ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 287-290

ตอนที่ 287 ไข่พะโล้ที่น่าดูที่สุดที่น...

 

ท่านอาจารย์เคยบอกว่า เดิมทีเสินฟางก็เคยมีเส้นผม


 


 


แต่เพราะดูดกลืนจิตวิญญาณเข้าไปมากเกิน จึงทำให้เกิดผลกระทบ เส้นผมร่วงลงจนหมด


 


 


แม้จะได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง เส้นผมของเขาก็ไม่ได้งอกเงยขึ้นมา


 


 


แต่กระนั้นถึงบัดนี้ ใบหน้านั้นก็ยังคงงดงาม


 


 


หัวไข่พะโล้นั่น ดูแล้วก็เป็นไข่พะโล้ที่สวยงามที่สุดเท่าที่นางเคยเห็นมา


 


 


เสินฟางค่อยๆ ลุกขึ้นมาจากในโลงศพใบนั้น บนร่างของเขายังมีเศษผ้าบางๆ สีฟ้าอ่อนพันอยู่


 


 


เศษผ้านั้นปิดบังส่วนที่สมควรจะบิดบังเอาไว้ องค์เอวที่บอบบางเปิดเผยออกมาบางส่วน


 


 


รูปร่างของเสินฟางดีอย่างยิ่ง ไม่ได้ด้อยไปกว่ายอดนายแบบทั้งหลายเลย


 


 


รูปร่างเช่นนี้ต่อให้ใช้ผ้ากระสอบมาสวมใส่ ก็ยังคงน่าดูอย่างที่สุดอยู่ดี


 


 


ตู๋กูซิงหลันและเหยียนเฉียวหลัวต่างก็มองดูอย่างไม่กระพริบตา เพียงแต่ความในใจของคนทั้งสองแตกต่างกันโดนสิ้นเชิง


 


 


มีแต่ตู๋กูซิงหลันที่รู้ว่า บุรุษผู้นี้ยากจะตอแยเพียงใด อีกทั้งนางก็ยังไม้รู้ว่าพลังของเขาฟื้นฟูขึ้นมาถึงกี่ส่วนแล้ว


 


 


ในโลกก่อน ยามอยู่บนพื้นดิน พลังของนางยังแข็งแกร่งกว่าเสินฟางเล็กน้อย


 


 


แต่เมื่ออยู่ในน้ำ….. นางไม่อาจข่มใจระงับความหวาดกลัว หากว่าต้องต่อสู้กับเสินฟาง ก็คงไม่มีทางเป็นไปได้


 


 


อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงหนึ่งในสิบยมราช ปกครองฝูงผีมากมาย เรื่องความแข็งแกร่งเพียงไรนั้นไม่ต้องพูดถึง


 


 


หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวแทบจะกระโดดออกมา นางต้องใช้ฝ่ามือกุมหัวใจเอาไว้ เมื่อได้เห็นภาพที่แปลกประหลาดด้านหน้า นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะกระพริบตา


 


 


ใครจะไปคิดว่า ในโลงทองแดงจะมีบุรุษที่ทั้งงดงามและลึกลับซ่อนอยู่?


 


 


เขาคือ…..ฮ่องเต้ของแคว้นเซอปี่ซือ?


 


 


แต่นางเคยได้ยินมาว่า ตอนที่ฮ่องเต้องค์นี้เสด็จสวรรคตก็มีพระชนม์เกือบหกร้อยปีไปแล้ว


 


 


คนที่อายุหกร้อยปี อย่างไรเสียก็สมควรจะเป็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสิ?


 


 


แต่บุรุษผิวขาวตรงหน้านี้ ….ดูแล้วอย่างมากก็คงจะมีอายุเพียงแค่ยี่สิบต้นๆ เท่านั้น


 


 


พอคิดๆ ดูอีกครั้ง เหล่าผู้ที่สามารถฝึกฝนบำเพ็ญจนถึงขั้นสูงส่งได้นั้น พอถึงระดับหนึ่งก็คงจะสามารถหยุดอายุขัยได้ละมั้ง


 


 


ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม บุรุษผู้นั้นก็ได้เลือกนางแล้ว จุดนี้ทำให้นางภาคภูมิใจอยู่ดี


 


 


ในตอนนั้นเอง เสินฟางจดจ้องไปที่ตู๋กูซิงหลัน ยามนี้เขาก้าวออกมายืนนอกโลงทองแดงเรียบร้อยแล้ว รูปร่างของเขาสูงโปร่งท่อนขาขาวๆ ยามเมื่อก้าวออกมาจากโลงศพนั้นก็เรียวยาวสมบูรณ์


 


 


บนขาทั้งสองข้างก็มีลวยลายของดอกพลับพลึงแดง งอกงามขึ้นมาจากปลายเท้าของเขาเช่นกัน


 


 


ราวกับว่าทุกครั้งที่เขาก้าวเดินก็จะมีดอกพลับพลึงที่แดงชาดปานโลหิตเหล่านี้ผลิบานออกมา


 


 


รอบกายของเขามีแต่หมอกดำเข้มข้น ราวกับหมึกที่กำจายออกมาจากตัวเขา ทำให้บรรยากาศโดยรอบทั้งลึกลับน่ากลัว และงดงามไปในคราวเดียวกัน


 


 


ตู๋กูซิงหลันไม่ได้เคลื่อนไหว เพียงแต่จดจ้องไปยังเสินฟางเช่นกัน


 


 


 


 


ครู่ต่อมาก็เห็นว่าที่ด้านหลังขอเสินฟางมีศพแห้งที่ดูสูงส่งงดงามร่างหนึ่ง


 


 


ศพแห้งนั้นยังมิได้ถูกดูดจน ‘แห้ง’ สนิทดี ….ดูๆ ไปก็คล้ายกับรูปจำลองล้ำค่าของพระโพธิ์สัตว์


 


 


บนเศียรของ ‘ศพแห้ง’ ยังมีรัดเกล้าสีทองชิ้นหนึ่ง ในมือก็กำคฑาสีทองเอาไว้แนบแน่น


 


 


ดูท่าแล้ว ท่านผู้นี้ต่างหากที่เป็นเจ้าของขุมสมบัติที่แท้จริง ฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือ


 


 


ระหว่างฮ่องเต้และเสินฟางมีหมอกดำสายหนึ่งเชื่อมโยงอยู่ ตู๋กูซิงหลันสามารถมองเห็นไอทิพย์จากในร่างของฮ่องเต้ไหลเข้าสู่ร่างของเสินฟางอย่างไม่ขาดตอน


 


 


เซินฟางไม่เพียงแต่เข้ายึดสุสานของฮ่องเต้องค์นี้ แต่ยังจะดึงดูดไอทิพย์ที่สะสมอยู่ในร่างของพระองค์มานานปีเข้าไปจนหมดสิ้นด้วย


 


 


ไอทิพย์ที่สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลันเห็นแล้วยังต้องหวั่นไหว


 


 


วิญญาณทมิฬนั้นถึงขนาดน้ำลายไหลไปแล้ว


 


 


ดูเอาเถอะ….ต่างก็เป็นเหล่าคนที่ดับดิ้นมาจากโลกโน้นเหมือนๆ กัน ทำไมพอถึงตอนนี้ถึงได้แตกต่างกันเช่นนี้


 


 


คนหนึ่งกลายเป็นไทเฮาน้อยในตำหนักเย็น ทุกวันต้องใช้ชีวิตอย่างอดๆ อยากๆ


 


 


คนหนึ่งเข้าไปในโลงศพ สูบเอาไอทิพย์ของฮ่องเต้และพสกนิกรทั้งหลายเสียจนเกลี้ยง เพียงแค่เวลาช่วงสั้นๆ ก็สามารถฟื้นฟูได้มากมายขนาดนี้ ช่างทำให้คนต้องริษยาเสียจริงๆ


 


 


เสินฟางเดินเข้ามาสองก้าวก็หยุดลง เขายืนอยู่บนดอกพลับพลึงแดง หมอกดำรายล้อมอยู่รอบตัว สายตาของเขาหยุดอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าอ่อนแอเช่นนี้มาก่อนเลย”


 


 


กล่าวเพียงวาจาเดียว เขาก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างลึกลับ “ลูกศิษย์ที่ซื่อมั่วแห่งหุบเขาภูติเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ก็มีวันที่จะตกต่ำได้เช่นกัน ไม่รู้ว่าหากซื่อมั่วได้มาเห็น จะรู้สึกเช่นไร?”


