หมอดูยอดอัจฉริยะ 287-290

 ตอนที่ 287 ไสยศาสตร์ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเห็นคนข้างหน้าตรงนั้นเป็นเยี่ยเทียน ทันใดนั้นม่านตาของหม่าเหล่าซานก็โตขึ้น มองแผลเป็นที่บริเวณหลังมือ ก็อดไม่ได้ที่จะแสบๆ คันๆ ขึ้นมา


ถึงแม้ว่าเรื่องจะผ่านมาเกือบสามปีแล้ว แต่หม่าเหล่าซานบางทีก็ฝันร้าย ในฝันยังคงปรากฎภาพนักศึกษาชายที่ขี้อายปรากฏขึ้นมา


แน่นอน ในฝันที่เยี่ยเทียนยังใช้พลังพิฆาตอย่างโหดเหี้ยม ถูกหม่าเหล่าซานเสริมแต่งขึ้นมาด้วย


“เหล่าซาน นายรู้จักคุณเยี่ยด้วยเหรอ”


หลังจากที่ชิวเหวินตงได้ยินคำพูดของหม่าเหล่าซาน อดไม่ได้ที่มองเขาอย่างแปลกใจ ในเมื่อสองคนนี้รู้จักกัน งั้นเยี่ยเทียนทำไมถึงต้องมาทำลายสนามของตัวเองด้วยล่ะ


“แค่กๆ พี่ตง นี่…ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ได้เห็นหน้าน้องเยี่ยเทียนแว๊บเดียว” หม่าเหล่าซานไม่กล้าที่จะพูด เรื่องสองปีก่อนที่ช่วยเป็นลูกสมุนของเหรินเจี้ยน ตอนที่พูดส่งสายตาวิงวอนคู่หนึ่งให้กับเยี่ยเทียน


ชิวเหวินตงเกลียดลูกน้องที่รังแกคนอื่นมากที่สุด หม่าเหล่าซานตอนนี้เป็นหัวหน้าคนงานในบริษัท รักษาความปลอดภัยของเขา ภายในสองปีมีเงินซื้อทั้งบ้านและรถ จึงไม่อยากถูกชิวเหวินตงไล่ออกเพราะเรื่องนี้


“พี่น้องอะไรกัน เรียกท่านเยี่ยสิ” ชิวเหวินตงจ้องตาเขม็ง เฝิงเฮิงหยู่เรียกเยี่ยเทียนว่าอาจารย์ลุง เด็กคนนี้เรียกว่าพี่ ไม่ให้เกียรติพวกเราแล้วหรือยังไง


“ก็เรียกผมว่าเยี่ยเทียนเถอะครับ ไม่ต้องดูห่างเหินขนาดนั้น”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางแทรกคำพูดของชิวเหวินตง มองไปที่หม่าเหล่าซานถามว่า “พี่หม่า เฟ่ยเฮ่อเหว่ยคนนัั้นเป็นยังไงบ้าง พี่พูดให้ผมฟังหน่อยสิครับ”


หม่าเหล่าซานถูกเยี่ยเทียนเรียกถึงกับตกใจ รีบพูดแล้วโบกไม้โบกมือพูดว่า “ท่านเยี่ย ผมไม่กล้ารับคำเรียกชื่อนั้นหรอก ท่านเรียกผมว่าเสี่ยวหม่าหรือซานเอ๋อ ก็พอแล้ว”


ในใจของหม่าเหล่าซานได้ยอมรับว่าเยี่ยเทียนเป็นลูกพี่ในวงการแล้ว มองเห็นลูกพี่ชิว ที่แสดงความคารพเยี่ยเทียนแบบนี้ จึงทำให้ตื่นเต้น


แต่เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่เอ่ยเรื่องหลายปีก่อน ในใจของหม่าเหล่าซานก็สงบลง


“พูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เหล่าซาน เรื่องของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับแกไหม”


ชิวเหวินตงมองดูหม่าเหล่าซานด้วยใบหน้าที่น่าสงสัย เขารู้ว่าลูกน้องของเขาพวกนี้บางครั้งก็รับงานส่วนตัว ถ้าเรื่องเว่ยหงจวินถูกทำร้ายเกี่ยวข้องกับเหล่าซาน เขาก็อาจจะพูดไม่หมด


“พี่ตง เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเด็กคนนั้นไม่รักษาสัจจะ ผมหม่าเล่าซานไม่เคยไปยุ่งกับเขาอีกเลย”


หลังจากที่ฟังคำพูดของชิวเหวินตง หม่าเหล่าซานรีบร้องว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม มองใบหน้าของชิวเหวินตงอย่างระมัดระวัง ก็พูดต่อว่า “ท่านเยี่ย ผมเพิ่งไปที่บริษัทรื้อถอนของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมา ดูเหมือนว่าลูกน้องของเขาจะมีคดีฆาตกรรมที่โรงพยาบาล ตอนนี้บริษัทถูกปิดแล้ว  ทุกคนถูกพาตัวไปที่กองสันติบาล ทุกคนถูกจับหมดแล้วในข้อหาเล่นการพนัน”


บริษัทรักษาความปลอดภัยมีความสัมพันธ์บางอย่างกับทางตำรวจ ตำรวจมักได้รับเชิญให้ไปบรรยาย เรื่องระบบกฎหมายอยู่บ่อยๆ ดังนั้นหม่าเหล่าซานก็รู้จักคนในสถานีตงเฉิง เพิ่งไปถามข่าวคราวมา เรื่องทั้งหมดก็เป็นที่แน่ชัดแล้ว


“โธ่เอ้ย รู้ตั้งนานแล้วว่าไอ้สารเลวคนนี้ไม่ใช่คนดี  อยู่ไปยังก็มีแต่แปดเปื้อนได้”


เมื่อได้ยินหม่าเหล่าซานบอกว่าพฤติกรรมที่ฆาตกรผมสีเหลืองคนนั้นฆ่าคนเกิดจากการที่เสพยาเกินขนาด ชิวเหวินตงก็โกรธอดไม่ได้ที่จะทุบโต๊ะ ยาเสพติดเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบบประสาทส่วนกลางของคน และเป็นสิ่งที่คนในวงการยุทธภพเกลียดมากที่สุด


“เสพยาเสพติด เป็นสิ่งที่พวกตำรวจพวกนั้นสรุปหรือ” เมื่อได้ยินตำรวจจู่ๆ ก็สรุปแบบนี้ เยี่ยเทียนก็โล่งใจไปไม่น้อย


เดิมทีในใจของของเยี่ยเทียนก็สงสัยในพฤติกรรมของเจ้าหนุ่มหัวสีเหลืองที่อยู่ในโรงพยาบาลว่า ทำไมถึงได้กระทำการออกมารุนแรงขนาดนั้น ตอนนี้นอกจากเป็นเพราะวิชาของเขาแล้ว ยาเสพติดก็เป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่ง


แต่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยถูกตำรวจจับไปแล้ว กลับเกินความคาดหมายของเยี่ยเทียนทำให้เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย


ถ้าบนโลกนี้บอกว่าที่ไหนเป็นที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ก็คงเป็นที่สถานีตำรวจแล้ว แม้ว่าความสามารถของเยี่ยเทียนนั้นจะมีมาก คงไม่สามารถเข้าไปในห้องขังเพื่อทำร้ายคนได้


“คุณเยี่ย เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไอ้สารเลวคนนี้ที่จริงชกต่อยคนของผม เหล่าชิวของผมก็ต้องรับผิดชอบ เรื่องนี้คุณก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก รอหลังจากที่เขาออกมา ผมจะจัดการเขาให้เขาไสหัวออกไปจากเมืองปักกิ่งเอง คุณคิดว่ายังไงบ้างครับ”


ในขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดอยู่ ข้างหูอยู่ๆก็ได้ยินคำพูดของชิวเหวินตง เหล่าชิวครั้งนี้น่าจะโกรธมากจริงๆ  หลายปีก่อนก็ถูกไอ้สารเลวทำให้ตัวเองต้องเข้าคุก วันนี้ยังใช้ชื่อเขาไปทำเรื่องเลวร้ายอีก


เหล่าชิวมีชื่อเสียงมากในเมืองปักกิ่งสำหรับประชาชนทั่วไป แต่ถ้าเป็นคนที่อยู่ในเส้นทางยุทธภพจะรู้ว่า ท่านชิวเป็นคนที่โหดร้ายคนหนึ่ง สองสามปีมานี้พวกลักเล็กขโมยน้อย ไม่รู้ถูกเขาจัดการไปเท่าไหร่แล้ว


“เรื่องนี้ไม่รบกวนคุณชิวแล้ว ผมรับปากเว่ยหงจวิน จะช่วยเขาหาความเป็นธรรม หลังจากที่รอเฟ่ยเฮ่อเหว่ยออกมา ผมค่อยไปเจอเขาในตอนหลัง”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ปฏิเสธข้อเสนอของชิวเหวินตง หลังจากนั้นก็กล่าวขอโทษ “คุณชิว วันนี้ที่มาหาเรื่องถึงที่ ต้องขอโทษมากจริงๆ คุณอย่าใส่ใจเลยนะครับ”


“ทำไมคุณเยี่ยถึงพูดแบบนั้นล่ะ เรื่องนี้เหล่าชิวก็มีส่วนผิด พวกเราไม่ใช่ว่าไม่รู้จักกัน ทำตามที่คุณเยี่ยพูด ถ้าอยากให้ผมเหล่าชิวช่วย คุณโทรศัพท์มาก็พอแล้ว”


ชิวเหวินตงยืนขึ้นแล้วก็หัวเราะแหะๆ พูดว่า “นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ไปกัน ในหูท่งมีร้านอาหารที่รสชาติดีร้านหนึ่ง เหล่าชิวเป็นเจ้ามือเอง  หนึ่งเป็นการต้อนรับน้องเฝิง สองเป็นการตอบแทนคุณเยี่ย”


