” สยงมู่มู่ทำหน้าหงุดหงิดอย่างเสียอารมณ์ หลังจากกินเสี่ยวทังเปาหนึ่งเข่ง


อู่เชากินซาลาเปาอย่างมีความสุข และตบท้อง “ฉันกินข้าวกลางวันนิดเดียว ตั้งใจเก็บท้องไว้กินโดยเฉพาะ!”


สยงมู่มู่มองเขาอย่างเหยียดๆ แวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเผลอยอมให้เจ้าอ้วนแย่งโอกาสสำคัญไปได้ เซ็งจริงๆ!


สักพักอู่เหมยก็ไปซื้อต้าทังเปาสามชิ้นและเสี่ยวหลงเปามาเพิ่มอีกสามชิ้น เธอพูดด้วยความหงุดหงิด “เห็นแก่อนาคตอันสดใสของพวกนาย หลังจากนี้ไปขอเพียงพวกนายแสดงดี ซาลาเปาไข่ปูให้ฉันเหมาเอง”


สยงมู่มู่ตาลุกวาว ยกนิ้วโป้งให้อู่เหมย กินซาลาเปาอย่างสบายใจ


อู่เชากลับรู้สึกหงุดหงิด อดถามไม่ได้ “เหมยเหมยเธอเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ? ลุงสองให้เธอเหรอ? เป็นไปไม่ได้!”


“ตอนนี้เหมยเหมยเป็นน้องสาวของฉัน แม่ฉันบอกว่าเลี้ยงลูกชายให้รู้จักความยากลำบาก เลี้ยงลูกสาวให้สุขสบาย เงินค่าขนมเหมยเหมยมากกว่าฉันตั้งเยอะ รีบๆ กิน ถ้าไม่กินฉันจะกินให้หมด!”


สยงมู่มู่แกล้งทำเป็นไปคีบทังเปาที่อยู่ในเข่งชิ้นสุดท้าย เขาดึงดูดความสนใจของอู่เชาได้จริงๆ เขาร้องตะโกนโหวกเหวกจะไปแย่งซาลาเปา โดยไม่สนใจว่าอู่เหมยเอาเงินมาจากไหน


กินซาลาเปาหมดไปเกินครึ่ง สองคนนี้ก็เริ่มกินช้าลง อู่เหมยพูดถึงเรื่องการแสดง ขอให้สยงมู่มู่ช่วยเล่นกู่เจิง


“ไม่ไป ฉันเป็นนักเรียนมัธยมต้นที่น่าเกรงขาม ทำไมต้องไปแสดงกับพวกเธอที่เป็นนักเรียนประถมด้วย?” สยงมู่มู่ปฏิเสธทันที


“ฉันว่านายเล่นกู่เจิงไม่เป็นล่ะสิ? อู่เชาทำเสียงฮึ


สยงมู่มู่ยักไหล่ “ใช้วิธียั่วยุกับพี่ ไม่ได้ผลหรอกนะ ฉันไม่เพียงแต่จะเล่นกู่เจิงเป็น แม้กระทั่งปี่ก็เป่าเป็น เจ้าอ้วน อย่ามาโอ้อวดต่อหน้าพี่เลย!”


หากพูดถึงเครื่องดนตรีที่เล่นเป็น อู่เชาสู้สยงมู่มู่ไม่ได้แน่นอน สยงมู่มู่ไม่เพียงแต่จะเล่นเครื่องดนตรีหลากหลายชนชาติได้ สำหรับเครื่องดนตรียุโรปก็ยิ่งคล่อง มีอะไรมาก็เล่นได้ทุกอย่าง


อู่เหมยรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสยงมู่มู่จะไม่รับปากง่ายๆ


เธอคิดไว้นานแล้ว คีบทังเปาที่หอมฉุยแกว่งไปแกว่งมาต่อหน้าเขา แล้วพูดอย่างจงใจ “ถ้าพี่ไม่ช่วย งั้นต่อไปฉันก็จะเลี้ยงทังเปาแค่อู่เชา จะไม่ชวนพี่แล้ว “


สยงมู่มู่กลืนน้ำลาย แต่ท้ายที่สุดก็ทนความดึงดูดของทังเปาไม่ได้ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ฝืนใจรับปากจนได้ ทว่า


“จะให้ฉันช่วยก็ได้ แต่ต้องฟังสิ่งที่ฉันจัดเตรียมนะ ไม่เช่นนั้นแล้ว กินทังเปาทุกวันก็ไม่สำเร็จ”


“ตกลง ขอเพียงแต่พี่พูดถูก ฉันฟังพี่แน่นอน” อู่เชายอมอ่อนข้อให้


สยงมู่มู่หันไปมองอู่เหมยอีกครั้ง บ่งบอกขอให้เธอรีบรับปากเช่นกัน อู่เหมยไม่ได้เอามาใส่ใจอยู่แล้ว เธอรับปากอย่างไม่แยแส อย่างมากเธอก็แค่เลี้ยงซาลาเปาไข่ปูหลายมื้อ


เพียงแต่


“อยากจะแสดงครั้งเดียวก็ชนะเลิศ ถ้าอย่างนั้นตอนที่ขึ้นเวทีก็ต้องดึงดูดสายตาของผู้ชม ดังนั้นแค่พวกเราสองคนทำไม่สำเร็จหรอก ต้องมีอีกคน” สยงมู่มู่มั่นใจมาก


“จะเพิ่มใคร?” อู่เชากับอู่เหมยถามพร้อมกัน


สยงมู่มู่ชี้ไปที่อู่เหมยที่กินจนปากมันแผล่บ “ก็เธอไง!”


………………………………………………..


ตอนที่ 290 ไปเรียนเต้น


อู่เหมยตกใจจนเกือบจะถูกน้ำซุปลวกลิ้น พูดอย่างอารมณ์เสีย “สยงมู่มู่ สมองพี่มีปัญหาเหรอ? ฉันไปแล้วทำอะไรได้? ร้องเพลงไม่เป็น เต้นรำไม่เป็น เล่นกู่เจิงก็ไม่เป็น พี่จะให้ฉันแสดงเป็นหุ่นไม้เหรอ?”


สยงมู่มู่มองเธออย่างเหยียดๆ แวบหนึ่ง “ไม่เป็นก็ไปเรียนสิ ตอนนี้ยังมีเวลาตั้งหนึ่งเดือนกว่าก่อนที่แสดง เพียงแค่เรียนเต้นนิดหน่อย ยังไงก็ทัน!”


อู่เหมยได้ยินแล้วก็รู้สึกตลก ถามกลับ “สยงมู่มู่ พี่คิดว่าฉันเก่งนักเหรอ? หนึ่งเดือนกว่าก็เรียนเต้นเป็น? สู้พี่ไปเต้นเองดีกว่านะ!”


“ฉันต้องเล่นกู่เจิ้ง การเต้นไม่ต้องความยากอะไรสักหน่อย แค่บิดก้นส่ายไปมา ง่ายนิดเดียว อีกอย่างฉันคิดว่า เธอมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ หน้าตาไม่เลว ต่อให้แสดงเป็นหุ่นไม้ก็สวยมาก ตกลงตามนี้แหละ เมื่อกี้ก็พูดแล้วว่าให้ฟังพี่จัดเตรียมไม่ใช่เหรอ พี่เป็นใหญ่นะ!”


สยงมู่มู่ไม่ยอมให้อู่เหมยปฏิเสธ ตกลงตามนี้ อู่เหมยโมโหจนกัดทังเปาขาด ทำให้น้ำซุปกระเด็นถูกตัวเขา ร้อนแทบแย่


“จะยังไงก็ช่าง พอถึงตอนนี้ ถ้าล้มเหลวก็เป็นชื่อเสียงของพวกนาย ไม่เกี่ยวกับฉัน!” อู่เหมยพูด


“จะล้มเหลวได้ยังไง? ขอเพียงเชื่อพี่ พี่รับรองว่าพอพวกเธอขึ้นเวทีแสดง ทุกคนจะต้องตกตะลึง และได้ไปเข้าร่วมการแสดงของเมือง ไม่แน่นะว่าอาจจะได้ไปแสดงงานกลางคืนเทศกาลตรุษจีนด้วย!” สยงมู่มู่อวดเก่งที่สุด เขาสะบัดขาไปด้วย มือก็เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำซุปไปด้วย ในแววตาเปล่งประกาย


“พี่ฝันไปเถอะ!”


อู่เหมยกับอู่เชาสำลักพร้อมกัน ได้เข้าร่วมการแสดงของเมืองก็ถือโชคดีแล้ว ยังคิดจะอยากเข้าร่วมการแสดงในงานกลางคืนเทศกาลตรุษจีน?


แค่ฝันก็ยังเร็วไปหน่อย!


สยงมู่มู่ไม่พอใจสองคนนี้ที่มีตาหามีแววไม่ นกน้อยไยจะรู้ปณิธานของพญาหงส์ เด็กพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาเป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างกว่า ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว


วันที่สองอู่เหมยพูดกับเจียงซินเหมยเรื่องขอให้คนนอกช่วย เจียงซินเหมยตัดสินใจไม่ได้ ต้องไปเสนอครูอู๋ ครูประจำชั้น ครูอู๋ฟังความคิดของพวกอู่เหมย กลับรู้สึกสนใจมาก ทั้งวิ่งทั้งกระโดดด้วยความดีใจไปปรึกษาหารือกับครูประจำชั้นของสยงมู่มู่ การปรึกษาหารือของครูประจำชั้นสองคนนั้นเสร็จสมบูรณ์ด้วยดี ตกลงกันว่าทั้งสองห้องร่วมมือกัน การแสดงครั้งนี้เป็นประจักษ์พยานความร่วมมือมิตรภาพอันงดงามของโรงเรียนประถมกับโรงเรียนมัธยมต้น


เพื่อขอปลีกตัวอู่เหมยอ้างเหตุผลว่าไม่มีฝีมือ เธอไปหาเจียงซินเหมยเพื่อถอนตัวจากเต้นกลุ่ม เจียงซินเหมยก็ไม่บังคับเธอ อย่างไรก็ตามในชั้นเรียนมีนักเรียนหญิงตั้งหลายคน เลือกใครสักคนก็ได้


เธอเป็นกังวลกับการแสดงของอู่เหมยและอู่เชามาก แล้วยังบอกอู่เหมยว่ามีเรื่องอะไรก็ให้มาหาเธอได้ อู่เหมยรับปากอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด เธอเห็นเจียงซินเหมยที่รูปร่างสูง หุ่นดี ก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาทันที จึงวิ่งกระหืดกระหอบด้วยความดีใจไปปรึกษากับสยงมู่มู่ ขอให้เจียงซินเหมยเต้นแทนเธอ


“พี่ดูสิ เจียงซินเหมยเรียนเต้นคลาสสิกมืออาชีพนะ หน้าตาก็สวย เธอเหมาะสมกว่าฉันแน่นอน”


สยงมู่มู่ ไม่รู้จักเจียงซินเหมยหรือว่าไห่ซินเหมยอะไรทั้งนั้น เดิมทีอยากจะบอกปฏิเสธทันที คิดๆ ดูแล้วทำอย่างนี้ไม่เห็นใจคนอื่นเกินไป จึงมองดูเจียงซินเหมยอย่างฝืนใจกล้ำกลืน


“หน้าตาธรรมดาเกินไป อีกอย่างลักษณะของเจียงซินเหมยไม่เหมาะสมกับชุดฮั่น ถึงจะเต้นดีแค่ไหนก็ไม่ได้ ขาดท่วงทำนองและศิลปะ” สยงมู่มู่ส่ายหน้าตรง ๆ


เจียงซินเหมยในกลุ่มคนทั่วไปถือว่าหน้าตาสวย แต่ว่าหน้าใหญ่ไปหน่อย ยิ่งเหมาะสำหรับการแต่งตัวบนเวทีแสดงที่งดงาม แต่คงสวมชุดฮั่นไม่เหมือนผู้หญิง แตกต่างกับอู่เหมย ตากลมโต หน้าเรียวเล็ก ปากเอิบอิ่ม แม้ว่าไม่ได้สวมชุดฮั่นก็สวยแบบคลาสสิก เขามั่นใจได้ว่าตราบใดที่อู่เหม่ยสวมชุดสีขาวสมัยฮั่น และยืนอยู่บนเวทีต้องสวยหยาดเยิ้ม และผู้ชมจะคลั่งไคล้!


ขณะที่สยงมู่มู่พูดถึงเรื่องนี้ เขาสีหน้าจริงจังมาก แตกต่างจากหน้าทะเล้นเวลาปกติ รู้สึกว่าเหมือนกับเปลี่ยนเป็นอีกคน ในที่สุดอู่เหม่ยก็ไม่กล้าเถียงเขา จำใจต้องถามเขาว่าต้องไปเรียนเต้นที่ไหน


“ให้ครูเฮ่อสอนเธอ พื้นฐานความชำนาญการเต้นคลาสสิกของครูแข็งแรงมาก เก่งกว่าเจียงซินเหมยหลายเท่า” สยงมู่มู่กล่าว


……………………………………………………….


ตอนที่ 291 จี้เหวินฮุ่ยปรากฏตัวแล้ว


อู่เหมยประหลาดใจอย่างมาก “ครูเฮ่อสอนวาดรูปไม่ใช่เหรอ? จะเป็นครูสอนเต้นได้ยังไง?”


สยงมู่มู่ปราดตามองค้อนอย่างหงุดหงิด “สอนวาดรูปแล้วจะสอนเต้นไม่ได้หรือยังไง? ครูเฮ่อเธอยังเล่นกู่เจิงเป็นด้วยนะ ฉันเองก็เรียนกู่เจิงกับครูเฮ่อ”


อู่เหมยแลบลิ้น เธอไม่กล้าพูดอะไรอีก แค่รู้สึกเหมือนกับว่าแต่ละคนที่เป็นอัจฉริยะ   ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทุกอย่าง


อู่เหมยต้องตามพวกเขาไปห้องเรียนเยาวชนด้วย อู่เหมยก็แล้วแต่เขา ตอนนี้พวกเขาสามคนเป็นเหมือนตั๊กแตนที่ถูกมัดรวมกันอยู่ แต่สิ่งที่อู่เหมยที่ไม่รู้คือ มีคนเดินตามหลังพวกเขาสามคนอย่างหลบๆ ซ่อนๆ


คนนี้ก็คือจี้เหวินฮุ่ย เธอไม่พอใจมากที่เห็นอู่เชากับอู่เหมยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อีกทั้งช่วงนี้ก็ยังเห็นพวกเขาเข้าเรียน เลิกเรียนพร้อมกันบ่อยๆ อยากจะรู้เหลือเกินว่าหลังเลิกเรียนพวกเขาไปไหน จึงเดินตามอย่างเงียบๆ ไม่นึกเลยว่าพวกอู่เหมยจะไม่ทันเห็น


จี้เหวินฮุ่ยเดินตามมาจนมาถึงห้องเรียนเยาวชน เธออดผิดหวังไม่ได้ เพราะเธอคิดว่าพวกเขาจะไปเล่นที่ไหน แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นห้องเรียนเยาวชน?


สถานที่บ้าๆ อย่างนี้มีอะไรน่าสนุก?


จี้เหวินฮุ่ยเบะปาก ขณะที่เธอหมุนตัวกำลังจะเดินจากไป กลับเห็นเงาคนสนิทที่หางตา กำลังเดินจากหัวมุมเข้าไปในห้องเรียนเยาวชนอย่างเร่งรีบ แม้แต่เธอที่ยืนอยู่ไกลๆ เขาก็ยังมองไม่เห็น


“คุณพ่อ…”


จี้เหวินฮุ่ยกำลังจะตะโกนเรียก จี้เจี้ยนโปเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานแล้ว มองไม่เห็นเงาคนแล้ว


น่าแปลก คุณพ่อมาห้องเรียนเยาวชนทำไม?


โรงเรียนที่พ่อทำงานก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ ขี่รถมาที่นี่ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง หรือว่าคุณพ่อนัดกับอู่เหมยพวกเขาไว้แล้ว?


นิสัยขี้สงสัยทั้งหมดของจี้เหวินฮุ่ยได้รับถ่ายทอดจากอู่เจิ้งหง แม่ของเธอกระทั่งขี้สงสัยได้ยิ่งกว่าแม่ของเธอเอง เพียงแค่เห็นจี้เจี้ยนโปกับอู่เหมยปรากฏอยู่ในสถานที่เดียวกัน เธอก็คิดไปถึงไหนต่อไหน เธอเข้าใจว่าจี้เจี้ยนโปพาพวกอู่เหมยออกมากินของอร่อย และยังคิดว่าจี้เจี้ยนโปไม่ชอบตัวเธอเองอีกแล้ว


สาวน้อยคนนี้ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เธอเดินผลีผลามเข้าไปห้องเรียนเยาวชนโดยไม่คิด พ่อของเธอ ทำดีกับเธอและพี่ชายได้เท่านั้น จะทำดีกับคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด


ที่จริงแล้วจี้เจี้ยนโปมาหาเฮ่อเหวินจิ้ง นับตั้งแต่เจออู่เหมยกับอู่เชาครั้งที่แล้ว หลังจากแยกกันครั้งนั้นเฮ่อเหวินจิ้งก็เฉยชามาตลอด หลายครั้งที่เขาเอ่ยชวนออกไปเที่ยว เฮ่อเหวินจิ้งก็ไม่ยอมตอบตกลง พูดเพียงว่าไม่สบาย


เมื่อเวลาผ่านไปนาน จี้เจี้ยนโปก็สังเกตเห็นว่าท่าไม่ค่อยดีแล้ว วันนี้เขาจึงตั้งใจเลิกงานก่อนครึ่งชั่วโมงโดยเฉพาะ รีบมาถามให้ชัดเจนว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาชอบเฮ่อเหวินจิ้งอย่างจริงใจ เพียงแค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้เจอเฮ่อเหวินจิ้งอีก ใจเขาก็แตกสลายแล้ว


พอจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็พลอยให้ทำงานออกมาได้ไม่ค่อยดี


ฝั่งเฮ่อเหวินจิ้งกำลังสอนพวกอู่เหมย เจ้าอ้วนไม่ชอบวาดรูป ก็วิ่งไปดูสยงมู่มู่เล่นกีตาร์ เขาดูอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน


จี้เหวินฮุ่ยตรงไปที่สำนักงานของเฮ่อเหวินจิ้ง รอหลังจากเฮ่อเหวินจิ้งเลิกสอนแล้วจะคุยความในใจกับเธอ แต่เขาไม่รู้ว่าลูกสาวของเขา จี้เหวินฮุ่ยตามเขามาตลอด และคอยเฝ้าอยู่ไม่ไกลจากสำนักงาน


ทีแรกอู่เหมยคิดว่าจะคุยเรื่องเรียนเต้นกับเฮ่อเหวินจิ้ง แต่ทันทีที่เธอเห็นจี้เจี้ยนโป ก็รู้สึกประหลาดใจมาก ไม่เห็นจี้เจี้ยนโปมาหลายวัน ทำไมหนวดเคราถึงได้รุงรังขนาดนี้?


ความสง่างามหล่อเหลาเมื่อในอดีตไปไหนหมดแล้ว?


ดูแล้วเหมือนกับว่าวันนี้คงจะไม่สามารถพูดเรื่องนี้ได้ อู่เหมยก็เลยต้องขอลากลับ เธอมองเฮ่อเหวินจิ้งอย่างลึกซึ้ง หวังว่าผู้หญิงคนนี้จะสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง อย่าได้โดนผู้ชายพูดจาไพเราะหลอกอีกเลย


เพราะว่าอู่เหมยมีเรื่องไม่สบายใจ สุดท้ายก็ไม่ได้สังเกตเห็นจี้เหวินฮุ่ย เธอไปหาสยงมู่มู่อย่างรีบร้อน


จี้เหวินฮุ่ยรออยู่พักใหญ่ก็ไม่เห็นจี้เจี้ยนโปออกมา เธอแปลกใจมาก อู่เหมยก็ไปแล้ว พ่อยังอยู่ในห้องทำไม?