 


 


ในโลกใบนี้ นอกจากวิญญาณทมิฬแล้ว นี้เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินผู้อื่นเอ่ยถึงชื่อของอาจารย์ นางหรี่ตาลง “เจ้าคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะมา แล้วยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระเหล่านี้อีกทำไม? พวกเราล้วนเป็นคนที่รวบรัดชัดเจน จะพูดจาหรือกระทำเรื่องใดก็ตรงไปตรงมา นี่จึงจะสมกับที่เป็นการกระทำของจอมมารเสินฟางเช่นเจ้า”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวที่แอบฟังอยู่ด้านข้างออกจะงุนงงไปหมดแล้ว ถ้อยคำที่ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางกล่าวออกมานั้น เปิดเผยข่าวสารที่ยิ่งใหญ่ออกมาแล้ว


 


 


ซื่อมั่วแห่งหุบเขาภูติ? นั่นคืออะไรกัน? ขุมกำลังเล้นลับในดินแดนแห่งนี้หรือ?


 


 


จอมมารเสินฟาง….ก็คือท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า? ตู๋กูซิงหลันกับเขารู้จักกันด้วย


 


 


เช่นนั้นตู๋กูซิงหลันคือใครกันแน่?


 


 


แถมเมื่อครู่ก็ยังเรียกนางว่าเป็นเย่วซิงหลัน…..


 


 


เมื่อเชื่อมโยงกับเรื่องราวของ ‘ตู๋กูซิงหลัน’ ที่นางได้ยินมาก่อนหน้านี้ เพียงไม่นานเหยียนเฉียวหลัวก็คาดเดาบางสิ่งออกมา


 


 


สตรีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้…บางทีอาจจะไม่ใช่ไทเฮาของต้าโจวองค์เดิม


 


 


แม้ว่านางจะใช้ร่างของไทเฮาองค์เดิม แต่ว่าภายใต้ผิวหนังนี้ ก็อาจจะเป็นวิญญาณร้ายก็เป็นได้


 


 


ตัวนางเคยฝึกฝนอยู่ในสำนักฮว่าชิ่งซานมานานหลายปี วิชาลับอย่างเช่นการสลับร่างนี้ย่อมต้องเคยได้ยินมาบ้าง


 


 


หากอาศัยวิชาลับเช่นนี้ ก็สามารถแย่งชิงร่างกายของผู้อื่นมาได้ นักพรตที่ใกล้จะดับสิ้นอายุขัยยิ่งประสงค์จะใช้วิธีเช่นนี้


 


 


แต่เพราะต่อมาเห็นว่า….วิชานี้ชั่วช้ามากเกิน จึงได้ค่อยๆ สาบสูญไป


 


 


เช่นนี้แล้ว ย่อมต้องมีนักพรตบางคนที่ไม่ต้องการพ่ายแพ้ต่อความตาย คิดค้นวิธีการเช่นนี้ขึ้นมา


 


 


พอคิดถึงว่าตู๋กูซิงหลันยังสามารถวาดยันต์และใช้วิชาอาคมที่แข็งแกร่งได้ เหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งเชื่อมั่นว่า ตู๋กูซิงหลันจะต้องเป็นพวกนักพรตมืดเป็นแน่ มิเช่นนั้นไยจึงเร้นลับถึงเพียงนี้


 


 


มิน่าเล่า….มิน่าเล่าจีเฉวียนถึงได้ถูกนางล่อลวงจนอยู่หมัด


 


 


ที่แท้เปลือกนอกที่สวยงามนั้นก็ถูกเปลี่ยนไส้ไปตั้งนานแล้ว แม้แต่เรื่องแย่งชิงร่างนางก็ยังกล้าทำ เช่นนั้นเรื่องการล่อลวงจีเฉวียนก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องยากอะไร


 


 


พอเหยียนเฉียวหลัวคิดจนเข้าใจปรุโปร่งหมดแล้ว ก็พอจะปลอดโปร่งใจขึ้นมาบ้าง


 


 


นางหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน ในใจก็เกิดเพลิงสังหารขึ้นมาอีกอย่างเงียบๆ สตรีที่ชั่วร้ายเช่นนี้ สมควรจะต้องตายเท่านั้น


 


 


อีกด้านหนึ่ง เสินฟางก็มิได้รีบร้อน เขาพิงร่างเข้ากับโลงทองแดงทั้งตัว ดวงตาทั้งสองที่มีแต่เพียงสีขาวมองดูตู๋กูซิงหลัน เมื่อยื่นมือออกมา ก็ปรากฏหมอกดำสายหนึ่งพัดพาไปทางตู๋กูซิงหลัน


 


 


เมื่อไปถึงเบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลัน หมอกสีดำนั้นก็กลายเป็นมือสีดำข้างหนึ่ง


 


 


มือสีดำก่อร่างเป็นหมัดจากนั้นก็ค่อยๆ แบบออกมา ดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกาย เห็นบนใจกลางฝ่ามือของมือสีดำนั้น มีเศษหยกดำชิ้นหนึ่งวางอยู่อย่างสงบนิ่ง


 


 


แม้ว่าจะอยู่ในน้ำ แต่เศษหยกสีดำชิ้นนั้นกลับเปล่งประกาย รอบๆ มันมีไอสีดำกะจายออกมา เป็นกลิ่นอายที่ตู๋กูซิงหลันคุ้นเคยอย่างที่สุด


 


 


“ของสิ่งนี้ เดิมทีเป็นของเจ้า” เสินฟางกล่าวอย่างไม่เร็วไม่ช้า “แต่น่าเสียดาย แตกสลายเสียแล้ว”


 


 


ว่าแล้วเสินฟางก็กล่าวอีกว่า “ข้าไม่ต้องการพูดจาอ้อมค้อมกับเจ้า พลังที่แท้จริงของสิ่งนี้มีแต่เจ้าที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ ข้าต้องการให้เจ้าใช้มันเปิดเส้นทางกลับไปยังโลกปัจจุบัน”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” หากว่านางเปิดทางได้ ก็คงจะเปิดไปนานแล้ว จะมามัวเสียเวลาอยู่กับเขาที่นี่ทำไม?


 


 


ดังนั้นที่เสินฟางจับตัวนางมา ไม่ใช่เพื่อจะล้างแค้น แต่เป็นเพราะว่าต้องการกลับไปยังโลกปัจจุบัน?


