กระบี่จงมา 280.1-286.2

 บทที่ 280.1 ยกมือสังหารเซียนกระบี่

โดย

ProjectZyphon

สุดท้ายดวงจันทร์ก็ลาลับ ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสงตามปกติ


วันใหม่มาเยือนอีกวันหนึ่งแล้ว


ยากนักที่หนิงเหยาจะหลับสนิทขนาดนี้ พอตื่นแล้วก็เช็ดปาก ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ ถือโอกาสขี่กระบี่ลงจากหัวกำแพงมุ่งหน้าไปยังนครทางทิศเหนืออย่างสง่างาม


แม้ว่าเฉินผิงจะเห็นภาพเซียนซือขี่กระบี่ท่องเที่ยวในฟ้าดินมาไม่น้อยแล้ว แรกเริ่มสุดคือหนิงเหยา ต่อมาก็เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ แล้วก็หลิวป้าเฉียว ช่วงเวลาตอนที่นั่งเรือคุนก็ยิ่งได้เห็นอีกหลายคน แต่เวลาหนิงเหยาขี่กระบี่ ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ แน่นอนว่ายังรู้สึกอิจฉาด้วย


เฉินผิงอันกลับไปกินอาหารเช้าที่กระท่อม จากนั้นก็เริ่มเดินเลียบกำแพงทางทิศเหนือ ฝึกหมัดเดินนิ่งจากซ้ายไปขวาเพราะชินทางมานานแล้วจึงหลับตาเดินไปได้ตลอดทาง หนิงเหยาบอกว่าวันนี้อาจจะไม่ได้มาหาเขาที่หัวกำแพง ดังนั้นวันนี้เฉินผิงอันจึงพกอาหารมาด้วย กะว่าจะเดินไปให้ไกลกว่าเดิมอีกนิด


ก่อนหน้านี้คงเป็นเพราะอยู่ใกล้กับสถานที่ฝึกตนของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจึงมีเซียนกระบี่ปรากฏตัวให้เห็นน้อย เฉินผิงอันจึงได้เห็นแค่ผู้เฒ่าแซ่ฉี ละใต้เท้าอิ่นกวานที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางมากเป็นอันดับหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รอจนวันนี้ที่เฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดไปทางขวาเรื่อยๆ จึงได้เห็นผู้ฝึกกระบี่มากขึ้น มีทั้งชายหญิงคนแก่และเด็ก มีทั้งคนหนุ่มสาวที่มาที่นี่เพื่อดึงปณิธานกระบี่ ขัดเกลาวิถีกระบี่ ส่วนใหญ่แล้วจะฝึกเวทกระบี่อยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็ทำความเข้าใจกับมรรคาอยู่เงียบๆ แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่จับกลุ่มกันลาดตระเวนหัวกำแพงเมือง พอเห็นเฉินผิงอันที่ปล่อยหมัดแต่สะพายกล่องกระบี่ไว้ข้างหลัง ทุกคนต่างก็ไม่มีใครทักทายเขา แถมยังมีสีหน้าเย็นชากันทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น


เฉินผิงอันถึงได้เข้าใจความหมายประโยคนั้นของผู้เฒ่าแซ่ฉีมากขึ้น การฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ ไม่มีใครอยากสร้างปัญหาให้ใคร แล้วก็ยิ่งไม่ควรสร้างปัญหาให้กับตัวเอง


เที่ยงตรง เฉินผิงอันนั่งกินหมูแผ่นและขนมที่หนิงเหยาเอามาให้บนหัวกำแพง เขาเคี้ยวอย่างละเอียดกินอย่างตั้งใจ ห่างออกไปไกลมีกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวเดินมา มีกันประมาณยี่สิบกว่าคน พวกเขาออกกระบี่ได้อย่างว่องไวและยังเป็นระเบียบ ร่างกายคล่องแคล่วปราดเปรียว ท่ากระบี่เรียบง่ายแต่พลิกแพลง ปณิธานกระบี่มีแนวโน้มไปในทางเข่นฆ่าสังหาร มืดทะมึนหนักอึ้ง มีผู้ฝึกกระบี่วัยกลางคนแขนเดียวผู้หนึ่งที่ก้าวเดินแผ่วเบาคอยติดตามขบวนมาให้คำชี้แนะอยู่ข้างๆ น่าจะเป็นเพราะมีลูกหลานคนหนุ่มสาวที่เป็นคนแซ่เดียวกับเขาฝึกตนอยู่ในกลุ่มนี้


เฉินผิงอันไม่กล้ามองมาก หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกมองเป็นพวกคนที่แอบมาขโมยเคล็ดวิชากระบี่ที่สืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษของตระกูลผู้อื่น


ผู้ฝึกกระบี่แขนเดียวคนนั้นเห็นว่าเฉินผิงอันกำลังกินอาหาร คิดดูแล้วก็ทำสัญญาณมือท่าหนึ่ง เหล่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวร้องเฮด้วยความดีใจ รีบหยุดการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับกลุ่มสองสามคนนั่งลงบนพื้น ชายหญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังขบวนของพวกเขาอยู่ไกลๆ รีบปลดห่อสัมภาระลง หยิบอาหารกลางวันออกมาส่งให้เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้ด้วยท่าทางนอบน้อม


หนิงเหยาเคยบอกว่าการแบ่งระดับชั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้มงวดมาก ให้ความสำคัญกับการสืบทอดของตระกูลและผลงานการสู้รบที่แท้จริงมากที่สุด


ยกตัวอย่างเช่นใต้เท้าอิ่นกวานคนนั้น ‘อิ่นกวาน’ ไม่ใช่ชื่อ แต่เป็นตำแหน่งขุนนางที่ประหลาดมาก เพราะแม้จะมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าขุนนางตำแหน่งนี้มีหน้าที่อะไรกันแน่ สรุปก็คือยศ ‘อิ่นกวาน’ นี้สืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย รับหน้าที่เป็นผู้ควบคุมกองทัพ ตัดสินโทษ ลงโทษเป็นต้น รุ่นบรรพบุรุษมีประมุขหลายคนที่เป็นพวกไร้ความสามารถ เป็นเหมือนเงาที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สุดท้ายมักจะกลายเป็นพวกลูกขุนพลอยพยักให้กับตระกูลใหญ่แห่งอื่น แต่ใต้เท้าอิ่นกวานรุ่นนี้กลับแตกต่างออกไป


เพราะได้รับการยอมรับว่าเป็นบุคคลอันดับที่สี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่


ในศึกสิบสาม คนที่สองที่ออกรบก็คือ ‘แม่นางน้อย’ ที่มีนิสัยฉุนเฉียวขี้หงุดหงิดคนนี้ ปีศาจใหญ่ที่มีพลังการต่อสู้ล้ำเลิศตนนั้นถึงกับยอมแพ้ถอยออกจากสนามรบไปโดยตรง ทำเอานางที่อยู่บนสนามรบเพียงลำพังโมโหฟาดงวงฟาดงาทุบทำลายพื้นที่รอบด้านนานถึงหนึ่งเค่อเต็มๆ คนของทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่และเผ่าปีศาจต่างก็มองดูนางระบายโทสะอยู่อย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เคยชินเสียแล้ว


หลังจากหนิงเหยาเล่าศึกสิบสามให้ฟังคร่าวๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ นอกจากจะจดจำพลังการต่อสู้สูงสุดของทั้งสองฝ่ายได้แม่นยำแล้ว เฉินผิงอันยังจดจำสกุลลู่แห่งสำนักหยินหยางที่ ‘ความรู้ของตระกูลแพร่ไปครึ่งแผ่นดิน’ ได้ดีเป็นพิเศษด้วย


เพราะหนึ่งเค่อสุดท้ายก่อนที่สงครามจะจบลง ทั้งสองฝ่ายถึงเพิ่งจะเผยลำดับการส่งคนลงสนามรบ ซึ่งนี่น่าจะถือเป็นสงครามใหญ่อีกสงครามหนึ่งที่เงียบเชียบ แต่แท้จริงแล้วกลับเหมือนคลื่นใต้น้ำ


ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ช่วยเอาฤกษ์เอาชัยที่ดีให้แก่ฝั่งของเผ่ามนุษย์ เพียงแต่ว่าทางฝ่ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับแตกพ่ายกลางทางจนแทบจะเสียกระบวนรบ โชคดีที่อาเหลียงปรากฏตัว ช่วยปิดท้ายให้จบลงได้ด้วยดี


หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินหน้าฝึกหมัดต่ออีกครั้ง ระหว่างนี้ยังได้เจอกับผู้เฒ่าแซ่ฉี แต่ว่าคราวนี้ข้างกายผู้เฒ่าแซ่ฉีมีชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาติดตามมาด้วยคนหนึ่ง ผู้เฒ่าแซ่ฉีเก็บพลังอำนาจไว้ภายใน ส่วนบุรุษผู้นั้นกลับปล่อยพลังอำนาจอย่างเต็มที่ มองดูแล้วเหนือกว่าผู้เฒ่าหนึ่งระดับ


เฉินผิงอันไม่ได้เดินขึ้นหน้าไปทักทาย แค่หยุดการเดินนิ่ง ก้มหน้าลงเล็กน้อย กุมหมัดคารวะ


ผู้เฒ่าผงกศีรษะรับด้วยรอยยิ้ม แล้วก็ไม่ได้มาทักทายปราศรัยกับเด็กหนุ่มต่างถิ่นคนนี้เช่นกัน


หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็เจอผู้ฝึกกระบี่วัยฉกรรจ์สองคนที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนหัวกำแพง รวมไปถึงเด็กสาวแขนเดียวคนหนึ่งที่ยืนถือกระบี่ไม่กระดุกกระดิก และกระบี่เล่มที่นางถือก็ใหญ่มาก


พอเฉินผิงอันเห็นพวกเขาก็จะกระโดดลงมาจากหัวกำแพงเงียบๆ อ้อมผ่านพวกเขา รอจนเดินไปไกลมากแล้ว ถึงได้กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงและฝึกเดินนิ่งอีกครั้ง


ช่วงสนธยา เฉินผิงอันยังได้เห็นเซียนกระบี่หลายคนที่ขี่กระบี่บินขึ้นมาจากเบื้องล่างของกำแพงเมืองทางทิศใต้ ข้ามผ่านทางเดินม้าแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังทิศเหนือ


เฉินผิงอันมองท้องฟ้ายามเย็นแวบหนึ่ง กินอาหารเย็นอย่างง่ายๆ แล้วหมุนตัวเดินกลับ


จนกระทั่งกลางดึกถึงกลับมาถึงกระท่อมหลังเล็ก ผลคือพอผลักประตูเข้าไป อาศัยแสงจากดวงจันทร์ที่สาดส่อง เฉินผิงอันมองเห็นว่าใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้นกำลังแอบขโมยกินอาหารของเขา เฉินผิงอันยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงหน้าประตู ‘แม่นางน้อย’ ผมแกละค่อยๆ หันหน้ากลับมา แก้มของนางพองป่อง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นโจรที่ถูกจับได้เลยแม้แต่น้อย กลับยังทำตัวเป็นโจรที่ตะโกนให้จับโจร สายตาที่มองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยแววตำหนิและระแวดระวัง คล้ายกำลังถามว่าเจ้าเป็นใคร มาที่บ้านข้าทำไม


นี่ไม่ใช่หัวขโมยที่เข้าไปลักเล็กขโมยน้อยในบ้านคนอื่น แต่คือโจรภูเขาที่ลงจากเขามาปล้นสะดมชัดๆ


เฉินผิงอันได้แต่ออกจากกระท่อมเงียบๆ แถมยังปิดประตูให้ด้วย


เขากลัวว่าหากสองฝ่ายพูดจาไม่เข้าหูกัน ใต้เท้าอิ่นกวานที่มีพลังการต่อสู้เหี้ยมหาญ มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองผู้นี้จะชักกระบี่ออกมาแทงตนจนพรุน


เฉินผิงอันเดินไปนั่งดื่มเหล้าที่หัวกำแพงเมืองทางเหนือด้านหลังกระท่อม


แล้วจู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงตบดังเพี๊ยะมาจากด้านหลัง เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่านางหุบมือ จากนั้นชี้ไปทางกระท่อม แล้วนางก็ทะยานจากไป


นี่คือกำลังบอกข้าว่าสามารถกลับไปเก็บกวาดซากที่เหลือในห้องได้แล้ว?


เฉินผิงอันพลันปวดหัวแปล๊บ แต่ด้วยความระวังตัวจึงนั่งยังอยู่ที่เดิม รอจนแม่นางน้อยที่สวมชุดตัวโคร่งจากไปไกลแล้วถึงได้เดินกลับไปดูที่กระท่อมรอบหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าอาหารที่หนิงเหยาเอามาให้แทบไม่เหลืออยู่เลย


เฉินผิงอันถอนหายใจหนึ่งครั้ง เก็บกวาดห้องที่เละเทะเรียบร้อยแล้วก็ย้อนกลับไปที่หัวกำแพงอีกครั้ง เริ่มฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มที่เจิ้งต้าเฟิงมอบให้


เขายังคงทำท่าจับกระบี่ยาวที่ไม่มีอยู่จริง และหลักๆ ก็ยังคงฝึกท่าหิมะทลายและท่าสยบเสินโถวซึ่งเป็นบทขึ้นต้น


วันนี้หนิงเหยาไม่ได้มาหาเฉินผิงอันที่หัวกำแพง


ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันจึงกลับไปนอนที่กระท่อม


เช้าตรู่วันที่สองเฉินผิงอันเพิ่งจะตื่นนอนและเดินออกจากกระท่อมไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็เห็นใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น ด้านหลังของนางมีเด็กหนุ่มเด็กสาวตามมาด้วยหลายคน นางก้าวยาวๆ ตรงมาแล้วดิ่งเข้าไปในกระท่อม แต่ไม่นานเด็กหญิงผมแกละก็พุ่งออกจากกระท่อมอย่างขุ่นเคือง นางถลึงตากว้าง พยายามทำท่าให้ดูดุร้าย บางทีนางคงกำลังตำหนิเขาว่าทำไมวันนี้ในห้องถึงไม่มีของให้ขโมยกระมัง


พวกเด็กหนุ่มเด็กสาวที่ลักษณะไม่ธรรมดาด้านหลังของนางต่างก็ทำสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


เฉินผิงอันสีหน้ากระอักกระอ่วน ได้แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


หากไม่เป็นเพราะมียศใต้เท้าอิ่นกวานขวางอยู่ เฉินผิงอันก็อยากจะหยิกแก้มนางสักทีจริงๆ


คราวนี้เด็กหญิงผมแกละโกรธนิดๆ แล้วจริงๆ กำแพงเมืองปราณกระบี่ใต้ฝ่าเท้าของนางสั่นสะเทือนเลือนลั่น นางที่สวมชุดสีดำใหญ่เกินตัวบินทะยานขึ้นสู่ฟ้าสูง พริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงา


ตอนบ่ายหนิงเหยามาที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ฟังเฉินผิงอันเล่าประสบการณ์ที่เพิ่งพบเจอมาจนจบ หนิงเหยาก็พูดยิ้มๆ ว่าไม่ต้องเป็นกังวล ใต้เท้าอิ่นกวานท่านนั้นมีนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ที่เคยถูกนางเล่นงานมีนับไม่ถ้วน แต่อันที่จริงนางเป็นพวกบ้ายอที่เอาใจได้ง่ายมาก นางชอบฟังคนอื่นพูดจาชื่นชม ของสวยๆ งามๆ ที่ใครมอบให้ นางล้วนรับไว้หมด แต่หลังจากที่นางกินจนเกลี้ยงหรือเก็บของไปเรียบร้อยแล้ว อย่างมากก็แค่ยิ้มให้ ไม่เคยจดจำน้ำใจของใคร หากทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานไม่พอใจ ใครก็ช่วยไม่ได้ ดังนั้นก่อนที่นางจะลงมือ พวกคนดวงซวยของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็จะเริ่มแกล้งตายก่อนแล้ว แล้วนางก็จะรู้สึกว่าลงมือต่อยตีเศษสวะประเภทนี้จะทำให้มือนางสกปรก จึงมักจะปล่อยผ่านไป อีกอย่างนางก็ไม่ใช่คนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นนัก ซึ่งมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งว่านางจำคนพวกนั้นไม่ได้


หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงบอกว่า ได้ยินสหายเล่าว่าใต้เท้าอิ่นกวานมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเจ้าของกระท่อมหลังเล็ก นางชื่นชอบเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน เคยมีคนเห็นคนแซ่เฉาเอาใต้เท้าอิ่นกวานขี่คอ จากนั้นเขาก็ต่อยหมัดเดินอยู่บนหัวกำแพงไปตลอดทาง ตอนนั้นคนที่ผ่านทางมาตกใจจนเกือบขวัญกระเจิง


เฉินผิงอันจึงทอดถอนใจพูดว่าเฉาสือร้ายกาจจริงๆ


หนิงเหยาพูดยิ้มๆ “เมื่อก่อนไม่คุ้นเคยกับเขา แต่หมู่นี้ข้าลองสืบเรื่องของเฉาสือเพิ่มอีกนิดจึงได้ข้อสรุปว่า ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่เดินอยู่บนเส้นทางเดียวกับเฉาสือ อันที่จริงน่าเวทนามาก โดยเฉพาะพวกคนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์”


หนิงเหยารับกาเหล้ามาจากเฉินผิงอัน ดื่มเหล้าหนึ่งอึกจนใบหน้าแดงเรื่อ “หากเปรียบเทียบผู้ฝึกลมปราณแล้ว ถ้าไม่ใช่แค่ในหนึ่งทวีป แต่เอาไปเปรียบเทียบกับใต้หล้าทั้งแห่ง ก็ยากที่จะมีใครได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าเป็นอันดับหนึ่งของขอบเขตเดียวกัน เพราะของนอกกายอย่างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต สมบัติอาคม อาวุธเซียนอะไรพวกนี้ แท้จริงแล้วไม่ถือว่าเป็นของนอกกาย มีหลายครั้งที่ศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายถูกตัดสินด้วยสิ่งของเหล่านี้ ดังนั้นโอกาสและโชควาสนาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่ถูกกำหนดมาแล้วได้หลายเรื่อง ทว่าผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาไม่ค่อยอาศัยสิ่งของเหล่านี้ ซ้ำร้ายยังมีอคติต่อพวกมันด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่าวรยุทธ์ไร้ที่สอง แพ้หรือชนะล้วนชัดเจน”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ตอนอยู่ในตรอกหนีผิง คนแรกที่เขาได้เห็นคือซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี ภายหลังจึงเป็นผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ บวกกับเจิ้งต้าเฟิงที่หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตอย่างยากลำบากก็ได้เดินขึ้นไปบนฟ้า คนเหล่านี้ล้วนทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่างพวกเขากับเทพเซียนบนภูเขา พลังอำนาจของปรมาจารย์ที่ ‘เมื่อข้าช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ใครก็มิอาจเผยอมาประชัน’ ของผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็โดดเด่นอย่างถึงที่สุด


หนิงเหยาคืนกาเหล้าให้เฉินผิงอัน “อันที่จริงข้าเพิ่งจะพูดข้อสรุปได้แค่ครึ่งเดียว เจ้ารู้สึกว่าเฉาสือร้ายกาจ แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าร้ายกาจยิ่งกว่า”


เฉินผิงอันยิ้มกว้างอย่างโง่งม สามารถทำให้แม่นางที่รักรู้สึกว่าตนร้ายกาจได้ ถ้าไม่เรียกว่าร้ายกาจแล้วจะเรียกว่าอะไร?


หนิงเหยาพูดอย่างจริงจัง “เพราะผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในยุคเดียวกัน ต้องมีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถประมือกับเฉาสือได้ และต้องไม่มีใครที่ได้เผชิญพลังอำนาจที่ ‘ไร้ศัตรูทัดทาน’ ของเฉาสือมาก่อน แต่เจ้าไม่เพียงแต่ประมือกับเขา ยังต่อสู้กับเขาถึงสามครั้ง และหลังจากที่แพ้ทุกครั้ง เจ้าก็ยังไม่พ่ายในการแข่งขันทางจิตกับเขา ข้อนี้หาได้ยากมากจริงๆ”


หนิงเหยากระแอมหนึ่งที ยืดตัวนั่งตรง ตบไหล่เฉินผิงอัน “นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ต้องรักษาเอาไว้ พยายามต่อไป”


เฉินผิงอันเห็นว่าหนิงเหยาพูดจาจริงจัง เดิมทีเขาก็รับฟังอย่างตั้งใจ แต่จู่ๆ สังเกตเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของหนิงเหยาจึงรู้ว่านางกำลังเลียนแบบท่าทางของเฉาสือมาแกล้งล้อเลียนตน เฉินผิงอันจึงหัวเราะปากกว้าง เหล้าก็ไม่คิดจะดื่ม “เจ้าเลียนแบบเขาไม่เหมือนเลยสักนิดเดียว”


หนิงเหยามองค้อน “เจ้าเลียนแบบเหมือนงั้นสิ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่อยากเลียนแบบเขา แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเลียนแบบด้วย”


หนิงเหยาส่งเสียงจุ๊ๆ ไม่รู้ว่าชื่นชมหรือหยอกล้อกันแน่


เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ


หนิงเหยาฉลาดถึงเพียงนี้ จึงรู้ทันทีว่าเจ้าหมอนี่เลียนแบบตนตอนอยู่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย จึงทุบไหล่เฉินผิงอันหนึ่งหมัด “ดื่มเหล้าของเจ้าไป!”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างที่นางบอกจริงๆ จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “ว้าว เหล้าวันนี้รสชาติดีมากเป็นพิเศษ”


หนิงเหยาชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือเฉินผิงอันแล้วพลันหน้าแดงก่ำ แจกหมัดเฉินผิงอันอีกหนึ่งที พูดเสียงสะบัด “ผู้ชายไม่มีใครดีสักคน!”


เฉินผิงอันที่ถือน้ำเต้าบรรจุเหล้าหน้าเหวอด้วยความมึนงง


บทที่ 280.2 ยกมือสังหารเซียนกระบี่

โดย

ProjectZyphon

หนิงเหยาลุกขึ้นขี่กระบี่จากไป ยังไม่ลืมหันกลับมาถลึงตาดุดันใส่เขาอีกที


เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ทำหน้าไร้เดียงสา


เกาหัวแกรกๆ แล้วก็ดื่มเหล้าต่อ เฉินผิงอันคิดไปคิดมาก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีอย่างไร


แต่เฉินผิงอันกลับคิดว่าอันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้โกรธ


ก็แค่…เขินอาย


เฉินผิงอันรู้สึกว่ารสชาติที่ล้อมวนอยู่ในหัวใจตอนนี้ไม่ได้แย่เลย และคล้ายว่าจะรสชาติดียิ่งกว่าสุราเลิศรสเสียอีก


มีบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ขี่กระบี่ผ่านมาเห็นภาพนี้โดยบังเอิญ ซึ่งก็คือบุรุษคนที่ตอนนั้นเดินอยู่ข้างกายผู้เฒ่าแซ่ฉี เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นคนดื้อดึงที่ไม่มีไหวพริบนี่เอง”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าเสร็จแล้วก็รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ลุกขึ้นฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู


แสงจันทร์สาดส่องอยู่ในอ้อมอก รัศมีอ่อนโยนอาบทออยู่บนบ่า ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบสงบ


เมื่อฟ้าเริ่มสาง เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น เขาค้นพบว่าตัวเองยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิกมาเป็นครึ่งๆ คืน


เฉินผิงอันรู้สึกหวาดกลัว นี่หากไม่ทันระวังตกลงไปจากกำแพงเมือง คนอื่นอย่างใต้เท้าอิ่นกวานไร้ร่องรอยขีดข่วน แต่เขาต้องกลายเป็นกองเนื้อเละๆ อยู่ใต้ฐานกำแพงเบื้องล่างอย่างแน่นอน


เฉินผิงอันทำท่ายืดเส้นยืดสายอยู่สองสามท่า กระโดดลงมาจากหัวกำแพง กลับกระท่อมไปกินอาหารเช้าที่เมื่อคืนหนิงเหยาจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็ฝึกเดินนิ่งที่ไร้รสชาติน่าเบื่อหน่ายเลียบตามหัวกำแพงไปทางขวาอีกครั้ง


ตลอดทางที่เดินไปเฉินผิงอันได้เจอกับเด็กหนุ่มตัวอ้วนที่ใบหน้าอมยิ้ม แต่ปราณสังหารกลับท่วมท้น เขายังใช้กฎเดิมคือกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินอ้อมผ่านไป แล้วค่อยกลับขึ้นหัวกำแพงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ได้เห็นเด็กหนุ่มหล่อเหลา ลักษณะนุ่มนวลคนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพง ก่อนจะตามมาด้วยเด็กหนุ่มผิวดำเกรียมที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบาก สุดท้ายคือเด็กสาวแขนเดียวที่แบกกระบี่เล่มยักษ์ เพียงแต่วันนี้ข้างกายนางมีเด็กสาวเพิ่มมาหลายคน พวกนางปูผ้าแพรต่วนแล้ววางของกินเล่นที่ทำขึ้นอย่างประณีตไว้จนเต็ม ราวกับเห็นหัวกำแพงที่กว้างขวางเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชานเมือง


เมื่อเฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพงไปเดินบนทางเดินม้าอีกครั้ง พวกนางต่างก็พากันหันหน้ามามองเขา


ตอนที่เดินสวนทางกับพวกนางไกลๆ พวกนางยังหันมาชี้ไม้ชี้มือใส่เฉินผิงอันด้วย


เฉินผิงอันรู้สึกชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ


อันที่จริงเขารู้ชัดเจนดีว่า คนเหล่านี้ต้องเป็นสหายที่หนิงเหยาเคยเล่าให้ฟังก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน อีกทั้งคนเหล่านี้ต่างก็เป็นสหายที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับนาง


นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันตำหนิตัวเองที่สวมรองเท้าสาน


ครั้งแรกคือตอนที่อยู่เมืองหลวงต้าสุย เพราะกลัวว่าจะทำให้พวกหลี่ไหวขายหน้า เขาจึงตั้งใจซื้อร้องเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ แต่เพราะไม่ได้ไปสำนักศึกษาซานหยาที่ตั้งอยู่บนภูเขาตงซาน กลับกันคือเดินทางออกจากเมืองหลวงพร้อมกับชุยฉาน จึงสวมเพียงครู่เดียวแล้วก็ถอดออก เปลี่ยนมาสวมรองเท้าแตะสานด้วยฟางที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุด


เฉินผิงอันจึงหวังให้ตัวเองในเวลานี้แต่งกายดีขึ้นอีกนิด แม้จะไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียนอย่างพวกเฉาสือ ชุยฉาน แต่ก็ต้องสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยคล้ายกับหลินโส่วอี ทางที่ดีที่สุดคือให้มีกลิ่นอายของตำราอยู่นิดๆ ต่อให้จะเป็นแค่ชั่วคราวก็ยังดี ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผมอีกครั้ง ตรงเอวก็ไม่ต้องห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แล้ว กล่องกระบี่ก็ไม่ต้อง…


เฉินผิงอันเดินหน้าต่ออีกครั้ง ถอนหายใจอยู่ในใจ รู้สึกเสียดายเล็กน้อย


เพียงแต่ว่าเดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็หัวเราะ ยกเท้าขึ้น ก้มหน้ามองรองเท้าสานบนเท้าตัวเอง “เจ้าเพื่อนยาก ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้านะ เจ้าทนลำบากทนคำต่อว่า ข้าซาบซึ้งใจมาก เจ้าก็เห็นว่าสหายทั้งหลายที่พังไประหว่างการเดินทาง ข้าล้วนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่คู่เดียว พวกมันต่างก็พักรักษาตัวอยู่ในท้องของสืออู่ อืม ในตำราบอกว่านี่เรียกว่าการดูแลสุขภาพในวัยชรา ฮ่าๆ แต่ถ้าคิดจะถือลูกกวาดหยอกล้อหลาน (เปรียบเปรยถึงคนเฒ่าคนแก่ที่ใช้ชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข) ล่ะก็ แบบนั้นคงสร้างความลำบากใจให้ข้าเกินไปหน่อย…”


เฉินผิงอันที่พึมพำอยู่กับตัวเองไม่ทันสังเกตเห็นว่า พวกคนที่พากันมาแอบดูว่าเขาคือเทพจากฝ่ายไหนพากัน ‘ร่วงกราว’ ลงมาจากหัวกำแพงอย่างลนลาน ที่แท้หนิงเหยาขี่กระบี่ทะยานขึ้นมาบนหัวกำแพง เด็กหนุ่มตัวอ้วน ต่งถ่านดำและเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาต่างก็พากันเผ่นหนีกระเจิดกระเจิง ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นก็พยายามกลั้นยิ้ม รีบร้อนเก็บห่อสัมภาระแล้วขี่กระบี่ไปจากหัวกำแพง


เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าหนิงเหยาขี่กระบี่มาแล้วหยุดกึกอยู่กลางอากาศสูงนอกกำแพงเมือง จากนั้นค่อยๆ บินช้าๆ ด้วยความเร็วที่เท่าเทียมกับการเดินนิ่งของเฉินผิงอัน


หนิงเหยากล่าวอย่างระอาใจ “ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


แล้วหนิงเหยาก็ขี่กระบี่แหวกอากาศวาดให้เกิดเส้นโค้งที่งดงามพลางทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “ข้ายังมีธุระ พรุ่งนี้จะมาหาเจ้า”


ไปกลับครั้งนี้ เฉินผิงอันยังคงกลับมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับกระท่อมสองหลังในช่วงกลางดึก คราวนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ผู้เฒ่าถึงมายืนอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ คล้ายกำลังยืนมองนครใหญ่ที่ไม่มีกำแพงโอบล้อมแห่งนั้น เฉินผิงอันวิ่งเร็วๆ ไปหา ตะโกนเรียกว่าท่านปู่เฉินหนึ่งที ผู้เฒ่าถอนสายตากลับ พยักหน้ารับ จากนั้นชี้นิ้วไปทางทิศเหนือ “คนเพียงเท่านี้ อาจจะยังเทียบเท่าจำนวนคนที่อยู่ในทวีปแห่งหนึ่งของใต้หล้าไพศาลไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่กลับสกัดกั้นเผ่าปีศาจมาได้นานหลายปีขนาดนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังรู้สึกแปลกใจ”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงไม่ได้พูดอะไรออกไป


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าหันหน้ามามองเฉินผิงอันยิ้มๆ “เฉินผิงอัน พวกเราถือว่าเข้ากันได้ดีพอสมควร ถูกไหม?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ


ผู้เฒ่าถามต่อ “แต่หากข้าบอกว่าข้าเข้ากับเฉาสือได้ดียิ่งกว่า มีความหวังในตัวเขาสูงกว่าเจ้าล่ะ?”


เฉินผิงอันยังคงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร


ผู้เฒ่าไม่รีบร้อนอยากฟังคำตอบ แค่มองตาของเฉินผิงอัน และยิ่งมองใจของเฉินผิงอัน


ผู้เฒ่ารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย


คราวนี้ ‘เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า’ ที่อาเหลียงเรียกขานถึงกับใช้วิชาอภินิหารเวทกระบี่ชี้ตรงไปที่ใจคน พุ่งสู่จุดลึกของจิตวิญญาณ


ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง


ที่แท้ตัวอ่อนที่ดีในการฝึกตนคนหนึ่ง หากโชคดีมีชีวิตอย่างราบรื่น เมื่ออยู่ที่ภูเขาห้อยหัวของใต้หล้าไพศาล ฝึกตนถึงขอบเขตเซียนพสุธาก็คงไม่ใช่เรื่องยาก น่าเสียดายที่ถูกคนทำลายชะตาชีวิตเสียจนไม่เหลือชิ้นดี เหมือนเครื่องกระเบื้องที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนหน้าที่สะพานแห่งความเป็นอมตะจะถูกสะบั้นขาดก็ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ยิ่งกว่ามาแล้ว


สภาพจิตใจ กระจกหัวใจ (ทั้งสองคำอ่านว่าซินจิ้งเหมือนกัน แต่เขียนต่างกัน)


เศษกระจกที่แตกมีเล็กมีใหญ่ ผู้เฒ่ามองเห็นเศษชิ้นส่วนที่ใหญ่ที่สุดหลายชิ้น ภาพที่บรรจุอยู่ด้านในซึ่งสะท้อนออกมาผ่านกระจกแตกต่างกันออกไป


หากสภาพจิตใจเฉินผิงอันไปปรากฏอยู่ในสายตาอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีตบะสูงส่งอาจจะมีภาพค่อนข้างมาก และแน่นอนว่ายังต้องเป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่งขึ้นในเวลาเดียวกัน


นี่ทำให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเห็นต้นสายปลายเหตุมากกว่าเดิม


พูดไม่น่าฟังสักหน่อย นี่คือขั้นตอนที่คล้ายคลึงกับการเลี้ยงกู่ (ในสมัยโบราณมีการนำแมลงพิษหลายชนิดมาไว้ในภาชนะเดียวกันให้พวกมันกินกันเอง แมลงพิษตัวสุดท้ายที่รอดชีวิตจะถูกเรียกว่ากู่ และกู่จะถูกนำไปทำคุณไสยทำร้ายคนอื่น) ไม่ใช่แค่ผู้อ่อนแอต้องก้มหัวกราบกรานให้กับผู้แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เป็นการพ่ายแพ้ที่ต้องถูกกลืนกินไปอย่างสิ้นเชิง


หลายปีที่ผ่านมานี้เด็กหนุ่มน่าจะพยายามประกอบเศษกระเบื้องเครื่องปั้นเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังไม่เป็นตัวของตัวเองนัก


แต่หากพูดให้น่าฟังสักหน่อย นี่ก็ถือเป็นวิธีที่ค่อนข้างยอดเยี่ยม สมกับคำว่าวิถีฟ้าดำเนินไปอย่างแข็งขัน คนจึงต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง สุดท้ายเศษกระเบื้องแต่ละแผ่นจึงยิ่งเจิดจ้าสะดุดตา ประหนึ่งดวงอาทิตย์และดวงจันทราที่ลอยอยู่กลางอากาศจนหมู่ดาวหม่นแสง


การแข่งขันทางจิตใจไม่ได้เกี่ยวข้องกับตบะว่าสูงหรือต่ำเท่าใดนัก ดังนั้นจึงอันตรายอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกลมปราณมีคำกล่าวและวิธีลับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคำว่าถามใจตัวเอง ด่านเคาะหัวใจ วิญญูชนหมั่นทบทวนตน หรือขจัดมารในใจ


ดังนั้นจึงมีวิชานอกรีตและวิชามารเกิดขึ้น โดยวิชาเหล่านี้จะแบ่งเป็นวิธีนิมิตภาพที่อยู่ในระดับธรรมดา ไม่เข้าเกณฑ์ มีวิธีลัดมากมาย ซึ่งในสายตาของตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักไม่เห็นว่าถูกทำนองคลองธรรม สรุปคือความรู้ที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้มีมากมาย อีกทั้งยังซับซ้อนมาก เหมือนเทือกเขาที่แต่ละยอดเขามีทั้งสูงและต่ำ


ส่วนขงจื๊อ พุทธ เต๋าก็คือเทือกเขาใหญ่สามสายที่ตั้งตนเป็นอิสระ สมกับคำกล่าวที่ว่าตั้งสำนักเรียกตนเป็นบรรพบุรุษ


สำนักการทหารคือเทือกเขาหัวขาดเส้นหนึ่ง ขาดอีกแค่นิดเดียวก็จะทำสำเร็จแล้ว


สำนักโม่ที่เคยเป็นหนึ่งในสี่ผู้มีความรู้ยิ่งใหญ่ก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน


ก็เหมือนกับลำคลองใหญ่และแม่น้ำใหญ่ที่ไม่ว่าจะกว้างแค่ไหน แต่สุดท้ายไม่สามารถไหลลงสู่มหาสมุทร ขาดอีกแค่ก้าวเดียวเท่านั้นถึงจะกลายเป็นสายน้ำใหญ่สำเร็จได้


สุดท้ายเฉินผิงอันก็ยังไม่ได้ให้คำตอบ


แต่เซียนกระบี่ผู้เฒ่ากลับได้คำตอบแล้ว


ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้าคุยเรื่องหลักการและเหตุผลกับแม่หนูหนิงเหยา ข้าแอบได้ยินโดยบังเอิญ เจ้าอยากจะฟังความเห็นของคนพูดมากที่อาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างข้าบ้างหรือไม่?”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับทันที


ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าสามารถบอกเคล็ดลับอย่างหนึ่งแก่เจ้าได้ เป็นเคล็ดลับที่ทั้งมีเหตุผล และช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ไม่เลว ไม่มีทางที่ในอนาคตจะทำให้ตัวเองต้องอัดอั้นจนตายอย่างแน่นอน”


ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกายจ้า “เชิญท่านผู้อาวุโสบอกมาได้เลย!”


ผู้เฒ่าหัวเราะเบาๆ “ฟังให้ดีล่ะ นั่นก็คือมีชีวิตให้เป็นแบบที่เจ้าควรจะบอกกับตัวเองว่า…”


ผู้เฒ่าหยุดชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “ข้าใครๆๆ …อืม ยกตัวอย่างเช่นข้าต้องพูดว่า ‘ข้าเฉินชิงตู’ ส่วนเจ้าก็ต้องพูดว่า ‘ข้าเฉินผิงอัน’”


กล่าวมาถึงตรงนี้ผู้เฒ่าก็หัวเราะกับตัวเอง


เฉินผิงอันจึงหัวเราะตามไปด้วย


สุดท้ายผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง หลังค้อมลงเล็กน้อย สายตาที่ราบเรียบมองไปยังเมืองที่เงียบสงบแห่งนั้น “ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องมาชั่วชีวิต ถือว่ามีเหตุผลยึดหลักการมามากพอแล้ว ถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกผิด แต่พวกเจ้ายังทำตัวเฮงซวยแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอโทษที คราวนี้ข้าจะไม่ใช้เหตุผลกับพวกเจ้าแล้ว”


เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟังผู้เฒ่าเงียบๆ


ผู้เฒ่าหรี่ตาลง “แน่นอนว่าจำนวนครั้งจะมากเกินไปไม่ได้ หนึ่งร้อยปีจะมีสักครั้งสองครั้งก็ไม่เป็นปัญหา ยกตัวอย่างเช่นแบบนี้”


ผู้เฒ่าค่อยๆ ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปทางทิศเหนือ เป็นแค่การยกมือง่ายๆ เท่านั้น แต่ม่านราตรีผืนมหึมาที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับเหมือนผ้าดำที่ถูกฉีกขาด วินาทีนั้นแสงสว่างพลันเจิดจ้า แต่สุดท้ายกลับเหลือเพียงเส้นแสงที่เล็กบางแต่กลับสะดุตาอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง มันร่วงหล่นลงมาจากฟ้า กระแทกลงบนตำแหน่งหนึ่งกลางเมือง จากนั้นบนพื้นก็มีแสงสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดพร่าง ราวกับว่านาทีนี้มีร่างทองของเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งพังทลายลง


เฉินผิงอันอ้าปากกว้าง


ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ดื่มเหล้าระงับความตกใจสักคำเถอะ”


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ยื่นส่งไปให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่า


ผู้เฒ่าเฉินชิงตูที่ความตั้งใจเดิมคือหยอกเย้าเด็กหนุ่มข้างกายไม่ได้ยื่นมือมารับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แต่หมุนตัวกลับ เดินโคลงศีรษะจากไปช้าๆ เขากระโดดลงจากหัวกำแพงเบาๆ พลางพึมพำกับตัวเองว่า “นังหนูโง่มาเจอกับเจ้าเด็กโง่ เหมาะสมกันอย่างยิ่ง”


บทที่ 281.1 แค่จากลาเท่านั้น

โดย

ProjectZyphon

บางแห่งในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นราวกับไม่เห็นด้วยที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าฆ่าคนอย่างกะทันหัน แต่กลับไม่อยากออกหน้ามาถกเถียงด้วย


ข้างกายคนที่ถอนหายใจมีเสียงแก่ชราดังขึ้นตามมา “ก็แค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินชิงตูลงมือเพราะมีเหตุผล เจ้าก็อดทนไว้หน่อยเถอะ”


คนที่ถอนหายใจถอนหายใจซ้ำอีกรอบ


เสียงแก่ชราหัวเราะอย่างอ่อนใจ พยายามอธิบายเต็มที่ “อธิบายกฎของลัทธิขงจื๊อพวกเจ้ากับเฉินชิงตู ก็เหมือนไก่พูดกับเป็ด จะมีความหมายอะไร? อีกอย่างความรู้ลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าก็กล่าวไว้ว่าให้ ‘เรียนรู้จากคนใกล้ตัว’ ไม่หวังเป็นศาสดา ไม่หวังเป็นอมตะ มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าไม่สูงและไม่ไกล แล้วจะต้องตำหนิคนอย่างเฉินชิงตูที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบมาตลอดเวลาไปทำไม? ขอแค่เจ้าไม่ใช้มาตรฐานของอริยะไปวัดเฉินชิงตู ทุกอย่างก็ง่ายมากแล้ว”


คนผู้นั้นเอ่ยเสียงเฉยชา “ไม่ว่าครั้งใดก็ตามที่เฉินชิงตูไม่ใช้เหตุผล ผลกระทบที่เขาสร้างขึ้น เกรงว่าต่อให้คนธรรมดาไม่ใช้เหตุผลหนึ่งหมื่นครั้งก็ยังเทียบไม่ได้”


ผู้เฒ่าหัวเราะ “เฉินชิงตูเป็นผู้ฝึกกระบี่ เจ้าคือปัญญาชนขงจื๊อ เหมือนกันซะที่ไหน”


ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อผู้นั้นเงียบไปนาน สุดท้ายพึมพำเบาๆ ว่า “จอมปราชญ์ขงจื๊อวิ่งเต้นเหนื่อยยากเพื่อสิ่งใด? เดินทางท่องไปทั่วหล้า โลกก็ยังชั่วร้ายและเสื่อมทราม”


ผู้เฒ่าที่โน้มน้าวไม่ได้ผลถอนหายใจหนึ่งที


กลางนครที่อยู่ทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนแผดเสียงดังก้อง “เฉินชิงตู!”


รุ้งยาวเส้นหนึ่งพุ่งจากพื้นที่ราบ หอบหุ้มพลังอำนาจรุนแรงอย่างที่ใครก็ไม่อาจขัดขวางพุ่งตรงไปยังหัวกำแพงเมือง


ผู้เฒ่าหลังค่อมที่กระโดดลงจากหัวกำแพงเมืองไปแล้วขมวดคิ้ว สะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ กระชากเอาเฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงให้มาอยู่ด้านหลังตัวเอง ส่วนตัวเขาก็มายืนแทนตำแหน่งที่เฉินผิงอันยืนอยู่ก่อนหน้านี้พอดี ปะทะกับผู้ฝึกกระบี่ที่พุ่งมาอย่างดุดันผู้นั้นซึ่งๆ หน้า ผู้เฒ่าหรี่ตากล่าวว่า “ทำไม ลูกหลานในตระกูลเจ้าเป็นหนอนบ่อนไส้ให้เผ่าปีศาจ ยังคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกอีกรึ?”


ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นลอยตัวอยู่ห่างจากนอกหัวกำแพงไปสี่ห้าจั้ง คือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่หนวดเคราเป็นสีขาวหิมะ มีบารมีน่าเกรงขามอย่างถึงที่สุด ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดและมีวิชากระบี่สูงที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าท่านนี้ก็ยังไร้ความยำเกรง ซักไซ้เอาความด้วยสีหน้าโกรธเคือง “ตระกูลต่งของข้าย่อมมีกฎบ้าน มีวิธีจัดการกับคนทรยศเป็นของตัวเอง ถอยไปพูดหมื่นก้าว อิ่นกวานยังไม่ได้ตัดสินว่าความผิดของหลานข้าหนักหรือเบา เจ้าเฉินชิงตูมีสิทธิ์อะไรมาจัดการต่งกวานพู่?!”


ผู้เฒ่าที่ตั้งแต่หนวดเคราไปจนถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ต่างก็เป็นสีขาวหิมะมีท่าทีบีบคั้นเอาเรื่อง เขาเพิ่มระดับน้ำเสียงให้สูงขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าต่งซานเกิงตายไปแล้วหรือไง?!”


ใบหน้าของเฉินชิงตูเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “ก่อนหน้าที่ต่งกวานพู่จะตายภายใต้คมกระบี่ของข้า ข้าคิดว่าเจ้าต่งซานเกิงตายไปแล้วจริงๆ เส้นสายของเผ่าปีศาจที่อยู่ในตระกูลให้เห็นทนโท่ ตระกูลต่งของเจ้ายังต้องใช้เวลาตรวจสอบถึงหนึ่งเดือน เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากเปลี่ยนเป็นสกุลอื่น ยกตัวอย่างเช่นสกุลเฉิน ให้เวลาวันหนึ่งยังรังเกียจว่ามากไปเลย!”


ไฟโทสะของผู้เฒ่าแซ่ต่งที่บุกมาจากในเมืองพุ่งสูงเสียดฟ้า “เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งที่ยินดีจะปรับปรุงตัว ทำความดีไถ่โทษไม่เป็นประโยชน์ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่มากกว่าศพศพหนึ่งหรอกหรือ?”


แม้แต่จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ เฉินชิงตูยังคร้านจะพูด เขาเพียงหัวเราะหยันกล่าวว่า “ใต้คมกระบี่ของข้ายังจะเหลือศพด้วยรึ? หรือว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยคนนี้แอบเลื่อนสู่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว?”


ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เรียกตัวเองว่าต่งซานเกิงถลึงตาปูดโปน ปณิธานกระบี่ทั่วร่างไหลเชี่ยวกรากประหนึ่งคลื่นลูกยักษ์ที่โถมกระทบกำแพงเมือง ส่งเสียงดังครืนครั่น


เฉินชิงตูเลิกคิ้วสูง “ทำไม จะลงมืองั้นรึ?”


ต่งซานเกิงเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว โมโหจัดจนกลายเป็นหัวเราะ “คนอื่นต่างก็กลัวเจ้าเฉินชิงตู แต่ข้าไม่กลัว! ลงมือก็ลงมือสิ มีอะไรให้ต้องไม่กล้ากัน?!”


น้ำเสียงไร้เดียงสาดังขึ้นมาจากหัวกำแพงที่ห่างไปไกล ถ้อยคำที่กล่าวค่อนไปทางเศร้าสร้อยและน้อยเนื้อต่ำใจ “พอเถอะ ต้องโทษข้า ข้าตัดใจให้ต่งกวานพู่ตายเร็วขนาดนั้นไม่ลง ถึงอย่างไรเสี่ยวต่งก็คือหนึ่งในคนไม่กี่คนที่ข้าชอบมากที่สุด ตอนนี้ข้าชอบเฉาสือมากเท่าไหร่ ในอดีตก็ชอบเสี่ยวต่งขี้มูกยืดมากเท่านั้น ในเมื่อตอนนี้เขาตายไปแล้ว…ก็ให้แล้วกันไปเถอะ”


คนที่ส่งเสียงก็คือแม่นางน้อยผมแกละที่สวมชุดคลุมสีดำตัวใหญ่ ใต้เท้าอิ่นกวานในรุ่นนี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่


โดยที่ไม่ทันมีใครรู้ตัว บริเวณโดยรอบหัวกำแพงก็มีผู้ฝึกกระบี่ชั้นบนสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านปรากฎตัวอยู่ไกลๆ บ้างก็เป็นเจ้าประมุขตระกูลใหญ่ บ้างก็เป็นเซียนกระบี่ที่มีพลังการต่อสู้เป็นเอก


มีเพียงอริยะสองท่านที่มีคุณสมบัตินั่งในตำแหน่งทัดเทียมกับเฉินชิงตูเท่านั้นที่ไม่ได้มา


บุรุษหน้าตาหล่อเหลาลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนตวาดกร้าว “ต่งซานเกิง เรื่องนี้เจ้าทำไม่ถูก ผิดมาตั้งแต่แรกแล้วด้วย! ตลอดหลายปีมานี้เจ้าฝากความหวังไว้ที่ต่งกวานพู่มากเกินไป ถึงได้ทำให้จิตแห่งกระบี่ของต่งกวานพู่เปลี่ยนไปเป็นสุดโต่งขนาดนั้น เขาดึงดันจะไปหาประสบการณ์ในใจกลางถิ่นของเผ่าปีศาจเพียงลำพัง ถึงได้ก่อหายนะครั้งนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีต่งซานเกิง มีอาเหลียงแล้วก็ยังสามารถมีต่งกวานพู่เพิ่มขึ้นมาได้อีกคน ข้ารู้สึกว่าไม่ใช่ แต่เขาไม่ฟังก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน แต่เจ้าล่ะ? เจ้าจะไม่รู้ถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่บ้างเลยหรือ?”


ต่งซานเกิงสีหน้าเย็นชา “ลูกหลานตระกูลต่งของข้าสมควรต้องมีใจทะเยอทะยานอยู่แล้ว ทำไมข้าต้องห้ามเขาด้วย? ข้าอยากจะให้ลูกหลานตระกูลต่งของข้าทุกคนมีวิถีกระบี่สูงกว่าข้าต่งซานเกิงด้วยซ้ำ!”


กล่าวถึงตรงนี้ต่งซานเกิงก็หลุดหัวเราะพรืด “ถึงอย่างไรตระกูลต่งของพวกเราก็ไม่ได้เป็นอย่างตระกูลเฉิน ฉี และตระกูลน่า ไม่ได้มีแผนการในใจที่แยบยลมากมายขนาดนั้น”


ไม้นี้ที่ชายชราผู้กำเริบเสิบสานฟาดออกไป เรียกได้ว่าตีหน้าคนเกือบครึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่


บุรุษหล่อเหลาผู้นั้นแค่นเสียงเย็นหนึ่งครั้งแล้วไม่พูดอะไรอีก


เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าผู้เฒ่าแซ่ฉีก็รวมอยู่ในคนเหล่านี้ด้วย เวลานี้เขาเปิดปากพูดเนิบช้า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วจะยังทำอะไรได้อีก? ศัตรูตัวฉกาจมาอยู่ตรงหน้า พวกเรายังจะขัดแย้งกันเองภายในอีกรึ?”


ผู้เฒ่าแบกกระบี่ใบหน้าแห้งตอบสวมคลุมตัวยาวคนหนึ่งพยักหน้ารับเบาๆ “ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำก็คือรับมือกับการโจมตีจากเผ่าปีศาจเสียก่อน จะมาทะเลาะกันเองไม่ได้ จะทำให้พวกเดรัจฉานที่อยู่ทางทิศใต้พวกนั้นได้เปรียบซะเปล่าๆ”


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าไม่สนใจทั้งสองท่านที่หวังดีทำตัวเป็นกาวประสานใจ ยิ่งไม่มีท่าทีจะไกลี่เกลี่ยปัญหายุติความขัดแย้ง เขาจ้องต่งซานเกิงเขม็งพลางยิ้มพูดว่า “หากสร้างความชอบสามารถไถ่โทษได้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าก็สามารถฆ่าเจ้าต่งซานเกิง จากนั้นให้อิ่นกวานฉีกหน้าบันทึกคุณความชอบไม่กี่หน้าของเจ้าทิ้ง ก็เท่ากับว่าจบเรื่องกันแล้วใช่ไหม?”


ต่งซานเกิงพูดไม่ออกทันที


บรรยากาศพลันกระอักกระอ่วน แข็งค้างและหนักอึ้ง


เฉินผิงอันที่มองเห็นภาพนี้จากด้านหลังเซียนกระบี่ผู้เฒ่ารู้สึกเพียงว่าหลังจากคนเหล่านี้ปรากฏตัว ปราณกระบี่บนหัวกำแพงเมืองก็เริ่มหนักมากขึ้น กดทับจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก


ต่งซานเกิงพลันหันหน้าไปมองรอบด้านแล้วตวาดว่า “มาดูเรื่องสนุกหามารดาเจ้า มาร่วมความครึกครื้นหามารดาเจ้ารึ ไสหัวไป!”


เสาหลักของกำแพงเมืองปราณกระบี่สิบกว่าท่านรู้ว่าผู้เฒ่าต่งกำลังหาบันไดลงให้กับตัวเอง วันนี้เขาที่หวังว่าจะมาชวนทะเลาะลงไม้ลงมือก็คงไม่ได้ทำอย่างใจหวังแล้ว ทุกคนจึงพากันหายตัวไป กลับไปยังนครทางทิศเหนือ


เมื่อทุกคนพากันกลับไป เฉินผิงอันถึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าหนิงเหยาก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย นางขี่กระบี่ขยับเข้าใกล้หัวกำแพงช้าๆ ต่งซานเกิงชำเลืองตามองแม่นางน้อยแล้วพูดเสียงขุ่น “นังหนูหนิง อย่าได้ทำตัวเหมือนพ่อแม่ที่ไร้ค่าของเจ้า ข้ายังคงชอบเจ้ามาก”


หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์


ต่งซานเกิงก็ไม่ถือสา หมุนตัวก้าวยาวๆ เหยียบลมกลับเมืองไป


ใต้เท้าอิ่นกวานที่ยืนอยู่บนหัวกำแพงคือคนที่ไม่สนใจใยดีอะไรมากที่สุด เพราะเอาแต่แอบหาวอยู่ตลอดเวลา เวลานี้นางพลันขมวดคิ้ว ทำท่าทางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็อ้าปากกว้าง ยื่นนิ้วโป้งไปดันฟันซี่ที่อยู่ไม่เป็นสุขแล้วโยกเบาๆ สุดท้ายก็ยังตัดใจดึงมันออกมาไม่ได้จึงหุบปาก หมุนตัวกลับแล้วเดินพึมพำจากไปไกล


ดูเหมือนเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉินชิงตูจะเคยชินกับเหตุการณ์อย่างค่ำคืนนี้มานานแล้ว จึงหันไปส่งยิ้มให้หนิงเหยา แล้วกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินไปยังกระท่อมของตัวเอง


เฉินผิงอันกระโดดกลับขึ้นไปหัวกำแพง ไปยืนเคียงไหล่กับหนิงเหยา


หนิงเหยาไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหรนัก “กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นอย่างนี้มาโดยตลอด ยังดีที่กฎข้อที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”


เฉินผิงอันหันมามองหนิงเหยาด้วยความใคร่รู้


หนิงเหยาจึงตอบช้าๆ ว่า “ปลายกระบี่ชี้ไปทางใต้”


คำง่ายๆ แค่สี่คำก็ทำให้จิตใจของเฉินผิงอันเริ่มแกว่งไกว สั่นสะเทือนไม่หยุด


เฉินผิงอันอดหันหน้าไปมองทางทิศใต้ไม่ได้


หนิงเหยาเอื้อมมือไปปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอันมาด้วยตัวเองแล้วเริ่มดื่มเหล้า


เฉินผิงอันถอนสายตากลับ ถามเบาๆ ว่า “ต่งกวานพู่ที่เป็นคนทรยศ ใช่คนประเภทเดียวกับที่เจ้าพูดถึงไหม? คนที่เคยเป็นวีรบุรุษในสนามรบ แต่พออยู่ในเมืองกลับไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่?”


