หมอดูยอดอัจฉริยะ 281-286
ตอนที่ 281 ทำลายสนาม (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่เหว่ย เกิดเรื่องแล้วจริงๆ นะ หวงเหมา…พวกเขา…”
หนุ่มน้อยที่พูดอยู่ตอนนี้คือน้องชายของคนที่อยู่ดูแลคนที่ใช้วิธี “กลเจ็บกาย” ที่อยู่ที่โรงพยาบาล แต่เนื่องจากวอร์ดผู้ป่วยที่ไม่เหมือนกัน เขาจึงไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าหวงเหมาและคนอื่นๆ เกิดเรื่องขึ้นแล้ว
ช่วงกลางวันที่เขาออกมาตักข้าวกิน เขาได้ยินคนพูดถึงเหตุการณ์นองเลือดของแผนกผู้ป่วยนอก ตอนแรกได้ยินว่าหนึ่งต่อสี่ หนึ่งคนฟันสี่คนจนล้มลงทั้งหมด เขายังชมคนนั้นว่าเก่งสุดยอดอยู่เลย
แต่หลังจากไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหน้าตาของคนที่ถูกฟันพวกนั้นเสร็จ เจ้าหนุ่มคนนี้รู้สึกตกใจขึ้นมาทันทีจนไม่มีเวลาคิดถึงคนที่รอกินข้าวอยู่ที่ห้องพักผู้ป่วย แต่เขาตรงไปหาพี่ใหญ่อย่างเร่งรีบและแจ้งให้รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แกนี่แม่งพูดดีดีไม่เป็นเหรอ? หวงเหมาเป็นอะไร? ไอ้หนุ่มนั้นชกตีกับคนอื่นที่โรงพยาบาลอีกแล้วเหรอ?”
พี่ใหญ่เฟ่ยดูคนนั้นพูดติดๆ ขัดๆ จนรู้สึกโกรธขึ้นมาทันที จุดประสงค์การส่งหวงเหมาไป คือต้องการให้ไปข่มขู่เว่ยหงจวิน ถ้าหากจะทำให้ปลาตายแหขาดอย่างนั้น มันไม่มีผลดีอะไรต่อเขาเลย
หวงเหมาเคยมีตัวอย่างตามไปตีลูกค้าที่ต้องการรื้อถอนถึงที่โรงพยาบาล ดังนั้นเวลาที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เฟ่ยเฮ่อเหว่ยจึงนึกว่าหวงเหมาสร้างปัญหาที่โรงพยาบาลอีกตามเคย
“พี่เว่ย หวง…หวงเหมาไม่ได้ไปตีใคร แต่ฟันคน…” เจ้าหนุ่มคนนี้วิ่งตรงมาจากที่โรงพยาบาล เพื่อรายงานเหตุการณ์ให้ทราบ เขาเหนื่อยจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคในครั้งเดียวได้
“ฟันคนเหรอ?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยอึ้งไปสักครู่ และด่าว่า “แม่งเอ้ย ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จไม่เคยมี แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือ รีบไปหาตัวหวงเหมาและพวกสารเลวมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ให้พวกมันหลบไปก่อน!”
เจ้าหนุ่มที่มารายงานเหตุการณ์โบกมือไปมา และหยิบเบียร์ที่วางบนโต๊ะขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่ จากนั้นใจของเขาก็สงบนิ่งลงและพูดออกมาว่า “พี่เหว่ย ไม่ใช่พี่ คือพวกซานจีถูกหวงเหมาฟัน ฟัน…ฟันจนตายหมดเลย หวงเหมาถูกตำรวจยิงจนตายแล้วเหมือนกัน!”
“อะไรนะ!” หลังจากเฟ่ยเฮ่อเหว่ยได้ยินแบบนั้นเขาลุกขึ้นยืนอย่างรุนแรง โต๊ะที่อยู่ข้างหน้าถูกเปิดออกจนไพ่ปายโกวหล่นลงที่พื้นเต็มไปหมด
“ซานจีถูกหวงเหมาฟัน? ตัวเองถูกตำรวจยิงตายแล้ว?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยดูเป็นคนใจกล้าแต่หลังจากได้ยินข่าวนี้ไปเขาเองก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ถามต่อว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แกพูดให้เข้าใจหน่อย แม่งเอ้ย ซื่อสี่ ไปเตรียมเงินไว้ พวกฉันจะเตรียมตัวหนีแล้ว!”
ความรู้สึกแรกของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็คือการหนี และในความคิดของเขา เรื่องที่เกิดขึ้นมีความเป็นไปได้ว่าเว่ยหงจวินรวมหัวกับตำรวจแน่นอน นี่มันคิดจะเอาให้ถึงตายเลยนิหว่า!
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกล้าเล่นงานเว่ยหงจวินแต่เขาไม่กล้าต่อต้านกับคนของรัฐ ถ้าทางรัฐต้องการหาเรื่องเขาจริง มันง่ายยิ่งกว่าบีบมดตาย เพราะหลายปีที่ผ่านมา กิจการรื้อถอนที่เขาทำอยู่ทำให้หลายครัวเรือนต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
“พี่เหว่ย เราจะหนีทำไมเหรอ?”
คนที่มารายงานสถานการณ์รู้สึกงุนงงและพูดต่อว่า “ฉันไม่รู้ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง เหมือนกับว่าหวงเหมาออกจากแผนกผู้ป่วยนอกแล้วจู่ๆก็ชักมีดขึ้นมาฟันพวกซานจีจนตาย จากนั้นตำรวจก็มาจับเขา แต่เขาถูกยิงจนตาย เรื่องนี้…ไม่เกี่ยวกับพวกเราหรือเปล่า?”
ปกติเวลากินเหล้ากินเนื้อด้วยกันไอ้หนุ่มเร่ร่อนพวกนี้จะนับพี่นับน้องกันหมด แต่ที่จริงแล้วพวกเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกันเลย และยังแบ่งพรรคแบ่งพวกอีกด้วย คนที่สนิทกับหวงเหมาก็ตายหมดแล้ว ดังนั้นคนที่เหลืออยู่ตรงนี้คงไม่มีใครไว้ทุกข์ให้เขาแน่นอน
หลังจากได้ยินว่าตำรวจนั้นมาทีหลัง พี่ใหญ่เฟ่ยก็ใจเย็นลง เขาใช้มือจับหนวดที่โกนไว้ และพูดพึมพำเองว่า “เรื่องนี้แปลกๆ นะ คนที่สนิทกับหวงเหมาสามารถนอนกับผู้หญิงคนเดียวได้ ทำไมมันถึงฆ่าพวกซานจีละ?”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยยังพูดไม่จบ ก็มีคนที่อยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นว่า”พี่เหว่ย มันน่าแปลกตรงไหน? ไอ้นั่นมันดูดยาเมื่อวาน แล้วยังนอนกับผู้หญิงทั้งคืน ตอนเช้าฉันเห็นมันออกไปข้างนอกก็ยังสูบอีก ยามันคงออกฤทธิ์ตอนนั้นพอดีแหละ!”
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเหมือนตื่นจากฝันเลยทีเดียวหลังจากได้ยินคนนั้นพูดออกมา เตะโต๊ะที่อยู่ข้างหน้าจนกลับหัว ด้วยขาข้างเดียวและตะโกนด่าว่า “แม่งเอ้ย เป็นอย่างนั้นแน่ๆ เหอะ หวงเหมาตายแล้วตำรวจต้องตามมาที่นี่แน่ๆ พวกแกทั้งหมด รีบเอายาพวกนั้นไปทิ้งซะ ต้าหลง แกมากับฉัน!”
คำพูดของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยทำให้คนในห้องวุ่นวายขึ้นมาทันที ทุกคนต่างวิ่งเข้าห้องของตนเอง ดูเหมือนว่าจะเป็นพวกขี้ยาเกือบทั้งหมดด้วยซ้ำ และในทุกๆ ห้องก็จะมียาอยู่ไม่มากก็น้อย
เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไม่ดูดยาพวกนี้แต่ในห้องเขากลับมียาเยอะที่สุด นั่นเป็นเพราะว่าเขาใช้ยาและเงิน มาควบคุมลูกน้องของเขานั่นเอง และถ้ายาเหล่านั้นถูกค้นเจอ เขาคงถูกยิงเป็นสิบๆ ครั้งยังได้
การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของพี่ใหญ่เฟ่ย ทำให้เขาพ้นผิดไปได้หนึ่งครั้ง เพราะว่าหลังจากที่พวกเขาเอายาทิ้งลงที่ชักโครก ไม่นานก็มีรถตำรวจหลายคันขับมาจอดที่บริษัทรื้อถอน
สำหรับกรณีการฆาตกรรมครั้งสำคัญครั้งนี้ ความพยายามในการตรวจสอบของตำรวจก็มีความแข็งแกร่งเช่นกัน และหลังจากการชันสูตรศพและตรวจสอบเลือดของหวงเหมาเสร็จ ตำรวจพบว่าหวงเหมามีการสูบยาปริมาณมากเมื่อสองชั่วโมงก่อนหน้านี้
ต้องรู้ว่าความผิดปกติทางจิตที่โดดเด่นที่สุดที่เกิดจากการใช้ยาคือภาพหลอนและความผิดปกติทางความคิดซึ่งคล้ายกับความบ้าคลั่งอย่างฉับพลันของหวงเหมา
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่ตำรวจคาดเดามีความใกล้เคียงกับด้านของเฟ่ยเฮ่อเหว่ยที่สุด และหลังจากการสอบสวน เด็กที่เสียมือคนหนึ่งเสร็จ ตำรวจก็รวมกำลังล้อมรอบบริษัทรื้อถอนทันที
แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานการกินยาซื้อขายยา แต่คนกลุ่มนี้ก็ถูกตำรวจับไปแล้ว เพราะมัวแต่เก็บยาเหล่านั้น ทำให้ไม่ทันเก็บไพ่ปายโกวกับเงินสดในห้อง และการมั่วสุมเล่นการพนันก็เพียงพอให้พวกเขาถูกจำคุกสิบวันหรือครึ่งเดือนแล้ว
……………………
“อาจารย์ เราไปกันเลยเหรอ?”
วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนเพิ่งมาถึงเรือนเก่า โจวเซี่ยวเทียนพุ่งเข้ามาต้อนรับทันที วันนี้เขาใส่เป็นชุดออกกำลังกาย ลูบหมัดลูบฝ่ามือรอเยี่ยเทียนตั้งแต่เช้าแล้ว
“ไปเลย ฉันว่า แกเป็นพวกบ้ากำลังหนิ!” โจวเซี่ยวเทียนยืนยิ้มด้วยความตื่นเต้น ทำให้เยี่ยเทียนก็ยิ้มตามไปด้วย
เห็นลูกชายจะพาโจวเซี่ยวเทียนไปข้างนอกอีกแล้ว เยี่ยตงผิงไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่เดินมาพูดว่า “นี่ วันนี้พวกเธอจะไปทำอะไรอีกแล้ว? เยี่ยเทียน เซี่ยวเทียนยังต้องไปทำงานนะ!”
“เถ้าแก่ ผมกับอาจารย์จะไป……”
เยี่ยเทียนกลัวโจวเซี่ยวเทียนจะหลุดพูดออกไป จึงรีบพูดแทรกขึ้นมาว่า “พ่อ ผมจะพาเซี่ยวเทียนไปธุระหน่อย พ่อเป็นเถ้าแก่จะไปแต่โรงน้ำชาก็ไม่ได้เหมือนกัน ว่างๆ ก็ไปดูร้านหน่อย…”
“ใครบอกว่าฉันไม่ได้ไปที่ร้าน? เดี๋ยว ฉันบอกให้หยุดไง ไอ้เด็กนี่กล้าดียังไงมาสั่งสอนฉัน?” เยี่ยตงผิงอึ้งกับคำที่ลูกชายพูด หลังจากได้สติ เยี่ยเทียนพาโจวเซี่ยวเทียนออกจากเรือนสี่ประสานไปเรียบร้อย
“อาจารย์ ที่นี่เหรอ?”
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงหน้าประตูเรือนสี่ประสานติดถนนแห่งนึงที่อยู่ในซอยของเขตซีเฉิงแถวทะเลสาบโฮ่วไห่ โจวเซี่ยวเทียนมองดูป้ายที่แขวนอยู่ตรงประตู ยิ้มมุมปากอย่างไม่ตั้งใจและพูดขึ้นว่า”ชมรมอันเต๋อวู เต๋อบ้าอะไร มีแต่พวกคนถ่อยที่แทงข้างหลัง!”
พ่อของชิวเหวินตง ชื่อชิวอันเต๋อ รุ่นเก่าในเมืองปักกิ่งถือว่าเป็นอาจารย์สอนมวยที่มีชื่อเสียงพอสมควร และในตอนนั้นเขามีมิตรภาพกับตู้ซินวูวีรบุรุษแห่งภาคเหนือและภาคใต้อยู่บ้าง
ชิวเหวินตงได้นำชื่อของพ่อมาตั้งเป็นชื่อของชมรมศิลปะการต่อสู้ สาเหตุหนึ่งก็เพื่อรำลึกถึงพ่อของตนเอง และอีกสาเหตุหนึ่งก็เพื่อใช้ชื่อเสียงของพ่อผูกมิตรกับวงการวูซูของภาคเหนือ และเพื่อให้ตระกูลชิว สามารถตั้งตัวขึ้นอีกครั้งในยุทธภพภาคเหนือ
“เห้ ไอ้หนุ่ม พูดอะไรนะ?” มีคนอยู่สองคนเดิมทีกำลังยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตู แต่ได้ยินสิ่งที่โจวเซี่ยวเทียนพูด ทันใดนั้นพวกเขาก็เดินมาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรและล้อมพวกเขาไว้
“จะทำอะไร? พวกแกเป็นคนเปิดชมรมการต่อสู้ แต่ฉันจะมาทำลายสนามที่นี่!” ระหว่างที่เดินทางเยี่ยเทียน ได้บอกกับเขาไปแล้วว่าให้สร้างเรื่องให้ใหญ่ที่สุด แขนขาดขาหักไม่เป็นไรขอแค่ไม่ทำให้ใครเสียชีวิต
“ไอ้หนุ่ม ไม่มีตารึไง? สนามของเถ้าแก่แปด แกกล้าหาเรื่องเหรอ?”
