ยอดหญิงสกุลเสิ่น 281.2-282.1

ตอนที่ 281-2 รัชทายาท

 

วังหลวง ตำหนักเจาเต๋อ


 


 


ฉินซู่เฟยกำลังเช็ดน้ำตาต่อหน้าฮ่องเต้ยงเซวียน “ฝ่าบาท ไยถึงมีคนอำมหิตเช่นนี้นะ หม่อมฉันเพิ่งรู้ว่ามีคนร้องเรียนบิดาว่าหมายก่อกบฏ ช่างเป็นเรื่องตลกจริงๆ! บิดาของหม่อมฉันตรากตรำทำงานด้วยความสุขุมรอบคอบเพื่อต้ายงมาหลายสิบปี เหล่านี้ฝ่าบาทก็เห็นอยู่กับตา บิดาจะกบฏได้อย่างไรเพคะ ฝ่าบาท ท่านต้องตัดสินแทนบิดาหม่อมฉัน อย่าให้แผนชั่วของคนถ่อยบรรลุผลนะเพคะ”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสว่า “ซู่เฟยวางใจเถอะ ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้วมิใช่หรือ ไม่มีทางปรักปรำเสนาบดีฉินเด็ดขาด ใช่หรือไม่ลูกพ่อ” เขาเบือนหน้าถามองค์ชายรองที่ยืนอยู่ข้างๆ


 


 


องค์ชายรองรีบกล่าวอย่างนอบน้อมว่า “เสด็จพ่อทรงปรีชา! กระหม่อมแม้เชื่อว่าเสนาบดีฉินไม่มีทางทำเรื่องไม่ภักดีเช่นนี้ ทว่าท้ายที่สุดสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น อย่างไรก็ตรวจสอบสักคราดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


แล้วหันหน้าปลอบใจเสด็จแม่ของเขาว่า “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล ผู้บริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ เสด็จพ่อมิอาจทนดูขุนนางถูกปรักปรำหรอก”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนพยักหน้าว่า “ใช่ เสนาบดีฉินเป็นขุนนางสำคัญของแคว้น ข้าไม่มีทางทนดูเขาถูกปรักปรำหรอก”


 


 


“หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่เชื่อมั่นในตัวบิดา” ฉินซู่เฟยเช็ดน้ำตาที่หัวตาทิ้งไป ยังคงไม่ค่อยวางใจ เกิดเรื่องนี้ในช่วงที่บุตรชายกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท อย่างไรก็ไม่ค่อยดีนัก “ฝ่าบาท ยิ่งลือมากคนยิ่งเชื่อว่าเป็นจริง ข่าวลือฆ่าคน หม่อมฉันไม่ห่วงว่าฝ่าบาทจะถูกคนถ่อยปิดพระเนตรพระกรรณ ทว่าหม่อมฉันเป็นห่วงชื่อเสียงของบิดาเพคะ!”


 


 


“เช่นนั้นซู่เฟยคิดจะทำเช่นไร ไม่สู้เชิญเสนาบดีเข้าวังอธิบายเถอะ” ฮ่องเต้ยงเซวียนเลิกคิ้ว ไม่รอซู่เฟยตอบก็ตัดสินใจว่า “ใช่ ก็ทำเช่นนี้เถอะ! เรียกใต้เท้าชราพวกนั้นและผิงจวิ้นอ๋องมาพร้อมกัน”


 


 


ราชโองการสั่งลงไปแล้ว ฉินซู่เฟยนอกจากพยักหน้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว


 


 


เสนาบดีและคนอื่นๆ ได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ยงเซวียนไม่นานนักก็มาถึงตำหนักเจาเต๋อ ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสว่า “เสนาบดีฉิน ผู้ตรวจการร้องเรียนท่านซ่องสุมอาวุธ ข้าเห็นแก่หน้าซู่เฟยและองค์ชายรองอนุญาตให้ท่านอธิบาย”


 


 


เสนาบดีฉินใบหน้าสงบว่า “ฝ่าบาท เรือนตากอากาศที่ชานเมืองของกระหม่อมเป็นเพียงเรือนธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้ซ่องสุมอาวุธเด็ดขาด กระหม่อมภักดีทั้งต่อต้ายง และฝ่าบาทท่านพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสาบานต่อสวรรค์ ไม่มีทางทำเรื่องไม่ภักดีเช่นนี้เด็ดขาด ขอให้ฝ่าบาทอย่าถูกคำพูดยุยงของคนถ่อยโน้มน้าวพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