ชิวเหวินตงเป็นชายชราคนหนึ่งในยุทธภพ  ในใจคนทั่วไปต่างไม่จงเกลียดจงชัง เยี่ยเทียนก็ยอมรับในจุดนี้ ครอบครัวของตัวเองก็อยู่ที่นครปักกิ่ง การที่คบกับคนเช่นนี้ไม่มีอะไรที่แย่


คนที่ฝึกวิทยายุทธจำนวนมากจะมีนิสัยที่ตรงไปตรงมา เยี่ยเทียนถึงแม้ว่าจะทำลายสนาม แต่หลายคนก็เลื่อมใสความสามารถของเขาและเซี่ยวเทียน พอถึงโต๊ะก็ทยอยยกเหล้าชนแก้วเคารพเยี่ยเทียน


“เซี่ยวเทียน เหล้าไม่ต้องดื่มแล้ว กินข้าวเยอะหน่อย” เยี่ยเทียนรู้ว่าลูกศิษย์ของตัวเองคนนี้ มีความสามารถในการดื่มที่ถือว่าไม่เลวเลย แต่หลังจากดื่มเหล้ากลับไม่ฝึกกังฟู ดังนั้นจึงเอาแก้วเหล้าที่อยู่หน้าเซี่ยวเทียนยกไปที่อื่น


เยี่ยเทียนไม่ให้โจวเซี่ยวเทียนดื่มเหล้า แต่ตัวเองกลับดื่มเหล้าจนหมดแก้ว คนทั้งสองโต๊ะในท้องเต็มไปด้วยเหล้าขาว นอกจากแก้มที่แดงระเรื่อ สีหน้าของเยี่ยเทียนแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยน


ศิลปะการต่อสู้ที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้และความสามารถในการดื่มเหล้าขนาดนี้ ภาพลักษณ์ของเยี่ยเทียน ก็สูงขึ้นในสายตาของชาวแก๊ง


ตอนที่เฝิงเฮิงหยู๋ยืนอยู่ที่ในห้องน้ำกลับพบว่า ด้านหลังเสื้อของเยี่ยเทียนจู่ๆก็เปียกเต็มไปหมด และยังเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า


เฝิงเฮิงหยูี๋ถึงกับตกตะลึง นี่ถึงรู้ว่า ที่แท้วิชาของเยี่ยเทียนนั้นสูงถึงกับ บีบบังคับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายได้ มีแค่คนที่ฝึกกังฟูชั้นเยี่ยมในตำนานถึงจะทำได้


การดื่มเหล้ามื้อนี้ดื่มถึงบ่ายสี่ห้าโมง ความเข้าใจผิดทั้งสองฝ่ายไม่เพียงแต่คลี่คลายลง เยี่ยเทียนยังรับปากให้ โจวเซี่ยวเทียน ถ้าไม่มีธุระอะไรก็จะมาที่สำนักวิชา ช่วยเฝิงเฮิงหยู๋ชี้แนะเหล่าลูกศิษย์


รอเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนกลับมาที่บ้านเก่า ท้องฟ้าก็ได้มืดลงแล้ว เยี่ยเทียนทักทายพ่อ ให้โจวเซี่ยวเทียนย้ายไปอยู่กับตัวเอง แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็มีเยี่ยตงเหมยอยู่เป็นเพื่อน ไม่ต้องให้โจวเซี่ยวเทียนเป็นห่วง


โจวเซี่ยวเทียนอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานแห่งนี้ สิ่งที่มีความสุขมากที่สุดคือถังเสวียเสวี่ย ปกติเธอมักจะอยู่บ้านดูทีวีตอนกลางคืน สายตามองไปไปรอบๆ แม้แต่ทีวียังไม่ดู ลากโจวเซี่ยวเทียนไปคุยในลานบ้าน


“อาจารย์ ดึกขนาดนี้คุณยังต้องออกมาอยู่เหรอ” โจวเซี่ยวเทียนที่กำลังหมกมุ่นอยู่ในคำพูดของถังเสวียเสวี่ย เมื่อเห็นเยี่ยเทียนเข้ามาในกลางลานบ้าน ก็รีบลุกขึ้น


“อืม ฉันออกไปแป๊บเดียว ก่อนนอนนายต้องฝึกก่อน เซี่ยวเทียน อย่าขี้เกียจล่ะ”เยี่ยเทียนพยักหน้า เสื้อที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าได้เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว


คุยกันกับโจวเซี่ยวเทียนสองสามประโยค เยี่ยเทียนออกไปนอกเรือนสี่ประสาน พอถึงหน้าปากซอยก็เรียกรถแท็กซี่ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมา มาถึงบริษัทรื้อถอนของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย


เยี่ยเทียนรับปากที่จะช่วยเว่ยหงจวินทวงความยุติธรรมกลับมา แน่นอนว่าจะไม่ปล่อยพวกที่ทำร้ายคนพวกนั้นไป โบราณบอกว่าอยากรู้เรื่องต้องหาตัวต้นเหตุ ต้นตอชี้มาที่ตัวของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย


ถึงแม้ว่าพวกคนเหล่านั้นจะถูกตำรวจจับไปแล้ว แต่่เยี่ยเทียนก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี หลังจากที่เข้าสู่วงการ เขาก็มีหลายวิธีที่จะนำมาใช้


ทุกคืนบริษัทรื้อถอนแห่งนี้จะมีความครึกครื้นอย่างมาก ตอนนี้กลับเงียบสงบ ภายในตึกเล็กๆทั้งสองชั้น ไม่มีแม้แต่แสงไฟ แม้แต่ยามก็ถูกนำตัวกลับไปที่สถานีตำรวจ


เดินไปที่หลังอาคาร เยี่ยเทียนเห็นชั้นสองมีหน้าต่างห้องเปิดอยู่ ก็เลยหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ ที่มีความมืดปกคลุมไปหมด เยี่ยเทียนถอยหลังสองสามก้าว หลังจากนั้นก็วิ่งไปตามพื้นที่แตกตรงไปที่บันได


เมื่อห่างจากกำแพงสามสี่เมตร เยี่ยเทียนเพิ่มความเร็วอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เท้าสองข้างไปเหยียบบนกำแพงสีเทา มือคู่หนึ่งไปจับที่ขอบหน้าต่าง มือสองข้างใช้แรงอย่างสุดพลัง ร่างของเยี่ยเทียนราวกับแมวที่มุดเข้าไปในห้อง


“บ้าจริง นี้กลิ่นอะไรน่ะ”


พอเข้ามาในห้อง เยี่ยเทียนถึงกับขมวดคิ้ว เพราะในห้องนี้นอกจากกลิ่นบุหรี่ที่เหม็นและกลิ่นถุงเท้าแล้ว ยังมีกลิ่นที่ไม่ค่อยชัดเจนอยู่ เยี่ยเทียนที่ไม่สูบบุหรี่เกือบจะอ้วกออกมา


“ไม่ไหวๆ โชคร้ายจริงๆ รู้อย่างนี้น่าจะรออีกสองสามวัน”


พอเดินมาที่กลางห้องอยู่ๆ รู้สึกว่าเท้าลื่น พอยืนนิ่งๆ แล้วมองไปที่พื้น เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา ก้มลงที่พื้น หยิบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วอันหนึ่งขึ้นมาโยนทิ้งไป


หลังจากออกจากห้องมาที่ทางเดินแล้ว เยี่ยเทียนถึงกับถอนหายใจยาวๆ นี่บริษัทอะไรกัน ยังกับซ่องไม่มีผิด


ยังดีที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยแขวนป้ายผู้จัดการด้านหน้าห้องทำงานของเขา หลังจากพบสายโซ่ที่คล้องประตูไว้ เยี่ยเทียนขยับไปมาสองสามทีประตูก็เปิดออก เคล็ดลับนี้เยี่ยเทียนได้เรียนรู้จากหัวหน้าขโมยคนหนึ่งในมณฑลเหอหนาน


อาจเป็นเพราะต้องต้อนรับแขก ห้องทำงานของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยค่อนข้างสะอาด เยี่ยเทียนยังไม่เปิดไฟ ยืมแสงดวงจันทร์หาของที่อยู่บนโต๊ะ


“ของนี้ไม่ใช่ของคนที่ดีแน่”


ไม่เพียงแต่มีขนสั้น ๆ ที่ตกบนพื้นเท่านั้น ยังมีเส้นผมผู้หญิงสองสามเส้น หลังจากที่เยี่ยเทียนสวมถุงมือและห่อเส้นผมสี่หรือห้าเส้นนั้นด้วยกระดาษทิชชู่ที่อยู่บนโต๊ะ แล้วก็ออกมาจากบริษัทอย่างเงียบ ๆ



ตอนที่ 288 ไสยศาสตร์ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อกลับไปถึงเรือนสี่ประสาน ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว โจวเซี่ยวเทียนและถังเสวียเสวี่ยต่างก็เข้านอนกันหมดแล้ว ผู้ที่ออกมาต้อนรับเยี่ยเทียนจึงมีแต่เหมาโถวที่เที่ยวเตร็ดเตร่อยู่ในบ้านทั้งวัน


“ไป ไปเล่นคนเดียวไป๊ แล้วพรุ่งนี้จะซื้อปลามาให้แกอีกสองร้อยชั่ง!” เยี่ยเทียนจับเหมาโถวที่ยืนอยู่บนไหล่ของเขาปล่อยลงไปบนพื้น ถึงเจ้านี่จะชอบลักเล็กขโมยน้อยอยู่ทุกวี่วัน แต่ก็ทำตัวเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลยเหมือนกัน


สิ่งที่เป็นปัญหามากที่สุดต่อการอยู่อาศัยในบ้านเรือนก็คือหนู แต่เมื่อมีเหมาโถวอยู่ ในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนก็ไม่มีหนูตัวไหนกล้ามาอีกเลย แต่เรือนสี่ประสานที่อยู่โดยรอบกลับต้องรับเคราะห์ไป เพราะพวกหนูที่หนีไปจากบ้านของเยี่ยเทียนต่างพากันไปสร้างรังอยู่บ้านอื่นแทน


