ท่านเทพมาแล้ว 287-290
บทที่ 287 เข้าถ้ำเสือ
โดย
Ink Stone_Romance
ไม่นานก็ถึงเมืองหลวงของอาณาจักรหนานเซียง เห็นเพียงบ้านแต่ละหลังในเมืองปิดแน่น บนถนนไม่มีคนเท่าไหร่นัก และคนเดินเท้าที่อยู่บนถนนแต่ละคนล้วนเดินอย่างรีบร้อน ถึงแม้ที่นี่ไม่มีภัยสงคราม แต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรโหย่วเจียงที่ได้รับภัยคุกคามจากสงคราม กลับแตกต่างกันเหมือนคนละโลก
“เซวียนหยวนฮุ่ยโหดร้ายไร้ผู้ใดเปรียบ ประชาชนในเมืองก็ลำบากลำบนหลายครั้ง ตามคำบอกเล่า ทุกเดือนเขาต้องเลือกหญิงสาวจากในอาณาจักรเข้าไปเป็นนางบำเรอในวังหนึ่งคน และหญิงที่เข้ามาเป็นนางบำเรอทุกคน หลังออกจากวังไปไม่กลายเป็นร่างไร้วิญญาณก็ไม่ต่างจากตาย ตอนนี้ประชาชนในอาณาจักรหนานเซียงล้วนอ้อนวอนต่อฟ้าไม่ให้พวกเขาตั้งครรภ์ลูกสาว แต่ระยะเวลาที่เซวียนหยวนฮุ่ยเลือกหญิงเข้าวังกลับถี่ขึ้นไม่หยุด”
พูดจบ เหลียงจีพลันเรียกพลังขึ้นมาที่นิ้ว จากนั้นทำลายเขตพลังบนเมือง
แต่ลองหลายครั้งกลับไม่มีผล ตอนถูกช่วยออกมาใหม่ๆ ลู่ยาเคยพูดว่านางยังต้องบำรุงร่างกายให้ดี หลังจากกลับมาได้ปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในวังอีกครั้ง ต่อมาก็เกิดเรื่องกับซื่ออินอีก นางเข้าไปในสนามรบด้วยตนเอง เรื่องมากมายเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน จึงกินพลังวิญญาณของนางไปมาก
มู่จิ่วพูด “ให้ข้าลองหน่อยเถิด”
พูดจบนางหยิบกระบี่ขึ้นมา เร่งพลังที่นิ้วมือ แต่กลับไม่มีสิ่งใดเคลื่อนไหว
ลู่ยามองพวกนางทำซ้ำไปมา จึงค่อยละสายตาจากการมองไปรอบๆ สะบัดแขนเสื้อทำลายเขตพลัง ก่อนนำพวกนางมุ่งตรงเข้าไป
“ยังต้องหาที่อยู่ของซื่ออินก่อน เข้าไปดูในวังหลวงเป็นอย่างแรก ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสังหารเซวียนหยวนฮุ่ย หากไม่สังหารเขา เกรงว่าพาซื่ออินไปจะเป็นเรื่องลำบาก” ลู่ยาเอ่ย จากนั้นใช้คาถาอำพรางกายซ่อนร่างทุกคน “พวกเจ้าเข้าวังไปก่อน มู่จิ่วพาอาฝูกับจื่อจิ้งไปหาเซวียนหยวนฮุ่ย พวกเหลียงจีเจ้าไปหาซื่ออิน”
“ข้าจะไปดูรอบๆ และสร้างเขตพลังป้องกันเซวียนหยวนฮุ่ยหลบหนี ใครที่เจอเขาก่อนให้คนนั้นส่งสัญญาณออกมา ข้าจะไปหาพวกเจ้าเอง”
มู่จิ่วพยักหน้า
เหลียงจีเอ่ย “พวกเราเข้าไปทางทิศเหนือ! ข้าเคยมาวังหลวงหนานเซียง รู้ว่าทางเหนือของพวกเขามีสวนดอกไม้”
นางพูดพลางชี้ไปทางเหนือ
มองเห็นไม่ชัดว่าสภาพทางเหนือเป็นอย่างไร เมื่อขี่ลมเดินเข้าไป ที่แท้ก็เป็นสวนดอกไม้ของวังหลวงหนานเซียง
ครั้นมาถึงตรงนี้ต้องแยกทางแล้ว ทั้งสองฝ่ายส่งสายตาให้กัน มู่จิ่วพาอาฝู จื่อจิ้ง และอวี๋เหิงไปทางตะวันออก พวกเขาแต่เดิมมาทางนี้เพื่อตามหาเซวียนหยวนฮุ่ย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องจงใจอำพรางตน ส่วนพวกเหลียงจียังต้องตามหาซื่ออินอย่างละเอียด ย่อมไม่อาจแสดงตัวและยิ่งต้องระมัดระวังไว้
ตามหลักแล้ว เสือลายเหลืองพ่ายแพ้สงคราม เซวียนหยวนฮุ่ยควรรักษาการณ์ที่กองทัพ ป้องกันโหย่วเจียงมาโจมตีซ้ำหลังจากชนะแล้ว ทว่าเขาไม่เพียงรีบร้อนหนีไป แม้แต่ทัพทหารยังแตกพ่ายไปแล้ว คิดดูคงเป็นตามที่ลู่ยาคาดเดาไว้ เขายังมีแผนสำรองไว้รับมือกับเผ่าพันธุ์เสือขาว แต่ไม่ว่าอย่างไรโหย่วเจียงก็มีลู่ยาคอยสนับสนุน นางแค่ต้องสังหารเซวียนหยวนฮุ่ย และช่วยซื่ออินกลับไปให้ได้ก็พอแล้ว!
“หงิงหงิง!”
คนหลายคนเดินเลียบตีนกำแพงไป อาฝูที่เงียบสงบระวังระไวมาตลอดทางพลันร้อนรนขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้นอาฝู?”