พวกใต้เท้าชราที่ถูกเชิญมาเป็นพยานสบตากันปราดหนึ่ง อำมาตย์ฝังก้าวออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมและเสนาบดีฉินทำงานร่วมกันมาหลายสิบปี กระหม่อมเชื่อว่าที่เสนาบดีพูดเป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ” ขุนนางที่เหลือต่างพยักหน้าตามๆ กัน


 


 


สวีโย่วกลับแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง เอ่ยว่า “ใต้เท้าทั้งหลายอย่าลืมว่ามีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ’ ไม่มีลมไหนเลยจะมีคลื่น เสนาบดีฉินหากไม่เคยทำไยถึงมีข่าวลือออกมาเล่า”


 


 


เสนาบดีฉินโต้ตอบด้วยความสุขุมว่า “หากอยากเพิ่มโทษย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ”


 


 


สวีโย่วเลิกคิ้วขึ้น “ข้าว่าเสนาบดีฉินไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พาเข้ามาเถอะ” เขาเสียงดังขึ้นทันที


 


 


แล้วก็เห็นคนคนหนึ่งถูกมัดมือไขว้หลังถูกทหารรักษาพระองค์หิ้วเข้ามา โยนลงพื้นอย่างแรง


 


 


เสนาบดีฉินหน้าถอดสี “ฉินสือ!” จากนั้นจ้องสวีโย่วด้วยความโกรธว่า “ผิงจวิ้นอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร จับบ่าวไพร่ของจวนเสนาบดีมาทำอะไร”


 


 


“อ้อ ที่แท้คนผู้นี้เป็นบ่าวไพร่ของจวนเสนาบดีหรือ!” สวีโย่วพูดอย่างไม่แยแส “ข้าเห็นเขาที่เรือนตากอากาศที่ชานเมืองของท่านนั่น ยามนั้นเขาพฤติกรรมลับๆ ล่อๆ ข้าเห็นเขาน่าสงสัยจึงจับเขาไว้ จากนั้นทันทีที่ตรวจค้น ยังค้นพบอาวุธ ดาบยาวสามพันเล่ม ธนูสามพันคัน ยังมีลูกธนูนับไม่ถ้วนในห้องใต้ดินที่เรือนพักตากอากาศของท่านนั่นจริงๆ เสนาบดีฉินจะอธิบายอย่างไรล่ะ”


 


 


“อะไรนะ” เสนาบดีฉินยังไม่ทันอ้าปาก พวกใต้เท้าชราก็ตกตะลึงแล้ว “ที่ผิงจวิ้นอ๋องพูดมาเป็นความจริงหรือไม่”


 


 


สวีโย่วเหลือบมองพวกเขาปราดหนึ่ง กล่าวเสียงดังฟังชัดว่า “จริงแท้แน่นอน!”


 


 


“เป็นไปไม่ได้ เสนาบดีฉินไม่มีทางทำเรื่องทรยศเช่นนี้” องค์ชายรองแย้ง เรื่องเขาเป็นรัชทายาทไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว ท่านตาชาญฉลาดปานนั้น ไม่มีทางทำลายตนเองหรอก “เสด็จพ่อ นี่ต้องมีคนใส่ร้ายป้ายสีแน่นอน กระหม่อมทูลขอให้สืบให้แน่ชัดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เขาคุกเข่าลงบนพื้น


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนหน้าไร้ความรู้สึกมองเขา ไม่ได้พูดสักคำ


 


 


“ใส่ร้ายป้ายสี ตาร้อยกว่าคู่ของกองปัญจทิศรักษานครจับจ้องอยู่ ใครมีความสามารถปานนั้นไปใส่ร้ายป้ายสี อ้อถูกแล้ว คนที่องค์ชายรองพูดถึงคือข้าสินะ ข้าไม่มีความแค้นกับเสนาบดีฉิน กินอิ่มไม่มีอะไรทำถึงไปใส่ร้ายป้ายสี” บนหน้าของสวีโย่วมีแต่ความเย้ยหยัน


 


 


“ผิงจวิ้นอ๋อง เจ้า เจ้าบังอาจ!” ฉินซู่เฟยโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่ได้ ยามนี้นางลืมคำพูดของบุตรชายนานแล้ว รู้สึกเพียงว่าผิงจวิ้นอ๋องเป็นปฏิปักษ์กับบิดานางไปทั่ว เช่นนั้นก็คือศัตรูคู่อาฆาต


 


 


สวีโย่วแค่นเสียงเย็นเสียงหนึ่ง ไม่มองนางสักปราดเดียว


 


 


“เสนาบดีฉิน ท่านจะอธิบายอย่างไร” ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงเอ่ยปากช้าๆ นัยน์ตาแฝงความน่าเกรงขาม