“จีจี”


พอเห็นว่าเยี่ยเทียนไม่แยแสมันเลย เหมาโถวก็ยื่นอุ้งเท้าน้อยๆ ออกไปตะกุยผมของเยี่ยเทียนอย่างฉุนเฉียว พอผมของเขากลายสภาพเหมือนรังนกแล้ว มันถึงจะโดดลงไปอย่างพอใจ แล้วผลุบหายเข้าไปนอนหลับ ในเรือนข้างของลานบ้านด้านหน้า


ตั้งแต่เยี่ยเทียนเก็บง้าวไว้ในนั้น เหมาโถวก็ไปนอนอยู่ใต้หิ้งวางง้าวทุกวัน ถ้าไม่ใช่เพราะมันเคยนอนกอด ด้ามง้าวแล้วกลิ้งตกลงมาหลายครั้ง มันก็คงจะขึ้นไปนอนกับง้าวเล่มนั้นไปแล้ว


หลังจากไล่เหมาโถวไป เยี่ยเทียนก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง โยนเส้นผมที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อไว้ลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เริ่มรื้อค้นภายในห้อง


เยี่ยเทียนหยิบหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากใต้เตียง แล้วบ่นพึมพำว่า “ปัดโธ่เว้ย เพราะไอ้หมอนั่นแท้ๆ เลย นี่เลยต้องมาเปลืองหยกชั้นดีไปอีกชิ้น”


ตั้งแต่เขาเริ่มมีเงินมาจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น เยี่ยเทียนก็ชอบไปเดินเที่ยวย่านพานเจียหยวนเป็นครั้งคราว แต่เขาไม่ได้สนใจวัตถุโบราณซึ่งมีประวัติอันยาวนานเหล่านั้นเลย เป้าหมายของเยี่ยเทียนคือไปเสาะหา หยกดิบที่ยังไม่ได้ผ่านการสลัก


แต่ที่จำหน่ายกันในพานเจียหยวนนั้นส่วนมากเป็นหยกที่ถูกแกะสลักมาเรียบร้อยแล้ว น้อยนักที่จะมีคนนำหยกดิบมาขาย หยกไม่กี่ชิ้นที่เยี่ยเทียนมีอยู่นี้ แต่ละชิ้นเขาต้องจ่ายเงินสูงลิ่วเพื่อซื้อมา จากร้านขายเครื่องหยกเจ้าหนึ่ง


“หน้าตาก็พอจะดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ ทำไมไม่รู้จักทำเรื่องดีๆ บ้างนะ?”


หลังจากหาหยกเจอแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบกรอบรูปเล็กๆ อันหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ รูปของชายไว้ผมหวีเรียบไปด้านหลังในกรอบนั้น ที่แท้ก็คือเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นเอง นี่เป็นรูปที่เยี่ยเทียนแอบหยิบมาจากห้องทำงาน ของเขาตอนที่จะออกจากที่นั่น


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั้นหน้าตาก็ไม่เลว แต่คิ้วที่เส้นขนชี้ขึ้นเป็นแนวตั้งนั้นกลับทำให้ลักษณะใบหน้าของเขาเสียหมด ยิ่งหากขนคิ้วดกและหยาบหนา ในตำรา ‘ต้าถ่งฟู่’ กล่าวไว้ว่า เป็นลักษณะของคนใจร้อนดุดัน ชอบใช้กำลัง จิตใจอำมหิต และไม่ใช้ความคิด หรือที่เรียกว่า ขนคิ้วแนวตั้งจิตใจโหดเหี้ยม


นอกจากนี้ดวงตาของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยยังแววตาลุกโชน ราวกับนัยน์ตาทั้งคู่พ่นไฟออกมา ดวงตาลักษณะนี้ในตำราโหงวเฮ้งบ่งบอกว่าเป็นคนโหดเหี้ยม เจ้าเล่ห์ใจคด และมีความคิดอย่างโจรถ่อย


คนแบบนี้โดยปกติในช่วงอายุสามสิบถึงสามสิบห้าปีมักจะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในช่วงอายุสามสิบเจ็ดถึงสี่สิบปีจะมีเคราะห์ หากสามารถรอดพ้นไปได้ ช่วงชีวิตที่เหลือก็จะอยู่อย่างสงบราบรื่น แต่ถ้าหากหลบไม่พ้น ก็จะกลายเป็นจุดจบของชีวิตของคนผู้นั้น


เยี่ยเทียนจ้องดูรูปถ่ายของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า มือซ้ายหยิบหยกขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อย ที่อยู่บนโต๊ะชิ้นนั้นขึ้นมา มือขวาสะบัดข้อมือหนึ่งที แล้วมีดสั้นอู๋เหินก็ถูกชักออกมาถือไว้


ที่บ้านเยี่ยเทียนมีมีดแกะสลักที่ใช้สำหรับแกะหยกโดยเฉพาะอยู่อย่างน้อยก็สิบกว่าด้าม ซึ่งใช้ได้ถนัดมือกว่ามีดสั้นอู๋เหินมากนัก แต่มีดแกะสลักเหล่านั้นไม่สามารถถ่ายทอดกระแสพลังหยินพิฆาต ลงไปในวัตถุที่ถูกแกะสลักได้


ระหว่างที่เยี่ยเทียนแกะสลักไป เศษผงจากการแกะก็ร่วงลงบนโต๊ะไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที หยกแกะสลักรูปคนชิ้นนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือของเยี่ยเทียน


หยกสลักรูปคนชิ้นนี้ไม่เหมือนกับหุ่นสลักที่เยี่ยเทียนทำขึ้นตอนที่จะแก้ชะตาให้อวี๋ชิงหย่าเมื่อก่อนหน้านี้ ระหว่างที่แกะสลักมันขึ้นมา เยี่ยเทียนตั้งใจถ่ายกระแสพลังพิฆาตเข้าไปในหุ่นสลักนั้นด้วย ทำให้หยกสีขาวบริสุทธิ์ นั้นดูราวกับมีไอปราณดำปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง


หลังจากแกะสลักเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนก็นำกระดาษเหลืองออกมา แล้วนำชาดก้อนหนึ่งมาฝน ใช้พู่กันจุ่มชาดแล้วเริ่มวาดยันต์ขึ้นมา แต่คราวนี้มีความแตกต่างจากยันต์ที่เขาเคยวาดมาอยู่เล็กน้อย โดยส่วนบนของยันต์ใบนี้เขียนชื่อของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไว้ด้วยตัวอักษรจีนห้วนๆ


พอวาดยันต์เสร็จ เยี่ยเทียนก็เทเส้นผมที่อยู่ในห่อผ้าเช็ดหน้าลงไปบนยันต์ จากนั้นก็นำยันต์ใบนั้นมาห่อหุ้มหุ่นสลัก ที่มีหน้าตาคล้ายกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไว้ เท่านี้ขั้นตอนการเตรียมการก็ถือว่าเสร็จสมบูรณ์แล้ว


เยี่ยเทียนถือหุ่นสลักนั้นพลิกไปมาอยู่ในมือ ในใจก็เริ่มครุ่นคิดว่า “ไม่รู้ว่าศาสตร์ลี้ลับที่มีรากเหง้ามาจากไสยศาสตร์นี่ จะได้ผลแค่ไหนกันนะ?”


วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนกำลังจะใช้นี้ มีความคล้ายคลึงกับตุ๊กตาคุณไสยอยู่เล็กน้อย ต่างกันตรงที่ตุ๊กตาคุณไสย ที่แพร่หลายในหมู่ชาวบ้านนั้นเน้นไปที่การระบายอารมณ์เสียมากกว่า แต่ศาสตร์ลับแขนงนี้สามารถ ครอบงำวิญญาณของคนได้ และอาจทำให้คนที่อยู่ไกลเป็นพันลี้ถึงฆาตได้ด้วย


“ฟ้าดินร่วมกำเนิด รากเหง้ามวลพลัง ศักดิ์สิทธิ์ไพศาล ห้าปราณขจรขจาย…”


เยี่ยเทียนวางหุ่นสลักรูปเฟ่ยเฮ่อเหว่ยลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มบริกรรมคาถาเบาๆ เกิดกระแสพลังหยินเย็นกลุ่มหนึ่ง ขึ้นในห้องตามเสียงสวดของเยี่ยเทียน


“ตำหนักไท่ซั่ง พลิกแพลงเปลี่ยนผัน จงเชื่อมถึงกัน!”