ปีนี้อายุของชิวเหวินตงใกล้จะห้าสิบแล้ว สมัยก่อนพวกที่ติดตามเขาต่างก็เรียกขานเขาว่าพี่ตง แต่คนรุ่นหลังๆ กลับเรียกขานเขาว่าเถ้าแก่แปด
ถึงแม้จะวางมือไปเรียบร้อย แต่ชื่อเสียงของชิวเหวินตงในสมัยนั้นยังคงอยู่ คนกลุ่มนี้ที่เรียนการต่อสู้กับเขา แต่ละคนเวลาเดินจะยกไหล่ทั้งสองข้างและทำท่าหยิ่งกันทั้งนั้น
ตอนที่ได้ยินว่าจะมีคนมาทำลายสนาม สองคนนั้นไม่คิดจะถามที่มาที่ไป แต่กลับยกมือขึ้นตบหน้าโจวเซี่ยวเทียน ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
“ฝ่ามือแปดทิศ? อย่าบอกว่าเป็นผู้สืบทอดของต๋งไห่ชวน?” เยี่ยเทียนมองปุ๊ปก็รู้วิชามวยของฝ่ายตรงข้ามออกทันที
จากการตรวจสอบและยืนยัน ฝ่ามือแปดทิศมีต้นกำเนิดมาจากกลางถึงปลายราชวงศ์ชิง ผู้คิดค้นคือต๋งไห่ชวน และเนื่องจากต๋งไห่ชวนเคยเป็นอาจารย์สอนมวยอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋องหวังสมัยราชวงศ์ชิง ทำให้ฝ่ามือแปดทิศ เริ่มเป็นที่รู้จักในเมืองปักกิ่งก่อนเป็นอันดับแรก ในศตวรรษที่ผ่านมาได้แพร่กระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลก
ในเขตเมืองปักกิ่ง คนที่ฝึกฝ่ามือแปดทิศมีแปดเก้าคนในสิบคนเป็นสายเดียวกันกับต๋งไห่ชวน และฝ่ามือแปดทิศเป็นหนึ่งในสามของมวยภายในที่มีชื่อเสียง ถึงแม้ท่าของสองคนที่อยู่เบื้องหน้าจะหยาบกระด้างไปบ้าง แต่สำหรับเยี่ยเทียนแล้วก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกต้องระมัดระวังมากขึ้น
“มาได้ดี” เยี่ยเทียนคอยสังเกตท่าหมัดของสองคนนั้นอยู่ข้างๆ ส่วนโจวเซี่ยวเทียนนั้นพุ่งเข้ารับหมัดโดยตรง
มวยปาจี๋เป็นมวยที่หมัดสั้นและอยู่ในระยะใกล้ตัว การเคลื่อนไหวมีความดุดัน สิ่งสำคัญคือการใช้นิ้วจับนิ้ว เก็บ ตีและเปิดอย่างมั่นคง จึงตั้งรับหมัดของสองคนได้ ขาขวาของโจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านหลังกับการออกแรงแค่ขยับตัวเล็กน้อย ร่างกายเอนตัวออกไปเหมือนดั่งธนูขนาดใหญ่
การเคลื่อนไหวของโจวเซี่ยวเทียนรวดเร็วอย่างมาก หมัดของชายหนุ่มสองคนยังไม่ได้ตีเขา เขาก็กระแทกเข้าที่แขนของพวกเขาแล้ว
ทั้งไหล่ซ้ายและไหล่ขวาของโจวเซี่ยวเทียนสั่นสะเทือน และสองคนนั้นก็ส่งเสียงร้องออกมา เท้าของพวกเขาไม่มั่นคงและก้าวถอยหลังออกไปอย่างต่อเนื่อง เดิมทีลานบ้านของเรือนสี่ประสานสูงอยู่แล้ว พอสองคนนี้ไม่ระวังครู่เดียวก็สะดุดล้มลงหงายหน้าอยู่หน้าประตูเลยทีเดียว
“เกิดอะไรขึ้น? เกิดเรื่องอะไร”
ผู้คนในเรือนมีจำนวนไม่น้อย หลังจากได้ยินเสียงดังจากด้านนอก ประมาณ 4 ถึง 5 คนก็กรูกันมาถึงหน้าประตู พวกเขาเห็นชายสองคนที่อยู่ที่พื้นคลานลุกขึ้นมาพอดี ไหล่ซ้ายแนบชิดกับร่างกายอย่างอ่อนแรง ส่วนใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเม็ดใหญ่
“เซี่ยวเทียน ท่าต้านภูผา ของนายไม่เลวนิ ตอนเด็กๆคงฝึกอิงกับต้นไม้ไม่น้อยเลยละสิ?” เยี่ยเทียนเห็นท่าของโจวเซี่ยวเทียนแล้วพยักหน้าชื่นชม
ศิษย์ของปาจี๋เวลาฝึกท่า “ต้านภูผา” มักจะใช้ลำตัวอิงกำแพง อิงต้นไม้ อิงเสา และโจวเซี่วเทียนคงใช้ เวลาฝึกท่านี้ไม่น้อยทีเดียว
……
ตอนที่ 282 ไม่ต้องมากความหมัดเดียวก็จอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาจารย์ ท่านก็รู้จักมวยแปดสุดยอด”
หลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าวแล้ว สายตาของโจวเซี่ยวเทียนก็เปล่งประกายขึ้นมา ตอนที่เขาอายุแปดขวบ ล้วนแต่เป็นพ่อคอยประมือด้วย แต่หลังจากที่พ่อเสียไป เขาก็ฝึกฝีมือเองคนเดียว ไม่เคยได้ประมือกับคนอื่นอีกเลย คนที่คุ้นเคยรอบตัวส่วนมาก ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเขาเข้าใจวรยุทธ์
แต่ป่าต้นกำลังเสือโคร่งที่ไม่ไกลจากบ้านของโจวเซี่ยวเทียน กลับถูกเขาทำลายไปไม่น้อย ต้นไม้ที่วงเดือนใหญ่ไม่รู้ว่าถูกเขาทำลายไปเท่าไหร่ วรยุทธ์ที่ “ติดตัว” นี้ ก็ฝึกมาแบบนี้แหละ
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “ก่อนหน้านั้นฉันกับปรมาจารย์ของนายเคยไปเยี่ยมสำนักมวยแปด สุดยอดที่ชางโจวมาด้วยกัน เขาฝึกมวยภายนอกจนมีชื่อ แต่หลังจากที่ฝึกปรือมวยภายนอกจนถึงขั้นสุดแล้ว ก็ฝึกลมปราณแฝง ในปีนั้นฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ใช่แล้ว อีกหน่อยนายเจอคนที่ฝึกวรยุทธ์ถึงขั้นที่มีลมปราณแฝง หนีไปให้ไกลเท่าไหร่ยิ่งดี อย่าต่อกรกับอีกฝ่าย โดยเด็ดขาด…”
จุดเด่นของคนที่มีลมปราณแฝงที่ชัดที่สุดคือขมับนูนออกมา คนลักษณะนี้ ส่วนใหญ่คือ พวกที่บำรุงรักษา พลังลมปราณ เป็นอย่างดี
ในตอนที่คนใช้กำลังกาย แต่ละกระบวนท่าล้วนทำให้เกิดพลังเผาผลาญ พลังเผาพลาญเหล่านี้ก่อประกอบ ไปด้วยพลังธาตุ
รูขุมขนของคนเราปิดสนิท เหงื่อไม่ไหลออก พลังเผาผลาญก็ระบายไม่ออก เลือดในร่างกายก็จะกลายเป็น พลังเผาผลาญรวมกับเหงื่อทะลุรูขุมขนออกมา นี่ก็คือหลักการของฝึกพลังลมปราณ หรือก็คือกำลังภายใน
สามารถต้านทานพลังนี้ได้หรือไม่นั้น ก็คือมีลมปราณหรือไม่ โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้จะฝึกปรือ ทั้งกำลังภายในและกำลังภายนอก แต่หากพบเจอคู่ต่อสู้ที่มีลมปราณแฝง ยังถือว่าห่างชั้นอีกมากโข
คนที่เยี่ยเทียนและนักพรตเฒ่าไปเยี่ยมเยือนนั้นคือ รุ่นน้องของหลี่ซั่นหยวนที่คบเป็นเพื่อนสนิทกันมาแต่นานนม ในตอนนั้นหลี่ซั่นหยวนให้คนผู้นั้นประมือกับเยี่ยเทียนเพื่อฝึกทักษะการต่อสู้ให้เขา แต่เยี่ยเทียนอายุได้เพียงสิบสามขวบจึงไม่ใช่คู่มือของคนผู้นั้น
แต่ไหนแต่ไรมา เยี่ยเทียนมีความเข้าใจในมวยแปดสุดยอดอย่างลึกซึ้ง มองท่าทางของโจวเซี่ยวเทียน ก็รู้แล้วพื้นฐานของเขาดีมาก
หากสำนักต่อสู้ไม่มีคนที่ฝึกมวยภายในและมวยภายนอกได้ถึงแก่นหรือฝึกมวยภายในจนมีลมปราณแฝงแล้ว เพียงแค่โจวเซี่ยวเทียนคนเดียว ก็กวาดเรียบทั้งสำนักนี้แล้ว
โจวเซี่ยวเทียนเคยเห็นวิธีการของเยี่ยเทียนมาก่อน สำหรับอาจารย์ที่อายุน้อยคนนี้เขายอมแพ้ราบคาบ หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว พยักหน้าอย่างตั้งใจ กล่าวว่า “ใช่ อาจารย์ ผมรู้แล้ว!”
ยืนอยู่หน้าประตูสำนักของคนอื่น เยี่ยเทียนสั่งสอนลูกศิษย์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้เห็นชายหนุ่มสี่ห้าคนที่ออกมายืนอยู่ข้างนอกในสายตา นี่ก็ทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจได้ ตาลุกโชน
หนุ่มกำยำคนหนึ่งอายุราวสามสิบปี กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “เจ้าเด็กน้อย มาหาเรื่องใช่มั๊ย”
“ใช่ แล้วจะยังไง”
โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้ประสบการณ์ในการต่อสู้จริงไม่มาก แต่เมื่อซักครู่เพิ่งล้มไปได้สองคน แล้วยังมีเยี่ยเทียนยืนคุมอยู่ด้านข้าง พลังใจตอนนี้สูงลิ่ว เหมือนกับเมื่อปีนั้นที่โมโหบุกสำนักของชาวญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น
“เซี่ยวเทียน พวกเรามาเพื่อประมือ อย่าพูดจาไร้สาระ!”
คำพูดของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ทันจบประโยคดี ก็ถูกคำพูดของเยี่ยเทียนตัดตอน หยิบประกาศออกมาจากในมือ เยี่ยเทียนกล่าวว่า “ได้ยินมานานว่าชิวปาคือสำนักที่มีชื่อเสียงเรื่องมวยแปดทิศ สุดยอดของเมืองหลวง เยี่ยเทียนพาลูกศิษย์มารับการสั่งสอน ท่านผู้มีเกียรติ หรือว่าสำนักอันเต๋อแห่งนี้ มีวิธีการต้อนรับแขกกันแบบนี้เหรอ”
ยุทธภพก็มีกฏของยุทธภพ ถึงแม้ว่าจะมาหาเรื่อง แต่สถานการณ์ก็ต้องดำเนินต่อไป เมื่อวานเยี่ยเทียนก็เขียนสาส์นเข้าเยี่ยมเรียบร้อยแล้ว ก็คือที่หยิบออกมาแสดงต่อหน้าในตอนนี้
“แม่เจ้าโว้ย มาหาเรื่องก็คือมาหาเรื่อง จะพูดให้ดูดีไปทำไม”
คนที่ฝึกวรยุทธ์ไม่มีคนที่อารมณ์ดี คนที่อยู่ด้านหลังชายร่างกำยำคนนั้น ม้วนแขนเสื้อขึ้นเตรียมมีเรื่อง คนอื่นๆ ก็ลูบหมัดถูมือ อยากจะพุ่งเข้ามากันเเต็มที่
“น้องสี่ อย่ารีบร้อน ไปโทรหาอาจารย์ไป!”
ชายที่ดูอยู่อายุมากหน่อยกันชายร่างกำยำอีกคนไว้ เขากับชิวเหวินตงอายุพอกัน เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหยิบสาส์นเข้าเยี่ยมออกมา ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนในยุทธภพ หากทางฝั่งนี้รีบร้อนบุกเข้าไป นั่นก็เท่ากับทำลายกฎ
หลังจากหยุดคนหมู่มากได้แล้ว ชายร่างกำยำนั่นหยิบสาส์นไปดูอยู่ครู่หนึ่ง ผายมือมาทางเยี่ยเทียนพลางกล่าว “ทั้งสองท่านเชิญด้านใน อาจารย์ไม่อยู่ แต่รออย่างมากครึ่งชั่วโมงก็มา พวกเราลูกศิษย์แลกเปลี่ยนกันซักรอบได้หรือไม่”
ชายร่างกำยำถึงแม้คำพูดจะดูมีมารยาท กริยาท่าทางไร้ที่ติ แต่อารมณ์ร้อนในใจของเขา ก็ส่งตรงออกมา
สำนักวิชาต่อสู้อันเต๋อถึงจะเปิดมาไม่นานแค่สองปี ความสัมพันธ์กับคนในวงการต่อสู้ในปักกิ่งนั้นดีมาก ร่วมกับชิวเหวินตงชอบช่วยเหลือคนไปทั่วทำให้มีเพื่อนเยอะมาก เรื่องที่จะมีคนมาหาเรื่องถึงที่ นี่กลับเป็นครั้งแรก
เยี่ยเทียนมองไปบนมือของคนนั้นอีกรอบ กล่าวลอยๆ ออกมา “นายเริ่มเรียนวิชาหมัดเหล็กมาก่อนแล้วค่อยมาเรียนมวยแปดทิศ ยอดเยี่ยมใช่มั๊ยเรียนจากนอกไปใน แต่กลับฝึก ออกมาได้ไม่เลว”
เยี่ยเทียนมองออกว่า คนผู้นี้มือสองข้างหยาบกร้าน เหมือนกับเปลือกไม้แก่ๆ ค่อนไปทางดำออกมานิดหน่อย นี่คือการฝึกวิชาหมัดเหล็กที่ฝึกออกมาได้ในระดับไม่เลวจึงจะปรากฏออกมา
หมัดเหล็ก หรือหมัดมือเหล็ก อาศัยกำลังภายนอกเป็นหลัก เป็นพลังจากหยาง ในตอนที่ฝึกจำต้องใช้หินทรายดำ และยาเป็นตัวช่วยในการฝึก หลังจากฝึกไปได้ระยะเวลาหนึ่งจะสามารถทำลายอิฐหรือหินได้
เยี่ยเทียนกล่าวคำพวกนี้ออกมา ก็เพื่ออยากจะเตือนโจวเซี่ยวเทียนซักหน่อย เพราะเขานั้นมีประสบการณ์ต่อสู้กับคู่อริ มาไม่เยอะ หากถูกชายร่างกำยำชกเข้าลำตัวซักหมัด ไม่ต้องคุยถึงกระดูกเส้นเอ็นขาด อย่างน้อยๆ ก็กระอักเลือดออกมา
“ทั้งสองท่าน เชิญ!”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียนแล้ว ชายร่างกำยำนั้นหรี่ตาลงชั่วครู่ ผายมือเชิญอีกครั้ง ท่าทางระแวดระวังมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ เห็นได้ว่าวรยุทธ์ของเขานั้นไม่ใช่ราคาคุยแน่นอน
ชายกำยำผู้นี้มีชื่อว่าอู่เฉิน ปีนี้อายุสามสิบห้า เป็นคนพื้นที่ชางโจว มณฑลเหอเป่ย ร่ำเรียนวิชาหมัดเหล็กมาตั้งแต่เด็ก แต่เนื่องจากฐานะทางบ้าน ไม่มียาใช้กับประกอบการฝึก เกือบจะฝึกจนมือทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ไปแล้ว
ต่อมาได้โอกาสโดยบังเอิญ อู่เฉินได้พบกับชิวเหวินตง ชิวเหวินตงมองว่าเขาเป็นต้นกล้าชั้นดีในการฝึกวรยุทธ์ ก็รับเขามาไว้ข้างกาย หลังจากการปรับสภาพอยู่ห้าถึงหกปี มือสองข้างก็ค่อยๆ กลับมาสู่สภาพปกติ
และอู่เฉินนั้นก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนัก ปกติแล้วหากชิวเหวินตงไม่อยู่ สำนักแห่งนี้ก็จะเป็นเขา ที่เป็นคนจัดการ มารับรองเยี่ยเทียนและอีกคนไม่ใช่เรื่องผิดแปลก
“เหอะ สถานที่นี่ไม่เลว!”