 


 


แล้วก็เห็นเสนาบดีฉินสีหน้าผิดหวัง ถอนใจยาวๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่านยังคงสงสัยในตัวกระหม่อม! ฝ่าบาท ตอนนั้นท่านปราดเปรื่องเพียงใด ทว่าบัดนี้ท่านกลับถูกคนถ่อยหลอกลวงสงสัยขุนนางสำคัญของแผ่นดิน ฝ่าบาท ท่านทรงชราภาพแล้ว!” ความผิดหวังบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นความโกรธ ความโกรธแค้นแทบจะพรั่งพรูออกมา


 


 


สายตาวนเวียนไปมาบนตัวพวกเขา แล้วพูดอีกว่า “ฝ่าบาท แม้ท่านสงสัยกระหม่อม ทว่ากระหม่อมยังคงต้องทำตามหน้าที่ของข้าราชบริพาร ท่านควรแต่งตั้งรัชทายาทแล้ว”


 


 


พระพักตร์ของฮ่องเต้ยงเซวียนยังคงไม่มีอารมณ์ว่า “แต่งตั้งรัชทายาท คนที่เสนาบดีฉินถูกใจเป็นใคร องค์ชายรองหรือ” ความเยาะเย้ยลอยขึ้นจากใต้ตา


 


 


เสนาบดีฉินสบตากับฮ่องเต้ยงเซวียนอย่างใจเย็นว่า “ใช่ กระหม่อมรู้สึกว่าไม่ว่าอุปนิสัยหรือความสามารถ ตัวเลือกของรัชทายาทต้องเป็นองค์ชายรองอย่างไม่ต้องสงสัย พวกใต้เท้าเห็นว่าอย่างไร”


 


 


พวกใต้เท้าจากคณะเสนาบดีสบตากัน แม้รู้สึกว่าที่เสนาบดีฉินพูดเป็นเรื่องจริง ทว่าไม่อาจไม่พูดว่าบีบคั้นเกินไป รองเสนาบดีใต้เท้าเหยาก้าวออกมาประนีประนอมว่า “เสนาบดีฉินอย่าใจร้อน ทุกอย่างฟังการวินิจฉัยจากฝ่าบาท”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับเบือนสายตาไปที่องค์ชายรองว่า “ลูกล่ะ เสนาบดีฉินบอกว่าตำแหน่งรัชทายาทจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเจ้า เจ้าก็คิดเช่นนี้หรือไม่”


 


 


องค์ชายรองรู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที เช่นนี้เขาควรตอบอย่างไร เขาสามารถพูดว่าเขาเห็นตำแหน่งรัชทายาทเป็นของของเขามานานแล้วได้หรือ ทว่าหากบอกว่าไม่ใช่ ก็สิ้นเปลืองโอกาสดีเช่นนี้ไปเปล่าๆ อีก อย่างไรเสียที่ท่านตาทำก็เพื่อเขาทั้งนั้นนี่นา!


 


 


“เสด็จพ่อ ลูก ลูกไม่ได้คิดเช่นนี้เด็ดขาด!” องค์ชายรองกัดฟัน พูดออกมาเช่นนี้ ความเสียดายกลับแวบผ่านใบหน้าอย่างรวดเร็ว


 


 


ความเสียดายนี้ตกอยู่ในตาของฮ่องเต้ยงเซวีนแล้วบาดตาเป็นพิเศษ เขาตรัส “ในใจเจ้าเกรงว่าจะไม่ได้คิดเช่นนี้สินะ” เขาแผดเสียงขึ้นโดยพลัน “เจ้ามันคนไม่จงรักภักดีอกตัญญู ข้ายังไม่ตาย จับตัวไว้!”


 


 


คนทั้งตำหนัก รวมทั้งตัวองค์ชายรองเองล้วนตกใจหน้าถอดสี


 


 


“ฝ่าบาท ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!” นี่คือเสียงร้องตกใจของเหล่าขุนนางคณะเสนาบดี


 


 


“ฝ่าบาทไม่นะเพคะ! นั่นเป็นบุตรแท้ๆ ของท่านนะเพคะ!” นี่คือการวิงวอนจากฉินซู่เฟย “ผิงจวิ้นอ๋อง เจ้าหมิ่นเกียรติเบื้องบน จะก่อกบฏหรืออย่างไร”


 


 


มีเพียงสองคนที่ไม่กระโตกกระตาก คนหนึ่งคือสวีโย่วที่พาดกระบี่ไว้ที่คอองค์ชายรอง อีกคนหนึ่งก็คือเสนาบดีฉิน