เยี่ยเทียนตะเบ็งเสียงออกไป มือทั้งสองข้างขยับนิ้วร่ายอาคม ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปที่หุ่นสลัก กระแสพลังหยินและหยางถักสานกัน ทำให้ยันต์บนหุ่นสลักลุกเป็นไฟขึ้นมาเองราวกับถูกจุดชนวน


วิธีการของเยี่ยเทียนไม่เหมือนกับอุบายของพรตเฒ่าอวิ๋นหยางที่อารามเมฆขาว ตาเฒ่านั่นใช้สารเคมีบนแผ่นยันต์ เวลาถูกลมจึงติดไฟขึ้นมาทันที แต่เยี่ยเทียนทำให้ยันต์ติดไฟขึ้นมาโดยใช้วิชาอาคมของจริง


เมื่อยันต์เผาไหม้ไปแล้ว ข้อความที่ดูเลือนรางกลุ่มหนึ่งก็พุ่งจากยันต์เข้าไปในหุ่นหยก ทำให้สีและประกายของหยกชิ้นนั้นยิ่งดูหมองลงไปอีก


“ไม่รู้ของพรรค์นี้มันจะใช้ได้ผลจริงๆ ไหมนะ?” เมื่อสัมผัสได้ถึงไอปราณที่แผ่มาจากหุ่นหยกนั้น ใบหน้าอันเหนื่อยล้าของเยี่ยเทียนก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา


วิชาอาคมที่เยี่ยเทียนใช้อยู่นี้ เป็นไสยศาสตร์ชนิดแรกสุดที่กำเนิดขึ้นในประเทศจีน อันที่จริงจะว่าไปแล้ว วิชาอาคมต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงการทำเสน่ห์ ต่างก็พลิกแพลงมาจากไสยศาสตร์แทบทั้งนั้น


ไสยศาสตร์ปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์จีนมาตั้งแต่บรรพกาลแล้ว


ในยุคดึกดำบรรพ์ เนื่องจากมนุษย์ยังมีความรู้ค่อนข้างน้อย จึงเข้าใจว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่นฟ้าร้องฟ้าผ่า หรือภูเขาไฟระเบิดนั้นเป็นการบันดาลโทสะของเทพเจ้าบางองค์ จึงมีชีวิตอยู่ด้วยความยำเกรง กลัวว่าถ้าเทพเจ้าโกรธเคืองขึ้นมาเมื่อไรก็จะบันดาลเคราะห์ร้ายให้เกิดขึ้นกับตน


ดังนั้นมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์จึงนำวัตถุบางสิ่งมาบูชา เพราะพวกเขาคิดว่าวัตถุนั้นๆ เป็นตัวแทนของเทพเจ้า และรูปลักษณ์ของเทพเจ้าก็พัฒนามาจากวัตถุเหล่านี้ ทำให้เกิด ‘การบูชารูปสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์’ ขึ้น


ในระหว่างพิธีบูชานั้น มีคนจำนวนน้อยนิดอยู่กลุ่มหนึ่งที่ได้รับพลังแห่งความศรัทธามาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้เกิดความสามารถบางอย่างซึ่งค่อนข้างพิสดารขึ้นมา คนเหล่านี้จึงกลายเป็นผู้นำหรือผู้มีอิทธิพลของเผ่านั้นๆ


หลังจากผ่านการลองผิดลองถูกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน ความสามารถเหล่านั้นก็ค่อยๆ ถูกจัดเป็นประเภทต่างๆ และกลายเป็นไสยศาสตร์ในที่สุด แต่ไสยศาสตร์ในยุคแรกเริ่มนั้นถูกนำไปใช้เพื่อรักษาความเจ็บป่วยเป็นหลัก


จนกระทั่งในสมัยราชวงศ์โจว หมอผีและหมอแพทย์ถึงจะแบ่งแยกออกเป็นคนละอาชีพ แต่จวบจนถึงปัจจุบัน ชาวบ้านตามพื้นที่ที่ห่างไกลความเจริญบางแห่งเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมา ก็ยังคงเชื่อกันอยู่ว่าพ่อมดหมอผี สามารถรักษาโรคให้หายได้ด้วยไสยศาสตร์


แต่ศาสตร์พยากรณ์ทั้งหกที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด อันได้แก่ การเสี่ยงทาย ภูมิลักษณ์ คำนวณชะตา นรลักษณ์ ทำนายฝัน และดูฤกษ์นั้น ไม่มีวิชาไหนเลยที่มีรากเหง้ามาจากไสยศาสตร์ ทว่าต่อมาเมื่อถึงสมัยราชวงศ์ฉินและฮั่น ศาสตร์เหล่านี้ก็ถูกเรียกเป็นวิชาอาคมแทน


ศาสตร์ลับชนิดที่เยี่ยเทียนใช้ไปเมื่อครู่นี้ ก็พัฒนามาจากไสยศาสตร์นี่เอง เริ่มจากไปหาเส้นผมของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมา จากนั้นก็ใช้ศาสตร์ลับดูดพลังปราณในเส้นผมนั้นออกมา แล้วถ่ายเข้าสู่หุ่นสลัก


และหุ่นสลักนี้ก็จะกลายเป็น ‘ตุ๊กตาคุณไสย’ ในกำมือของเยี่ยเทียน ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการเผาตุ๊กตากระดาษ ของชนเผ่าเหมียว และการใช้เข็มปักตุ๊กตาคุณไสยของเหล่าสตรีผู้คั่งแค้นในราชวังสมัยโบราณ โดยเป็นการสาปแช่งให้เกิด เคราะห์ร้ายขึ้นกับผู้ที่ตกเป็นเป้าหมาย


……………………


ในห้องขังใหญ่ของเรือนจำห้องหนึ่ง มีผู้ถูกกักตัวอยู่ยี่สิบกว่าคน คนเหล่านี้ต่างก็ถูกควบคุมตัวตามคำสั่ง ของฝ่ายบริหาร ระยะเวลาควบคุมตัวอย่างมากก็สิบห้าวัน ดังนั้นการดูแลจึงค่อนข้างหละหลวม


ขณะนั้นตรงที่นั่งริมหน้าต่างห้องขังมีคนนั่งล้อมวงกันอยู่แปดเก้าคน ซึ่งก็คือแก๊งของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นเอง กลางวงนั้นมีเหล้าขาวห้าหกขวดและไก่ย่างกับของต้มพะโล้ตั้งวางอยู่ แต่ละคนกำลังดื่มกินกันอย่างรื่นเริงใจ


เนื่องจากเวลากักตัวนั้นสั้นอย่างยิ่ง ดังนั้นขอแค่มีเงิน ไม่ว่าของกินของดื่มหรือของสูบที่ขายอยู่ข้างนอก ก็สามารถซื้อจากในนี้ได้เช่นกัน แน่นอนว่า ราคาก็ต้องแพงกว่าธรรมดาอยู่แล้ว อย่างบุหรี่จงหนานไห่ห่อหนึ่ง ก็ขายได้ราคาสูงถึงหนึ่งร้อยหยวน


“แม่งเอ๊ย ไอ้พวกแก๊งผมเหลืองนี่มันน่าตายจริงๆ สูบยากันตั้งแต่หัววัน พวกเราเลยโดนต้อนมาอยู่นี่ด้วยเลย!”


ต้าหลง อันธพาลรับจ้างผู้เป็นลูกสมุนตัวสำคัญของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเงยหน้ากรอกเหล้าขาวลงท้องไปครึ่งขวด แล้วทุ่มขวดเหล้าไปทางกลุ่มคนที่ชุมนุมกันอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องขัง ปากก็ด่าออกไปว่า “มองอะไรวะ? มาเลียตีนกูนี่มา เดี๋ยวจะให้กินเหล้าเป็นรางวัลคนละอึก!”


บรรดาคนที่ถูกควบคุมตัวมาตามคำสั่งของฝ่ายบริหารนั้น ไม่ใช่ว่าจะเป็นผู้ร้ายไปเสียทุกคน อย่างถ้าไปละเมิดกฎรักษาความปลอดภัยของสาธารณะเข้า ก็อาจถูกจับมาขังที่นี่ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับพวกคนโฉดกลุ่มนี้ พวกที่รวมกลุ่มกันอยู่ข้างห้องน้ำแม้จะโกรธแต่ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไร


“ต้าหลง อย่าก่อเรื่องน่ะ อยู่เฉยๆ ไปนั่นแหละ พอได้ออกไปแล้วพวกแกก็หลบกันไปก่อนนะ”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่นั่งดื่มเหล้าอย่างเซื่องซึมมาตลอดยกมือขึ้นปรามต้าหลงไว้ ตั้งแต่ถูกตำรวจกวาดต้อนมา เขาก็รู้สึกแล้วว่าเรื่องนี้ดูจะไม่ชอบมาพากลอยู่ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน จึงกำลังรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่


“พี่เหว่ย ถ้าไม่หาเรื่องสนุกๆ ทำเลย แล้วสิบกว่าวันนี่จะอยู่กันไปได้ยังไงล่ะ?”


ต้าหลงส่ายหน้าอย่างขัดใจ เรือนจำนี่ก็ไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเข้ามาเป็นครั้งแรก อบรมไอ้พวกเด็กดีนั่นสักหน่อย จะเป็นไรไป? ถ้าไม่ได้ซ้อมจนตายรึเจ็บหนัก แม้แต่เจ้าหน้าที่ในเรือนจำเองก็ยังคร้านจะมายุ่งด้วย


“เอ็งน่ะเงียบไปเลย!”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยสะกดโทสะในใจไว้ไม่อยู่ คำรามใส่ต้าหลงแล้วหันไปพูดกับคนอื่นๆ ว่า “ช่วงนี้ถ้าใครจะลงแดง เมื่อไหร่ก็บอกกล่าวกันก่อนล่ะ ไม่งั้นพวกแกได้โดนส่งไปศูนย์บำบัดคนติดยากันหมดแน่…”


นอกจากเฟ่ยเฮ่อเหว่ยและต้าหลง บรรดาลูกน้องเหล่านี้ต่างก็ติดยากันทั้งนั้น นี่ถ้าอยู่ข้างนอกก็ยังพอหาทางได้อยู่ แต่ถ้าเกิดลงแดงขึ้นมาในเรือนจำ เดี๋ยวพวกตำรวจก็รู้กันพอดี


“ไม่เป็นไรครับลูกพี่ ผมทนไหวอยู่ หรือถ้าไม่ไหวจริงๆ ลูกพี่จะเอาผ้าปูที่นอนมามัดตัวผมไว้ก็ได้นะ!” ลูกน้องคนหนึ่งยืนกรานเป็นแม่นมั่น ลืมไปเสียสนิทว่าเวลาลงแดงขึ้นมาแล้วแม้แต่พ่อแม่พี่น้องก็เอาไม่อยู่


“ดีมากไอ้น้อง ไว้พอออกไปแล้ว พี่เหว่ยจะพาพวกแกไปพักร้อนที่ไหหลำนะ แม่ง ได้ยินว่าที่โน่นพอตกกลางคืนแล้ว สาวๆจะออกมายืนหาแขกกันเต็มถนนเลยละ” เฟ่ยเฮ่อเหว่ยตบไหล่ลูกน้อง ทำให้เจ้าคนนั้นรู้สึกตัวลอยขึ้นมาทันที


“อ้าวเฮ้ย!” เฟ่ยเฮ่อเหว่ยพูดยังไม่ทันขาดคำ จู่ๆ แขนขวาก็เงื้อขึ้นมากะทันหัน แล้วฟาดลงไปบนหน้าของลูกน้องคนนั้นอย่างแรง



ตอนที่ 289 ไสยศาสตร์ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่ลูกน้องคนนั้นกำลังฝันหวานว่าจะได้สาวๆ มาห้อมล้อมอยู่นั้นเอง ใบหน้าก็ถูกตบไปหนึ่งฉาดโดยไม่ทันตั้งตัว และฝ่ามือนี้ก็ออกแรงฟาดไปเต็มที่ จนตัวเขาล้มกลิ้งลงไปกับพื้นเลย


“ลูกพี่ ตบผมทำไมล่ะเนี่ย?”