หลังจากเข้ามาในสำนักต่อสู้ ตาของเยี่ยเทียนก็เป็นประกาย สถานที่นี้ดัดแปลงมาจากเรือนสี่ประสาน อีกฝ่ายทำลายประตูโค้งของลานด้านหน้าและตรงกลางออกกลายเป็นลานกว้างต่อกัน
พื้นของลานตรงกลาง ล้วนปูด้วยอิฐดำทั้งสิ้น เนื่องจากมีคนฝึกวรยุทธ์เป็นเวลานาน อิฐส่วนใหญ่ล้วนแตกหักหมดทำให้พื้นดูไม่เรียบแหว่งเป็นช่วงๆ
ลานทั้งสองด้าน ตั้งวางชั้นวางอาวุธ ด้านบนแขวนดาบชุนชิว กระบองสู้รบ กระบี่เหลียนหวั๋ย กระบี่เหลียนฮวั๋ยฉุนหยาง กระบองเหล็กเกลี่ยนฮวั๋ยฟานหลง กระบอกห้าแถว พลั่วคุนหลุน ดาบปากว้าและอื่นๆ
ที่มุมหนึ่งของลาน ยังมีเสาปากว้า นี่เป็นการฝึกการย่างก้าวทางหนึ่ง
มวยแปดทิศอาศัยการเดินเป็นหลัก ทางมวยที่ดีของกระบวนท่านี้คือต้องเหมือนมังกรร่ายรำ อ่อนเหมือนกระแสลม อยู่ต่อหน้าแต่ไหลลื่นจับไม่ได้ มักจะทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกมึนงงและตาลาย ต้องอาศัยก้าวย่างที่ค่อนข้างมีทักษะสูง
มองเห็นพวกนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็พยักหน้า ดูแล้วสำนักต่อสู้นี้ก็พอมีฝีมืออยู่บ้าง อย่างนี้ก็ยังมีคนสืบทอดเคล็ดวิชา คนปกติไม่มีทางแสดงท่าทางออกมาได้หลายหลายกระบวนขนาดนี้
“ทั้งสองท่าน เชิญดื่มชา!”
อู่เฉินไม่ได้ประมาทเพียงเพราะพวกเขาอายุน้อย หลังจากปล่อยให้เยี่ยเทียนและอีกคนเข้าไปที่ลานแล้ว ให้คนยกชามาให้ กล่าวว่า “ฉันอยู่กับอาจารย์ชิวมาได้หกปีแล้ว จะขอคำสั่งสอนจากทั้งสองคนก่อนได้หรือไม่”
อู่เฉินฝึกวิชาหมัดเหล็กมาอย่างเข้มข้นตลอดยี่สิบปี ถึงแม้จะเปลี่ยนมาฝึกวิชามวยแปดสุดยอด พลังของหมัดเหล็กยังคงอยู่ไม่ได้ไปไหน และยังอยู่ในช่วงที่ร่างกายสมบูรณ์สุดขีด ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนที่มีสายตาสูงส่ง ในใจของเขาไม่ได้บังเกิดความกลัวแม้แต่น้อย
เยี่ยเทียนมองไปทางโจวเซี่ยวเทียนครั้งหนึ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “เซี่ยวเทียน แสดงฝีมือให้เต็มที่ โจมตีให้สั้นไว้!”
มวยแแปดทิศใช้ร่างกายเป็นฐานและการย่างก้าวเป็นหลัก ต้องทำร่างกายให้ล่องลอยเหมือนธง เคลื่อนที่เหมือนก้อนเมฆลอยล่อง พุ่งเข้าโจมตีแย่งพื้นที่ ไม่ได้มีการคลุกวงในและเข้าใกล้คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย นับเป็นข้อจำกัดของมวยแต่เป็นสุดยอดวิธีการต่อยมวยแบบระยะสั้น ดังนั้นเยี่ยเทียนเลยเตือนโจวเซี่ยวเทียน
“ครับ อาจารย์!”
โจวเซี่ยวเทียนก็ต้องการกระโดดออกไปต่อสู้ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากรับคำแล้วก็เดินออกไปกลางลาน จากนั้นก็แยกเท้าสองข้างออกเป็นหน้าและหลัง มือหนึ่งหันไปทางอู่เฉิน อีกมือหนึ่งกำหมัดแนบเข้าหาหน้าอก วางท่ามวยแปดทิศ
“เด็กน้อยระวังตัวด้วย!”
คนอื่นมาหาเรื่องที่สำนัก อู่เฉินกลับไม่ได้เกรงใจอีกต่อไป เท้าวางกระบวนท่า เคลื่อนตัวไปรอบๆ โจวเซี่ยวเทียน เขาเป็นผู้สืบทอดของชิวเหวินตง แน่นอนว่าเริ่มต้นก็ใช้กระบวนท่าหมัดเหล็กแล้ว
ฝึกมวยแปดสุดยอดมาหลายปี ย่างก้าวของอู่เฉินถึงแม้ไม่ได้ถึงระดับ “ย่างก้าวราวมังกร เคลื่อนไหวราวกับลิง กระบวนท่าเหมือนเหยี่ยว” แต่การเคลื่อนไหวก็รวดเร็วไร้เทียมทาน แค่รอให้โจวเซี่ยวเทียนเผยจุดอ่อน ก็สามารถอาศัยจังหวะเข้าไปโจมตีให้ล้มลงไปได้
แต่มวยแปดสุดยอดเดิมทีการย่างก้าวก็ไม่ดีเท่าไหร่ โจวเซี่ยวเทียนหลังจากได้ฟังเยี่ยเทียนกล่าว ก็ยืนอยู่ตั้งการ์ดป้องกันตนเอง ย่างก้าวไม่สับสน ยื่นมือขวาออกไปหน้าลำตัว หันไปทางอู่เฉินตลอดเวลา ก็เหลือแต่รอคู่ต่อสู่เข้ามาโจมตี
หลังจากเคลื่อนไปรอบตัวโจวเซี่ยวเทียนหลายรอบแล้ว อู่เฉินในที่สุดก็อดไม่ไหว เท้าเคลื่อนที่เร็วราวสายฟ้า มาอยู่ด้านหน้าของโจวเซี่ยวเทียน ออกหมัดหนึ่งไปยังใต้ซี่โครงฝั่งที่โจวเซี่ยวเทียนยื่นแขนขวาออกมา
เพื่อเป็นการสั่งสอนเด็กน้อยทั้งสอง หมัดนี้ของอู่เฉินทุ่มแรงลงไปทั้งตัว เขาเชื่อว่าต่อให้โจวเซี่ยวเทียนเอาการ์ด ลงมาป้องกัน ก็จะสามารถต่อยให้แขนของเขากระดูกหักอยู่ตรงนี้ได้
หลังจากเห็นท่างทางของอู่เฉินแล้ว ลูกศิษย์สำนักที่รายล้อมอยู่โดยรอบ เลือดในกายก็กำลังเดือดพล่าน ก็แค่ รอโจวเซี่ยวเทียนถึงที่สุดก็ส่งเสียง “ดี” ออกมาเท่านั้นเอง
แต่ทว่าในพริบตาที่อู่เฉินออกหมัด ตัวของโจวเซี่ยวเทียนพลันเบี่ยงออกข้าง ร่างกายดูเตี้ยลงไปอีกมา ตามมาด้วยออกแรงไปที่ขาหน้า ไม่รอให้อู่เฉินเปลี่ยนกระบวนท่า ไหล่ซ้ายก็กระแทกเข้าไปที่อกของอู่เฉินเต็มแรง
การกระทำของโจวเซี่ยวเทียนไร้ที่ติ แต่เมื่อซักครู่การออกแรงนั้นรุนแรง จึงทำให้มี “โยกไปกระแทกให้ฟ้าถล่ม กระทืบเท้าสะเทือนไปเก้าดินแดน” ตามมาด้วยความกระหายของโจวเซี่ยวทียน ร่างกายของอู่เฉินก็กระเด็น ไปข้างหลังอย่างตัวลอย
ไม่ต้องออกแรงมากครู่เดียวก็จอด “ท่าต้านภูผา” เมื่อซักครู่ถูกโจวเซี่ยวเทียน ถ่ายทอดออกมาอย่างหมดจด
ตอนที่ 283 ชิวเหวินตง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดี!” เห็นกระบวนท่าอิงเขาของโจวเซี่ยวเทียนที่ออกมา เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็อดไม่ไหวต้องตะโกนออกมา
โจวเซี่ยวเทียนใช้กระบวนท่าต้านภูผาออกมาใกล้กับหลักของมวยแปดทิศมากที่สุด อย่าว่าแต่อู่เฉิน เปลี่ยนเป็นเยี่ยเทียนถ้าถูกโดนท่าต้านภูผานี่เข้าไป ก็จะต้องใช้ท่าการสลายพลังนี้ออกไป
จากการที่เยี่ยเทียนร้องตะโกนว่าดี ร่างกายของอู่เฉินกลับลอยกระเด็นไกลออกไปสามถึงสี่เมตร หลังจากขาสองข้างลงมาถึงพื้นแล้ว ยังกระเด็นต่อไปอีกหลายสิบก้าว ก้นก็ลงไปจ้ำเบ้า
มวยแปดสุดยอดถึงแม้จะไม่ได้มีความร้ายแรงเหมือนหมัดเหล็ก แต่เมื่อซักครู่นั้นดูไร้เทียมทาน ทั่วทั้งร่างกายล้วนส่งออกพลังได้ อู่เฉินที่นั่งอยู่บนพื้นใบหน้าก็เปลี่ยนจากสีเลือดเป็นสีขาวซีด หลังจากนั่งลำบากอยู่นาน ก็กระอักเลือดออกมา
“พี่อู่!”