อีกอย่างในห้องยังมีคุณน้าที่ยังสาวและสวย


จี้เหวินฮุ่ยที่ได้รับอิทธิพลจากอู่เจิ้งหงมานาน แค่ประเดี๋ยวเดียวก็คิดไปถึงเรื่องร้ายแรง เพื่อยืนยันสิ่งที่เธอคาดเดา เธอค่อยๆ ย่องเบาๆ ไปเกาะอยู่ตรงหน้าต่างฟังความเคลื่อนไหวอยู่ข้างในเงียบๆ


…………………………………………………………


ตอนที่ 292 เลิกรา


“เหวินจิ้ง ทำไมคุณถึงไม่รับโทรศัพท์ผม?” คุณไม่รู้เหรอว่าผมคิดถึงคุณแทบแย่!”


“เจี้ยนโป ฉันคิดมานานแล้ว ฉันไม่อยากจะทำลายครอบครัวของคุณอีกแล้ว พวกเราเลิกกันเถอะ!”


“ไม่ ผมไม่ยอม คุณรู้ดีว่าผมรักคุณ หากไม่มีคุณ ผมก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เหวินจิ้งคุณทำไมถึงใจร้ายอย่างนี้?”


“ฉันใจร้ายหรือว่าคุณใจร้าย? คุณให้ฉันตามคุณอย่างลับๆ คบกันแบบไม่ชัดเจนอย่างนี้ คุณเห็นฉันเป็นตัวอะไรกันแน่?”


เฮ่อเหวินจิ้งน้ำตาคลอ มองจี้เจี้ยนโปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจ “เจี้ยนโป ฉันยอมรับว่าฉันรักคุณ สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่การเป็นคนรัก แต่ฉันต้องการเป็นภรรยาของคุณ ในเมื่อคุณให้สิ่งที่ฉันต้องการไม่ได้ พวกเราก็ควรเลิกกันด้วยดีเถอะ!”


“ไม่ เหวินจิ้งอย่าทำอย่างนี้เลย ผมจะไปขอคุณแต่งงาน ผมไปขอคุณแต่งงานแน่นอน คุณเชื่อผมนะ!”


จี้เจี้ยนโปรู้สึกหวาดกลัวกับความเด็ดขาดในสายตาของเฮ่อเหวินจิ้ง เขาสัมผัสได้ว่าคราวนี้เฮ่อเหวินจิ้งไม่ใช่แค่พูดเท่านั้น แต่เธอทำจริง!


เขารักเฮ่อเหวินจิ้ง เขารักผู้หญิงคนนี้จริงๆ!


สองปีมานี้ที่อยู่กับเฮ่อเหวินจิ้ง นับเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของเขา เขาต้องอยู่กับเฮ่อเหวินจิ้งเท่านั้น จึงจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นเหมือนเป็นผู้ชายจริงๆ!


จี้เจี้ยนโปกอดเฮ่อเหวินจิ้งไว้แน่น คล้ายกับกอดความหวังครั้งสุดท้าย น้ำตาของเขาเอ่อคลอเบ้า เห็นได้ว่าเขาเสียใจจริงๆ


เฮ่อเหวินจิ้งหลับตาปี๋ น้ำตาสองสายร่วงพราวลงมาซึมเข้าปาก รสขมจนรู้สึกชา เหมือนดั่งหัวใจของเธอ


“เจี้ยนโปคุณรู้ไหม สองปีที่ผ่านมานี้ฉันมักจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาปอยู่เสมอ ความสัมพันธ์ของพวกเรา ฉันมองไม่เห็นหนทางเลย ทุกวันที่ฉันยิ่งหลบซ่อน ฉันต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน เป็นกังวลว่าภรรยาของคุณจะมาหา และก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรกับฉันหรือเปล่า?”


ฉันเป็นหญิงที่มั่วผู้ชายอย่างที่คนเขาเรียกกัน เมื่อก่อนฉันดูถูกเหยียดหยามผู้หญิงอย่างนี้มาก แต่ตอนนี้ฉันเองกลับกลายเป็นคนที่ตัวเองดูถูกดูแคลนที่สุด เจี้ยนโป คุณปล่อยฉันให้เป็นอิสระเถอะ!”


เฮ่อเหวินจิ้งเจ็บปวดไม่สิ้นสุด เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น


จี้เจี้ยนโปก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขารู้ว่าตัวเองนั้นเห็นแก่ตัวมาก ทั้งอาลัยอาวรณ์ความอ่อนโยนของคนรัก ทั้งเสียดายตำแหน่งผู้ช่วยศาตราจารย์ที่กำลังจะได้มา เขาเองก็กำลังดูถูกตัวเองในตอนนี้


แต่เขายอมไม่ได้ จริงๆ ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ออกมาจากหมู่บ้านที่ไกลโพ้น เดิมทีเขาคิดว่าอย่างไรการออกมาจากที่ตรงนั้นแล้วก็จะมีความก้าวหน้าในคราวเดียว และกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ


แต่ความเป็นจริง ตอนที่ได้รับมอบหมายงาน เขากลับถูกเล่นงานอย่างหนัก เพราะเขาไม่มีทั้งเงินและเส้นสาย


ทำให้ในที่สุดก็ต้องถูกส่งตัวกลับภูมิลำเนาเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่ในหมู่บ้านที่ไกลโพ้น แต่เป็นโรงเรียนมัธยมอำเภอที่บ้านเกิดของเขา


แต่อำเภอเล็กๆ จะเทียบกับเมืองจินได้หรือ?


เทียบไม่ได้เลยสักนิด!


เขาสอบผ่านมาได้อย่างยากลำบาก เขาจะกลับไปอีกครั้งได้อย่างไร


ครั้นแล้ว จี้เจี้ยนโปจึงประนีประนอม เขาแต่งงานกับอู่เจิ้งหง และพักอยู่ที่เมืองจินอย่างถูกต้องตามครรลอง เขายังได้รับมอบหมายให้สอนที่มหาวิทยาลัย ทำให้นักเรียนหลายคนอิจฉา แม้ว่าพวกนักเรียนจะมองเขาด้วยสายตาที่เหยียดหยามตัวเขาเองอย่างเปิดเผย แต่จี้เจี้ยนโปก็ไม่สนใจ เขาแค่อยากจะเด่นกว่าคนอื่น และอีกอย่าง พอปิดไฟแล้ว ผู้หญิงก็ล้วนเหมือนกันหมดไม่ใช่หรือ?


ในตอนนั้นเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ และคิดว่าจะใช้ชีวิตกับอู่เจิ้งหงอย่างสงบสุข เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ไม่มีมโนธรรมและไม่มีความรับผิดชอบ


แต่ตอนนี้มโนธรรมและความรับผิดชอบก็กลับมาเล่นงานเขาอย่างหนักอีกครั้ง!


อู่เจิ้งหงหน้าตาไม่สวยก็ช่างปะไร แต่เธอกลับมีนิสัยเกียจคร้าน ไม่ชอบแต่งตัว และขี้โมโห สิ่งที่เขาทนไม่ได้ก็คือโรคขี้ระแวงของอู่เจิ้งหงนั้นรุนแรงมาก และตลอด 24 ชั่วโมงเธอจะสงสัยว่าเวลาอยู่ข้างนอกเขาจะมีผู้หญิงอื่น


นั่นคือสวรรค์และโลกมโนธรรมก่อนที่เขาจะรู้จักเฮ่อเหวินจิ้ง


แม้แต่เพื่อนร่วมงานหญิงเขาไม่ก็คุยด้วย ก็เพราะกังวลว่าอู่เจิ้งหงจะเป็นโรคประสาท


จนกระทั่งมาพบเฮ่อเหวินจิ้งเข้า ผู้หญิงที่ทั้งสวยและจิตใจดีคนนี้


เขาตกหลุมรักเธอเข้าแล้ว!


………………………………………………………………..


ตอนที่ 293 มองเห็นหรือไม่


จี้เจี้ยนโปกับเฮ่อเหวินจิ้งกอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง เป็นเพราะความรักระหว่างพวกเขา ทั้งยังเป็นรักที่ลึกซึ้งมาก ดังนั้นพวกเขาถึงได้ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส


“เจี้ยนโป คุณกับภรรยาของคุณใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะ ฉัน…ฉันเตรียมตัวจะกลับบ้านเกิดแล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องติดต่อกันอีก!”


เฮ่อเหวินจิ้งพูดปนสะอื้น ถึงแม้วันนี้จี้เจี้ยนโปไม่มา เธอก็กำลังจะไปหาเขาเพื่อพูดให้เคลียร์ ช่วงก่อนหน้านี้แม่โทรศัพท์มาหา ขอให้เธอกลับเมืองหลวงปีหน้า บอกว่าใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกนานแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะกลับมาบ้านได้แล้ว


แม่โทรศัพท์มาหานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เฮ่อเหวินจิ้งไม่ได้ปฏิเสธเหมือนกับครั้งก่อน ๆ  แต่เธอรับปากแม่แล้ว อู่เหมยพูดถูก เธอไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับจี้เจี้ยนโปอีกต่อไป สำนึกได้ตอนนี้ก็ยังทัน


หัวใจของจี้เจี้ยนโปถูกดึงหายไปทันที เขามองเฮ่อเหวินจิ้งด้วยความตกใจ พูดโดยไม่แม้แต่จะคิด “เหวินจิ้ง คุณอย่าไปนะ ผมจะกลับบ้านไปหย่าเดี๋ยวนี้ ตำแหน่งรองศาตราจารย์ผมไม่ต้องการแล้ว ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ผมต้องการแค่คุณ!”


เฮ่อเหวินจิ้งส่ายหน้าอย่างฝืนยิ้ม เธอไม่ได้คาดหวังการหย่าของจี้เจี้ยนโปเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนเธอโง่เขลาถึงได้เชื่อ  เรื่องนี้ตอนนี้เธอเห็นชัดเจนแล้ว จี้เจี้ยนโปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย และยังเป็นสมาชิกพรรค จะหย่าได้อย่างง่ายดายได้อย่างไร?


“เจี้ยนโป คุณอย่าหลอกตัวเองเลย ภรรยาของคุณจะตกลงหรือไม่ตกลงก็ยังบอกไม่ได้ คุณจะยอมทิ้งงานในปัจจุบันได้เชียวเหรอ?” เฮ่อเหวินจิ้งถามอย่างจงใจ


จี้เจี้ยนโปสีหน้านิ่งไป ในแววตามีความลังเล เฮ่อเหวินจิ้งหัวเราะทั้งที่เจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ


เธอรู้อยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรผู้ชายคนนี้ก็ให้ความสำคัญกับอาชีพการงานของเขาที่สุด เพื่อความก้าวหน้า เขายอมสละได้ทุกอย่าง รวมทั้งตัวเธอด้วย!


บรรยากาศในห้องอึมครึมรุนแรงดั่งกระแสคลื่นถะโถม จี้เหวินฮุ่ยที่อยู่นอกหน้าต่างถมึงตาจ้อง โมโหจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา เธอจ้องเขม็งภาพสองคนที่แนบชิดกันอยู่ในห้องด้วยความเกลียดชัง


ชายชั่ว หญิงโฉด!


คำพูดที่อู่เจิ้งหงพูดติดปากเป็นประจำปรากฏขึ้นมาในหัวของเธอ ใช้ได้กับพ่อของเธอเองและนังแพศยานั่นพอดี


จี้เหวินฮุ่ยอดกลั้นไม่หุนหันพลันแล่นบุกเข้าไปในห้อง กัดฟันกรอดด้วยความโมโห  สีหน้าเคร่งเครียด แล้วเธอก็หมุนตัวเดินจากไป


เธอเดินเร็วมากจนแทบจะวิ่ง  อู่เหมยกับอู่เชาลงมาจากอาคาร ด้วยสายตาเฉียบแหลม ก็ได้เห็นจี้เหวินฮุ่นรีบวิ่งไปทางข้างนอกในทันใด


“จี้เหวินฮุ่นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” อู่เชาก็เห็นเช่นกัน รู้สึกประหลาดใจมาก


อู่เหมยนึกถึงจี้เจี้ยนโปกับเฮ่อเหวินจิ้ง แอบคิดในใจว่าแย่แล้ว จะอธิบายให้อู่เชาฟังก็ไม่ทัน ต้องรีบวิ่งไปที่ห้องทำงานของเฮ่อเหวินจิ้ง ไม่รู้ว่าจี้เหวินฮุ่นเห็นหรือเปล่า?


จี้เจี้ยนโปกำลังจะกลับ


เขากับเฮ่อเหวินจิ้งต่างตาแดงเพราะร้องไห้ เขาเห็นอู่เหมยก็ผงกหัวให้ ไม่ยิ้มแย้มเหมือนดั่งเวลาปกติ


“อาเขย อาเห็นพี่เหวินฮุ่ยหรือเปล่าคะ?” อู่เหมยถามออกไปตรงๆ


จี้เจี้ยนโปอึ้งไป ส่ายหัวอย่างงงงัน “เหวินฮุ่ยมาที่นี่ทำไม? เธอเลิกเรียนก็ตรงกลับบ้านเลย”


“เมื่อครู่หนูเห็นพี่เหวินฮุ่ย วิ่งออกไปจากที่นี่”


จี้เจี้ยนโปหน้าถอดสี เหวินฮุ่ยมาห้องเรียนเยาวชนทำไม?


เธอเห็นเหวินจิ้งอยู่ด้วยกันกับเขาเมื่อครู่หรือเปล่า?


จี้เจี้ยนโปแอบภาวนาในใจว่าจี้เหวินฮุ่นจะไม่เห็น หวังว่าเธอแค่มาเล่นที่นี่เท่านั้น เขาคาดการณ์และจากไปด้วยความหงุดหงิดใจ


สยงมู่มู่กับอู่เชาเดินมา อู่เชาไม่ค่อยชอบเฮ่อเหวินจิ้งนัก ไม่ว่าเขาจะไม่ชอบอู่เจิ้งหงแค่ไหน แต่เธอก็เป็นอาของเขา เป็นคนของบ้านตัวเอง ผู้หญิงคนนี้คือคนนอก แล้วยังเป็นหญิงเลวที่ทำลายชีวิตการแต่งงานของอา ถ้าเขาชอบก็แปลกแล้ว!


“อาเฮ่อ อาเป็นอะไร?” ผู้ชายคนนั้นคือใคร?” สยงมู่มู่มองเฮ่อเหวินจิ้งด้วยความเป็นห่วง


…………………………………………………………………


ตอนที่ 294 ฉันจะเข้าร่วมการแสดงในวันปีใหม่


จริงๆ แล้วเฮ่อเหวินจิ้งเป็นเพื่อนของจ้าวอิงหนาน ที่ถูกต้องควรจะเป็นลูกสาวของลูกน้องเก่าของท่านผู้เฒ่าจ้าว แน่นอนว่าลูกน้องเก่าคนนั้นหาเลี้ยงชีพด้วยตัวคนเดียวนานแล้ว แต่เคารพนับถือท่านผู้เฒ่าจ้าวมาโดยตลอด มาเยี่ยมตระกูลจ้าวอยู่เสมอ


แม้ว่าจ้าวอิงหนานจะอายุมากกว่าเฮ่อเหวินจิ้งสิบกว่าปี แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนกลับดีมาก ไม่อย่างนั้นพอเฮ่อเหวินจิ้งออกมาจากบ้าน ก็คงไม่ไปที่บ้านจ้าวอิงหนานหรอก


ดังนั้นก็ควรจะนับได้ว่าเฮ่อเหวินจิ้งเป็นอาของสยงมู่มู่ ความสัมพันธ์ซับซ้อนมาก


เฮ่อเหวินจิ้งก้มหน้าด้วยความรู้สึกอับอาย จ้าวอิงหนานรู้เพียงว่าเธอกำลังคบกับผู้ชายคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเป็นจี้เจี้ยนโปที่แต่งงานแล้ว เธอไม่กล้าบอก มิเช่นนั้นด้วยนิสัยขี้โมโหของจ้าวอิงหนานแล้ว ต้องต่อว่าเธออย่างรุนแรงแน่นอน


แต่ตอนนี้มู่มู่ เด็กคนนี้เห็นความเลวของเธอแล้ว เฮ่อเหวินจิ้งอยากแทรกแผ่นดินหนีไปมาก เธอรู้สึกอับอายขายหน้า


สยงมู่มู่เห็นว่าผิดปกติ เขาไม่ได้ถามเรื่องจี้เจี้ยนโปอีกต่อไป แต่ขอลากลับอย่างเป็นห่วง อู่เหมยน่าจะรู้เรื่องดี เดี๋ยวเขาถามอู่เหมยก็ได้


ตอนที่กำลังจะกลับ อู่เหมยพูดกับเฮ่อเหวินจิ้งเสียงเบา “ครูเฮ่อคะ ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าลูกพี่ลูกน้องของหนูจะรู้เรื่องของครูกับอาเขย ยังไงครูต้องระวังหน่อยนะคะ อาของหนูนั้นเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลจริงๆ  เวลาโมโหขึ้นมาจะน่ากลัวมาก”


เฮ่อเหวินจิ้งก็กังวล เธอเองก็เป็นคนที่รักหน้าตาคนหนึ่ง หากภรรยาของจี้เจี้ยนโปมาหา เธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?


สายตาแปลกๆ เหล่านั้น แล้วไหนจะยังข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่น่าฟังอีก ทั้งหมดจะทำให้เธอเป็นบ้า!