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: พี่เต้ทำไมมาหลบอยู่หลังไรท์ ไหนว่ากระโดดตามลงมาติดๆ


 


 


ฉวนฉวน: แว่นว่ายน้ำของเราหายไป สั่งไปหลายวันแล้วยังไม่มาส่งเลย


 


 


ตอนต่อไป “เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’ ” 

 

 


ตอนที่ 288 เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’

 

เพราะบุญคุณความแค้นระหว่างข้าและเจ้าในโลกก่อนทำให้ทั้งสองฝ่ายดับสูญไปแล้ว วันนี้เหลือเพียงแต่คนคุ้นเคยเท่านั้น” เสินฟางกล่าวต่อไปด้วยมือที่สั่นไหวน้อยๆ


 


 


หมอกสีดำและดอกพลับพลึงแดงรายล้อมเข้ามา เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน


 


 


พวกมันทำให้อาณาเขตของตู๋กูซิงหลันสั่นสะเทือน ราวกับว่าขอเพียงเสินฟางใช้กำลังเพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้อาณาเขตของนางแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ในทันที


 


 


“หากข้ายมราชต้องการให้เจ้าตายในยามเที่ยงคืน ก็จะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปจนถึงตีห้า เย่วซิงหลัน เจ้าเป็นคนแรกที่ยมราชอย่างข้าปล่อยไป” เสินฟางเคลื่อนเข้ามาใกล้นางดั่งเป็นดวงวิญญาณ ปลายนิ้วสีขาวที่เนียนละเอียดแทงผ่านอาณาเขตเข้ามาจะถึงบริเวณลำคอของตู๋กูซิงหลัน


 


 


“เหตุผลที่เก็บเจ้าเอาไว้ ก็เพื่อจะกลับไปยังโลกปัจจุบันโน้น หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าทิ้งไว้อีกต่อไป”


 


 


เสินฟางเป็นหนึ่งในสิบยมราช นับเป็นพยามัจจุราชผู้หนึ่ง การที่เขามีความมั่นใจในตนเองเช่นนี้ ย่อมมิใช่เรื่องแปลก


 


 


“เจ้ามีเหตุผลอันใดที่ทำให้ต้องกลับไปให้ได้?” ตู๋กูซิงหลันจดจ้องไปยังเขา เสินฟางไม่ฆ่านาง แต่ต้องการเก็บนางเอาไว้เปิดเส้นทาง นี่ย่อมทำให้นางรู้สึกประหลาดใจพอสมควร


 


 


เมื่อมองดูดอกพลับพลึงสีแดงที่ผลิบานอยู่รอบๆ ตัวเขา ก็รู้สึกว่ามันบาดตาเป็นอย่างยิ่ง


 


 


ตอนที่เสินฟางยังไม่ได้ถูกจิตมารครอบงำ ก็เป็นถึงราชาเมืองผีที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้เดินเข้าสู่เส้นทางสายมาร


 


 


ด้วยพลังอำนาจที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความดีและความเลวของเขา หากจะสร้างดินแดนแห่งใหม่ขึ้นมาในโลกนี้ก็สามารถทำได้ แต่ว่าในโลกปัจจุบันมีสิ่งใดกันที่ทำให้เขาระลึกถึงอยู่อย่างไม่ลืมเลือน จำเป็นจะต้องกลับไปให้ได้?


 


 


“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า” น้ำเสียงของเสินฟางเย็นชาอย่างที่สุด แม้ว่าจะมีเพียงดวงตาสีขาว แต่ยามมองมาที่นางกลับทำให้รู้สึกลึกล้ำเป็นพิเศษ “เจ้าเพียงแค่ต้องทำในสิ่งที่เราต้องการเท่านั้น”


 


 


“เจ้าเป็นคนฉลาด เมื่ออยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย สมควรไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล ว่าสมควรจะเลือกเฟ้นเช่นไร”


 


 


ตู๋กูซิงหลันมิได้ประหลาดใจ นางเอาแต่มองดูเสินฟางที่อยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ไม่รอให้นางได้ทันกล่าวอะไร ก็เห็นเสินฟางนำเศษหยกสรรพชีวิตอีกห้าชิ้นออกมา “ทั้งหมดหกชิ้น ถือว่าเป็นหนึ่งในสามของหยกสรรพชีวิตที่เคยสมบูรณ์แล้ว สิ่งนี้เป็นของวิเศษของโลกพิภพนี้ แม้ว่าจะมีเพียงแค่หนึ่งในสาม แต่ก็เพียงพอจะให้เจ้าเปิดเส้นทางขึ้นมาได้แล้ว”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวที่คอยจับตาดูอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดต้องตกตะลึงไปแล้ว เดิมทีนางคิดว่าคนที่ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เลือกสรรก็คือตนเอง แต่ตอนนี้ดูแล้ว ผู้ที่เขาเลือกน่าจะเป็นตู๋กูซิงหลันมากกว่า?


 


 


ไม่ใช่….เป็นวิญญาณร้ายที่เข้าสิงอยู่ในเปลือกนอกที่สวยงามนั่น


 


 


ชื่อของหยกสรรพชีวิต นางก็เคยได้ยินอาจารย์กล่าวถึงมาก่อน นั่นเป็นสิ่งวิเศษที่สามารถควบคุมพิภพได้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีชิ้นส่วนของหยกมากมายถึงเพียงนี้


 


 


ชิ้นส่วนเหล่านั้น สมควรจะเป็นของนางต่างหาก!


 


 


“ท่านจอมมาร ข้าต่างหากคือผู้ที่ท่านเลือกสรร ท่านไม่อาจมอบชิ้นส่วนของหยกเหล่านั้นให้กับนาง!” เหยียนเฉียวหลัวตะโกนออกไป


 


 


“ท่านเพียงแต่ต้องการหาใครสักคนมาเปิดเส้นทางเพื่อกลับไปบ้านใช่หรือไม่ ข้าเคยฝึกฝนอยู่ที่ภูเขาฮว่าชิ่งซานอยู่หลายปี ต่อให้ต้องสูญสิ้นตบะที่บำเพ็ญเพียรมา ก็จะต้องช่วยท่านให้ได้”


 


 


“สตรีผู้นั้นจิตใจลึกซึ้งชั่วร้าย ท่านอย่าได้ไปหลงเชื่อนางโดยเด็ดขาด”


 


 


เสินฟางได้ยินเสียงตะโกนของนาง ก็เหลือบตามองมาแวบหนึ่ง สายตาเพียงชั่วแวบนั้น ทำให้เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกเหมือนถูกกระฉากวิญญาณออกมาเฆี่ยนตีอย่างไรอย่างนั้น


 


 


นางสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ในใจบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา


 


 


จอมมารผู้นี้….ยามที่มองดูนาง สายตาของเขาเหมือนกับกำลังมองคนที่ตายไปแล้ว


 


 


นางกุมหัวใจเอาไว้ เผยอปากขึ้นมา คิดจะกล่าวอะไรบ้าง แต่กลับถูกประโยคเดียวของเสินฟางกระแทกกลับไป “เจ้าไม่คู่ควร”


 


 


ในโลกหล้านี้…มีแต่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะถือครอง


 


 


นางคือผู้ที่ซื่อมั่วและหยกสรรพชีวิตเลือกสรรไว้ ว่าไม่ใช่คนธรรมดา


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสิบยมราช แต่หยกสรรพชีวิตนี้เมื่ออยู่ในมือของเขาก็ไม่ได้มีประโยชน์สักเท่าใด