มู่จิ่วลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน กลัวว่าจะเหนื่อยเพราะเพิ่งทำลายค่ายกลพันมารมา นางเองก็ลืมถามหาหยกโมราจากลู่ยาเสียด้วย
อาฝูถูตัวอยู่บนร่างนาง มองไปรอบด้านอย่างสับสน ก่อนลุกขึ้นเดินต่อ
มู่จิ่วเอ็นดูเขา จึงเดินช้าลงเล็กน้อย และใช้พลังกระตุ้นดอกบัวทองที่แขน แสงของดอกบัวทองปกคลุมทั่ววังหลวงบางๆ จุดที่พลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดเป็นทิศใต้ คงจะเป็นตำแหน่งของตำหนักหลัก ผู้ที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุดในวังและยังอยู่ในตำหนักหลักได้มีเพียงเซวียนหยวนฮุ่ยเท่านั้น มู่จิ่วหันหน้าไปเรียกพวกอวี๋เหิง แล้วขี่ลมมุ่งไปยังวังหลัก
เพิ่งเข้าใกล้ระเบียงทางเดิน ในตำหนักพลันมีพลังชั่วร้ายรุนแรงพุ่งเข้าปะทะหน้า
“เจ้าโง่! ตอนนี้เมืองหลวงของโหย่วเจียงเหลือเพียงไท่ชีกับต๋าเจา จะมีเขตพลังอะไรทำลายไม่ได้!”
เสียงตะโกนของเซวียนหยวนฮุ่ยเหมือนฟ้าผ่า ได้ยินเสียงนี้ อาฝูก็กระวนกระวายกว่าเดิมทันที
มู่จิ่วตบๆ หัวเขาเพื่อปลอบโยน จากนั้นหยิบดอกบัวทองที่ลู่ยาให้กระโจนเข้าไป “ตายซะ เจ้าคนสารเลว!”
อาฝูกับจื่อจิ้งตามติดข้างหลัง อวี๋เหิงก็ตามมา พลันใช้กระบี่ในมือสร้างรอยแยกกว้างขนาดเจ็ดแปดจั้งบนพื้น ผู้อารักขาที่อยู่ไกลออกไปหนีไม่ทัน ตกหลุมลงไป เสียงร้องโหยหวนดังต่อเนื่องไม่หยุด!
เซวียนหยวนฮุ่ยในห้องคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่เขากำลังขบคิดจะกลับไปโจมตีเมืองหลวงของโหย่วเจียง จะมีคนทำลายเขตพลังของเขาเข้ามาในวังได้!
เขาพลันหันมาแล้วยืนขึ้น รีบหยิบขวานที่พิงอยู่ด้านข้างมาทันที! และในพริบตาที่หันหน้ามา บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและความสงสัย ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว เสือลายเหลืองหลายตัวที่คุกเข่าอยู่ตรงพื้นพลันชักกระบี่ออกมาปกป้อง แต่แสงดอกบัวทองในมือมู่จิ่วที่สาดส่องออกมาแยงสายตาจนลืมตาไม่ขึ้น!
“โฮกกก…”
อาฝูที่ร้อนใจอย่างยิ่งเปลี่ยนร่างเป็นเสือใหญ่ พุ่งทะยานเข้าไป มู่จิ่วรีบตะโกนบอก “อาฝูหลบไป!” นางรีบหมุนตัวมาบังตรงหน้าเขา ยกดอกบัวทองในมือขึ้นรับขวานของเซวียนหยวนฮุ่ย และพลิกมือโจมตีเซวียนหยวนฮุ่ยกลับไป เขาโดนกระบวนท่านั้น คล้อยหลังเสียงสบถเย็นเยียบ เขากุมมือพลางถอยหลังไปจนหลังชนกำแพง!
มู่จิ่วใช้ฐานะที่เป็นหัวเสินรับมือกับราชาแห่งเผ่าเทพ กำลังที่แท้จริงห่างชั้นกันมากนัก แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะพ่ายแพ้ เห็นได้ว่าฤทธิ์ของดอกบัวทองยิ่งใหญ่มาก! คิดได้ดังนี้นางก็มั่นใจขึ้นมาก ใช้ดอกไม้แทนกระบี่ รุกคืบกดดันโจมตีเขาไป เซวียนหยวนฮุ่ยที่โดนโจมตีมาแบบนี้ได้แต่รับมือและไม่มีหนทางโต้กลับ จึงอดตะโกนอย่างร้อนรนไม่ได้ “เจ้าเป็นใคร!”
“คนที่จะมาเอาชีวิตเจ้า!”
มู่จิ่วยกปากยิ้มเยาะ หยุดการโจมตี กำลังจะรวบรวมพลังทั้งหมดไว้ที่ก้านดอก อาฝูกลับพลันกระโจนออกมากจากในห้อง กระโดดข้ามรอยแตกตรงหน้าประตู ร้องคำรามพร้อมบินทะยานออกไปไกล!
“อาฝู!”
หลายคนล้วนตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น กระบวนท่าของมู่จิ่วช้าลง เปิดโอกาสให้เซวียนหยวนฮุ่ยซัดฝ่ามือเข้าหานาง และหนีออกไปอย่างรวดเร็ว!
“อาฝูเป็นอะไร? เขาไปไหนแล้ว?!”
มู่จิ่วไม่สนใจร่างที่โดนฝ่ามือของตน ปาดเลือดออกจากมุมปากก่อนพูด
“ไปทางตะวันออก! ไม่รู้จะทำอะไร!”
จื่อจิ้งชี้ไปทางตะวันออก
“รีบไปดูเร็ว!”
มู่จิ่วพูดจบก็รีบเร่งตามไป
ลู่ยากำลังเดินไปรอบๆ เขาหนีไม่พ้นแน่!
จากนั้นไหนเลยจะรู้ว่าเดินไปได้ไม่ไกล ก็เห็นอาฝูอยู่บนยอดหลังคา ใต้ชายคาเป็นเหลียงจีและนายพลเสืออีกหลายคน พวกเขาแต่ละคนล้วนเดินไปรอบเรือนด้วยใจไม่สงบ และยังร้องเรียกชื่อของซื่ออิน!
“ซื่ออินอยู่ด้านในหรือ?”
มู่จิ่วพลันกระโดดลงมาบนพื้นก่อนถาม
“อยู่ข้างใน! แต่พวกเราเข้าไม่ได้! ที่นี่ไม่เพียงมีเขตพลังที่แข็งแกร่ง ในห้องยังมีคนเฝ้าด้วย!” เหลียงจีสีหน้าซีดขาว ร้อนรนจนน้ำตาไหลออกมา “พวกนั้นใช้เขากดดันข้า หากไม่กลับไปให้ราชาทำลายเขตพลังลง หากไม่ยอมแพ้ให้ พวกเขาจะทำลายจิตพยัคฆ์ของเขา!”