“เหมยเหมย ขอบใจเธอมากนะ ครูจะระวัง” เฮ่อเหวินจิ้งกล่าวขอบคุณ


เธอคิดจะลางานหลายวันเพื่อหนีจากเรื่องบ้าๆ นี่ไปก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที อย่างไรก็ตามงานที่ห้องเรียนเยาวชนเป็นแค่งานชั่วคราวเท่านั้น สามารถไปมาได้ทุกเวลา


ตอนนี้เรื่องเต้นพวกเขาทำได้แค่พักไว้ก่อน อู่เชากลับบ้านก่อนแล้ว อู่เหมยกับสยงมู่มู่เดินไปด้วยกัน ตลอดทางที่เดินไปเธอก็เล่าเรื่องของเฮ่อเหวินจิ้งกับจี้เจี้ยนโป ในเมื่อจ้าวอิงหนานกับเฮ่อเหวินจิ้งสนิทกัน ก็ให้จ้าวอิงหนานแนะนำตักเตือนเฮ่อเหวินจิ้ง เธอไม่อยากให้เฮ่อเหวินจิ้งเป็นเหมือนกับชาติก่อนอีก จุดจบที่นำความเสื่อมเสียมาสู่ตัวเองอย่างตกต่ำ


สยงมู่มู่โมโหอย่างยิ่ง โกรธเฮ่อเหวินจิ้งที่โง่เขลา และยิ่งโกรธจี้เจี้ยนโปที่ไม่มีความรับผิดชอบ


“อาเขยของเธอคนนั้น ไม่ดีเอาเสียเลย มีภรรยาแล้วยังไปคบกับอาเฮ่อของฉันทำไม?” สยงมู่มู่พูดอย่างโกรธเคือง


อู่เหมยตอบกลับอย่างประชดประชันเสียดสี “ความเป็นจริงแล้วอาเขยของฉันไม่ได้ดีอะไรหรอกนะ แต่เรื่องนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ครูเฮ่อเองก็ต้องรับผิดชอบ เธอรู้อยู่แล้วว่าอาเขยของฉันมีภรรยาแล้ว แต่ทำไมยังยอมล่ะ? ปฏิเสธไปก็หมดเรื่อง”


ไม่ว่าเฮ่อเหวินจิ้งจะไม่รู้หรือใจอ่อน


ในเรื่องนี้เธอไม่มีความมั่นใจเพราะว่าตัวเธอเองนั้นทำผิด  ไม่ว่าอู่เจิ้งหงจะโวยวายอย่างไร ก็ล้วนแล้วมีเหตุผล คนนอกก็จะอยู่ข้างเธอ ช่วยอู่เจิ้งหงจัดการเฮ่อเหวินจิ้ง


ไม่ว่าเวลาใด เมียน้อยล้วนแล้วก็เป็นศัตรูของผู้หญิงเสมอ


สยงมู่มู่โดนอู่เหมยเอ็ดจนพูดไม่ออก จริงๆ แล้วเขารู้ว่าอู่เหมยพูดถูก ตบมือข้างเดียวไม่ดัง จี้เจี้ยนโปไม่ใช่คนดี เฮ่อเหวินจิ้งก็ไม่ดีไปกว่ากันเท่าไหร่


สยงมู่มู่โกรธจนปวดท้อง เพิ่งจะถึงบ้าน ก็ลงรถรีบวิ่งขึ้นไป เขาไปบอกเรื่องนี้กับแม่ทันที จะปล่อยให้เฮ่อเหวินจิ้งทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่ได้


อู่เหมยจอดจักรยานเสร็จ ตัวเองก็กลับบ้าน เหอปี้อวิ๋นกำลังทำกับข้าว อู่เยวี่ยอยู่ด้านข้างเป็นลูกมือช่วยล้างผักจนมือเท้าและเท้ายุ่งเป็นพัลวัน เนื้อตัวเปียกเพราะน้ำกระเด็น


อู่เหมยเห็นแล้วแอบโล่งใจ เมื่อก่อนล้วนเป็นเธอที่ทำ เหอปี้อวิ๋นไม่ยอมโดนน้ำ ในหน้าหนาวการล้างผัก ล้างจานเธอเป็นคนทำทั้งหมด ยังโชคดีที่ผิวเธอดี ถึงมือจะแช่น้ำทุกวันก็ยังดีที่ผื่นไม่ขึ้น


เธอไม่สนใจผู้หญิงสองคนนี้ ไม่แลตามองเดินเข้าห้องไป ทักทายแค่อู่เจิ้งซือ “พ่อคะ หนูสมัครเข้าร่วมแสดงงานปีใหม่ หนูจะแสดงกับมู่มู่และอู่เชาค่ะ”


…………………………………………………….


ตอนที่ 295 อู่เยวี่ยที่พูดโกหก


อู่เยวี่ยกำลังล้างผัก หลังจากที่ได้ยินคำพูดของอู่เหมย เธอก็ฉีกผักอย่างแรงด้วยความโกรธแค้น น้ำสีเขียวจากผักอาบย้อมจนมือเปลี่ยนสี


นังโง่ต้องจงใจแน่ๆ รู้ทั้งรู้ว่าเธอเข้าร่วมการแสดงไม่ได้ ยังจงใจพูดเสียงดังขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะอยากจะยั่วยุเธอหรือ?


เหอปี้อวิ๋นก็ได้ยินที่อู่เหมยพูด แต่เธอไม่ได้รู้สึกอะไร ยายตัวดีจะร่วมการแสดงหรือไม่นั้น เธอไม่สนใจสักนิด แต่ปล่อยให้อู่เหมยส่งเสียงดังอย่างนี้ กลับเป็นการย้ำเตือนเธอด้วยซ้ำ


“เยวี่ยเยวี่ย ครั้งนี้ชั้นเรียนของลูกแสดงอะไรล่ะ? ลูกยังได้เต้นนำหน้าไหม?” เหอปี้อวิ๋นตั้งใจพูดเสียงดัง ก็เพราะอยากจะให้คนที่เดินอยู่บนระเบียงล้วนได้ยินกัน


ลูกของบ้านไหนจะเหมือนเยวี่ยเยวี่ยได้ ผลการเรียนก็ดี ทั้งยังมีความสามารถหลากหลายด้าน แทบจะหาข้อบกพร่องไม่เจอเลย!


อู่เยวี่ยเริ่มรู้สึกอึดอัดใจ เธอตำหนิและกล่าวโทษเหอปี้อวิ๋น ให้เข้าห้องก่อนแล้วค่อยถามไม่ได้หรือ?


จงใจถามต่อหน้าคนเยอะๆ ช่างไม่มีสมองจริงๆ!


อู่เยวี่ยฝืนยิ้ม “หนูถอนชื่อออกจากการแสดงแล้วค่ะ ครูให้หนูเข้าร่วมการแสดง แต่หนูไม่ยอม หนูอยากจะเอาความตั้งใจทั้งหมดไปอยู่ที่การเรียนค่ะ”


เป็นเวลานานที่เหอปี้อวิ๋นจะโต้ตอบ อย่าบอกนะว่าลูกหัวแก้วหัวแหวนของเธอจะไม่ได้เต้นรำนำหน้า แม้กระทั่งเต้นแบบกลุ่มก็ยังไม่ได้มีส่วนร่วม!


แล้วเธอยังพูดต่อหน้าคนเยอะอย่างนี้ ขายหน้าหมดแล้ว!


“เยวี่ยเยวี่ยคิดรอบคอบมาก หน้าที่หลักของนักเรียนก็คือการเรียนหนังสือ การเจียดเวลาไปร้องเพลง เต้นรำ ก็ยังไม่ได้ทำให้เรียนรู้อะไร เอาออกก็ดีเหมือนกัน” เหอปี้อวิ๋นหน้ายิ้มระรื่น ดูไม่ออกว่าไม่พอใจ


คนอื่นๆ เบ้ปากกันหมด ล้วนดูถูกผู้หญิงสองคนนี้ที่พูดเองแสดงเอง เห็นคนอื่นเป็นคนโง่ ช่างตลกจริงๆ !


อู่เหมยก็ได้ยินคำพูดของอู่เยวี่ย เธอรู้สึกเหยียดหยามอย่างที่สุด ยังสามารถทำให้ตัวเองดูดีได้จริงๆ!


เห็นๆ อยู่ว่าเพื่อนร่วมชั้นหญิงคนอื่นๆ ที่เต้นก็ต่างพากันรังเกียจกลิ่นตัวของอู่เยวี่ย ถึงได้ปฏิเสธอู่เยวี่ย นี่ก็พอจะเป็นข้ออ้างได้ พอเต้นรำลงจากเวทีมา ต้องเหงื่อไหลไคลย้อยแน่นอน กลิ่นตัวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เพื่อนร่วมชั้นหญิงเหล่านั้นของอู่เยวี่ยคงได้เหม็นคละคลุ้งจนเป็นลม


เจินหวานหว่านถึงได้ชอบสืบเรื่องราวของอู่เยวี่ยเป็นพิเศษ อีกอย่างข่าวของเธอก็รวดเร็วมาก สามารถเสาะหาเรื่องที่คนอื่นไม่รู้มาได้เป็นประจำ ผู้หญิงคนนี้ยังมีงานอดิเรกอย่างหนึ่ง ก็คือสามารถเอาวีรกรรมอันรุ่งโรจน์ของอู่เยวี่ยมาเล่าให้อู่เหมยได้ฟังเป็นคนแรกเสมอ


ก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้คิดอะไรอยู่


อู่เหมยครุ่นคิดพร้อมกับเดินออกไป แกล้งถามด้วยความเป็นห่วง “พี่คะ เพื่อนร่วมชั้นของพี่รังเกียจกลิ่นตัวพี่ ถึงไม่ยอมให้พี่เต้นใช่ไหม? พี่อย่าไปใส่ใจเลยนะเดือนหน้าพี่ก็สอบให้ได้ที่หนึ่ง ข่มพวกเธอเลย!”


อู่เยวี่ยแค้นจนกัดฟันแทบหัก ฝืนยิ้มแล้วกล่าว “เหมยเหมยอย่าพูดเหลวไหล พี่กับเพื่อนร่วมชั้นรักใคร่กลมเกลียวกันมาก จะขัดแย้งกันได้ยังไง? การแสดงครั้งนี้พี่เองที่ไม่อยากมีส่วนร่วม”


“เอ๊ะ ฉันได้ยินชัดๆ ว่าเพื่อนร่วมชั้นของพี่ไม่ยอมเต้นกับพี่ ถึงได้พากันปฏิเสธ ทำไมถึงไม่เหมือนกับที่พี่พูดล่ะ?”


อู่เหมยทำสีหน้าประหลาดใจ และดูไร้เดียงสาเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกับอู่เยวี่ยที่สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ยิ้มเจื่อนขนาดนั้น ใครพูดจริง ใครพูดโกหก มองปราดเดียวก็รู้


บรรดาสมาชิกในครอบครัวต่างพากันแอบส่ายหน้า ลูกสาวคนโตของตระกูลอู่ก็คงจะเหมือนกับหุ่นโชว์ที่แขวนอยู่ข้างนอก มองดูไกลสวยงามมากๆ แต่ถ้าเข้าไปใกล้ๆ กลับพบว่าเสื้อผ้าเต็มไปด้วยฝุ่น นอกจากนี้ด้านในของหุ่นโชว์ก็อาจจะแตกหักแล้ว


แม้ว่าตอนนี้สภาพอู่เยวี่ยเป็นอย่างนี้ แต่หากไม่มีการป่าวประกาศของอู่เหมย สิ่งที่ทุกคนเห็นก็ยังเป็นหุ่นโชว์ที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ งดงามอ่อนช้อย แต่พออู่เหมยโวยวายขึ้นมา เสื้อผ้าที่สวยงามและประณีตของอู่เยวี่ยถูกถอดออกหมดเกลี้ยง เผยให้เห็นข้างในที่ไม่ค่อยน่ามอง


ตอนนี้ในใจของคนเหล่านี้ล้วนมีความคิดที่เหมือนกัน


อู่เยวี่ยที่สง่างาม และมีความสามารถที่เหอปี้อวิ๋นคุยโวไว้ แท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนี้อีกต่อไป เมื่อเธอมีทั้งสภาพจิตใจไม่ปกติ แล้วยังมีกลิ่นเต่า ผลการเรียนก็แย่ลง เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมี ทำอะไรก็ไม่ได้ ตอนนี้ยังมีปัญหาใหม่ปรากฏขึ้นมาอีก ไม่คิดเลยว่าอู่เยวี่ยยังชอบพูดโกหกอีก?


……………………………………………………………..


ตอนที่ 296 พี่…พี่สภาพจิตใจไม่ปกติ


แม้ว่าทุกคนแสดงสีหน้าไม่ชัดเจน แต่ภายในใจกลับดูถูกอู่เยวี่ยอย่างมาก เรื่องกลิ่นตัวก็แล้วกันไป สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่สภาพจิตใจไม่ปกติกับชอบพูดโกหกไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เลย


อีกอย่าง โรคทางประสาทของอู่เยวี่ยยังสามารถฆ่าคนได้ หลายวันก่อนที่บ้านอู่ เอะอะโวยวายเสียงดังกลางดึก พวกเขายังจำได้ดี จิ๊ๆ รอยแผลบนคอของลูกสาวคนเล็กตระกูลอู่ เห็นแล้วรู้สึกเวทนาจริงๆ!


จิตใจที่ชอบโกหก ก็ยังถือว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยปกติ ฟังอย่างไรก็น่าหวาดกลัว


ต่อไปคงต้องกำชับเด็กๆ ที่บ้าน ให้อยู่ห่างๆ อู่เยวี่ยไว้ ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะอาละวาดขึ้นมาอีกตอนไหน!


อู่เหมยพูดจบก็กลับห้องไป เมื่อครู่เธอพูดค่อนข้างเสียงดัง บรรดาครอบครัวเหล่านั้นน่าจะได้ยินกันหมดแล้วมั้ง?


อู่เจิ้งซือมองอู่เหมยด้วยความไม่พอใจ กล่าวด้วยเสียงต่ำ “เหมยเหมย ต่อไปถ้ามีอะไรจะพูดให้พูดในบ้าน ไม่ต้องออกไปพูดที่ระเบียง”


“อ้อค่ะ หนูก็อยากจะปลอบใจพี่สาว กลัวกว่าพี่จะคิดมาก สภาพจิตใจของพี่ไม่ค่อยจะดีนะ” อู่เหมยอธิบายจริงจัง ดูแล้วก็เหมือนน้องสาวที่ดีคนหนึ่งที่ห่วงใยพี่สาว


อู่เจิ้งซือขมวดคิ้ว มองใบหน้าเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาของอู่เหมยอย่างเสียไม่ได้ เขาไม่สงสัยอู่เหมยที่แฝงไว้ด้วยเจตนาไม่ดี ในใจของเขา อู่เหมยเป็นเด็กดีมาตลอด จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะทำร้ายอู่เยวี่ย?


คงเป็นเพราะลูกสาวคนเล็กพูดจาไม่ค่อยเป็นสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ ห่วงพี่สาว แต่พูดออกมากกลับกลายเป็นคนละอย่าง ไม่มีศิลปะในการพูดเอาเสียเลย


“เหมยเหมย ต่อไปลูกต้องอ่านหนังสือมากๆ เรียนเทคนิคการพูดสักหน่อยนะ” อู่เจิ้งซือพูด


อู่เหมยรับปากแต่โดยดี อย่างไรก็ตามอู่เจิ้งซือไม่ไปตรวจดูจริงๆ ว่าเธอเคยอ่านหนังสือหรือไม่ อยู่ต่อหน้าเขาเธอทำอีกอย่างลับหลังทำอีกอย่างก็พอแล้ว อู่เหมยกลอกตาไปมา เอ่ยถามอีก “พ่อคะ แม่ได้พาพี่ไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือเปล่า?” พี่ ไม่ได้เป็นโรคประสาทจริงๆ ใช่ไหม?”


อู่เยวี่ยที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทนฟังไม่ไหว ผลักประตูพุ่งเข้าไปในห้องนั้น ตวาดเสียงต่ำ “อู่เหมย เธออย่าพูดจาเหลวไหล สภาพจิตใจของพี่ไม่มีอะไรจะปกติไปกว่านี้อีกแล้ว เธอสิ เป็นโรคประสาท!”


อู่เหมยก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแค่เปิดปกเสี้อออก รอยบีบทั้งหมดนั้นที่อู่เยวี่ยมอบให้ ปรากฏขึ้นมาทันที รอยแผลสีจางลงเยอะ แต่ดูแล้วก็ยังน่ากลัวมาก อู่เจิ้งซือรู้สึกตกใจแทบไม่ทันตั้งตัว แต่ไม่นานก็สงบสติอารมณ์ลง


“พี่คะ ก็เห็นดีๆ กันอยู่ แล้วทำไมถึงบีบคอคนอื่น? พวกเราอย่าเจ็บป่วยแล้วไม่ไปรักษาสิ พี่เป็นโรคอะไร รักษาให้หายตั้งแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า พ่อว่าหนูพูดถูกไหม?” อู่เหมยหันไปมองอู่เจิ้งซือ


อู่เจิ้งซือสีหน้าลังเล ที่อู่เหมยพูดก็มีเหตุผล ตระกูลอู่ไม่เคยมีประวัติป่วยเป็นโรคประสาทมาก่อน ตระกูลเหอก็ไม่เคยได้ยินว่ามี


สาเหตุคงจะเป็นเพราะเยวี่ยเยวี่ยเรียนหนังสือกดดันเกินไป ควรไปหาหมอให้รักษาแต่เนิ่นๆ ดีกว่า


“เยวี่ย เยวี่ย…”


อู่เจิ้งซือกำลังจะเอ่ยปากพูดก็ถูกอู่เยวี่ยขัดจังหวะ อู่เยวี่ยตะคอกด้วยความโมโห “สภาพจิตใจของหนูไม่มีอะไรจะปกติไปกว่านี้อีกแล้ว คุณพ่ออย่าไปฟัง อู่เหมยพูดโกหก เธอก็แค่อิจฉาหนู ถึงได้จงใจใส่ร้ายหนู หนูไม่ต้องการไปโรงพยาบาล หนูเป็นคนปกติดี ทำไมต้องไปโรงพยาบาลด้วย?”


เหอปี้อวิ๋นรีบเข้ามาดึงอู่เยวี่ยที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่มาไว้ในอ้อมแขน เธอปวดใจอย่างที่สุด มองอู่เจิ้งซือด้วยความไม่พอใจ “เหล่าอู่ ทำไมคุณถึงได้เชื่อเหมยเหมยที่พูดเรื่องไร้สาระบ่อยๆ ? ยายเด็กนี่จิตใจมืดบอดหมดแล้ว พูดว่าร้ายเยวี่ยเยวี่ยได้ทั้งวัน”


อู่เหมยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณแม่จะพูดอะไรก็ต้องมีหลักฐานนะคะ คนที่บีบคอจนอยากจะให้หนูตายคือพี่สาว ทำอย่างนี้เธอยังจะปกติอีกเหรอ? ถึงแม่จะไม่เห็นความสำคัญของหนู แต่ก็อย่าปั้นน้ำเป็นตัวเลย ถึงอู่เยวี่ยเป็นลูกรักของแม่ แต่ไม่ใช่หนู แล้วหนูมีเหตุผลอะไรที่จะต้องยอมให้พี่บีบคอ?”


…………………………………………………………….


ตอนที่ 297 อู่เหมยเกิดความสงสัยอีกแล้ว


“แกมันเลี้ยงไม่เชื่อง…”


อู่เหมยขัดจังหวะเหอปี้อวิ๋นที่โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยง พูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คนเนรคุณ คนไม่รู้จักบญคุณที่เลี้ยงไม่เชื่องนะหรือ? ตั้งแต่เล็กจนโต คำพูดนี้แม่พูดนับครั้งไม่ถ้วน หนูก็แปลกใจนะ ในเมื่อแม่รังเกียจหนู ตอนนั้นทำไมต้องให้หนูเกิดมาด้วย? แม่ก็เป็นอย่างนี้ ดูยังไงก็ไม่เหมือนแม่ที่คลอดหนูออกมา แต่เหมือนกับเก็บจากข้างนอกมาเลี้ยง”


ทันใดนั้นอู่เจิ้งซือก็ไอขึ้นมา ไอหนักจนปอดแทบฉีก อู่เหมยหยิบน้ำยื่นให้เขา อู่เจิ้งซือหลังจากดื่มน้ำแล้วถึงค่อยหยุดไอ เขาหน้าแดง สายตาเขาเริ่มแปลกไปเพียงแต่อู่เหมยไม่ได้สังเกต


“ฉันจะตีแกให้ตาย นังคนไม่รู้จักบาปบุณคุณโทษ แม่เลี้ยงแกมาอย่างลำบากแสนเข็ญ แกก็ไม่รู้จักบุญคุณ แล้วยังกล้าย้อนฉันอีก? เหล่าอู่คุณได้ยินแล้วใช่ไหมที่ยายตัวแสบพูดกับฉัน!”


เหอปี้อวิ๋นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ  ไม่อยากจะพะว้าพะวงอู่เจิ้งซืออีกแล้ว คว้าไม้ขนไก่ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา ฟาดไปที่อู่เหมยโดยไม่คิด อู่เหมยก็ไม่ได้โง่ยืนให้เธอตีแน่นอน ตอนนี้ชื่อเสียงของเหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยเกือบจะทำให้เธอแพ้แล้ว ในช่วงนี้เธอต้องหยุดสักพัก หากไม่อย่างนั้นอู่เจิ้งซือจะรายงานลำบาก


ในเมื่อไม่ต้องต่อล้อต่อเถียงกับเหอปี้อวิ๋นและอู่เยวี่ยอีก ทำไมเธอยังต้องทนให้เจ็บเนื้อหนังอยู่เรื่อย คนโง่เท่านั้นถึงจะไม่หลบ!