“ศิษย์พี่…”
การเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างกระทันหันนี้ ทำให้พวกศิษย์ของสำนักที่ยืนรายล้อมอยู่รอบด้านตกตะลึงตาค้าง ทำไมอู่เฉินเดินรอบโจวเซี่ยวเทียนอยู่นานกลับไม่สามารถรับกระบวนท่าได้แล้วกลับล้มลงกระอักเลือดกัน
คนเหล่านี้เป็นพวกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในสำนัก และมีบางส่วนที่เป็นคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัย ของชิวเหวินตงส่งมาอบรม วิชาติดตัวไม่ได้มีเท่าไหร่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอง
พวกนั้นปกติดูหนังต่อสู้จากละครและภาพยนต์ ล้วนแต่เป็นแบบต่อสู้แลกอาวุธกันไปมา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องต่อสู้กันหลายสิบยกจึงจะตัดสินแพ้ชนะได้ แต่ที่เห็นเมื่อซักครู่ กลับทำให้คนมุงเหล่านี้ตกตะลึงกันไปเป็นแถบ
จริงๆแล้วคนที่มีฝีมือสูงมักจะไม่มาทำท่าต่อสู้โชว์ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้เหมือนที่พวกเขาคิดขนาดนั้น หาโอกาสต่อสู้ศัตรูให้ล้มในคราวเดียว แบบนี้ถึงเป็นรูปแบบของผู้มีฝีมือที่สูงส่งที่แท้จริง
โดยเฉพาะมวยแปดสุดยอด ที่มีกระบวนท่าเรียบง่ายไม่ซับซ้อน และรุกได้แรงและสร้างความเสียหาย ออกแรงซ้ำโดยกระบวนท่าไม่ซ้ำ ศรีษะ ไหล่ ข้อศอก มือ สะโพก เข่า เท้า ก้น แปดตำแหน่งของร่างกาย ล้วนแต่เป็นจุดอันตรายที่โค่นศัตรูได้
“อาจารย์ เขาเป็นคนที่กึ่งออกบวชฝึกมวยแปดสุดยอด ให้ความสำคัญกับพลังของมือ แต่ฐานการยืนไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่”
หากเทียบกับความอ่อนแอของอู่เฉิน โจวเซี่ยวเทียนกลับไม่ได้ถอนหายใจออก หลังจากออกแรงโจมตีไปแล้ว ก็เปลี่ยนการตั้งท่าของมวยแปดสุดยอด กลับมายืนอยู่หน้าของเยี่ยเทียน
“อืม เซี่ยวเทียน วิชามวยภายนอกของนายฝึกปรือจนถึงขั้นสุดยอดแล้ว แบบนี้ นายย้ายไปอยู่ที่บ้านของฉันเถอะ ตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาพลังภายในของบ้านนายอย่างจริงจัง ฉันเห็นว่านายฝึกไม่เกินหนึ่งปี พลังของนายจะเข้าสู่ระดับ ลมปราณแฝงแน่นอน”
สายตาของเยี่ยเทียนระดับไหน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าระดับมวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียนถึงขั้นไหนแล้ว หากฝึกไปอีกขั้นแล้ว ก็จะกลายเป็นระดับปรมาจารย์ได้อย่างไม่ขัดเขิน
เยี่ยเทียนติดตามอาจารย์ไปเยี่ยมเยียนสำนักวิชามีชื่อมากมาย นอกจากตัวเขาเองแล้ว ก็ต้องนับพรสวรรค์ของโจวเซี่ยวเทียนเข้าไปด้วย แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่เด็กก็แช่ยาเติบโตมา ถ้าจะว่ากันในเรื่องของความยากลำบาก เขาเทียบไม่ได้กับโจวเซี่ยวเทียน
เพียงแต่ว่ามวยแปดสุดยอดสร้างความเสียหายมาก หลังจากฝึกถึงระดับสุดยอดแล้ว ความเสียหายต่อร่างกาย ก็มากตามไปด้วย โจวเซี่ยวเทียนถึงจะมีพลังเคล็ดวิชาภายในช่วยอยู่ แต่จุดชีพจรในระบบลำไส้ ก็มีความเสี่ยง ในการเกิดโรคอยู่เหมือนกัน
เยี่ยเทียนให้โจวเซี่ยวเทียนอาศัยอยู่ที่บ้านสี่ประสานของตัวเอง ก็เพราะจะอาศัยพลังธาตุที่มีอยู่มาช่วยรักษา อาการบาดเจ็บภายในของเขา
แต่ความเข้มข้นของพลังธาตุจะมากหรือไม่นั้น สำหรับการฝึกเคล็ดวิชาภายในแล้วนับว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถึงแม้วิชาสืบทอดของตระกูลของโจวเซี่ยวเทียนจะขาดหายไม่สมบูรณ์ แต่ก็ยังมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะเข้าสู่ขั้นลมปราณแฝง
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ในยุคโบราณอาศัยอยู่ตามหุบเขาลำเนาไพรไม่ออกมายุ่งกับโลกภายนอก ก็เพราะตามสถานที่แห่งนั้น ถึงจะมีพลังธาตุที่เพียงพอในการช่วยฝึกกระบวนวิชา
“พวกนายลงมือหนักเกินไปหน่อยแล้ว แค่ประมือเท่านั้น ทำไมถึงทำให้ศิษย์พี่ของฉันเป็นอย่างนี้” ในตอนที่เยี่ยเทียนอาจารย์และศิษย์ทั้งสองกำลังยืนคุยกัน คนหนุ่มที่ประคองอู่เฉินก็ก้าวออกมา
“เขาบาดเจ็บไม่มาก รักษาตัวครึ่งเดือนก็เป็นปกติแล้ว”
เยี่ยเทียนมองไปที่ชายผู้นั้นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “จะว่าไป การประลองวิชาต่อสู้ ยากที่จะหลีกหนีการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต ไม่เห็นมีอะไรน่าแปลกเลย กลัวบาดเจ็บก็เลิกเรียนวิชาต่อสู้ไปเรียนวิชาวรรณกรรรมไปสิ…”
ในแวดวงการต่อสู้ ที่มีความแค้นและบุญคุณเกิดขึ้นมากมายก็มาจากตรงนี้แหละ เรียนไม่เข้าขั้น เวลามีเรื่องขึ้นมาก็ยากที่จะไม่ถูกทำให้บาดเจ็บ ง่ายที่จะเกิดอาการบาดเจ็บล้มตาย ความโกรธแค้นก็ค่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ
ชายหนุ่มถูกคำพูดของเยี่ยเทียนทำให้หมดปัญญาตอบโต้ ใบหน้าขึ้นสีเลือด ด้วยความอารมณ์ร้อนร้องตะโกนขึ้นว่า “นาย…พวกนายรังแกคนเกินไปแล้ว พวกเรา สู้กับพวกเขาให้สุดตัวไปเลย!”
เสียงที่โจวเซี่ยวเทียนปล่อยออกมาเมื่อซักครู่นั้น ราวกับเสียงเสือคำรามอยู่ในป่า ทำให้พวกมือใหม่ ที่หัดฝึกวิชามวยแปดสุดยอดพวกนี้ตกใจขวัญเสียกันไปไม่น้อย แต่พอมีคนชักนำ พวกคนหนุ่มเหล่านั้นก็ทยอย วิ่งไปทีชั้นวางอาวุธ
“แม่งเอ้ย หมาหมู่!”
เยี่ยเทียนชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา ภาษิตโบราณว่าไว้ อาวุธไม่มีตา หากถูกคนไม่ระวังแทงเข้า หรือฟันลงมา นั่นก็ไม่น่าสนุกเท่าไหร่
อู่เฉินที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพืันถึงจะมีใจอยากจะห้ามปรามแต่ก็ตะโกนไม่ออก คาวเลือดที่อยู่ตรงลูกกระเดือกพร้อม จะออกมาตลอด ได้เพียงแต่ยกมือขึ้นทำท่าห้ามเท่านั้น
ในตอนที่คนพวกนั้นจับอาวุธจะพุ่งเข้ามาหาเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียนนั้นเอง ที่หน้าประตูก็มีบุคคลสองคนเดินเข้ามา เห็นฉากเบื้องหน้าที่ชุลมุนวุ่นวาย พลันชะงักค้างไปชั่วครู่
“หยุด จะล้างสำนักเหรอไง!”
ชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าอายุราวสี่สิบกว่าตะโกนขึ้น เสียงของเขานั้นมีพลัง ทำให้พวกลูกศิษย์ที่ กำลังโมโหเหล่านั้นได้สติขึ้นมา
“อาจารย์ อาจารย์มาแล้ว!”
“อาจารย์ พวกนี้มาหาเรื่อง แล้วยังทำร้ายศิษย์พี่จนได้รับบาดเจ็บ!”
ลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ที่ยืนอยู่เห็นผู้มาถึง สีหน้าปรากฏแววดีใจ วิ่งเข้าไปหาพร้อมอาวุธที่อยู่ในมือ แย่งกันพูดเรื่องราวที่เกิดเมื่อซักครู่
“เสี่ยวอู่ นายไม่เป็นไรนะ”
ชิวเหวินตงเห็นอู่เฉินที่นอนอยู่บนพื้น รีบเดินเข้าไปอย่างเร่งรีบ รีบยื่นมือเข้าไปจับชีพจรของเขา รู้สึกว่าชีพจรของเขายังปกติดี ถึงได้วางใจยืนขึ้นมา
อู่เฉินหัวเราะพลางลุกขึ้นมานั่งกล่าวว่า “อาจารย์…อาจารย์ เป็นผมเองที่ฝึกได้ยังไม่เข้าขั้น!”
“ไม่เป็นไร อาจารย์จะกู้ชื่อเสียงของนายกลับมาเอง!” ชิวเหวินตงตบไหล่ของลูกศิษย์ ให้คนมาประคองเขาไปนั่งบนเก้าอี้
ในตอนที่ชิวเหวินตงมองไปทางเยี่ยเทียนและลูกศิษย์ ในตาเต็มไปด้วยประกายของความโกรธ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวงปักกิ่งมาสามสิบปี แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่ทำร้ายคนอื่น และไม่เคยมีเรื่องที่ คนมาหาเรื่องเขาถึงที่แบบนี้
และอู่เฉินเป็นลูกศิษย์เอกของเขา ผ่านการฝึกสอนหลายปีมานี้ ชิวเหวินตงเตรียมตัวส่งต่อสำนักให้กับเขา มาเห็นอู่เฉินถูกทำร้ายจนบาดเจ็บขนาดนี้ หมัดขวาของเขาเริ่มกำจนมีเสียง “ครึก ครึกแล้ว”
ต้องรู้ก่อนว่า ลูกศิษย์ที่รักมากนี้บางครั้งอาจจะมากกว่าลูกของตัวเองอีก เพราะคนก็ต้องมีแก่ตัวลงไป แต่ในแวดวงการต่อสู้ มีรุ่นหลังบางคนชอบเหยียบหัวผู้อาวุโสขึ้นไปมีชื่อเสียง นี่เป็นตอนที่ลูกศิษย์ออกหน้ารับศึกแทนอาจารย์
ดังนั้นเรื่องที่อู่เฉินบาดเจ็บ ในใจของชิวเหวินตงนั้น มันร้ายแรงซะมากกว่า เยี่ยเทียนและลูกศิษย์สองคน มาหาเรื่องเสียอีก
“พี่เฝิง ขอโทษจริงๆ ให้พี่มาเห็นเรื่องน่าอายพวกนี้ เชิญนั่ง รอให้ผมจัดการเรื่องวุ่นวายพวกนี้เรียบร้อยแล้วจะไปหาพี่!”
ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยไฟแค้น แต่ชิวเหวินตงก็ยังต้อนรับแขกข้างกายตัวเอง คนนี้เป็นยอดมวยขึ้นชื่อคนหนึ่งของ ยุทธภพ ชื่อว่าเฝิงเหิงหยู่
อาจารย์ของเฝิงเหิงหยู่และพ่อของชิวเหวินตงเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่รุ่นก่อน ทั้งสองคนในตอนนี้ก็ไปมาหาสู่กัน อยู่เรื่อยๆ เดิมทีชิวเหวินตงกำลังจะเชิญเฝิงเหิงหยู่ดื่มชาตอนเช้าด้วยกัน พอได้ยินว่ามีคนมาหาเรื่องทั้งสองก็เลยรีบมา
“อาจารย์ คนที่สวมชุดกีฬานั่นเป็นมวยแปดทิศยอดเยี่ยม ฝึกจนฝีมือเข้าขั้น อาจารย์ต้องระวังตัวหน่อยนะ!” อู่เฉินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เตือนชิวเหวินตง
อู่เฉินเป็นวิชามาก่อนที่จะไหว้ชิวเหวินตงเป็นอาจารย์ เดิมทีวิชาติดตัวก็ไม่ได้อ่อนกว่าชิวเหวินตงซักเท่าไร่ แต่แม้แต่กระบวนท่าเดียวของโจวเซี่ยวเทียนก็รับไว้ไม่ได้ เขากลัวว่าอาจารย์ถ้าไม่ระวังจะถูกดูถูกเอาได้
“มวยแปดสุดยอด”
ชิวเหวินตงได้ยินก็ตะลึงไป หน้าตาประหลาดมองไปทางเฝิงเหิงหยู่ เพราะว่าเขาเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ในมวยแปดสุดยอด และเขายังเป็นสำนักสืบทอดมาจากรุ่นลูกของปรมาจารย์หลี่ซูเหวินอีกด้วย นับว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง ในวิชามวยแปดสุดยอดชั้นนำคนหนึ่ง
ดังนั้นพอได้ยินว่าคนที่มาก่อกวนใช้วิชามวยแปดสุดยอด ชิวเหวินตงก็เลยใช้สายตาส่งคำถามมองไปยังเฝิงเหิงหยู่ ความสัมพันธ์ในแวดวงต่อสู้นั้นซับซ้อน ไม่แน่ว่าทั้งสองอาจจะมีความสัมพันธ์กัน
เห็นสายตาของชิวเหวินตง เฝิงเหิงหยู่หัวเราะแกนๆ กล่าวว่า “พี่ชิว บรรพบุรุษส่งต่อให้กับลูกศิษย์ลูกหา มากมายหลายพันคน ผมก็คงจำไม่ได้หมดหรอกว่าใครเป็นใคร”
บรรพาจารย์ที่เฝิงเหิงหยู่พูดถึง ก็คือปรมาจารย์หลี่ซูเหวิน
ปรมาจารย์หลี่ซูเหวินนั้นเป็นคนสง่าผ่าเผย เกียจความอยุติธรรมเข้าเส้น ลูกศิษย์ลูกหาของเขานั้น ในประเทศและนอกประเทศ มีนับไม่ถ้วน ทุกปีก่อนวันเช็งเม้ง มักจะมีมาจากไม่ซ้ำประเทศ คนสีผิวก็มีบินข้ามน้ำ ข้ามทะเลมากราบไหว้ถึงชางโจว ตรงไปที่หลุมฝังศพของหลี่ซูเหวินเพื่อแสดงความเคารพ
ดังนั้นถึงแม้เฝิงเหิงหยู่จะเป็นคนสืบทอดสายตรงจากลูกคนโตของปรมาจารย์หลี่ซูเหวิน แต่ก็ไม่ได้รู้จักผู้สืบทอด ทั้งในและนอกประเทศทั้งหมดที่มีมากมาย
หลังจากได้ฟังเฝิงเหิงหยู่กล่าวจบ ชิวเหวินตงก็พยักหน้า กล่าวว่า “งั้นก็ดี พี่เฝิงคอยดูลาดเลาให้ผม ผมจะไปลองดูฝีมือเจ้าคนหนุ่มนั่นซักหน่อย เห็นแก่ที่ว่าเรียนวิชามวยแปดสุดยอด แค่ให้กระอักเลือดเบาะๆ ก็พอ!”
นี่เป็นความน่าเสียดายที่ใต้ปกครองไม่มีลูกศิษย์ที่มีฝีมือ มิเช่นนั้นชิวเหวินตงที่อายุใกล้ห้าสิบแล้ว ต้องลงมือเอง แต่อายุขนาดเขาตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงเวลาทองของมวยภายใน เลือดลมไม่ได้ด้อยไปกว่าโจวเซี่ยวเทียนเลย
“น่าแปลก ชายวัยกลางคนนั่นทำไมดูคุ้นตาจังเลย”
ในตอนที่เฝิงเหิงหยู่กำลังสนทนากับชิวเหวินตงนั่นเอง เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว เพราะเค้ารู้สึกคุ้นหน้าเฝิงเหิงหยู่ที่สวมใส่ ชุดฝึกสีขาวตลอดร่างนั้น แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
สำหรับคนที่ความจำดีแบบเยี่ยเทียนนี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากมาก เยี่ยเทียนมั่นใจว่า ในตอนนั้นที่ตาม นักพรตเฒ่าออกไปท่องยุทธภพนั้น จะต้องได้พบกับคนคนนี้แน่นอน
“ทั้งสองท่าน ผมชิวเหวินตงพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองหลวง ทำเรื่องถูกต้องมาตลอด ไม่ทราบว่าที่ทั้งสองท่าน มาถึงที่นี่ เป็นเพราะถูกคนจ้างวานมาหรือว่ากระผมแซ่ชิวคนนี้ทำอะไรให้คับข้องหมองใจกัน”
ชิวเหวินตงเมื่อก่อนนั้นอารมณ์ดุร้าย แต่หลังจากได้เข้าไปนอนในคุกอยู่สองครั้ง นิสัยก็ถูกกล่อมเกลาจนเป็นปกติแล้ว ดังนั้นแม้ตอนนี้ในใจจะเดือดดาลเพียงใด แต่ก็ยังยึดตามพิธีของยุทธภพ
“กระทำการถูกต้อง”
เยี่ยเทียนกล่าวแล้วก็หัวเราะ “งั้นดี ผมขอถามท่าน ท่านก็ถือว่าเป็นคนฝึกวรยุทธ์คนหนึ่ง ทำไมถึงลงมือกับคนธรรมดา ผมรู้สึกไม่พอใจ ถึงได้มาขอประมือด้วย!”