 


 


“ฝ่าบาท ท่านทรงชราภาพแล้วจริงๆ เลอะเลือนแล้ว ไม่คิดว่าท่านจะตัดสินใจฆ่าขุนนางผู้ภักดีและบุตรบังเกิดเกล้า!” เสนาบดีฉินเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง “ผดุงความเที่ยงธรรมคือหน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธของพวกกระหม่อม ฝ่าบาท ท่านแต่งตั้งรัชทายาทเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ท่าทางเหมือนสละชีวิตเพื่อสัจธรรม


 


 


องค์ชายรองก็พูดอย่างน้อยใจอยู่ข้างๆ ว่า “เสด็จพ่อ กระหม่อมทำอะไรผิดกันแน่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“การที่เจ้ามีชีวิตอยู่ก็คือความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุด!” ฮ่องเต้ยงเซวียนจ้องหน้าองค์ชายรอง สีหน้าซับซ้อนอย่างยิ่ง “พาเข้ามาเถอะ!”


 


 


ขันทีนำเด็กหนุ่มเดินออกจากตำหนักข้าง เขาอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี แต่งกายเรียบง่าย ท่าทางกระสับกระส่าย ทว่าคนที่อยู่ในตำหนักมองใบหน้าของเขาแล้วกลับตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เหมือน เหมือนเหลือเกิน เหมือนฝ่าบาทเหลือเกิน หรือว่านี่ก็เป็นบุตรมังกรของฝ่าบาทเช่นกัน


 


 


“เสนาบดีฉิน ท่านยังมีอะไรจะพูดหรือไม่” ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเสนาบดีฉินอย่างเย็นชา มือที่วางอยู่ข้างๆ เอ็นปูดขึ้น ตระกูลฉินเก่งกาจเหลือเกิน เล่นลักมังกรสลับหงส์ได้ดี หากไม่ใช่อาโย่วพบโดยบังเอิญ แผ่นดินของตระกูลสวีมิต้องส่งมอบให้ผู้อื่นหรือ แล้วเขาจะมีหน้าลงไปพบเสด็จพ่อได้อยางไร


 


 


“ฝ่าบาทตรัสอะไร กระหม่อมฟังไม่เข้าใจ” เสนาบดีท่าทางนิ่งเงียบไม่ทุกข์ร้อน กลับมองเด็กหนุ่มอักอ่วนคนนี้อย่างแปลกใจว่า “ฝ่าบาท ท่านนี้คือ”

 

 

 


ตอนที่ 282-1 บังคับสละบัลลังก์

 

 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนหัวเราะ “เสนาบดีฉินถามข้าว่านี่เป็นใคร เจ้ารู้อยู่แก่ใจมิใช่หรือ เขาคือบุตรของข้า น่าเสียดายถูกตระกูลฉินเจ้าลักออกไป นี่ก็คือความไม่ภักดีของเจ้า”


 


 


เสนาบดีฉินสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด “หากอยากเพิ่มโทษย่อมหาข้ออ้างได้เสมอ ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นคุณชายท่านนี้หน้าไม่คุ้นอย่างยิ่ง นี่เป็นองค์ชายของพระสนมท่านใด”


 


 


“เสนาบดีฉินช่างแกล้งโง่ได้ดีจริงๆ! ท่านไม่เข้าใจเช่นนั้นข้าก็จะอธิบายให้ท่านฟังเอง” สวีโย่วชายตามองเสนาบดีฉิน “คนผู้นี้ชื่อผิงอัน ข้าพบเขาอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาในเขตชานเมืองทางตะวันออกของเมือง อ้อ ข้างกายเขามีบ่าวเฒ่าชื่อลุงชางคนหนึ่ง ยังมี พ่อบ้านคนหนึ่งในจวนเสนาบดีชื่อฉินชวนทุกสองเดือนจะขึ้นเขาส่งเสบียงครั้งหนึ่ง ที่บังเอิญยิ่งกว่าคือวันเกิดของเขาเป็นวันเดียวกับองค์ชายรอง พระสนมซู่เฟย ท่านว่าเรื่องนี้บังเอิญหรือไม่ ท่านดูหน้าเขาแล้วคุ้นหน้ามากใช่หรือไม่”


 


 


ตั้งแต่เด็กหนุ่มคนนี้เข้ามาตาฉินซู่เฟยก็จับจ้องอยู่บนตัวเขา ไม่ พูดให้ถูกต้องคือจับจ้องอยู่บนไฝแดงขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองที่ติ่งหูของเขา มือของนางสั่นแผ่วเบา กรอบตาเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา ไม่ต้องให้ผิงจวิ้นอ๋องพูด นางก็รู้ว่านี่ถึงเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนาง เด็กหนุ่มเยาว์วัยที่กระสับกระส่าย หน้าตาเหมือนฝ่าบาททั้งยังเหมือนนางเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนางแน่แท้!