ลูกน้องที่ถูกตบไปหนึ่งฉาดจนสมองมึนนั้นตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แล้วอ้าปากถุยฟันออกมาสองซี่ ร้องตวาดออกมาด้วยสีหน้าเจ็บช้ำและโมโห


“มือ…มือฉัน มือขวาฉันขยับไม่ได้แล้ว!”


แต่ที่ลูกน้องคนนั้นคาดไม่ถึงคือ เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็แผดร้องออกมาดังลั่น เสียงร้องนั้นดูจะดังโหยหวนยิ่งกว่าเสียงของเขาเสียอีก


“พี่เหว่ย เป็นอะไรไปครับพี่?” ต้าหลงที่อยู่ใกล้กับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่สุดเข้าไปโอบร่างเขาไว้


“มือฉัน มือขวาฉันเหมือนจะหักไปแล้ว เจ็บ เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยสีหน้าอมเหลือง หยาดเหงื่อโตเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผากอย่างไม่ขาดสาย แขนข้างขวาที่ฟาดหน้าลูกน้องไปเมื่อครู่นั้น ตอนนี้กลับอ่อนปวกเปียกห้อยอยู่ข้างตัว ขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว


“พี่เหว่ย อยู่เฉยๆ ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะเนี่ย?”


เมื่อเห็นสีหน้าอันทรมานของลูกพี่ บรรดาลูกน้องที่ล้อมวงอยู่รอบๆ ต่างก็เริ่มงงขึ้นมา นี่ก็ดื่มเหล้ากันอยู่ดีๆ แท้ๆ แล้วมือของลูกพี่เฟ่ยจะหักไปได้ยังไงกันล่ะ? หรือเพราะที่ตบไปหนึ่งฉาดเมื่อกี้ออกแรงหนักไป?


ลูกน้องที่โดนฟาดหน้าไปคนนั้นยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าอันบวมแดงของตัวเอง นี่มันก็แค่เนื้อนี่หว่า? ไม่น่าจะกระแทกมือของลูกพี่เฟ่ยจนหักได้เลยนี่นา?


“เจ็บฉิบหาย เรียกคนมาหน่อย ส่งฉันไปโรงพยาบาลที เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


ขณะนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยรู้สึกราวกับมีคนเอามีดมาฟันแขนของเขาทิ้งก็ไม่ปาน ความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้นแทบจะทำให้เขาหมดสติไป จึงร้องโหยหวนออกมาดังลั่นอย่างสุดจะทนทาน เสียงอันทรมานนั้นดังก้องไปทั่วห้องขัง


ต้าหลงถีบลูกน้องที่กำลังอึ้งอยู่ข้างๆ ลงไปบนพื้น แล้วตวาดว่า “เร็วหน่อย รีบไปเรียกผู้คุมมาเร็ว!”


“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ!”


ขณะที่ลูกน้องคนนั้นกำลังถลาไปที่ประตูห้องขังอย่างโซซัดโซเซ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็แผดเสียงออกมาอีก ทันใดนั้นมือซ้ายที่ตอนแรกกำลังประคองแขนขวาอยู่ก็ปล่อยหมัดใส่หน้าของต้าหลงที่อยู่ตรงหน้า


หลายปีก่อนสมัยที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยติดตามชิวเหวินตงอยู่ ก็เคยฝึกร่างกายโดยการยกหินถ่วงน้ำหนักทุกวัน ถึงเขาจะอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว แต่พวกหนุ่มๆ เหล่านี้ก็ไม่มีใครที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลยสักคน


ดังนั้นพอหมัดนี้ชกออกไป ก็มีเสียง “แคร่ก” ดังขึ้นทันที เพราะกระดูกดั้งจมูกของต้าหลงถูกเขาชกจนหักไปแล้ว เลือดสดๆ พรั่งพรูออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างของต้าหลง ย้อมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขานุ่งอยู่จนกลายเป็นสีแดง


“ลูก…ลูกพี่ นี่…นี่พี่ทำ…ทำอะไรของพี่เนี่ย?” พอต้าหลงถูกเฟ่ยเฮ่อเหว่ยชกไปหนึ่งหมัดก็มึนไปเลย ผ่านไปเป็นนานสองนานถึงจะกุมจมูกพลางถามขึ้นมา


“อ๊าก เจ็บโว้ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ได้ฟังคำถามของต้าหลงเลย ความเจ็บปวดที่แล่นมาตามแขนทั้งสองข้างนั้น ทำให้เขาสุดที่จะทนทานได้ และตัวเขาเองก็รู้ดีว่า สติของเขาใกล้จะขาดผึงอยู่รอมร่อแล้ว


“เกิดอะไรขึ้น? วุ่นวายอะไรกันหา? อยากจะเข้าไปอยู่ในทัณฑสถานข้างๆ แทนใช่ไหม?”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเอะอะอาละวาดเสียงดังมาก ลูกน้องคนนั้นยังไม่ทันวิ่งไปถึงประตู ผู้คุมก็มาถึงก่อนแล้ว ในเรือนจำแห่งนี้กักขังคนไว้มากมาย จะแบบไหนก็มีหมด เวลาที่พวกคนติดยาเกิดลงแดงขึ้นมา ก็ยังคลุ้มคลั่งโกลาหลยิ่งกว่านี้อีก


“เปิดประตู ส่งฉันไปโรงพยาบาลที ส่ง…ส่งฉันไปโรงพยาบาล!” พอได้ยินเสียงของผู้คุม เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็โดดลุกขึ้นมาจากพื้นโดยที่สองแขนห้อยอยู่ข้างตัว สาวเท้าไม่กี่ก้าวก็ไปถึงประตูห้องขัง แล้วกระแทกศีรษะใส่ประตูเหล็กอย่างไม่คิดชีวิต


ผู้คุมเห็นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยคลุ้มคลั่งแบบนั้นก็ตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าวติดๆ กัน แล้วดุด่าว่า “แก…แกจะทำอะไรน่ะ? กักตัวแค่สิบห้าวันก็ปล่อยออกไปแล้ว ยังคิดจะแหกคุกอีกเรอะ?”


“แหกคุกแม่เอ็งสิ เจ็บจะตายห่าอยู่แล้ว รีบส่งไปโรงพยาบาลเร็ว ฉีดยาแก้ปวดให้ที!”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยขยับมือไม่ได้ทั้งสองข้าง ได้แต่โขกศีรษะใส่ประตูเหล็กอย่างไม่คิดชีวิต โลหิตไหลอาบหน้า รวมกับท่าทางบ้าคลั่งนั้นแล้ว ดูราวกับผีร้ายอาฆาตก็ไม่ปาน


“ทนไว้ ทนไว้ก่อนนะ ฉันจะไปเรียกคนมาฉีดยาให้!” เมื่อเห็นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเลือดท่วมหน้า ผู้คุมก็เริ่มลนลานขึ้นมา


พอเฟ่ยเฮ่อเหว่ยโขกศีรษะเสร็จ ก็เริ่มใช้เท้าเตะประตูเหล็กต่อ พลางตวาดด่าว่า “ทนกะแม่เอ็งสิ รีบเปิดประตูสิวะ เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”


“พวกแกน่ะ รีบจับตัวมันไว้เร็ว นี่มันอาการของคนติดยาอาละวาดชัดๆ เลย!” พอผู้คุมได้ยินเฟ่ยเฮ่อเหว่ยพูดแบบนั้น ก็กลับกลายเป็นใจเย็นลง คนติดยาเวลาลงแดงก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้น แค่ประคับประคองไว้สักพักเดี๋ยวก็หายเอง


“พี่เหว่ย อดทนไว้ อดทนไว้นะ!”


พวกต้าหลงโถมเข้าไปพร้อมกัน ช่วยกันมะรุมมะตุ้มจับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยกดลงไปกับพื้น พวกเขาก็กำลังงงอยู่เหมือนกัน เมื่อกี้ลูกพี่ก็เพิ่งจะบอกอยู่ว่า ถ้าพวกตนจะลงแดงขึ้นมาก็ให้อดทนไว้ แล้วทำไมตอนนี้เขากลับมาออกฤทธิ์ออกเดชเสียเองล่ะ?


“เวรเอ๊ย ปล่อยนะ ปล่อยเดี๋ยวนี้ เจ็บจะตายอยู่แล้วโว้ย!”


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยซึ่งโดนจับกดลงกับพื้นอยากจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก ทันใดนั้นที่ต้นขาข้างขวาก็เกิดเจ็บแปลบขึ้นมาอีก ความเจ็บปวดรวดร้าวนั้นทำให้เขาเกิดมีแรงขึ้นมาจากไหนไม่ทราบ ถึงกับผลักคนกลุ่มนั้นออกไปล้มกลิ้งกับพื้นกันหมด


“น่าสังเวชจริง นี่แหละนะผลของการเสพยา มันน่าถ่ายฉากนี้ไว้แล้วส่งไปให้ศูนย์บำบัดคนติดยาเสียจริง คงจะเป็นสื่อการสอนให้คนรุ่นหลังได้อย่างดีเลยละ!”