 


 


เหยียนเฉียวหลัวถึงกับโง่ไปเลย แต่นางไม่กล้าต่อต้าน ตอนนี้นางยังอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ หากไม่ระวังตัวมีหวังต้องถูกป่นจนร่างแหลกเหลว นางไม่จำเป็นจะต้องเอาไข่ไปกระทบหิน


 


 


เสินฟางมิได้สนใจนางอีก เพียงแต่ส่งเศษหยกเหล่านั้นไปยังเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็รู้ดี ความอดทนของข้ามีจำกัด ทางที่ดีเจ้ารีบตัดสินใจมาเถอะ”


 


 


เศษหยกหกชิ้น กำจายกลิ่นอายลึกลับที่เข้มข้นออกมา ราวกับดอกฝิ่นที่ดึงดูดจิตใจของตู๋กูซิงหลันอย่างรุนแรง


 


 


เดิมที….จุดประสงค์ที่นางมายังที่นี่ก็เพื่อตามหาหยกสรรพชีวิตอยู่แล้ว


 


 


ที่ต้องการจะรวบรวมเศษหยกก็เพื่อจะได้สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ในวันหนึ่ง


 


 


ไม่ว่าเสินฟางจะมีจุดประสงค์ใดอยู่เบื้องหลัง แต่ว่าโอกาสนั้น….ตอนนี้ก็ได้มารออยู่ตรงหน้าของนางแล้ว


 


 


เศษหยกพวกนี้ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้


 


 


“ขอเพียงเจ้ากระตุ้นพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในเศษเสี้ยวของหยกออกมา ข้าจะอยู่ด้านข้างช่วยเจ้าขยายช่องว่างของกาลเวลา” เสินฟางว่าต่อไป เพียงแค่ขยับมือก็ดึงตู๋กูซิงหลันพร้อมอาณาเขตของนางเข้าไปในโลงทองแดง


 


 


เหยียนเฉียวหลัวถูกทอดทิ้งโดยไม่มีผู้ใดสนใจ นางเองก็ได้แต่เบิกตามองดู


 


 


ในใจของนางยากที่จะระงับความโกรธเกรี้ยวนี้ลงไปได้ เห็นอยู่ชัดๆ ว่านั้นเป็นโชคชะตาของนาง แต่กลับถูกวิญญาณร้ายที่หุ้มหนังแกะเอาไว้ตนหนึ่งแย่งชิงไป แล้วจะให้นางยินยอมเลิกราเช่นนี้ได้อย่างไร?


 


 


นางพึ่งจะขยับตัว หมอกสีดำที่อยู่รอบตัวก็เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว น้ำที่เย็นเฉียบใต้ทะเลสาบไหลทะลักเข้าสู่จมูกและปาก ทำเอานางตกใจจนไม่กล้าวู่วาม


 


 


…………………


 


 


ภายในโลงทองแดง ตู๋กูซิงหลันมองเห็นสมบัติร่วมกลบฝังที่แวววาวระยิบระยับมากมาย ดวงตาดอกท้อของนางก็เป็นประกายขึ้นมา


 


 


เมื่อสามารถกีดกันน้ำด้านนอกออกไป นางก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น


 


 


ภายในโลงทองแดงหลังนี้มีพื้นที่ขนาดยี่สิบตารางเมตร นอกจากสิ่งของร่วมกลบฝังพร้อมกับร่างของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือแล้ว ภายในผนังโลงยังมีแผนที่ดวงดาราที่ลี้ลับอยู่ด้วย


 


 


แผนที่ดวงดาราที่เร้นลับนี้ทำให้ตู๋กูซิงหลันต้องตกตะลึงไปเนิ่นนาน ที่แท้แล้วโลงทองแดงหลังนี้……มีที่มาไม่ธรรมดา!


 


 


เสินฟางยืนมองดูนางอยู่ข้างๆ เงียบๆ ด้านหลังของเขา ยังคงมีหมอกสีดำที่เชื่อมโยงเขาและร่างของฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือเอาไว้


 


 


ตอนนี้ หนึ่งราชามาร หนึ่งศพ และตัวนางอยู่ในโลงด้วยกัน หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เกรงว่าคงต้องตระหนกจนฉี่ราดไปนานแล้ว


 


 


ตู๋กูซิงหลันเลือกที่จะละเลยทั้งสองทิ้งไปเสีย ในสายตาของนางมีแต่สิ่งของที่ร่วมกลบฝังและแผนที่ดวงดาราเท่านั้น


 


 


บนแผนที่ดวงดารา มีดวงดาวสีน้ำเงินที่สวยงามดวงหนึ่ง


 


 


“มันก็เหมือนกับทฤษฎีการเดินทางข้ามเวลาในโลกปัจจุบันใบนั้น เจ้าจะต้องใช้พลังของหยกเปิดอุโมงค์แห่งการเดินทางข้ามเวลาขึ้นมา เพียงแต่ว่าครั้งนี้จุดหมายออกจะอยู่ไกลสักหน่อย” เสินฟางกระซิบเบาๆ ที่ข้างกายนาง “โลงทองแดงหลังนี้ก็จะกลายเป็นพาหนะที่ใช้ในการเคลื่อนย้าย”


 


 


ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอยู่ในใจ เป็นอย่างที่นาง…..คาดเอาไว้จริงๆ


 


 


อุโมงค์การเดินทาง….คือการเชื่อมโยงสถานที่ที่แตกต่างกันสองแห่งเข้าด้วยกัน ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนสามารถไปปรากฏตัวขึ้นในอีกสถานที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว


 


 


ในโลกโน้น เมื่อเป็นถึงยอดปรมจารย์นักพรตนางก็เคยใช้อุโมงค์การเดินทางเช่นนี้อยู่หลายครั้ง


 


 


ถึงแม้ว่าโดยหลักการแล้วมันจะเหมือนๆ กัน แต่ว่าที่นี่คือโลกอีกมิติหนึ่งทั้งยุคสมัยและพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน หากว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไป ใครก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร


 


 


บนผนังของโลงทองแดง นอกจากดวงดาวสีน้ำเงินที่สวยงามนั้นแล้ว ที่อยู่ใกล้กับพวกนางที่สุดก็คือดวงดาวสีน้ำเงินราวหยดน้ำอีกดวงหนึ่ง ดาวดวงนี้สมควรจะเป็นโลกที่พวกนางอยู่ในตอนนี้


 


 


“โลงทองแดงหลังนี้เป็นผู้ทรงอำนาจผู้หนึ่งจัดสร้างขึ้นมา เดิมทีก็สร้างขึ้นเพื่อใช้สำหรับข้ามอุโมงค์แห่งการเดินทางอยู่แล้ว ขอเพียงเป็นดวงดาวที่ถูกบันทึกเอาไว้ ล้วนสามารถไปถึงได้อย่างแน่นอน” เสินฟางอธิบายด้วยน้ำเสียงลึกลับ “เจ้าเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรตแห่งโลกปัจจุบัน สมควรจะเข้าใจกับสิ่งนี้ได้”


 


 


“ขอเพียงเจ้ากระตุ้นพลังของหยกสรรพชีวิตออกมา กำหนดเส้นทางระหว่างสองดวงดาวให้สว่างไสวขึ้นมา โลงทองแดงหลังนี้ก็จะส่งพวกเรากลับตามเส้นทางสายนั้น”


 


 


เสินฟางใช้คำว่า ‘พวกเรา’ 

 

 


ตอนที่ 289 ยันต์คุ้มจิตวิญญาณ

 

สำหรับคนที่ต้องถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นกันมาชาติหนึ่ง เขานับว่าได้แสดง ‘มิตรภาพ’ มากเกินไปแล้ว 


 


 


เป็นมิตรภาพที่ดีงามเสียจนตู๋กูซิงหลันเกิดความสงสัยขึ้นมา 


 


 


เสินฟางที่ถูกจิตมารครอบงำไปแล้วไม่มีทางเป็นตัวดีๆ ไปได้! 