……
ตอนที่ 284 เจ้าเด็กอวดดี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ฉันลงมือกับคนธรรมดา?”
เมื่อชิวเหวินตงได้ยิน “ฉันแซ่ชิวดังนั้นฉันก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ แต่ว่ายังพอเข้าใจกฏของยุทธภพ ใช้ชีวิตมาสี่สิบกว่าปี ฉันไม่เคยไปรังแกพวกคนธรรมดา”
ชิวอันเต๋อคือผู้อาวุโส ที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงมากมาโดยตลอด จุดมุ่งหมายที่ฝึกฝนก็เพื่อที่จะขจัดคนเลว ปกป้องคนดี เขาอบรมสั่งสอนคนรุ่นหลังเช่นนี้ตลอด
แต่ว่าตอนฝึกวิชามวยของชิวเหวินตงตั้งแต่เด็กก็ถูกพ่อใช้กระบองตี จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้จดจำให้ขึ้นใจ ในตอนที่มาอยู่ในเมืองปักกิ่ง ส่วนมากก็จะมีเรื่องชกต่อยกับพวกอันธพาล
ถึงแม้เขาจะติดคุกถึงสองครั้ง ธุรกิจของเขาก็ประสบความสำเร็จก็เพราะว่า หนึ่งคือเมื่อก่อนเขามีชื่อเสียงอย่างมาก ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งวุ่นวายกับธุรกิจของเขา สองคือหลังจากที่เขาไม่มีสายสัมพันธ์กับพวกอันพาลแล้ว ชื่อเสียงของเขาก็ดีขึ้นมาก
ดังนั้นเมื่อได้ยินที่เยี่ยเทียนพูดว่าเขารังแกคนธรรมดา ชิวเหวินตงก็โกรธโมโหขึ้นมาทันที
เมื่อได้เห็นชิวเหวินตงไม่ยอมรับ เยี่ยเทียนหัวเราะเยาะ พูดว่า “ท่านไม่ยอมรับก็จบ พวกเราจะทำตามกฎของยุทธภพ มาปะลองวิชากังฟูกันให้รู้ผลแพ้ชนะ ผมก็จะตัดสินเองว่าท่านถูกหรือผิด”
จริงๆ แล้วเยี่ยเทียนเป็นคนที่มีคิ้วหนาดกดำ ดวงตาที่สดใส แบ่งขาวดำชัดเจน น่าจะไม่ใช่ประเภทของคนต่ำทราม ที่ชอบก่อเรื่อง เพียงแต่ว่ามาถึงหน้าประตูแล้ว จะถูกหรือผิดหลังจากการปะลองแล้วค่อยว่ากันเถอะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยเทียนเชื่อมั่นว่า เจ้าคนนั้นที่ชื่อว่า เฟ่ยเฮอเหว่ยกับชิวเหวินตง ต้องมีความสัมพันธ์อะไร บางอย่างแน่นอน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาก็อาจจะไม่ใช่ฝ่ายผิด
“ดี ถ้าอย่างนั้นฉันขอคำแนะนำกับผู้มีความสามารถทั้งสองท่าน”
พูดมาถึงตอนนี้แล้ว ชิวเหวินตงจะไม่ลงมือก็ไม่ได้แล้ว ถอดเสื้อคลุมออก แต่งตัวใส่เสื้อแขนสั้น
เยี่ยเทียนจ้องมองไปที่ชิวเหวินตง พูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “เซี่ยวเทียน นายขึ้นไปสิ จำไว้ สังเกตการเปลี่ยนแปลง อย่าให้จังหวะเท้าของเขาทำให้ตัวเองสับสน”
หลังจากที่ชิวเหวินตงเดินเข้าไปในเรือนสี่ประสาน เยี่ยเทียนก็ดูออกเลยว่า วิชากังฟูของเขานิ่งสงบมากกว่าอู่เฉิน เมื่อครู่โจวเซี่ยวเทียนอยากใช้จังหวะ โจมตีชิวเหวินตงจนพ่ายแพ้ แต่กลับไม่ง่ายเลย
“อาจารย์ ผมรู้แล้ว” เมื่อรู้จังหวะที่จะเอาชนะอู่เฉินได้แล้ว ทำให้โจวเสี่ยวเทียนมั่นใจขึ้นมา เดินไปที่กลางสนาม
“เชิญ” ทั้งสองฝั่งต่างคำนับกัน
ชิวเหวินตงที่อายุเยอะ โดยปกติจะไม่ยอมโจมตีก่อน มองโจวเซี่ยวเทียนแล้วกวักมือเรียก พูดว่า “พ่อหนุ่ม มาสิ””
“ดี” โจวเซี่ยวเทียนตั้งท่ามวยแปดสุดยอด เท้าซ้ายตั้งอยู่กับพื้น อย่างรุนแรงและรวดเร็ว แขนทั้งสองซ้ายขวาโจมตี เข้าไปที่หัวของชิวเหวินตง
พอเห็นโจวเซี่ยวเทียนใช้ท่าทางที่รุนแรงและรวดเร็ว ชิวเหวินตงก็ไม่กล้าเข้าไป ใช้จังหวะในการเดินแปดทิศ ความเร็วดั่งสายฟ้าแลบพุ่งเข้าโจมตีกลับไปที่โจวเซี่ยวเทียน
เพียงแค่เริ่มมวยแปดสุดยอด ในกระบวนท่าแรก ความแข็งแกร่งและความหนุ่มของโจวเซี่ยวเทียน แขนทั้งสองค่อยๆ กางออก ในเวลานั้นชิวเหวินตงก็เริ่มทรงตัวไม่อยู่ ทันใดนั้นมือของเขาเริ่มไม่มีแรงแล้ว
“แย่แล้ว นี่คือลูกศิษย์ใคร เหล่าชิวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา” เฝิงเหิงหยู่ที่ยืนดูการต่อสู้มวยแปดสุดยอดอยู่ข้างๆ ภายในใจรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
พอได้เห็นโจวเซี่ยวเทียน พุ่งเข้าไป โจมตีที่บ่า บิดแขน เข้าประชิด พยายามใช้ช่องว่างและเวลา ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ในระยะเวลาสั้นๆ ของกังฟูชุดนี้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ก็เข้าถึงแก่นแท้ของมวยแปดสุดยอด เฝิงเหิงหยู่ก็รู้เลยว่าชิวเหวินตงเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
“หยุด”
เมื่อเห็นชิวเหวินตงต้านไว้ไม่อยู่ เฝิงเหิงหยู่สาวเท้าพุ่งปราดไปข้างหน้าอย่างเร็วเข้าไปในสนามประลอง ศอกปะทะศอก ทันใดนั้นโจวเซี่ยวเทียนก็โจมตีไปที่ซี่โครงของชิวเหวินตงจนแตกหัก
“แกเป็นใครทำไมใช้วิชามวยแปดสุดยอด”
กับเฝิงเหิงหยู่ที่กำลังตกใจ โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกชาที่แขนขวาของเขา ในตอนนั้นรู้สึกตื่นตระหนก ข้อศอกของเขาสามารถทำให้แขนหักได้ สู้กับคนนี้ มีแต่เสียเปรียบ
“ฉันชื่อเฝิงเหิงหยู่ อาจารย์ของแกคือใคร”
เฝิงเหิงหยู่หลังจากที่เขาเข้าไปห้ามการต่อสู้ของโจวเซี่ยวเทียนไม่ให้ไปต่อ มวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียน จากที่เขาดูมา ก็สามารถคาดเดาได้ว่าต้องเป็นลูกศิษย์ของมวยแปดสุดยอดที่ถูกถ่ายทอดจากอาจารย์โดยตรง
เฝิงเหิงหยู่ไม่รู้จัก โจวเซี่ยวเทียนส่ายหัว ชี้ไปที่เยี่ยเทียนพูดว่า “ฉันชื่อโจวเซี่ยวเทียน เขาก็คืออาจารย์ของฉัน”
โจวเซี่ยวเทียนตั้งแต่สี่ขวบก็ได้ฝึกวิชามวยกับพ่อ หลังจากนั้นสิบกว่าปีก็ฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่เคยประลองยุทธกับใคร จึงไม่ได้ยินชื่อเสียงของเฝิงเหิงหยู่
“เขา เขาคืออาจารย์ของแกเหรอ”
เฝิงเหิงหยู่มองไปที่เยี่ยเทียน สีหน้าที่ดูเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อ เจ้าหนุ่มท่าทางอ่อนแอที่ยืนอยู่ตรงนั้น ลักษณะตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ดูไม่เหมือนคนที่ฝึกวิชามวยเลยสักนิด อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ของโจวเซี่ยวเทียน
อีกทั้งดูจากภายนอกแล้ว เยี่ยเทียนยังดูตัวเล็กกว่าโจวเซี่ยวเทียนเสียอีก เฝิงเหิงหยู่รู้สึกสับสนและไม่เข้าใจ ถามกับเยี่ยเทียนว่า “แกเป็นผู้ถ่ายทอดวิชามวยแปดสุดยอดเหรอ แปลกมากที่ไม่เคยได้ยินชื่อของฉัน”
เฝิงเหิงหยู่เป็นลูกศิษย์คนโปรดของหลี่ซูเหวิน เมื่อหกปีที่แล้วที่อาจารย์ของเขาได้เสียชีวิต เฝิงเหิงหยู่ ก็กลายเป็นปรมาจารย์มวยแปดสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นคนในประเทศหรือต่างประเทศที่ต้องการฝึกฝนมวยแปดสุดยอด โดยทั่วไปต่างก็ต้องเคยได้ยินชื่อและสมญานามของเขา
“ขอโทษ ผมเคยได้ยินชื่อของท่าน” เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาจำคนนี้ได้แล้ว
นั้นคือเรื่องของเมื่อแปดปีที่แล้ว ในตอนนั้น คนนี้ก็คือคนที่ยืนเทน้ำชาอยู่ข้างๆ ที่นั่งแทบจะไม่มีให้นั่ง ตั้งแต่แรกเริ่มเยี่ยเทียนก็รู้สึกแค่ว่าคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกมาว่าเคยเจอเขาที่ไหน
แน่นอนว่า เยี่ยเทียนไม่เคยพูดโกหกจริงๆ เพราะว่าตอนนั้นเขาแทบจะไม่รู้จักชื่อของเฝิงเหิงหยู่ ตอนไปกับนักบวชเต๋าเพื่อไปเยี่ยมเยี่ยนอาจารย์ของเขา เฝิงเหิงหยู่ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดแทรกขึ้นมา
ไม่เคยได้ยินชื่อของฉัน? หรือว่าเธอคือลูกหลานของ หม่าอิงถู ฮั่นฮว่าเฉิน จางหยูเหิง ผู้อาวุโสทั้งหลายนี้ที่เฝิงเหิงหยู่พูดชื่อออกมา ทั้งหมดคือผู้อาวุโสที่มีชื่อเสียงเท่ากับหลี่ซูเหวิน
“พูดมากอยู่ได้ มวยแปดสุดยอดของฉันสืบทอดมาจากคนในตระกูล ให้ฉันได้สั่งสอนคนรุ่นใหม่เถอะ”
เยี่ยเทียนยังไม่ได้ตอบกลับ โจวเซี่ยวเทียนก็ทนไม่ไหว เขาฝึกฝนวิชามวยแปดสุดยอดจากในตระกูลมาโดยตลอด ไม่เคยเจอกับขั้นสุดยอดของมวยแปดสุดยอด เมื่อกี้ที่ปะลองกับเฝิงเหิงหยู่ ภายในใจก็เกิดรู้สึกร้อนผิดปกติขึ้นมา
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา “เซี่ยวเทียน” ทันใดนั้นก็ดึงโจวเซี่ยวเทียนออกมา พูดว่า “นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ให้ฉันดีกว่า”
มวยแปดสุดยอดของโจวเซี่ยวเทียนจริงๆ แล้วก็ไม่ได้มาจากสำนักดั้งเดิม เพียงแค่มาจากแก่นสารของ มวยแปดสุดยอดภายในตระกูลที่ถูกถ่ายทอดกันต่อๆ มา จึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน
แต่ว่าเฝิงเหิงหยู่ได้บำเพ็ญฌาณประสานกับการฝึกพลังลมปราณเข้ากับมวยแปดสุดยอด นี้อาจเป็นพื้นฐานเทคนิคที่สำคัญที่สุดของมวยแปดสุดยอด เฝิงเหิงหยู่รู้วิธีในการต่อสู้ทั้งภายนอกและภายใน ศอกเมื่อครู่นั้นเป็นการต่อสู้จากภายใน เมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ โจวเซี่ยวเทียนเลยรู้ว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้
“อาจารย์? แกมีวิชากังฟูจริงๆ หรอ”
มองไปที่เยี่ยเทียน เฝิงเหิงหยู่ยิ้มไม่ค่อยออก เจ้าหนุ่มคนนี้ได้แสดงออกถึงวิธีการของยุทธภพ ดูจากลักษณะแล้ว ไม่เหมือนกับคนที่มีวิชากังฟูเลยแม้แต่น้อย
“มี หรือ ไม่มี วิชากังฟู พวกเรามาลองกันก็จะรู้เอง”
เยี่ยเทียนหัวเราะ ไม่ได้ถอดชุดแบบสมัยราชวงศ์ถังที่ใส่อยู่ ยืนอยู่หน้าของเฝิงเหิงหยู่ ท่าทางอวดดีที่ทุกคนก็ต่างดูออก
ตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบสาม ตอนอยู่กับนักบวชเต๋าเคยเจอกับอาจารย์ยงหรูรุ่ยของเฝิงเหิงหยู่มาก่อนแล้ว ยงหรูรุ่ยถือว่าเป็นอาจารย์มวยแปดสุดยอดที่มีชื่อเสียงในประเทศ
แต่ทว่าตรงหน้าของหลี่ซั่นหยวน อาจารย์ยงหรูรุ่ยของเฝิงเหิงหยู่ที่อายุน้อยกว่าสองชั่วอายุคน ในกลุ่มผู้อาวุโสที่กำลังสนทนากันในห้องโถง พร้อมกับเยี่ยเทียน เฝิงเหิงหยู่ทำได้แค่ยืนเทน้ำชาอยู่ข้างๆ