“แม่ตีหนู ด่าหนูทุกวัน มองหนูเป็นวัชพืช แต่มองอู่เยวี่ยเป็นลูกรัก ฮึ! แม่เห็นหนูไม่มีตา ไม่มีสมองเหรอ? คนที่เลี้ยงดูหนูคือคุณพ่อ ส่วนแม่ ใช่คนที่คลอดหนูหรือไม่ เรื่องนี้ยากที่จะบอกได้ ใครจะไปรู้ว่าหนูถูกเก็บมาจากกองขยะไหน!”


อู่เหมยโต้กลับอย่างไม่เกรง ตอนนี้เธอสงสัยชีวิตของตัวเธอเองจริงๆ หากเหอปี้อวิ๋นให้กำเนินเธอเอง จะเป็นไปได้อย่างไรที่เหอปิ้อวิ๋นจะรังเกียจตัวเธอเองเช่นนี้?


ทุกครั้งเวลาที่เหอปี้อวิ๋นใช้สายตาที่ขยะแขยงและเกลียดชังมองตัวเธอเอง ใจของอู่เหมยก็รู้สึกว่าเธอคล้ายกับปลาที่น่าสงสารที่กำลังถูกขอดเกล็ด เกล็ดปลาชิ้นนั้นถูกเอาออกจากตัวเธออย่างโหดเหี้ยม และแต่ละแผ่นก็ติดกับเนื้อและเลือด เชื่อมไปถึงเส้นเอ็นและหลอดเลือด เจ็บปวดเหมือนโดนกัดกินไปถึงหัวใจ


ไม่มีแม่คนใดในโลกนี้สามารถปฏิบัติต่อลูกในไส้ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างนี้ แม้ว่าจะมีแม่ที่ลำเอียงอยู่ทุกที่ แต่ไม่เหมือนกับเหอปี้อวิ๋นที่ลำเอียงอย่างที่สุด ผู้หญิงคนนี้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่ใช่คนในครอบครัว แต่เป็นเหมือนกับศัตรู


หรือว่ามีหนี้แค้น!


เหอปี้อวิ๋นตาแดง ไม่นึกเลยว่ายายตัวดีจะกล้าย้อน


“ฉันจะตีแกให้ตาย นังคนไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ แม่คลอดแกออกมา เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แกกลับตอบแทนฉันอย่างนี้? ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าแกจะใจดำเหมือนกับสัตว์ ตอนนั้นฉันก็คงจะบีบคอแกให้ตายแล้วโยนทิ้งส้วมไปแล้ว!”


เหอปี้อวิ๋นถือไม้ขนไก่ตามอู่เหมยไป วันนี้จะต้องตียายตัวแสบนี่ให้ขาหักให้ได้ หากไม่ใช่เพราะนังสารเลวนี่ เธอก็คงจะมีลูกชายได้แล้ว


ทำไมอยู่ที่บ้านอู่ เธอถึงไม่มีความมั่นใจแล้ว?


ก็ไม่ถึงกับฝากความหวังทั้งหมดไว้กับอู่เยวี่ย หรือกดดันเยวี่ยเยวี่ยมากเกินไปเสียจนทำให้สภาพจิตใจของเยวี่ยเยวี่ยมีปัญหา


เยวี่ยเยวี่ยที่น่าสงสารของเธอ!


ทั้งหมดเป็นเพราะนังสารเลวนี่ทำร้าย อู่เหมยคือตัวซวย!


แค้นใหม่รวมกับความเกลียดเดิม ทำให้เหอปี้อวิ๋นโกรธจนตาแดงก่ำ ตอนนี้หน้าตาของเธอน่ากลัว คิดแต่จะจับอู่เหมยฟาดให้ตาย


เพียงแต่ว่า เธอเป็นผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จะวิ่งเร็วเหมือนกับเด็กผู้หญิงได้ที่ไหน อู่เหมยวิ่งไปข้างหลังอู่เจิ้งซืออย่างรวดเร็วและง่ายดาย เจอโล่ป้องกันตัวอย่างดีแล้ว


“พ่อคะ พอเห็นแม่เป็นอย่างนั้นแล้ว จะบอกได้ไหมว่านี่คือท่าทีที่ปฏิบัติต่อลูกสาวที่ให้กำเนิดเอง? หนูว่าแม่อยากจะฆ่าหนูให้ตายใจจะขาด หนูใช่ลูกแท้ๆ เหรอ? คุณพ่อ พ่อไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดใช่ไหมคะ?”


……………………………………………………………………


ตอนที่ 298 อู่เจิ้งซือที่ร้อนตัว


อู่เหมยพูดไปพร้อมกับคอยสังเกตสีหน้าของอู่เจิ้งซือไปด้วย คำพูดของเหอปี้อวิ๋นเมื่อครู่ ทำให้เธอเกิดความสงสัยขึ้นมาอีก ดูลักษณะของเหอปี้อวิ๋น เธอก็ไม่เหมือนคนพูดโกหก แต่เธอก็ยังไม่เชื่อ


แต่ถ้าเธอเป็นลูกในไส้ของเหอปี้อวิ๋น จะเป็นไปได้อย่างไรที่แม้แต่ความรักทางสายเลือดเพียงน้อยนิดจะไม่มีเลย?


ดังนั้นเธอก็อยากจะถามอู่เจิ้งซือ ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าอู่เจิ้งซือจะสามารถให้คำตอบที่น่าพอใจกับเธอ


พูดจริงๆ ตอนนี้เธอหวังว่าตัวเองจะถูกเก็บมาจากข้างนอก เด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักพ่อแม่บังเกิดเกล้า ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอก็สามารถไปจากบ้านนี้ได้อย่างสมเหตุสมผล


ตอนแรกอู่เจิ้งซือจะไปดึงเหอปี้อวิ๋น พอโดนอู่เหมยถามอย่างนี้ เขาก็ไอขึ้นมาอีก และไอรุนแรงกว่าเมื่อครู่นี้จนแทบจะหายใจไม่ออก


ผ่านไปสักพักอู่เจิ้งซือถึงค่อยดีขึ้น เขามองอู่เหมยด้วยสีหน้าที่สับสน สายตาของเขาแปลกประหลาดมาก แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วแวบเดียว แต่อู่เหมยก็รับรู้ได้ เธอเริ่มครุ่นคิด เธอมองท่าทางของอู่เจิ้งซือ ชีวิตของเธอมีปัญหาจริงๆ!


“เหมยเหมย ลูกพูดเหลวไหลอะไร? ลูกก็คือลูกในไส้ของแม่ จะไปเก็บมาจากข้างนอกได้อย่างไร? ต่อไปห้ามพูดอย่างนี้อีก!”


อู่เจิ้งซือตวาดเสียงต่ำ เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง และถมึงตาใส่เหอปี้อวิ๋นเป็นการตักเตือน


เหอปี้อวิ๋นใจเย็นลงมาบ้างแล้ว ยอมให้อู่เยวี่ยปลอบใจ เธอไม่ไล่ตีอู่เหมยแล้ว แต่สีหน้าของเธอยังคงดูไม่ดี เธอยิ้มอย่างดูแคลนและกล่าว “เหล่าอู่ คุณยังจะฟังคำพูดของเด็กสารเลวนี่อีกนะ คนอกตัญญูที่ไม่รู้จักบุญคุณ กินของเรา ใช้ของเรา ใช้เงินของเรา ตอนนี้ยังมาบอกว่าพวกเราปฏิบัติกับเธออย่างโหดร้าย เชอะ! เลี้ยงหมายังดีกว่าเลี้ยงนังสารเลวนี่อีก!”


“หนูไม่ได้ว่าพ่อสักหน่อย แม่ก็อย่าโยนความผิดให้หนู อีกอย่างที่หนูได้กินใช้ก็เป็นเงินของพ่อ เงินของแม่ทั้งหมดให้คุณตาคุณยายใช้แล้ว อย่าคิดว่าหนูไม่รู้นะ” อู่เหมยตะโกนเสียงดัง เปิดโปงจุดอ่อนของเหอปี้อวิ๋นแบบไม่เกรงใจ


เดิมทีอู่เจิ้งซือยังอยากจะตำหนิอู่เหมยว่าไม่มีมารยาท แต่พอได้ยินคำพูดของอู่เหมย เขาก็ปิดปากทันที เขารู้สึกเอือมระอาพักหนึ่ง เมื่อก่อนเขาไม่เคยสนใจเงินเดือน แต่หลายวันมานี้เขายิ่งคิดยิ่งเบื่อ แค่รู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบมาก


“พอแล้ว เธอ เป็นผู้ใหญ่ไปทะเลาะกับเด็กทั้งวันทำไม? จะว่าไปแล้วเหมยเหมยพูดก็ถูก ถ้าเธอปฏิบัติกับเหมยเหมยได้ครึ่งหนึ่งเหมือนกับที่เธอตั้งใจปฏิบัติกับเยวี่ยเยวี่ย เหมยเหมยก็ไม่มาพูดอย่างนี้”


อู่เจิ้งซือตำหนิด้วยน้ำเสียงต่ำ ช่วงนี้ในบ้านมีแต่ความวุ่นวายบ่อยๆ  ทำให้เขาสูญเสียความอ่อนโยนและการควบคุมตัวเองอย่างในอดีตไป กลายเป็นคนอารมณ์ร้อน เขาเริ่มหมดความอดทนกับเหอปี้อวิ๋น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตว่า ท่าทีของเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนแทบอยากจะกระอักเลือดออกมา นังเด็กสารเลวกลายเป็นคนหยาบคาย แล้วยังทำให้อู่เจิ้งซือลุ่มหลงอีก


“เหล่าอู่คุณเปลี่ยนไป เมื่อก่อนคุณไม่เป็นอย่างนี้ แต่ตอนนี้คุณไม่เพียงแต่ด่าฉัน แต่ยังตบตีฉัน ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้?”


เหอปี้อวิ๋นถามด้วยความคับแค้นใจ แก้มยังบวมอยู่ แค่เธอพูดเสียงดังก็รู้สึกเจ็บขึ้นมา วันนี้สายตาของเพื่อนร่วมงานที่โรงเรียนมองมายังเธอ ทำให้เธอรู้สึกจิตใจฟุ้งซ่านตลอดทั้งวัน อู่เหมย นังเด็กสารเลวยังมายั่วยุเธออีก ถ้าเธอไม่โมโหสิถึงจะแปลก


อู่เจิ้งซือรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อคืนหลังจากที่ตบเธอ เขาเองก็เสียใจ เขาเป็นครูที่มีเกียรติและเป็นแบบอย่าง แต่กลับทำเรื่องเสื่อมเสียศักดิ์ศรี หยาบคายเช่นนี้ได้อย่างไร?


ตอนแรกอู่เหมยอยากจะพูดคำพูดที่นุ่มนวลสักสองสามประโยคให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่เธอก็กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พ่อแค่ตีแม่สองครั้งเอง แต่แม่ตีหนูตั้งแต่เด็กจนโต หนูยังไม่คิดเล็กคิดน้อยกับแม่เลย แม่ทำไมต้องรั้งพ่อไว้?”


อู่เจิ้งซือพูดไม่ออก แล้วยังปล่อยให้อู่เหมยดพูดเสียดแทงอีก รอยบวมช้ำที่หน้าของอู่เหมย ไหนจะรอยจางๆ ที่คอ ร่องรอยเหล่านี้ยังคงติดตาเขาอยู่ตลอด


เหมยเหมยพูดถูก เพิ่งจะตบไปแค่สองฉาดเท่านั้น แต่ถ้าเทียบกับการที่เหอปี้อวิ๋นทำให้เขาเสียหน้า ตบสองฉาดนี้ยังน้อยไป!


…………………………………………………………………….


ตอนที่ 299 หนูจะลงโทษพี่สาวแทนแม่เอง


อู่เยวี่ยไม่ได้พูดอะไรเลยมาโดยตลอด เธอจิตใจว้าวุ่น เหมือนกับว่าโลกที่เธออยู่ได้เปลี่ยนไปในช่วงเวลาสั้นๆ พ่อไม่ก็รักเธอแล้ว และพ่อก็ไม่รักแม่อีก คนโง่กลับไม่โง่และก็ไม่ขี้เหร่แล้ว ทั้งยังค่อยๆ เปล่งประกายแสงสว่างอันรุ่งโรจน์ที่เจิดจ้าจนแสบตา


ในทางกลับกัน เธอโชคร้ายเหลือเกิน ถูกคนว่าเป็นโรคประสาท แล้วยังมีกลิ่นตัว ที่แย่ที่สุดคือ ผลการเรียนของเธอกลับตกต่ำที่สุด ครูและเพื่อนร่วมชั้นก็ไม่รักเธออีกต่อไปแล้ว ผู้คนรอบตัวเต็มไปด้วยเจตนาร้ายตลอดเวลา


มีเพียงแม่เท่านั้นที่ยังรักเธอ!


แต่แม่ก็โง่เกินไป แม้แต่อู่เหมยก็ยังรับมือไม่ไหว ยิ่งตอนนี้ไม่มีตำแหน่งอะไรเลยในบ้าน อำนาจบริหารเงินทองก็ไม่มีแล้ว ที่ส่งผลกระทบโดยตรงที่สุดคือ เงินค่าขนมของเธอลดลงมาอย่างรวดเร็ว แม้ตอนนี้เธอยังไม่รู้สึกอะไรกับพวก เสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ อาหารเสริม แต่เธอก็สามารถคาคการณ์ถึงชีวิตมืดมนในอนาคตได้


ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่มีเงินมากมาย ไม่มีเงินก็ทำได้เพียงใช้ชีวิตอย่างอึดอัดใจ


แต่เธอไม่เคยนึกถึงชีวิตที่ต่ำต้อยด้อยค่า เธอต้องการแต่งตัวสวยงามทุกวันเพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นของเธออิจฉา เธอยังต้องการที่จะสอบได้ที่หนึ่งไปตลอด สายตาอิจฉาของพวกเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นทำให้เธอมีความสุขมาก


เธอขาดเครื่องประดับเหล่านี้ในชีวิตไม่ได้ มันสำคัญเหมือนกับอากาศและน้ำ


หากไม่มีสายตาที่อิจฉาเหล่านี้ เธอจะเหมือนปลาที่ขาดน้ำ ไม่สามารถหายใจได้ ในที่สุดก็ตาย


ดังนั้น…


เธอต้องกลับไปเหมือนเมื่อก่อน!


อันดับแรกต้องให้เหอปี้อวิ๋นกลับไปเอาอำนาจการบริหารเงินทองคืน หากมีเงินแล้วถึงจะทำเรื่องอื่นได้


อู่เยวี่ยค่อยๆ ใจเย็นลง เธอหันไปส่ายหน้าเบาให้เหอปี้อวิ๋นที่โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ยังพูดกับอู่เหมย “เหมยเหมย เธอพูดอย่างนี้ไม่ได้ แม่ตีเธอ ก็เพราะว่ารักเธอมาก ถึงได้ดุด่าเธอ ถึงอย่างไรเสียผลการเรียนของเธอเมื่อก่อนแย่จริงๆ ที่ตีไปก็เพราะแม่หวังดีกับเธอ เธอจะมาเกลียดแม่ได้ยังไง?”


อู่เจิ้งซือมีสีหน้าผ่อนคลายลง อู่เยวี่ยยังคงสำคัญอยู่ในใจเขา และคำพูดของอู่เยวี่ยก็มีเหตุผล ผลการเรียนของลูกสาวคนเล็กนั้นแย่มากจนหน้าอับอายจริงๆ อย่าว่าเหอปี้อวิ๋นเลย แม้กระทั่งเขาเห็นแล้วก็อยากจะตี


อู่เหมยจ้องอู่เยวี่ยอย่างเฉยเมย หัวเราะขึ้นมาทันที “ในเมื่อแม่รักอย่างสุดซึ้ง ถึงได้ดุด่า ถ้าอย่างนั้น เดือนนี้พี่สอบได้แย่ลงขนาดนี้ แล้วแม่ทำไมถึงไม่ลงโทษพี่ล่ะ? อีกอย่างเมื่อก่อนแม่ก็รักพี่มากแค่ไหน ถ้าถึงเวลาลงโทษก็ควรจะลงโทษให้หนักถึงจะถูกสิ!”


อู่เยวี่ยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ฝีปากของยายโง่นี่ร้ายกาจตั้งแต่เมื่อไร?


เธอถึงกับไม่มีคำพูดมาโต้ตอบ


อู่เหมยหัวเราะเยาะอีกครั้ง


เธอพูดต่อ “พี่พูดไม่ถูกนะ สำหรับหนูมันคือเกลียดอย่างยิ่งถึงได้ดุด่า แต่สำหรับพี่กลับเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวน จะลงโทษลงได้ซะที่ไหนกันล่ะ?”


เหอปี้อวิ๋นก่นด่า “ผลการเรียนของแกไม่ดี แล้วตีไม่ได้เหรอ? ฝึกฝีปากจนฝีปากคมคายได้ขนาดนี้ ทำไมไม่เอาเวลาไปคิดเรื่องเรียนบ้าง?”


“หนูเรียนดีกว่าเดิม แม่ไม่เห็นเหรอ? ผลการเรียนไม่ดีต้องตี ดังนั้นเมื่อก่อนแม่ตีหนู หนูก็ไม่ได้โวยวาย แต่ตอนนี้พี่เรียนแย่ลง จากอันดับหนึ่งตกอับดับลงมาอยู่อันดับที่สิบสอง แม้กระทั่งนักเรียนประถมอย่างพวกเราก็ยังรู้เลย ชื่อเสียงก็เหม็นฉาวโฉ่ไปไกลด้วย”


อู่เหมยมองหน้าเผือดสีของอู่เยวี่ยด้วยความยิ้มเยาะ ยังมีเหอปี้อวิ๋นที่โกรธหน้าเขียวปัด ไม่มีอะไรที่ทำให้เธอสบายอกสบายใจเท่าเหตุการณ์ตรงหน้าอีกแล้ว


“ผลการเรียนพี่แย่ลงขนาดนี้ แล้วพี่ยังขโมยของ พูดโกหก พยายามทำเรื่องผิดศีลอย่างที่สุด ทำไมแม้แต่นิ้วโป้งแม่ก็ไม่ขยับล่ะ? แม่คงจะไม่มีแรงละสิ? งั้นหนูลงมือแทน แม่จะได้ไม่ต้องเปลืองแรง!”


เซลล์ในร่างกายของอู่เหมยกำลังร้องเอะอะโวยวาย สายตาเปล่งประกาย เธอรอมานานแล้ว สิ่งที่เธออยากทำที่สุดก็คือต่อยอู่เยวี่ยอย่างแรง!


……………………………………………………………….


ตอนที่ 300 ตีพี่ คนที่ไม่พยายาม


อู่เจิ้งซือกับเหอปี้อวิ๋นล้วนไม่เข้าใจความหมายของอู่เหมย มองด้วยความงงงวย จนกระทั่งอู่เหมยแย่งไม้ขนไก่ในมือเหอปี้อวิ๋นไป พวกเขาถึงได้รู้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล แต่ก็สายไปเสียแล้ว


อู่เหมยพุ่งไปอยู่หน้าอู่เยวี่ย ใช้กำลังที่กินนมไป ฟาดร่างอู่เยวี่ยอย่างแรง เหมือนกับที่เหอปี้อวิ๋นฟาดเธอเมื่อก่อน


“ใครบอกให้ไม่ตั้งใจเรียน สอบออกมาผลการเรียนแย่ขนาดนี้ พี่ไม่ละอายใจต่อพ่อแม่เหรอ? พี่ละอายใจต่อแม่ที่ซื้อเสื้อผ้าใหม่ รองเท้าใหม่ นมผงผสมมอลต์ น้ำมันตับปลาให้พี่บ้างไหม?