จิตพยัคฆ์ถูกทำลายก็เท่ากับวิญญาณสลาย พวกเขาถึงกับใช้วิชาที่ต่ำช้าขนาดนี้!
มู่จิ่วกัดฟัน “ใครอยู่ข้างใน?”
“งูแดงข้างกายเซวียนหยวนฮุ่ย ยังมีนายพลใหญ่สองคนหน้ากระบวนทัพ! มนต์ปีศาจของพวกเขาแข็งแกร่งมาก ข้าหวั่นเกรงนัก อับจนปัญญา!” เหลียงจีพูดอย่างรวดเร็ว มือทั้งสองสั่นเทาแล้ว
………………………………………………
บทที่ 288 เจ้ามีประโยชน์ที่สุด!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมองอาฝูที่อยู่บนหลังคา เห็นเพียงเขาเดินไปเดินมาบนนั้น ท่าทางลุกลี้ลุกลนมากกว่าเดิม…เมื่อครู่เขาดูประหลาดขนาดนั้น หรือสัมผัสถึงสถานการณ์ของซื่ออินได้แล้ว?
นางครุ่นคิดก่อนพูด “เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รู้ซ่อนอยู่ที่ไหน แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเราคิดหาหนทางพาซื่ออินออกมาก่อนค่อยว่ากัน!”
“แต่จะช่วยอย่างไรเล่า?” อวี๋เหิงกล่าวอย่างกังวล
มู่จิ่วมองทุกคน สุดท้ายสายตาจับจ้องไปบนร่างจื่อจิ้ง
จื่อจิ้งกุมหน้าอก สะดุ้งตกใจ ถอยหลังไปโดยพลัน “เจ้าอย่ามาหาข้า!”
มู่จิ่วเข้าไปจับแขนเขา “เจ้านี่แหละ! เจ้าเข้าไปปะทะกับพวกเขาสักหน่อย เอาคำสาปโชคร้ายไปให้พวกนั้นที เรื่องที่เหลือพวกเราก็ไม่พึ่งเจ้าแล้ว!”
จื่อจิ้งกระโดดเข้ามา “เจ้าพวกหมาหมู่คู่นี้! ไม่ต่างกันเลย! คนหนึ่งกัดไม่ปล่อย คนหนึ่งจะส่งข้าไปตาย! ข้าขอให้เจ้าคลอดลูกออกมาไม่…!”
“เรื่องคลอดลูกไม่ต้องให้เจ้ากังวล!” มู่จิ่วจับเขาผลักเข้าไปในเรือน ทั้งตัวเขาพุ่งไปราวกับกระสุน
ประตูใหญ่ถูกชนล้ม เผยให้เห็นซื่ออินที่ถูกล่ามไว้กลางอากาศ และนายทหารเสือลายเหลืองที่ถือกระบี่ล้อมหน้าล้อมหลัง!
ซื่ออินใส่เพียงเสื้อผ้าชั้นใน ลมหายใจแผ่วเบา ก้มหน้าลงอย่างไร้เรี่ยวแรง บนเสื้อผ้าเต็มไปด้วยรอยเลือด ส่วนผิวหนังหลายจุดที่เผยออกมาเละเทะจนมองไม่ออก ปลายเท้าที่ลอยขึ้นยังมีเลือดไหลหยด!
“ซื่ออิน!”
เสียงของเหลียงจีแปรเปลี่ยน พุ่งเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มู่จิ่วที่เตรียมพร้อมนานแล้วดึงนางกลับมา
“ซื่ออิน!”
นางทรุดลงร้องไห้ที่พื้น ร่างกายที่ไม่อาจควบคุมได้สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ซื่ออินค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา สายตาส่องประกายแสงตอนที่มองหน้านาง แต่ไม่นานนักก็ก้มกลับลงไปเพราะไร้เรี่ยวแรง
นายทหารเสือลายเหลืองทั้งสี่ในเรือนคิดไม่ถึงว่าจื่อจิ้งจะชนประตูพัง กระบี่หลายเล่มพลันจ่อสกัดที่จุดลมปราณแต่ละแห่งของซื่ออิน
จื่อจิ้งกลิ้งเข้าไปพร้อมด่าทอตลอดทาง ชนเข้ากับเสือลายเหลืองที่อยู่หน้าสุดก่อน จากนั้นอาศัยแรงส่งชนเสือลายเหลืองทางตะวันตก ส่วนเสือลายเหลืองทางเหนือเตรียมยกเท้าหนี จื่อจิ้งกลับยืดขาไปขัดจนล้มคะมำเสียก่อน แล้วค่อยชนเข้ากับเสือลายเหลืองทางตะวันออก!
ทำแบบนี้ต่อเนื่องจนสำเร็จในรวดเดียว เสือลายเหลืองทั้งหลายเห็นจื่อจิ้งเป็นเพียงเด็กอายุสิบกว่าขวบเท่านั้น ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย จึงยิ้มเยาะเย้ยก่อนถือกระบี่เข้าไปหาซื่ออิน แต่กระบี่ในมือพลันถูกกระเบื้องที่อาฝูเหยียบอยู่หล่นลงมาบาดข้อมือ กระบี่ยาวหล่นลงพื้น คนที่เหลือสามคนตกใจ เงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงเสือขาวตัวกลมกลิ้งหลุนๆ ลงมาทับหัว!
“องค์ชาย!”
พวกอวี๋เหิงเห็นดังนั้นจึงกระโจนเข้าไปฉวยโอกาสก่อน ถึงแม้เสือลายเหลืององอาจเกินธรรมดาและเฝ้าอยู่รอบด้านอย่างมั่นคง แต่พวกนั้นกลับถูกสะกดไว้ ตอนกระบี่แทงออกไปจะมียุงบินเข้ามาบดบังสายตาพอดี ตอนส่งฝ่ามือจะพลาดเป้าโดนตีเข้าอย่างจัง เพราะสหายออกกระบวนท่ากะทันหัน!
อาฝูอาศัยช่วงชุลมุนเข้าไปกัดโซ่ล่าม มู่จิ่วกับเหลียงจีเข้ามารับซื่ออินพอดี!
“พวกเรารีบไปเร็ว!”