ผู้คุมที่อยู่นอกประตูเหล็กเห็นอย่างนั้นก็จุ๊ปากหลายที เขาทำงานที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว เคยเห็นคนติดยาอาละวาดมาก็ไม่น้อย แต่วันนี้เพิ่งจะเคยเจอคนที่อาการดุเดือดแบบนี้เป็นครั้งแรก


“เปิดประตูสิวะไอ้เวร ลูกพี่กูไม่ได้เสพยา ไม่ได้เป็นคนติดยานะโว้ย!”


ขณะที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกำลังกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น ต้าหลงก็โถมไปที่ประตู แล้วตวาดใส่ผู้คุมเสียงดัง เขารู้ว่าเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่เคยแตะยาเสพติดมาก่อนเลย เห็นสภาพแบบนี้แล้ว จะต้องมีสาเหตุอย่างอื่นอยู่แน่นอน


“ไอ้หนุ่ม คิดจะหลอกใครกัน? แกเห็นมันน้ำลายฟูมปากแบบนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะติดยาแล้วจะเป็นอะไรได้อีกเล่า?” ผู้คุมโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าคนกลุ่มนี้จ่ายเงินเยอะ เขาก็ยังอยากจะลากตัว พวกนี้ออกมาอบรมสักยกหนึ่งเลยด้วยซ้ำ


“เจ็บจะตายอยู่แล้ว กูไม่อยากอยู่แล้วโว้ย!!!”


ขณะที่ต้าหลงกำลังเจรจากับผู้คุม ทันใดนั้นเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่กลิ้งเกลือกอยู่ก็แผดเสียงร้องออกมาอย่างสยดสยอง ลุกขึ้นมายืนด้วยขาข้างเดียว แล้วใช้ขาซ้ายข้างนั้นถีบพื้นอย่างแรงสุดชีวิต โขกศีรษะใส่ผนังห้องขังฝั่งตรงข้าม


“พรวด!”


เมื่อศีรษะของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยกระแทกกับผนังห้องขัง เสียงเหมือนลูกแตงโมถูกปาใส่กำแพงก็ดังขึ้น โลหิตสาดกระเซ็น เสียงร้องโหยหวนของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยหยุดลงทันที ร่างอ่อนยวบทรุดกับกำแพงแล้วล้มลงไปกับพื้น


เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษหนีออกไป ห้องขังของเรือนจำจึงสร้างเหมือนกับที่ทัณฑสถาน ผนังห้องขังนี้เป็นโครงเหล็กฉาบปูนซีเมนต์แข็งแกร่ง การที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเอาศีรษะโขกกำแพง ก็เหมือนกับเอาไข่ไก่ไปกระทบกับก้อนหิน


เฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่ล้มลงไปกองกับพื้นนั้น กระโหลกศีรษะถูกกระแทกจนแตกร้าวไปทั้งหัว โลหิตสีแดงฉานและไขสมองสีขาวไหลนองผ่านเส้นผมลงไปบนพื้น ร่างกายที่ประสาทสัมผัสยังไม่หยุดทำงานนั้น กำลังกระตุกโดยอยู่เหนือการควบคุม


“ฆ่า…ฆ่าตัวตาย?”


ผู้คุมที่อยู่นอกประตูก็ตะลึงอึ้งไปเหมือนกัน เขานึกไม่ถึงเลยว่าผลจะออกมาแบบนี้ จึงรีบกดปุ่มสัญญาณเตือน ที่ข้างประตู แสงไฟทั่วทั้งเรือนจำสว่างโร่ขึ้นมาในพริบตา แล้วตำรวจติดอาวุธที่ประจำอยู่ที่นี่ก็เรียงแถวแห่กันมาทันที


………………


“โธ่เว้ย อุตส่าห์เสียแรงไปตั้งขนาดนั้น แต่จะใช้ได้ผลรึเปล่าก็ไม่รู้เนี่ย?”


ในเรือนสี่ประสานที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรนั้น เยี่ยเทียนก็กำลังนั่งหมดแรงเหงื่อท่วมหัวอยู่บนพื้นเช่นกัน หุ่นหยกที่ตอนแรกวางอยู่บนโต๊ะนั้น ตอนนี้กลับแตกหักยับเยิน แม้แต่ส่วนศีรษะก็แตกหักไปครึ่งหนึ่ง


การทำหุ่นหยกขึ้นมานั้นที่จริงก็ไม่ได้เปลืองแรงเยี่ยเทียนเท่าไรนัก แต่ตอนที่ใช้อาคมปลุกเสกหุ่นตัวแทนนี้ กลับแทบจะสูบพลังของเยี่ยเทียนไปจนหมด


“น่าจะสำเร็จแล้วมั้ง? ไม่อย่างนั้นมันจะกินแรงขนาดนี้เลยรึ?”


หลังจากนั่งปรับลมปราณอยู่บนพื้นไปพักใหญ่ๆ เยี่ยเทียนถึงจะฟื้นพลังกายกลับมาได้บ้าง เขายื่นมือไปหยิบหุ่นหยกที่เหลือร่างอยู่เพียงครึ่งเดียวนั้นขึ้นมา เมื่อเยี่ยเทียนลองสัมผัสดู ก็พบว่าไอปราณที่อยู่ภายในหุ่นนั้นสลายหายไปหมดแล้ว


ถึงอย่างไรขั้นตอนทุกอย่างก็ทำตามศาสตร์ลับที่ตกทอดมาไปหมดแล้ว จะสำเร็จหรือไม่นั้น ตอนนี้เยี่ยเทียนเองก็ไม่อาจตัดสินได้ ได้แต่เก็บกวาดเศษหยกบนพื้น แล้วจากนั้นก็ไปเข้านอน


……


“ลุงครับ ผมมาส่งของให้คนในนี้น่ะครับ”


เมื่อถึงเช้าวันต่อมา เยี่ยเทียนก็หยิบผ้าห่มในบ้านมาผืนหนึ่ง แล้วมุ่งตรงไปที่เรือนจำประจำเขตตงเฉิง แล้วเริ่มสนทนากับคุณลุงที่เป็นยามเฝ้าประตู


เมื่อวานหมดพลังไปตั้งมากมาย ในใจเยี่ยเทียนก็ยังสงสัยอยู่ไม่หาย จนนอนไม่หลับทั้งคืน วันนี้พอถึงแปดโมงเขาก็รีบมาที่เรือนจำทันทีเลย


“จะส่งของให้ใครล่ะ? มาลงทะเบียนก่อน!”


คุณลุงยามเฝ้าประตูหาวขึ้นมา เขาเกษียณจากเรือนจำไปแล้วมาสมัครทำงานต่อ แต่เดิมก็มีชีวิตสงบสุขดี แต่เมื่อวานเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเสียใหญ่โต จนทั้งคืนไม่ได้หลับสบายๆ เลยสักงีบ


เยี่ยเทียนใส่หมวกอยู่ใบหนึ่ง ก้มหน้าตอบว่า “คนนั้นชื่อเฟ่ยเฮ่อเหว่ยครับลุง คนที่บ้านเขาฝากผมเอาผ้าห่มมาส่งให้น่ะ!”


“เฟ่ย…เฟ่ยเฮ่อเหว่ย?”


เมื่อชายชราได้ยินก็นิ่งอึ้งไปทันที แล้วโพล่งออกมาว่า “เจ้าหมอนั่นเมื่อวานมันฆ่าตัวตายไปแล้ว ตอนนี้ศพส่งไปไว้ที่ห้องดับจิตในโรงพยาบาลแล้วละ!”


ชายชราพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็มีคนเดินเข้ามาในห้องเวรยามอีกคนหนึ่ง ชายคนนั้นมองหน้าชายชรา อย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “เหล่าวัง นั่นคุณพูดอะไรน่ะ? อย่าเอาเรื่องในเรือนจำไปพูดซี้ซั้วสิ คุณเองก็เป็นตำรวจเก่า เรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกหรือ?”


การที่มีคนฆ่าตัวตายในเรือนจำนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย อย่างน้อยๆ ผู้บริหารก็จะต้องมีส่วนรับผิดชอบ และเงินรางวัลเรือนจำปลอดภัยประจำปีก็เป็นอันอดไป


“อ้าว สารวัตรหลิว ก็มันหลุดปากไปเองนี่นา ถึงยังไงจะช้าจะเร็วพวกญาติๆ เขาก็ต้องรู้กันอยู่ดีนั่นแหละ”


ชายชราอาศัยที่ตัวเองอาวุโสกว่า จึงไม่ได้ใส่ใจคนที่เข้ามาทีหลัง หันกายกลับไปพูดว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าคนที่ชื่อเฟ่ยเฮ่อเหว่ยนั่นน่ะเมื่อวานเกิดลงแดงอยากยาขึ้นมาจนฆ่าตัวตายไปแล้ว อ้าว ไปไหนแล้ว? พ่อหนุ่มคนเมื่อกี้ล่ะ?”


ชายชราพูดไปตั้งนานถึงเพิ่งจะสังเกตว่า ตำแหน่งที่เยี่ยเทียนยืนอยู่เมื่อครู่นั้นไม่มีใครอยู่แล้ว จึงรีบตามออกมาดูข้างนอก แต่บริเวณด้านหน้าเรือนจำอันโล่งกว้างนั้น กลับไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่เงา


“โว้ย ทำไมมันพิลึกอย่างนี้นะ? หรือว่าที่เรือนจำนี่จะมีผีสิงจริงๆ?”