แม่ยังตื่นเช้ามืดเตรียมอาหารกลางวันให้พี่ทุกวัน ตุ๋นซุปบำรุงร่างกายให้บ่อยๆ และแอบให้เงินค่าขนมพี่ แต่พี่สอบได้ลำดับแย่อย่างนี้เป็นวันแรก ยังไงก็ต้องขอโทษแม่ผู้มีพระคุณ!


แต่พี่ยังไม่ตั้งใจเรียน แล้วยังขโมยของ พูดโกหกเป็นนิสัย ตอนนี้ความมีน้ำใจกว้างขวาง เปิดเผยตรงไปตรงมาชั่วชีวิตของคุณปู่ คุณพ่อ และยังจะชื่อเสียงอีก ทั้งหมดนี่ถูกพี่ทำลายหมดแล้ว!…”


อู่เหมยด่า มือกลับฟาดไม่หยุด เธอฟาดเร็วมาก เธอรู้ว่าอีกไม่นานอู่เจิ้งซือจะโต้ตอบเธอ เธอต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ระบายความคับแค้นในใจออกมาก่อนค่อยว่ากันอีกที


อู่เยวี่ยยถูกตีหลายครั้งก็สะดุ้งขึ้นมา ตะโกนอย่างโกรธเคือง “อู่เหมยเธอเป็นบ้าอะไร เธอมีสิทธิ์อะไรมาตีพี่? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”


“นี่ฉันเห็นใจแม่ของเราที่เหน็ดเหนื่อย ฉันออกแรงช่วยแม่ไงล่ะ!”


อู่เหม่ยพูดอย่างเฉยเมย แต่เธอก็ไม่หยุดฟาด ใช้ไม้ขนไก่เป็นอาวุธร้ายแรง อู่เยวี่ยสะดุ้งอีกหลายครั้ง เธอรู้สึกเจ็บจนยากที่จะทน


“ตอนนี้พี่เข้าใจรสชาติของการโดนตีว่ามันเป็นยังไงแล้วสินะ? เมื่อก่อนแม่ก็ตีฉันอย่างนี้ แต่แม่ตีแรงกว่าที่ฉันตีอีก นี่ฉันช่วยพี่นะ พี่สาว!”


อู่เหมยหัวเราะฮิๆ แต่ไม่มีรอยยิ้มในแววตา เย็นชาดั่งน้ำแข็งเดือนสิบสอง อู่เยวี่ยเจอสายตาเช่นก็รู้สึกตกตะลึงหวาดกลัว ใจเธอหล่นไปอยู่ตาตุ่ม


อู่เหมยเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ


เปลี่ยนไปจนแข็งแกร่งมาก และยังเปลี่ยนเป็นคนใจร้าย


เหอปี้อวิ๋นกับอู่เจิ้งซือทั้งสองพอตั้งสติได้ ก็พุ่งเข้าไป เหอปี้อวิ๋นพุ่งเข้าไปเร็วที่สุด “ยายตัวดี แกบ้าไปแล้วเหรอ? พี่สาวของแกก็ยังกล้าตี? หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”


อู่เจิ้งซือใจเย็นกว่าเล็กน้อย ที่อู่เหมยพูดเมื่อครู่ เขาได้ยินชัดเจน เขารู้ว่าอู่เหมยกำลังพูดความหมายที่ตรงกันข้าม และมีบางเรื่องที่ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้


ควรจะกล่าวว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เขาได้เผชิญหน้ากับมันจริงๆ ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ที่พอเห็นแล้วก็ทำเหมือนไม่เห็น ขอเพียงในบ้านสงบก็พอแล้ว


แม่คนเดียวกันแต่ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันอย่างยิ่ง ระดับความแตกต่างเช่นนี้แม้แต่ทุกคนก็ยังทนไม่ไหว อย่าว่าแต่อู่เหมยที่เป็นลูกเลย!


ในเวลานี้เขาก็มีความโชคดีบ้างเล็กน้อยที่อู่เหมยไม่ท้อใจเศร้าซึมเพราะเหตุนี้ และกลายเป็นคนไร้ประโยชน์ที่ทุกคนรังเกียจ แต่เธอเลือกที่จะระเบิดออกมา!


แม้วิธีการระบายออกมาจะรุนแรงไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ได้ระบายออกมา ดีกว่าตายไปโดยไม่พูด!


ถึงอย่างไรก็อู่เหมยเป็นลูกของเขา แม้ว่าเขาจะแค้นใจที่เธอไร้ความปรานี แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ลูกของเขากลายเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์!


อู่เหม่ยโต้ตอบอย่างรวดเร็ว ตอนที่เหอปี้อวิ๋นพุ่งเข้ามา เธอก็กระโดดหลบอัตโนมัติ เธอเป็นเด็กและบอบบาง ตอนนี้เธออายุน้อยและไม่แข็งแรง ถ้าฝืนปะทะกับเหอปี้อวิ้นก็มีแต่จะเสียเปรียบ ซึ่งเธอก็ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น


ในสายตาและในหัวใจของเหอปี้อวิ๋นมีเพียงอู่เยวี่ย และก็ไม่มีเวลาดูแลอู่เหมย เธอถกแขนเสื้อของอู่เยวี่ยขึ้นมา รอยแผลยาวเป็นแนวขวางสลับไปมาเหมือนกับใยแมงมุม และแขนอีกข้างก็เหมือนกัน ตามเนื้อตัวยังมีอีกเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้!


“แม่ หนูเจ็บ!”


อู่เยวี่ยเจ็บจนน้ำตานองหน้า ตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ เธอก็ไม่เคยถูกตีแม้แต่ปลายนิ้วก้อยเลย กระทั่งความเจ็บปวดตอนที่ฟันแท้งอกขึ้นมา ก็ล้วนทำให้เหอปี้อวิ๋นเจ็บปวดมาก ตอนนี้รอยแผลเป็นที่สยดสยองเหล่านี้ ทำให้เหอปี้อวิ๋นสติแตก เธออยากจะฆ่าอู่เหมย เพื่อแก้แค้นให้กับลูกสุดที่รักของเธอ!


…………………………………………………


ตอนที่ 301 เหยียนซินหย่าคือใคร


“นังเด็กสารเลว”


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนตาแดงก่ำ มือคว้าแท่นทับกระดาษซึ่งทำจากหินอ่อนจากบนตู้ที่มีลิ้นชักขึ้นมา เมื่อมันอยู่ในมือของเธอแล้ว ก็พลันรู้สึกว่ามันหนักเสียจนทำให้หัวแตกได้เลย


อู่เหมยแอบร้องในใจว่าแย่แล้ว วันนี้เธอบีบให้เหอปิ้อวิ๋นบ้าคลั่ง เธอหลบไปอยู่ด้านหลังอู่เจิ้งซืออย่างว่องไว นี่คือโล่ป้องกันตัวมนุษย์ที่ตัดความยุ่งยากและสะดวกที่สุด


“เหอปี้อวิ๋นคุณเป็นบ้าอะไร? วางแท่นทับกระดาษลงซะ!”


อู่เจิ้งซือตวาดเสียงต่ำ และก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะแย่งแท่นทับกระดาษในมือเหอปี้อวิ๋น แท่นทับกระดาษนี้หากทุบลงไปจริงๆ อาจถึงแก่ชีวิตได้


“เหล่าอู่จนถึงตอนนี้คุณยังจะเข้าข้างช่วยเหลือนังเด็กสารเลวนี่อีก? คุณดูสิ นังเด็กสารเลวตีเยวี่ยเยวี่ยจนกลายเป็นอะไรไปแล้ว? ทำไมคุณถึงกลายเป็นแบบนี้? คุณเห็นว่านังเด็กสารเลวนี่หน้าตาเหมือนเหยียนซินหย่าใช่ไหม คุณเลยช่วยมัน?”


เหอปี้อวิ๋นไม่ฟังคำพูดของอู่เจิ้งซือสักนิด เธอถึงกับเริ่มสงสัยอู่เจิ้งซือขึ้นมา ในปีนั้นอู่เจิ้งซือเป็นคนที่น่าทำความรู้จักที่สุด ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนังสารเลวนั่นยังดีอยู่ เธอยังต้องผ่านนังสารเลวนั่นถึงจะได้รู้จักอู่เจิ้งซือ


เมื่อก่อนเธอเคยได้ยินคนที่อยู่หอพักเดียวกันพูดว่า อู่เจิ้งซือแอบมีใจให้นังสารเลวนั่น แต่ตอนนั้นเธอไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าอู่เจิ้งซือไม่ได้สนิทกับนังสารเลวนั่นสักเท่าไหร่ เป็นแค่เพื่อนธรรมดาที่ไปมาหาสู่กันบ้างเท่านั้น


แต่ตอนนี้ เธอไม่ได้คิดอย่างนี้แล้ว…


ตั้งแต่นังเด็กสารเลวเปิดเผยใบหน้า อู่เจิ้งซือก็เข้าข้างนังเด็กสารเลวบ่อยๆ  ผลักไสเธอกับเยวี่ยเยวี่ย การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเช่นนี้ เธอจะไม่คิดมากได้อย่างไร?


หลายวันมานี้คำพูดของเพื่อนร่วมห้องเมื่อสิบแปดปีก่อนยังวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ เหอปี้อวิ๋นยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น ยิ่งคิดยิ่งกังวลใจ!


อู่เจิ้งซือซีสีหน้าเปลี่ยนฉับพลัน ‘เหยียนซินหย่า’ เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มาสิบกว่าปีแล้ว เมื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกตกใจ เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้ไม่อยู่


เหอปิ้อวิ๋นเดิมทีแค่อยากจะทดสอบดูเท่านั้น แต่พอเห็นท่าทางของอู่เจิ้งซือ ใจเธอพลันหวิว เย็นเข้าไปถึงกระดูก


เพื่อนร่วมห้องพูดถูก อู่เจิ้งซือกับนังสารเลวนั่นมีอะไรกันจริงๆ!


“เอาล่ะ อู่เจิ้งซือ ที่แท้คุณกับนังสารเลวนั่นมีความสัมพันธ์กัน ทำไมคุณถึงทำเรื่องน่าละอายใจกับฉัน? คุณทำกับฉันอย่างนี้ได้ยังไง?”


เหอปี้อวิ๋นกระโจนเข้าใส่เหมือนคนบ้า ในมือถือแท่นทับกระดาษหินอ่อนที่สวยงาม แต่ตอนนี้ไม่ว่าใครพบเห็นก็ต้องรู้สึกตกตะลึง อู่เหมยค่อยๆ ห่างออกจากอู่เจิ้งซือ เพราะคนที่ชื่อเหยียนซินหย่าดึงดูดความสนใจของเหอปี้อวิ๋นเอาไว้ และตอนนี้คงไม่สนใจเธอ


“เหยียนซินหย่า?”


คงจะเป็นชื่อผู้หญิงสินะ?


และคงจะเป็นผู้หญิงสวย


ฟังดูแล้วเหมือนกับหน้าตาคล้ายกับเธอ หรือว่าเหยียนซินหย่า เป็นแม่ที่ให้กำเนิดเธอ?


อู่เหมยรู้สึกดีใจขึ้นมา ในตอนนี้เธอมีความหวังอย่างยิ่งว่าตัวเองไม่ใช่ลูกของเหอปี้อวิ๋น แม้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอจะเป็นคนจนที่เก็บขยะ เธอก็ยอม จะรวยจะจนเธอไม่สนใจ เธอต้องการแค่แม่ที่รักและเอ็นดูเธอ


เหอปี้อวิ๋นเหมือนกับผี ถือแท่นทับกระดาษไล่ตีอู่เจิ้งซือ แล้วยังถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของอู่เจิ้งซือกับเหยียนซินหย่าไม่หยุด


“อู่เจิ้งซือ ฉันว่าแล้ว ตอนนั้นคุณกับนังสารเลวนั่นดูคลุมเคลือกันอยู่ ฮ่าๆ แต่นังสารเลวกลับไม่เห็นคุณอยู่ในสายตา เพราะคนที่เธอชอบคือซั่งกวานอิงหวา ไม่ใช่คุณอู่เจิ้งซือ!”


อู่เจิ้งซือรู้สึกเจ็บปวดใจ คำพูดของเหอปี้อวิ๋นทำให้เขาจำเรื่องที่ไม่มีความสุขขึ้นมาได้ รู้ทั้งรู้ว่าเขารู้จักซินหย่าก่อน แต่ซั่งกวนอิงหวามาทีหลัง กลับมากุมหัวใจของซินหย่า


“เหอปี้อวิ๋น พูดจาไร้สาระอะไรต่อหน้าลูก? ระหว่างผมกับซินหย่าไม่มีอะไรแล้ว คุณเอะอะก็พูดแต่ว่าคนสารเลว? หยาบคายที่สุด!”


คำพูดของอู่เจิ้งซือทำให้ความเดือดดาลในตัวของเหอปี้อวิ๋นปะทุยิ่งขึ้น ทันใดนั้น สติสัมปชัญญะของเธอก็หายไปหมดสิ้น


……………………………………………………………..


ตอนที่ 302 รักสี่เศร้าที่คลุมเครือ


“จะบอกว่าฉันมันต่ำช้ามาก แต่ซินหย่าของคุณ ที่ทั้งสวย อ่อนโยน มีความรู้ และความสามารถที่เก่งกาจก็คือการหว่านเสน่ห์ผู้ชาย ทำให้ผู้ชายของกลุ่มเราทั้งหมดหลงใหลเคลิบเคลิ้ม เชอะ! นังสารเลวที่ไร้ยางอาย!”


เหอปิ้อวิ๋นปกปิดนิสัยเดิมของเธอมาเป็นเวลาเกือบยี่สิบปี ในเวลานี้เธอก็ระเบิดออกมาในที่สุด เธอฉีกภาพลักษณ์ภายนอกแบบสตรีที่เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม อ่อนโยน มีเมตตา สุภาพเรียบร้อยออกหมด และเปิดเผยความเห็นแก่ตัว จิตใจชั่วช้า หยาบคาย ช่างเหน็บแนมเสียดสีอันเป็นนิสัยที่แท้จริงของเธอออกมา เธอด่าผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อว่าเหยียนซินหย่าจนไม่เหลือชิ้นดี และคำพูดที่เธอใช้นั้นก็หยาบคายที่สุด เหมือนกับหญิงปากปลาร้าที่ด่ากราดไปทั่ว


การกระทำของคนตรงหน้าทำให้อู่เหมยหูตาสว่างมากขึ้น แต่เธอก็ไม่แปลกใจสักนิดเดียว แท้จริงแล้วเหอปี้อวิ๋นก็เป็นคนอย่างนี้ เมื่อก่อนก็แค่เล่นละครตบตาเท่านั้น


ทว่า อู่เจิ้งซือกลับรับไม่ได้อีกต่อไป แต่ไหนแต่ไรมาผู้หญิงที่เขาชอบก็คือลูกสาวของครอบครัวที่อ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำ เหมือนกับเหยียนซินหย่า ตอนแรกที่เขาแต่งงานกับเหอปี้อวิ๋นก็เพราะว่ามีบางอย่างของซินหย่าอยู่ในตัวเธอ สิ่งนี้ถึงได้กดดันให้เขาแต่งเธอเข้ามาในบ้าน


สิบกว่าปีที่แล้วสงบสุขไม่มีเรื่องอะไร แต่ใครจะไปคิดว่า เหอปี้อวิ๋นพออายุมากก็เปลี่ยนไปจนหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเช่นนี้ และหยาบคายยิ่งกว่าสตรีในหอแดงเสียอีก ทำให้เขาสะอิดสะเอียนที่สุด


“เหอปี้อวิ๋น คุณมันไม่มีเหตุผล!”


อู่เจิ้งซือโกรธมากจนเขาไม่พูดอะไรไม่ออก เหยียนซินหย่าเป็นเทพธิดาในใจของเขา บริสุทธิ์ผุดผ่องไร้ราคี เขาจะทนให้เหอปี้อวิ๋นใช้คำที่ชั่วช้าเลวทรามด่าทอเทพธิดาของเขาได้อย่างไร?


แต่เขาก็ไม่เข้าใจ ยิ่งเขาปกป้องเหยียนซินหย่ามากเท่าไหร่ ความเดือดดาลของเหอปี้อวิ๋นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสติสัมปชัญญะ มันหายไปตั้งนานแล้ว


“ฉันไม่มีเหตุผลเหรอ? ฉันบอกว่า ทำไมแป๊บเดียวคุณถึงดีกับนังเด็กสารเลวขนาดนี้? แอบมีเจตนาไม่ดีล่ะสิ? คุณก็แค่เห็นนังเด็กสารเลวนี่หน้าตาคล้ายนังตอแหลนั่นไม่ใช่เหรอ? เชอะ! อู่เจิ้งซือ คุณทำให้ฉันสะอิดสะเอียดจริงๆ!”


เหอปี้อวิ๋นมองอู่เหมยที่หลบอยู่ตรงมุมห้องอย่างเย็นชา ไฝแดงสดเม็ดนั้นเหมือนดั่งเปลวไฟคุโชนอยู่ในอกของเธอ ลุกไหม้ไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเธออย่างเจ็บปวด!


จู่ๆ อู่เจิ้งซือหน้าดำขึ้นมา เขาด่า “เหอปี้อวิ๋น ทำไมคุณใจแคบอย่างนี้? ซินหย่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณนะ เหมยเหมยหน้าตาคล้ายซินหย่าก็ผิดแล้วเหรอ? ไม่แปลกเลยที่หลายปีนี้คุณปฏิบัติกับเหมยเหมยได้แย่ขนาดนี้ เพราะว่าคุณเอาความโกรธเคืองที่มีต่อซินหย่ามาลงที่ลูก เหอปี้อวิ๋นคุณยังเป็นคนอยู่หรือ? สู้สัตว์ก็ไม่ได้เลย!”


ถึงแม้คำพูดของเหอปี้อวิ๋นทำให้อู่เจิ้งซือรู้สึกขยะแขยง แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจสาเหตุที่เหอปี้อวิ๋นปฏิบัติต่ออู่เหมยอย่างโหดร้ายทารุณในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ยิ่งเอือมระอาเหอปี้อวิ๋นมากขึ้นอีก


เพราะว่าในคำพูดของเหอปี้อวิ๋น เขาไม่สามารถบอกเรื่องในใจได้


ในตอนนั้นที่เขาเก็บอู่เหมยไว้ ก็เพราะเขามีความคิดถึงซินหย่าอยู่ บางทีอาจจะยังมีความคิดอื่น มันซับซ้อนเกินไป แม้แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจ


เขารู้ดีว่าความคิดของตัวเองไม่ถูกต้อง


ถึงกับพูดได้ว่าใจแคบนิดหน่อยด้วยซ้ำ เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่ยอมฟังคำพูดเหล่านี้ของเหอปี้อวิ๋น มันทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าการที่เธอตบเขาเสียอีก


คำพูดที่สองคนนี้พูดออกมามันค่อนข้างเยอะ อู่เหมยรับไว้ไม่หมด เธอค่อยๆ เรียงลำดับความคิดในหัว


อู่เจิ้งซือชอบผู้หญิงชื่อเหยียนซินหย่า เหยียนซินหย่าคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาปี้อวิ๋น และหน้าตาคล้ายกับเธอมาก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหอปี้อวิ๋นจึงไม่ถูกกับลูกพี่ลูกน้องคนนี้ จนเกิดความเกลียดชังขึ้น และเอาความเกลียดชังต่อลูกพี่ลูกน้องมาลงที่เธอทั้งหมด


ให้ตายเถอะ!


อู่เหมยแค่รู้สึกว่าเหมือนระเบิดลง ระเบิดเธอจนทั้งตัวเละไปหมด


เหอปี้อวิ๋นเป็นโรคประสาทรึเปล่า?