มู่จิ่วรีบร้องบอก จากนั้นเรียกเมฆมาแล้วขี่ขึ้นไป
“จะไปไหน?!”
ตอนนี้เองพลันมีเสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังมา ตามด้วยเสียงเกราะและอาวุธทหารกระทบกันไม่ขาดสาย เมื่อเงยหน้ามองไป เห็นเพียงบนหลังคารอบด้านมีทหารนายพลเสือลายเหลืองยืนเต็มไปหมด ส่วนเซวียนหยวนฮุ่ยที่หนีไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ขี่งูแดงเข้ามา ถือลูกทรงกลมที่ส่องแสงรอบทิศอยู่กลางอากาศพลางเหลือบมองพวกเขา
มู่จิ่วตึงเครียด คิดไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้ และยังพาทหารกลับมามากเพียงนี้ด้วย!
จะหนีไปตอนนี้คงยาก!
ไม่รู้ว่าลู่ยาไปทางไหน?
มู่จิ่วหันกลับมามองในเรือน พวกอวี๋เหิงยังคงพัวพันอยู่กับเสือลายเหลือง อาฝูกลับมาบนเมฆแล้ว สองตามองเซวียนหยวนฮุ่ยออย่างโกรธแค้น
มู่จิ่วนำน้ำเต้าหยกที่ลู่ยาให้มาก่อนหน้านี้ออกมา เปิดจุกชี้ไปยังซื่ออิน มองดูซื่ออินที่ไม่มีสติค่อยๆ ตัวเล็กลง จนสุดท้ายมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ก่อนเข้าไปในน้ำเต้า! นางปิดจุกน้ำเต้าแล้วส่งให้เหลียงจี หยิบดอกบัวทองยืนขึ้นมา ตะโกนเสียงดังว่า “อวี๋เหิง พวกเจ้าหลบไป!”
พวกอวี๋เหิงรับคำสั่ง ถอยทัพไปอย่างรวดเร็ว
ดอกบัวทองขยับไหวอีกครั้ง เกสรดอกบัวกลายเป็นมีดทองนับหมื่นปักเข้าไปยังหัวใจของเสือลายเหลืองทั้งสี่!
พวกเหลียงจีตกตะลึง เสือลายเหลืองบนหลังคาเริ่มขยับอย่างกระวนกระวาย เซวียนหยวนฮุ่ยบนงูแดงก็หน้าถอดสีทันที!
“เจ้าเป็นอะไรกับลู่ยา?!”
เขายังคู่ควรจะเอ่ยนามลู่ยารึ?
มู่จิ่วสายตาเย็นเยียบ พลันถือดกบัวทองพุ่งเข้าไปหาเขา
ครั้งนี้เซวียนหยวนฮุ่ยไม่รีบร้อนรับการโจมตี แต่กระตุ้นลูกวิญญาณในมือทันที
ลูกวิญญาณเคลื่อนไหว เมฆดำเหนือหัวเริ่มหนาทึบจนไม่เห็นแสงอาทิตย์ ลมหนาวพัดเข้ามารอบด้าน เงามารที่มองไม่เห็นมากมายเหมือนกับลมพัดผ่านหูไป และยังทำให้สายตาพร่าเลือน พวกอวี๋เหิงเริ่มโซเซ ฝีเท้าของเหลียงจีก็ไม่มั่นคง ถึงแม้สองมือจับระเบียงทางเดินไว้แน่น แต่ท่าทางดูพยุงไม่อยู่แล้ว
มีเพียงอาฝูที่ดวงตาเป็นประกายจับจ้องเงามารเหล่านี้ เขามีแต่ความเดือดดาล ไม่มีท่าทางมึนงง…บางทีอาจเป็นเพราะเคยถูกลู่ยาชี้นำจิตใจมาก่อน เขาจึงมีสติแจ่มใส!
จื่อจิ้งก็ไม่มีปัญหา เขาเป็นของวิเศษแห่งสวรรค์อันสูงส่ง และมีอาคมของปฐมวิญญาณปกป้อง วิชาทำให้งงงวยประเภทนี้ทำอะไรเขาไม่ได้
“นี่ต้องเป็นวิญญาณร้ายแน่!” มู่จิ่วเอ่ย แต่ไม่รู้ตัวว่าตนเองก็สติแจ่มใสภายใต้พลังวิญญาณอันแข็งแกร่งนี้เหมือนกัน นางจ้องลูกวิญญาณที่กำลังมอมเมาผู้คนไม่หยุด คิ้วขมวดแน่น
“ลู่ยาไม่ได้บอกไว้หรือว่าเสือขาวนั่นมีพลังหยางสูง สามารถทำลายวิชาหยินได้? เรียกเขามาเร็ว!”
จื่อจิ้งกระโดดเร่งอยู่ข้างๆ
มู่จิ่วพลันกระจ่าง รีบส่งสัญญาณให้อาฝู อาฝูร้องอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพุ่งเข้าหาลูกวิญญาณนั้น!
แต่เซวียนหยวนฮุ่ยเหมือนจะคาดเดาไว้แล้ว ตอนที่อาฝูห่างจากลูกวิญญาณสามจั้ง เขายื่นมือขวาออกมาทันใด มือนั้นพลันกลายเป็นกรงเล็บเสือขนาดใหญ่ จับคออาฝูไว้แน่น!
มู่จิ่วแอบร้องว่าแย่แล้วในใจ กำลังจะพุ่งเข้าไป ข้อมือกลับโดนมืออีกข้างหนึ่งจับไว้ทันควัน “ไม่ต้องไป! อาฝูรับมือได้!”
ไม่รู้ลู่ยากลับมาตอนไหน เขามองอาฝูที่กำลังต่อสู้อย่างว่องไวกับเซวียนหยวนฮุ่ย แต่ถึงแม้ปากบอกว่าสามารถรับมือได้ แต่สีหน้ากลับไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย มู่จิ่วจึงอดถามไม่ได้ “ในมือเซวียนหยวนฮุ่ยมีลูกวิญญาณนะ!”
“นั่นก็ช่วยไม่ได้!” ลู่ยาพูด “เซวียนหยวนฮุ่ยจะต้องถูกเขาสังหาร!”
มู่จิ่วไม่รู้จะพูดอะไร นี่คือคำพูดใดกัน!