ครั้งนั้นเยี่ยเทียนเคยปะลองกับยงหรูรุ่ยแล้ว เพียงแต่ว่าครั้งนั้นเขายังเข้าไม่ถึงขั้นตอนของการเปลี่ยนพลัง อีกทั้งประสบการณ์ในการต่อสู้ที่ไม่มากนัก ประคับประคองได้ประมาณห้าถึงหกนาทีก็แพ้แล้ว
ดังนั้นถ้าให้พูดถึงเด็กอายุสิบสามปี เยี่ยเทียนก็ถือว่าแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี
แต่ว่าแพ้ก็คือแพ้ เยี่ยเทียนรู้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมายงหรูรุ่ยเสียชีวิตแล้ว ได้เห็นลูกศิษย์ของยงหรูรุ่ย เยี่ยเทียนก็รู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา ดังนั้นก็ไม่ได้พูดถึงแหล่งที่มาระหว่างพวกเขา
“ดี เจ้าหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นแกต้องระวังหน่อย”
เฝิงเหิงหยู่ถูกเยี่ยเทียนถากถางไปไม่กี่คำ ก็สงบอารมณ์อดกลั้น แต่ว่าภายในใจก็มีความโกรธอยู่ สองเท้าสลับไปมา แสดงศิลปะท่าทางของมวยแปดสุดยอด พูดว่า “ฉันต่อให้สามกระบวนท่า โจมตีเข้ามาเลย”
เห็นเยี่ยเทียนพูดด้วยท่าทีที่มั่นใจ เฝิงเหิงหยู่ก็สามารถเดาออกได้เลยว่าเขาได้ฝึกฝนวิชากังฟูจากในตะกูล ดังนั้นเอกลักษณ์ของจังหวะในการก้าวไม่ค่อยชัดเจน
เพียงแต่ว่าอายุของเยี่ยเทียนที่เยอะขนาดนี้ ฝีมือน่าจะยังไม่ลึกไม่มากพอ ทำให้เฝิงเหิงหยู่รู้สึกค่อนข้างมั่นใจขึ้นมา เขาก็อยากยืมใช้วิธี ดูออกว่าแท้จริงแล้วเขาเรียนวิชากังฟูอะไร
หลังจากเฝิงเหิงหยู่พูดออกมา เยี่ยเทียนก็พยักหหน้า พูดว่า “ศักดิ์ของแกต่ำกว่าฉันอีก ถ้าจะต่อก็ต้องเป็นฉันต่างหากที่ต่อให้แก”
“อะไรนะ? เจ้าเด็กอวดดี”
เยี่ยเทียนพูดความจริง แต่ว่าพอเฝิงเหิงหยู่ได้ยินก็รู้สึกไม่ดี เขาอาวุโสกว่า แต่กลับถูกเจ้าเด็กไม่รู้จักโตคนนี้พูดว่าให้ ถ้ามีคนได้ยินก็คงถูกหัวเราะเยาะเย้ยได้
ความโกรธขั้นสุด เฝิงเหิงหยู่ทนไม่ได้ ชิงลงมือก่อน เท้าซ้ายที่อยู่กับพื้น เอวที่บิดหมุน เตะเท้าขวาออกมา เป้าหมายคือหัวเข่าของเยี่ยเทียน
เฝิงเหิงหยู่ใช้พลังที่พุ่งออกมาจากเท้า วิชามวยแปดสุดยอดจะใช้เท้าเตะรัว ให้ความสำคัญกับจังหวะและท่าทาง ในการเตะแต่ละครั้ง เท้าต้องไม่เลยเข่า
รัวฝ่าเท้า วิธีนี้ของเขาอาจทำร้ายให้คนบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้ ในเวลาเดียวกันก็สามารถใช้ขาเกี่ยวเข้าไปยังขาของฝั่งตรงข้าม เพราะเป็นจุดที่รองรับน้ำหนัก ซึ่งต้องใช้แรงอย่างมากถึงจะได้ผลที่ดีออกมา
แต่ว่าเท้านี้ เฝิงเหิงหยู่ใช้แรงไปแค่สามส่วน ทั้งคู่ไม่ได้มีความแค้นอะไรกัน เขาจึงไม่อยากลงมือทำร้ายให้ได้ รับบาดเจ็บ แค่โจมตีเยี่ยเทียนจนยอมแพ้ก็พอ
“รัวฝ่าเท้าทำได้ดี”
เมื่อได้เห็นวิชารัวฝ่าเท้าของฝั่งตรงข้าม เยี่ยเทียนก็ตาสว่างขึ้นมา ค่อยๆ ยกเท้าซ้ายขึ้นมารับ แล้วถอยกลับ เขา แค่อยากลองพลังรัวฝ่าเท้าของฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
……
ตอนที่ 285 แนะนำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ขาของตัวเองที่เตะออกกำลังจะโดนเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่ก็เปลี่ยนจากการเตะเป็นการเกี่ยว นี่คือกระบวนท่า เตะซ้อนแตะ ที่เฝิงเฮิงอยู่ชำนาญ
เวลานั้นเท้าขวาของเยี่ยเทียนเตะออกมาแล้ว ขณะที่กำลังจะถูกเฝิงเฮิงอยู่เกี่ยวเข้าที่เท้าทำให้เขาเสียการทรงตัว แต่ทันใดนั้นเท้าขวาของเยี่ยเทียนก็เพิ่มความเร็วในการเตะ พุ่งตรงไปที่ต้นขาของเฝิงเฮิงอยู่
การเตะครั้งนี้ใช้ความเร็วมากจริงๆ ทำให้ทุกคนประหลาดใจในฝีมือการเปลี่ยนท่าของเยี่ยเทียน ทุกคนไม่คิดว่าเยี่ยเทียนที่พึ่งเตะออกไป จะหมุนตัวแล้วเตะ รัวๆ ออกไปอีก
โชคดีที่เมื่อกี้เฝิงเฮิงอยู่ใช้แรงไปแค่สามส่วนเท่านั้น ยังไม่แก่เกินไป พอมีแรงที่จะโต้กลับ ใช้พลังที่เหลืออยู่โต้กลับทันที ด้วยการเตะสวนและยกน่องขึ้นมารับจากการเตะของเยี่ยเทียนที่เพิ่มความเร็วอย่างฉับพลัน
“ป๊าบ” เสียงที่ดังขึ้นเกือบเป็นสาเหตุให้ทุกคนโยนแก้วลงพื้นพร้อมกัน ตอนแรกทุกคนเข้าใจว่าเยี่ยเทียนจะต้องถูกเฝิงเฮิงอยู่เกี่ยวล้มลงอยู่ที่พื้น อย่างไม่คาดคิด หลังจากถูกเตะไปสองเท้า กลับกลายเป็นเฝิงเฮิงอยู่ที่ต้องถอย และยังคงถอยแล้วถอยอีก ถอยออกไปหลายก้าวจึงสามารถทรงตัวอยู่ได้
เมื่อฝ่ายหนึ่งโจมตีด้วยการบุก ก็ช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะต้องตั้งรับเพื่อป้องกันการถูกโจมตี และหาวิธีพลิกแพลงที่จะโต้กลับ เฝิงเฮิงอยู่ที่เป็นปรมาจารย์ของมวยแปดสุดยอด ตอนนี้ไม่สามารถใช้เท้าซ้ายยันพื้นไว้ได้แล้ว ตอนนี้ก็ยังถูกเยี่ยเทียนกระหน่ำเตะสวนกลับตลอดเวลา
“ดี” ในสนามที่ได้ยินแต่เสียงลมหายใจของทุกคน ก็มีเสียงของโจวเซี่ยวเทียนแทรกขึ้นมา
โจวเซี่ยวเทียนฝึกฝนมวยแปดสุดยอดมาก่อน ดูวิธีการใช้ฝ่าเท้านั้นออก ถึงแม้ว่าการเคลื่อนไหวของเฝิงเฮิงอยู่นั้นดูเรียบง่าย แต่การเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าอย่างรวดเร็ว ก็ทำให้ยากในการระวังป้องกัน เป็นตัวของโจวเซี่ยวเทียนก็ยังยากที่จะแก้ไข
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็มีท่วงท่าที่รวดเร็วและว่องไวเหมือนกัน เขาไม่ได้สู้กับวิชากังฟูของเฝิงเฮิงอยู่เลย เขากำลังใช้กลยุทธิ์บังคับให้เฝิงเฮิงอยู่ต้องคอยระวังป้องกันตัวเองตลอดเวลา และรู้สึกว่ากำลังเสียเปรียบเล็กน้อย
หลังจากที่สามารถทรงตัวได้ สีหน้าของเฝิงเฮิงอยู่ก็จริงจังขึ้นมา ท่าทีที่ดูผ่อนคลายเมื่อกี้ก็ไม่มีให้เห็นแล้ว ตะโกนออกมา “ฝีมือเยี่ยม วีรบุรุษก็ต้องมาจากพวกหนุ่มๆ เหล่านี้ ฉันต้องขอคำแนะนำแล้ว”
หลายปีที่ผ่านมาเฝิงเฮิงอยู่ได้ปะลองกับพวกคนรุ่นหลัง ส่วนมากก็จะใช้แต่ท่านี้ แทบจะเอาชนะได้ตลอด แต่ทว่าวันนี้ที่เขาได้ประลองกับเยี่ยเทียน ก็ถูกเยี่ยเทียนแก้ไขและตอบโต้ได้อย่างสบาย
“ฝ่าเท้าเมื่อกี้ ฉันใช้กำลังไปแค่สามส่วน”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วผงกสีรษะ หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ตอนที่ถูกอาจารย์หยงหรูรุ่ยของเฝิงเฮิงอยู่ใช้วิชา เกี่ยวฝ่าเท้า ทำให้ตัวเขากลิ้งไปหลายตลบ ในวันนี้ก็เท่ากับว่าได้กู้ชื่อเสียงกลับมาแล้ว
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่ก็สะเทือนใจขึ้น เมื่อกี้ที่เขาดึงขากลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช้พลังหกถึงเจ็ดส่วนเพื่อมาป้องกัน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใช้ไปแค่สามส่วน ก็ทำให้เขาได้รับแรงสะเทือน จนต้องถอยออกถึงห้าหกก้าว
“เจ้าหนุ่ม พวกเรามาประลองกันอย่างจริงจังด้วยมือเปล่าเถอะ”
ผ่านการฝึกฝนมาสิบปี ปกติแล้วเฝิงเฮิงอยู่จะไม่หวั่นไหวกับคำพูดของเยี่ยเทียน แต่ครั้งนี้เขาไม่บอกว่าจะต่อให้เยี่ยเทียนสามกระบวนท่าอีกแล้ว ทันใดนั้นก็ตะโกนออกมา แล้วก็เริ่มลงมือกับเยี่ยเทียนก่อน
การโจมตีของเฝิงเฮิงอยู่มีพลังที่เหนือกว่าโจวเซี่ยวเทียน หลังจากที่ได้พัก ตอนนี้เขาใช้พลังและสมาธิอยู่ที่สายตาและมือของเขา ใช้แขวนแกว่งขึ้นลงอย่างหนักและรวดเร็วราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ ทุบไปที่เยี่ยเทียน
นี่เป็นกระบวนท่าที่โหดร้ายและอันตรายมาก โดยเฉพาะเมื่อเฝิงเฮิงอยู่ เป็นผู้ใช้ออกมาทุกกระบวนท่าไม่ว่าจะเป็นการ พุ่งโจมตี ประชิดตัว ผลักดัน แสดงท่าออกมาพร้อมกัน เป้าหมายคือโจมตีเข้าไปทั่วร่าง
หลังจากที่อาจารย์ได้ตายจากไป นี้เป็นครั้งแรกของเฝิงเฮิงอยู่ที่ใช้พลังและฝีมือทั้งหมดในการลงมือ ไม่ได้เก็บกักไว้แต่น้อย
เฝิงเฮิงอยู่เชื่อว่าภายในประเทศ คนที่สามารถป้องกันท่าของเขาได้ เกรงว่าไม่เกินสามคน แน่นอนว่า เฝิงเฮิงอยู่ไม่ได้นับเยี่ยเทียนอยู่ในสามคนนั้นด้วย
“ทำได้ดี”
เห็นท่าทางของเฝิงเฮิงอยู่ เยี่ยเทียนก็รู้สึกสงบใจไว้ไม่อยู่ ไม่ขยับขาทั้งสองข้าง มือทั้งสองเคลื่อนไหว เหมือนดั่งผีเสื้อที่บินอยู่ในสวนดอกไม้ ป้องกันการโจมตีของเฝิงเฮิงอยู่ที่บุกเข้ามา
เสียงของการประทะกันระหว่างฝ่ามือ กำปั้นและเท้าของเยี่ยเทียนกับเฝิงเฮิงอยู่ทำให้เกิดเสียง “ป๊าบ ป๊าบ” ขึ้นมา ปนกับเสียงร้องของเฝิงเฮิงอยู่ที่ส่งออกมา จึงค่อนข้างแปลกประหลาด
ทั้งสองประทะกันด้วยท่าทางที่รวดเร็วและว่องไวมาก คนในสนามนอกจากชิวเหวินตงกับโจวเซี่ยวเทียน คนอื่น ๆ ก็ดูไม่ออกว่าใครเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ
เห็นชิวเหวินตงที่ตกตะลึงจนตาค้าง พวกลูกศิษย์ก็สามารถเดาได้ว่า เพื่อนเก่าของอาจารย์นั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปรียบ
เป็นอย่างที่พวกเขาคิดไว้ ในเวลานั้นในใจของเฝิงเฮิงอยู่ก็ตกใจ เขาคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้ จะมีคนซักกี่คนที่สามารถใช้แต่สองมือโดยที่เท้าไม่ขยับก็สามารถป้องกันการโจมตีดั่งสายฝนที่โหมกระหน่ำของตัวเองได้
มากไปกว่านั้นฝ่ามือทั้งสองของเยี่ยเทียนเหมือนกับมีแม่เหล็ก ทุกครั้งที่เขาตอบโต้ มันทำให้การเคลื่อนไหวของเฝิงเฮิงอยู่ช้าลง การใช้กระบวนท่าไม่ต่อเนื่อง มีอยู่หลายครั้งที่เฝิงเฮิงอยู่เกือบจะพ่ายแพ้ กำลังของเยี่ยเทียนแข็งแกร่งมากในที่สุดเฝิงเฮิงอยู่ก็ล้มลงบนพื้น
เฝิงเฮิงอยู่ยิ่งสู้ยิ่งอกสั่นขวัญหาย ในตอนที่เขาโจมตีนั้น เยี่ยเทียนทำเพียงแค่ป้องกัน เขายังไม่มีหนทางทำอะไรได้ การประลองกันของทั้งสองคนก็เหมือนกับอาจารย์กำลังสอนเคล็ดวิชาให้ลูกศิษย์