ถึงชายชราจะเคยพบเห็นอะไรมามาก ยามนี้ก็ยังอดขนลุกชันไปทั้งตัวไม่ได้ ชายคนเมื่อวานนั้นออกจะตายอย่างพิสดารอยู่ แล้วเจ้าหนุ่มที่มาเมื่อกี้ก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่เลย



ตอนที่ 290 คลื่นที่ยังไม่สงบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ในที่สุดก็ไม่เสียแรงที่ใช้กำลังไปมากขนาดนี้ แต่วิชาพ่อมดแม่หมอที่ทำร้ายคนและตัวเองแบบนี้ ต่อไปจะต้องใช้ให้น้อยหน่อย!”


พอกลับมาถึงเรือนสี่ประสานเยี่ยเทียนยังรู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่หยุด แต่ก็รู้สึกหนาวสะท้าน เพราะหลังจากที่เขาใช้วิชาเสร็จแล้ว ไม่เพียงรู้สึกว่าพลังถูกดูดออกไปทั้งตัว แม้แต่เส้นลมปราณก็ยังได้รับความเสียหายอยู่บ้าง


เส้นลมปราณของเยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บครั้งที่แล้ว เป็นผลมาจากการช่วยท่านนักพรตพลิกชะตาฝืนลิขิต เขาไม่คิดว่าการใช้วิชานี้ จะมีพลังสวนกลับที่รุนแรงกว่าการพลิกชะตาฝืนลิขิตเสียอีก


และพลังสวนกลับนี้ยังมีความรุนแรงมาก มันแอบทำลายเส้นลมปราณของเยี่ยเทียนอย่างเงียบๆ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาบรรลุด่านฮว่าจิ้งมาได้ เกรงว่าอีกสักพักเขาคงจะล้มนอนบนเตียงจนลุกไม่ขึ้น


“การดื่มกินบนโลกมนุษย์ล้วนถูกกำหนดโดยสวรรค์ นับจากวันนี้ไปตัวเองต้องพยายามแสดงวิชาให้น้อยลง มิฉะนั้นไม่ช้าก็เร็วเขาจะต้องถูกสวรรค์เล่นงานจนตายแน่”


เวลานี้เยี่ยเทียนก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นในใจ เขาระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งลงมาจากเขา หลังจากวรยุทธ์ของเขาบรรลุในครั้งนี้ จึงทำทุกอย่างอย่างกำเริบเสิบสานเกินไปจริงๆ


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เยี่ยเทียนได้แต่ขลุกตัวอยู่ในเรือนสี่ประสานเพื่อรักษาเส้นลมปราณที่บาดเจ็บ


ในระหว่างนี้เฝิงเฮ่ยหยู๋ก็อยากจะพาผู้น้อยมาเยี่ยมแต่ก็ถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธ เฝิงเฮ่ยหยู๋จึงได้แต่ฝากคำพูด สองสามประโยคผ่านทางโจวเซี่ยวเทียน เขารู้ว่าเฝิงเฮ่ยหยู๋กำลังตกอยู่ในพลังลึกลับ และมีบางปัญหา ที่อยากขอคำแนะนำจากตัวเอง


แต่เยี่ยเทียนไม่รู้ว่า ที่เฝิงเฮ่ยหยู๋มาเยี่ยมเยียนเขา เป็นเพราะความต้องการของชิวเหวินตง เพราะว่าวันที่สองหลังจากที่เยี่ยเทียนไปท้าทายแล้ว ชิงเหวินตงก็ได้รับข้อมูลว่า เฟ่ยเฮ่อเหว่ยฆ่าตัวตายขณะถูกขังอยู่ในคุก


ชิวเหวินตงรู้จักเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมาสิบยี่สิบปีแล้ว เขาจึงรู้จักนิสัยของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นอย่างดี หมอนั่นมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวรักชีวิตเป็นที่สุด จึงไม่มีทางฆ่าตัวตายเด็ดขาด ทำให้เรื่องนี้มีความแปลกประหลาดอยู่ไม่น้อย


ในความคิดของชิวเหวินตง เยี่ยเทียนจะต้องเข้าหาผู้มีอำนาจและซื้อตัวของผู้คุมขังในคุกอย่างแน่นอน แล้วจึงสร้างสถานการณ์ให้เฟ่ยเฮ่อเหว่ยฆ่าตัวตาย แต่การคาดเดาเช่นนี้ทำให้ชิวเหวินตงรู้สึกหายใจเย็นวูบ และแอบดีใจที่ตัวเองไม่ได้ล่วงเกินเยี่ยเทียน


ดังนั้นวันที่สองที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยฆ่าตัวตาย พวกนักเลงที่เป็นลูกน้องของชิวเหวินตง ก็ได้รับแจ้งข่าว แล้วจึงรู้ว่าในเมืองปักกิ่งปรากฏตัวบุคคลที่ไม่อาจหาเรื่องได้ แต่เยี่ยเทียนไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย


เนื่องจากต้องอาศัยพลังชีวิตแห่งฟ้าดินที่เกือบมีสภาพไม่ปกติที่อยู่ภายในลานบ้านของเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนจึงใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มในการซ่อมแซมเส้นลมปราณที่ได้รับความเสียหาย หลังจากที่เขาเบิกเนตรตรวจสอบ ภายในร่างกายแล้ว จึงได้โล่งอก


“ลุงเว่ย ลุงมาได้ยังไงครับ?”


เช้าวันนี้เยี่ยเทียนกำลังต้มหม้อยาให้ถังเสวี่ยเสวี่ยอยู่ในห้องครัว เมื่อได้ยินเสียงกริ่งประตูดังมาจากข้างนอก เยี่ยเทียนจึงเดินไปดู กลับเห็นเว่ยหรงหรงประคองพ่อของตัวเอง และกำลังยืนอยู่หน้าประตูเรือนสี่ประสาน


ตอนที่เว่ยหงจวินนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ถึงแม้จะมีสภาพที่น่าสงสารและเวทนามาก แต่แท้จริงแล้วล้วนเป็นแผลภายนอก เพียงแค่พักรักษาตัวหนึ่งสัปดาห์ ก็สามารถนำผ้าพันแผลที่พันรอบตัวออกได้ แต่หน้าผากของเขายังมีผ้าพันแผลพันรอบอยู่


“ลุงเว่ยก็มาขอบคุณนายยังไงล่ะ!”


สีหน้าของเว่ยหงจวินตื่นเต้นมาก เขาอยู่ในเมืองปักกิ่งมาไม่เคยถูกหยามขนาดนี้มาก่อน วันที่เกิดเรื่องวันนั้นมีเพื่อน มาเยี่ยมเขามากมาย เว่ยหงจวินจึงรู้สึกอายมาก แต่แค่การพลิกฝ่ามือของเยี่ยเทียนก็สามารถกำจัดเฟ่ยเฮ่อเหว่ยได้เรียบร้อย ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจมาก


ถึงแม้ในสายตาของคนมากมาย การเกิดเรื่องของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเว่ยหงจวินเลย แต่เว่ยหงจวินรู้อยู่แก่ใจ ว่าการฆ่าตัวตายของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ต้องเป็นฝีมือของเยี่ยเทียนแน่นอน


“ลุงเว่ย เรื่องบางเรื่องรู้อยู่แก่ใจก็พอ เชิญเข้าไปนั่งข้างในครับ…”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พาเว่ยหงจวินกับลูกสาวสองคนพ่อลูกเข้าไปในเรือนสี่ประสาน ช่วงนี้เขาปิดบ้าน พักรักษาตัวมาตลอด จึงอยากรู้ความเคลื่อนไหวหลังจากที่เกิดเรื่องเหล่านั้น


“หรงหรง เธอไปเล่นกับเสวี่ยเสวี่ยเถอะ เธอเป็นเด็กผู้หญิง อยู่ในเรือนสี่ประสานทั้งวันคงเบื่อแย่!”


หลังจากเข้าไปในห้องรับแขกแล้ว เยี่ยเทียนจึงหาเรื่องให้เว่ยหรงหรงแยกตัวออกไป เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นคนขี้ระแวง กลัวว่าเอาไปพูดกับคนข้างนอกได้ง่าย


หลังจากนั่งลงแล้ว ก็ยังเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของเว่ยหงจวินอยู่ เยี่ยเทียนจึงโบกมือ แล้วพูด “ลุงเว่ย ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เรื่องงานก่อสร้างแก้ปัญหาได้แล้วใช่ไหมครับ?”


เว่ยหงจวินพยักหน้า พลางพูด “แก้ไขเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มนั่นที่นอนอยู่โรงพยาบาลพอได้ยินว่า เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเกิดเรื่อง ก็เซ็นสัญญาการรื้อถอนในวันนั้น ได้เงินแล้วก็ชิ่งเลย ตอนนี้งานก่อสร้างดำเนินการอย่างปกติ”


ไม่เพียงเท่านี้ วันที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเกิดเรื่อง ชิวเหวินตงก็มาเยี่ยมเว่ยหงจวินที่โรงพยาบาล และยังตบหน้าอกต่อหน้าคนมากมาย บอกว่าต่อไปถ้ามีคนของเว่ยหงจวินที่ไหน นั่นคือความยุ่งยากของทหารเลวอย่างเขา


คำพูดของชิวเหวินตง ทำให้เถ้าแก่เว่ยที่ต้องขายหน้าเพราะถูกตี ได้รับการชดใช้กลับมาอย่างสมบูรณ์


“เรื่องนั้นของเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ตำรวจวินิจฉัยว่ายังไงครับ?”


เยี่ยเทียนพูดเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ความจริงในใจกลับสนใจเป็นอย่างมาก ช่วงนี้เขาพักรักษาตัวอยู่ในบ้านตลอด  จึงไม่รู้ว่าเรื่องนี้จัดการเป็นอย่างไรบ้าง?


“เสพยา ฆ่าตัวตาย!”