“โฮกกก..”
ระหว่างคุยกัน เสียงต่อสู้ฝั่งนั้นดังมาอีก อาฝูดุร้ายเยี่ยงเสือ เซวียนหยวนฮุ่ยก็ไม่ถอยแม้แต่น้อย ทั้งสองประจันหน้ากันกลางอากาศ อาฝูหมุนตัวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กัดเท้าซ้ายอีกฝ่าย! เซวียนหยวนฮุ่ยกระอักเลือดออกมา ตัวเอนไปข้างหน้า งูแดงที่อยู่ข้างล่างและเหล่าเสือลายเหลืองรอบทิศพลันพุ่งเข้าหาอาฝูราวกับคลื่น ล้อมเขาอยู่ตรงกลางในชั่วพริบตา!
……………………………………………
บทที่ 289 ผู้ชายของข้า
โดย
Ink Stone_Romance
ในที่สุดลู่ยาก็ขึ้นไปหยุดอยู่ข้างอาฝู ขวางศัตรูแทนเขา แต่เขาไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมด หรือสามารถบอกได้ว่าใช้พลังไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ทำเพียงปกป้องอาฝูโดยไม่โจมตีกลับ!
มู่จิ่วไม่เข้าใจทั้งยังร้อนใจ เพราะหลายครั้งแล้วที่มีคนเกือบทำร้ายเขาได้…แน่นอน นางเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำเขาบาดเจ็บได้ แต่นางร้อนใจ! หากเขาพลาดท่าเพราะมั่นใจมากเกินไปเล่า? หากเซวียนหยวนฮุ่ยนั่นยังมีแผนร้ายอื่นซ่อนอยู่อีกล่ะ?
เห็นงูแดงตัวนั้นสะบัดหางอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้นก็พุ่งโจมตีช่วงเอวของเขา! มู่จิ่วทะยานเข้าไปด้วยอดทนไม่ได้อีก เงื้อดอกบัวทองในมือขึ้นสูงก่อนตัดหางงู เลือดของงูพลันสาดกระจายไปทั่วฟ้า ทำให้เสื้อสีเรียบของนางแดงฉานไปด้วยเลือด!
“เจ้าทำอะไร?!” ลู่ยาที่กำลังรับมือศัตรูเห็นนางอยู่ด้านข้าง รีบดึงนางไว้
มู่จิ่วชี้งูครึ่งตัวที่ดิ้นทุรนทุรายกลางอากาศพลางพูด “เจ้าเดรัจฉานนั่นจะลอบทำร้ายเจ้า!”
“มันทำอะไรข้าไม่ได้! อันตรายขนาดนี้เจ้าเข้ามาทำอะไร?!” น้ำเสียงเขาโกรธขึ้ง ทั้งยังผลักนางออกนอกวงล้อมเสือ “เจ้ากลับไป!”
มู่จิ่วโกรธจัด “ถึงเจ้าเก่งกาจมากอย่างไรก็ยังเป็นผู้ชายของข้า! ข้ารู้ว่ามันจะทำร้ายเจ้า จะให้ข้านิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร!”
ลู่ยาหลอมละลายกลายเป็นน้ำฤดูใบไม้ผลิในชั่วพริบตา เขาอุ้มมู่จิ่วกลับไปที่เดิมทันที ลูบใบหน้านางเล็กน้อยก่อนกลับไปยังสนามรบ
มู่จิ่วยังคิดจะพูดอะไรกับเขา แต่พริบตาเดียวเงาเขาก็หายไปแล้ว
เมฆดำบนหัวเดี๋ยวรวมตัวเดี๋ยวกระจาย ลู่ยายังคงรับมือเป็นหลัก แต่เสียงคำรามของอาฝูกลับยิ่งนานไปยิ่งกระชั้น พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาจากร่างเขายิ่งปั่นป่วนขึ้นทุกที
นางมองไปรอบๆ พวกเหลียงจีไม่รู้ไปไหนแล้ว จื่อจิ้งก็หายไป รอบด้านพลันเปลี่ยนไปอย่างน่าเหลือเชื่อ ฟ้าดินเหมือนกำลังสั่นไหว! รีบเงยหน้ามองไปทางพวกลู่ยา กลับมีเพียงเมฆดำเคลื่อนไหวไม่หยุด มองไม่เห็นเงาคนเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเพียงเสียงเท่านั้น เสียงปะทะกัน เสียงของเหล่านายพลเสือขาว และเสียงเหลียงจีพูดคุยกัน ตอนพวกเขาพูดคุยกับนาง นางกลับไม่เห็นพวกเขา!
“ลู่ยา!”
นางหัวใจบีบรัด พลันร้องตะโกนออกมา
กลุ่มเมฆดำนั้นสลายไป แต่ก็กลับมารวมกันทันที
นางโดนกับดักแล้ว!
ต้องเป็นมนตร์คาถาของวิญญาณร้ายในมือของเซวียนหยวนฮุ่ยแน่!
นางกัดฟัน ใช้พลังวิญญาณกระตุ้นดอกบัวทองในมือ พุ่งจากพื้นราบขึ้นสู่ท้องฟ้า ตะโกนเสียงดังก่อนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แสงสว่างของดอกบัวทองสาดส่องไปทั่วทั้งจักรวาลในพริบตา เมฆดำสลายไปทีละน้อย คนที่เมื่อครู่หายตัวไปก็ค่อยๆ ปรากฏสู่ครรลองสายตา และตำแหน่งที่นางอยู่คือกลางกลุ่มเสือลายเหลืองพอดี!
เมื่อเห็นมู่จิ่ว เสือหลายร้อยตัวพากันทะยานเข้าหานาง ในชั่วพริบตาเดียว นางเหมือนกับดาวตกที่พุ่งลงสู่พื้น ในมือถือดอกบัวทองที่ลู่ยาให้ไว้ ตามหลักเหตุผลแล้วเสือหลายร้อยตัวนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับนาง แต่โชคร้ายคือเวลานี้นางกลับพลันอ่อนเปลี้ยเพลียแรง!
ไม่เพียงไม่มีแรง ยังมีแรงดึงดูดที่ไร้ต้นสายปลายเหตุฉุดนางลงไปอีก!