 


 


ตอนนั้นยามที่คลอดนางเหนื่อยจนหมดแรง ระหว่างที่สะลึมสะลือเหมือนได้ยินหญิงชราข้างๆ พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า ‘องค์ชายน้อยมีไฝแดงที่ติ่งหู นี่เป็นวาสนาอันใหญ่หลวงเชียวเจ้าค่ะ”


 


 


ทว่าเมื่อยามที่นางตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลับไม่เห็นไฝแดงอะไรที่ติ่งหูของบุตรชาย ยามที่นางถาม หญิงชราบอกว่านางหูฝาดไป นางไม่เคยพูดถึงไฝแดงอะไรเลย สาวใช้ก็บอกว่าไม่เห็นไฝแดงอะไร นางจึงนึกว่าตนฟังผิด ไม่คิดว่าไม่ใช่นางฟังผิด หากแต่หญิงชราปิดบังนางไว้


 


 


หญิงชราที่ออกเรือนไปจวนอ๋องพร้อมนางผู้นั้น นางจำได้ว่าผ่านไปไม่นานนางก็เป็นโรคร้ายจากไปแล้ว ยามนั้นนางยังเสียใจยกใหญ่ ไม่คิดว่านี่เป็นเพียงแผนชั่วแผนหนึ่งเท่านั้น แผนชั่วอันใหญ่หลวง


 


 


“เสด็จแม่!” องค์ชายรองเห็นสีหน้าของซู่เฟยแล้วลนลานขึ้นมาทันที ในใจกระวนกระวายขึ้นมา ดูเหมือนบางสิ่งบางอย่างกำลังจะจากเขาไป


 


 


ฉินซู่เฟยเบือนหน้ามองไปที่องค์ชายรองที่หน้าตาน้อยใจแล้วสีหน้าซับซ้อนเหลือเกิน หากคนผู้นั้นเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของนาง เช่นนั้นเด็กที่นางทั้งรักทั้งปกป้องเลี้ยงมากับมือคนนี้เป็นใครเล่า นางอดเบือนสายตาไปหาเสนาบดีฉินไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ ท่านบอกข้าหน่อย นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาเป็นใคร เป็นใคร” สองประโยคสุดท้ายนางแทบจะตะคอกออกมา


 


 


“องค์ชายรองย่อมเป็นบุตรของพระสนมอยู่แล้ว พระสนมอย่าเชื่อคำพูดเพ้อเจ้อของคนถ่อยเชียว นี่เป็นเพียงอุบายของผิงจวิ้นอ๋องเท่านั้น พระสนมอย่าหลงกลเด็ดขาด” เสนาบดีฉินกล่าว


 


 


ฉินซู่เฟยมองบิดาของนางอย่างไม่อยากเชื่อ ยามใดแล้วยังหลอกนางอยู่อีก ทันใดนั้นนางล้มลงบนพื้น ถามไม่หยุดว่า “เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด” เพราะเหตุใดถึงต้องเปลี่ยนบุตรชายของนางไปด้วย เพราะเหตุใดต้องทำกับนางเช่นนี้ เพราะเหตุใด เพราะเหตุใด


 


 


“เสนาบดีฉินต่างหากที่พูดเพ้อเจ้อกระมัง องค์ชายรองเป็นบุตรฮ่องเต้จริงหรือ เขาน่าจะเป็นบุตรบังเกิดเกล้าของเสนาบดีฉินถึงจะถูกกระมัง! เป็นบุตรที่หญิงนามว่าหงเพียนคนนั้นคลอดให้ท่านกระมัง” เสียงของสวีโย่วดังขึ้นมาอีก หลายวันมานี้เขาไม่ได้อยู่เฉยๆ ตรวจสอบบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของเสนาบดีฉินจนแทบทะลุปรุโปร่ง


 


 


“ท่านพ่อ เหราะเหตุใด” ฉินซู่เฟยท่าทางเหมือนถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก หญิงที่ชื่อหงเพียนคนนี้นางก็จำได้ ยามนั้นนางยังไม่ออกเรือน หงเพียนมาพึ่งพาญาติห่างๆ ที่จวน นิสัยอ่อนโยนมาก ไม่ว่าคุยกับใครล้วนอ่อนโยน นางจำได้ว่านางอยู่ในจวนเพียงไม่กี่เดือนก็ไปแล้ว บอกว่าออกเรือนไป ต่อมานางก็เข้าจวนฉินอ๋องไม่ได้พบหงเพียนอีก ไม่คิดว่านางจะคลอดบุตรชายให้บิดา ยิ่งกว่านั้นเด็กคนนี้ยังถูกเปลี่ยนมาอยู่ข้างกายตน ดังนั้นบุตรชายที่นางกอบไว้ในมือเป็นเพียงน้องชายของนาง! นี่จะให้นางรับความสั่นสะเทือนเช่นนี้ได้อย่างไร!