เธอหน้าตาคล้ายกับป้าที่ไม่เคยเจอหน้ากัน ก็ไม่ใช่ความผิดของเธอสักหน่อย มีสิทธิ์อะไรต้องปฏิบัติกับเธออย่างโหดร้าย?


อู่เหมยรู้สึกผิดหวังที่สุด เมื่อดูเหมือนเธอออกมาจากท้องของเหอปี้อวิ๋นจริงๆ ช่างซวยซ้ำซวยซ้อนยิ่งนัก มีแม่ที่เป็นโรคประสาทแบบนี้!


……………………………………………………………………..


ตอนที่ 303 เกิดการฆาตกรรมขึ้น


เหอปี้อวิ๋นได้ยินอู่เจิ้งซือเรียกซินหย่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และพูดอย่างอ่อนโยน อ่อนหวานอย่างนั้น ทำให้สติสัมปชัญญะของเธอหายไปหมด ความเคียดแค้นที่มีต่อเหยียนซินหย่า เหมือนกับมีงูพิษแลบลิ้นเลียหัวใจเธอ


“อู่เจิ้งซือ คุณยังกล้าว่าฉันได้อย่างไม่ละอายใจได้ยังไง? คุณมองจิตใจที่อัปลักษณ์ของตัวเองดูบ้างสิ เชอะ! แล้วคุณยังมีหน้ามาว่าฉันอีกเหรอ?”


อู่เหมยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้ช่างใจแคบจริงๆ เธอจะดีจะร้ายอย่างไรก็เป็นผู้หญิงคนนี้ที่คลอดออกมา ทำไมถึงพูดคำพูดที่น่ารังเกียจเหล่านี้ต่อหน้าเธอได้?


อู่เจิ้งซือก็รู้สึกว่า เหอปี้อวิ๋นทำให้เขาโมโหมาก เขาเสียใจอย่างที่สุดที่ตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงหยาบคายเช่นนี้ เขาสูดหายใจลึกหัวเราะเยาะขึ้นมาฉับพลัน และกล่าว “เหอปี้อวิ๋น คุณคิดว่าตัวเองไม่ผิดเหรอ? คุณกล้าพูดไหมว่าตอนนี้ไม่ได้คิดถึงซั่งกวนอิงหวาอีก?”


เหอปี้อวิ๋นตะลึงงันทันที ในแววตาดูสับสน อู่เจิ้งซือแค่มองเธอในตอนนี้ ในใจก็มีความมั่นใจขึ้นมา ความโกรธถาโถมเข้ามาทันที


นังสารเลวที่หน้าด้านคนนี้ จิตใจไม่ปกติจริงๆ ยังดีที่ในปีนั้น เพื่อเหอปี้อวิ๋นเขาจึงพูดแต่เรื่องดีๆ ของเธอต่อหน้าซินหย่า แต่คิดไม่ถึงว่าเหอปี้อวิ๋นจะมีใจให้ซั่งกวนอิงหวา ตัวเองนั่นแหละที่ผิดปกติ ไม่คิดเลยว่าตอนนี้จะยังมีหน้ามาถามเขา?


ถึงแม้เขายังมีความรักต่อซินหย่า แต่ก็ประพฤติตัวถูกทำนองคลองธรรมมาตลอด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยออกนอกลู่นอกทาง ใครจะไปเหมือนเหอปี้อวิ๋น ตามผู้ชายที่มีภรรยาแล้วไม่ยอมปล่อย


“อู่เจิ้งซือ คุณอย่าพูดจาส่งเดชนะ ฉันกับซั่งกวนอิงหวาบริสุทธิ์ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว คุณอย่าคิดใส่ร้ายฉันเลย” เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงดัง แต่ในน้ำเสียงนั้นไม่ได้ดังเหมือนเมื่อก่อน เห็นได้ชัดว่าร้อนตัว


อู่เจิ้งซือยิ้มเยาะ “ซั่งกวนอิงหวาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่แล้ว เพราะเขารับผู้หญิงสารเลวอย่างคุณไม่ได้ ที่ไปหาผู้ชายถึงหน้าบ้าน แล้วคุณก็ทำกับผมเหมือนเป็นถังรีไซเคิล คุณนี่ช่างวางแผนเก่งๆ จริง!”


เหอปี้อวิ๋นโกรธจนหน้าแดง เธอตะคอก “ต้องเป็นเหยียนซินหย่า นังสารเลวนั่นที่บอกคุณใช่ไหม? คุณยอมเชื่อมันแต่ไม่เชื่อฉัน?”


“ผมเชื่อซินหย่าอยู่แล้ว เธอนิสัยดี ไม่เคยพูดโกหกหลอกลวง ผมมีเหตุผลอะไรที่ต้องเชื่อคุณด้วย? เหอปี้อวิ๋น ผมว่า ที่เยวี่ยเยวี่ยเคยชินกับการพูดโกหกก็เพราะเรียนรู้จากคุณไง พอผู้ใหญ่ทำตัวไม่ดี เด็กก็ทำไม่ดีตาม!”


อู่เจิ้งซือเองก็โกรธแค้น เขาพูดออกมาโดยไม่คิด ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เขาต้องคิดแล้วคิดอีก คำพูดของเขาทิ่มแทงเหอปี้อวิ๋นจนเจ็บปวดรวดร้าวไปหมด และยิ่งทำให้เธอบ้าคลั่งมากขึ้น


“เหยียนซินหย่าเป็นนังจิ้งจอก มันยังเป็นพวกกลุ่มคนห้าประเภทในการปฏิวัติวัฒนธรรม เป็นพวกที่ผู้คนต่างเรียกร้องให้รุมตี มันมีสิทธิ์อะไรมาเทียบกับฉัน? คนอย่างฉัน เหอปี้อวิ๋น แข็งแกร่งกว่ามันร้อยเท่า!”


อู่เจิ้งซือหัวเราะเยาะ มองเหอปี้อวิ๋นที่สติวิปลาสอย่างเหยียดหยาม เขาพูดทีละประโยคว่า “เหอปี้อวิ๋น คุณเทียบกับซินหย่าไม่ได้เลยสักนิด แม้แต่ปลายนิ้วเท้าของเธอ คุณก็เทียบไม่ได้!”


คำพูดนี้มันคือการแหย่รังแตน การยึดมั่นครึ่งหนึ่งในชีวิตของเหอปีอวิ๋น ไม่ได้มีแค่เหยียนซินหย่า


เธอเข้าใจมาโดยตลอดว่าตัวเธอเองนั้นแข็งแกร่งกว่าเหยียนซินหย่าหลายร้อยเท่าพันเท่า ซั่งกวนอิงหวาไม่ชอบเธอก็เพราะมีตาเสียเปล่าแต่ไม่รู้จักแยกแยะสิ่งดีไม่ดี สมน้ำหน้าที่ตอนนั้นเขาถูกต่อยจนล้ม


แต่ตอนนี้เธอไม่คิดเลยว่าอู่เจิ้งซือจะพูดว่า เธอเทียบไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้วเท้าของนังสารเลวนั่น เหอปี้อวิ๋นจะทนได้อย่างไร เธอถลึงตาจ้องมองเขาด้วยความเคียดแค้นจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก เธอยกแท่นทับกระดาษขึ้นแล้วกระโจนเข้าใส่


“อู่เจิ้งซือ คุณมันไม่ใช่คน!”


นี่เป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่อู่เจิ้งซือจะล้มลง


อู่เหมยที่กำลังดูละครอย่างออกรสออกชาติก็สะดุ้งขึ้นมา มองอู่เจิ้งซือที่ล้มอยู่ที่พื้นด้วยความหวาดผวา เลือดบนหน้าผากของเขากำลังไหลทะลักออกมาเหมือนกับลำธารเล็กๆ ที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ไม่นานเลือดก็กระจาย นองเต็มพื้น


“คุณพ่อ!”


อู่เหมยพุ่งเข้าไปอย่างร้อนรน เธอยังมีความรู้สึกต่ออู่เจิ้งซือเล็กน้อย และช่วงนี้อู่เจิ้งซือก็ดีกับเธอมาก อีกอย่างสงครามในวันนี้ พูดได้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะเธอยุแหย่ให้มันเกิดขึ้น เธอไม่สามารถปัดความรับผิดชอบให้ใครได้


สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ถึงแม้เธอเกลียดความเห็นแก่ตัวและความเฉยเมยของอู่เจิ้งซือ แต่เธอก็ไม่เคยอยากจะให้อู่เจิ้งซือตายสักหน่อย!


………………………………………………………………….


ตอนที่ 304 อู่เจิ้งซือที่ใกล้สิ้นลม


อู่เจิ้งซือสีหน้าซีดเผือด นอนอยู่เหมือนกับคนตาย อู่เหมยยื่นมือไปที่ปลายจมูกเขา ถึงแม้หายใจแผ่วเบา แต่ก็ทำให้เธอวางใจ ยังหายใจอยู่ก็แสดงว่าไม่เป็นอะไร


เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ยืนนิ่งเหมือนหุ่นไม้ หวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย


อู่เหมยก็ไม่เคยคิดจะหวังพึ่งพวกเขา เธอวิ่งตรงไปที่หน้าประตู อยากจะเรียกให้คนมาช่วย ทันใดนั้น เหอปี้อวิ๋นเพิ่งรู้ตัว สุดท้ายเธอก็มาดึงอู่เหมยเอาไว้


“ห้ามเรียกคนมาช่วย ฉันจะใส่ยาให้พ่อของแกเอง”


อู่เหมยไม่เชื่อหูตัวเอง เธอตะคอกความโมโห “พ่อบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ใช้ยาพวกนั้นในบ้านจะมีประโยชน์อะไร? แม่อยากเห็นพ่อตายเหรอ?”


สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นนั้นไม่ได้ดีไปกว่าสีหน้าของอู่เจิ้งซือ เห็นได้ชัดว่าเธอก็หวาดกลัว บางทีเธออาจกลัวว่าเธอจะกลายเป็นฆาตกร หรืออาจจะกังวลว่า ภาพลักษณ์ของเธอที่อยู่ภายในใจของคนนอกจะเสื่อมเสียลงอย่างรวดเร็ว เรียกว่าในเวลานี้เหอปี้อวิ๋นรู้สึกสับสบมากจนเธอพูดความรู้สึกใดๆ ออกมาไม่ได้


“พูดเหลวไหล ก็แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้นแหละ พ่อของแกจะตายได้ยังไง? ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก ฉันจะตีแกให้ตาย นังเด็กสารเลว!”


เหอปี้อวิ๋นแสดงหน้าตาน่ากลัวถลึงตาดุใส่อู่เหมย เหมือนกับต้องการจะกินเธอ ในเวลานี้อู่เยวี่ยเริ่มมีสติกลับคืนมา ที่จริงแล้วเธออายุยังน้อย ไม่ได้สงบเยือกเย็นเหมือนเหอปี้อวิ๋น เธอมองอู่เจิ้งซือที่พื้นด้วยความหวาดผวา แล้วก็ร้องไห้หงิงๆ ออกมา


อู่เหมยไม่อยากจะพูดพร่ำทำเพลงอะไรกับเหอปี้อวิ๋น เลือดที่หัวของอู่เจิ้งซือไหลทะลักออกมาเหมือนกับน้ำประปา ขืนยังเสียเวลาต่อไปแบบนี้เขาอาจจะตายจริงๆ


เธอพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะสะบัดให้หลุดจากเหอปี้อวิ๋น แต่มือของผู้หญิงคนนี้เหมือนฝ่ามือเหล็ก จับเธอไว้แน่นจนเธอเจ็บ อู่เหมยไม่สามารถหลุดไปได้


“อู่เยวี่ย รีบออกไปตามคนมาช่วย หรือว่าพี่อยากเห็นพ่อตาย?”


อู่เหมยไม่รู้จะทำอย่างไร จึงทำได้แค่ตะโกนบอกอู่เยวี่ย หวังว่าเธอยังมีสติรู้ผิดชอบชั่วดีอยู่บ้าง วิ่งออกไปตามคนมาช่วย


อู่เยวี่ยหยุดร้องไห้ วิ่งออกไปที่หน้าประตู เธอเองก็ไม่อยากให้อู่เจิ้งซือตาย จิตใจของอู่เยวี่ยที่อายุสิบสี่ปียังเต็มไปด้วยจิตสำนึก แต่ยี่สิบปีหลังจากนั้นเธอกลับกลายเป็นจิตใจดำเสียแล้ว


“เยวี่ยเยวี่ยอย่าไป พ่อของลูกไม่เป็นอะไร เดี๋ยวแม่จะรีบเอายามาทาให้ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”


เหอปี้อวิ๋นลดเสียงให้ต่ำลง เธอเรียกอู่เยวี่ยเอาไว้ อู่เยวี่ยมองอู่เจิ้งซือด้วยความลังเล แล้วก็มองเหอปี้อวิ๋น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะถูก


“อู่เยวี่ย พี่อย่าไปฟังแม่ พ่อเลือดไหลเยอะขนาดนั้น ถ้ายังไหลอยู่แบบนี้ต่อไป พ่อต้องเลือดไหลจนตายแน่ รีบออกไปตามคนมาเร็ว!”


ทว่าอู่เยวี่ยยังคงลังเล เธอยังคงเชื่อเหอปี้อวิ๋น รู้สึกว่าเหอปี้อวิ๋นคงจะไม่ฆ่าอู่เจิ้งซือ


บาดแผลของพ่อคงจะดูเหมือนสาหัส แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรร้ายแรง


จะว่าไปแล้วพ่อก็ออกจะกลัวเสียหน้า ขืนปล่อยให้พวกเพื่อนบ้านเห็นพ่อมีลักษณะน่าขายหน้าอย่างนี้ พอพ่อฟื้นขึ้นมา พ่อต้องดุเธอแน่นอน เธอยังคงเชื่อฟังคำพูดของแม่ และบอกตัวเองว่าอย่าก่อเรื่องอะไรอีกเลย!


อู่เหมยโกรธผู้หญิงสองคนนี้มาก ไม่นึกเลยว่าแม่ลูก จะมีจิตใจเหี้ยมโหดอำมหิตเหมือนกัน


“มีคนถูกฆ่าตาย รีบมาช่วยเร็ว!”


อู่เหมย ตะเบ็งเสียงร้องออกมา ตอนนี้ทุกคนกำลังกินข้าวอยู่ในบ้าน และในเวลานี้ข้างนอกก็มีคนมากมายเสียงดังเอะอะโวยวาย จ้อกแจ้กจอแจมาก ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้ยินเสียงของเธอหรือไม่?


แค่เสียดายที่ฉิวฉิวไปอยู่ที่บ้านใหม่แล้ว ไม่อย่างนั้นเธอยังให้ฉิวฉิวช่วยส่งจดหมายให้สยงมู่มู่ได้ และเธอก็จะไม่โดนกระทำอย่างนี้


เหอปี้อวิ๋นทำให้อู่เหมยตกใจกลัว เธอยื่นมือมาปิดปากเธอไว้ทันที ในเวลานี้เองกลับเปิดโอกาสให้อู่เหมย หลุดจากการจับของเหอปี้อวิ๋นทันที


อู่เหมยดีใจมาก เธอรีบวิ่งไปที่หน้าประตู พลันเปิดประตูออกอย่างรวดเร็ว แล้ววิ่งไปทุบประตูข้างบ้าน ลูกชายคนโตของตระกูลจาง จางเผิงเจิ้งก็ประจวบเหมาะเปิดประตูออกมา พอเห็นอู่เหมยก็ถามด้วยความประหลาดใจ “เหมยเหมย บ้านเธอเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


………………………………………………………………….


ตอนที่ 305 อู่เยวี่ยตระหนักได้


ความจริงบ้านคนอื่นๆ ไม่ได้ยินเสียงตะโกนของอู่เหมย แต่เพราะว่าครอบครัวจางอยู่ใกล้ จึงพอได้ยินการเคลื่อนไหวอยู่บ้าง แค่ได้ยินแว่วๆ ว่า ‘ช่วยด้วย มีคนถูกฆ่า’


อาจารย์แม่จางยังคิดว่าเหอปี้อวิ๋นตีอู่เหมยอีกแล้ว ก็เลยให้ลูกชายคนโตออกมาดู


อู่เหมยพูดอย่างร้อนใจ “พี่เผิงเจิ้งคะ พ่อของฉันอาการแย่มาก ช่วยไปส่งเขาที่บ้านคุณย่าหยางทีค่ะ!”


จางเผิงเจิ้งตกใจมาก ครูจางสองสามีภรรยาก็วางตะเกียบกับถ้วยและวิ่งออกมาทันที แล้วถามอู่เหมยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น


“แม่ ทุบหัวพ่อแตกเป็นรูโหว่จนเลือดไหล เลือดไหลออกมาเยอะมากค่ะ อาจารย์แม่จางคะ พ่อของหนูกำลังจะตายแล้ว”


อู่เหมยแสร้งเล่นละครปนกับมีความรู้สึกจริงอยู่บ้าง เธอร้องไห้และเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ด้วยความเศร้าโศก


พอตระกูลจางได้ยินว่าอู่เจิ้งซือกำลังจะตาย ก็รีบไปที่บ้านครอบครัวอู่ทันที พวกเขาไปเห็นเหอปิ้อวิ๋นหยิบกล่องยาเพื่อเอามาทาให้อู่เจิ้งซือ มันเป็นแค่ยาใช้ภายนอกธรรมดาที่ส่วนใหญ่มีติดกันทุกบ้าน ไม่สามารถใช้ห้ามเลือดจากบาดแผลใหญ่ได้เลย เลือดที่ศีรษะของอู่เจิ้งซือยังคงไหลอยู่ ใบหน้าของเขายิ่งซีดเผือด เห็นแล้วเหมือนกับกำลังจะหมดลมหายใจ


ในเวลานี้อู่เหมยเพิ่งจะมีความร้อนอกร้อนใจอยู่บ้างจริงๆ และเธอก็ยิ่งเกลียดเหอปี้อวิ๋นมากกว่าเดิม เธอร้องไห้เสียงดังพลางกล่าว “ทั้งหมดเป็นเพราะแม่ทำร้ายพ่อ แม่ยังไม่ยอมให้ฉันไปเรียกคนมาช่วยพ่อ แม่ตั้งใจจะปล่อยให้พ่อเลือดไหลจนตาย!”


เหอปี้อวิ๋นเห็นว่าเลือดของอู่เจิ้งซือไหลไม่หยุด เธอตกใจกลัวตั้งแต่แรกแล้ว แม้ว่าเธอจะเกลียดอู่เจิ้งซือ แต่ขณะเดียวกันแม้แต่งงานเป็นสามีภรรยาเพียงวันเดียวเธอก็มีความรักลึกซึ้งกับเขาแล้ว เธอเองก็ไม่ได้อยากให้อู่เจิ้งซือตายจริงๆ


เธอคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า ก่อนหน้านี้เธอทำเรื่องบ้าๆ ที่เอาแท่นทับกระดาษไปทุบอู่เจิ้งซือได้อย่างไร?


แถมยังห้ามไม่ให้อู่เหมยไปเรียกคนมาช่วยเพราะกลัวเสียหน้าอีก หากอู่เจิ้งซือเป็นอะไรขึ้นมา เธอจะไม่กลายเป็นหญิงม่ายหรอกหรือ?