เหล่าเสือลายเหลืองบดบังนางไว้ ลู่ยาที่เมื่อครู่เห็นนางทลายวิชาปีศาจได้ไม่ได้สนใจมากนัก ส่วนอาฝูปะทะกับเซวียนหยวนฮุ่ยจนถึงเวลาสำคัญแล้ว เขาคาดเดาว่ามู่จิ่วจะใช้ดอกบัวจัดการเสือเหล่านั้นให้ร่วงเป็นใบไม้
แต่ไม่เป็นเช่นนั้น!
มู่จิ่วร่วงลงไปข้างล่างเหมือนลูกเหล็กตกลงสู่น้ำ!
นางไม่มีแรงตอบโต้ และไม่มีแรงร้องตะโกน ทำได้เพียงแหงนมองสัตว์กระหายเลือดหลายตัวเหนือหัวง้างกรงเล็บกระโจนเข้าหาตนเอง
แต่พวกเขากลับทำไม่สำเร็จ เพราะนางร่วงลงไปข้างล่างไม่หยุด ราวกับด้านล่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด!
“กัวมู่จิ่ว!”
“แม่นางกัว!”
เสียงมากมายดังขึ้นตอนนางร่วงหล่นลงมา ทั้งยังมีเสียงอสุนีบาตหลายสายปะปนอยู่ด้วย แต่ร่างของนางยังคงร่วงลงไป ชัดเจนว่าสถานที่ที่นางต่อสู้กับเสือลายเหลืองห่างจากพื้นเพียงไม่กี่จั้ง ทว่านางร่วงหล่นอยู่นานก็ยังคงร่วงลงไปอยู่อย่างนั้น รอบด้านจากสว่างค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมืด และยังเหมือนตกลงสู่อนธการอันไม่มีที่สิ้นสุด
“อาจิ่ว!”
ลู่ยาเคลื่อนตัวเหมือนกับแสงสายหนึ่ง พุ่งตามลงมา แต่ลงมาได้ไม่ไกลไหร่กลับไม่มีหนทางไปต่อ บนโลกนี้ไม่มีเรื่องอะไรที่เขาทำไม่ได้ แต่ถึงแม้ลงไปที่พื้นแล้ว เขากลับหากลิ่นอายของนางไม่เจอแม้แต่เศษเสี้ยว! นางราวกับเข้าไปในดินโคลนก่อนสลายเป็นอากาศ ทำให้หาไม่เจอ!
“อาจิ่ว! กัวมู่จิ่ว!”
ทุกแห่งหนเต็มไปด้วยเสียงตะโกนอย่างร้อนรนของลู่ยา แต่มู่จิ่วก็จนปัญญา
นางร้อนใจอยากตอบเขากลับไปเช่นกัน ร้อนรนจนลำคอมีกลิ่นคาว แต่นางยังคงร่วงลงไป ทำให้นึกสงสัยว่าตนเองจะผ่านแก่นโลกทะลุไปยังช่วงเวลาอื่นหรือไม่!
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ สุดท้ายความเร็วในการร่วงหล่นของนางก็ช้าลง ในที่สุดก็มาถึงก้น แต่ไม่ได้ตกลงบนพื้นแข็ง กลับเป็นพื้นที่อ่อนนุ่ม…นางคิดว่าตนเองสับสนแล้ว มู่จิ่วดันตนเองลุกขึ้นมา ยังคงมองอะไรไม่เห็น บริเวณที่มือทั้งสองสัมผัสนั้นอ่อนนุ่มลื่นมือ ราวกับเป็นฟูกผ้าไหมชั้นสูง
พื้นลึกสุดแบบนี้จะมีฟูกผ้าไหมได้อย่างไร?
หรือนางกระแทกจนแม้แต่การสัมผัสยังหายไปด้วย?
แต่เมื่อสัมผัสดีๆ อีกที ก็เหมือนอย่างมากจริงๆ!
สิ่งที่เรียบลื่นเช่นนี้ ไม่ใช่ฟูกผ้าไหมจะเป็นอะไร?
นางลูบผ้าไหมนี้ไปมา กลับสัมผัสโดนดอกมู่หลันแถวหนึ่ง…ดอกมู่หลันสลักตกแต่งอยู่บนเตียง หรือใต้นางจะเป็นเตียงหลังหนึ่ง?
นางกลืนน้ำลาย ยื่นมือไปสัมผัสอีก และพลันสัมผัสโดนพื้นผิวประหลาด…
“ฮึๆ”
มีคนอดไม่ได้ หัวเราะอออกมาตรงหน้านาง
มู่จิ่วตกใจ ชักมือกลับทันใด “นั่นใคร?”
ไม่มีคนตอบ หลังจากเสียงเสื้อผ้าเสียดสี ในห้องพลันมีแสงสว่างขึ้นบ้าง มู่จิ่วมองไป เห็นเพียงในเงามืดค่อยๆ ปรากฏลูกแสงกลม ลูกกลมนี้สว่างไปทั้งห้องทีละน้อย ค่อยๆ เผยให้เห็นภาพเบื้องหน้ามู่จิ่วทีละก้าว
นี่เป็นห้องที่ตกแต่งได้งดงามและประณีตมาก แต่โบราณอย่างยิ่ง
เครื่องใช้เป็นของเก่า อาวุธเป็นของเก่า แม้แต่ตะกร้าสานขนาดใหญ่ตรงมุมห้องก็เก่าแก่จนใหญ่เท่าน่องของนาง มองไปใต้ร่างอย่างละเอียด มันเป็นเตียงหลังหนึ่งจริงๆ ผ้าทอบนเตียงก็ไม่ใช่ของธรรมดาแต่เป็นของพิเศษ ไม่เห็นรอยทอแม้แต่น้อย
สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้น เห็นด้านข้างลูกแสงนั้นมีคนยืนอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นสวมเสื้อเขียวแขนกว้าง ผมดำยาวถึงเอว มือทั้งสองกอดอก งอเข่าข้างหนึ่งยืนอย่างสบายๆ ทั้งกายดูเย้ายวนอย่างมาก
สายตาของมู่จิ่วจับจ้องเขาทันที แต่เพราะแสงด้านหลังทำให้นางเห็นหน้าเขาไม่ชัด
แต่เพราะใบหน้าไม่ชัดเจน ทำให้นางคิดถึงคนหนึ่งขึ้นมาได้!
“เจ้าเป็นใคร?”