 


 


ฉินซู่เฟยแทบจะคลุ้มคลั่งอยู่แล้ว นางร่ำไห้ ร่ำไห้ เอาแต่ถามว่า “เพราะเหตุใด เหราะเหตุใด” น่าเสียดายไม่มีคนตอบนาง


 


 


องค์ชายรองก็ท่าทางเหมือนถูกโจมตีอย่างหนักเช่นกัน “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ นี่ไม่ใช่ความจริง กระหม่อมจะไม่ใช่บุตรชายของท่านได้อย่างไรกัน นี่ไม่ใช่ความจริงแน่นอน” เขาคือองค์ชายรอง คือองค์ชายรองแห่งราชวงศ์ต้ายง คือองค์ชายรองผู้สูงส่งทรงเกียรติ เขาจะเป็นบุตรชายของขุนนางได้อย่างไรกัน โดยเฉพาะคนคนนั้นยังเป็นท่านตาของเขา! นี่ต้องผิดพลาดแน่ๆ


 


 


เสียดายฮ่องเต้ยงเซวียนและฉินซู่เฟยต่างไม่มองเขาสักปราด พวกขุนนางคณะเสนาบดีก็ตกใจกับบทละครที่พลิกผันนี้จนงง สวรรค์! ไม่คิดว่าองค์ชายรองจะไม่ใช่บุตรฮ่องเต้ ไม่คิดว่าจะเป็นบุตรชายของเสนาบดีฉิน! นี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่


 


 


เสนาบดีฉินยังคงไม่ขยับดุจขุนเขา เสียงนิ่งและทุ้มเป็นพิเศษว่า “ฝ่าบาท นี่เป็นการใส่ร้ายป้ายสีล้วนๆ เพื่อฆ่ากระหม่อมแล้วไม่คิดว่าท่านจะไม่ยอมรับแม้แต่บุตรชายบังเกิดเกล้า องค์ชายรองเป็นผู้บริสุทธิ์ กระหม่อมทำให้เขาต้องเดือดร้อนแล้ว! ฝ่าบาทท่านว่าองค์ชายรองเป็นบุตรชายของกระหม่อม หลักฐานล่ะ พยานล่ะ กระหม่อมไม่ยอมรับพ่ะย่ะค่ะ!”


 


 


“ท่านอยากได้หลักฐาน เช่นนั้นข้าก็คือหลักฐานตัวเป็นๆ!” เสียงกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าประตูตำหนัก


 


 


ทุกคนมองไป ก็เห็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข็นผู้เฒ่าเสื้อผ้ามอมแมมท่านหนึ่งเข้ามาในตำหนัก ผู้เฒ่าคนนั้นใบหน้าเฒ่าชรา มีเพียงดวงตาคู่หนึ่งสว่างจนน่าตกใจ ยามนี้กำลังจ้องเสนาบดีฉินอย่างชิงชัง


 


 


“กระหม่อม อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ถวายบังคมฝ่าบาท” ผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรถวายบังคมฮ่องเต้ยงเซวียน


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนแม้รู้สึกประหลาดใจ บนใบหน้ากลับไม่กระโตกกระตาก “เสด็จอาไม่ต้องมากพิธี”


 


 


คนอื่นกลับไม่ได้รับการปลูกฝังด้านศีลธรรมจรรยาดีเช่นฮ่องเต้ยงเซวียน ราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน “อะไรนะ ท่านคืออ๋องเคียงบ่า” อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ทะเลาะจนร้าวฉานกับฮ่องเต้องค์ก่อนแล้วพาทหารจากไปเมื่อยี่สิบปีก่อน เป็นไปได้อย่างไร ก้าวเข้าไปพิจารณาอย่างละเอียด ถูกต้อง นี่คืออ๋องเคียงบ่าที่ขึ้นชื่อว่ารูปงามสง่าท่านนั้นนั้น ทว่าใครจะคิดว่าตาเฒ่ามอมแมมตรงหน้าคนนี้จะเกี่ยวข้องกับอ๋องเคียงบ่าที่เกรียงไกรหล่อเหลาเมื่อก่อนเล่า