เฝิงเฮิงอยู่ก้าวระดับขึ้นมาเป็นครูมวยแล้ว เขาเชื่อว่าครูมวยคนอื่นไม่มีทางที่จะสามารถป้องกันการถูกโจมตีนี้ได้ คาดไม่ถึงว่าในขณะที่ขาทั้งสองของเยี่ยเทียนไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่ก้าวเดียว ก็สามารถทำได้
“เปลี่ยนแปลงพลัง”
คำหนึ่งผ่านเข้ามาในหัวของเฝิงเฮิงอยู่ ก็ทำให้เขาสะดุ้งตกใจเป็นพิเศษ เพราะว่าตลอดชีวิตของอาจารย์ ไม่เคยแตะต้องการเปลี่ยนแปลงพลังของวิชานี้เลย
ถ้าเกิดว่าเจ้าหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ ไม่สามารถเข้าถึงการเปลี่ยนแปลงพลังที่เขาพูดกัน คงไม่สามารถ ทำให้พลังกำปั้นของเขาสลายไปอย่างง่ายดาย
นึกถึงตอนนี้ เฝิงเฮิงอยู่ก็เกิดกลัวจนขึ้นสมอง เมื่อเก็บพลังกำปั้นก็เหมือนกับเก็บมือถอยหลัง แต่ทว่าสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ ฝ่ามือที่เหมือนกับแม่เหล็กของเยี่ยเทียนกลับแข็งแกร่งขึ้นมาทันที ทำให้ร่างกายของตัวเองโซซัดโซเซ ไม่มีแม้แต่วิธีที่จะควบคุมมัน
พวกคนดูก็รู้สึกเพลินเพลิน เมื่อครู่การปะทะกันของกำปั้นและเท้าของทั้งสองคนดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ แต่ก็ยังคงน่าดู ใครจะรู้ว่าหลังจากนั้นเฝิงเฮิงอยู่ ก็เสียการทรงตัวเซซ้ายเซขวา เหมือนกับคนเมา
แม้ว่าพวกลูกศิษย์ยังฝึกฝนวิชากังฟูไม่สำเร็จ แต่ไม่ว่าใครก็ดูออกว่า เฟงเฮิงหยูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียน ความแตกต่างของทั้งสองเหมือนกับเด็กอายุสามขวบกับคนที่มีพลังเหมือนกับผู้ใหญ่วัยสามสิบ
“พอแล้ว ไม่แกล้งแกแล้ว เดี๋ยวอาจารย์ของแกจะไปฟ้องอาจารย์ของฉันได้ว่า ฉันแกล้งคนรุ่นหลัง”
เยี่ยเทียนยิ้มขึ้นมาทันที มือซ้ายวาดไปที่ต้นแขนของเฝิงเฮิงอยู่ หลังจากวาดครึ่งวงกลม ตัวของเขาก็กระโดดถอยมาหนึ่งก้าว ตั้งแต่ที่ประลองฝีมือกัน นี้ก็คือครั้งแรกที่เยี่ยเทียนก้าวเท้า
ถูกเยี่ยเทียนวาดในครั้งนี้ ตัวของเฝิงเฮิงอยู่ที่อยู่ในสนามก็หมุนเหมือนกับลูกข่างขึ้นมาทันที หลังจากที่หมุนไปเจ็ดแปดรอบถึงได้กลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง
เวลานี้เฝิงเฮิงอยู่ มีใบหน้าที่แดงก่ำ ผมที่เคยหวีเสยไปด้านหลัง ทั้งหมดก็กลับห้อยลงมา เหมือนเพิ่งสระผมเสร็จ หยาดเหงื่อไหลออกมาจากแก้ม
ในตัวของเฝิงเฮิงอยู่มีไอร้อนระเหยออกมา เป็นเพราะว่าเขาใช้พลังอย่างเต็มที่ หลังจากเห็นท่าทางของเฝิงเฮิงอยู่แล้ว เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว ตะโกนว่า “ปิดรูขุมขุน กลั้นลมหายใจ หลังจากนั้นค่อยๆ ผ่อนออกมา แกก็สามารถเขาถึงลมปราณแฝงแล้ว”
“อะไรนะ”
เฝิงเฮิงอยู่หลังจากที่ถูกหมุนจนมึน เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูด ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง แท้จริงแล้วเขาก็มีฝีมือในการฝึกฝนลมปราณแฝงนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อถูกเยี่ยเทียนชี้แนะแบบนี้ ก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น
เฝิงเฮิงอยู่มีความคิดถึงไหน ร่างกายของเขาก็ขยับตาม ขาทั้งสองแยกออกจากกันเหมือนกับเลขแปด ในตัวอักษรจีน สองมืออยู่ระหว่างจุดตันเถียน มองไปข้างหน้า
“ส่งมันมาให้ฉัน” เฝิงเฮิงอยู่ตะโกนออกไป ไอร้อนที่วนเวียนอยู่ภายนอกร่างกายของเขา ทันใดนั้นก็ค่อย ๆ ดูดซึมกลับเข้าไปในร่างกาย”
ค่อยๆ ปิดตาลง เฝิงเฮิงอยู่รู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา พลังที่เสียไปก่อนหน้านี้ ก็เหมือนกับว่าได้กลับคืนสู่ร่างกายแล้ว และยังมีพลังที่เหลือล้น
เฝิงเฮิงอยู่กระทืบเท้าซ้ายหนึ่งที กางต้นแขนออก ลมที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เหมือนกับแตกกระจายออกมีเสียง ป๊าบ ออกมา เหมือนดั่งแส้ที่ถูกฟาด
“ลมปราณแฝง ฉันสามารถเข้าถึงลมปราณแฝงนี้ได้แล้ว” เฝิงเฮิงอยู่มีใบหน้าที่ดูมีความสุข เขาใช้เวลาอยู่กับเจ้าลมปราณแฝงนี้สี่ห้าปีแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเข้าถึงได้ในตอนนี้
“อาจารย์ ผม เมื่อไหร่ผมจะสามารถเข้าถึงลมปราณแฝง”
เมื่อได้เห็นเฝิงเฮิงอยู่รำมวยมือเปล่าอย่างตั้งใจ โจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมา ถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถเข้าถึงลมปราณแฝงนั้นได้เลย
“แกเหรอ? แกโชคดีกว่าเขา มากสุดก็หนึ่งปี แกก็จะสามารถเข้าถึงลมปราณแฝงได้”
เยี่ยเทียนได้ยินก็หัวเราะขึ้นมา พูดออกไปว่า “พักมวยแปดสุดยอดไว้ก่อน มาฝึกวิชากังฟูที่ตระกูลของแกที่ได้ถ่ายทอดมา ฝึกฝนและศึกษาเกี่ยวกับพลังภายในร่างกายให้ละเอียด เมื่อไหร่ที่แกสามารถส่งและควบคุมพลังนั้นได้ ก็จะสามารถเข้าถึงลมปราณแฝง”
ในสายตาของเยี่ยเทียน พรสวรรค์กับโอกาสของโจวเซี่ยวเทียนมีมากกว่าร้อยเท่า เมื่อเทียบกับเฝิงเฮิงอยู่ เฝิงเฮิงอยู่อายุสี่สิบกว่าปีเพิ่งจะเข้าถึงลมปราณแฝง แต่ว่าโจวเซี่ยวเทียนใช้เวลาแค่ปีเดียวในเรือนนั้น จะมีแค่แปดเก้าในสิบ ที่จะสามารถเข้าถึงพลังที่แสดงออกของฝั่งตรงข้าม
หลังจากที่ได้ยินเยี่ยเทียน ดวงตาทั้งสองของโจวเซี่ยวเทียนขยายขึ้นมา พยักหน้า พูดว่า “อาจารย์ ผมจะตั้งใจอย่างแน่นอน”
บทสนทนาของทั้งสองคนทำให้เฝิงเฮิงอยู่เกิดประหลาดใจขึ้นมา หลังจากที่ได้เห็นเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทว่าก็ยังเดินมา
“รุ่นพี่เยี่ยเทียน ขอบคุณคำชี้แนะของพี่มาก”
ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ เฝิงเฮิงอยู่ที่เดินไปตรงหน้าของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นก็ใช้มือซ้ายกำเข้าที่มือขวา วางไว้ตรงกลางอก โค้งตัวลงเก้าสิบองศา แสดงความเคารพเยี่ยเทียน
มือซ้ายเป็นตัวหนังสือ มือขวาเป็นการต่อสู้ ทั้งสองมือประสานกันแสดงถึงความปรารถนาที่จะเรียนรู้ รอคำแนะนำจากอาจารย์หรือรุ่นพี่ การกระทำของเฝิงเฮิงอยู่ นั้นหมายความว่าเขาได้ยอมรับว่าเยี่ยเทียนเป็นรุ่นที่สูงกว่า
……
ตอนที่ 286 คลี่คลาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“จำฉันได้แล้วเหรอ”
เยี่ยเทียนอมยิ้มมองไปที่เฝิงเฮิงอยู่ หลังจากที่ฝ่ายตรงข้ามเดินเข้ามา เยี่ยเทียนเองก็ไม่ได้ประกาศชื่อเขาออกไป เฝิงเฮิงอยู่เมื่อจำเขาได้แล้ว ก็ร้องบอกออกมา
“รุ่นพี่เยี่ยเทียน เป็นรุ่นน้องที่เลอะเลือน ควรจะจำพี่ได้ตั้งนานแล้ว”
เฝิงเฮิงอยู่ยิ้มเจื่อนๆ ถ้าไม่ใช่เด็กผู้ชายอายุสิบสองสิบสามปีที่ลุ่มหลงในการฝึกกังฟู ซึ่งยืนอยู่ข้างกายเขาในเวลานั้น ยังจะมีคนอื่นอีกเหรอ
ในปีนั้นเยี่ยเทียนที่ยังเป็นไม่ได้เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ก็สามารถต่อสู้กับอาจารย์ของเขาได้ถึงห้าหรือหกนาที โดยไม่มีอาการหอบหายใจแต่อย่างใด ถ้าไม่มีประสบการณ์สักเล็กน้อยแล้ว อาจารย์คงไม่พาออกท่องยุทธภพ
เฝิงเฮิงอยู่และเหล่าผู้ติดตามทั้งหลายที่อยู่ในลานประลองต่างก็มองอย่างตกตะลึง งุนงงและสงสัยรอหลังจากที่เยี่ยเทียนและศิษย์ผู้ติดตามเดินเข้าไปข้างใน ก็ทยอยถามประวัติของพวกเขา ถึงได้รู้ว่าหลี่ซั่นหยวนผู้อาวุโส ในยุทธภพ มีความสามารถเท่าเทียมกับหลี่ซูเหวิน
ในฐานะศิษย์และหลานของหลี่ซูเหวิน หากเฝิงเฮิงอยู่จะเรียกเยี่ยเทียนว่า ปรมาจารย์ ก็ไม่เกินความจริง แต่อย่างไร การถ่ายทอดและสืบสานของสองสำนักนั้นแตกต่างกัน แค่เรียกว่ารุ่นพี่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เยี่ยเทียนมองไปที่เฝิงเฮิงอยู่ ก่อนกล่าวว่า “นายเพิ่งเข้าสู่สภาพลมปราณแฝง หลังจากกลับไปแล้ว ต้องพักฟื้นสักพักหนึ่ง รักษาอาการบาดเจ็บเมื่อครู่ให้หายก่อน ไม่งั้นจะมีผลต่อร่างกายตอนอายุหกสิบเจ็ดสิบปี “
คนที่ฝึกมวยภายนอก โดยทั่วไปการทำลายศัตรูในอัตราส่วนหนึ่งพันตัวเองก็จะถูกทำลายไปด้วยแปดร้อย ในร่างกายมีอันตรายแฝงอยู่ ตอนหนุ่มๆ จะดูไม่ออก แต่พอสูงวัยขึ้น พลังและเลือดก็จะเสื่อมลง
วิชามวยแปดสุดยอด เป็นวิชามวยที่ใช้พลังภายนอกในการสร้างความแข็งแกร่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายก็จะได้รับบาดเจ็บมากเช่นกัน เฝิงเฮิงอยู่ตอนนี้กลับได้รับพลังลมปราณแฝง ดังนั้นการฝึกฝนจะช่วยให้เขารักษาอาการบาดเจ็บได้
“ขอบคุณรุ่นพี่ ถ้าไม่ใช่ท่าน วันนี้ผมก็ยังคงไม่ผ่านประตูนี้ไปได้แน่นอน…”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่โค้งคำนับเยี่ยเทียน พลังลมปราณแฝงที่เขาติดอยู่ตรงนี้ เป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว ไม่เคยได้รับคำแนะนำจากผู้ที่เชี่ยวชาญเลย จึงไม่สามารถทะลุผ่านชั้นสุดท้ายของกระดาษได้ ด้วยคำพูดคำเดียวของเยี่ยเทียน ทำให้เขาผ่านด่านนี้ได้
“อย่าเรียกฉันว่ารุ่นพี่เลย รุ่นพี่นั้นต้องเก่งมาก ฉันยังเทียบไม่ได้จะเรียกว่าคำว่า รุ่นพี่”
เยี่ยเทียนเฉยชากับคำเรียกนี้ พอคิดสักพักก็พูดว่า “อาจารย์ของฉันกับปรมาจารย์หลี่ซูเหวินของแกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเราอยู่คนละยุคคนละสมัย ถ้านับตามรุ่นแล้ว แกเรียกฉันว่าอาจารย์ลุงเถอะ”
“อาจารย์ลุงเหรอ” เฝิงเฮิงอยู่ถึงกับตะลึง
“ทำไม? ไม่พอใจเหรอ” เยี่ยเทียนหน้าบึ้งขึ้นมา
เฝิงเฮิงอยู่โบกไม้โบกมือ พูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ อาจารย์ลุง ผม…ผมไม่บังอาจ”
อาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่คือหลี่ซูเหวินเป็นทายาทรุ่นที่สี่ พอมาถึงเขาก็เป็นรุ่นที่ห้า เมื่อเทียบอาวุโสแล้ว เยี่ยเทียนกับอาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่เป็นพี่น้องกัน ความสัมพันธ์นี้ห่างกันหลายรุ่น