 


 


ข้อนี้นางกระจ่างใจดี 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็เก็บความระแวงเอาไว้ เพียงแต่ว่าเรื่องการใช้โลงทองแดงเป็นพาหนะและหยกสรรพชีวิตนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องโกหก พอคิดว่าโอกาสสำคัญที่จะได้กลับไปโลกเดิม ในใจของมันก็ปิติขึ้นมาเช่นกัน 


 


 


สถานะคู่แค้นนั้นสามารถวางเอาไว้ก่อนได้ ในเมื่อมีเป้าหมายเดียวกัน ตอนนี้ก็สามารถเป็นพันธมิตรได้ชั่วคราว 


 


 


ทันทีที่โลงทองแดงปิดสนิทลง มันก็ปิดกั้นตนเองออกจากน้ำที่อยู่ภายนอก เมื่อปราศจากแรงดันน้ำลึกตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกสบายขึ้นมาก 


 


 


เมื่อสลายอาณาเขตของลูกแก้ววารีออกไป นางก็กำลังยืนอยู่ท่ามกลางสิ่งของร่วมกลบฝังที่ส่องประกายในมุมหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของนางฉาบไล้ด้วยแสงสีทองจางๆ 


 


 


พอยื่นมือออกไป ชิ้นส่วนทั้งหกของหยกสรรพชีวิตก็หล่นสู่ใจกลางฝ่ามือของนาง 


 


 


ทันทีที่พวกมันสัมผัสกับฝ่ามือของนาง ก็บังเกิดหมอกสีดำกำจายออกมา ราวกับหยดน้ำที่ไหลไปรวมกับท้องทะเล ซึมซาบเข้าสู่ตราประทับในจิตวิญญาณของนาง 


 


 


ร่างกายของคนธรรมดาไม่สามารถรองรับพลังงานของหยกสรรพชีวิตได้ นอกเสียจากว่านางจะมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดหนุนนำ อีกทั้งในโลกก่อนโน้นนางก็ยังเป็นเจ้าของหยกสรรพชีวิต แต่การที่เศษหยกทั้งหกชิ้นจะพากันพุ่งเข้าสู่ดวงจิตของนางพร้อมๆ กัน เกรงว่าอาจจะทำให้จิตและร่างของนางถูกฉีกออกได้ 


 


 


เสินฟางรักษาคำพูด เขาเพียงแต่ยืนมองอยู่ด้านข้างโดยมิได้ฉวยโอกาสชิงลงมือ 


 


 


การจะรับหยกสรรพชีวิตเข้าไปเป็นขั้นตอนที่ทุกข์ทรมาน แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับรับเอาไว้ทั้งหมดโดยไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักคำเดียว 


 


 


ผู้อื่นเมื่อได้รับเศษหยก ต่างก็ไม่อาจผนึกพลังสร้างตราประทับลงไปได้ ดังนั้นจึงแสดงพลังออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน 


 


 


หากไม่ระวังก็อาจถูกพลังของหยกสรรพชีวิตย้อนกลับอีกด้วย 


 


 


แต่สำหรับนางกลับไม่เหมือนกัน 


 


 


ทันทีที่นางลืมตาขึ้นมา ดวงตาดอกท้อทั้งสองข้างก็มีหมอกสีดำกำจายออกมา 


 


 


แต่ทั้งหมดก็ถูกบังคับให้สลายไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


เสินฟางเห็นจนมิได้ประหลาดใจอีกต่อไป เขายื่นนิ้วออกไปสัมผ้สกับแผนที่ดวงดาวบนผนังโลงศพ กล่าวเสียงเย็นชาออกมาสองคำ “เริ่มเลย” 


 


 


ในโลกปัจจุบันบนพื้นแผ่นดินของจีนแผ่นดินใหญ่ มีสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลับไป 


 


 


เขาไม่อาจปล่อยให้นางตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่อาจให้นางต้องรอคอยอย่างเนิ่นนาน ในเมื่อเคยสัญญากันเอาไว้แล้ว ต่อให้โลกมนุษย์กลายเป็นแดนชำระบาป เขาก็จะต้องช่วยนาง 


 


 


เขาจะใช้ทุกสิ่งที่เขา ต่อให้ต้องทำลายล้างทุกชีวิตในแผ่นดิน ก็จะต้องรั้งนางเอาไว้ให้ได้ 


 


 


“เสินฟาง จะอย่างไรเจ้าและข้าก็คือศัตรูกัน เมื่อกลับไปแล้ว ยังคงเป็นเจ้าหลบหนีข้าวิ่งไล่ เจ้าจงคิดให้ดี?” ตู๋กูซิงหลันมองดูเขาด้วยความสงบนิ่ง 


 


 


“ข้าทำให้เจ้าตายได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมต้องสามารถทำให้เจ้าตายได้เป็นครั้งที่สอง” น้ำเสียงของเสินฟางมิได้บ่งบอกอารมณ์เลยสักนิด “ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะหยุดยั้งข้าได้ หากเจ้ายังแหย่เท้าเข้ามา จุดจบก็จะไม่มีทางดีไปกว่านี้” 


 


 


ชาติก่อน เป็นเพราะมีซื่อมั่วเป็นสาเหตุ เขาถึงได้ถูกบีบคั้น 


 


 


เย่วซิงหลัน….เป็นคู่มือที่แข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาหวาดกลัวจนต้องยอมถอยให้ 


 


 


เห็นนางยังรีรอไม่ลงมือ เสินฟางก็กดดันนางเพิ่ม กล่าวเสียงเย็นชาว่า “ที่เจ้าลังเลเช่นนี้ เพราะว่ามีสิ่งเหนี่ยวรั้งที่ไม่อาจละทิ้งอยู่ในโลกนี้หรือ?” 


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียว แต่กลับแทงเข้าไปในใจของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


นางรู้ดี นี้เป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมที่จะได้กลับไปยังโลกเดิม 


 


 


แต่พอโอกาสนี้มาวางอยู่ตรงหน้าจริงๆ นางกลับลังเล 


 


 


ในสมองผุดศีรษะหนึ่งขึ้นมา …..เพ้ย เป็นเจ้าฮ่องเต้สุนัขนั่น 


 


 


นอกจากฮ่องเต้สุนัข ก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่ง พี่ใหญ่ พี่รอง หยวนเฟยน้อย ไปจนถึงซูคนงาม …..ยังมี ‘ท่านปู่’ ที่นางไม่เคยแม้แต่จะได้พบหน้า 


 


 


ยังมีเจ้าติ๊งต๊องขนฟูเหมือนสุนัขฮัสกี้ตัวนั้นอีกด้วย 


 


 


“ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงสิ่งลวง เจ้าคือเย่วซิงหลัน ไม่ใช่ฐานะที่มีอยู่ในตอนนี้” 


 


 


เสินฟางสาดน้ำเย็นใส่อย่างเต็มที่ 


 


 


“ที่โลกนั้น มีซื่อมั่ว เพื่อเขาแล้วเจ้าจะสามารถละทิ้งทุกสิ่งในโลกนี้ไปได้” 


 


 


ซื่อมั่ว…..ท่านอาจารย์ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดใจอย่างแรง 


 


 


ที่นางตั้งใจจะกลับไปโลกปัจจุบันก็เพื่อท่านอาจารย์อยู่แล้ว 


 


 


“เจ้ารู้เหตุผลหรือไม่ ว่าเจ้าตายไปแล้วแต่ทำไมถึงได้กลับมามีชีวิตในโลกนี้ได้?” 