 


 


“ถูกต้อง ข้าเอง” เฉิงอี้สายตาเย็นเยียบ “ฝ่าบาท ท่านรู้ว่าหลายปีมานี้กระหม่อมอยู่ที่ไหนหรือไม่ กระหม่อมไม่ได้ออกจากเมืองหลวงเลย สิบกว่าปีนี้กระหม่อมถูกจองจำอยู่ในห้องลับจวนเสนาบดีฉินมาตลอด เดิมกระหม่อมและฉินเฮ่อคนนั้นเป็นสหายสนิทกัน จึงไม่ได้คิดระแวงพวกเขาเลย ทว่าฉินเฮ่อและฉินชังคนถ่อยชั่วช้าคู่นี้ ไม่คิดว่าจะวางยาพิษในสุราของกระหม่อม ฆ่าองครักษ์ของกระหม่อม แย่งตราประทับของกระหม่อม แล้วจองจำกระหม่อมไว้” เฉิงอี้เบิกดวงตาที่โกรธเกรี้ยว แทบอยากจะฉีกทึ้งฉินชังที่ทำให้เขาได้รับความทรมานและอัปยศอย่างที่สุดคนนี้


 


 


“เสด็จอาพูดจริงหรือไม่” สายตาของฮ่องเต้ยวเซวียนขึงขังขึ้นมา หากคำพูดของอ๋องเคียงบ่าเป็นความจริง เช่นนั้นเรื่องทุกอย่างก็มีคำอธิบายแล้ว เสิ่นผิงยวนถูกโจมตีระหว่างทางกลับเมืองหลวง ทหารที่ซุ่มอยู่ที่หลังเขาวัดเจียหลาน แล้วยังผู้ลี้ภัยบุกเข้าเมืองหลวงอีก เรื่องพวกนี้น่าจะเป็นฝีมือของฉินชังทั้งหมด


 


 


“จริงแท้แน่นอน” เฉิงอี้กล่าวอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน


 


 


เสิ่นเวยก็พยักหน้าว่า “ฝ่าบาท จยาฮุ่ยช่วยอ๋องเคียงบ่าออกมาจากห้องลับในห้องหนังสือจวนเสนาบดีเพคะ” เพื่อช่วยอ๋องเคียงบ่าออกมา ทหารลับ ทหารเงา กองทหารเด็ก อีกทั้งนักฆ่าของกลุ่มมือสังหารเคลื่อนพลจนหมด นางยังเชิญตระกูลอันที่เชี่ยวชาญค่ายกลไปด้วยจึงหาคนเจอ


 


 


“ฝ่าบาท ห้องลับค่ายกลของจวนเสนาบดีใหญ่น้อยมีทั้งหมดเจ็ดห้อง ในจวนเสนาบดีนอกจากบ่าวไพร่และองครักษ์ พวกนายท่านล้วนหายไปหมดแล้ว อ้อจริงสิ ใต้จวนเสนาบดียังมีทางลับเส้นหนึ่ง คนในครอบครัวของจวนเสนาบดีคาดว่าคงหนีไปตามเส้นทางลับนี้ ได้ส่งคนไล่ตามไปแล้วเพคะ” เสิ่นเวยรายงานสถานการณ์ต่อฮ่องเต้ยงเซวียน


 


 


ตั้งแต่เสิ่นเวยเข้ามา สายตาของเสนาบดีฉินก็จ้องอยู่บนตัวนาง ส่วนอ๋องเคียงบ่าเขากลับไม่ได้มองสักปราด ทหารแก่กล้าหนึ่งแสนคนนั้นอยู่ในมือเขาแล้ว อ๋องเคียงบ่าไม่มีค่าแล้ว เขาจะเป็นจะตาย หรือว่าถูกเปิดโปง ล้วนไม่สำคัญแล้ว


 


 


ส่วนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่คนนี้ทำลายเรื่องของเขาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะนางไม่เพียงแต่ช่วยเฉิงอี้ออกมา ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังคลำห้องลับทางลับของจวนเสนาบดีจนชัดเจน จะไม่ให้เขายำเกรงและเคียดแค้นได้อย่างไร


 


 


“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ฝีมือดี ข้าเพียงแต่แค้นที่ครั้งนั้นไม่ได้เอาชีวิตเจ้า” เสนาบดีฉินกล่าวอย่างน่าขนลุก


 


 