หลังจากพูดคำวินิจฉัยของฝั่งตำรวจแล้ว เว่ยหงจวินจึงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เยี่ยเทียน นายวางใจได้ ทั้งชีวิตนี้ของลุงเว่ยจะไม่พูดออกไปแม้แต่คำเดียว แม้แต่หรงหรงก็จะไม่รู้…”


ตอนนี้เว่ยหงจวินก็ไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนมีอารมณ์แบบไหน เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มที่เขารู้จักมาสองสามปี เวลาลงมือจะโหดเหี้ยมขนาดนี้


ถึงแม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเพราะเขา แต่เวลาที่เถ้าแก่เว่ยเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียนนั้น ในใจของเขาอดรู้สึกหนาวเย็นไม่ได้ แม้แต่คำพูดก็ยังต้องระมัดระวัง


“เหอะ เหอะ ลุงเว่ย ถ้าลุงพูดออกไปก็ต้องมีคนเชื่อด้วยสิ แต่เท่าที่ผมรู้ เหมือนเฟ่ยเฮ่อเหว่ยจะไม่ได้เสพยานะ?” เยี่ยเทียนรู้สึกเคลือบแคลงใจ เพราะว่าชิวเหวินตงเคยบอกเขาถึงเรื่องที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยควบคุมลูกน้อง


“ทางตำรวจบอกว่าเขาเสพยา อย่าง นั้นก็ต้องเสพยา พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เว่ยหงจวินได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา เขามีคนรู้จักอยู่ในวงการมากมาย ถ้าอยากจะสืบข้อมูลจึงง่ายมาก


ที่สถานคุมขัง มักจะเกิดเรื่องทุกปี และคดีที่จัดการกับพวกที่ “ตายแล้ว” จึงจัดการได้อย่างคล่องแคล่วมาก


บวกกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยได้หย่ากับภรรยานานแล้ว ที่บ้านจึงไม่มีใคร ถ้าไม่มีใครแจ้งความ ก็ต้องถูกตัดสินแบบนี้ และศพก็ถูกเผาไปในวันที่สอง จึงเป็นการตายอย่างไร้ร่องรอย


แน่นอนว่า ผู้คุมเวรในคืนนั้นก็ต้องถูกซ้อม และหลังจากเกิดเรื่องก็ถูกไล่ออกเพื่อตรวจสอบ


แต่ก็ไม่ได้ใส่ร้ายเขาจริงๆ พอตรวจสอบจึงพบว่าผู้คุมขังธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่เป็นตัวเชื่อม การซื้อขายเหล้ายาบุหรี่และของกินเท่านั้น ภายในหนึ่งปีเขาสามารถทำเงินจากที่คุมขังสองถึงสามแสนหยวน เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่ายตำรวจจึงเกิดการปรับปรุงภายในแผนกอย่างเงียบๆ


“ลุงเว่ย ผมยังพูดคำนั้นเหมือนเดิม คนเราทำอะไร ฟ้ายังคงมองเห็นเสมอ ขอเพียงไม่ทำเรื่องที่ชั่ว ก็ไม่ต้องกลัวกรรมตามสนอง”


หลังจากรู้ผลการจัดการของเรื่องนี้แล้ว เยี่ยเทียนจึงโล่งอก เนื่องจากช่วงนี้เขาแสดงความสามารถออกมา อย่างล่อแหลมเกินไป จึงกลัวว่าจะถูกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจับตามอง เพราะเยี่ยเทียนคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มี เพียงเขาคนเดียวที่รู้วิชาเหล่านี้


เว่ยหงจวินพยักหน้า พลางพูด “อืม เยี่ยเทียน นายวางใจได้ ต่อให้ลุงเว่ยได้กำไรนิดหน่อย ลุงก็จะไม่ทำเรื่องที่ไร้จิตสำนึกเหล่านั้น”


ถึงแม้จะผ่านประสบการณ์เรื่องนี้ แต่สำหรับเว่ยหงจวินแล้ว นอกจากลบล้างเรื่องที่ถูกตีได้แล้ว เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกด้วย เพราะรหัสคำพูดชิวเหวินตงคือ ต่อไปพวกมาเฟียในเมืองปักกิ่ง จะไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งกับธุรกิจของเขาอีกเด็ดขาด


เว่ยหงจวินก็เป็นคนฉลาดจึงไม่ได้ถามความสัมพันธ์ของเยี่ยเทียนกับชิวเหวินตง หลังจากแสดงความขอบคุณกับเยี่ยเทียนแล้ว เขาก็พาลูกสาวกลับไป


พูดตามจริง ยิ่งรู้เรื่องของเยี่ยเทียนมากเท่าไร เวลาที่อยู่กับเขานั้น จะทำให้จิตใจของเถ้าแก่เว่ยรู้สึกกดดันมากขึ้น


“พี่เยี่ยเทียน พี่จะพาหนูออกไปเที่ยวเมื่อไรคะ?”


ตอนที่เยี่ยเทียนส่งเว่ยหงจวินกับลูกสาวสองคนพ่อลูกและเดินกลับมาในเรือนสี่ประสานนั้น ก็เจอกับสีหน้าที่โกรธเคืองของถังเสวี่ยเสวี่ยพอดี เด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ในบ้านมาหนึ่งเดือนเต็ม และออกไปข้างนอกรวมแล้วไม่เกินสามครั้ง


ถึงแม้ตอนที่เธออยู่ที่ฮ่องกง หนึ่งเดือนจะออกไปข้างนอกได้เพียงหนึ่งครั้ง แต่จากร่างกายที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถังเสวี่ยเสวี่ยจึงยิ่งมีความหวังอยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติมากขึ้น


“จะพาเธอออกไปวันนี้ เธอโทรหาพี่ชิงหย่า วันนี้พวกเราจะไปซื้อรถกัน!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา เขารักษาแผลมาหนึ่งสัปดาห์เต็ม จึงรู้สึกอึดอัดและน่าเบื่ออยู่บ้าง ดังนั้นจึงถือโอกาสทำตามสัญญาว่าจะซื้อรถ และไปขับรถเล่นด้วยกัน


“จริงหรือคะ? อย่างนั้นหนูจะไปโทรหาพี่ชิงหย่าค่ะ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเสวี่ยเสวี่ยจึงร้องด้วยความดีใจ และกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้าไปในห้อง ถึงแม้เธอจะอายุน้อยกว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปี แต่เธอไม่เคยได้สัมผัสกับคนนอกตั้งแต่เด็ก จึงมีลักษณะจิตใจเหมือน เด็กอายุสิบสองสิบสามขวบ


เยี่ยเทียนมองดูถังเสวี่ยเสวี่ยที่ตื่นเต้นดีใจ เขาก็รู้สึกติดอารมณ์ของเธอไปด้วยพลางคิดในใจว่า “รอให้เหล่าถังกลับมาก่อน ก็จะสามารถเปิดเส้นลมปราณหยางภายในร่างกายของเด็กผู้หญิงคนนี้ได้!”


ถังเสวี่ยเสวี่ยพักอยู่ในเรือนสี่ประสานที่มีพลังจักรวาลเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ทำให้ความหนาวเย็นภายในร่างกายของเธอถูกสกัดได้เรียบร้อย ขอเพียงเปิดเส้นลมปราณหยาง ในเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้นได้ ก็สามารถทำให้พลังหยินหยางผสมผสานกัน และกำจัดพลังหยินพิฆาต ที่คุกคามเธอได้อย่างสิ้นเชิง


แต่มีจุดฝังเข็มทั้งหมดยี่สิบสี่จุดรวมตัวอยู่รอบๆ เส้นลมปราณหยาง แม้ว่าตอนนี้เยี่ยเทียนจะสามารถบรรลุ ด่านฮว่าจิ้งได้แล้ว แต่ก็ไม่สามารถช่วยเธอเปิดออกทั้งหมดได้ภายในวันเดียว ดังนั้นยังต้องเตรียมตัวอีกพอสมควร ถึงจะเริ่มลงมือได้


อวี๋ชิงหย่ากำลังจัดการเรื่องฝึกงานอยู่ในสถานีโทรทัศน์รายการทีวีพอดี หลังจากรับโทรศัพท์แล้วไม่เกินครึ่งชั่วโมง เธอก็รีบมาถึงเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนนำรถซานทาน่าคันเก่าตกรุ่นขับออกมา แล้วพาทั้งสองคนมุ่งตรงไป ยังหมู่บ้านเอเชียนเกม


“พี่เยี่ยเทียน พี่จะซื้อรถเบนซ์เหรอคะ? รถคุณปู่ของหนูก็เป็นเบนซ์หมดเลยค่ะ เหมือนจะกันกระสุนได้อีกด้วย”


ขณะที่นั่งอยู่บนรถ ถังเสวี่ยเสวี่ยมองไปที่คนเดินถนนที่อยู่ข้างทางด้วยความสงสัย เพราะในฮ่องกงไม่เคยเห็น รถจักรยานเยอะขนาดนี้ และทุกอย่างที่อยู่ในประเทศจีนจึงเป็นความรู้สึกแปลกใหม่สำหรับเธอมาก


“เบนซ์? คือรถอะไร?” เยี่ยเทียนถามแบบไม่เข้าใจ เหมือนเขาไม่เคยได้ยินยี่ห้อนี้มาก่อน?


“ก็เมอร์เซเดสเบนซ์ไงค่ะ แต่ที่เสี่ยวเสวี่ยพูดว่าสามารถกันกระสุนได้นั้นต้องสั่งทำจากโรงงาน คันหนึ่งก็มากกว่าสิบล้านหยวน” อวี๋ชิงหย่ายิ้มพลางอธิบายให้เยี่ยเทียน


“พอเถอะ สิบกว่าล้าน ฉันซื้อไม่ไหวหรอก กลับไปฉันจะซื้อรถจักรยานสามคัน แล้วพวกเราก็ถีบกลับบ้าน!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงหัวเราะขึ้นมา เพราะช่วงที่ผ่านมานี้ การแก้ปัญหาเรื่องของเว่ยหงจวินที่เหมือนเมฆครึ้ม ที่กดดันอยู่ในหัวใจของเขาก็ได้ถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น


……

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)