“เหมยเหมยลูกอย่าพูดเหลวไหลนะ พ่อเกิดเรื่องขึ้น แม่ก็ต้องเป็นห่วงพ่อมากกว่าใครๆ อยู่แล้ว คุณลุงจาง อาจารย์แม่จางคะ พวกคุณช่วยพาพ่อไปส่งโรงพยาบาลได้ไหมคะ? คุณพ่อ ท่าน…”


อู๋เยวี่ยโผล่เข้ามาและขัดจังหวะอู่เหมยพูด ในขณะนี้เธอใจเย็นลงแล้ว เธอใจเย็นกว่าเหอปี้อวิ๋น เธอรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือรักษาอู่เจิ้งซือให้รอดพ้นจากอันตราย และกำจัดปัจจัยที่ไม่เป็นผลดีของตัวเธอเองกับเหอปี้อวิ๋นออกไป


อู่เหมยจ้องเขม็งอู่เยวี่ยด้วยความเกลียดชัง กลับโผล่ออกมาในเวลานี้ ก่อนหน้านั้นบอกให้เธอไปเรียกคนมาช่วย กลับทำเป็นเฉย!


ถึงแม้เธอจะโกรธเคือง แต่เธอก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาโต้เถียงกันเรื่องเหล่านี้ เพราะการช่วยชีวิตอู่เจิ้งซือเป็นเรื่องแรกที่ต้องทำ ตอนที่ครูจางอยู่บ้านเกิดเคยเป็นหมอเท้าเปล่าที่ชนบทอยู่ช่วงหนึ่ง บาดแผลทั่วไปเขายังสามารถจัดการได้ เขาให้อู่เหมยรีบไปหยิบผ้าสะอาดทันที แล้วเทยาทาภายนอกลงไป จากนั้นพันรอบแผลให้แน่น


แล้วก็เขากับจางเผิงเจิ้งก็ช่วยกันหามอู่เจิ้งซือที่หมดสติและวิ่งไปที่บ้านคุณย่าหยาง อู่เหมยก็วิ่งตามไปด้วย อู่เยวี่ยดึงเหอปี้อวิ๋นที่ยืนช็อกตัวแข็งทื่อเข้ามาหา แล้วพูดกระซิบ “ถ้าแม่ยังอยากอยู่กับพ่อ ก็ห้ามทำพลาดอีก และแม่ต้องสะสางปัญหาให้ได้ ต่อไปก็ห้ามปฏิบัติกับอู่เหมยเหมือนเมื่อก่อนอีกนะคะ”


เหอปี้อวิ๋นที่ขวัญหนีดีฝ่อก็พยักหน้า ถามด้วยความตื่นตระหนก “เยวี่ย เยวี่ย พ่อของลูกจะตายไหม?”


“สบายใจได้ แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ” อู่เยวี่ยพูดหนักแน่น แค่บาดแผลเล็กๆ เท่านั้น อู่เจิ้งซือจะตายได้อย่างไร?


นังสารเลวอู่เหมยเจ้าเล่ห์จริงๆ จงใจพูดให้เรื่องร้ายแรงเป็นพิเศษ คิดจะใส่ร้ายแม่ ชิ! เมื่อก่อนประเมินยายโง่นี้ต่ำเกินไป!


สองเดือนที่ผ่านมานี้ เธอมองข้ามอู่เหมย ดังนั้นตอนนี้ถึงได้มีจุดจบที่ตกต่ำ ต่อไปเธอจะไม่เป็นเช่นนี้ เธอจะเอาแรงทั้งหมดจัดการอู่เหมย เหยียบย่ำอู่เหมยให้อยู่ใต้เท้าเหมือนกับเมื่อก่อน


เพราะเธอคือเจ้าหญิงของตระกูลอู่ตลอดไป ไม่ใช่คนอื่น!


………………………………………………………………….


ตอนที่ 306 กินบะหมี่


อู่เยวี่ยคิดวางแผนให้เหอปี้อวิ๋นเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไม่มีอะไรนอกจากการให้เธอเปลี่ยนวิธีการและทัศนคติ ห้ามทำเหมือนเมื่อก่อน อย่าปฏิบัติตัวเป็นปฏิปักษ์กับอู่เจิ้งซือ และรีบเอาอำนาจการบริหารเงินกลับคืนมาถึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง


แต่เธอไม่พูดอย่างนั้นตรงๆ แน่นอน ทุกอย่างนี้เหอปี้อวิ๋นต้องตระหนักเองให้ได้ เธอก็แค่ชักจูงไปในทางที่ดีด้วยความจริงใจเท่านั้นเอง


เมื่อล้างความคิดของเหอปี้อวิ๋นแล้ว อู่เยวี่ยก็ไปบ้านครอบครัวเหยียน จะปล่อยให้อู่เหมยทำผลงานคนเดียวไม่ได้ เธอก็เป็นลูกสาวที่มีความกตัญญูเช่นกัน


เพื่อแสดงจิตใจที่กตัญญู อู่เยวี่ยหยิบเสื้อคลุมของอู่เจิ้งซือไปด้วย ในฤดูใบไม้ร่วงตอนกลางอากาศหนาวเย็น อู่เจิ้งซือต้องรู้สึกหนาว เสื้อคลุมของเธอได้ใช้พอดี


ดูสิ เธอว่ารู้อะไรเป็นอะไรและรู้จักเอาใจใส่ขนาดไหน อู่เหมยเทียบกับเธอไม่ได้เลยสักนิด!


ครอบครัวเหยียนกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว มีคนพุ่งเข้ามาในบ้านพวกเขาอย่างไม่คาดคิด ทำให้คุณย่าหยางที่กำลังล้างจานอยู่ในครัวตกใจสะดุ้ง อู่เหมยร้องตะโกนด้วยความร้อนรน “คุณย่าหยางคะ ช่วยพ่อหนูด้วยค่ะ พ่อเลือดไหลเยอะมาก!”


เหยียนหมิงซุ่นและเหยียนหมิงต๋าต่างพากันเดินออกมาจากห้อง มองอู่เจิ้งซือที่เหมือนคนตายด้วยความตกใจ ไม่เข้าใจว่าเพิ่งจะไม่เจอกันแค่วันเดียวเอง ทำไมถึงบาดเจ็บจนเกือบถึงตายได้


คุณย่าหยางสงบสติลงอย่างรวดเร็ว เธอเป็นหมอมืออาชีพ ย่อมไม่ตกใจกับบาดแผลของอู่เจิ้งซืออยู่แล้ว เธอบอกให้เหยียนหมิงซุ่นประคองอู่เจิ้งซือไปที่เตียง เธอเย็บแผลเพื่อห้ามเลือดให้อู่เจิ้งซืออย่างรวดเร็ว และยังพันผ้าพันแผลอย่างหนาอีกชั้น ดูเหมือนเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บที่เพิ่งมาจากสนามรบ


“ยายตัวเล็กไม่ต้องร้องแล้ว พ่อเธอไม่เป็นอะไรแล้ว!”


คุณย่าหยางตบหัวอู่เหมย เด็กคนนี้ตกใจกลัวไปหมด ดูท่าทางร้อนอกร้อนใจอย่างนี้ เห็นแล้วน่าสงสารจริงๆ


อู่เหมยในเวลานี้เพิ่งจะโล่งใจ พูดอย่างสะอึกสะอื้น “ขอบคุณค่ะ คุณย่าหยาง!”


อู่เจิ้งซือยังไม่รู้สึกตัว การหายใจของเขายังทรงตัว คุณย่าหยางให้น้ำเกลือแก่เขาเพื่อเสริมกำลัง ดูแล้วขวดใหญ่ขนาดนั้นต้องใช้เวลาสองชั่วโมง


อู่เหมยซาบซึ้งต่อครูจางสองพ่อลูก เธอกล่าว “ลุงจาง พี่จางเผิงเจิ้ง พวกคุณรีบกลับไปกินข้าวเถอะค่ะ ขอบคุณพวกคุณจริงๆ!”


ครูจางยิ้มซื่อๆ แล้วก็กลับไปพร้อมกับจางเผิงเจิ้ง พวกเขาเพิ่งจะกินข้าวไปได้ครึ่งหนึ่งเอง!


ระหว่างทางจางเผิงเจิ้งก็ถามด้วยความสงสัย “พ่อ ครูอู่ถูกอาจารย์แม่อู่ตีจริงๆ หรือเปล่า? เห็นเลือดไหลนั่นแล้ว ก็ตกใจแทบตาย!”


ครูจางทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ เหอปี้อวิ๋นผู้หญิงคนนั้นจิตใจโหดร้าย ตีจนศีรษะเป็นรูใหญ่ขนาดนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ อู่เจิ้งซือช่างซวยจริงๆ ที่ได้ผู้หญิงจิตใจชั่วร้ายมาเป็นภรรยา แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังเทียบไม่ได้!


อู่เยวี่ยหอบเสื้อคลุมเดินไป


เพราะว่าหลอดไฟของถนนเส้นนี้ขาด และถนนก็ค่อนข้างแคบ อู่เยวี่ยไม่เห็นสองพ่อลูกตระกูลจาง เธอรีบเดินไปทางบ้านตระกูลเหยียน


จางเผิงเจิ้งยังคงมีความรู้สึกดีมากกับอู่เยวี่ย เป็นห่วงว่าถนนไม่มีไฟแล้วอู่เยวี่ยจะกลัว อยากจะไปส่งอู่เยวี่ย แต่ก็ถูกครูจางดึงตัวกลับไป


“จากนี้ไปติดต่อกับอู่เยวี่ยให้น้อยลง ผู้หญิงคนนี้ไม่เหมือนกับพวกเรา เข้าใจไหม?”


ขณะที่ครูจางพูดนั้น น้ำเสียงของเขาไม่สุภาพอ่อนน้อมเหมือนกับเมื่อก่อน ฟังดูแล้วเข้มงวดมาก จางเผิงเจิ้งได้แต่รับปาก แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าพ่อตัวเองจะพูดไม่ถูก แต่เขาก็เป็นเด็กดีที่เชื่อฟังคำพูดของพ่อแม่  ยอดกตัญญูก็คือเขานี่แหละ


จึงเป็นผลให้จางเผิงเจิ้งค่อยๆ ห่างเหินกับอู่เยวี่ย และแม้กระทั่งน้องชายของเขาก็อยู่ภายใต้อิทธิพลจากเขา ค่อยๆ ตีตัวห่างอู่เยวี่ยเช่นกัน


อู่เหมยเฝ้าอู่เจิ้งซืออยู่ข้างๆ เธอหิวจนท้องร้องโครกคราก หลังจากกลับบ้านก็เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ แม้แต่น้ำเธอก็ไม่ได้กิน!


“ให้ฉันอุ่นบะหมี่ให้กินนะ!”


เหยียนหมิงซุ่นยกบะหมี่ใส่ผักดองไข่ไก่ที่มีกลิ่นหอมวางตรงหน้าอู่เหมย เขามองดูเธอแล้วก็ยิ้มหวาน


……………………………………………………………….


ตอนที่ 307 ตาลายหมดแล้ว


อู่เหมยมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างงุนงง เธอน้ำตาคลอเล็กน้อย และมีความอบอุ่นเกิดขึ้นในใจ เหยียนหมิงซุ่นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “รีบกินสิ เดี๋ยวเส้นบะหมี่จะอืดหมด”


“อื้อ!”


อู่เหมยตอบเสียงเบา เธอกินบะหมี่ที่รับมาคำเล็กๆ ทีละคำ เส้นบะหมี่เหนียวนุ่มมาก สดใหม่เป็นพิเศษ มันคือบะหมี่น้ำซุปไก่ เดิมทีอู่เหมยหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ ตอนแรกก็อยากจะแสร้งทำเป็นหญิงเรียบร้อย กินครั้งแรกก็กินแค่คำเล็กๆ แต่กินอย่างนี้มันน่าอึดอัดจริงๆ ไม่ถึงอกถึงใจสักนิดเดียว คนที่ยืนมองอยู่ตรงเหนือหัวก็มีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น อู่เหมยหน้าแดงขึ้นมาทันที แดงไปหมดทั้งหน้า


เธอแอบด่าตนเองว่าโง่ในใจ ตอนนี้เธอเพิ่งจะอายุสิบสองปีเท่านั้นเอง จะแสร้งทำเป็นผู้หญิงเรียบร้อยทำไม!


อู่เหมยคิดได้อย่างนั้น จึงถือโอกาสกินอย่างเปิดเผยเสียเลย เธอสูดบะหมี่ ดังซู้ดๆ น้ำซุปบะหมี่กระเด็นโดนหน้า เธอยกแขนโดยใช้แขนเสื้อเช็ด แล้วก็กินต่อ สักพักก็มีผ้าเช็ดหน้าลายตารางที่ดูสะอาดยื่นมาให้ตรงหน้า


“ใช้อันนี้เช็ดสิ!”


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มมุมปาก เลี้ยงยายตัวดีก็รู้สึกดีไปอีกแบบ ไม่อย่างนั้นต่อไปจะเรียกยายตัวดีมากินบะหมี่บ่อยๆ ดีไหมนะ?


อู่เหมยกินบะหมี่ถ้วยใหญ่จนหมด แม้กระทั่งซุปก็ไม่เหลือ เรอออกมาอย่างพอใจ แต่เมื่อเห็นเหยียนหมิงซุ่นมองตัวเธอเองด้วยรอยยิ้มสดใส ก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา


“พี่หมิงซุ่น ฝากขอบคุณคุณย่าหยางด้วยนะคะ บะหมี่ที่คุณย่าหยางทำอร่อยมากค่ะ!” อู่เหมยพูดเสียงเบา


“เธอต้องขอบคุณพี่สิ พี่เป็นคนทำบะหมี่” เสียงอันหล่อเหลาชัดแจ๋วดังขึ้นมา


อู่เหมยเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ เธอมองเหยียนหมิงซุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ บะหมี่นั่นเขาเป็นคนทำหรือ?


เมื่อเห็นมาตรฐานของบะหมี่ถ้วยนั้นแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเหยียนหมิงซุ่นนั้นยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน และยังเก่งกว่าเธอ อู่เหมยก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย วันนั้นที่เธอแสดงฝีมือทำอาหารที่บ้านตระกูลสยง เหมือนเป็นการสอนจระเข้ว่ายน้ำจริงๆ เลย!


เหยียนหมิงซุ่นมองแวบเดียวก็อ่านความคิดของอู่เหมยออก เขาจึงจงใจพูด “บะหมี่ไม่อร่อยใช่ไหม?”


“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ บะหมี่อร่อยมาก อร่อยกว่าที่ฉันทำเองอีก” อู่เหมยรีบเงยหน้าขึ้นมา โบกมือปฏิเสธไม่หยุด


เหยียนหมิงซุ่นยิ้ม ความรู้สึกเหมือนกับดอกไม้เบ่งบานในฤดูใบใม้ผลิ สายตาของอู่เหมยบังเอิญมองไปเห็นลำคอของเหยียนหมิงซุ่น คอที่เย้ายวนนั้น ขยับตามเสียงหัวเราะของเหยียนหมิงซุ่น ช่างเซ็กซี่เหลือเกิน


“อึกๆ”


อู่เหมยกลืนน้ำลายแรง แต่ยังคอแห้งมาก


“เป็นอะไร?” เหยียนหมิงซุ่นมองอย่างแปลกใจ เขาก้มหน้าลงมองโดยอัตโนมัติ หรือว่าเขากลัดกระดุมไม่ดี


แต่กระดุมเสื้อก็ติดจากบนลงล่างไว้อย่างเรียบร้อย


แม้แต่กระดุมเม็ดแรกก็ติด อู่เหมย เธอกำลังมองอะไร?


“เหมยเหมย”


เหยียนหมิงซุ่นก็ส่งเสียงเรียกอีกครั้ง  เขาเรียกอู่เหมยที่มองตาค้างให้ตื่น เธอถึงรู้ตัวว่าเมื่อตะกี้เคลิบเคลิ้มกับลูกกระเดือกของเหยียนหมิงซุ่น ช่างหน้าอายเสียจริง!


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ!”


อู่เหมยโบกมือปฏิเสธไม่หยุด หน้าแดงก่ำ เหมือนกับลูกแอปเปิ้ล


เหยียนหมิงซุ่นไม่แกล้งเธออีก เขาหุบยิ้มแล้วถามเธอเกี่ยวกับเรื่องบาดแผลของอู่เจิ้งซื่อว่าเกิดอะไรขึ้น


ในห้องมีแค่เธอกับเหยียนหมิงซุ่นเพียงสองคน อู่เหมยก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าที่มาที่ไปของเรื่องราว เล่าแม้กระทั่งเรื่องที่ก่อนหน้านั้นที่เหอปี้อวิ๋นห้ามเธอไม่ให้ออกไปเรียกให้คนมาช่วย และเรื่องที่อู่เยวี่ยไม่ยอมช่วย


“พี่หมิงซุ่น แม่กับพี่สาวของฉัน พวกเขาใจดำจริงๆ หากพ่อไม่เสียเวลาเพราะพวกเขา พ่อก็คงจะไม่เลือดไหลเยอะขนาดนั้น!” อู่เหมยพูดอย่างโกรธแค้น


เธอรู้สึกปวดร้าวใจ ถึงแม้เมื่อก่อนอู่เจิ้งซือจะปฏิบัติกับเธอไม่ดี แต่เธอก็ไม่ยอมให้อู่เจิ้งซือตาย อู่เจิ้งซือดีกับเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกมาก แต่สองคนนี้กลับตอบแทนอู่เจิ้งซือแบบนี้


อู่เหมยทำปากมุ่ยบ่นกับเหยียนหมิงซุ่น แต่เธอกลับไม่รู้ว่า อู่เจิ้งซือที่นอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียงฟื้นนานแล้ว แม้รู้สึกว่าร่างกายจะยังไม่ค่อยดีนัก แต่กลับได้ยินคำพูดของอู่เหมยอย่างชัดเจนมาก


………………………………………………………….


ตอนที่ 308 อู่เจิ้งซือที่ด้านชา


อู่เจิ้งซือแค่รู้สึกว่าหนาวเย็นไปทั้งตัว และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาการที่เกิดจากการเสียเลือดมากเกินไป หรือเพราะจิตใจด้านชา เขาไม่ได้ลืมตา แต่ยังคงหลับตา เพราะอยากฟังอู่เหมยพูดต่อไป


เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วมุ่น เหอปี้อวิ๋นทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองใหม่อีกครั้ง  ถ้าบอกว่าก่อนหน้านั้นที่ทำร้ายเพราะพลั้งมือก็น่าจะพออภัยได้ แต่ยังห้ามไม่ให้อู่เหมยไปเรียกคนมาช่วยก็ทำเกินไปแล้ว ถึงขั้นสามารถพูดได้ว่ามีเจตนาวางแผนฆ่าคน


ยังมีอู่เยวี่ยอีกคน  พ่อที่ให้กำเนิดนอนอยู่ที่พื้นใกล้จะตาย เธอนิ่งดูดายอยู่ได้อย่างไร?


จิตใจนี่โหดเหี้ยมไม่ธรรมดา!


“แล้วเธอเรียกคนมาช่วยได้ยังไง?” เหยียนหมิงซุ่นถาม อู่เจิ้งซือก็หูผึ่งขึ้นมา เขาก็อยากรู้ว่าอู่เหมยช่วยชีวิตเขาได้อย่างไร


อู่เหมยยิ้มอย่างภูมิใจ “ฉันก็ตะโกนสุดชีวิตว่า ช่วยด้วย มีคนถูกฆ่า แม่ก็ตะลึงงัน คิดจะปิดปากฉันไว้ แล้วฉันก็หนีออกไป ฉันวิ่งเร็วมาก แม่วิ่งตามฉันไม่ทัน”


เหยียนหมิงซุ่นตีหัวอู่เหมยเบาๆ กล่าวชม “โชคดีที่เธอวิ่งเร็ว หากช้าไปกว่านี้หลายนาที เกรงว่าสภาพของครูอู่คงจะคาดเดาได้ยาก!”