 


 


“ก็เพราะว่าซื่อมั่วใช้อายุขัยของตนเองเป็นเงื่อนไข ผนึกยันต์รักษาจิตคืนชีพเอาไว้บนร่างของเจ้า” เสินฟางหัวเราะเสียงเย็น “ในตอนที่เจ้าตายลงในโลกโน้น ข้าถึงได้รู้ว่า เขาทั้งรักและปกป้องศิษย์อย่างเจ้าถึงเพียงไหน” 


 


 


ผู้คนในโลกรู้ว่า ท่านผู้เฒ่าซื่อมั่วผู้ก่อตั้งหุบเขาภูติ มีลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง เย่วซิงหลัน 


 


 


แต่ไม่มีใครรู้ว่า ซื่อมั่วรักศิษย์ผู้นี้มากมายถึงเพียงไหน 


 


 


ยันต์รักษาจิตคืนชีพ 


 


 


แค่เพียงไม่กี่คำกลับทำให้ตู๋กูซิงหลันสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างแรง 


 


 


นี่เป็น คาถาที่เปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต 


 


 


ผู้ร่ายคาถาจำเป็นจะต้องสละอายุขัยของตนเอง ใช้ชีวิตเป็นเครื่องตอบแทน ถึงจะสามารถปกป้องจิตวิญญาณของอีกฝ่ายหนึ่งเอาไว้ได้ 


 


 


หากผู้ที่ถูกคุ้มครองตายไปอย่างกระทันหัน ยันต์รักษาจิตคืนชีพนี้จะเคลื่อนไหวด้วยตนเองช่วยหาร่างที่เหมาะสมให้กับดวงจิต ทำให้คืนชีพได้อีกครั้ง 


 


 


ดังนั้นเมื่อนางตายไปแล้ว จึงได้กลายมาเป็น ‘ไทเฮาน้อยแห่งต้าโจว’ 


 


 


ที่แท้ทั้งหมดนี้…..มีสาเหตุมาจากท่านอาจารย์ 


 


 


นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ท่านอาจารย์จะทำเพื่อนางถึงขนาดนี้ 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ตกตะลึงไป ….ความผูกพันฉันท์อาจารย์และศิษย์เช่นนี้ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต้องน้ำตาไหล 


 


 


เสินฟางยืนอยู่ด้านหนึ่ง สายตามีแต่ความเย็นยะเยือก 


 


 


เย่วซิงหลันคงจะไม่รู้สินะว่า ทุกช่วงเวลาที่นางรั้งอยู่ในโลกใบนี้ ก็จะยิ่งลดทอนอายุขัยของซื่อมั่ว 


 


 


เขาเป็นถึงผู้ปกครองเมืองผี แต่ก็ไม่เคยเห็นใครที่ทำเพื่อศิษย์ได้เช่นนี้มาก่อน 


 


 


คำพูดนี้ เขาย่อมไม่ได้กล่าวออกไป 


 


 


คราวนี้ ไม่ต้องรอให้เขากล่าวอะไรเพิ่มอีก ก็เห็นว่าบนใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันมีไอสีดำผุดขึ้นมา 


 


 


ในไอสีดำมีประกายสีทองปะปนอยู่ เป็นประกายสีทองที่ลึกลับและงดงาม เป็นสีที่จีเฉวียนชื่นชอบที่สุด 


 


 


ทันทีที่ไอสีดำนั้นเคลื่อนไหว เหล่าศพแห้งที่อยู่นอกโลงทองแดงคล้ายจะได้รับแรงดึงดูดบางอย่างพากันขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว 


 


 


ทั่วทั้งสระสวรรค์พลันมีปฏิกริยาขึ้นมา เกิดกระแสน้ำวนมากมายหมุนเวียนอยู่ในนั้น 


 


 


ราวกับปากของมนุษย์ที่ดูดกลืนทุกอย่างลงไปปากแล้วปากเล่า ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือว่าจิตวิญญาณล้วนถูกบดขยี้จนแหลกราน 


 


 


ท่ามกลางกระแสน้ำนี้เอง ปรากฏเงาร่างสีดำทองร่างหนึ่งผ่านลงไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


สระสวรรค์มีขนาดกว้างใหญ่ ราวกับทะเลน้อยแห่งหนึ่ง ในจุดที่แสงสว่างส่องลงไปไม่ถึงนั้นหากคิดจะติดตามหาคนสักผู้หนึ่งยังยากเสียยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร 


 


 


ยังดีที่……เขาผูกด้ายผูกชะตาเอาไว้กับข้อมือของนางตั้งแต่แรก จึงอาศัยด้ายนี้ตามหา 


 


 


ยามที่มองเห็นโลงทองแดงหลังนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะว่ายเข้าไปหาในทันที 


 


 


ถึงจะบอกว่าว่ายน้ำ…แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วพระองค์รู้สึกร้อนลนเหมือนดั่งเหาะเข้าไป 


 


 


น้ำวนที่อยู่ด้านหลังเสมือนดั่งหลุมดำ ที่ติดตามเข้ามาใกล้ และเตรียมจะดูดกลืนพระองค์เข้าไป 


 


 


ยังดีที่ระดับความเร็วของฝ่าบาทยังมากกว่านั้น พระองค์พุ่งออกไปดั่งลูกธนู ด้วยท่วงท่าที่สวยงาม เพียงครู่เดียวก็มาถึงด้านข้างของโลงทองแดง 


 


 


ทันทีที่เหยียบลงไป ก็เกิดเสียงทึบดังตึ้ง เหยียบโลงทองแดงที่กำลังจะลอยขึ้นมานั้นกลับลงไป 


 


 


พระองค์ไม่มีลูกแก้ววารี ฉลองพระองค์โบกโบย สีพระพักตร์อึมครึมหากเปรียบเทียบกับเสินฟางแล้ว ยังดูเหมือนถูกมารครอบงำยิ่งกว่าเสินฟางเสียอีก 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกอดโซ่เหล็กขนาดใหญ่ที่ผูกอยู่ข้างโลงทองแดงเอาไว้ ทันทีที่ได้เห็นจีเฉวียนก็ตะโกนออกไป “ฝ่าบาท นางไม่ใช่ตู๋กูซิงหลัน นางเป็นแค่วิญญาณร้ายภายใต้หนังแกะ!” 


 


 


“พระองค์ทรงถูกนางหลอกแล้ว นางไม่ใช่คนที่ท่านรู้จักเลยสักนิด! นางแย่งชิงร่างมา เป็นวิญญาณร้ายหลอกลวง ที่ไม่รู้ที่มาที่ไป!” 