หนิงเหยาส่ายหน้า “ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ท่านปู่เสี่ยวต่งเป็นคนที่ไม่เลวเลย แต่ไหนแต่ไรมาเขาที่อยู่อาศัยทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะเก็บตัวสันโดษ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร บางครั้งที่ข้าเจอเขาตอนยังเป็นเด็ก ท่านปู่เสี่ยวต่งจะเป็นคนที่มีมารยาทมาก แม้ว่าจะไม่ชอบพูด แต่ทุกครั้งจะต้องส่งยิ้มให้ข้าราวกับเป็นผู้อาวุโสในตระกูล”


หนิงเหยานั่งขัดสมาธิ กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่มีใครรู้ว่าทำไมท่านปู่เสี่ยวต่งถึงได้ไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจ อาจเป็นเพราะปีนั้นตอนที่ไปหาประสบการณ์พาตัวไปเสี่ยงอันตราย ได้เกิดปัญหาใหญ่กับตัวเขากระมัง อันที่จริงเซียนกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อไปขัดเกลาวิถีกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพังมีมากมาย เพราะปีศาจห้าขอบเขตกลางของที่นั่นชอบเห็นว่าการฝึกตนจนมีร่างเป็นมนุษย์คือเกียรติยศอย่างหนึ่ง เวลาปกติหน้าตาของพวกมันจึงไม่ต่างอะไรจากพวกเรา มีเพียงเจอกับอันตรายคับขันบนสนามรบเท่านั้นถึงจะเผยร่างจริง อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งแต่กำเนิดมาต้านทานกระบี่บิน ดังนั้นขอแค่เซียนกระบี่อำพรางตัวเองอย่างระมัดระวังก็ไม่ง่ายนักที่จะถูกจับได้”


การที่มนุษย์คือผู้นำแห่งหมื่นสรรพสิ่งก็เพราะว่า เดิมทีช่องโพรงลมปราณในร่างมนุษย์ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่มหัศจรรย์ที่สุดในโลก ดังนั้นเผ่าปีศาจถึงพยายามฝึกตนให้ได้มีร่างกายเป็นมนุษย์อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพราะเมื่อทำสำเร็จ การฝึกตนหลังจากนั้นจะเหนื่อยแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลประโยชน์เป็นเท่าตัว เด็กชายชุดเขียวและเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูบนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นเช่นนี้


หนิงเหยากล่าวต่อว่า “แน่นอนบุคคลพิเศษบางส่วนของกำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกปีศาจใหญ่ระดับสูงสุดแอบจดจำไว้และนำไปลงบันทึกด้วยวิธีการลับ จึงยากที่บุคคลพิเศษเหล่านั้นจะสามารถไปท่องอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ แต่ได้ยินมาว่ารายชื่อที่เขียนลงไปในสมุดบันทึกนั้นมีจำกัด เซียนกระบี่ที่ถูกเขียนชื่อลงไปมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่มักจะให้เซียนกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ในบ้านเกิดของข้ารบตายไปก่อน แล้วค่อยเพิ่มเข้าไปอีกคน ตามหลักแล้วตอนที่ท่านปู่เสี่ยวต่งออกจากบ้านเดินทางไกลก็เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดธรรมดาเท่านั้น ไม่ควรจะถูกบันทึกลงในสมุดเล่มนั้น อีกอย่างตระกูลต่งก็มีรากฐานลึกล้ำ พวกเขาจึงมีวิชาลับเฉพาะที่ช่วยอำพรางลมปราณ ยากมากที่จะถูกจับได้”


บทที่ 281.2 แค่จากลาเท่านั้น

โดย

ProjectZyphon

หนิงเหยาไม่ได้บอกเรื่องหนึ่งว่า


นางคือหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่ออยู่ในสมุดประหลาดเล่มนั้น อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย


ก่อนจะสิบขวบ ชื่อของหนิงเหยาก็ถูกบันทึกลงไปแล้ว


และลูกรักแห่งสวรรค์ในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ก็ล้วนถูกสังหารบนสมรภูมิรบทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่ก่อนอายุสามสิบ โดยไม่มีข้อยกเว้น


สำหรับเรื่องนี้ เผ่าปีศาจไม่เคยเสียดายค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไป


ความเป็นหรือความตายของลูกรักสวรรค์คนหนึ่งมักจะเกี่ยวพันกับความเป็นความตายของปีศาจใหญ่และเซียนกระบี่หนึ่งคนหรืออาจถึงหลายคนเสมอ


เพราะเผ่าปีศาจรู้สึกว่าบนหัวกำแพงเมืองมีเฉินชิงตูแค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว


หากมีหนิงชิงตูหรือเหยาชิงตูเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็ไม่ใช่แค่เรื่องการตายของปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนแค่หนึ่งหรือสองตนอีกต่อไป


สิ่งที่ทำให้กำแพงเมืองปราณกระบี่จนใจมากที่สุดก็คือ ลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ หากไม่ไปฝึกประสบการณ์ในสนามรบในเร็ววัน ไม่รีบลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความเป็นความตาย แต่ถูกเลี้ยงอยู่แค่ในเมืองทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้มีเซียนกระบี่หลายท่านตั้งใจอบรมสั่งสอน ก็ยังไม่มีความเป็นไปได้สักนิดที่จะเติบโตกลายมาเป็นเฉินชิงตู อาเหลียงหรือต่งซานเกิงคนถัดไป


จู่ๆ เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าอยู่ที่นี่ ที่จริงแล้วทำให้เจ้าต้องเสียสมาธิ ถ่วงเวลาการฝึกตนของเจ้าใช่ไหม?”


หนิงเหยาพยักหน้ารับพลางส่งเสียงอืมหนึ่งที ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย


แต่นางก็พูดอย่างตรงไปตรงมาอีกว่า “แต่เจ้าอยู่ที่นี่ ข้าดีใจมาก ตอนฝึกตนอยู่ที่แท่นสังหารมังกรในบ้านมักจะอดคิดถึงเจ้าบ่อยๆ ไม่ได้ พอคิดถึงแล้วก็เหม่อลอย เหม่อลอยเสร็จก็จะตรงมาหาเจ้า พอกลับไปถึงบ้านก็รีบร้อนจัดการธุระในตระกูลให้เสร็จสิ้น แล้วก็ดูเหมือนว่าวันหนึ่งจะผ่านไปเช่นนี้ ก่อนเข้านอนก็จะรอคอยให้ได้พบเจ้าในวันพรุ่งนี้”


นี่ก็คือหนิงเหยา


ฉีจิ้งชุนเคยเตือนจ้าวเหยาลูกศิษย์ในโรงเรียนที่หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นว่า ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ชอบหนิงเหยา เพราะนางคือกระบี่คมกริบที่ไร้ฝักเล่มหนึ่ง ง่ายที่จะทำร้ายคนใกล้ตัว หรือแม้กระทั่งตัวนางเอง


หนิงเหยามองโลกนี้โดยแบ่งแยกถูกผิด แบ่งแยกขาวดำอย่างชัดเจนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าเย็นชาไร้น้ำใจ


เพียงแต่ว่าตอนนี้มีเฉินผิงอันเพิ่มมาหนึ่งคน


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “อย่างมากสุดสามวัน ข้าจะไปจากที่นี่ จากนั้นจะไปอุตรกุรุทวีปที่เหมือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ทั้งฝึกหมัดและฝึกกระบี่ พยายามเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ดของวิถีวรยุทธ์ให้ได้โดยเร็วที่สุด เมื่อมีคุณสมบัติเข้าร่วมการรบของที่นี่แล้ว ข้าจะกลับมาหาเจ้าใหม่!”


หนิงเหยาเงียบงัน รู้ดีว่าทำอย่างนี้ถูกต้องที่สุด แต่นางก็ยังไม่เต็มใจจะพูดมันออกไป ไม่เต็มใจจะพยักหน้า


กลับกันนางยังอดบ่นเจ้าคนข้างกายผู้นี้ไม่ได้ว่า ทำไมต้องตัดสินใจเร็วขนาดนี้


เฉินผิงอันอยากดื่มเหล้า แต่หนิงเหยากลับกำน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในมือแน่น แถมนางยังจงใจเปลี่ยนมือที่ถือน้ำเต้าคล้ายอยากให้มันอยู่ห่างๆ จากเฉินผิงอัน


หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ในประวัติศาสตร์การโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเผ่าปีศาจจะยาวนานติดต่อกันประมาณยี่สิบสามสิบปี ให้เวลาเจ้าสิบปีในการเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด พอหรือไม่?”


แล้วหนิงเหยาก็พูดต่อด้วยสีหน้าขึงขัง “แค่สิบปี จะมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”


เฉินผิงอันขยับก้น หันหน้าเข้าหาหนิงเหยา พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลง แต่เจ้าก็ต้องรอข้าด้วยนะ”


หนิงเหยาเองก็เบี่ยงตัวกลับมาหันหน้าเข้าหาเขา ยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เขาแล้วถึงได้พยักหน้ารับ “ตกลง”


เฉินผิงอันรับกาเหล้ามาแล้วก็แหงนหน้าดื่มเหล้า


หนิงเหยาพูดเบาๆ “ข้ามีข้อเสียมากมาย”


เฉินผิงอันยิ้มบาง “ไม่เป็นไร ข้าชอบเจ้า”


หนิงเหยาน้ำตาคลอ


เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาน้อยๆ ไปวางประคองลงบนแก้มนางเบาๆ


หนิงเหยาหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่ได้ปฏิเสธ นางแค่หลับตา เพราะไม่กล้ามองสบตาเขา


และในช่วงเวลาที่ฟ้าดินเงียบสงัดราวกับว่าบนโลกนี้เหลือแค่คนทั้งสองนั้นเอง เสียงกระแอมเบาๆ ก็ดังขึ้นอย่างไม่ถูกเวลา


เฉินผิงอันรีบหดมือกลับ ดื่มเหล้าปกปิดความกระอักกระอ่วนของตัวเอง ส่วนหนิงเหยาหันหน้าไปมอง บนคิ้วที่แคบยาวอัดแน่นไปด้วยปราณสังหาร แขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นก็คือปู่เฉินเซียนกระบี่เฒ่า เขายืนเอามือไพล่หลังอยู่ไม่ห่างจากคนทั้งสองนัก พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “จู่ๆ ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ กลัวว่าเดี๋ยวจะลืม เลยต้องรีบมาพูดกับเฉินผิงอัน”


“พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ”


หนิงเหยารับกาเหล้ามาแล้วก็ขยับตัวหันหน้าไปทางเมือง หันหลังให้เซียนกระบี่เฒ่า


เฉินผิงอันกระโดดลงจากหัวกำแพง เอ่ยถาม “ท่านปู่เฉิน มีเรื่องอะไรหรือ?”


ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ทางทิศใต้มีภาพวาดของผู้เฒ่าตาบอดที่สวยงาม ทางทิศตะวันตกมีน้ำแกงไก่ของลาหัวโล้นเฒ่าที่อร่อย ภาคกลางมีตัวอักษรของบัณฑิตที่สง่างาม ข้ารู้สึกว่าคนเหล่านี้น่าสนใจมาก แต่ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือตาแก่พวกนี้ แต่ละคนหนังเหนียวกันทั้งนั้น”


หนิงเหยาหันหน้ามาอย่างอดไม่อยู่ “ท่านปู่เฉิน ตามคำพูดของท่านก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าทะเลบูรพายังมีนักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอยู่อีกคนหรอกหรือ?”


เซียนกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “ก็เพราะว่าคิดถึงเจ้าหมอนั่นถึงได้มาพูดกับเฉินผิงอันอย่างไรล่ะ”


หนิงเหยาฉงนสนเท่ห์


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าชี้นิ้วไปที่เฉินผิงอัน “จะซ่อมสะพานแห่งความเป็นอมตะของเจ้าหรือไม่ อันที่จริงไม่ได้มีความหมายมากนัก ไม่สู้เลือกใช้วิธีอื่น ดังนั้นจึงต้องไปหานักพรตคนนี้ ทว่าก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าจะถูกปฏิเสธ แต่ข้ารู้สึกว่าในเมื่อเจ้าสามารถเดินมาถึงที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นข้อยกเว้น”


หัวใจของเฉินผิงอันบีบรัดตัว เอ่ยถามว่า “ท่านปู่เฉิน ควรจะไปหายอดฝีมือท่านนี้ที่ไหน ไปที่ทะเลบูรพาอย่างนั้นหรือ? ดูเหมือนว่าแจกันสมบัติทวีปของพวกเราก็ตั้งอยู่บนทะเลบูรพาอยู่แล้วนะ”


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไปที่อาคเนย์ใบถงทวีป ไปหาอารามกวานเต๋าแห่งหนึ่ง”


เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เขาลังเลเล็กน้อย นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับความตั้งใจเดิมของเขาสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเซียนกระบี่ผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว แสดงว่าต้องมีความนัยที่ลึกซึ้งอย่างอื่นแน่นอน แต่เฉินผิงอันก็ยังกังวลใจกับคำสัญญาสิบปีนั้น ความยากลำบากในการเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของตนทำให้เฉินผิงอันไม่กล้ามองโลกในแง่ดีต่อการเลื่อนขอบเขตอีกสามลำดับอย่างห้าหกเจ็ดเท่าใดนัก


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “กล่องกระบี่ไม้ไหวของเจ้ามีที่มาไม่ธรรมดา ไม่สู้ให้ข้ายืมสักสิบปี ข้าสามารถเอากระบี่อีกเล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้า สิบปีให้หลังค่อยมาแลกกลับคืนไป และเมื่อเจ้าไปถึงใบถงทวีปแล้ว กระบี่เล่มนี้จะช่วยชี้ทางให้เจ้าคร่าวๆ ช่วยให้เจ้าตามหานักพรตเฒ่าแห่งทะเลบูรพาผู้นั้น ส่วนข้อที่ว่าหลังจากเจ้าโชคดีตามหาเขาเจอแล้ว เขาจะยินดีช่วยเหลือเจ้าหรือไม่ ก็ต้องดูที่โชควาสนาของเจ้าเฉินผิงอันเองแล้ว”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง!”


เฉินผิงอันปลดกล่องกระบี่ ดึงกระบี่ไม้ไหวปราบมารออกมา หนิงเหยาถามว่า “ทิ้งกระบี่ไม้ไหวไว้ให้ข้าได้ไหม? ข้าเองก็จะเอากระบี่เล่มหนึ่งมาแลกกับเจ้าเหมือนกัน”


เฉินผิงอันเกาหัว “กระบี่ไม้ไหวเป็นของที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้า ไม่สามารถส่งต่อให้เจ้าได้ แต่หากเจ้าอยากเก็บไว้ข้างตัวก็ไม่มีปัญหา อีกอย่าง เจ้าไม่ต้องมอบกระบี่ให้ข้าหรอก กำแพงเมืองปราณกระบี่ขาดแคลนกระบี่ขนาดนี้ แถมข้าเองก็ยังไม่ได้ใช้”


หนิงเหยากวักมือ เฉินผิงอันจึงโยนกระบี่ไม้ไหวไปให้นางเบาๆ จากนั้นก็ส่งกล่องกระบี่ไปให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่า


ยันต์แผ่นที่เดิมทีเอาใส่ไว้ในกล่องกระบี่ไม้ได้ถูกเฉินผิงอันเก็บใส่กระบี่บินสืออู่ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามายังกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว หาไม่แล้วเกรงว่าผีสาวโครงกระดูกก็คงแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีอยู่ที่นี่ไปนานแล้ว


วินาทีที่มือของผู้เฒ่าสัมผัสกับกล่องกระบี่ไม้ไหว มันก็หายไปท่ามกลางความว่างเปล่า


จากนั้นผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งประกบสองนิ้วแล้วปาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว


ระหว่างผู้เฒ่าและเฉินผิงอันมีกระบี่ยาวที่อยู่ในฝักเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น


เซียนกระบี่ผู้เฒ่าใช้สายตาบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันรับไป


เฉินผิงอันยื่นสองมือออกมา กระบี่ยาวหล่นลง เดิมทีเฉินผิงอันคิดว่าจะสามารถรับกระบี่เล่มนี้ไว้ได้ง่ายๆ ผลกลายเป็นว่าเขาเซถอยหลังเกือบจะล้มก้นจ้ำเบ้า


เซียนกระบี่ผู้เฒ่ากล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “กระบี่ชื่อว่าปราณยาว ฝักและตัวกระบี่หนักแค่เจ็ดจินเท่านั้น (ประมาณสามกิโลครึ่ง) ทว่าปราณกระบี่กลับหนักถึงแปดสิบจิน (สี่สิบกิโล) ผู้ที่แบกกระบี่ไว้ด้านหลังจะสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ทั้งวันทั้งคืน”


เฉินผิงอันไม่มีกล่องกระบี่แล้วจึงไม่สามารถนำ ‘ปราณยาว’ เล่มนี้มาสะพายไว้ด้านหลังได้ ได้แต่ยืนกอดกระบี่ด้วยสองมือเท่านั้น


เซียนกระบี่ผู้เฒ่ามองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ในที่สุดก็มีท่าทางของเซียนกระบี่สักที”


หนิงเหยาพลันหันขวับไปมองทางทิศใต้


ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงมารบกวนพวกเจ้าสองคน”


สายตาของหนิงเหยาเฉียบกร้าว ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศในทันที


ผู้เฒ่าหันหน้ามาพูดกับเฉินผิงอัน “รีบบอกลากับแม่หนูหนิงซะ ข้าจะส่งเจ้ากลับภูเขาห้อยหัว”


เฉินผิงอันยืนกอดกระบี่ แหงนหน้ามองหนิงเหยา แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว


หนิงเหยาเองก็ก้มหน้าลงมา นางรีบโยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เฉินผิงอัน


ผู้เฒ่าพูดยิ้มๆ “ความรักของหนุ่มสาวมากล้นไม่แพ้ปราณกระบี่เลย ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้ ความรักความอาลัยที่อัดแน่นเต็มอก เก็บไว้ค่อยมาพูดกันคราวหน้าเถอะ”


ผู้เฒ่างอนิ้วดีดเบาๆ เฉินผิงอันที่เพิ่งจะรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พลันถอยกรูดไปด้านหลัง


นาทีถัดมา รอจนเฉินผิงอันยืนได้มั่นคงแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนหัวกำแพง แต่มาอยู่ตรงลานกว้างตีนเขาภูเขาเดียวดาย


ที่นี่มีเพียงดวงตะวันที่ส่องแสงแรงกล้า ไม่ได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่พระจันทร์ลอยพร้อมกันสามดวงอย่างใต้หล้าแห่งนั้น


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามองเด็กหนุ่มถือกระบี่หิ้วน้ำเต้าที่ยืนเซ่อ


ก็แค่จากลาเท่านั้น


แต่กลับทำให้เฉินผิงอันถึงขนาดลืมไปว่าตัวเองมีสุราให้ดับทุกข์


บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม่นางน้อยมัดผมแกละคนหนึ่งนั่งอยู่ริมขอบกำแพง สองขาแกว่งไกว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าอยากเป็นต้นไม้ต้นหนึ่ง เวลาดีใจก็ผลิดอกเบ่งบานในฤดูใบไม้ร่วง เวลาเสียใจก็ปลิดใบร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ”


บทที่ 282 ไร้เดียงสา

โดย

ProjectZyphon

นักพรตน้อยลุกขึ้นเดินออกจากเบาะนั่ง ม้วนตำราของลัทธิเต๋าเล่มนั้นแล้วเอามาเคาะกับกลางฝ่ามือเบาๆ เห็นเด็กหนุ่มมีท่าทางเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เทียนจวินที่เชี่ยวชาญการสู้รบ แต่กลับมีชื่อเสียงไม่โด่งดังในใต้หล้าไพศาลผู้นี้ก็พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา


นี่คงจะเลิกรากับนังหนูที่น่าโมโหคนนั้นแล้วกระมัง?


นักพรตน้อยคิดอยากปลอบใจคนอย่างที่หาได้ยาก เขาพยายามทำสีหน้าที่ตัวเองคิดว่ามีเมตตาปราณีและจริงใจมากที่สุดด้วยการยิ้มตาหยีกล่าวว่า “นังหนูน่าโมโหผู้นั้นนิสัยแย่เกินไป เย็นชาแล้งน้ำใจ ก็แค่หน้าตาดีหน่อย ชาติตระกูลดีหน่อย พรสวรรค์ดีหน่อย อนาคตดีหน่อยเท่านั้น…เจ้าจะไปชอบนางทำไม? เพราะฉะนั้นเลิกกันแล้วก็เลิกไปเถอะ เจ้าลองดูที่ภูเขาห้อยหัวนี่สิ แค่เดินเล่นอยู่บนถนน เอื้อมมือไปก็ควานเจอผู้หญิงที่อ่อนหวานมากมาย ดูเอวของพวกนางนั่นสิ คอดบางราวผักกาดขาวดอง ไม่เห็นจะน่าเสียดายตรงไหน เจ้าชอบคนไหนล่ะ? ข้าจะช่วยเจ้าเอง”


 เฉินผิงอันยิ้มอย่างอ่อนใจ ไม่ได้พูดเออออตามอีกฝ่าย บุคคลที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ ทางที่ดีอย่าไปมีเรื่องด้วยดีกว่า


เผชิญหน้ากับนักพรตน้อยที่มีใบหน้าแต้มยิ้ม เฉินผิงอันทำเพียงแค่บอกลาจากไปอย่างมีมารยาท ส่วนชายฉกรรจ์กอดดาบคนนั้น ขอแค่เป็นเวลากลางวัน เขาจะต้องนอนหลับอย่างที่เวลาผ่านไปหมื่นปีก็ไม่เปลี่ยนแปลง เฉินผิงอันจึงไม่รบกวนการนอนหลับฝันหวานตอนกลางวันของเขา


ก่อนหน้านี้หนิงเหยาเคยเล่าให้ฟังว่าท่านผู้นี้คือคนที่ออกรบในลำดับที่เก้าของศึกสิบสาม และเขาก็แพ้ อีกทั้งยังแพ้ให้กับปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองที่อายุแค่ร้อยปีเท่านั้น แพ้ได้อย่างน่าเสียดายมาก ส่วนปีศาจใหญ่อายุน้อยที่ในมือครอบครองอาวุธเซียนตนนั้นก็ลุกผงาด สร้างชื่อเสียงให้กับตนเองด้วยศึกเดียว โด่งดังไปทั่วใต้หล้าที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนชายฉกรรจ์กอดดาบก็มารับโทษอยู่ที่นี่ ภูเขาห้อยหัวจึงเป็นดั่งคุกคุมขังเขา


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่อิสระ อายุสูงถึงห้าร้อยปี แต่กลับไม่ได้แตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เล่าลือกันว่าตอนที่เขาได้เป็นห้าขอบเขตกลางใหม่ๆ เคยมีคู่บำเพ็ญตนที่ตบะธรรมดามากคนหนึ่ง หลังจากที่นางตายอยู่ในสนามรบ ในชีวิตอันยาวนานหลังจากนั้น เซียนกระบี่ท่านนี้ก็ไม่เคยแต่งงานกับสตรีคนใดอีกเลย ไม่ว่ากับใครก็ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว แต่ก็ไม่เคยสนิทสนมกับใครที่สุด


ผู้ที่ฝึกตน โดยเฉพาะผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน เรื่องลูกหลานเป็นเรื่องใหญ่และพิถีพิถันอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหญิงสาวที่คิดจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนพิสูจน์มรรคาที่จำเป็นต้องหยุดเลือดประจำเดือนตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นการให้กำเนิดบุตรจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก อีกอย่างผู้ฝึกลมปราณที่นอกเหนือจากสำนักการทหารแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเต็มใจจะสัมผัสกับผลกรรมในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่นัก เว้นเสียจากมั่นใจมากว่าจะสามารถให้กำเนิดตัวอ่อนในการฝึกตนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมได้ หาไม่แล้วเรื่องการให้กำเนิดบุตรและอบรมเลี้ยงดูก็จะถูกรั้งเอาไว้ รอให้ถึงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น


แล้วตระกูลเซียนบนภูเขาจะจัดกับการลูกหลานเด็กรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์เรียบง่ายไม่ต่างจากมนุษย์ธรรมดาอย่างไร?


เลี้ยงเหมือนหมาเหมือนไก่อย่างนั้นหรือ?


หากคนน่าสงสารที่พรสวรรค์ย่ำแย่ แต่กลับโอหังอวดดีพวกนี้ยินดีจะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม รอแค่ความตายอย่างเดียวก็ยังพอทำเนา แต่ในความเป็นจริงแล้ว หายนะในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเพราะคนเหล่านี้กลับมีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว


อีกอย่างต่อให้ผู้ฝึกตนจะยินดีมอบความอดทนและความรักให้กับลูกหลานประเภทนี้ แต่ถึงอย่างไรการจากลาที่คนผมขาวต้องส่งคนผมดำก็ยังเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอยู่ดี


ควรต้องรู้ว่าการสืบทอดเกียรติยศความร่ำรวยและควันธูปคือเรื่องของตระกูล แต่การพิสูจน์มหามรรคา การฝึกตนจนเป็นอมตะคือเรื่องส่วนบุคคล


แม้ว่าถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่เหนือราชวงศ์ต้าหลีแจกันสมบัติทวีปจะเป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่มีพื้นที่เล็กที่สุด อาณาบริเวณมีแค่พันลี้เท่านั้น แต่การที่มันดึงดูดสายตาผู้คนได้เป็นอย่างดีก็เพราะบุคคลที่อยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างน่าเหลือเชื่อ การแต่งงานและมีลูกของชายหญิงที่เป็นชาวบ้านธรรมดาจึงมีโอกาสที่จะให้กำเนิดผลผลิตที่คู่รักเซียนพสุธานอกถ้ำสวรรค์ตั้งใจอบรมสั่งสอน


ยกตัวเช่นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างเซี่ยสือแห่งกุรุทวีป เฉาซีแห่งนาตยทวีป รวมไปถึงหยกคู่แห่งต้าหลีที่ช่วยสกุลซ่งสืบทอดโชคชะตาแห่งแคว้น เป็นต้น


เฉินผิงอันกลับมาโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยก็ได้รู้ว่าเกาะกุ้ยฮวาเดินทางกลับไปที่นครมังกรเฒ่าแล้ว เฉินผิงอันถามเถ้าแก่หนุ่มว่าเรือข้ามฟากที่เดินทางไปยังภาคกลางของใบถงทวีปคือลำไหน ควรจะไปขึ้นเรือที่ท่าเรือไหนของภูเขาห้อยหัว


ครอบครัวของเถ้าแก่หนุ่มตั้งรกรากอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวมาหลายยุคสมัย สำหรับเรื่องนี้เขาจึงรู้ดีราวกับสมบัติในบ้านตัวเอง น่านน้ำทะเลของใบถงทวีปมีคลื่นลมแรง สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติไม่เหมาะให้เดินทางโดยเรือ โดยเฉพาะทางแถบทิศใต้ของใบถงทวีปที่สภาพพื้นที่ติดขัดแน่นหนามาก ท่าเรือของเรือข้ามฟากจึงอยู่ทางทิศเหนือแทบทั้งหมด การที่สำนักใบถงทางทิศเหนือสามารถข่มสำนักกุยหยกได้หนึ่งระดับก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย


สุดท้ายเถ้าแก่หนุ่มช่วยแนะนำเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติที่ดำลงไปในทะเลลึกลำหนึ่งให้กับเฉินผิงอัน ขึ้นเรือที่ท่าเรือซ่างเซียงภูเขาห้อยหัว เดินทางตรงไปยังสำนักฝูจี (การเข้าทรงประคองไม้เขียนคำทำนายทายทัก) ที่อยู่ภาคกลางของใบถงทวีป


อีกสิบวันให้หลังปลาวาฬกลืนสมบัติจะออกเดินทาง เฉินผิงอันจึงจองห้องห้องหนึ่งกับโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย


เถ้าแก่หนุ่มดีดลูกคิดอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินพลางชำเลืองตามองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มด้วยความสงสัยเล็กน้อย เด็กหนุ่มยังคงสะพายกระบี่ แต่กล่องกระบี่หายไปไหนเสียล่ะ แถมยังเปลี่ยนมาเป็นกระบี่เล่มยาวที่แปลกตาไปจากเดิมอีกด้วย?