นางพลันระแวดระวังราวกับกระดิ่งส่งสัญญาณเตือน
นี่ต้องเป็นคนเสื้อเขียวที่เหลียงจีบอกไว้แน่!
ต้องเป็นเขาแน่!
แต่เหมือนนางเคยเห็นที่ไหนมาก่อน…ใช่แล้ว บนหุบเขาภูเขาไท่ คนที่ใต้ต้นสนนั่น! ตอนนั้นถึงแม้นางเห็นเขาไม่ชัด แต่ความรู้สึกที่นางมีต่อเขาประหลาดแบบนี้เหมือนกัน!
…………………………………………………………………
บทที่ 290 ของที่เจ้าชอบกิน
โดย
Ink Stone_Romance
พริบตานั้นนางไม่รู้ควรพูดอะไรดี หรือเขาก็คิดลักพาตัวนางเช่นเดียวกัน? หรือคิดจะทำอะไรอย่างอื่นกับนาง? นางพินิจมองไปรอบๆ โดยพลัน…มองไปก็ยิ่งหมดหวัง ไม่รู้ว่าห้องนี้คือที่ไหน แม้แต่ประตูหน้าต่างก็ไม่มี! นางยังไม่สำเร็จวิชาทะลุผ่านผนัง ไม่มีประตูหน้าต่าง มันต่างกับกักขังนางไว้ตรงไหน!
มองหาดอกบัวทองที่เคยอยู่ในมือ โชคดีที่มันยังอยู่ ตกลงบนฟูกที่นอนที่นางนั่งอยู่เมื่อครู่
นางรีบพุ่งเข้าไปถือมันไว้ จากนั้นหันไปเผชิญกับคนตรงหน้า
คนผู้นี้หันมาอย่างเชื่องช้า พร้อมทั้งเปิดลูกแสงด้านข้างอีกสองลูก แสงสว่างราวกับระเบิดส่องกระทบใบหน้าเขา ส่องให้เห็นจมูกตรงดั่งพู่กันและคิ้วดกหนาทันที!
“เจ้า…”
เมื่อเห็นใบหน้านี้ มู่จิ่วยิ่งตกตะลึง!
เพราะนางเคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน…นางเคยเห็นใบหน้านี้มาก่อน!
ภาพนี้ช่างลึกซึ้งนัก ตอนที่พลังของนางระเบิดออกที่คุนหลุนตะวันออกและเกือบจะแทงลู่ยา ลู่ยาที่นางเห็นก็คือคนตรงหน้านี้เอง!
นี่มันเรื่องอันใดกัน…
“รู้สึกว่าข้าคุ้นตาใช่หรือไม่?” เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ข้างฉากกั้นลม ท่าทางผ่อนคลายสบายยิ่งนัก มองนางทั้งรอยยิ้มแต่กลับไม่พูดต่อ เพียงมองไปรอบๆ ก่อนหยิบส้มผลหนึ่งจากถาดผลไม้บนโต๊ะขึ้นมาปอก ระหว่างที่ปอกอยู่นั้นเขาไม่ได้พูดหรือทำอย่างอื่นเลย ราวกับความคิดทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ส้มเท่านั้น
มู่จิ่วไม่อาจขยับตัว ห้องนี้แม้แต่หน้าต่างก็ไม่มี นางเองไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน และไม่คิดว่าจะสามารถหนีออกไปได้ด้วย
ประเด็นคือคนผู้นี้ประหลาดเกินไปแล้ว เขาไม่มีท่าทีจะสังหารนาง ทั้งยังไม่มีท่าทีจะกดดันให้นางทำอะไร
“เจ้าเป็นใครกันแน่? ทำไมต้องลักพาตัวข้ามา?” นางกลืนน้ำลายก่อนถาม
“ข้าไม่ได้ลักพาตัวเจ้ามา” เขายังปอกส้มอย่างตั้งใจ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงราบเรียบยิ่งนัก “เป็นเซวียนหยวนฮุ่ยขโมยวิญญาณร้ายของข้าแล้วทำให้เจ้าสับสน จากนั้นเจ้าก็หล่นลงมา”
ไม่ได้ลักพาตัวนาง?
นางมองเขาอย่างเคลือบแคลงสงสัย
เขายิ้มก่อนพูดอีก “หากต้องการลักพาตัวเจ้า ทำตั้งแต่ตอนที่อยู่ภูเขาไท่ก็ได้แล้ว”
ใจของมู่จิ่วเกือบจะกระดอนออกมาจากคอ!
เป็นเขาจริงๆ ด้วย!
“เจ้าคิดจะทำอะไร!”
นางพลันรู้สึกว่าตนเองถามออกไปได้โง่เขลานัก ทั้งที่มีคำถามอยากถามเขามากมาย แต่ตอนนี้กลับคิดไม่ออกเสียนี่!
เขาไม่ได้ตอบนาง แต่ตั้งใจปอกส้มในมือจนเสร็จ แล้วจึงส่งส้มที่ปอกแล้วให้นาง ไม่ได้ใช้มือ แต่ให้มันลอยไปกับอากาศ “กินเถิด ส้มหลิงหนานที่เจ้าชอบกิน”
มู่จิ่วพลันตกใจจนดวงตาจะหลุดออกจากเบ้า!
เขายังรู้อีกว่านางชอบกินส้มของหลิงหนาน?!
สวรรค์ หรือเขาจะเป็นพ่อแม่ในชาติก่อนของนาง?!
มู่จิ่วไม่กล้าขยับ ตอนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ นางไม่อาจทำอะไรโดยไม่ใคร่ครวญก่อน
“เจ้ากลัวมียาพิษหรือ?” เขากอดอกนั่งอยู่บนเก้าอี้พลางถามนาง ตั้งแต่ปรากฏตัวออกมาจนบัดนี้ การแสดงออกของเขาเป็นธรรมชาติดุจน้ำไหลเมฆาคล้อย “เจ้าเป็นถึงหัวเสินแล้ว ถึงแม้มีพิษก็ทำร้ายเจ้าไม่ได้
มู่จิ่วเลียริมฝีปากล่าง ตอนนี้นางเครียดจนริมฝีปากแห้งลอก
“เจ้า…” ไม่ว่าอย่างไรนางก็ยังคิดว่าควรพูดอะไรสักหน่อย “พูดเช่นนี้ เจ้าคือคนที่ลักพาตัวเหลียงจีใช่หรือไม่?