“จะเป็นยังไงเหรอคะ?” อู่เหมยถามทันที


เหยียนหมิงซุ่นชำเลืองมองที่เตียงแวบหนึ่ง เขาเม้มปาก  พูดเสียงดังขึ้น “อาจเป็นไปได้ว่าเพราะที่ศรีษะเสียเลือดมาก ทำให้สมองขาดออกซิเจน อาการเขาก็จะกลายเป็นคนสติไม่สมประกอบ สูญเสียความทรงจำ หรืออาจจะกลายเป็นผัก  หากอาการหนักมากก็ตายได้”


อู่เหมยตกใจจนปากเป็นรูปตัวโอ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เธอถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ยังหวาดกลัวไม่หาย เธอทอดถอนใจพลางกล่าว “ยังโชคดี ถ้าพ่อของฉันกลายเป็นคนไม่สมประกอบ เขาต้องรู้สึกแย่มากๆ โชคดีที่ไม่ได้กลายเป็นแบบนั้น”


อู่เจิ้งซือเองก็ตกใจไม่น้อย ที่ด้านหลังเสื้อกล้ามก็มีเหงื่อออก เขายิ่งเอือมระอาเหอปี้อวิ๋น ผู้หญิงใจดำอำมหิตคนนี้ อู่เยวี่ยอีกคน เสียแรงเปล่าที่เมื่อก่อนเขารักและโปรดปรานลูกสาวคนโต แต่ว่าเธอ…


นึกไม่ถึงว่าในยามตกทุกข์ได้ยากจะทำให้เรารู้ว่า ใครคือคนที่จริงใจกับเรา!


อู่เจิ้งซือไม่สงสัยคำพูดของอู่เหมยเลยสักนิด เธอไม่รู้ว่าตัวเขานั้นฟื้นแล้ว  ยิ่งไม่จำเป็นที่ปั้นคำโกหกเหล่านี้ขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง ด้วยเหตุนี้เองอู่เจิ้งซือถึงได้ยิ่งเอือมระอาเหอปี้อวิ๋นไม่มีสิ้นสุด


เหยียนหมิงซุ่นก็มองอู่เจิ้งซืออีกครั้ง หลังจากที่อู่เจิ้งซือฟื้นไม่นาน เขารู้อยู่แล้ว ถึงอู่เจิ้งซือจะนิ่งเฉยและยังหลับตาอยู่ แต่ลมหายใจของเขาแผ่ไอร้อน คนที่ตั้งใจฟังก็จะฟังออก


“เยวี่ยเยวี่ย มาแล้วเหรอ!” เสียงของเหยียนหมิงต๋าดังมาจากข้างนอก


“อื้อ ฉันเอาเสื้อคลุมมาให้พ่อค่ะ กลางคืนอากาศเย็น พี่หมิงต๋าคะ พ่อเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยแล้วใช่ไหม?” อู่เยวี่ยดูเหมือนร้อนอกร้อนใจมาก


“เยวี่ยเยวี่ยอย่าเป็นกังวลเลย ครูอู่ปลอดภัยแล้ว กำลังให้น้ำเกลืออยู่!”


อู่เยวี่ยโล่งใจ ปลอดภัยก็ดีแล้ว เธอก็ไม่ได้หวังให้อู่เจิ้งซือมีเรื่อง เธอหอบเสื้อคลุมเดินไปทางห้องที่พวกอู่เหมยนั่งอยู่ แล้วผลักประตูเปิดทันที


“เหมยเหมย พี่หมิงซุ่น”


อู่เยวี่ยพูดทักทายเสียงเบา ท่าทางสงบเสงี่ยม เธอกลับสู่สภาพก่อนหน้านี้อีกครั้ง ก่อนที่จะซึมเศร้าเหงาหงอย


เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้าให้เธอเบาๆ แววตาไร้ความอบอุ่น อู่เหมยไม่ส่งเสียงใดๆ แต่ตอนนี้เธอต้องเสแสร้งทำเป็นเอาใจใส่ ก็เป็นแค่การแสดงละคร


อู่เยวี่ยยิ้มแหยๆ และเธอไม่ได้สนใจท่าทีของอู่เหมย เธอเดินตรงไปหาอู่เจิ้งซือ และเอาเสื้อคลุมวางไว้บนตัวเขา ท่าทางอ่อนโยนมาก อู่เจิ้งซือรู้สึกได้ เขาก็อดที่จะใจอ่อนไม่ได้


อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้เยวี่ยเยวี่ยตกใจกลัวสินะ?


เธอจะมองดูเขาตายไปโดยไม่กังวลใจได้อย่างไร?


“เยวี่ยเยวี่ยหิวไหม? พี่จะไปทำบะหมี่ให้กินนะ!”


เหยียนหมิงต๋าวิ่งเข้ามา แล้วก็วิ่งออกไปด้วยความดีใจ เมื่อตะกี้พี่ชายเขาทำบะหมี่ให้อู่เหมยกินแล้ว เขาก็อยากจะทำบะหมี่ให้อู่เยวี่ยกิน อู่เยวี่ยต้องเปลี่ยนมุมมองต่อเขาใหม่แน่นอน!


เดิมทีอู่เยวี่ยอยากปฏิเสธ แต่เหยียนหมิงต๋าวิ่งเร็วมาก เธอเรียกก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้แค่ตามเหยียนหมิงต๋าไป


………………………………………………………………………..


ตอนที่ 309 อาหารดำปี๋ของเหยียนหมิงต๋า


เหยียนหมิงต๋าเดินมาพร้อมกับถ้วยบะหมี่เละๆ ที่หน้าตาดูไม่น่ากิน ด้านบนมีไข่ไหม้ๆ วางโปะอยู่ กลิ่นหอมมาก แต่หน้าตาดูไม่น่ากินอย่างนี้ ไม่กล้าชมเชยจริงๆ


“เยวี่ยเยวี่ยรีบกินบะหมี่นะ พี่ใช้น้ำซุปไก่ทำ แล้วพี่ก็ทอดไข่ดาวด้วย ดูสิว่าเป็นยังไง”


เหยียนหมิงต๋าเอาบะหมี่วางตรงหน้าอู่เยวี่ย และยังรินน้ำให้เธอ ขาดแค่ป้อนเข้าไปในปากเท่านั้น


ตอนแรกอู่เยวี่ยรู้สึกหิวนิดหน่อย แต่ตอนนี้กลับไม่อยากกินเพราะอาหารดำปี๋ที่อยู่ตรงหน้านี้  ความอยากอาหารหายไปหมด เธอจึงพูดเพียงว่าตอนนี้ยังไม่หิว ให้เหยียนหมิงต๋ากินเอง


แต่เหยียนหมิงต๋าก็นิสัยตรงไปตรงมา เขาพูดเพียงว่าเขากินอิ่มแล้ว เขาบอกกับอู่เยวี่ยว่าไม่ต้องเกรงใจเขา


อู่เหมยเห็นแล้วชอบใจมาก เธอจงใจพูด “พี่หมิงต๋าคะ บะหมี่พี่น่ากินมาก กลิ่นหอมหวนสุดๆ พี่นี่เก่งจริงๆ!”


เธอยกนิ้วโป้งให้เหยียนหมิงต๋า เธอแกล้งชมผู้ชายคนนี้ด้วยท่าทางที่ดูจริงใจจนเขาแยกความจริงกับคำพูดโกหกไม่ออก อู่เหมยก็พูดกับอู่เยวี่ย “พี่คะ ทำไมพี่ไม่กินบะหมี่ล่ะ? อย่าบอกนะว่า พี่คิดว่าพี่หมิงต๋าทำบะหมี่ไม่อร่อย?”


“ไม่ใช่แน่นอน!” อู่เยวี่ยปฏิเสธเด็ดขาด


อู่เหมยแอบยิ้มเยาะอยู่ในใจ จงใจพูดว่า “งั้นทำไมพี่ไม่กินล่ะ? พี่ก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นไม่ใช่เหรอ? เมื่อครู่นี้ฉันก็กินบะหมี่ถ้วยใหญ่ไปนะ!”


เหยียนหมิงต๋ามองอู่เยวี่ยตาปริบๆ เห็นอู่เยวี่ยลังเลไม่ขยับตะเกียบ แววตาเขาเจ็บปวด ท่าทางไม่สบายใจ เยวี่ยเยวี่ยไม่กินบะหมี่ที่เขาทำ เยวี่ยเยวี่ยไม่ชอบเขาหรือเปล่า?


อู่เยวี่ยรู้สึกได้ว่าเหยียนหมิงต๋าหมดกำลังใจ เธอจิตใจสงบลง เหยียนหมิงต๋าเป็นทางหนีทีไล่ของเธอ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะขัดใจเขา บะหมี่ถ้วยนี้เธอไม่กินไม่ได้แล้ว!


นังอู่เหมยบ้า!


“ขอบคุณค่ะพี่หมิงต๋า ฉันจะกินเดี๋ยวนี้แหละ”


อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รับตะเกียบมาอย่างไม่ลังเล มองดูไข่ไก่ดำปี๋ฟองนั้น ความรู้สึกคลื่นไส้พุ่งขึ้นมาทันที แต่เธอยังคงแสดงท่าทางการกินอย่างสบายใจอกสบายใจออกมา มันคือนรกบนดินดีๆ นี่เอง


จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะอู่เยวี่ยเองที่หาเรื่องให้ตัวเอง ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้หญิงที่นิสัยสดใส เธอก็สามารแนะนำได้ตรงๆ ว่าบะหมี่ไม่อร่อย หรืออาจจะให้เหยียนหมิงต๋าลองชิมเองสักคำ อร่อยหรือไม่อร่อยตัวเองกินแล้วก็จะรู้


แต่อู่เยวี่ยกลับมุ่งมั่นที่จะแสดงเป็นคนอ่อนโยน มีเมตตา ดังนั้นจึงได้แต่อยู่ในแผนการยั่วยุของอู่เหมย สมควรแล้วที่เธอจะได้รับความทุกข์ทรมาน!


อู่เยวี่ยกัดไข่หนึ่งคำ มีเสียงกร๊อบดังขึ้น เธอมุ่นคิ้ว คายเปลือกไข่ไก่ดำปิ๊ดปี๋ออกมาจากปาก


“พี่หมิงต๋า พี่ทอดไข่ไม่ได้เอาเปลือกไข่ออกเหรอ?” อู่เยวี่ยฝืนเก็บความรู้สึกคลื่นไส้ไว้


เหยียนหมิงต๋ายิ้มตาหยีกล่าว “เอาออกแล้ว แต่มีบางชิ้นตกลงไป เยวี่ยเยวี่ยหยิบออกเองได้เลยนะ”


อู่เหมยก็พูดอย่างยิ้มกริ่ม “ไม่เขี่ยออกก็ไม่เป็นไร เสริมแคลเซียมพอดีเลย!”


กินสิ กินสิ จะดีที่สุดถ้ายายสารเลวสำลักจนตาย!


อู่เหมยซ่อนความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเอาไว้ไม่อยู่เลยสักนิด เธอก็ไม่อยากจะปกปิดด้วย เธอมองอู่เยวี่ยกินบะหมี่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อู่เยวี่ยรู้สึกรันทดสุดใจแทบอยากตาย แต่อู่เหมยกลับสบายอกสบายใจมาก เธอจ้องตาไม่กะพริบ จะปล่อยให้อู่เยวี่ยฉวยโอกาสแอบคายทิ้งไม่ได้ บะหมี่ถ้วยนี้ต้องให้เธอกินให้หมดเกลี้ยง


เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วรู้สึกขำมาก แต่ก็ไม่คิดห้ามอู่เยวี่ยให้หยุดกิน อย่างไรซะอย่างน้อยก็ต้มบะหมี่สุก แค่รสชาติแย่เล็กน้อย คงไม่ทำให้กระเพาะเสียหายได้


แต่เหยียนหมิงซุ่นกลับดูแคลนฝีมือการทำอาหารของน้องชายปัญญาอ่อนของตัวเอง และก็ดูแคลนพลังสังหารของบะหมี่ถ้วยนั้นเสียแล้ว


อู่เยวี่ยกินบะหมี่ไปคำหนึ่ง ก็ดื่มน้ำตามไปคำหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหยียนหมิงต๋าใส่เกลือลงไปเท่าไหร่ กินบะหมี่เหมือนกับกินเกลือ เพิ่งกินไม่ถึงครึ่งชาม ท้องของอู่เยวี่ยก็เต็มไปด้วยน้ำ ฝืนต่อไปไม่ไหวแล้ว


“เยวี่ยเยวี่ย กินได้น้อยจริงๆ ที่บ้านผม อาฮวายังกินได้เยอะกว่าเธออีก!”


เหยียนหมิงต๋ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย เตรียมเอาบะหมี่ที่เหลือไปให้อาฮวากิน จะทิ้งอาหารไม่ได้


เพียงแต่…


อาฮวาเดินวางมาด นวยนาดเข้ามา เขาค่อยๆ ดมบะหมี่ที่หน้าตาเละ ไม่น่ากิน แล้วร้องปฏิเสธ :


“โง่หรือเปล่าที่ไม่รู้ว่า บะหมี่ที่ตัวเองทำมันไม่อร่อย?  ไม่นึกเลยว่าจะเอาของที่หมาก็ไม่กินมาให้ข้ากิน?”


………………………………………………………………….


ตอนที่ 310 โทรหาลุงของลูก


อู่เหมยเอามือกุมท้อง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก “พี่หมิงต๋า บะหมี่ของพี่ แม้แต่อาฮวายังรังเกียจเลย!”


เหยียนหมิงต๋าถูกเหยียดหยามเกียรติ โก่งคอตะโกน “อาฮวาแค่ไม่ชอบกินบะหมี่เท่านั้นเอง แต่บะหมี่ที่ผมทำอร่อย เยวี่ยเยวี่ยกินไปตั้งครึ่งชามแล้ว!”


อู่เยวี่ยถือแก้วและเทน้ำกินไม่หยุด เธอรู้สึกเค็มจนพูดไม่ออก พอได้ยินคำพูดของอู่เหมยก็โกรธทันที  แมวยังรังเกียจบะหมี่ แล้วปล่อยให้เธอกินไปแล้วครึ่งชาม ไม่ใช่ว่าคนอย่างเธอ แม้แต่สัตว์ก็ยังสู้ไม่ได้หรือ!


อาฮวากระโจนเข้าที่ไหล่เหยียนหมิงต๋าแล้วทำเสียงเหมียวหง่าว เหมียวหง่าว แววตาเต็มไปด้วยความโกรธ ข้าไม่ชอบกินบะหมี่ตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าอายุเยอะแล้ว แค่อร่อยนิดหน่อยก็พอใจแล้ว แต่ที่แกทำนี่มันคืออะไร? สำหรับแมวกินหรือ?


เหยียนหมิงต๋าจิตใจสับสนกับเสียงร้องที่เศร้าโศกของอาฮวา เขาเลียน้ำซุบบะหมี่ที่เหลืออยู่ในชามอย่างไม่น่าเชื่อ และหน้าเขาก็บูดเบี้ยวขึ้นมาทันที แล้วก็วิ่งออกไปทันที หลังจากกินน้ำแก้วใหญ่เสร็จ ก็วิ่งกลับมา


“เยวี่ยเยวี่ย เมื่อตะกี้ทำไมเธอไม่บอกว่าบะหมี่ไม่อร่อย? ขอโทษนะ พี่…”


เหยียนหมิงต๋า มองอู่เยวี่ยที่กำลังดื่มน้ำด้วยความรู้สึกผิดและอับอาย มิน่าเยวี่ยเยวี่ยกินบะหมี่คำ ดื่มน้ำตามอีกคำ  ทำไมเขาถึงไม่ชิมมาก่อนสักคำนะ?


ความผิดของเขาเอง ทำให้เยวี่ยเยวี่ยกินเกลือไปหนึ่งถ้วย!


อู่เยวี่ยรู้สึกสับสน ฝืนยิ้มและพูด “พี่หมิงต๋า ทำบะหมี่ครั้งแรก แล้วอร่อยขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว นอกจากเค็มนิดหน่อย รสชาติของบะหมี่ยังคงอร่อยมาก”


กินเกลือไปครึ่งชามแล้ว เธอจะล้มเหลวไม่ได้ ยังไงก็ต้องทำให้เหยียนหมิงต๋าเชื่อฟังให้ได้


เป็นไปอย่างที่คิดไว้


เหยียนหมิงต๋ารู้สึกซาบซึ้งมาก ในโลกนี้มีเพียงเยวี่ยเยวี่ยเท่านั้นที่เข้าใจเขาอย่างแท้จริง โอ้! เยวี่ยเยวี่ยทำไมถึงได้ดีขนาดนี้?


ในเวลานี้อู่เยวี่ยเป็นที่หนึ่งในใจของเหยียนหมิงต๋าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  พ่อ แม่ ปู่ ย่า เอาไว้ข้างหลัง หากว่าจะให้เขาบุกน้ำลุยไฟเพื่ออู่เยวี่ย เขาก็ไม่กลัวสักนิด


โบราณว่า บุรุษยอมตายเพื่อเพื่อนที่รู้ใจ!


แต่โดยเฉพาะกับคนรู้ใจ จะตายกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร


อู่เยวี่ยแอบภูมิใจเงียบๆ เธอพอใจกับความมั่นใจแน่วแน่ของเหยียนหมิงต๋ามาก ยั่วเย้าเพศตรงข้ามให้อยู่ในอุ้งมือได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าอู่เยวี่ยจะอายุยังน้อย แต่เล่ห์เหลี่ยมกลับไม่ธรรมดา


อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ไม่ดี เดิมทีคิดจะถือโอกาสเล่นงานอู่เยวี่ย เหตุไฉนกลับกลายเป็นทำให้เหยียนหมิงต๋ายิ่งจงรักภักดีต่ออู่เยวี่ยไปได้ เธอโกรธมาก


“หมิงต๋า นายทำการบ้านเสร็จหรือยัง?” เหยียนหมิงซุ่นถามเสียงเบา เหยียนหมิงต๋าทำหน้าเหวอทันที ยิ้มแหยๆ ให้อู่เยวี่ย แล้วก็เดินคอตกกลับห้องไป


อู่เจิ้งซือตื่นนานแล้ว อู่เหมยถามด้วยความดีใจ “พ่อคะ พ่อตื่นแล้วเหรอ? ไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?”


อู่เยวี่ยก็เอนตัวเข้ามา สีหน้าเป็นห่วง อู่เจิ้งซือปวดหัวมาก เพียงแค่ลืมตาครู่หนึ่งก็เวียนหัวแล้ว เขาพูดเสียงเบา “เหมยเหมย ลูกไปโทรศัพท์บอกลุง ให้เขามาที่นี่”


“อ้อ! หนูจะโทรเดี๋ยวนี้ค่ะ”


อู่เหมยงุนงง แต่ไม่นานก็เข้าใจแผนการของอู่เจิ้งซือ อดดีใจไม่ได้ จะแยกห้องกับเหอปี้อวิ๋นเหรอ?


ถ้าหย่าร้างได้ก็ยิ่งดี!


ครอบครัวเหยียนมีโทรศัพท์ เพียงแต่อู่เหมยจำเบอร์โทรศัพท์ของอู่เจิ้งต้าวไม่ได้ เธอไม่ได้โทรศัพท์มาแปดร้อยปีแล้ว ขณะที่อู่เยวี่ยเองก็จำได้ แต่เธอไม่อยากบอก เธอไม่อยากให้คุณลุงมาเลยสักนิด เพราะถ้าเป็นเช่นนี้เรื่องที่แม่ทำก็ปิดบังไว้ไม่ได้แล้ว


แต่เธอไม่ใช่คนเดียวที่รู้หมายเลขโทรศัพท์ ยังมีอู่เจิ้งซือ แม้ว่าเขาจะปวดหัวมาก เขายังคงฝืนทนบอกเบอร์โทรศัพท์ ไม่นานก็โทรติด อู่เจิ้งต้าวพอได้ยินว่าอู่เจิ้งซือได้รับบาดเจ็บ เขาก็รีบวางหู และจะมาหาในทันที


………………………………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)