 


 


จีเฉวียนไม่เคยยอมให้ใครหลอกลวง! นังแพศยาผู้นี้ อย่าได้คิดเลยว่าจะได้เหลือภาพพจน์ดีๆ เอาไว้ในใจของจีเฉวียนอีก! 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


ตอนหน้าชื่อว่า “คนที่ฉีกโลงผู้นั้น”  

 

 


ตอนที่ 290 คนที่ฉีกโลงศพผู้นั้น

 

จีเฉวียนกวาดตาไปมอง ชายแขนฉลองพระองค์ข้างหนึ่งก็สะบัดออกไปในตอนนัั้น ฉลองพระองค์ถูกซัดออกไปด้วยกำลังภายในตบเหยียนเฉียวหลัวจบสลบในทันที


 


 


หนวกหู!


 


 


เสี่ยวซิงซิงของเขาเป็นผู้ใด เขายังจะต้องรู้จากปากของสตรีอื่นอีกหรือ?


 


 


ไม่ว่านางจะเป็นคนหรือว่าเป็นผี เป็นปีศาจหรือว่ามาร นางก็คือเสี่ยวซิงซิง


 


 


คิดว่าคนอย่างเขาจีเฉวียนชอบนางแค่เพียงรูปลักษณ์หรืออย่างไร?


 


 


หากว่าเป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะบังคับให้นางแต่งงานด้วยไปตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว


 


 


ตบไปครั้งหนึ่งเขาก็ยังไม่คลายโทสะ จึงซ้ำไปอีกแขนเสื้อหนึ่ง ทำเอาหมอกดำที่อยู่รอบตัวเหยียนเฉียวหลัวสลายไปจนหมดสิ้น


 


 


จีเฉวียนเป็นผู้ที่จดจำบุณคุณความแค้นอย่างแม่นยำ หลายครั้งหลายหนที่เขาไม่ได้ฆ่านาง ก็เป็นเพราะ ‘น้ำใจ’ เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งน้อยจนน่าสงสารที่เคยมีให้ยามอยู่ในแคว้นเหยียน


 


 


ถึงวันนี้ นางกระทบจุดอ่อนไหวของเขา เป็นจุดชีวิตของเขา เขาย่อมไม่ปล่อยนางรอดไปง่ายๆ


 


 


หมอกดำที่อยู่รอบกายของเหยียนเฉียวหลัวถูกซัดจนสลายไป นางที่สลบไปแล้วจึงมีแต่ฟองอากาศลอยออกมาจากจมูก เพียงครู่เดียวก็สำลักน้ำเข้าไป ศพแห้งที่รายล้อมอยู่ราวกับได้กลิ่นอาหารโอชะขึ้นมา พวกมันพากันกลุ้มรุมเข้าไป


 


 


กัดบ่า กัดขา กัดคอ กัดใบหน้า ฉีกทึ้งกันทั้งเป็น ราวกับจะทำให้เหยียนเฉียวหลัวกลายเป็นศพที่มีแต่กระดูก


 


 


เหยียนเฉียวหลัวตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด


 


 


ทันทีที่รู้สึกตัวก็เห็นว่าศพแห้งตัวหนึ่งกำลังกัดมือข้างหนึ่งของนาง มันแสยะยิ้มส่งให้ทั้งยังขบเคี้ยวอย่างตะกละตะกลาม


 


 


นางเปิดตาโตสุดขีด ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา ก็รู้สึกว่าลูกตาข้างหนึ่งถูกควักออกไป ทั้งยังถูกกลืนกินลงไปต่อหน้าต่อตาของนาง


 


 


นางต่อสู้ดิ้นรนอย่างวุ่นวาย คิดจะตะโกนร้อง แต่ศพแห้งเหล่านั้นรายล้อมเข้ามาและยึดตัวนางไว้


 


 


พวกมันฉีกทึ้งและกัดกินนางอย่างไร้ความปราณี แม้แต่ลำคอก็ถูกตะครุบเอาไว้จนนางร้องไม่ออก


 


 


ความหวาดกลัวม้วนเข้าใส่นางทั้งตัว นางมองออกไปไกล เห็นฮ่องเต้แคว้นต้าโจวยังทรงประทับอยู่บนโลงทองแดง ด้านหลังของเขาปรากฏไอสีดำพวยพุ่งออกมา


 


 


เขาดึงกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งออกมาจากข้างเอว กระบี่เล่มนั้นพอมาอยู่ในพระหัตถ์ก็เปลี่ยนรูปร่างไปกลายเป็นดาบใหญ่เล่มหนึ่ง


 


 


เขาไม่สนใจบาดแผลที่ถูกแทงทะลุตรงหัวไหล่ แต่กระชับดาบเล่มนั้นเอาไว้แล้วแทงตรงลงไป


 


 


หนึ่งดาบเสียบทะลุลงไป เหยียนเฉียวหลัวถึงกับหูดับไปทันที


 


 


แม้ว่านางจะฝืนใช้ดวงตาที่เหลือเพียงครึ่งเดียวมองดูเขา แต่ก็สามารถมองเห็นความร้อนรนของเขาได้อย่างชัดเจน


 


 


เขากำลังหวาดกลัว….กลัวว่านังสารเลวตู๋กูซิงหลันนั่นจะหนีเขาไป


 


 


นี่เป็นครั้งแรกที่เหยียนเฉียวหลัวได้เห็นความหวาดกลัวของเขา


 


 


ตอนนั้นเขาเพียงคนเดียวเอาชนะสัตว์อสูรนับร้อยได้โดยมิได้เผยความรู้สึกเช่นนี้ออกมา


 


 


ตอนที่ฉางซุนอิงตาย เขาก็ไม่ได้หวาดกลัว


 


 


ที่ผ่านมาในโลกของเขาคล้ายกับว่าไม่ได้มีคำนี้บัญญัติไว้ แต่ว่าตอนนี้ เขาหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ แล้ว


 


 


ที่แท้ ความรักที่เขามีให้กับตู๋กูซิงหลันก็ลึกล้ำถึงเพียงนั้น


 


 


การจะรักคนๆ หนึ่ง ย่อมไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะเช่นไร หากแต่สามารถยอมรับตัวตนทั้งหมดของคนๆ นั้น


 


 


ดังนั้นไม่ว่านางจะทำสิ่งใดลงไป จีเฉวียนก็ไม่เคยสนใจจะมองดูนางสักนิด


 


 


แม้กระทั่ง ไม่ลังเลที่จะผลักนางไปสู่ความตาย


 


 


นางชิงชังเหลือเกิน!


 


 


ท่ามกลางเพลิงแค้นที่ลึกล้ำ เหยียนเฉียวหลัวถูกเหล่าศพแห้งลากจนไกลออกไปเรื่อยๆ กระทั่งถูกกระแสน้ำวนขนาดใหญ่กลืนกินเข้าไป


 


 


………………………


 


 


 


 


ภายในโลงทองแดง เสียงที่ดังมาจากด้านบนเหนือศีรษะ ทำให้ตู๋กูซิงหลันและเสินฟางต้องชะงักงันไปครู่หนึ่ง


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงอีกเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ต่อเนื่องกัน แต่ละทั้งยังรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ


 


 


แม้แต่เสินฟางได้ยินแล้วยังต้องหน้าเปลี่ยนสี


 


 


มีคนพยายามจะฉีกโลงทองแดงจากภายนอก


 


 


โลงศพหลังนี้เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยผู้ทรงอำนาจและความสามารถในยุคก่อน ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง คนของโลกนี้ไม่สมควรจะมีผู้ที่สามารถทำลายมันได้


 


 


“เจ้าอย่าได้ไขว้เขว มีสมาธิเข้าไว้” เสินฟางมองดูตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”


 


 


ตอนนี้เขาและตู๋กูซิงหลันกำลังร่วมมือกัน ย่อมต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน


 


 


ที่จริงมิใช่ว่าตู๋กูซิงหลันอยากจะไขว้เขว แต่ว่านางรู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าด้ายผูกชะตากำลังดึงรั้งนาง


 


 


ด้ายที่จีเฉวียนผูกให้กับนางก่อนที่จะเดินทางเข้ามา


 


 


คนด้านนอกที่กำลังฉีกโลงเข้ามา…..คือจีเฉวียน?