เขาส่ายหน้าแล้วก็ไม่คิดอะไรให้มากความอีก ถึงอย่างไรอยู่ในภูเขาห้อยหัว เรื่องแปลกนั่นแหละที่เรียกว่าไม่แปลก


ก่อนหน้านี้ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ได้โอกาสฝ่าทะลุขอบเขตวิถีวรยุทธ์ ซึ่งถึงกับข้ามผ่านกำแพงเมืองปราณกระบี่เข้ามายังภูเขาห้อยหัวได้ในก้าวเดียวด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที ก่อให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นเหตุให้ประตูกระจกขนาดใหญ่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนกระทั่งเทียนจวินใหญ่ที่นั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาเดียวดายจำต้องออกหน้า ได้ยินว่ายังต้องลงมือด้วยตัวเองถึงจะสยบความเคลื่อนไหวอันน่าครั่นคร้ามของประตูใหญ่ไว้ได้


และยังมีเซียนซือหญิงจากสำนักกานหลิน (น้ำค้างหวาน/ฝนที่ตกหลังจากแห้งแล้งมานาน/น้ำอมฤตจากสวรรค์) ซึ่งตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรกลุ่มหนึ่งที่นำศพของเผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนนับไม่ถ้วนมาขายจนได้กำไรก้อนใหญ่ไปจากภูเขาห้อยหัว


เจียวหลงเจินจวินคือคนที่ออกเงินมากที่สุดคนหนึ่ง เขาซื้อหนวดสีเงินและสีทองจากเจียวหลงไปเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ติดค้างเงินกับคนนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีใครรู้สึกว่าเจินจวินจากภูเขาห้อยหัวท่านนี้โง่เง่า เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แส้ปัดฝุ่นของเขาที่เดิมทีก็ถือว่าเป็นสุดยอดอาวุธในบรรดาอาวุธกึ่งเซียนอยู่แล้วยิ่งมีโอกาสจะกลายเป็นอาวุธเซียนมากขึ้น


และคนหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ฝึกลมปราณหญิงจากสำนักกานหลินก็พลันถูกมองเป็นบุคคลผู้มีอำนาจในทันที ที่แท้เขาก็คือชายผู้โชคดีที่เพิ่งเป็นลูกเขยแต่งเขาสำนักกานหลิน ไม่เพียงแต่ถูกเทพธิดาพางถัวของสำนักกานหลินผู้มีชื่อเสียงโด่งดังเลือกเป็นคู่บำเพ็ญตน ยังถูกบรรพบุรุษของสำนักกานหลินตรวจสอบจนรู้ว่ามีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ยอดเยี่ยม ภายหลังก็ได้รับความโปรดปรานจากเทพธิดาอวี่หลินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทะเลทักษิณ ผูกสมัครเป็นสามีภรรยากัน เทพธิดาทั้งสองต่างก็มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตโอสถทอง ใช้สามีร่วมกัน โชควาสนาที่ดีเยี่ยมเช่นนี้สร้างความอิจฉาให้กับผู้อื่นยิ่งนัก


บนเส้นทางการฝึกตน โชคดีหรือไม่ดีสร้างความแตกต่างได้ราวฟ้ากับเหว


การเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครั้งนี้ พอไปถึงหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันก็ไม่เคยย้ายที่พัก เพราะตอนที่อยู่ที่นั่นเขามักจะรู้สึกว่าต่อให้มีเรื่องมากมายแค่ไหนก็สามารถค่อยๆ ใช้เวลาคุยกันได้


รอจนถูกโยนกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวถึงได้ค้นพบว่าไม่ทันแล้ว


แม้เขาจะเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่ได้เสียใจอะไรมากมายนัก เพราะความเป็นห่วงมีมากกว่า


เฉินผิงอันถือกุญแจเดินมายังที่พัก อันที่จริงไม่มีสัมภาระอะไรให้เอามาเก็บวาง กระบี่หนึ่งเล่ม สะพายไว้บนหลัง น้ำเต้าหนึ่งลูก ห้อยไว้ตรงเอว แล้วก็ไม่มีของนอกกายอะไรอีก ด้วยคำแนะนำของเถ้าแก่หนุ่มก่อนหน้านี้ เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ออกจากห้องไปหาซื้อของที่จำเป็นจากร้านค้าใกล้โรงเตี๊ยม


‘จารึกภูเขาและทะเล’ ที่อธิบายขนบธรรมเนียมประเพณีของใต้หล้าไพศาลคร่าวๆ แน่นอนว่าต้องเป็นตำราของตระกูลเซียน ไม่อย่างนั้นซื้อไปแล้วก็เหมือนเสียเงินเปล่า หนึ่งหน้าของหนังสือเล่มนี้สามารถบันทึกภาพวาดหลายภาพและตัวอักษรสามสี่พันคำ ภาพและตัวอักษรเหมือนน้ำเหมือนก้อนเมฆที่ไหลรินเชื่องช้า


ตำราเล่มหนึ่งที่อธิบายวิธีการออกเสียงภาษาทางการของใบถงทวีป และตำราอีกหนึ่งเล่มที่อธิบายการใช้ภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เฉินผิงอันไม่อยากให้ตัวเองพูดคุยกับใครไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่ใบถงทวีป แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของใบถงทวีปน่าจะคล้ายคลึงกับแจกันสมบัติทวีป นั่นคือระหว่างราชวงศ์ของแต่ละแคว้นมีภาษากลางและภาษาท้องถิ่นอยู่มากมาย แต่การเรียนภาษาทางการที่ใช้ร่วมกันในสำนักเซียนบนภูเขากับในราชสำนักของราชวงศ์ย่อมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด


สิ่งของในภูเขาห้อยหัว โดยเฉพาะอาวุธวิเศษและสมบัติอาคมแทบจะไม่มีความเป็นไปได้ที่ใครบังเอิญโชคดีเก็บได้ ผู้ฝึกลมปราณของที่นี่มีตบะสูง สายตาก็เฉียบคม อีกทั้งราคาของยังสูงลิบลิ่ว แพงกว่าทวีปใหญ่แห่งอื่นไม่น้อย แต่ก็มีข้อหนึ่งที่ดีมาก นั่นคือไม่มีของปลอม พ่อค้าที่มีความสามารถมาเปิดร้านอยู่ที่นี่ล้วนเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิมที่อยู่มานานเป็นร้อยเป็นพันปีแทบทั้งสิ้น ไม่มีใครที่คิดจะทำการค้าแค่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงทะนุถนอมชื่อเสียงที่น่าเชื่อถือมากเป็นพิเศษ


เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ขอแค่ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับเงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ใช้เฉพาะในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ถือว่ามีมูลค่าอย่างถึงที่สุดแล้ว


ต่อให้เป็นภูเขาห้อยหัวที่มีเทพเซียนให้เห็นดารดาษก็ยังเป็นเช่นนี้


ในเมื่อในกระเป๋ามีเงิน อีกทั้งยังไม่มีวิธีใช้เงินต่อเงิน จะปล่อยให้มันขึ้นราเปล่าๆ ก็คงเข้าท่า เฉินผิงอันจึงอยากจะซื้ออาวุธวิเศษที่ใช้งานได้จริงให้กับหลินโส่วอีและเซี่ยเซี่ยคนละชิ้น แม้จะแพงสักหน่อยก็ไม่กลัว เป่าผิงน้อย หลี่ไหวและอวี๋ลู่ต่างก็ไม่จำเป็นต้องใช้ สองคนแรกไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนด้วยอายุยังน้อย ส่วนอวี๋ลู่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเหมือนกับตน


ส่วนเรื่องเอาของที่มีไปขายนั้น คงไม่ทำ


เพราะตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง


หลังจากซื้อหนังสือมาจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันก็ไปที่เรือนหลิงจือ ครั้งแรกที่มาที่นี่กับจินซู่ เขาแค่เดินดูผ่านๆ ไม่ได้ตั้งใจดูอย่างละเอียดนัก ซึ่งส่วนใหญ่จะเดินดูสมบัติของเทพเซียน คราวนี้เฉินผิงอันมาพร้อมเป้าหมาย จึงพุ่งเข้าหาสิ่งที่ตัวเองต้องการโดยเฉพาะ เขาจึงไม่แม้แต่จะชายตามองสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองและมีประโยชน์ต่อการเลื่อนขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณ เฉินผิงอันต้องการหาตำราของลัทธิเต๋าหรือไม่ก็อาวุธวิเศษที่เหมาะสำหรับการฝึกวิชาห้าอสนี หรืออาจจะเป็นอย่างถ้วยกานลู่ที่จางซานเฟิงเคยได้รับซึ่งสามารถเก็บรวบรวมและสั่งสมปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกตน


แต่แม้ว่าจะลดขอบเขตลงมาแล้ว เฉินผิงอันก็ยังต้องเลือกจนตาลาย


เดินวนไปวนมาอยู่ในเรือนหลิงจืออย่างละเอียดถึงครึ่งวัน ในใจพอจะมีความคิดคร่าวๆ แล้วจึงเลือกของไว้สิบกว่าชิ้น จากนั้นก็กลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ตอนกลางคืนใช้เวลาขบคิดชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอีกเล็กน้อย พรุ่งนี้ก็น่าจะสามารถตัดสินใจได้แล้ว


มีตำราลัทธิเต๋าวิชาอสนีเล่มหนึ่งที่เขียนหมายเหตุไว้ด้านข้างว่ามีเล่มเดียว มียาชั้นเยี่ยมสองชนิดที่สามารถชะล้างไขกระดูกและเปลี่ยนถ่ายกระดูกได้ ชนิดหนึ่งมาจากสำนักเสวียนซู่ (ขาวและดำ เปรียบเปรยถึงของสองสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หรือกล่าวถึงเสวียนหนวี่กับซู่หนวี่ที่ในตำนานเล่าลือกันว่าพวกนางเป็นผู้ถ่ายทอดศิลปะการประกอบกิจกามให้กับหวงตี้) ของทวีปฝูเหยา อีกชนิดหนึ่งมาจากภูเขากระถางธูปของนาตยทวีป ซึ่งทั้งสองฝ่ายนี้ล้วนถือเป็นสำนักใหญ่สายการหลอมยาของลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียง ส่วนอาวุธวิเศษนั้นมีอยู่เจ็ดแปดชิ้น


ระหว่างนี้เฉินผิงอันเหลือบไปเห็นเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารโดยบังเอิญสามเม็ด พวกมันถูกวางเรียงกันไว้ในกล่องไม้ใบหนึ่ง อ่านจากตัวอักษรที่เขียนอธิบายอยู่ด้านข้าง นี่คือเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างแบบที่ราชครูแคว้นกู่อวี๋เคยสวมใส่ แต่ระดับขั้นกลับสูงกว่ามาก อีกอย่างเม็ดเสื้อเกราะทั้งสามชิ้นยังสามารถสวมใส่ไว้ในร่างเดียวกันเวลาเดียวกัน โดยที่คนห่มเสื้อเกราะจะไม่รู้สึกเป็นภาระเลยแม้แต่น้อย ระดับความป้องกันจะสูงแค่ไหน แค่คิดก็พอจะรู้ได้


เพียงแต่ว่าราคาสูงจนน่าตกใจ


สามหมื่นเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!


หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่ากับเงินขาวหนึ่งพันตำลึง


หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่ากับหนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ


หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชก็เท่ากับหนึ่งสิบเหรียญเงินร้อนน้อย


นี่ก็คือกฎ ‘พันร้อยสิบ’ ในการแลกเปลี่ยนเงินของเทพเซียนบนภูเขา


เฉินผิงอันจำได้ว่าตอนนั้นสมบัติพิทักษ์เรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยวก็ยังไม่ราคาสูงเท่านี้


อีกทั้งนี่ยังเป็นเพราะเม็ดเสื้อเกราะสองเม็ดในนั้นเกิดความเสียหายเล็กน้อย ซ่อมแซมแล้วก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ ไม่สามารถใช้คำว่า ‘ไร้ตำหนิ’ ได้ด้วย


แต่นี่ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับสมบัติอาคมชิ้นที่แพงที่สุดของเรือนหลิงจือได้ สมบัติของตระกูลเซียนมากมายถึงขั้นไม่ได้ใช้ราคาของเงินเกล็ดหิมะและเงินร้อนน้อยเป็นเกณฑ์ แต่ใช้เงินฝนธัญพืชเท่านั้น


มีขนนกสีทองที่ติดเปลวไฟชิ้นหนึ่งลอยอยู่ในตู้กระจก ไม่มีคำอธิบายใดๆ มีแต่ราคาที่สูงถึงหนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช


ส่วนของบางชิ้นที่มีประกายแสงอัญมณีพร่างพราว หรือไม่ก็มองดูแล้วไม่สะดุดตาเลยสักนิด กลับไม่มีป้ายราคาติดไว้ เขียนแค่ว่า ‘ตามแต่จะตกลงกัน’ เท่านั้น


ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่ปวดฟันแปล๊บขึ้นมาทันที


คืนนี้เฉินผิงอันตัดสินใจว่าสุดท้ายจะซื้อของสองชิ้น ตำราวิชาสายฟ้าลัทธิเต๋าที่เรือนหลิงจือกล้าเขียนระบุไว้ว่า ‘มีเล่มเดียวบนโลก น่าเสียดายที่ขาดไปหลายสิบหน้า หาไม่แล้วมีเงินมากเท่าใดก็ไม่อาจซื้อได้’ ซึ่งจะมอบให้หลินโส่วอี และยังมีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างตัวหนึ่งที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพของเม็ดเสื้อเกราะได้ อันที่จริงราคาของของสองชิ้นนี้ต่างก็อยู่เหนือการคาดการณ์ของเฉินผิงอันไปมาก เพราะราคาของพวกมันแทบจะเท่าเทียมกับราคาของสมบัติวิเศษเลย


เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ไม่ลังเลอีก


เฉินผิงอันที่หน้าซีดขาวเล็กน้อยเริ่มฝึกท่าหมัดเดินนิ่ง


ไม่ใช่ว่าเสียดายเงินถึงได้สีหน้าย่ำแย่แบบนี้ แต่เป็นเพราะต้องแบก ‘ปราณยาว’ ที่ยืมมาใช้สิบปีเล่มนั้น เฉินผิงอันถูกปราณกระบี่เป็นเส้นๆ แทรกซอนเข้ามาในจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง หากแค่ชั่วครู่ชั่วยาม การหายใจก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก แต่เมื่อแบกกระบี่เล่มนี้นานๆ เข้าก็เท่ากับแบกความลำบากไว้ชัดๆ ซึ่งนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการเหนื่อยทับซ้อนของกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของผู้เฒ่าแซ่ชุย


แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าวิธีโคจรลมปราณสิบแปดหยุดช่วยให้เขาต้านทานปราณกระบี่ที่ ‘ผนึกหัวใจ ชะล้างจิตวิญญาณ’ ได้มากกว่าวิธีหายใจที่หยางเหล่าโถวสอนให้ แต่ว่าก็ยังยากลำบากมากอยู่ดี


ทว่าความเจ็บปวดที่คุ้นเคยนี้กลับทำให้เฉินผิงอันรู้สึกสบายใจอย่างมาก


วันที่สองเฉินผิงอันก็ไปซื้อของสองชิ้นนี้ที่เรือนหลิงจือ มือหนึ่งยื่นเงิน มือหนึ่งรับของ ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น


เรื่องที่คิดไม่ถึงเรื่องเดียวก็คือ หลังจากชำระเงินและรับของทั้งสองชิ้นมาเรียบร้อยแล้ว เรือนหลิงจือยังแถมหยกสลักชิ้นเล็กซึ่งทำจากหยกมันแพะเนื้อดีมาให้ชิ้นหนึ่ง บนตัวหยกสลักคำว่าวัวขาวคาบหลิงจือ


ทางเรือนหลิงจือบอกว่าวันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของบรรพบุรุษเจ้าลัทธิท่านหนึ่ง ทุกครั้งที่มีงานมงคล เรือนหลิงจือจะต้องมอบของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ชิ้นหนึ่งให้กับลูกค้าที่จ่ายเงินมากพอ เป็นเพียงแค่ของราคาถูกที่สุดในบรรดาอาวุธวิเศษหลังกำเนิด ถือเป็นเครื่องประดับที่วางไว้เพื่อความสวยงาม เอาไว้หยิบมาเล่นของตระกูลร่ำรวยเท่านั้น


เฉินผิงอันเองก็สังเกตเห็นว่าลูกค้าที่มาเยือนวันนี้มากกว่าเมื่อวานอย่างเห็นได้ชัด เด็กบางคนที่มีผู้ปกครองพาเดินออกจากเรือนหลิงจือ ในมือจะต้องมีของลักษณะคล้ายหลิงจือสมปรารถนาอยู่ด้วย เขาจึงสบายใจขึ้นมาก


เฉินผิงอันกลับมาถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยฟ้าก็มืดแล้ว ระหว่างที่เขากำลังหยุดพักจากการฝึกเดินนิ่งก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น จึงหันหน้าไปมอง ถามว่า “ใคร?”


ด้านนอกมีเสียงของบุรุษที่พูดด้วยภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ข้าคือคนเฝ้าประตูที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้า แม่หนูหนิงวานให้ข้านำความมาบอกเจ้า แล้วก็ถือโอกาสเอาของชิ้นหนึ่งมามอบให้เจ้าด้วย”


เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินไปเปิดประตู จากนั้นก็ถอยหลังออกไปหลายก้าวอย่างเงียบเชียบ


ยังดีที่แม้ชายฉกรรจ์ผู้นี้จะสามารถอำพรางรูปลักษณ์ภายนอกได้ แต่ปราณกระบี่อันเป็นเอกลักษณ์ที่อยู่บนตัวกลับไม่มีใครลอกเลียนแบบได้


บุรุษมาครั้งนี้ไม่ได้อุ้มกระบี่มาด้วย เห็นสายตาสงสัยของเฉินผิงอันจึงพูดยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อหน้าที่คือเฝ้าประตูก็ควรจะทิ้งอะไรสักอย่างไว้ที่นั่น ตัวมาแล้วก็เลยทิ้งกระบี่ไว้บนเสาผูกม้า”


บุรุษมีนิสัยตรงไปตรงมา เขาโยนห่อของขนาดใหญ่กว่ากำปั้นเล็กน้อยห่อหนึ่งให้เฉินผิงอัน “แม่หนูหนิงมอบให้เจ้า นอกจากนี้ยังบอกให้เจ้าอยู่รอที่ภูเขาห้อยหัวอีกสักระยะหนึ่ง เจ้ามีหนวดเจียวสีทองอยู่สองเส้นไม่ใช่หรือ? ข้าสามารถหาคนมาช่วยสร้างเชือกพันธนาการปีศาจที่ไม่เลวให้เจ้าเส้นหนึ่งได้ หากเจ้าไม่เต็มใจจะรอ ข้าก็จะได้ลดเรื่องติดค้างน้ำใจคนอื่นไปครั้งหนึ่ง”


บุรุษนั่งลงข้างโต๊ะแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง “อีกอย่างแม่หนูหนิงยังไปถามคนอื่นมาให้ เสื้อคลุมอาภรณ์สีทองชิ้นนั้นเป็นของที่มีมูลค่ามากชิ้นหนึ่ง เป็นเสื้อคลุมอาคมที่มีระดับสูงมาก ต่อให้เป็นเทพเซียนพสุธาทั่วไปก็ยังยากจะหามาได้ มันมีชื่อว่า ‘จินหลี่’ (สุรารสเลิศหรือของเหลวที่อยู่ในปาก) คือของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ผู้สูงศักดิ์ของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ทิ้งไว้ หลังจากแตกหักกับคนในตระกูลก็ตัดขาดกับโลกภายนอก สุดท้ายไปเสียชีวิตอย่างเดียวดายอยู่บนเกาะทางทิศใต้กลางทะเล ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งโชคดีได้รับของชิ้นนี้มา สุดท้ายถูกเจียวเฒ่าของร่องน้ำเจียวหลงตนนั้นแย่งชิงไป เมื่อเจ้าสวมใส่ลงบนร่างก็จะพอดีตัวเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นชุดคลุมอาคมของแท้ ขนาดเล็กใหญ่แคบกว้างจะเปลี่ยนแปลงไปตามคนที่สวมใส่ เอาออกมาเถอะ ข้าจะช่วยร่ายเวทเล็กๆ น้อยๆ ให้เจ้าเอง ปล่อยให้ส่องสีทองอร่ามอยู่อย่างนี้มันสะดุดตาเกินไป”


คราวนี้เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ รีบหยิบชุดคลุมยาวสีทองออกมาจากในวัตถุฟางชุ่นโดยตรง


เซียนกระบี่ที่เข้าร่วมสงครามของกำแพงเมืองปราณกระบี่ท่านนี้ดีดนิ้วหนึ่งที จากนั้นก็อธิบายให้เฉินผิงอันฟังคร่าวๆ


บุรุษร่ายเวทพรางตาซึ่งระดับพอๆ กับที่เว่ยป้อเคยร่ายไว้ให้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอัน นั่นก็คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตต่ำกว่าเซียนพสุธาลงไปไม่สามารถมองต้นสายปลายเหตุออก แน่นอนว่าหากเป็นการต่อสู้ที่ตัดสินเป็นตาย เสื้อคลุมอาคมย่อมต้องปกป้องเฉินผิงอัน ถึงเวลานั้นใครก็ไม่ใช่คนโง่ ต้องมองเบาะแสออกอยู่แล้ว


ตอนที่บุรุษจากไป ได้เอาหนวดยาวของเจียวหลงสีทองสองเส้นนั้นไปด้วย


หลังจากปิดประตูแล้ว เฉินผิงอันก็เปิดห่อผ้าฝ้ายใบเล็กนั่นออกเบาๆ


ด้านในคือแท่นสังหารมังกรลักษณะเป็นแถบยาวขนาดเท่าฝ่ามือ


ที่สำคัญคือทั้งด้านหน้าและด้านหลังของแท่นสังหารมังกรชิ้นนี้ต่างก็สลักคำว่า หนิงเหยา ไร้เดียงสา


แน่นอนว่าต้องมีแค่เซียนกระบี่ใหญ่เท่านั้นถึงจะสลักตัวอักษรลงไปได้ น่าจะเป็นฝีมือของพ่อแม่หนิงเหยาที่ตั้งใจทำให้เป็นของขวัญของลูกสาวตอนนางยังเด็ก


และเมื่อหนิงเหยาเติบใหญ่ วันหนึ่งเมื่อนางได้พบเจอกับเด็กหนุ่มที่ตัวเองชื่นชอบ นางจึงมอบมันให้กับบุรุษที่ตัวเองรัก


บทที่ 283.1 จิตบริสุทธิ์

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันรอคอยอยู่ที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยอย่างสงบ ออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไร้กฎหมาย การฝึกหมัดจึงเปลี่ยนมาเป็นผ่อนคลายกว่าเดิมเยอะมาก โดยไม่ทันรู้ตัวเขาก็ฝึกหมัดอีกแปดพันครั้งสุดท้ายสำเร็จแล้ว


วันนี้เมื่อเฉินผิงอันฝึกท่าหมัดสุดท้ายเสร็จ เขาก็นั่งลงข้างโต๊ะเงียบๆ หยิบไม้ไผ่แผ่นเล็กสีเขียวสดปลั่งน่ารักชิ้นหนึ่งออกมา มันไม่เหมือนกับแผ่นไม้ไผ่อื่นๆ เพราะไม่ได้สลักถ้อยคำที่สละสลวยงดงามเอาไว้ แต่เป็นอุปกรณ์เล็กๆ ที่เฉินผิงอันเอาไว้ใช้คิดคำนวณว่าตอนไหนฝึกได้หนึ่งแสนหมัด สองแสนหมัด ห้าแสนหมัด ขั้นตอนคร่าวๆ ล้วนถูกสลักไว้บนนั้น


เฉินผิงอันยื่นนิ้วมือไปลูบคลำร่องรอยแต่ละขีดที่อยู่บนนั้นอย่างเชื่องช้า บางครั้งก็จะมีร่องรอยที่ขีดไว้หลังต่อยได้หนึ่งพันหมัดหรือหลายร้อยหมัด ในช่วงเวลานั้นมักจะเป็นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันหงุดหงิดมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นตอนที่จากลากับอาจารย์ฉีที่วัดร้าง หรือช่วงแรกๆ หลังจากที่เกาะกุ้ยฮวาผ่านพ้นหายนะมา และยังมีช่วงเวลาอีกมากมายที่ไม่มีใครรับรู้ สรุปก็คือการฝึกหมัดตอนที่จิตใจไม่สงบ ต่อให้จะออกหมัดหรือฝึกเดินนิ่งได้มากแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางนับรวมเข้าไปในเป้าหมายฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้ง


และหมัดหนึ่งล้านครั้งก็สำเร็จลงเช่นนี้


สงบเรียบง่าย ขอบเขตสี่ยังคงเป็นขอบเขตสี่ เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่แผ่นนั้น เพื่อนยากชิ้นนี้ถือว่าได้ปลดเสื้อเกราะกลับคืนภูมิลำเนาแล้ว เขาเลือกแผ่นไม้ไผ่ภูเขาชิงเสินใหม่เอี่ยมมาอีกแผ่นหนึ่ง กะว่าหนึ่งล้านหมัดหลังจากนี้จะสลักลงไปบนมัน


แสงอาทิตย์นอกหน้าต่างที่สาดส่องเข้ามาในห้องคล้ายเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ชอบพูด พอเหนื่อยแล้วพวกมันก็นอนฟุบลงบนโต๊ะ บนพื้นและบนไหล่ของเด็กหนุ่มอย่างเกียจคร้าน


เฉินผิงอันนั่งอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ไม่คิดถึงอะไรทั้งนั้น หรือบางทีการคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยโดยไม่จำเป็นต้องจดจำก็ดีเหมือนกัน


เสียงเคาะประตูที่คุ้นเคยดังขึ้นระลอกหนึ่ง เฉินผิงอันรีบดึงสติกลับมา ครั้งนี้ไม่ได้ถามว่าเป็นใคร ทุกอย่างของเซียนกระบี่คนเฝ้าประตูท่านนี้ เฉินผิงอันล้วนจดจำได้อย่างชัดเจน น้ำเสียงเวลาพูด สีหน้า ท่วงท่า ปณิธานกระบี่ ทบทวนซ้ำไปซ้ำมาจนตรึงลึกอยู่ในความทรงจำ ต่อให้จังหวะเคาะประตูที่ไม่เร่งร้อนนี้ เฉินผิงอันก็ไม่ปล่อยให้พลาดไป เวลาออกมาอยู่นอกบ้าน ระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี ความสำคัญในการระมัดระวังตัวเช่นนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิชาหมัดเลย


คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ถามว่าใคร เขาลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูโดยตรง เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบงีบหลับผู้นั้นจริงดังคาด เขาเดินเข้ามาในห้อง วางเชือกสีทองเส้นเล็กบางอ่อนนุ่มเส้นหนึ่งไว้บนโต๊ะ พูดยิ้มๆ ว่า “เชือกพันธนาการปีศาจที่ทำมาจากหนวดของเจียวเฒ่ากลายเป็นสมบัติอาคมสมชื่อแล้ว ข้าไปหายอดฝีมือพรรคมหายันต์ของลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวมา เขาตัดหนวดเจียวยาวประมาณสองช่วงนิ้วหัวแม่มือเป็นค่าตอบแทนพอเป็นพิธี เพราะอันที่จริงวัตถุดิบวิเศษที่เขาเผาผลาญไปในการสร้างเชือกเส้นนี้ต้องมากกว่าความเสียหายเล็กน้อยนี้ของเจ้าแน่นอน ลำพังเพียงแค่ลายเมฆสามดอกซึ่งต้องลอกออกมาจากบทคำเขียวอย่างระมัดระวังก็ไม่ด้อยกว่าหนวดเจียวสองท่อนแล้ว การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ หาใช่เพื่อทวงความดีความชอบไม่ แค่เล่าให้ฟังตามตรงเท่านั้น หากสืบสาวราวเรื่องกันแล้วที่อีกฝ่ายยอมช่วยก็เพราะเห็นแก่หน้าของแม่หนูหนิง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เทียบไม่ติดอยู่แล้ว”


เฉินผิงอันยืนอยู่ตลอดเวลา พออีกฝ่ายพูดจบก็กุมหมัดขอบคุณ “ขอบพระคุณผู้อาวุโสเซียนกระบี่มาก”


บุรุษที่ยังคงเอากระบี่วางไว้บนเสาผูกม้าโบกมือ ชี้ไปที่เชือกพันธนาการปีศาจสีทอง “หลังจากชุบหลอมอย่างคร่าวๆ แล้วจิตใจจะสื่อถึงกัน เผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางก็ยากจะหนีพ้นพันธนาการไปได้ เพียงแต่ว่าหากเผชิญกับขอบเขตโอสถทองและขอบเขตก่อกำเนิดกลับประคับประคองตัวอยู่ได้ไม่นานนัก หากต่ำกว่าโอสถทองลงไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสลัดได้หลุด การที่เชือกพันธนาการปีศาจเป็นที่นิยมไปทั่วหล้า โดยเฉพาะเชือกพันธนาการปีศาจที่มีระดับสูงๆ ที่ผู้ฝึกลมปราณซึ่งเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วทิศชื่นชอบมากที่สุด เป็นรองข้องราชามังกรไม่มากนัก พิชิตศัตรูได้ด้วยกระบวนท่าเดียว ถือเป็นสมบัติอาคมชั้นเยี่ยมที่ ‘แค่กระบวนท่าเดียว ก็ใช้ชีวิตอยู่ได้ทั่วทุกหนแห่ง’”


บุรุษพลันสังเกตเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเฉินผิงอันจึงถามว่า “มีอะไรรึ?”


เฉินผิงอันกล่าวอย่างขัดเขินเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าควรจะชุบหลอมสมบัติอาคมอย่างไร”


บุรุษกล่าวกลั้วยิ้มอย่างฉุนๆ “เฉินผิงอัน เจ้ากำลังพูดเรื่องตลก หรือเจ้าคิดว่าข้าปั่นหัวได้ง่ายกันแน่? กระบี่บินสองเล่มในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น หากไม่เป็นเพราะชุบหลอมได้สำเร็จ…”


ไม่เสียแรงที่บุรุษคือเซียนกระบี่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ สีหน้าเขาเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด ชำเลืองตามองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันอยู่หลายครั้งแล้วพยักหน้า ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้อีก ยิ่งไม่ซักไซ้ไล่เรียง เพียงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสอนบทท่องพื้นๆ ในการชุบหลอมสมบัติอาคมให้แก่เจ้าหนึ่งบท วางใจเถอะ ไม่ต้องคิดว่าติดค้างอะไรข้า บทท่องนี้เป็นบทที่คนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช้กันให้เกร่อ เจ้าก็คิดซะว่าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแล้วกัน อีกอย่างใช้บทนี้หล่อหลอมวัตถุ ข้อดีคือเอามาใช้ได้ง่าย ข้อเสียก็คือหากใช้บทท่องนี้มาชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจให้จำแลงเป็นภาพมายา แล้วถูกเซียนพสุธาบังคับช่วงชิงเอาไป ก็ง่ายที่อีกฝ่ายจะทำลายตราผนึกของเจ้า และเพียงไม่นานมันก็จะกลายไปเป็นของในกระเป๋าผู้อื่น”


บุรุษเอ่ยยิ้มๆ “ดังนั้นวันหน้าถ้าพบเจอเผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งในใต้หล้าไพศาล หากไม่จำเป็นจริงๆ หนีได้ก็หนีไป แล้วก็ไม่ต้องเอาของสิ่งนี้ออกมาด้วย อย่าคิดหวังว่าจะใช้มันทำให้ศัตรูล่าถอย จะได้ไม่ต้องกลายเป็นกุมารแจกสมบัติไปซะ เอาล่ะ ข้าอยู่นานไม่ได้ ข้าจะใช้เสียงทางใจถ่ายทอดบทท่องและเรื่องที่ควรระวังบางเรื่องให้กับเจ้า หากรอบเดียวจำไม่ได้ ข้าจะพูดให้ฟังสองรอบ”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ทะเลสาบในหัวใจกระเพื่อมเล็กน้อย น้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนของเซียนกระบี่ดังขึ้นในหัวใจอย่างเชื่องช้า เฉินผิงอันตั้งใจจดจำเอาไว้


ผู้ฝึกกระบี่ถาม “จำได้กี่ส่วน?”


เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “จำได้ทั้งหมด แต่ท่านผู้อาวุโสเซียนกระบี่โปรดพูดอีกรอบด้วยเถอะ”


เซียนกระบี่เอ่ยยิ้มๆ “เจ้านี่ไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ นะ”


เซียนกระบี่ไม่ได้รู้สึกยุ่งยากใจอะไร กลับกันยังรู้สึกชื่นชมความตรงไปตรงมาเช่นนี้ของเฉินผิงอันด้วย เขาจึงถ่ายทอดบทท่องซ้ำอีกรอบ เมื่อเทียบกับครั้งแรก คราวนี้เขาเสริมความเข้าใจที่บรรลุมาจากการยืนอยู่บนที่สูงของตนเข้าไปด้วย เฉินผิงอันในเวลานี้ย่อมสัมผัสไม่ถึง เขาได้แต่ท่องจำให้ขึ้นใจเท่านั้น


บุรุษไม่ใช่คนนิสัยยืดยาดอืดอาด ท่องคาถาจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วจากไป เพียงแต่ก่อนจะเดินออกจากห้องยังหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “คนรุ่นหนิงเหยามีพรสวรรค์ดีเยี่ยมยิ่งนัก ดีจนถึงขั้นที่ทำให้ตาแก่ทุกคนยิ้มหวานได้แม้แต่ในความฝัน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ห้าคนสิบคน แต่มากถึงสามสิบกว่าคน ดังนั้นใต้หล้าแห่งนั้นย่อมไม่อยู่เฉยรอความตายแน่นอน อีกอย่างปีศาจใหญ่อายุน้อยที่เอาชนะข้าได้ตนนั้นก็มีชื่อเสียงมาก ไม่แน่เสมอไปว่ามันจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจอกับช่วงปียิ่งใหญ่ที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง หลายร้อยปีมานี้หลังจากการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของเผ่าปีศาจ ทำให้ข้าค้นพบว่ามีเรื่องที่ประหลาดมากอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ฝีมือเป็นรองแม่หนูหนิงแค่ครึ่งขั้นหรือหนึ่งขั้นของทางฝั่งนั้นกลับพากันหลบเลี่ยงซ่อนตัว นี่ไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก ดังนั้นข้าเลยเป็นกังวล รู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกำลังวางแผนการที่ยิ่งใหญ่อะไรบางอย่าง ศึกสิบสามก็เป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้น”


เห็นว่าเฉินผิงอันตั้งใจฟัง บุรุษก็เอ่ยเยาะตัวเอง “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าดูเหมือนว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร เจ้าฟังแล้วก็ปล่อยผ่านไปเถอะ”


เฉินผิงอันยืนกรานจะไปส่งผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ พอไปถึงตรอกนอกโรงเตี๊ยม เซียนกระบี่ก็กล่าวอย่างจนใจว่า “เมื่อครู่นี้บอกว่าเจ้าไม่เกรงใจ ตอนนี้กลับเกรงใจกันขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจล่ะนะ”


เซียนกระบี่กลายร่างเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งที่พุ่งทะยานจากผืนดิน มุ่งหน้าไปยังตีนเขาเดียวดาย พริบตาเดียวปราณกระบี่ที่แผ่กลิ่นอายยิ่งใหญ่ไพศาลก็จากไปไกลในเสี้ยววินาที


เฉินผิงอันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แล้วก็จริงดังคาด คนหลายคนที่อยู่ตรงโรงเตี๊ยมหันมามองหน้ากันเอง ส่วนเถ้าแก่หนุ่มที่ยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะคิดเงินเสียงดังต๊อกแต๊ก มองดูเหมือนไม่ได้สนใจใยดี แต่อันที่จริงมุมปากกลับยกยิ้ม


ลูกค้าที่มาพักในโรงเตี๊ยมของตนมีที่มาไม่ธรรมดาย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายอยู่แล้ว เพราะนี่เป็นการเพิ่มเกียรติยศหน้าตาให้กับทางโรงเตี๊ยม


ตอนที่เฉินผิงอันเดินกลับโรงเตี๊ยม ต่อให้ห้องโถงจะกว้างขวางมากพอ แต่เหล่าเทพเซียนบนภูเขาที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโดดเด่นในภูเขาห้อยหัวเพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่มาพักโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้กลับพากันเปิดทางให้เขาตามจิตใต้สำนึก เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น กลับไปที่ห้องตัวเองแล้วเริ่มใช้คาถาที่เซียนกระบี่ถ่ายทอดให้ชุบหลอมเชือกพันธนาการปีศาจ นี่ก็เหมือนการวาดยันต์ เขายังคงไม่สามารถบังคับสมบัติอาคมชั้นสูงชิ้นนั้นได้เป็นเวลานาน ทุกอย่างล้วนอยู่ที่ปราณแท้จริงซึ่งต้องทำให้สำเร็จใน ‘รวดเดียว’ เฮือกนั้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว


ปราณยาวพละกำลังก็มาก


แต่นี่ต่างจากกการวาดยันต์แผ่นหนึ่งตรงที่ว่า สำหรับเฉินผิงอันที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดแล้ว การใช้เชือกพันธนาการปีศาจถือว่าลำบากกว่ามาก ยังดีที่หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ การผลัดเปลี่ยนลมปราณของเขาว่องไวและอำพรางตัวได้มิดชิดยิ่งกว่าเดิม ใหม่เก่าสับเปลี่ยนกันได้เร็วกว่าตอนอยู่ขอบเขตสามมาก ดังนั้นการนำเชือกพันธนาการปีศาจมาใช้จึงพุ่งเป้าไปที่เผ่าปีศาจสามขอบเขตของห้าขอบเขตกลางอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกร ถือเป็นท่าไม้ตายก้นกรุ ใช้จู่โจมกะทันหันขณะที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว หลังจากพันธนาการศัตรูได้แล้วก็ค่อยใช้วิชาหมัดที่รุนแรงที่สุดโจมตีศัตรูในเวลาที่สั้นที่สุด


แน่นอนว่าเชือกพันธนาการปีศาจก็ใช้กับผู้ฝึกลมปราณทุกคนได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าหากใช้รับมือกับเผ่าปีศาจจะยิ่งได้ผลดีมากขึ้นก็เท่านั้น


หากนำเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้มาใช้ร่วมกับยันต์ที่วาดขึ้นโดยอิงตามสภาพท้องถิ่น หรือความแตกต่างของบุคคล บวกกับวิชาหมัดสังหารศัตรู เฉินผิงอันก็รู้สึกมั่นใจขึ้นอีกไม่น้อย


เฉินผิงอันใช้เวลาสามชั่วยามเต็มถึงจะค่อยๆ หล่อหลอมเชือกพันธนาการปีศาจได้สำเร็จ ก่อนจะทำสำเร็จ เหงื่อก็แตกท่วมไปทั่วตัวเขาอยู่นานแล้ว ยังดีที่ในห้องมียันต์ชำระสิ่งสกปรกที่ใช้กี่ครั้งก็ได้ผลทุกครั้งอยู่ จึงลดความยุ่งยากไปได้มากมาย


ภายหลังเฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงจากเอว เอามันวางไว้ข้างๆ แล้วนั่งเหม่อมองมัน


เกี่ยวกับศึกสิบสามครั้งนั้น หนิงเหยาเล่าให้เขาฟังทุกเรื่องอย่างไม่มีปิดบัง


และหนิงเหยาก็เต็มใจจะเล่าอย่างละเอียด อีกทั้งยังมีท่าทางที่สบายๆ


เฉินผิงอันจึงตั้งใจฟังนางโดยที่ไม่กล้าถามอะไรแม้แต่น้อย ได้แต่แสร้งทำเป็นว่ากำลังฟังเรื่องเล่าที่ชวนให้จิตใจคนฮึกเหิมเท่านั้น


หนิงเหยายังถึงขั้นพูดต่อหน้าเขาว่า “ท่านพ่อท่านแม่จากไปแล้ว ข้าเสียใจมาก แต่นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่ข้าต้องสังหารศัตรูด้วยมือของตัวเองเพื่อแก้แค้นก็เท่านั้น ข้าไม่ได้คิดมากไปกว่านี้ เจ้าเองก็ไม่ต้องคิดมาก”


ตอนที่กล่าวประโยคนี้จบ หนิงเหยาก็แหงนหน้ากระดกเหล้าดื่ม ส่วนมือข้างหนึ่งกุมไว้ตรงหน้าอกเบาๆ


ในใจของเฉินผิงอัน นาทีนั้นประกายเฉียบคมของหนิงเหยาเจิดจ้าพร่าตายิ่งกว่าตอนที่เขาได้เห็นนางขี่กระบี่เป็นครั้งแรกเสียอีก


มีเพียงครั้งเดียวที่พอจะทัดเทียมได้ก็คือตอนที่อยู่ในเมืองเล็กบ้านเกิด หนิงเหยาประกบสองนิ้วยันไปที่หว่างคิ้วตัวเองเหมือนจะเบิกเนตรสวรรค์ ป่าวประกาศให้รู้ว่าจะฟาดฟันฟ้าดินอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ให้เปิดอ้า แสงสีทองเส้นหนึ่งแทรกซึมออกมา อีกนิดเดียวกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของนางก็จะเผยกายขึ้นในโลก


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่


จะเป็นเซียนกระบี่ใหญ่


และสักวันหนึ่งเขาจะสลักตัวอักษรลงไปบนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึก เก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มารัดไว้ตรงเอว อันที่จริงช่วงที่ผ่านมานี้เฉินผิงอันไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว


ในเมื่อตัดสินใจว่าจะฝึกกระบี่ อีกทั้งยังมี ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นอยู่ ด้านหลังยังแบก ‘ปราณยาว’ ที่เซียนกระบี่ผู้เฒ่าให้เขายืมใช้ เฉินผิงอันจึงใคร่ครวญถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง ถึงขั้นเอาจริงเอาจังยิ่งกว่าตอนตัดสินใจจะฝึกเดินนิ่งของ ‘ตำราเขย่าขุนเขา’ ให้ได้หนึ่งล้านหมัดเสียอีก


เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หลับตาลง เดินวนไปรอบโต๊ะช้าๆ


เซียนกระบี่ใช้กระบี่ มือกระบี่ในยุทธภพก็ใช้กระบี่ แต่ระดับความสูงต่ำของทั้งสองฝ่ายกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว


ตอนนั้นเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแห่งศาลลมหิมะจูงลาเดินจากไปก็จริง แต่ภาพท่วงท่าของเขายามที่ฟาดฟันหนึ่งกระบี่กลับติดตาเฉินผิงอันมาจนถึงทุกวันนี้


ผู้อาวุโสซ่งอริยะกระบี่แคว้นซูสุ่ยที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพของหนึ่งแคว้นก็ดี หรือจะเป็นเทพกระบี่แคว้นไฉ่อีที่ตายด้วยน้ำมือหม่าขู่เสวียนก็ช่าง ต่อให้ชื่อเสียงของพวกเขาจะเลื่องลือแค่ไหน เวทกระบี่สูงส่งเท่าไหร่ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ฝึกลมปราณบนภูเขา โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่ก็ล้วนยากที่จะต้านทานได้


ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันคิดอยากไปฝึกประสบการณ์ที่กุรุทวีปก็เพราะได้ยินมาว่าวิชากระบี่ของมือกระบี่ในยุทธภพกุรุทวีปสูงกว่าของแจกันสมบัติทวีปมากนัก ที่นั่นมีมือกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ ต่อให้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่ด้านล่างภูเขาก็ยังสามารถงัดข้อกับผู้ฝึกลมปราณได้


คิดอยากจะเป็นเซียนกระบี่ก็ต้องมีสะพานอมตะเสียก่อน สะพานแห่งเก่าซ่อมแซมไม่ได้ ต่อให้ซ่อมได้ การประสบความสำเร็จก็มีขีดจำกัด ถ้าอย่างนั้นก็สร้างสะพานแห่งใหม่ แล้วจะทำได้อย่างไร? ไปที่อารามกวานเต๋าทะเลบูรพาของใบถงทวีป ตามหานักพรตเฒ่าที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อแซ่ผู้นั้น ในเมื่อขนาดเซียนกระบี่เฒ่ายังนึกถึงนักพรตเฒ่าผู้นี้ คิดดูแล้วเขาก็น่าจะเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่ร้ายกาจคนหนึ่ง แต่อีกฝ่ายจะยอมพบตนหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง


บทที่ 283.2 จิตบริสุทธิ์

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันเดินวนรอบโต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากเอวโดยไม่ทันรู้ตัว เกือบจะดื่มเหล้า ยังดีที่กลิ่นหอมของสุรามอมเมาใจคนซึ่งโชยมาแตะจมูกได้เตือนเฉินผิงอันทางอ้อม เขาจึงรีบรัดมันไว้ที่เอวทันที


หลังจากไปถึงใบถงทวีป ‘ปราณยาว’ ของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าจะบอกทิศทางให้แก่เขาคร่าวๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเลือกขึ้นแผ่นดินของใบถงทวีปจากภาคกลาง ให้แน่ใจก่อนว่าจะไปเหนือหรือใต้ จากนั้นค่อยเสาะหาเป้าหมายที่ต้องการ


ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังคิดถึงรายละเอียดการเดินทางไปยังใบถงทวีปก็มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย บอกว่าต้องการพบเฉินผิงอัน บอกว่าเป็นคนรู้จักของเด็กหนุ่ม


อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ทำร้ายคนอื่นมีโทษถึงตาย กฎข้อนี้ใช้ได้ผลอย่างยิ่ง แม้ว่าจะมีวิชาลับสูงส่งลึกล้ำอยู่มากมายที่สามารถปกปิดอำพรางตาผู้อื่นได้ แต่หากมีการตรวจสอบแล้วถูกจับได้ขึ้นมา ต่อให้เป็นคดีเก่าที่ผ่านมาแล้วหลายสิบปีหรือหลายร้อยปี นักพรตซือเตาแห่งภูเขาห้อยหัว หรือแม้แต่เจียวหลงเจินจวินก็ยังต้องออกหน้าด้วยตัวเอง ดังนั้นภูเขาห้อยหัวจึงถือเป็นสถานที่ที่สะอาดบริสุทธิ์และสันติสุขอย่างหาได้ยากยิ่ง


เถ้าแก่หนุ่มพาสองสามีภรรยามาหยุดตรงระเบียงใกล้กับห้องพักของเฉินผิงอัน จากนั้นก็แค่บอกทาง ไม่ได้ติดตามไปด้วย


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยขอบคุณเขา เถ้าแก่หนุ่มยิ้มพลางตอบว่าเป็นเรื่องที่เขาสมควรทำอยู่แล้ว แล้วจึงจากไปอย่างวางใจ เพียงแต่ว่าตอนที่เดินผ่านหัวเลี้ยว เถ้าแก่หนุ่มอดหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจไม่ได้ สองสามีภรรยามีหน้าตาธรรมดา ลักษณะท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่เถ้าแก่หนุ่มกลับรู้สึกว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ ทว่าเขาก็ส่ายหน้า ไม่คิดให้มากความอีก หากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยคิดจะกลับมาเจริญรุ่งเรือง กลับมามีอนาคตยาวไกลอีกครั้ง ทุกวันก็มีเรื่องจุกจิกกองเป็นพะเนินรอให้เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทำ


บุรุษยืนบ่นอยู่นอกประตูห้องพักของเฉินผิงอัน “โผล่เข้าไปอยู่ในห้องเจ้าเด็กนี่ตรงๆ ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย”


สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่ “จะทำตัวไม่มีมารยาทแบบนั้นได้อย่างไร ลูกสาวเรามีนิสัยเป็นแบบนั้นไปคนหนึ่งแล้ว แล้วยังมามีเจ้าอีกคน หากข้าก็ยังเป็นไปด้วย เจ้าคิดว่าเฉินผิงอันคือพระโพธิสัตว์ที่ใครก็รังแกได้ง่ายจริงๆ หรือไง? ทำไม แค่เพราะว่าลูกสาวโชคดีได้พบเจอเด็กดีคนนี้ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินแล้วอย่างนั้นรึ?”


บุรุษพูดอย่างขุ่นเคือง “ก็มีแต่เจ้านั่นแหละที่ถูกชะตากับเขาที่สุด! เขาได้มาพบลูกสาวที่รักของพวกเราก็ไม่ยิ่งโชคดีกว่าหรอกหรือ? หากเขามีศาลบรรพชน รีบจุดธูปใหญ่ร้อยดอกกราบไหว้ก็ยังไม่มากเกินไปเลย”


สตรีแต่งงานแล้วก็เป็นคนดื้อรั้นเช่นกัน พอได้ยินบุรุษเอ่ยประโยคนี้ นางจึงหยุดมือที่ทำท่าจะเคาะประตู ตัดสินใจแล้วว่าจะงัดข้อกับบุรุษของตัวเองให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย ตอนที่เข้าไปข้างในอีกฝ่ายจะได้ไม่พูดจาส่งเดชจนนางแก้สถานการณ์ไม่ทัน


ถึงอย่างไรคนของใต้หล้าไพศาลที่นอกเหนือจากภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เคยชินกับความเป็นความตาย คำพูดสามารถทำร้ายจิตใจคน โดยเฉพาะคำพูดที่เอ่ยโดยไม่มีเจตนาที่ยิ่งทำร้ายคนอย่างแสนสาหัส


บุรุษของตนหยาบกระด้าง ไม่พิถีพิถันเรื่องพวกนี้ แต่นางเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว จะไม่ใส่ใจเลยได้อย่างไร


บุรุษรีบยอมรับผิด “ได้ๆๆ ทุกอย่างล้วนฟังเจ้า”


สตรีแต่งงานแล้วถลึงตาใส่บุรุษของตัวเองอย่างดุดันหนึ่งที ฝ่ายหลังจึงกล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าสำนึกผิดแล้วจริงๆ”


สตรีแต่งงานแล้วถึงได้เคาะประตูเบาๆ เอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน?”


เฉินผิงอันที่อยู่ในห้องรีบหยุดเดิน ตื่นเต้นสุดขีดจนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา รีบตะโกนกลับไปว่า “รอสักครู่ ข้าจะรีบออกไปเดี๋ยวนี้”


ครู่หนึ่งต่อมาเด็กหนุ่มก็เปิดประตู


เขาเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่เป็นชุดคลุมอาคมสีทองตัวนั้น หากขอบเขตต่ำกว่าเซียนพสุธาจะมองเห็นเป็นเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ


ในที่สุดก็สลัดรองเท้าแตะที่สวมมาชั่วนาตาปีทิ้งไปได้ เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้งคู่ใหม่ซึ่งเป็นสีขาวเหมือนกัน


‘ปราณยาว’ ที่สะพายหลังไว้ก่อนหน้านี้ถูกวางไว้บนโต๊ะ ตรงเอวไม่มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หรือ ‘เจียงหู’ ที่ใช้บรรจุเหล้า บนโต๊ะก็ไม่มีเพราะถูกเด็กหนุ่มเอาไปซ่อนไว้แล้ว


สตรีแต่งงานแล้วหันหน้ามามองกันเองแล้วคลี่ยิ้ม


ดูท่าคงจะเดาตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาออกแล้ว


สองสามีภรรยาเดินข้ามธรณีประตู เฉินผิงอันปิดประตูห้องเบาๆ แล้วถามว่า “จะดื่มชาหรือไม่?”


 สตรีแต่งงานแล้วนั่งลงเรียบร้อย ได้ยินคำถามก็ยิ้มส่ายหน้า จากนั้นจึงชี้ไปยังม้านั่งตัวหนึ่ง “เฉินผิงอัน เจ้าก็นั่งด้วยเถอะ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอจิ้งเจี้ยน พวกเราสองสามีภรรยาอำพรางรูปโฉมเพราะมีความจำเป็น ถึงอย่างไรภูเขาห้อยหัวก็ไม่ใช่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่นี่มีกฎระเบียบเป็นของตัวเอง หวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”


เฉินผิงอันนั่งอย่างสำรวมอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หมัดสองข้างที่กำแน่นวางไว้บนหัวเข่า พยักหน้ารับอย่างแรง


บุรุษชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เหตุใดถึงไม่ใจกว้างผ่าเผย ไม่สง่างามถึงขนาดนี้นะ มองอย่างไรก็ไม่คู่ควรกับบุตรสาวของตน


ผลคือบุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าแรงๆ หนึ่งที เขาจึงได้แต่หลุบตาลงมองปลายจมูก ปล่อยให้สตรีแต่งงานแล้วเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง


หลังจากที่สตรีแต่งงานแล้วถอดเวทอำพรางตาออก บุรุษก็ทำตามด้วย คนทั้งสองจึงเผยโฉมหน้าที่แท้จริง


หญิงสาวงดงามเพริศพริ้ง บุรุษหล่อเหลาคมคาย


นี่กระมังถึงจะเรียกว่าคู่รักเทพเซียนที่แท้จริง


ถึงได้มีบุตรสาวที่งดงามน่าประทับใจอย่างหนิงเหยา


สตรีแต่งงานแล้วแนะนำตัวเองซึ่งดูเหมือนจะเกินความจำเป็นไปสักนิด “เจ้าน่าจะรู้แล้ว ข้าคือแม่ของหนิงเหยา ส่วนเขาก็คือพ่อของหนิงเหยา อันที่จริงพวกเราสองคนรบตายอยู่ทางใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าได้เก็บดวงวิญญาณที่เหลืออยู่เอาไว้ แม้ว่าจะขัดต่อขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่คนก็ตายไปแล้ว จะยังสนใจเรื่องพวกนี้ไปอีกทำไม เข่นฆ่าสังหารมาชั่วชีวิต ตายไปแล้วก็ลอง ‘มีชีวิต’ เพื่อตัวเองดูสักครั้ง น่าจะไม่ถือว่ามากเกินไป ถึงอย่างไรตอนนั้นหนิงเหยาก็ยังเล็ก…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วก็ไม่พูดต่ออีก


บุรุษจึงได้แต่รับคำต่อประโยคจากนาง “ครั้งแรกที่หนิงเหยาออกจากบ้าน พอกลับมา พวกเราก็รู้เลยว่ามีปัญหา…”


สตรีแต่งงานแล้วกระแอมเบาๆ หนึ่งที


บุรุษจึงได้แต่เปลี่ยนคำพูดใหม่ “ก็เลยรู้จักเจ้า อันที่จริงตอนนั้นลูกสาวของพวกเรายังไม่เข้าใจตัวเอง ภายหลังพอรู้ว่าเจ้าจะเอากระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัว ไม่ว่านางจะทำอะไรก็มักจะรอคอยเจ้าเสมอ”


หนิงเหยาชอบไปนั่งอยู่บนแท่นสังหารมังกรเพียงลำพัง


ทำเอาบุรุษที่เห็นอยู่ในสายตาปวดใจยิ่งนัก


บุรุษลังเลอยู่ชั่วขณะ สีหน้าเรียกว่าอ่อนโยนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย “เจ้าจะไม่ทำผิดต่อหนิงเหยาได้จริงๆ หรือ? เจ้าน่าจะรู้ดีว่าหนิงเหยาไม่เหมือนกับผู้หญิงทั่วไป แล้วก็ไม่เหมือนในทุกๆ ด้านด้วย”


แม้ว่าเฉินผิงอันจะตื่นเต้นจนเหงื่อหลั่งลงมาตามสันหลัง แต่ก็ยังพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าเคยคิดมาก่อน ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดคือหนิงเหยาจะเสียใจภายหลัง จะหันไปชอบคนอื่น หากคนผู้นั้นดีต่อนางมากกว่าข้า ข้าก็จะไม่มาพบหนิงเหยาอีก หากหนิงเหยาชอบข้าตลอดไป ข้าจะพยายามให้มากขึ้น ครั้งหน้าที่พบเจอกัน จะไม่เหมือนครั้งนี้ที่ได้แต่เป็นภาระให้นาง ไม่ว่านางจะอยู่ในเมืองทางทิศเหนือ อยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หรืออยู่ในสนามรบทางทิศใต้ ข้าก็จะอยู่ข้างกายนาง จะพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องนาง”


เหงื่อที่หลั่งลงมาทำให้การมองเห็นของเฉินผิงอันพร่าเลือน เขารีบเช็ดมันทิ้งแล้วพูดต่อว่า “หากเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ทำสงคราม แต่อยู่ด้วยกันแค่สองคน การชอบคนคนหนึ่ง อาจจะรู้สึกว่าไม่ว่าอะไรนางก็ดีไปหมด แต่วันหน้าเมื่อได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็ต้องเรียนรู้ที่จะชอบความไม่ดีของนาง หลักการข้อนี้ ข้ารู้ดี ตอนที่ข้ายังเด็กมาก พ่อแม่ของข้าก็เคยทะเลาะกัน แต่ไม่เคยมาทะเลาะกันต่อหน้าข้า พอทะเลาะกันเสร็จแล้ว พ่อข้าจะไปนั่งเงียบๆ อยู่ในลานบ้าน วันต่อมาคนทั้งสองก็ดีกันแล้ว แม้ข้าจะรู้สึกว่าพ่อแม่ของข้าคือคนที่ดีที่สุดในโลก แต่ใต้หล้านี้จะมีคนที่ดีไปหมดทุกอย่างจริงๆ ได้อย่างไร ต้องไม่ใช่อย่างนั้นแน่ แต่ข้าก็จะพยายามแยกแยะให้รู้ว่าอะไรคือผิดถูก อะไรคือดีหรือไม่ดี จากนั้นก็มอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้กับหนิงเหยา”


บุรุษมีสีหน้าอึ้งงัน


ไอ้หนูเจ้าพูดทุกอย่างหมดแล้ว แล้วข้าจะยังมีอะไรให้พูดอีก?


อีกอย่างเจ้าเฉินผิงอันเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง ทำไมถึงได้เข้าใจหลักการพวกนี้ด้วย?


สตรีแต่งงานแล้วยกมือขึ้น ใช้หลังมือเช็ดน้ำตา จากนั้นก็ยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน ตอนเด็กลำบากมากใช่ไหม?”


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร


แต่อดกลั้นอยู่พักใหญ่ เฉินผิงอันก็ทำหน้ายับยุ่ง มุมปากสองข้างเบะลงด้านล่าง พูดเสียงสั่นว่า “ตอนที่ท่านแม่จากไป ข้าลำบากแทบตาย ตอนนั้นข้าอายุยังน้อยเกินไป เรื่องที่ข้าทำได้มีน้อยเกินไป แต่ท่านแม่ก็ยังจากไปอยู่ดี”


ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร เอาของในบ้านไปขายแลกเงิน ทำกับข้าว หาบน้ำ ต้มยา แอบไปขอพรที่สุสานเทพเซียน เก็บผลไม้ป่าหอบใหญ่ใส่ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายขึ้นหลัง ตอนกลางคืนคอยเหน็บชายผ้าห่มให้ท่านแม่ ถามนางว่าวันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง…


ไม่มีประโยชน์ ล้วนไม่มีประโยชน์


เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันแค่พูดประโยคนี้แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก


นั่นคือประโยคที่เป็นดั่งการสรุปตอกปิดฝาโลงของเขา


อายุน้อยเกินไป ทำได้น้อยเกินไป


สตรีแต่งงานแล้วก้มหน้าลงพลางยกชายแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาอีกครั้ง


บุรุษถอนหายใจ


ความยากลำบากมีมากมายบนโลกใบนี้ จะแปลกประหลาดตรงไหน?


เด็กคนใดก็ตามที่มีชาติกำเนิดยากจน ใครบ้างที่ไม่เคยพบเจอความยากลำบาก?


แต่ที่น่าแปลกก็คือ คำว่าลำบากนี้ เป็นความลำบากแบบไหน


ความทุกข์ยากลำบากในโลกมนุษย์ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แต่ก็ควรเอื้อนเอ่ย


สตรีแต่งงานแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง เงยหน้าขึ้น เค้นรอยยิ้มส่งให้ “เฉินผิงอัน วันหน้าคงต้องฝากหนิงเหยาให้เจ้าช่วยดูแลแล้ว หากมีเรื่องใดที่นางทำไม่ถูก เจ้าเป็นบุรุษต้องใจกว้างให้มาก”


เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “พวกท่านจะจากไปแล้วหรือ? พวกท่านจากไปแล้ว หนิงเหยาอยู่ตัวคนเดียวจะทำเช่นไร?”


สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หนิงเหยารู้ดี รู้หมดทุกอย่าง ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าข้าคือแม่ของหนิงเหยาจึงพูดว่านางดี แต่เป็นเพราะแม่นางที่เจ้าเฉินผิงอันชอบนั้นดีมากจริงๆ”


เฉินผิงอันได้แต่พยักหน้ารับ


สตรีแต่งงานแล้วหันไปมองบุรุษที่ลุกขึ้นยืนพร้อมตน “เจ้ามีเรื่องจะพูดไหม?”


บุรุษพยักหน้ารับ


สตรีแต่งงานแล้วจึงกล่าวอย่างคนที่เข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี “ถ้าอย่างนั้นข้าไปรอเจ้าข้างนอก?”


บุรุษอืมรับหนึ่งที สตรีแต่งงานแล้วเดินออกจากห้องแล้วไปยืนรออยู่ตรงมุมเลี้ยวของระเบียง


บุรุษมองเด็กหนุ่ม พูดเสียงหนัก “เฉินผิงอัน!”


บุรุษที่ปฏิบัติต่อเฉินผิงอันอย่างไม่ร้อนไม่หนาวมาโดยตลอดพลันคลี่ยิ้ม เดินอ้อมโต๊ะ ยื่นฝ่ามือที่หนาใหญ่มาตบลงบนไหล่ของเด็กหนุ่มหนักๆ จากนั้นก็เก็บมือ เดินไปด้านหลังหนึ่งก้าว แต่ยังตั้งฝ่ามือหันเข้าหาเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันตะลึง ก่อนจะรีบยื่นมือออกไป ใช้ฝ่ามือตีกับมือของอีกฝ่าย


บุรุษกำฝ่ามือของเด็กหนุ่มไว้หนักๆ “เฉินผิงอัน วันหน้าบุตรสาวของข้าหนิงเหยา! ต้องมอบให้เจ้าดูแลแล้ว! เจ้าจะดูแลนางให้ดีได้หรือไม่?”


เฉินผิงอันพูดสะอื้นเสียงดัง “ต่อให้ตายก็ทำได้!”


บุรุษคลายมือ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตายไม่ตายอะไรกัน ต้องมีชีวิตอยู่ให้ดี”


บุรุษมองประเมินเฉินผิงอันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าหนึ่งรอบ แล้วกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “อืม คู่ควรกับลูกสาวของข้า”


บุรุษหมุนตัวกลับ ก้าวยาวๆ จากไป เฉินผิงอันคิดจะเดินไปส่ง แต่บุรุษกลับยกมือขึ้นบอกเป็นนัยกับเฉินผิงอันว่าไม่ต้องตามมา


บุรุษยังคงเดินช้าๆ ไปที่ประตูโดยไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คราวหน้าที่ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้หนิงเหยาพาเจ้าไปดื่มสุราคารวะที่หน้าหลุมศพของพวกเรา เพื่อบอกกล่าวให้รู้ว่าพวกเจ้าสบายดี”


หลังจากเดินข้ามธรณีประตูไป บุรุษพลันหันหน้ากลับมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดื่มเหล้าแล้วจะเป็นอะไรไป ไม่เห็นต้องซ่อนกาเหล้า เซียนกระบี่ที่สง่างามที่สุดในโลกล้วนชอบดื่มเหล้าด้วยกันทั้งนั้น”


บุรุษยื่นหมัดออกมา ชูนิ้วโป้งตั้งขึ้นแล้วชี้ไปที่ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นพ่อตาของเจ้าอย่างข้า”


เฉินผิงอันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมตลอดเวลา


……


วันนี้ท่าเรือที่หอซ่างเซียงจะมีเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติลำหนึ่งออกเดินทางไปยังใบถงทวีป


ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปยังท่าเรือ เฉินผิงอันไปที่ตีนภูเขาเดียวดายก่อน เพราะไม่มีแผ่นหยกข้ามด่านของภูเขาห้อยหัว จึงได้แต่มองประตูใหญ่บานนั้นอยู่นอกรั้วไกลๆ ริมฝีปากของเขาสั่นระริกคล้ายกำลังพึมพำอะไรกับตัวเอง


เวลากลางวันชายฉกรรจ์กอดดาบที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ายังคงนอนหลับอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เขากลับพึมพำออกมาสามคำ แค่เปลี่ยนจากอักษรคำว่า ‘ใกล้’ ในครั้งแรกเป็นคำว่า ‘ไกล’ เท่านั้น


เด็กหนุ่มอยู่ใกล้กับประตูบานนี้ ปราณกระบี่ก็ใกล้


เด็กหนุ่มอยู่ไกลจากภูเขาห้อยหัว ปราณกระบี่ก็ไกล


วันนี้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงสวมเสื้อคลุมยาวสีขาวหิมะ แบกกระบี่ยาวไว้ข้างหลัง ตรงเอวรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ท่วงท่าสง่างาม


เด็กหนุ่มมีจิตใจบริสุทธ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ประทับใจคนมากที่สุด


บทที่ 284.1 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง

โดย

ProjectZyphon

นครมังกรเฒ่า


ลมฟ้าลมฝนกำลังจะมาเยือน


โดยเฉพาะตระกูลฟางหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


เพราะดูเหมือนว่ามีลูกหลานในตระกูลคนหนึ่งที่ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นมีไม่พอ แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีอยู่เหลือเฟือได้ไปทำร้ายเด็กสาวชาวบ้านคนหนึ่ง


เดิมทีเรื่องนี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไร เพราะคนที่ลงมือไม่ใช่คนประเภทที่ทำเรื่องเลวร้ายแล้วจะต้องชั่วร้ายให้ถึงที่สุด ถึงขั้นที่ต้องกำจัดรากถอนโคนให้สิ้นซาก แต่เป็นเพราะตระกูลฟางมีเงิน แล้วก็ยินดีที่จะจ่ายเงิน หากใช้เงินแล้วสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ก็ล้วนไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าเด็กสาวที่ตายอย่างกะทันหันผู้นี้มีความเกี่ยวข้องเล็กน้อยกับร้านยาฮุยเฉิน ร้านยาคือกิจการของตระกูลฟ่าน แต่ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ แค่ความสัมพันธ์บางเบาเล็กน้อยเท่านี้ คนผู้นั้นกลับคิดเอาจริงเอาจัง คิดเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆ


และคนผู้นั้นก็คือแขกสูงศักดิ์ที่ตระกูลฟ่านให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด


ตระกูลโหวและตระกูลติงมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฟางมาหลายรุ่นหลายสมัย ช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งสามตระกูลไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น มีความเคลื่อนไหวถี่ขึ้น


ส่วนตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่กำลังจะแต่งหญิงสาวสกุลเจียงอวิ๋นหลินเข้าตระกูลกำลังง่วนอยู่กับการต้อนรับแขกส่งแขก ยุ่งวุ่นวายมาก จึงคร้านที่จะสนใจเรื่องเละเทะประเภทนี้


ส่วนตระกูลซุนที่มีคนหนุ่มซุนเจียซู่เป็นเจ้าประมุขกลับนิ่งดูดายต่อเรื่องนี้ คงจะเป็นเพราะอยากนั่งดูไฟชายฝั่ง


บ้านบรรพบุรุษสกุลซุน ซุนเจียซู่เพิ่งจะได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง


ผู้ฝึกลมปราณสำนักใบถงที่ช่วยต่อชีวิตให้กับตระกูลติงท่านนั้น ตอนนี้ได้พาหญิงสาวสกุลติงกลับคืนมายังนครมังกรเฒ่า เพราะคนผู้นี้มีฐานะสูงส่งในสำนักใบถง ในบรรดาผู้ติดตามของเขาจึงมีเซียนพสุธาขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ท่านหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เดิมทีคนผู้นี้ก็คือหนึ่งในเซียนพสุธาอยู่แล้ว อีกทั้งยังเล่าลือกันว่าการที่ลูกหลานเสเพลของตระกูลฟางคนนั้นกล้าทำเรื่องที่กำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ก็เพราะบรรพบุรุษมีสหายเป็นผู้ฝึกลมปราณใหญ่คนหนึ่ง ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร เด็กแซ่ฟางก็ดี หรือบิดาของเขาก็ช่าง ล้วนไม่มีใครกล้าพูดอย่างชัดเจน


ดังนั้นแทบทุกคนจึงรู้สึกว่าสถานการณ์โดยรวมมั่นคงดีแล้ว


ตอนนี้ซุนเจียซู่ชอบมานั่งตกปลาตรงสถานที่ที่เด็กหนุ่มต้าหลีเคยมา ขอแค่ไม่มีกิจในตระกูลที่สำคัญ ซุนเจียซู่ก็มักจะแอบอู้งานมานั่งอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง


เขารู้สึกลังเลเล็กน้อย ไม่รู้ว่าคราวนี้ควรจะเดิมพันดีหรือไม่ หากเดิมพันแล้ว แล้วควรจะเดิมพันมากเท่าไหร่?


ช่วงนี้ซุนเจียซู่ได้พบกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ไปมาอย่างไร้ร่องรอย เพียงแค่เอ่ยคำเดียวก็ทำให้สภาพจิตใจที่มีจุดด่างพร้อยเล็กน้อยของเขากลับคืนมาเป็นปกติ อีกทั้งยังพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น


คนผู้นั้นแค่ยิ้มถามด้วยประโยคเดียวว่า “เจ้าซุนเจียซู่แน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายผิด?”


ประหนึ่งวิธีการใช้ไม้กระบองตีหรือตวาดเสียงดังของศาสนาพุทธ (หนึ่งในวิธีที่สำนักพุทธนิกายเซนใช้ต้อนรับผู้ที่เพิ่งเข้าสู่นิกาย หากถามคำถามแล้วอีกฝ่ายตอบไม่ถูกต้องก็จะใช้กระบองตี หรือไม่ก็ตวาดเสียงดัง เพื่อทดสอบความฉลาดเฉลียว บ้างก็เพื่อบอกเป็นนัยและชี้นำให้แก่อีกฝ่าย สามารถใช้เปรียบเทียบถึงการตักเตือนให้ผู้อื่นตื่นมีสติ)


แต่วิธีนี้จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นเป็นคนที่มีรากฐานของความฉลาดเฉลียว อีกทั้งยังสั่งสมสติปัญญาไว้มากพอจนถึงขั้นที่บรรลุได้ หาไม่แล้วต่อให้เกิดเสียงดังสักกี่ร้อยกี่พันครั้งก็ไม่มีประโยชน์


ซุนเจียซู่เก็บคันเบ็ดตกปลา ปล่อยปลาทั้งหมดที่ตกมาได้แล้วเก็บไว้ในข้องปลาคืนสู่แม่น้ำ


สุดท้ายซุนเจียซู่ตัดสินใจว่าจะไม่เดิมพันในครั้งนี้


……


เหนือทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่า หญิงสาวกระโปรงเขียวคนหนึ่งเล่นกระโดดข้ามช่องสี่เหลี่ยมเบาๆ ตอนที่พลิ้วกายลงบนพื้น เมฆหมอกก็กระเพื่อมกระเซ็นเป็นระลอก บางครั้งนางจะหยิบไข่มุกแก้วขนาดเท่ากำปั้นเม็ดหนึ่งออกมาโยนเล่น


สุดท้ายนางจะเล็งตำแหน่งบางแห่งของทะเลเมฆแล้วพุ่งตัวออกไป ก่อนที่นางจะเอามือสองข้างวางแนบไว้กับด้านนอกต้นขา ขาสองข้างประกบชิดติดกัน จากนั้นก็ทิ้งร่างทิ้งดิ่งลงมายังมุมใดมุมหนึ่งของเมืองฝั่งในนครมังกรเฒ่า


คล้ายกับมีต้นหอมสีเขียวต้นหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า…


ด้วยความเร็วสูงสุด หนึ่งเค่อก่อนจะกระแทกลงสู่พื้นดิน หญิงสาวนามว่าฟ่านจวิ้นเม่าก็พลิ้วกายลงบนพื้นเบาๆ


ตำแหน่งที่นางพลิ้วกายลงมาก็คือเรือนด้านหลังของร้านยาฮุยเฉิน


เจิ้งต้าเฟิงเถ้าแก่ร้านกำลังนั่งสูบยาอยู่บนขั้นบันได


ฟ่านจวิ้นเม่าถาม “ว่ายังไง?”


ควันยาสูบลอยขโมงอบอวลจนมองเห็นใบหน้าของเจิ้งต้าเฟิงได้ไม่ชัด ได้ยินแต่เสียงชายฉกรรจ์พูดเนิบช้าว่า “ติดหนี้ใช้หนี้ ติดค้างชีวิตใช้คืนด้วยชีวิต ข้ากับหลี่เอ้อร์ไม่เหมือนกัน เขาเล่นงานแต่กับคนแก่ ส่วนข้าจะคนแก่หรือเด็กก็ไม่มีเว้น”


ฟ่านจวิ้นเม่ามองชายฉกรรจ์ที่เดิมทีชอบเฮฮาสนุกสนานทั้งวันด้วยสายตาคลุมเครือ


สุนัขเปลี่ยนนิสัยกินอาจมไม่ได้


ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้วก็ยังมีนิสัยเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเคร่งขรึมมาทั้งชีวิต มีแค่เพียงครั้งนั้นครั้งเดียวที่จริงจัง


ห่างไปไกลแสนไกล ประตูสวรรค์สี่แห่ง ขุนพลเทพสามท่านต่างก็ละทิ้งหน้าที่ด้วยเหตุผลที่ต่างกันออกไป เปิดทางให้กับ ‘กองทัพกบฏ’ ที่บุกมาด้วยพลังอำนาจเกินต้านทาน มีเพียงขุนพลเทพที่อยู่ทางทิศตะวันออกซึ่งถูกมองว่ารักตัวกลัวตายมากที่สุดและทำตัวเอ้อระเหยลอยชายมากที่สุดท่านนั้นที่ไม่ยอมเปิดทาง ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอย


แน่นอนว่าผลลัพธ์ของการที่ต่อให้ตายก็ไม่ยอมถอยก็คือ ตาย


เขาถูกคนใช้หนึ่งกระบี่ปักตรึงตายคาที่อยู่บนเสาใหญ่ของประตูสวรรค์


ไม่ว่าจะฝั่งศัตรูหรือฝั่งของตัวเอง ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ


การรนหาที่ตายของขุนพลเทพผู้นี้ทำให้ผู้คนคิดหาเหตุผลไม่ออกจริงๆ


ฟ่านจวิ้นเม่าถอนหายใจอยู่ในใจหนึ่งครั้ง นางไม่ได้อยากรู้เลยสักนิด น่าเสียดายที่กลับต้องมารับรู้


……


อริยะหร่วนฉงเปิดสำนักตั้งพรรคอยู่บนภูเขาใหญ่ทางฝั่งทิศตะวันตกอย่างเป็นทางการ และลูกศิษย์ที่รับไว้อย่างเป็นทางการตอนนี้ก็ยังมีแค่สามคน


ร้านกระบี่ริมลำธารหลงซวียังคงเปิดอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ปิดกิจการ หร่วนฉงทิ้งเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในลูกศิษย์เปิดสำนักเอาไว้ที่นั่น นางขาดนิ้วโป้งที่จะจับกระบี่ ดังนั้นจึงห้อยกระบี่ไว้ทางเอวฝั่งขวา เปลี่ยนมาถือกระบี่ด้วยมือซ้ายแทน


ตอนที่แม่นางหร่วนซิ่วบุตรสาวคนเดียวของหร่วนฉงย้ายไปอยู่ที่ภูเขาเสินสิ่ว ได้ยินว่านางถือกรงใส่ไก่ไปด้วยกรงหนึ่ง พอนางหิ้วอยู่ในมืออย่างนั้นก็ทำให้เทพเซียนจากฝ่ายต่างๆ พากันหันมามองอย่างอดไม่อยู่ เข้าใจผิดนึกว่ามันเป็นสัตว์วิเศษที่ร้ายกาจอะไร ภายหลังผู้ฝึกลมปราณบางส่วนที่เคยไปเยือนภูเขาเสินซิ่วพูดถึงเรื่องนี้เมื่อไหร่ก็ล้วนรู้สึกขบขันกันทั้งนั้น ที่แท้นั่นเป็นแค่แม่ไก่และลูกเจี๊ยบฝูงหนึ่ง เป็นแค่สัตว์เลี้ยงที่พบเห็นได้ทั่วไปของชาวบ้านร้านตลาดเท่านั้น


ดังนั้นตระกูลเซียนทั้งหลายที่อยู่บนภูเขาใกล้เคียงจึงรู้สึกว่าจิตใจที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาของแม่นางหร่วนซิ่วต่างหากที่ถึงจะเป็นจิตแห่งมรรคาที่แท้จริง


พวกเขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนอายุน้อยบางส่วนที่เพิ่งย้ายมาอาศัยที่จวนใหม่เอี่ยมเริ่มใคร่ครวญความรู้ที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ ด้วยรู้สึกว่าต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งซ่อนอยู่


ไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางซิ่วซิ่ว ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกตนมีพรสวรรค์ที่ศาลลมหิมะเคยฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ให้


ไม่ว่าทำเรื่องใดก็ล้วนมองทะลุปรุโปร่งถึงความลี้ลับ ทุกเรื่องล้วนสอดคล้องกับมหามรรคา


พอเด็กหนุ่มคิ้วยาวแซ่เซี่ยได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกสนใจ จึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พี่ซิ่วซิ่วฟังเป็นเรื่องตลก ตอนนั้นหร่วนซิ่วกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสีเขียวมรกต มองแม่ไก่ที่เดินยืดอกเชิดหน้านำฝูงลูกเจี๊ยบกลุ่มน้อยจิกหาอาหารไปทั่ว นางพูดแค่ประโยคเดียวว่า อย่างนี้เองหรือ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก


เด็กหนุ่มแซ่เซี่ยผู้มีวาสนามองพี่ซิ่วซิ่วที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางนี้ทำให้คิ้วของเขายิ่งยาวเข้าไปอีก


หร่วนฉงคือผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งยังมีศาลลมหิมะ ‘บ้านเดิม’ ช่วยหนุนหลัง แล้วก็เพราะเรื่องที่เขาเชี่ยวชาญการหลอมกระบี่ทำให้เขามีสหายกว้างขวาง ชื่อสำนักของเขาจึงสามารถใส่คำว่าสำนัก (จง) เข้าไปได้ โดยตั้งชื่อเป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียน (หลงเฉวียนเจี้ยนจง จงแปลว่าสำนัก/ดั้งเดิม สำนักที่สามารถใช้คำว่าสำนักในชื่อจึงมีอักษรจงอยู่ด้วย)


อันที่จริงแรกเริ่มหร่วนฉงอยากตั้งชื่อแค่ว่า ‘สำนักกระบี่’ (เจี้ยนจง) เท่านั้น เพราะฟังแล้วดูมีบารมีและพลังอันยิ่งใหญ่ แต่หนึ่งเพราะทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีสำนักกระบี่อยู่ก่อนแล้ว นี่จึงไม่สอดคล้องกับกฎที่ลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ สองก็เพราะสหายสนิทที่เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีได้เกลี้ยกล่อมหร่วนฉงเป็นการส่วนตัวว่า การที่เขาตั้งสำนักอยู่ในเขตพื้นที่ของต้าหลีก็ถือว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ที่เรียกลมมากพอแล้ว อย่าสิ้นเปลืองพละกำลังกับเรื่องนี้อีกเลย


แม้ว่าสุดท้ายหร่วนฉงจะตัดสินใจใช้ชื่อสำนักเป็น ‘สำนักกระบี่หลงเฉวียน’ แต่ลึกๆ ในใจกลับไม่ใคร่จะพอใจนัก ไม่ว่าจะขึ้นเขาหรือลงเขาก็ล้วนไม่ชอบเดินผ่านซุ้มประตูตรงตีนเขาที่แขวนกรอบป้ายชื่อสำนักเอาไว้ เขาบอกให้นักโทษสกุลหลูที่ทางการต้าหลีนำตัวมาเปิดเส้นทางเล็กๆ ให้เขาอีกเส้นหนึ่ง เรื่องนี้ทำให้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย เพราะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การเริ่มต้นที่ดี นี่ไม่เท่ากับว่าหลีกเลี่ยงไม่เดินทางสายใหญ่ (มหามรรคา) แต่เลือกที่จะเดินทางฝั่งข้างที่ไม่ตรงประตู (นอกรีตนอกรอย) หรอกหรือ?


แต่หร่วนซิ่วและลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาต่างก็รู้สาเหตุ


หร่วนฉงทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้กับคนทั้งสี่ว่า ในอนาคตใครสามารถตัดสองคำว่าหลงเฉวียนออกจากชื่อสำนักกระบี่หลงเฉวียนได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม คนผู้นั้นก็คือเจ้าสำนักคนถัดไป


เวลานี้สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีชื่อเสียงและหน้าตามากที่สุดในต้าหลีอย่างที่ใครก็ไม่อาจทัดเทียมได้


เว้นจากภูเขาเสินซิ่วซึ่งเป็นภูเขาหลักของสำนักที่สกุลซ่งต้าหลีมอบให้เป็นของขวัญเปิดสำนักแล้ว ภูเขารอบด้านอย่างภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาเฟิงอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวสามลูกนี้ เฉินผิงอันให้อริยะหร่วนฉงเช่าเป็นเวลาสามร้อยปี จึงถือว่าอยู่ในอาณาเขตของสำนักกระบี่หลงเฉวียนมานานแล้ว


นี่คือการค้าขายที่ดีมากครั้งหนึ่ง


คนอื่นถือหัวหมูไม่เจอศาลเจ้า เข้าประตูไปแล้วคิดจะจุดธูปไหว้ให้สำเร็จอย่างแท้จริงก็ยิ่งยาก


ดังนั้นการค้าครั้งนี้จึงคุ้มค่ามากสำหรับเฉินผิงอันที่ตบะต่ำต้อยจนไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่กลับได้เป็นเจ้าของที่ดินเขตการปกครองหลงเฉวียน


บวกกับที่เว่ยป้อเทพแห่งขุนเขาเหนือซึ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่เคยพาเฉินผิงอันเดินสำรวจพื้นที่รอบด้าน นี่จึงถือเป็นยันต์คุ้มกันกายสีทองอร่ามอีกชิ้นหนึ่งของเขา


ได้ยินว่าเด็กรับใช้สองคนของเขาก็แขวนป้ายสุขสงบปลอดภัยซึ่งราชสำนักต้าหลีจะแจกจ่ายให้กับผู้ฝึกลมปราณที่มีความดีความชอบ นี่ก็คือยันต์คุ้มกันกายอีกชิ้น


มียันต์คุ้มกันกายสามชิ้นนี้ อยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนอย่าว่าแต่เดินเตร่เลย เฉินผิงอันที่โชคดีผู้นั้นคิดจะเดินกร่างก็ยังไม่เป็นปัญหา


น่าเสียดายก็แต่เด็กหนุ่มคนนั้นหายตัวไป ว่ากันว่าเขาออกเดินทางไกล


น่าจะเป็นเพราะเขาเป็นพวกเสวยสุขไม่เป็น


ด้านหนึ่งของภูเขาเสินซิ่วคือหน้าผากเงื้อมชะโงกขนาดใหญ่


มีอักษรโบราณสี่คำสลักอยู่บนหน้าผา เป็นคำว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’ หลังจากที่หร่วนฉงตั้งสำนัก จะต้องมีผู้ฝึกลมปราณทะยานลมมาที่นี่แทบทุกวันเพื่อชื่นชมความงามของตัวอักษรใหญ่สี่คำนี้ ด้วยรู้สึกว่าหร่วนฉงเลือกภูเขาเสินซิ่วเป็นภูเขาหลักของสำนัก ไม่แน่ว่าอาจทำตามบัญชาสวรรค์ที่ลึกลับอะไรสักอย่างอยู่ก็เป็นได้


แต่หร่วนซิ่วไม่เคยไปร่วมความครึกครื้นที่นั่น ดูเหมือนว่าจะไม่เคยไปเยือนเลยแม้แต่ครั้งเดียว


และหร่วนซิ่วที่ไม่ชอบไปไหนมาไหนก็คล้ายว่าจะสูงขึ้นเล็กน้อย อ้วนขึ้นอีกนิด ปลายคางกลมมนมากขึ้น


หร่วนฉงรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก


อันที่จริงคนเป็นบิดาส่วนใหญ่ในใต้หล้าก็มักรู้สึกว่า ไม่ว่ามองอย่างไรบุตรสาวของตัวเองก็ดีไปหมด


มีบางครั้งหร่วนซิ่วจะไปที่ศาลาบนยอดเขาเสินซิ่ว เลือกวันที่อากาศดีท้องฟ้าสดใสทอดสายตามองไปไกล มองธารน้ำที่คดเคี้ยว สุดท้ายไปรวมตัวกันเป็นลำคลองหลงซวี แล้วค่อยไหลซัดกรากกลายไปเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู


หร่วนซิ่วไม่ได้ชอบแม่น้ำลำธารพวกนี้ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ นางรู้สึกว่าพวกมันขวางหูขวางตาอย่างมาก


พ่อปู่แม่ย่าลำธาร องค์เทพแห่งสายน้ำ เทพพิรุณ มารดาแห่งเมฆ ฯลฯ ขอแค่เป็นเทพที่เกี่ยวข้องกับน้ำ นางก็ไม่ชื่นชอบมาตั้งแต่เด็กแล้ว ได้ยินคำเรียกขานยศตำแหน่งพวกนี้ก็จะหงุดหงิดใจ


นางอยากจะใช้ค้อนทุบพวกมันให้จบๆ กันไปเหมือนตอนทุบกระบี่เล่มใหม่ที่เพิ่งออกจากเตาหลอม


วันนี้หร่วนซิ่วนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงของศาลา อ้าปากหาวอย่างเกียจคร้าน


นอกศาลามีเสียงซอยฝีเท้าเร่งร้อนระลอกหนึ่งดังขึ้นมา หร่วนซิ่วหันหน้ากลับไปมอง เห็นว่ามีคนสี่คนจับกลุ่มเดินมาไกลๆ ทุกคนล้วนสวมชุดลัทธิขงจื๊อ บนศีรษะสวมหมวกผ้าโพก


หร่วนซิ่วรู้จักพวกเขาทุกคน เจ้าเมืองอู๋ยวน คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่เลื่อนขั้นในวงการขุนนางเร็วมาก ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี


ขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนปัจจุบันที่แซ่เฉา และยังมีอีกคนที่แซ่ยวน ทั้งแซ่เฉาและยวนล้วนเป็นแซ่สกุลของเสาหลักค้ำยันแคว้น เทวรูปที่ตั้งบูชาในศาลบุ๋นบู๊ซึ่งสร้างขึ้นบนภูเขาเครื่องปั้นและสุสานเทพเซียนก็คือบรรพบุรุษของสองคนนี้


คนสุดท้ายคือรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาพีอวิ๋น มีชาติกำเนิดเป็นซือหลางเฒ่าแห่งแคว้นหวงถิง มีนามแฝงว่าเฉิงสุ่ยตง แต่ในความเป็นจริงแล้วคือเจียวเฒ่าตัวหนึ่ง


หร่วนซิ่วลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากศาลา ยกตำแหน่งชมวิวที่ดีที่สุดให้กับพวกเขา


คนทั้งสี่หันมามองหน้ากันเองแล้วยิ้ม ไม่มีใครคิดประจบเอาใจแสดงความเป็นมิตรเกินเหตุ เพราะถึงอย่างไรหร่วนซิ่วก็คือสตรีคนเดียวที่อยู่ตรงนี้ พวกเขากระตือรือร้นมากเกินไปคงไม่ดี


หากเปลี่ยนไปเป็นผู้ฝึกลมปราณคนอื่น อย่างน้อยต้องเอ่ยขอบคุณหร่วนซิ่วสักคำ หลังจากนั้นก็แนะนำตัว หวังให้เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของนาง


คนทั้งสี่นัดหมายกันมาเล่นหมากล้อมที่นี่ อู๋ยวนต้องการจะประชันฝีมือกับรองเจ้าขุนเขาเฉิง ชุยฉานอาจารย์ของอู๋ยวนคือนักเล่นหมากล้อมอันดับหนึ่งของแคว้นต้าหลีที่สมชื่ออย่างแท้จริง ตอนที่อู๋ยวนเรียนรู้จากชุยฉาน ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของเขาจึงพัฒนามากขึ้น ถือเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เฉาหยวนสองคนแค่มาชมศึกเท่านั้น


บรรพบุรุษของตระกูลเฉาและตระกูลหยวนคือสหายที่สนิทกันมาก คือหยกคู่แห่งต้าหลี ทว่าหลายร้อยปีต่อมา ทั้งสองแซ่กลับไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ เฉาหยวนสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันแทบจะไม่มองสบตากันเลยด้วยซ้ำ


ตอนนี้ต้าสุยกับต้าหลีเป็นพันธมิตรกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ลงนามเป็นพันธมิตรแห่งขุนเขาที่ภูเขาพีอวิ๋นต้าหลีและที่ภูเขาตงซานต้าสุย ทั่วทั้งแถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป แทบจะเรียกได้ว่าต้าหลีคือผู้พิชิตเพียงหนึ่งเดียว ตอนนี้แคว้นใต้อาณัติหลายแห่งของต้าสุยซึ่งรวมถึงแคว้นหวงถิงต่างก็เริ่มหันมาเรียกตัวเองเป็นขุนนางคอยส่งบรรณการให้แก่สกุลซ่งต้าหลีแล้ว แน่นอนว่าระหว่างนี้ก็มีอุปสรรคอยู่บ้าง เนื่องจากตระกูลสูงศักดิ์มากมายต่างก็รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการทรยศหักหลังซึ่งไร้คุณธรรม จากนั้นเสียงกีบเท้าม้าของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็เริ่มดังขึ้น หลังจากที่เสียงกีบม้าหยุดลง ศีรษะของคนมากมายที่แต่เดิมสวมหมวกขุนนางสูง หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงล้วนพากันหลุดออกจากบ่า


ทั่วทั้งราชสำนักของต้าสุย บนภูเขาและในยุทธภพต่างก็เริ่มตกสู่บรรยากาศอึมครึมที่น่าประหลาด


ต้าสุยที่ยิ่งใหญ่ ผู้สืบทอดสายบุ๋นที่แท้จริงทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป กองกำลังแห่งแคว้นแข็งแกร่งรุ่งโรจน์ กลับยอมยกธงขาวทั้งที่ยังไม่ได้สู้ ยอมยกที่ดินให้ฝ่ายตรงข้ามเพื่อแสวงหาความปรองดอง!


ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงปัญญาชนคนหนึ่งดื่มเหล้าเมามายเดินขึ้นไปบนยอดเขาสูง ก่อนที่จะกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตาย ได้ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้ว่า “นับตั้งแต่สกุลเกาต้าสุยก่อตั้งแคว้นมา ปัญญาชนได้รับความอัปยศที่สุดในยุคสมัยนี้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้”


นักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นคนหนึ่งของต้าสุยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปครึ่งทวีปถึงกับผ่าโต๊ะหมากล้อมที่ตัวเองรักที่สุดเอามาทำเป็นฟืนเผาไฟ


คนในราชสำนักของเมืองหลวงต้าสุยทยอยกันลาออกไม่ขาดสาย มีตั้งแต่ขุนนางตำแหน่งสูงไปจนถึงขุนนางที่ยังไม่ได้รับบรรจุอย่างเป็นทางการ จำนวนมากถึงร้อยกว่าคน ว่ากันว่าที่ว่าการหกกรมในเมืองหลวงว่างโล่งไปครึ่งหนึ่งในเวลาเพียงชั่วพริบตา


ไม่ว่าอย่างไร กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีก็เริ่มเดินทางลงใต้แล้ว


ความโกลาหลเริ่มเกิดขึ้นในแจกันสมบัติทวีป


เสียงวางตัวหมากชัดแจ๋วดังมาจากทางศาลาเป็นระยะ


หร่วนซิ่วเดินมาหยุดอยู่ใต้ต้นสนโบราณริมหน้าผา เดินเก็บก้อนหินจากพื้นมาตลอดทาง จากนั้นก็โยนมันไปนอกหน้าผาเบาๆ


ไอเมฆหมอกเหมือนสายน้ำที่ไหลรินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฟ้าดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา


นางพลันโยนหินก้อนที่เหลืออยู่ในมือทิ้งไป


วันนี้ยังต้องช่วยท่านพ่อตีเหล็กนี่นา จบกันๆ ไปสายขนาดนี้ คืนนี้ต้องไม่ได้กินเนื้อเค็มตุ๋นหน่อไม้แน่เลย


บทที่ 284.2 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง

โดย

ProjectZyphon

ครอบครัวสามคนครอบครัวหนึ่งโดยสารเรือข้ามฟากจากใต้มาเหนือ ในที่สุดก็มาถึงเป้าหมายในอุตรกุรุทวีปอย่างตระกูลเซียนที่มีชื่อว่ายอดเขาราชสีห์เสียที


ในกลุ่มพวกเขามีนายบ่าวอายุน้อยเพิ่มมาคู่หนึ่ง คนหนึ่งคือคุณชายสูงศักดิ์ที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งตำรา เด็กหนุ่มที่เป็นข้ารับใช้ช่วยจูงม้าตัวหนึ่งให้ บนหลังม้าใส่อานสีทองและสีเงินของทางการอันเป็นเอกลักษณ์ของราชวงศ์ฮวาหลิง เด็กรับใช้อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนักจึงหน้าบูดบึ้งไปตลอดทาง แต่คุณชายของตนดึงดันจะนำทางให้คนอื่น เขาจึงพูดอะไรมากไม่ได้


ครอบครัวสามคนนั้นเหมือนคนบ้านนอกบ้านนา ประเด็นสำคัญคือดวงตาไม่มีแววแม้แต่น้อย แม้ชายฉกรรจ์และสตรีแต่งงานแล้วที่หยาบกระด้างอย่างถึงที่สุดคู่นี้จะให้กำเนิดบุตรสาวที่หน้าตาไม่เลว แต่ต่อให้นางจะสวยงามแค่ไหนก็ยังไม่คู่ควรกับคุณชายของตนอยู่ดี ราชวงศ์ฮวาหลิงคือราชวงศ์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของอุตรกุรุทวีป แม้ว่าฮ่องเต้จะแซ่หาน แต่ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าคนในราชสำนักที่ได้สวมหมวกขุนนาง หากนับกันขึ้นมาจริงๆ ก็มีคนสกุลเดียวกับคุณชายของตนอยู่ถึงครึ่งหนึ่ง?


อีกอย่างแม้คุณชายของตนจะไม่ใช่บุตรโทน แต่เด็กรุ่นนี้ของตระกูลก็มีแค่คุณชายกับพี่ชายใหญ่ของเขาสองคนเท่านั้น พี่ชายใหญ่คือบุตรอนุภรรยา แต่คุณชายกลับเป็นบุตรภรรยาเอก ดังนั้นต่อให้คุณชายจะแต่งองค์หญิงมาภรรยาก็ยังไม่ถือว่าเป็นธรรม แล้วเหตุใดต้องมาพัวพันอยู่กับเด็กสาวบ้านป่าไร้อารยธรรมคนหนึ่งด้วย?


ครอบครัวหนึ่งที่มาจากสถานที่เล็กๆ อย่างแจกันสมบัติทวีปไม่คู่ควรกับความกระตือรือร้นถึงขั้นนี้จากคุณชายเลยจริงๆ


ตลอดทางที่เดินมาเด็กรับใช้หนุ่มโมโหจนน้ำตาแทบหยดอยู่หลายครั้ง แต่อย่างมากสุดคุณชายก็แค่ปลอบใจเขาไม่กี่คำ แล้วก็ยังคงติดตามคนทั้งสามไปที่ยอดเขาราชสีห์อยู่ดี


แม้ว่าเจ้าของยอดเขาราชสีห์จะเป็นคนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงมาก แต่จะอย่างไรเล่า?


เมื่อพบท่านปู่ของคุณชายก็ยังต้องทำตัวสงบเสงี่ยมสำรวมอยู่ดีไม่ใช่หรือ?


ขนาดเขาเป็นแค่เด็กรับใช้เป็นสหายร่วมเรียนคนหนึ่ง ตลอดหลายปีมานี้อาศัยบารมีของคุณชายก็ยังเคยได้เห็นพวกเซียนกระบี่พสุธาที่ทะยานลมขี่เมฆตัวเป็นๆ มากถึงหนึ่งมือนับ


เพียงแต่ว่าถึงแม้เด็กรับใช้หนุ่มที่หัวสูงมากเป็นพิเศษผู้นี้จะเห็นเซียนกระบี่ตัวจริงมาไม่น้อยก็จริง แต่เขากลับยังรู้สึกดูแคลนเจ้าของยอดเขาราชสีห์ผู้นั้นอยู่ดี แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเซียนดินก่อกำเนิดขอบเขตสิบ แต่เดิมทีเซียนดินของอุตรกุรุทวีปก็มีแต่มูลค่า ไม่มีความสามารถที่แท้จริง เว้นเสียจากว่าไปเป็นเซียนอิสระใช้ชีวิตอย่างเสรีตามป่าเขา หาไม่แล้วก็ยากที่จะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง


โดยเฉพาะท่านผู้นี้ของยอดเขาราชสีห์ที่เป็นคนต่างถิ่น ทว่าในเวลาสั้นๆ เพียงสองร้อยปีก็อาศัยพละกำลังของตัวเองคนเดียวเล่นงานให้ตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของราชสำนักฮวาหลิงที่ในชื่อมีคำว่าสำนัก (จง) ถึงกับจนปัญญา มากพอจะพิสูจน์ได้ว่าพลังการต่อสู้ของคนผู้นี้เลิศล้ำ


นอกจากนี้ก็เป็นคนประเภทที่เป็นยอดฝีมือซึ่งถือกำเนิดในกุรุทวีป คนประหลาด คนไร้เหตุผล รวมไปถึงคนที่มีครบทั้งสามที่กล่าวมาข้างต้น


ดังนั้นการที่ได้นั่งบัญชาการณ์อยู่บนภูเขาของกุรุทวีปจึงง่ายที่จะเรียกหายนะให้มาหามากที่สุด


เพราะมักจะมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ที่แค่ไม่ชอบขี้หน้าสำนักของเจ้าก็วิ่งโร่มาหาเรื่องสร้างความวุ่นวาย หากสู้ไม่ได้ก็หนี แต่ถ้าฝีมือเก่งกาจกว่าก็ถึงขั้นทำให้เจ้าต้องรื้อกรอบป้ายชื่อสำนักทิ้ง


นี่ก็คือกุรุทวีปที่แย่งคำว่า ‘อุตร’ มาจากธวัลทวีปซึ่งๆ หน้า ขนบธรรมเนียมแกร่งกร้าว ผู้คนเหี้ยมหาญ คนทั้งราชสำนักต่างก็เลื่อมใสในฝ่ายบู๊ ผู้ฝึกตนเชี่ยวชาญการทำสงคราม อีกทั้งยังชอบทำสงคราม มีลูกหลานตระกูลเซียนที่สูงศักดิ์หลายคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง หลังลงจากภูเขาแล้วก็แสร้งทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระ นั่นก็เพื่อให้ตัวเองลงมือได้อย่างสาแก่ใจมากขึ้น


ที่นี่ ผู้ฝึกกระบี่มีมากดุจก้อนเมฆ


สุดยอดมือกระบี่ที่ชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วยุทธภพเหล่านี้มีวิชากระบี่สูงส่ง ถึงขั้นสามารถงัดข้อกับเซียนดินบนภูเขาได้


ดังนั้นเมื่อเทียบกับสถานที่แห่งอื่นแล้ว ภูมิหลังของอริยะสำนักศึกษาสามแห่งของลัทธิขงจื๊อในกุรุทวีปจะเป็นบัณฑิตที่มีพลังการต่อสู้สูงมาก ส่วนความรู้จะสูงหรือไม่นั้น สามารถยอมกันได้ เพราะถ้าไม่มีฝีมือก็จะไม่สามารถสยบผู้คนได้


เดิมทีชื่อเสียงของอริยะรุ่นนี้ของสำนักศึกษาอวี๋ฝู (ชื่อฮ่องเต้ในสมัยโบราณ) ไม่ได้โด่งดัง มักจะเก็บตัวอยู่ในสำนักศึกษาอย่างสันโดษ ในสายตาของผู้ฝึกตน กษัตริย์หรืออัครเสนาบดีที่เกิดและโตขึ้นมาในกุรุทวีปมักมองว่าคนผู้นี้ชอบโอ้อวดความรู้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเท่าใดนัก ทว่ากระต่ายถูกบีบให้ร้อนใจก็ยังกัดคนได้ แล้วนับประสาอะไรกับอริยะคนหนึ่งที่ก่อนจะออกเดินทางจากสถานศึกษาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อาจารย์ผู้มีพระคุณได้มอบสองคำว่า ‘ระงับโทสะ’ ไว้ให้เขา ผลคือมีครั้งหนึ่งที่ไฟโทสะของเขาพุ่งสูงมาก เพราะมีคนกล่าวโทษอย่างกำเริบเสิบสานว่าความรู้และคุณธรรมที่อริยะผู้นี้สั่งสอนตรรกะพังพินาศเหมือนตูดหมาไม่ทะลุ (เป็นคำด่าว่าคำพูดหรือบทประพันธ์ติดขัด ไม่ได้เรื่อง) ตอนนั้นอริยะท่านนี้อยู่ห่างจากสำนักศึกษาอวี๋ฝูไม่มาก พอได้ยินก็แค่ก้าวอาดๆ จากไป คนในตระกูลเซียนของกุรุทวีปที่คล้อยตามกับเรื่องนี้ก็มีค่อนข้างมาก


สำนักศึกษาเงียบเหงาอยู่นาน ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่อริยะออกไปจากสำนักศึกษา เวลาเพียงหนึ่งเดือนเขาซ้อมก่อกำเนิดสองคน หยกดิบหนึ่งคนให้หน้าเขียวจมูกบวมติดๆ กัน ได้ยินว่าทุกครั้งที่ถึงช่วงท้าย อริยะจากลัทธิขงจื๊อท่านนี้จะต้องเขกมะเหงกลงบนศีรษะคนอื่นพลางตะโกนถามเสียงดังด้วยว่า “ตอนนี้ทะลุปรุโปร่งแล้วหรือยัง?” แน่นอนว่าคนทั้งสามได้แต่พูดว่าทะลุปรุโปร่งแล้ว ผลคืออริยะท่านนี้ตอบกลับซ้ำไปซ้ำมาว่า “ทะลุกะผีเจ้าน่ะสิ!”


กลายเป็นเรื่องตลกขบขันที่ผู้คนเอามาพูดถึง


และเจ้าขุนเขาของยอดเขาราชสีห์ก็คือหนึ่งในเซียนดินที่อริยะแห่งสำนักศึกษาอวี๋ฝูถูกชะตาด้วยอย่างที่หาได้ยาก


เพียงแต่ว่าเรื่องวงในพวกนี้ เด็กรับใช้ตัวเล็กๆ คนหนึ่งไม่มีทางสัมผัสได้ถึง


พอไปถึงประตูตรงตีนยอดเขาราชสีห์ เด็กรับใช้ก็คิดว่าในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว จะดีจะชั่วก็ควรไปขอผู้อื่นดื่มชาสักถ้วย แต่คุณชายกลับดื้อดึงขึ้นมาอีกครั้ง พูดกับคู่สามีภรรยาและเด็กสาวคนนั้นว่าส่งท่านพันลี้ย่อมต้องถึงเวลาแยกจาก แล้วก็พาเขาเดินหันกลับ เด็กรับใช้น้อยใจจนเกือบจะร้องไห้อีกครั้ง


พเนจรอยู่ข้างนอกมาเกือบครึ่งปี ได้กลับจวนคือเรื่องดี แต่พวกเขากลับไม่มีมาดอันสง่างามเลยแม้แต่น้อย


หลังจากขึ้นเขามาแล้ว สตรีแต่งงานแล้วก็พูดคุยซุบซิบอยู่กับลูกสาวเป็นนาน ซึ่งไม่พ้นพูดว่าลูกหลานคนรวยผู้นี้ดูแล้วไม่เลวเลยทีเดียว มีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น หน้าตาก็ไม่ธรรมดา อีกอย่างแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตมีความรู้ เมื่อเทียบกับน้ำครึ่งถัง (เปรียบเปรยถึงคนที่รู้งูๆ ปลาๆ รู้ไม่จริง) อย่างหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิงแล้ว ดูมีความรู้กว่ามาก น่าเสียดายที่บุตรสาวของนางทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ ทำเอาสตรีแต่งงานแล้วโมโหจนใช้นิ้วจิ้มบุตรสาว ด่าด้วยรอยยิ้มว่า “เด็กโง่ไร้ไหวพริบ” นางที่ไม่ถือว่าเป็นเด็กสาวแล้วยิ้มอย่างอ่อนหวาน และเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เล็กจนโต


ไม่เคยโกรธ ไม่เคยหัวเราะเสียงดัง เว้นจากน้องชายที่ชื่อว่าหลี่ไหวแล้วก็ไม่เคยใส่ใจผู้ใดอีก


สตรีแต่งงานแล้วมักจะพูดว่านางคือก้อนแป้งนุ่มนิ่ม ไม่ว่าใครก็หยิบขึ้นมาปั้นได้ตามใจชอบ วันหน้าถ้าแต่งงานออกเรือนไปต้องลำบากแน่


แน่นอนว่าความหมายที่สำคัญที่สุดของสตรีแต่งงานแล้วก็คือ นางยังรู้สึกว่านิสัยอ่อนโยนนิ่มนุ่มเช่นนี้ของลูกสาว วันหน้าหากแต่งงานเป็นภรรยาของผู้อื่นต้องไม่สามารถปกครองบ้านเรือน ไม่อาจสยบบ้านฝั่งสามีได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นจะช่วยเหลือน้องชายอย่างไร?


สตรีแต่งงานแล้วไม่เคยปกปิดความลำเอียงของตัวเอง


ยังดีที่สามีของนาง ชายฉกรรจ์หยาบกระด้างที่ชื่อว่าหลี่เอ้อร์ไม่ได้รักลูกชายชังลูกสาว เพราะไม่ว่าจะลูกชายหรือลูกสาว เขาก็ล้วนรักทั้งหมด


น่าเสียดายก็แต่ฐานะของเขาในบ้านต่ำต้อยที่สุด คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากที่สุด


ส่วนหลี่หลิ่วก็คงเพราะมีนิสัยยอมรับความยากลำบากโดยไม่ขัดขืนมาตั้งแต่เกิด จึงไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง


คราวนี้สตรีแต่งงานแล้วได้ยินมาว่าประมุขยอดเขาราชสีห์อะไรนี่มีความสัมพันธ์กับอาจารย์ไม่เอาไหนของผู้ชายของตน บุรุษรับรองว่าเมื่อมาถึงที่นี่ คนทั้งสามจะไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องการกินอยู่ สตรีแต่งงานแล้วที่ระเหเร่ร่อนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตลอดทางจึงด่าหยางเหล่าโถวน้อยลงสองสามคำ รู้สึกว่าหลายปีที่หลี่เอ้อร์เป็นลูกศิษย์ของเขา ในที่สุดก็พอมีประโยชน์บ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นหากครั้งหน้านางกลับบ้านเกิดแล้วหยางเหล่าโถวยังไม่ตาย นางจะต้องไปดักรอที่ประตูเรือนหลังร้านยาทุกวัน จะด่าให้ตาแก่นั่นไม่ต้องล้างหน้าเลยทีเดียว


สตรีแต่งงานแล้วเดินไปเดินมาก็นึกถึงลูกชายสุดที่รักซึ่งเวลานี้ไร้คนดูแล และคงต้องได้รับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส นางที่โมโหจึงบิดแขนลูกสาวที่เดินอยู่ข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “คุณชายแซ่ประหลาดคนนั้นไม่ดีตรงไหน เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าหากแต่งงานกับเขา พวกเราที่อยู่ยอดเขาราชสีห์อะไรนี่ก็ไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่นแล้ว ให้คนแซ่ซือถูนั่นหามแปดเกี้ยวแต่งเจ้าเข้าบ้านก่อน จากนั้นพวกเราก็จะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของเขาอย่างเปิดเผย แล้วค่อยรีบรับตัวหลี่ไหวมาอยู่ด้วยกันสี่คนพ่อแม่ลูก จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที”


หลี่หลิ่วหัวเราะจนดวงตาโค้งลง คล้ายกำลังยอมรับผิด แล้วก็คล้ายกำลังออดอ้อน


สตรีแต่งงานแล้วทนเห็นท่าทางแบบนี้ของลูกสาวไม่ได้มากที่สุด อารมณ์โกรธพลันหายวับไป นางบิดแขนหลี่หลิ่วอีกที เพียงแต่ว่าคราวนี้แรงบิดเบามาก “เจ้ามันคนใจดำ ไม่รู้จักสงสารน้องชายตัวเองเสียบ้าง ข้าเลี้ยงเจ้ามานานหลายปีขนาดนี้นับว่าเสียเปล่าจริงๆ …”


กล่าวมาถึงตรงนี้ สตรีแต่งงานแล้วที่เปลี่ยนมาเป็นใจดีก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ยื่นมือมาบีบแก้มบุตรสาวเบาๆ “หน้าตาของนังหนูดื้อคนนี้เหมือนข้าจริงๆ ดูดวงหน้าเล็กๆ นี่สิว่าน่ารักงดงามเพียงใด อวบอิ่มจนเค้นน้ำออกมาได้แล้ว”


หลี่เอ้อร์ที่สะพายสัมภาระห่อใหญ่ยิ้มกว้าง


แต่แล้วสตรีแต่งงานแล้วก็กล่าวอย่างกลัดกลุ้มอีกครั้ง “กว่าจะทนอยู่มาจนยายเฒ่าตรอกซิ่งฮวาผู้นั้นตายได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นังจิ้งจอกตรอกหนีผิงก็ย้ายบ้านไปแล้ว หากไม่ได้ออกจากเมืองเล็กก็คงดี เพราะไม่มีใครเถียงชนะข้าได้อีกแล้ว”


ตลอดทางที่ขึ้นเหนือมานี้ นางเดินทางอย่างหวาดหวั่น สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าตนมีความสามารถเต็มตัว แต่กลับไม่มีที่ให้แสดงฝีมือ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก


หน้าตางดงามของหลี่หลิ่ว ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมือนมารดาของนาง


แต่นิสัยเก่งแต่ในผ้าห่มของหลี่ไหวนั้นเหมือนมารดาของเขาอย่างแน่นอน


บนยอดเขาราชสีห์ เจ้าขุนเขายืนอยู่เคียงข้างชายชราลักษณะเหมือนเศรษฐีคนหนึ่ง ฝ่ายหลังมีใบหน้ากลมเกลี้ยงอิ่มเอิบ หากไม่ได้ปรากฏตัวที่นี่ ไม่ได้มีผู้ฝึกตนเซียนดินท่านหนึ่งยืนอยู่เคียงข้างอย่างนอบน้อม คงถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเขาคือเถ้าแก่ร้านเล็กๆ ในตลาดล่างภูเขา หรือไม่ก็พวกคนมีอำนาจในสถานที่ที่ชาวบ้านยากแค้นถูกรังแก


ตรงข้อมือของผู้เฒ่าร่างอ้วนฉุผูกเชือกสีเขียวมรกตไว้เส้นหนึ่ง เขาจุ๊ปากพูดว่า “อาจารย์ผู้เฒ่าหยางช่างใจกว้างจริงๆ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า สตรีปากคอเราะร้ายแบบนี้ได้กลับไปเกิดใหม่พันแปดร้อยรอบนานแล้ว”


ผู้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างเศรษฐีมีกลิ่นอายและมาดที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเทพเซียนในใจชาวบ้านอย่างยิ่ง ได้ยินคำสัพยอกจากแขกท่านนี้ก็ไม่ได้รับคำ เพียงแค่ยิ้มบางๆ ตามมารยาท


ผู้เฒ่าร่างอ้วนยิ้มตาหยีถามว่า “ไม่พูดถึงโอสถทองไร้ค่า เอาแค่เซียนดินเหมือนเจ้า พันปีที่ผ่านมานี้มีคนเดินออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูสักกี่คน? ตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นพันธมิตรกัน เรื่องเล็กแค่นี้ คงไม่ต้องทำหลบๆ ซ่อนๆ หรอกกระมัง?”


เซียนซือเฒ่าค้อมตัวลงเล็กน้อย กล่าวขออภัยว่า “เซียนกระบี่ใหญ่เฉา โปรดอภัยที่ผู้น้อยไม่อาจพูดได้มากนัก”


ที่แท้เศรษฐีท่านนี้ก็คือเฉาซีเซียนกระบี่จากนาตยทวีปที่เดินทางมาเป็นผู้พิทักษ์มรรคาหลี่หลิ่วตามข้อตกลง


เฉาซีถามอีกว่า “แล้วเหตุใดหลี่หลิ่วถึงถ่วงเวลามาเนิ่นนานไม่ยอมฝึกตนเสียที? นี่เป็นเพราะสาเหตุใด?”


เซียนซือเฒ่าที่เป็นเจ้าขุนเขายอดเขาราชสีห์กล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านเซียนกระบี่สามารถถามจากบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลของข้าได้”


เฉาซีอึ้งตะลึง “นี่นางเป็นถึงบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งสายของเจ้าที่กลับชาติมาเกิดใหม่อย่างนั้นหรือ? ยอดเขาราชสีห์เพิ่งสืบทอดกันมาได้กี่ปีเอง พวกเจ้าตามหานางพบได้อย่างไร?”


เซียนซือเฒ่าลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะเคยได้รับคำสั่งมาก่อน หลังจากใคร่ครวญดูเล็กน้อยก็กล่าวอย่างระมัดระวังว่า “ย่อมต้องมีวิชาลับ อีกอย่างก็ไม่ใช่แค่บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งของเราเท่านั้น”


เฉาซีถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญที่สุด “ตัวหลี่หลิ่วเองรู้หรือไม่?”


เซียนซือเฒ่าเพียงยิ้มตอบรับ


นี่ก็คือคำตอบแล้ว


เฉาซีจุ๊ปากพูด “เก็บได้สมบัติซะแล้ว”


หลังจากนั้นหลี่เอ้อร์สามคนครอบครัวก็มาพักอยู่ที่ยอดเขาราชสีห์ พ่อบ้านวัยชราคนหนึ่งของยอดเขาราชสีห์เป็นผู้มาต้อนรับ เขาถือเป็นญาติห่างๆ ของร้านยาตระกูลหยางในนาม รับผิดชอบดูแลงานจิปาถะบางส่วนในยอดเขาราชสีห์ เขาจัดหาที่พักธรรมดาให้คนทั้งสาม ยังไม่มอบหมายงานอะไรให้สตรีแต่งงานแล้วทำชั่วคราว บอกแค่ว่าต้องรออีกสักพักถึงจะได้คำตอบ กฎระเบียบของยอดเขาราชสีห์เข้มงวดมาก ห้ามรบกวนการฝึกตนของเซียนซือ ห้ามเดินเตร่ส่งเดช หากก่อเรื่องขึ้น เขาก็ไม่สามารถช่วยได้


สตรีแต่งงานแล้วรู้สึกว่าคำพูดพวกนี้อีกฝ่ายพูดให้นางฟังคนเดียว จึงรู้สึกกระวนกระวายอย่างมาก


แน่นอนว่านางไม่รู้ว่า หลังจากผู้คุมกฎอาวุโสแห่งยอดเขาราชสีห์ท่านนี้เดินออกจากห้องแล้วก็ต้องรีบปาดเหงื่อทิ้ง งานนี้ที่เจ้าขุนเขามอบให้เขาช่างน่าอกสั่นขวัญแขวนเสียจริง ผู้เฒ่าถึงขั้นไม่กล้ามองสตรีที่ชื่อว่าหลี่หลิ่วสักครั้ง


ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน สตรีแต่งงานแล้วก็ทนอยู่นิ่งเฉยไม่ไหว บอกว่าจะไปหางานทำที่เมืองเล็กข้างยอดเขาราชสีห์ หลี่เอ้อร์จึงไปขอยืมเงินจากคนอื่น คิดจะลงทุนเปิดร้านสักร้าน หลังจากนั้นยอดฝีมือยอดเขาราชสีห์บางคนก็ ‘บังเอิญ’ ค้นพบว่าหลี่หลิ่วมีพรสวรรค์ในการฝึกตน หลี่หลิ่วจึงต้องฝึกตนอยู่เพียงลำพังบนภูเขา


สตรีแต่งงานแล้วเป็นพวกสายตาตื้นเขิน นางรู้สึกว่าหลี่หลิ่วควรแต่งงานให้กับคนมีเงินถึงจะเรียกว่ามีวาสนา นางจึงไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก หากเป็นเซียนซือที่ฝึกตนขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้พบหน้ากันหลายปีหรืออาจหลายสิบปี แล้วจะยังช่วยหลี่ไหวได้อย่างไร?