เมื่อเยี่ยเทียนยอมที่จะเป็นรุ่นพี่เขาหลายรุ่น เพื่อเป็นอาจารย์ลุงของเขา เฝิงเฮิงอยู่ก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ พูดอีกอย่างคืออาจารย์ในระดับอาวุโสของเขาไม่อยู่ทั้งหมดแล้ว ตัวเองเพิ่งได้รับลมปราณแฝง ยังต้องการคนชี้แนะ
“ไม่บังอาจอะไรกัน ปีนั้นอาจารย์ของฉันก็ให้ฉันเรียก อาจารย์หยง ว่าศิษย์พี่เหมือนกัน”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเฝิงเฮิงอยู่ เยี่ยเทียนก็พยักหน้า พูดว่า “เฮิงหยู เซี่ยวเทียนก็เป็นคนรุ่นใหม่ที่สืบทอดมวยแปดทิศเหมือนกัน แต่ยังขาดทักษะอยู่ ถ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยชี้แนะเขาหน่อยนะ”
ถึงแม้ว่าจะยอมรับเป็นอาจารย์ของโจวเวี่ยวเทียน แต่ก็ไม่ได้สอนเทคนิคอะไรให้เขาเลย การเป็นอาจารย์แบบนี้รู้สึกไม่สบายใจ เป็นเหตุผลที่ต้องลำดับขั้นอาวุโสกับเฝิงเฮิงอยู่ขึ้นมา
ถ้าไม่อย่างนั้น ตอนที่เยี่ยเทียนได้ตามนักบวชเต๋าท่องยุทธภพ ได้รู้จักคนในยุทธภพหลายคน แต่ไม่ได้ทำความรู้จักกับเฝิงเฮิงอยู่ นั่นเป็นเพราะว่าเขากำลังสนใจที่จะเรียนรู้จากบรรพบุรุษของมวดแปดทิศโดยตรง
“ชี้แนะเขาเหรอ” เฝิงเฮิงอยู่ได้ยินถึงกับตะลึง ยิ้มเจื่อนๆ แล้วพูดต่อว่า “อาจารย์ลุง ผมรู้แล้ว ถ้ามีเวลาผมจะคอยชี้แนะศิษย์น้อง ท่านนี้สักหน่อย”
ตอนแรกเหมือนเยี่ยเทียนดูไม่มีความสามารถ คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะยัดเยียดความยุ่งยากให้กับเขา แต่วิชาของโจวเซี่ยวเทียนนั้นก็ถือว่าไม่เลว เฝิงเฮิงอยู่ก็เต็มใจที่จะเอาความลับมวยแปดทิศเปิดเผยแก่เขา
หลังจากที่ให้ลูกศิษย์ของตัวเองไปหาศิษย์พี่ที่พ่ายแพ้ เยี่ยเทียนโบกไม้โบกมือแล้วพูดว่า “พอแล้ว นายไปคุยกับเซี่ยวเทียนทางนั้นเถอะ ทางนี้ฉันยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฝิงเฮิงอยู่ก็รีบพูดว่า “อาจารย์ลุง ท่านเข้าใจผิดอะไรกับเหล่าชิวหรือเปล่า เรื่องเขาผมรู้จักดี ถึงแม้จะมีนิสัยโมโหร้าย แต่ไม่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างแน่นอน”
ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ของเฝิงเฮิงอยู่กับพ่อของชิวเหวินตงไม่ใช่ความสัมพันธ์ผิวเผิน ทั้งสองรู้จักกัน มาสิบกว่าปี เมื่อเยี่ยเทียนช่วยรักษาหน้าตาของตัวเองไว้ เฝิงเฮิงอยู่จึงเสนอตัวเป็นคนกลาง เพื่อคลี่คลายความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย
ชิวเหวินตงอยู่ในวงการมาสิบกว่าปี จึงไม่ใช่คนโง่ สนองคำพูดของเฝิงเฮิงอยู่อย่างรวดเร็ว พูดว่า “คุณ…คุณเยี่ย ถึงแม้ว่าผมชิวเหวินตง บางครั้งจะเลอะเลือนไปบ้าง แต่ไม่เคยทำอะไรผิดกับใคร ผมไม่รู้ว่าวันนี้ที่เกิดเรื่อง เป็นเพราะอะไรกันแน่”
เมื่อเห็นว่า เฝิงเฮิงอยู่กับเด็กหนุ่มไม่ใช่ศัตรูกัน แถมยังช่วยกันฝ่าด่านลมปราณแฝงได้อีกด้วย ชิวเหวินตงก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยลูกศิษย์แล้ว
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ถ้าเยี่ยเทียนยังยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองในการทำลายสนาม ในสำนักวิชาต่อสู้อันเต๋อของเขาก็คงไม่มีใครสักคนที่จะขวางกั้นได้ ถ้าเป็นแบบนี้ชื่อเสียงของชิวเหวินตงในยุทธภพคงหมดไป
เยี่ยเทียนเปิดอกพูดว่า “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อเว่ยหงจวิน เป็นพ่อค้าธรรมดาทั่วไป ถูกคนของคุณทำร้ายเอา ผมก็เลยต้องมาขอคำอธิบาย”
ที่จริงเรื่องนี้เยี่ยเทียนรู้ในใจเป็นอย่างดีว่า เรื่องที่เว่ยหงจวินถูกตี ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับชิวเหวินตง แต่การที่ตัวเองบุกเข้ามาหาเรื่องถึงที่ คำว่า “เหตุผล” คำนี้ต้องยึดไว้
“เว่ยหงจวินเหรอ”
ชิวเหวินตงเมื่อได้ยินถึงกับตะลึง คิดสักพักหนึ่งแล้วพูดว่า “ใช่เหล่าเว่ยที่เมื่อก่อนเปิดร้านอาหารในหูท่ง ต่อมาก็มาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ใช่ไหม”
“ใช่เขาเอง คนคุ้นเคยกันคุณก็ลงมือด้วยเหรอ” ทุกคำพูดของเยี่ยเทียนเหมือนจะกัดชิวเหวินตงให้ตาย
“คุณเยี่ย คุณเข้าใจผิดแล้ว ถึงผมกับเหล่าเว่ยจะไม่สนิทกันมาก แต่ก็เป็นเพื่อนดื่มเหล้าด้วยกัน ทำไมผมถึงจะให้คนไปตีเขาด้วยล่ะ”
ชิวเหวินตงตะโกนออกมา เขาตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าเพื่อนเก่าของเขาที่เคยช่วยงานในบริษัทรักษาความปลอดภัย มักจะรับงานส่วนตัวที่อยู่ด้านนอกเป็นประจำ
“เฟ่ยเฮ่อเหว่ยเป็นคนของคุณใช่ไหม เขารับเหมางานรื้อถอนของเมืองฝั่งตะวันออก เว่ยหงจวินไม่ได้รับปาก เฟ่ยเฮ่อเหว่ยก็เลยส่งคนมาจัดการ ให้เว่ยหงจวินเข้าโรงพยาบาล คุณคงไม่พูดว่าไม่เกี่ยวข้องกับคุณหรอกใช่ไหม”
เยี่ยเทียนบรรยายเรื่องได้อย่างคล่องแคล่ว โดยเฉพาะตอนที่เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไปหาเว่ยหงจวินถึงที่ แต่ทุกคำที่พูดล้วนแต่ใช้สมญานาม
“บ้าเอ้ย ไอ้คนทรยศคนนี้ คุณเยี่ย เฟ่ยเฮ่อเหว่ยคนนี้เคยทำงานกับผมช่วงหนึ่งถูกแล้ว แต่ตอนที่ผมติดคุกนั้นเขาก็เอาพวกลูกน้องผมไปด้วย ผมกับเขาตอนนี้ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนพูดถึงเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ทันใดนั้นชิวเหวินตงแทบจะหายใจไม่ออก ปีนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเฟ่ยเฮ่อเหว่ย ขโมยของที่สถานีขนส่งสินค้า เขาก็ไม่ต้องไปนั่งในคุกเป็นเวลาสามปีหรอก
เยี่ยเทียนส่ายหน้า พูดว่า “แต่ ตอนที่เขาใช้ชื่อคุณ คุณเองก็ไม่ได้ออกมาพูดอะไรนี่”
เยี่ยเทียนมีแผนรับมือกับเฟ่ยเฮ่อเหว่ยแล้ว เขาจึงพูดหลอกล่อไปมาอ้อมเป็นวงกลม ไม่อย่างนั้นเขาต้อง ขอโทษชิวเหวินตง ที่มาผิดที่ ซึ่งเยี่ยเทียนจะไม่ยอมก้มหัวนี้ลงเด็ดขาด
“ได้ คุณเยี่ย เรื่องนี้ผมต้องรับผิดชอบ เชิญคุณนั่งลงดื่มชาสักแก้วเถอะ ผมจะไปให้หิ้วไอ้สารเลวเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมาให้ได้”
ชิวเหวินตงกัดฟันและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หลังจากโทรศัพท์ติดแล้ว ก็ตะโกนขึ้นว่า “หม่าเหล่าซาน ลากคนที่บริษัทรักษาความปลอดภัยทั้งหมดมาให้ฉันหน่อย จับไอ้สารเลวเฟ่ยเฮ่อเหว่ยมาด้วย อีกครึ่งชั่วโมงพามาหาฉันที่ สำนักวิชาต่อสู้”
“เหอเหอ ผมว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแหละ อาจารย์ลุง คุณสบายใจได้ เหล่าชิวจะจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จอย่างแน่นอน”
รอจนชิวเหวินตงวางโทรศัพท์ลง เฝิงเฮิงอยู่ก็ยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี วันนี้ทั้งคู่ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน ถ้าเกิดการทะเลาะกันจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะช่วยใครดี
“คุณเยี่ย เรื่องนี้ผมเองก็มีความรับผิดชอบ เฟ่ยเฮ่อเหว่ยไอ้สารเลวนั้นทำกับเหล่าเว่ยยังไง กลับไปผมจะตอบแทนเข้าเป็นเท่าตัว” ชิวเหวินตงมีสีหน้าที่ชัดเจน จริงใจ
โบราณพูดกันว่าคนที่มีอำนาจย่อมไม่ทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่า ถ้าฝ่ายตรงข้ามยอมรับก็จะปล่อย เยี่ยเทียนยิ้มออกมา พูดว่า “ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ผมจะบุ่มบ่ามมากเกินไป ไม่โทษคุณหรอก…”
“นี่คือคุณเยี่ยที่มีความสามารถ เชิญนั่ง ลิ่วเอ๋อ หยิบเสื้อคลุมยาวสีแดงตัวใหญ่ตัวสองตัวมาด้วย”
หลังจากที่เชิญเยี่ยเทียนนั่งแล้ว มีคนยกชามารินชาให้อัตโนมัติ เดิมทีบรรยากาศแห่งความตึงเครียด ทันใดนั้นก็ผ่อนคลายลง
“วิชาของลูกศิษย์ยังฝึกไม่ถึงขั้นที่ชำนาญ จำได้ว่าท่าต้านภูผา เมื่อสักครู่ก็ยังรับไม่แข็งแรงพอ การบาดเจ็บของ พี่อู่เฉินครั้งนี้เกรงว่าจะต้องพักรักษาตัวเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน”
เมื่อเห็นอู่เฉินที่กำลังเอนกายบนเก้าอี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าตัวเองรังแกคนอื่นไปบ้าง หลังจากที่คิดมาสักพัก หยิบขวดเซรามิคออกมาหนึ่งขวด พูดว่า “ผมมียาที่ช่วยรักษาการบาดเจ็บที่ปรุงโดยอาจารย์ของผม หลังจากที่ละลายในน้ำดื่มแล้ว สามวันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม”
เยี่ยเทียนเรียกชื่อเฝิงเฮิงอยู่และชิวเหวินตงตรงๆ แต่กลับเรียก พี่อู่เฉิน ก็เป็นขอโทษเขาแล้ว อู่เฉินไม่ใช่ว่าไม่ได้ยินที่ไหนกัน รีบพูดว่า“ขอบคุณคุณเยี่ย อู่เฉินยังฝึกฝนไม่เพียงพอ จึงสู้น้องเซี่ยวเทียนไม่ได้”
เยี่ยเทียนหยิบยารักษาอาการเจ็บออกมา ยาชั้นดีนี้ถือว่ารักษาได้หายหมด บรรยากาศในห้องก็กลับมาเป็นปกติ ทุกคนนั่งจิบชา และสนทนากันในเรื่องทั่ว ๆ ไป
“พี่ตง เฟ่ยเฮ่อเหว่ยกับพวกลูกน้องสารเลวของมันถูกตำรวจจับไปหมดแล้ว”
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง คนกลุ่มหนึ่งทะลักเข้ามาในสำนักวิชา ชายร่างอ้วนตะโกนทันทีที่เข้ามาในประตู
ชิวเหวินตงกวักมือเรียกคนที่นำหน้ามา พูดว่า “เหล่าซาน เป็นยังไงบ้างนายมาเล่าให้เยี่ยเทียนฟังให้ละเอียดหน่อย”
“ดูเหมือนว่าพวกที่เล่นการพนันโดนจับแล้ว คุณเยี่ย นี้…นี่ไม่ใช่เยี่ยเทียนหรอกเหรอ”
หม่าเหล่าซานเดินมาด้านหน้า เมื่อพูดประโยคหนึ่งก็เห็นเยี่ยเทียนที่นั่งบนเก้าอี้ ทันใดนั้นก็มีสีหน้าที่ทั้งตื่นเต้น และกลัวปรากฏขึ้นมา
……
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น