เขาพยักหน้ารับอย่างไม่ครุ่นคิดแม้แต่น้อย
มู่จิ่วไม่วางใจ จู่ๆ ไม่รู้ว่าความกล้ามาจากไหน “ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้? คดีของหลีหังกับเฟยอี คดีของตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋น เป็นเจ้าที่วางแผนใช่หรือไม่? เจ้ามีเป้าหมายใดกันแน่?”
เขาก้มหน้าลงครุ่นคิด ก่อนพูด “นับได้ว่าเป็นข้าทำ ทั้งยังไม่อาจนับได้ว่าข้าทำ ส่วนเรื่องเป้าหมาย ต่อไปเจ้าจะรู้เอง”
มู่จิ่วชะงัก ใช่ก็คือใช่ ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ อะไรเรียกว่านับได้ว่าทำและนับได้ว่าไม่ได้ทำ?
แต่ราวกับเขาไม่มีความคิดจะอธิบาย เขามองส้มที่ถูกปอกเปลือกแล้วซึ่งลอยอยู่ตรงหน้านาง พลันเก็บกลับมา บิมันแยกออกจากกัน จากนั้นวางเรียงเป็นแถวต่อหน้านาง “หรือเจ้าชอบกินแบบนี้? แม้แต่ใยขาวบนผิวส้มข้าก็ลอกออกให้เจ้าได้ แต่คงไม่ยอมให้เจ้าไม่ไว้หน้าข้าแล้ว”
เขายิ้มน้อยๆ สีหน้าอ่อนโยนใจดีนัก ถึงแม้เป็นคำพูดสุดท้ายนั้น ดูไปแล้วก็ไม่มีการข่มขู่ใดๆ
มู่จิ่วอยากจะบ้า!
นี่คือท่าทางอันใด? เขาโรคจิตหรือ! นางไม่ได้พูดว่าอยากกินส้ม และก็ไม่ได้อยากให้เขาลอกใยส้มให้ ทั้งยังสั่งห้ามไม่ไว้หน้าเขาอีก…กินส้มจะมีเกียรติขนาดไหนกันเชียว! ทำไมเขาต้องใช้น้ำเสียงหลอกเด็กแบบนี้พูดกับนางด้วย?!
นางเลียริมฝีปากอีก “หากข้าไม่ไว้หน้าเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วพลันหัวเราะออกมา ก้มหน้ามองปลายเท้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มเผยฟันขาวเรียงตัวสวย “ไม่ไว้หน้าก็ไม่ไว้หน้า ข้าจะทำอย่างไรได้? หรือจะให้ทำเหมือนเจ้าเป็นส้ม กลืนลงท้องไปเช่นนั้น?”
มู่จิ่วหวาดกลัวเข้าไปใหญ่!
ยามเขามองนาง มุมปากมีรอยยิ้มประดับตลอด ขี้เล่น หยอกล้อ จนปัญญา…นางสามารถอ่านข้อมูลจากสีหน้าของโรคจิตผู้หนึ่งได้มากมายขนาดนี้เชียว! นางคงบ้าไปแล้ว ตอนนี้นางไม่ได้กลัวมากเหมือนก่อนหน้านี้ และยังมีความคิดที่จะชิมส้มผลนี้ด้วย…
นางล้มเลิกความคิดนั้น มองเขาอย่างระแวดระวังอีกครั้ง
เขากลับหุบยิ้มก่อนเอ่ย “หากเจ้าไว้หน้าข้าและกินมัน ข้าจะส่งเจ้าขึ้นไป”
ส่งขึ้นไป…
เขาไม่คิดจะสร้างความลำบากใจให้นาง?
นางมองเขาอย่างสงสัย “จริงหรือ?”
“ข้าเคยหลอกเจ้าเสียเมื่อไหร่?” เขามองนางด้วยสายตาล้ำลึกเยี่ยงน้ำ
มู่จิ่วรู้สึกหลังคอเย็นวาบ อดกอดแขนตนเองแน่นไม่ได้
แต่เมื่อนางครุ่นคิดถึงคำพูดเขาอย่างละเอียด…เขาเคยหลอกนางเสียเมื่อไหร่? นางไม่เคยพูดคุยกับเขามาก่อน แน่นอนว่าเขาต้องไม่เคยหลอกนาง แต่สายตาคู่นั้นไม่น่าหลอกใครได้จริงๆ
ทว่าถึงแม้เขาวางยาพิษสังหารนางไม่ได้ นางก็ไม่อาจไม่ระวัง ประวัติอาชญากรรมของเขาน่ากลัวออกเช่นนั้น
ตอนนี้นางไม่มีใจถามหาความจริงกับเขา ความสงสัยทั้งหลายล้วนไม่อยากถามแล้ว นางคิดแต่เพียงกลับไปอยู่ข้างกายลู่ยาเท่านั้น! มีเพียงกลับไปอยู่ข้างเขาจึงจะปลอดภัย…
นางมองส้มนั้นอยู่นาน ลองถามดู “หากข้าไม่กิน เจ้าส่งข้ากลับไปได้หรือไม่?”
เขาหลุดยิ้ม ยันเข่าทั้งสองข้างลุกขึ้น “เช่นนั้นก็ไปเถอะ”
พูดจบเขาก็เดินเข้ามาหา ยื่นมือออกมาจูงนาง
มู่จิ่วเก็บมือไปข้างหลังทันที พูดอย่างจริงจังว่า “ข้าเป็นคนมีพันธะแล้ว”
ดวงตาของเขาส่องประกาย แต่ไม่ดึงดัน หันหลังกลับไปยืน จากนั้นหมุนตัวกลับมาอีก “เช่นนั้นข้าไม่ส่งเจ้าแล้ว พวกเขาอยู่ข้างบน เจ้าขึ้นไปเองเถิด”
พูดจบเขาเงื้อมือขึ้น ทั้งห้องกลับมามืดมิดอีกครั้ง! มู่จิ่วรู้สึกว่าร่างตนเองลอยขึ้น ตอนแรกยังรู้สึกว่าความเร็วคงที่ ต่อมาก็ยิ่งเร็วขึ้น เร็วจนตัวนางเองรู้สึกว่าใกล้เกินขอบเขตไปแล้ว!
……………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น