 


 


เขาได้รับบาดเจ็บมากถึงเพียงนั้น ยังจะกระโดดลงมาในทะเลสาบอีก ไม่ต้องการชีวิตอีกแล้วหรือไร?


 


 


สีหน้าของตู๋กูซิงหลันหนักหน่วง แม้ว่าหมอกสีดำทองในฝ่ามือจะไม่ได้จางหายไป แต่ใจของนางก็สับสนวุ่นวายไปหมด


 


 


ขณะที่ว้าวุ่นใจอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงจากนอกโลงดังเข้ามา “อย่ากลัว เราอยู่นี่แล้ว”


 


 


“เราสัญญาเอาไว้แล้ว ว่าจะคุ้มครองเจ้า”


 


 


จีเฉวียนใช้ดาบเจาะเข้ามาในโลงทีละดาบๆ


 


 


ทุกดาบล้วนซ้ำลงในจุดเดิมอย่างแม่นยำ หลังจากหลายสิบดาบผ่านไป ในไม่ช้าโลงทองแดงก็เกิดรูขึ้นมา


 


 


โลงทองแดงนี้หากเปิดออกจากภายในเป็นเรื่องง่าย แต่ว่าเปิดจากภายนอกนั้นยากเย็นแสนเข็ญ


 


 


แต่เพราะพระองค์มีพละกำลังมหาศาล ในไม่ช้าก็สามารถแทงจนเป็นช่องขึ้นมาได้สำเร็จ


 


 


ทันทีที่แหวกเป็นช่องได้ ดาบของจีเฉวียนก็แทงผ่านเข้ามา ฉีกฝาโลงศพเป็นทางยาวสายหนึ่ง


 


 


ไม่รอให้เสินฟางทันได้ขัดขวางพระองค์ ก็เห็นจีเฉวียนกระโดดลงมาในโลงทองแดงเรียบร้อยแล้ว


 


 


ในวินาทีที่ได้พบตู๋กูซิงหลันนั้น เขาก็ยื่นมืออกไปคว้าตัวนางมาไว้ในอ้อมอก


 


 


หัวใจที่สูญเสียไปแล้วได้กลับคืนมา ทำให้จีเฉวียนยังคงรู้สึกหวาดหวั่นไม่หาย พระองค์เอาแต่กอดตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างแนบแน่น เนิ่นนาน


 


 


พระองค์ไม่อาจปล่อยนางได้


 


 


กระทั่งรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิและ ความนุ่มนิ่มของสตรีในอ้อมกอดได้จริงๆ แน่นอนแล้ว พระทัยของฮ่องเต้ถึงค่อยผ่อนคลายลงได้บ้าง


 


 


ขณะที่ถูกพระองค์กอดเอาไว้นั้น ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของพระองค์ได้อย่างชัดเจน


 


 


“ท่าน…..มาได้อย่างไร?” มือของนางยกค้างอยู่อย่างนั้น ถ้อยคำมากมายกลับเหลือเพียงแต่ประโยคง่ายๆ ประโยคเดียว


 


 


“เจ้าอยู่ที่ไหน เราก็ย่อมต้องอยู่ที่นั่น” จีเฉวียนกอดนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้แต่ว่าสถานที่โดยรอบจะเป็นเช่นไร พระองค์ก็ไม่ได้สนใจจะมอง


 


 


อย่าว่าแต่ที่ด้านข้างยังมีจอมมารเสินฟางอยู่ด้วย


 


 


ในชีวิตนี้พระองค์เคยหวาดกลัวเพียงสองครั้ง


 


 


ครั้งที่หนึ่ง ก็คือยามที่เสด็จแม่จากโลกนี้ไป


 


 


อีกครั้งหนึ่ง ก็คือตอนที่นางตกลงมาในสระสวรรค์ พระองค์หาอยู่นานก็ยังไม่พบ


 


 


ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่ พระองค์ก็ได้…..วางนางเอาไว้ในหัวใจแล้วจริงๆ


 


 


ไม่มีเหตุผลอะไรมากมาย ในเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ห่วงใยแล้ว รักนางเข้าแล้ว ก็ไม่อาจเป็นอื่นใดนอกจากนางเท่านั้น


 


 


ฝาโลงถูกกรีดเป็นช่องๆ หนึ่ง น้ำในทะเลสาบจึงทะลักเข้ามาอย่างรวดเร็ว


 


 


น้ำเย็นจัดในทะเลสาบสาดกระเซ็นโดนคนทั้งสอง ร่างของพวกเขาเปียกชุ่ม ตู๋กูซิงหลันที่ถูกสาดจนเปียกไปทั้งร่างเริ่มสงบนิ่งขึ้นมา


 


 


นางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นดวงพักตร์ที่งดงามหาใครเทียบของจีเฉวียนมีแต่ความห่วงกังวล


 


 


ไม่มีการเย้ยหยัน ไม่มีการล้อเล่น ไม่มีความหวาดกลัว แต่เปี่ยมไปด้วยความกังวลห่วงใย


 


 


เพราะดาบนั้นของเหยียนเฉียวหลัว หัวไหล่ขวาของพระองค์ยังคงมีรูดำๆ อยู่เลย


 


 


ตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันยังได้เห็นประกายเปียกชื้นของน้ำตาที่ค้างอยู่ในดวงเนตรหงส์ทั้งสองข้างของพระองค์


 


 


นั่นคงไม่ใช่เพราะว่าเทน้ำลงไปใช่ไหม?


 


 


คนที่เย่อหยิ่งเช่นจีเฉวียน นอกจากเพราะเหม็นจนน้ำตาไหลแล้ว มีหรือจะร้องไห้ได้ง่ายๆ กัน?


 


 


“ฝ่าบาท ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ท่านควรจะมา” ตู๋กูซิงหลันเก็บอารมณ์ได้เรียบร้อย ก็ผลักพระองค์เบาๆ ด้วยมือข้างหนึ่ง “ในโลงทองแดงใบนี้ มีสุดยอดสมบัติล้ำค่าอยู่มากมาย ท่านสามารถนำกลับไปเติมเต็มท้องพระคลัง ฐานอำนาจของแคว้นต้าโจวย่อมเพิ่มพูนขึ้นอีกระดับหนึ่ง”


 


 


โลกถล่มไปแล้วครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้ย่อมไม่ได้สนพระทัยจะเหลือบมองดูสมบัติเหล่านั้นสักแวบเดียว สองพระหัตถ์เกาะกุมหัวไหล่ของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา “สมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเรา ก็คือเจ้า”


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: โอ้ย ใจจะขาดรอนๆ สังหรณ์ถึงตอนหน้า “เราปกป้องเจ้าได้”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)