เสิ่นเวยคิ้วกระตุก นึกถึงการลอบฆ่าที่เรือนตากอากาศในครั้งนั้นขึ้นมาทันที “ที่แท้คือท่าน!” ไม่ใช่นางไม่เคยสงสัยเสนาบดีฉินมาก่อน กลับคิดว่านางเพียงแค่หารือกับเขาเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานเท่านั้น เสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ของราชสำนักคงไม่ถือสาเด็กสาวอย่างนาง ไม่คิดว่าเสนาบดีฉินช่างเป็นคนอำมหิตที่แม้แต่เรื่องเล็กน้อยก็ต้องแก้แค้น เพียงล่วงเกินเขาเล็กน้อยครั้งหนึ่ง เขาก็สามารถลงทุนใหญ่โตถึงเพียงนี้เพื่อเอาชีวิตนาง


 


 


“ในเมื่อเป็นเจ้า เช่นนั้นวันนี้เราก็คิดบัญชีพร้อมกันเถอะ” เสิ่นเวยก็ยิ้มเยาะอย่างน่าขนลุกตอบเขา นางยังไม่เคยเสียเปรียบรุนแรงปานนั้นมาก่อน วันนี้หากไม่เอาคืน เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่เสิ่นเวยแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเสนาบดีฉินอย่างเย็นชา “ฉินชัง เจ้าคิดไม่ซื่อ สลับสายเลือดเชื้อพระวงศ์ โทษสมควรตาย ทหาร จับฉินชังไว้”


 


 


องครักษ์สี่คนบุกเข้าท้องพระโรง กลับไม่ได้จับเสนาบดีฉินตามที่ฮ่องเต้ยงเซวียนหวัง หากแต่ยืนอยู่ข้างเสนาบดีฉิน คอยปกป้อง “ท่านเสนาบดี ข้างนอกจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนสีหน้าเปลี่ยนทันที “ฉินชังเจ้า! ไม่คิดว่ารองผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ของข้าจะเป็นคนของเจ้า” ยามนี้เขายังมีอะไรไม่เข้าใจอีก ไยบิดาของสวีเวยถึงหกล้มขาหักได้บังเอิญปานนั้น ที่แท้ก็เพื่อกันเขาออกไปหรือนี่!


 


 


เสนาบดีฉินยิ้มช้าๆ สีหน้าได้ใจว่า “เรื่องที่ฝ่าบาทคิดไม่ถึงมีตั้งมากมาย ทหารแก่กล้าหนึ่งแสนของกระหม่อมบัดนี้เข้าเมืองแล้วกระมัง เห็นแก่ที่เราเป็นกษัตริย์ขุนนางมาหลายสิบปี ฝ่าบาทอย่างไรท่านก็ร่างราชโองการเถอะ ขอเพียงท่านเขียนราชโองการสละบัลลังก์ กระหม่อมก็จะไม่ทำให้ท่านลำบากใจ”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับเผยสีหน้าเย้ยหยัน “เกรงว่ายามที่เจ้าได้ราชโองการสละบัลลังก์ก็คือเวลาสิ้นชีพของข้ากระมัง! ฉินชัง ต่อให้ข้าตายก็ไม่มีทางให้โจรกบฏเช่นเจ้าได้สมใจ”


 


 


พวกใต้เท้าชราก็เข้ามาขวางไว้หน้าฮ่องเต้ยงเซวียนตามๆ กัน ด่าด้วยความโกรธว่า “ฉิงชางเจ้าโจรกบฏยังไม่รีบยอมให้จับแต่โดยดี!”


 


 


เสนาบดีฉินเลิกคิ้วว่า “พวกใต้เท้าเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทให้เขียนราชโองการดีกว่า ข้ารับรอง รอองค์ชายรองขึ้นครองราชย์ จะไม่ลืมลาภยศสรรเสริญของพวกท่าน”


 


 


“เจ้า เจ้าโจรกบฏ ใครๆ ก็ฆ่าได้ เจ้าไม่มีค่าควรแก่การให้ข้าเป็นพวกหรอก” ใต้เท้าหลี่ที่เที่ยงธรรมที่สุดในคณะเสนาบดีด่ากราด


 


 


“ในเมื่อพวกเจ้าไม่รู้​กาลเทศะ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเข้าไม่ให้โอกาสพวกเจ้าแล้วกัน” เสนาบดีฉินพูดพลางตบมือสามที “เข้ามาให้หมดเถอะ”


 


 


ทหารรักษาพระองค์ถืออาวุธทีมหนึ่งฮือกันเข้ามาจากด้านนอก ดาบและกระบี่ที่เป็นประกายชี้ไปที่ฮ่องเต้ยงเซวียนและคนอื่นๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)