แต่สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วก็ยังไปเมืองเล็กกับหลี่เอ้อร์ เช่าบ้านหลังหนึ่ง เดินหาร้านที่เหมาะสมไปทั่ว ในที่สุดก็ถือว่าได้ลงหลักปักฐานแล้ว


ตอนนั้นหลี่หลิ่วมาส่งพ่อแม่ที่ตีนเขา รอจนเงาร่างของคนทั้งสองหายไปจากเส้นทางเบื้องหน้าแล้ว ด้านหลังหญิงสาวก็มีก่อกำเนิดและโอสถทองทั้งหมดของยอดเขาราชสีห์รวมถึงเจ้าขุนเขามาปรากฎตัว แต่ละคนมีท่าทางนอบน้อมยำเกรง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง


ภายใต้การนำพาของเจ้าขุนเขา ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ขอต้อนรับท่านบรรพบุรุษกลับภูเขา”


หลี่หลิ่วไม่สนใจแม้แต่น้อย นางเดินอยู่บนภูเขาเพียงลำพัง ไม่อนุญาตให้ใครติดตามมา จนกระทั่งไปถึงหน้าถ้ำแห่งหนึ่งที่ถูกปิดตายมานาน จึงก้าวยาวๆ เข้าไปข้างใน


ตราผนึกหนาชั้นที่แม้แต่เซียนดินก็ยากจะทำลายไม่อยู่ในสายตาของหลี่หลิ่ว หรือควรจะพูดว่ามันไม่เป็นอุปสรรคต่อหลี่หลิ่วแม้แต่นิดเดียว


รอจนนางเดินออกมาจากถ้ำ ตรงเอวก็ห้อยตราประทับราชสีห์สีทองอร่ามไว้ชิ้นหนึ่ง


เฉาซีมายืนรออยู่ตรงหน้าปากถ้ำนานแล้ว ในมือถือกระบี่สั้นเล่มหนึ่งที่มีขนาดเหมือนกริช ยกมือข้างที่รัดเชือกมรกตเส้นเล็กขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ก่อนหน้าที่จะชุบหลอมแม่น้ำสายหนึ่งเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต กระบี่สั้นเล่มนี้เคยติดตามข้าออกรบถึงสามร้อยปี ภายหลังปราณกระบี่ได้รับบำรุงด้วยความอบอุ่นและเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง รอจนเจ้าเลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ก็จะสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนา สามารถปล่อยกระบี่ได้สิบครั้ง อานุภาพของมันมากพอจะทัดเทียมกับการโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่งของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ หากรอจนเจ้าได้เป็นโอสถทองหรือก่อกำเนิด ปล่อยปราณกระบี่ครั้งเดียวก็เท่ากับการปล่อยกระบี่ของเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินแล้ว”


หลี่หลิ่วยิ้มอ่อนหวาน ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กระบี่สั้นก็บินเข้ามาในมือของนาง นางชักมันออกจากฝักแล้วฟันออกไปนอกภูเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง


รุ้งยาวปราณกระบี่ผ่าออกไปดังครืนครั่น พลานุภาพนั้นราวกับจะแหวกฟ้าผ่าดิน ทำเอาผู้ฝึกตนทุกคนบนยอดเขาราชสีห์ตกใจ บรรยากาศตกสู่ความเงียบ


หลี่หลิ่วที่อยู่ดีๆ ก็เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางในก้าวเดียวพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริงด้วย”


เฉาซีทอดถอนใจ “ผีหลอกซะแล้ว”


เฉาซีนึกถึงเฉาจวิ้นหลานชายไม่เอาไหนของตนซึ่งตอนนี้อยู่ในกองทัพต้าหลีอย่างหาที่ได้ยาก


เฮ้อ มองลูกหลานบ้านคนอื่น แล้วพอหันมามองลูกหลานบ้านตัวเอง น่าโมโหจริงๆ


บทที่ 284.3 ควันธูปหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง

โดย

ProjectZyphon

ภูเขาเจินอู่


ในฐานะหนึ่งในสองปฐมสำนักของสำนักการทหารแจกันสมบัติทวีป เมื่อเทียบกับศาลลมหิมะที่มีจอมยุทธ์พเนจรมากกว่าแล้ว เขาเจินอู่มีผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมกองทัพเยอะอย่างถึงที่สุด


หนึ่งปีที่ผ่านมาผู้ฝึกตนด้านล่างภูเขามีมากขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งหนึ่งเดินทางไปยังต้าหลีที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งไล่ตามโชควาสนาของตัวเอโดยเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อแคว้นต่างๆ ที่อยู่แถบภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป


ช่วงที่ผ่านมาภูเขาเจินอู่ที่ค่อนข้างเงียบสงบจึงเริ่มครึกครื้น


สมาชิกใหม่นิสัยกำเริบเสิบสานที่เพิ่งขึ้นเขามาได้ไม่กี่ปีอย่างหม่าขู่เสวียนได้ก่อเรื่องใหญ่เทียมฟ้าขึ้นอีกครั้ง เขาลงมือสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง รายละเอียดและสาเหตุเป็นอย่างไร ทางภูเขาเจินอู่ไม่ได้ป่าวประกาศแก่ภายนอก รู้แค่ว่าไม่ได้ลงมือเพราะเป็นศัตรูคู่แค้น ผู้ฝึกตนเฒ่าขอบเขตเจ็ดคนนั้นไม่เคยไปมาหาสู่กับหม่าขู่เสวียน ต่อให้เกิดความขัดแย้งกัน อย่างมากก็แค่ด่ากันเท่านั้น ย่อมต้องเป็นหม่าขู่เสวียนที่จิตใจอำมหิตจงใจสังหารเขาอย่างแน่นอน


ต่อให้บุรพาจารย์สองท่านจะช่วยพูดขอร้อง แต่สุดท้ายหม่าขู่เสวียนก็ยังถูกจับขังในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา ห้ามออกไปไหนเป็นระยะเวลาหนึ่งปี


ในตำหนักเสินอู่บูชาบรรพจารย์หลายรุ่นของภูเขาเจินอู่และองค์เทพไร้นามหลายสิบองค์ ว่ากันว่าในประวัติศาสตร์เคยมีหายนะใหญ่ที่เกี่ยวพันกับทั้งสำนัก ช่วงเวลาที่เผชิญกับวิกฤตคับขัน เจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ในยุคสมัยนั้นใช้เวทลับที่ไม่อาจแพร่งพรายอัญเชิญองค์เทพร่างทองที่เสพสุขควันธูปอยู่ในตำหนักใหญ่มานานหลายพันปี ให้มาช่วยกันลงเขาไปสังหารศัตรูด้วยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายกำจัดตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งได้ในรวดเดียว


แต่การถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักเสินอู่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่สุขสบายแน่นอน มีเพียงผู้ฝึกตนของภูเขาเจินอู่ที่ทำความผิดมหันต์เท่านั้นถึงจะถูกกักขังอยู่ที่นี่ สุดท้ายไม่มีใครสามารถเดินออกไปจากที่นี่โดยที่ยังมีชีวิตอยู่สักคน ว่ากันว่าองค์เทพทั้งหลายที่ตั้งบูชาไว้ในตำหนักเสินอู่จะ ‘ฟื้นตื่น’ ขึ้นมาในวันถือศีลกินเจของยุคบรรพกาลซึ่งขาดการสืบทอดไปแล้ว เพื่อสอบถาม ฟาดโบย หรือแม้แต่กลืนกินดวงวิญญาณของผู้ฝึกตน


จวนเทพเซียนแห่งหนึ่งบนภูเขาเจินอู่ซึ่งมีปราณแห่งเซียนล้อมวน บุรพาจารย์สำนักการทหารคนหนึ่งที่มีวัยวุฒิสูงมากระเบิดอารมณ์เต็มที่ “ลงโทษหม่าขู่เสวียนเช่นนี้ไม่เข้มงวดไปหน่อยหรือ?!”


คนที่อยู่ตรงข้ามคือคนหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นิ้วมือเรียวบางขาวนวลเหมือนมือของสตรี เขากำลังนั่งเล่นหมากล้อมอยู่กับตัวเอง เผชิญหน้ากับการซักไซ้ที่แทบจะใกล้เคียงกับคำว่าไร้มารยาทของศิษย์น้องคนนี้ บุรุษไม่สะทกสะท้าน ถึงขั้นไม่อยากจะพูดอะไรให้มากความสักคำ


ผู้เฒ่าฟาดฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ “หม่าขู่เสวียนคนนี้คือผู้มีพรสวรรค์ที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต เป็นคนมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง หากเจ้าทำลายเขา ข้าจะไม่จบเรื่องกับเจ้าง่ายๆ แน่!”


บุรุษเพิ่งจะคีบตัวหมากขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ได้ยินประโยคนี้ก็ปล่อยมันกลับล่องไปในโถเก็บเม็ดหมาก ขมวดคิ้วกล่าวว่า “อันที่จริงโศกนาฎกรรมที่พรรคหรือตระกูลซึ่งในชื่อได้ใช้คำว่าสำนัก (จง) ถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้มีพรสวรรค์ มีไม่มากนัก”


ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “แต่สำนักที่ลุกผงาดเจริญรุ่งเรือง หมดสิ้นข้อเสียด้วยฝีมือของคนคนเดียวกลับมีมากกว่า!”


บุรุษส่ายหน้ากล่าวว่า “การฝึกตนต้องให้ความสำคัญกับสองคำว่าถูกผิดก่อน หาไม่แล้วหากต้องทำลายกฎที่บรรพบุรุษหลายท่านตั้งเอาไว้เพียงเพื่อคนหนึ่งคนหรือสองคน หวังให้ได้รับความเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ไม่ต่างจากการสร้างหอเรือนกลางอากาศ อีกอย่างตอนนี้โชคชะตาของภูเขาเจินอู่เป็นไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือ ศิษย์น้องหลิว ข้าขอแนะนำเจ้าสักคำ เจ้าให้ความสำคัญกับหม่าขู่เสวียน ต่อให้จะยินดีมอบสมบัติอาคมทุกชิ้นให้แก่เขา หรือถึงขั้นแอบช่วยอย่างลับๆ ให้เขาได้รับโชควาสนาครั้งนั้น แต่ถึงอย่างไรแล้วนี่ก็เป็นเรื่องของเจ้าคนเดียว ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าแทรก เพราะนี่ไม่ได้ผิดต่อกฎของภูเขาเจินอู่เรา”


ผู้เฒ่ามอง ‘คนหนุ่ม’ ที่สีหน้าเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ บุรพาจารย์สำนักการทหารที่เดิมทีใส่อารมณ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงก็เริ่มร้อนตัว แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “หม่าขู่เสวียนมีค่ามากพอให้ภูเขาเจินอู่ละเมิดกฎเกณฑ์บางอย่างเพื่อเขา ศาลลมหิมะมีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียน พวกเรามีใคร?”


บุรุษยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีข้าไงล่ะ”


ประโยคนี้ทำเอาผู้เฒ่าสะอึกอึ้ง นานพักใหญ่ก็ยังพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว


ดูเหมือนบุรุษจะรู้สึกได้ว่าบรรยากาศแข็งทื่อเกินไป ในที่สุดก็เค้นรอยยิ้มออกมา “เอาละ ลูกหลานย่อมต้องมีวาสนาของลูกหลาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หม่าขู่เสวียนไม่ใช่ลูกหลานของเจ้า จะร้อนใจไปทำไม เพื่อกิจการใหญ่ของสำนัก? พอเถอะน่า เจ้านิสัยเป็นอย่างไรข้ายังไม่รู้อีกหรือ? พูดไปพูดมาก็ไม่ใช่เพื่อให้หม่าขู่เสวียนไปช่วยแก้แค้นศาลลมหิมะแทนเจ้าในวันหน้าหรือไง?”


บุรพาจารย์สำนักการทหารที่ชื่อเสียงด้านความฉุนเฉียวอารมณ์ร้ายเป็นที่เลื่องลือกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ความตั้งใจเดิมเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ยิ่งนานข้าก็ยิ่งถูกชะตากับหม่าขู่เสวียน ลูกหลานที่ไม่เอาถ่านของบ้านข้า จะคนเดียวหรือหมื่นคนก็สู้หม่าขู่เสวียนไม่ได้เลยสักคน”


บุรุษพยักหน้ารับคล้อยตามผู้เฒ่าอย่างที่หาได้ยาก “อืม ลูกกระต่ายลูกตะพาบกลุ่มนั้นของบ้านเจ้า ปีนั้นเจ้าไม่ควรให้กำเนิดพวกเขามาเลยจริงๆ แต่จะว่าไปแล้วก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ควบคุมนกเขาในกางเกงตัวเองไม่อยู่”


ผู้เฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้าเป็นถึงเจ้าสำนักภูเขาเจินอู่ พูดจาแบบนี้ไม่อายปากตัวเองบ้างหรือไง?!”


บุรุษคลี่ยิ้ม เอ่ยสัพยอกว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้สายรัดกางเกงของเจ้าผูกไม่แน่นอีกแล้วรึ? ถึงได้หาอนุภรรยาที่เป็นคนธรรมดาหน้าตางดงามมาอีกคนหนึ่ง?”


ไฟโทสะของผู้เฒ่าลดฮวบลงทันที พูดเสียงเบาว่า “ข้าชอบผู้หญิงคนนั้นจริงๆ น่ารักไร้เดียงสา เทพธิดาเย่อหยิ่งทั้งหลายบนภูเขาเห็นแล้วเอียน”


บุรุษกล่าวอย่างอ่อนใจว่า “แค่เจ้าชอบก็พอ”


ผู้เฒ่าพลันเกิดความขุ่นเคืองขึ้นมาในใจ “ภูเขาเจินอู่ต้องเปลี่ยนขนบธรรมเนียมแล้วจริงๆ โดยเฉพาะพวกลูกศิษย์ที่รับมาในช่วงร้อยปีล่าสุดที่สภาพจิตใจย่ำแย่สุดขีด แค่หม่าขู่เสวียนคนเดียวก็ทำให้จิตแห่งมหามรรคาของพวกเขาปั่นป่วนวุ่นวายเหมือนไก่บินหมาวิ่งเตลิด แต่ละคนพูดเสียดสีเย้ยหยันลับหลังหนักยิ่งกว่าพวกผู้หญิงปากตลาดเสียอีก!”


บุรุษโบกมือ “ไม่ใช่ว่าจิตแห่งมหามรรคาปั่นป่วน เดิมทีจิตแห่งมรรคาของคนพวกนี้ก็แย่แบบนั้นอยู่แล้ว”


ผู้เฒ่าถามอย่างสงสัย “แล้วเจ้าไม่คิดจะสนใจสักหน่อยรึ?”


บุรุษถามกลับ “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องสนเรื่องกินดื่มขี้เยี่ยวของพวกเขา สนเรื่องสายรัดกางเกงของเจ้าด้วยหรือเปล่า?”


ผู้เฒ่ามองค้อน


“วางใจเถอะ หม่าขู่เสวียนไม่ตายหรอก”


บุรุษโบกมือแล้วเริ่มเล่นหมากล้อมอีกครั้ง


บุรพาจารย์สำนักการทหารหัวเราะฮ่าๆ พลันลุกขึ้นยืน “ศิษย์พี่ท่านนี่ก็จริงๆ เลยนะ ถ้าพูดประโยคนี้ตั้งแต่แรก ข้าจะต้องมาบ่นให้ท่านฟังเป็นครึ่งๆ วันทำไมกัน!”


บุรุษกล่าวโดยไม่เงยหน้า “สายรัดกางเกงของเจ้าหลวมแล้ว”


ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ศิษย์พี่ชอบล้อเล่นแบบนี้เสมอ…”


ร้องโอ๊ะหนึ่งครั้ง แล้วผู้เฒ่าก็รีบร่ายเวทอย่างลนลาน ก่อนจะหายตัววับไป


ที่แท้ระหว่างที่บุรุษโบกมือก็ทำให้สายรัดกางเกงของเซียนพสุธาก่อกำเนิดคนหนึ่งแตกสลายโดยที่ฝ่ายหลังไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย


หากเขามีใจคิดสังหารคนเล่า?


ในสายตาของคนแจกันสมบัติทวีป ภูเขาเจินอู่แข็งแกร่งในเรื่องของอิทธิพลที่มีต่อราชวงศ์ในโลกมนุษย์ หากพูดถึงตบะและพลังการต่อสู้ส่วนบุคคล เทพเซียนผู้เฒ่าสำนักการทหารหลายคนของศาลลมหิมะถือว่าแข็งแกร่งกว่าภูเขาห้อยหัวมากนัก


เคยมีคนกล่าวหยอกเย้าไว้ว่า ปฐมสำนักของสำนักการทหารทั้งสองแห่ง หากต่างฝ่ายต่างส่งคนสิบคนมาเข่นฆ่ากันเอง ศาลลมหิมะที่มีผู้แข็งแกร่งมากมายเหมือนต้นไม้ในป่าคงอัดให้ภูเขาเจินอู่ที่มีประสบการณ์ทางโลกอย่างลึกซึ้งร้องเรียกหาบรรพบุรุษอย่างแน่นอน


บุรุษวางตำราหมากล้อมเล่มเก่าที่ท่องขึ้นใจมานานแล้วเล่มนั้นลง ชื่อตำราคือ ‘รวมกวานจื่อ’ ในตำราบันทึกช่วงเล่นกวานจื่อ (คำศัพท์ในวงการหมากล้อม ระหว่างที่แข่งขันกันบนกระดาน ต่างฝ่ายต่างยึดฐานที่มั่นของตัวเองได้แล้ว ยังไม่มีการวางเม็ดหมากลงไปบนที่ว่างรอยต่อของกันและกัน หากวางเม็ดหมากลงไปในเวลานี้จะเรียกว่ากวานจื่อ) ที่มีชื่อเสียงมากมายในประวัติศาสตร์ กระดานที่บุรุษกำลังเล่นอยู่ตอนนี้มีชื่อเรียกว่ากระดานเมฆหลากสี สองฝ่ายที่ประชันฝีมือกัน คนหนึ่งคือเจ้านครจักรพรรดิขาว อีกคนหนึ่งคืออดีตลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง


บุรุษถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที


ในตำหนักเสินอู่ด้านหลังภูเขา


หม่าขู่เสวียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนศีรษะของเทวรูปขนาดสูงองค์หนึ่ง และแมวดำตัวหนึ่งก็นั่งอยู่บนหัวของเขาอีกที


หนึ่งคน หนึ่งแมว หนึ่งเทวรูป


แมวดำยื่นกรงเล็บข้างหนึ่งออกมาเกาหัวของหม่าขู่เสวียนเบาๆ


หม่าขู่เสวียนไม่ถือสา เขากับแมวดำตัวนี้มีชีวิตพึ่งพากันและกันมาตั้งแต่เขายังเด็ก หลังจากที่ท่านย่าจากไปก็ยิ่งเป็นเช่นนี้


ในดวงตาเทวรูปไม้สลักร่างทองทางฝั่งซ้ายมือพลันมีประกายแสงสีทองเปล่งวาบขึ้นมา ก่อนจะขยับเสียงดังครืนครั่น เทวรูปขนาดใหญ่ยักษ์เดินลงจากแท่นบูชาช้าๆ กวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมองเห็นหม่าขู่เสวียนที่นั่งอยู่บนศีรษะของเทวรูปหนึ่งในนั้น เทวรูปเดินไปหยุดอยู่ใจกลางห้องโถง หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มและแมว ก่อนที่เทวรูปร่างสูงสามจั้งจะคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น


หม่าขู่เสวียนเหมือนเห็นเป็นเรื่องปกติ แค่เอ่ยเสียงเตือนอย่างที่เคยทำในอดีต “กลับไปแล้วจงจำไว้ว่าต้องปิดปากให้สนิท”


เทวรูปไม้สลักองค์นี้พยักหน้ารับเบาๆ พอลุกขึ้นก็ก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เหยียบขึ้นไปบนแท่นบูชา ยืนอยู่ตรงตำแหน่งเดิม เพียงไม่นานดวงตาประกายสีทองก็หายไป ร่างแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกอีกครั้ง


ประตูของตำหนักสูงและใหญ่มาก เส้นแสงลอดทะลุช่องว่างของหน้าต่างเข้ามาสาดส่องอยู่ในตำหนักใหญ่ ด้วยเหตุนี้จึงมองเห็นได้แม้กระทั่งฝุ่นผง


หม่าขู่เสวียนพลันเอ่ยเย้ยตัวเอง “สมบัติอาคมมีมากเกินไป โชควาสนาหนาหนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจเหมือนกันนะ”


แมวดำยกขาข้างหนึ่งขึ้นมาเลียฝ่าเท้าเบาๆ อย่างอ่อนโยน


หม่าขู่เสวียนเอนตัวนอนหงายไปด้านหลัง แมวดำกระโดดผลุงขึ้น พอหม่าขู่เสวียนนอนลงแล้ว มันก็พลิ้วกายลงบนหน้าอกของเขาพอดี แล้วขดตัวนอนหลับฝันหวานอย่างสบายใจ


แมวดำคอยเปลี่ยนท่านอนที่สบายตัวอยู่เป็นระยะ


หม่าขู่เสวียนยกขาไขว่ห้าง มือข้างหนึ่งลูบขนที่อ่อนนุ่มของแมวดำ นึกถึงถ้อยคำระคายหูและพวกคนที่ชอบประจบแอบอิงผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย หม่าขู่เสวียนก็ให้รู้สึกเบื่อหน่าย “พวกเจ้าไม่ชอบข้า แล้วเกี่ยวอะไรกันด้วย? ข้าเองก็ไม่ชอบพวกเจ้าเหมือนกันนี่นา”


บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ตกอยู่ในสภาวะล่องลอยลี้ลับ


มีเพียงเสียงกรนเบาๆ ของหนึ่งคนหนึ่งแมว


เทวรูปร่างทองเหล่านั้นยังคงยืนเรียงราย คล้ายกำลังปกป้องจักรพรรดิที่อยู่สูงส่งเหนือหัวอย่างจงรักภักดี เป็นอย่างนี้มาปีแล้วปีเล่า นานนับพันปีหมื่นปี


……


โจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหูไม่ได้ติดตามอริยะผู้เป็นอาจารย์ของตนไปพบเทียนจวินลัทธิเต๋าจากกุรุทวีปท่านนั้นด้วย


เขากลัวว่าตัวเองจะอดใจไม่ไหวพูดจาไม่ยำเกรงเจ้าคนที่ชื่อเซี่ยสือผู้นั้น แบบนั้นมีแต่จะทำให้อาจารย์ของตนลำบากใจ


อาจารย์ออกไปจากสำนักศึกษาต้องเอาชนะเทียนจวินเซี่ยสือไม่ได้อย่างแน่นอน แล้วก็ไม่สามารถมองเห็นตนถูกเซี่ยสือตบตายด้วยฝ่ามือเดียว จะให้เขาเอ่ยขอโทษคนนอกแทนลูกศิษย์ตัวเองน่ะหรือ?


ดังนั้นโจวจวี่จึงมายังภูเขาลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากตำแหน่งที่เรือคุนภูเขาต่าเจี้ยวร่วงลงมา


จากที่ระบุไว้ในบันทึก ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งมาจากตำแหน่งนี้ พวกมันโจมตีเรือคุนที่เดินทางลงใต้ไปยังนครมังกรเฒ่าลำนั้น คนบาดเจ็บและล้มตายกันไปมาก ผู้โดยสารที่ขอบเขตต่ำกว่าห้าขอบเขตกลางแทบจะไม่มีใครที่โชคดีรอดชีวิต


โจวจวี่ตามหาอยู่บนภูเขาก็ไม่พบเบาะแส ไม่มีร่องรอยใดเหลืออยู่แม้แต่น้อย และนี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว


เพราะหายนะครั้งนี้ ขนาดคนตาบอดยังมองออกว่าผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังวางแผนมาเป็นอย่างดี เพื่อยัดเยียดความผิดให้กับราชวงศ์ใหญ่ที่แข็งแกร่งซึ่งมีศักยภาพมากที่สุดของแจกันสมบัติทวีป


แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่โจวจวี่ไม่เข้าใจ ผู้นำลัทธิเต๋าของกุรุทวีปที่ยิ่งใหญ่ เหตุใดถึงเต็มใจลดตัวเข้ามาเหยียบในน้ำขุ่นบ่อนี้? ถึงขั้นยอม ‘ประจัญหน้า’ กับสำนักกวานหูโดยไม่เสียดาย? หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าเทียนจวินเซี่ยสือจะกลายเป็นศัตรูที่มีร่วมกันของผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป


หรือเซี่ยสือคิดว่าตัวเองคือลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋าจริงๆ?


โจวจวี่ไม่คิดว่าสกุลซ่งต้าหลีจะเชื้อเชิญเทียนจวินจากทวีปอื่นมาได้


โจวจวี่ที่หลายวันมานี้นอนกลางดินกินกลางทรายตัดสินใจลงจากภูเขาแล้ว


อาจารย์เคยพูดให้ฟังว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมานี้ สถานที่สามแห่งอย่างนาตยทวีป ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปมีสมบัติอาคมไร้เจ้าของที่หายสาบสูบไปนานปรากฏขึ้นเป็นจำนวนมาก ถึงขั้นมีอาวุธกึ่งเซียนหลายชิ้นปะปนอยู่ด้วย ก่อให้เกิดความครึกโครมครั้งใหญ่ ผู้ฝึกตนอิสระจำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันไปเยือน ตระกูลเซียนและตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่มีรากฐานลึกล้ำก็ยิ่งไม่พลาดโอกาสยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ชั่วพริบตาปลาและมังกรก็ปะปนกัน หมาป่าและหมาในจับคู่เป็นสหาย (เปรียบเปรยถึงคนดีและคนเลวปะปนกัน และคนชั่วที่สมคบคิดกันทำชั่ว)


โจวจวี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้


และเขาก็ยิ่งไม่สนใจวิถีทางโลกในอนาคต


เพราะโชคชะตาถูกกำหนดมาแล้วว่า บัณฑิตที่คิดจะเล่าเรียนหนังสืออย่างสงบสุขจะยิ่งเป็นเรื่องยาก


แบบนี้ไม่ดีเลย


โจวจวี่เงยหน้าขึ้นมองทิศไกลบนท้องฟ้าสูง


ข้าโจวจวี่ โจวจวี่หรันนักปราชญ์ตัวเล็กๆ ของสำนักศึกษากวานหูยังพบเบาะแส แล้วพวกเจ้าที่มีตำแหน่งสูงส่งยิ่งกว่าอาจารย์ของข้าเล่า?


โจวจวี่ลงจากภูเขาอย่างเซื่องซึม เดี๋ยวก็ทะยานลม เดี๋ยวก็เดินเท้าไปอย่างเกียจคร้าน สุดท้ายไปถึงตลาดที่ครึกครื้นแห่งหนึ่ง ดื่มน้ำแกงต้มยำร้อนกรุ่นหนึ่งชาม


โจวจวี่พลันคลี่ยิ้ม เรื่องหงุดหงิดใจใดๆ ล้วนหายไปสิ้น


แม่ค้าสาวแผงลอยที่อยู่ในวัยกำลังเจริญพันธ์ แม้ว่าผิวจะคล้ำเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับเปล่งปลั่งแข็งแรง นางแอบชำเลืองตามองโจวจวี่อยู่หลายครั้ง


ที่บ้านเกิดนางมีบัณฑิตไม่มาก บัณฑิตที่หน้าตาดีแบบนี้ก็ยิ่งมีน้อย


นางรู้สึกว่ามองได้นานหน่อยก็ถือเป็นเรื่องดี


ดังนั้นโจวจวี่จึงดื่มน้ำแกงเพิ่มอีกชาม


บทที่ 285 แม่นางโปรดสำรวมตนด้วย

โดย

ProjectZyphon

ก่อนที่เฉินผิงอันจะขึ้นเรือปลาวาฬกลืนสมบัติเดินทางไปยังใบถงทวีป เขาตั้งใจไปยังตลาดที่อยู่นอกหอซ่างเซียงเพื่อซื้อกระบอกใส่ธูปหนึ่งใบโดยเฉพาะ ด้านในกระบอกบรรจุธูปตรีวิสุทธิ์แปดสิบเอ็ดดอกที่ผลิตขึ้นเป็นพิเศษในภูเขาห้อยหัว กลิ่นหอมของธูปโชยมาปะทะจมูก ไม่ว่าจะจุดธูปเพื่อกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์แสดงความเคารพ หรือจุดเพื่อให้จิตใจสงบก็ล้วนถือเป็นของชั้นเยี่ยม เพียงแต่ว่าราคาไม่ถูก ต้องจ่ายเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ หรือก็คือเงินเกล็ดหิมะหนึ่งร้อยเหรียญ


การที่ยอมจ่ายเงินในส่วนที่เกินความจำเป็นก็เพราะเฉินผิงอันนึกขึ้นมาได้ว่าภูเขาลั่วพั่วของบ้านตนก็มีศาลเทพภูเขาอยู่เช่นกัน วันหน้าหากมีสหายไปเยี่ยมเยียน ไม่สู้เอาธูปนี้มอบให้กับพวกเขา แขกมีความจริงใจ เทพก็ได้รับไอธูป ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ดี


นอกจากกระบอกใส่ธูปใบนี้และสมบัติสองชิ้นที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากเรือนหลิงจือแล้ว เฉินผิงอันยังซื้อ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ฉบับคัดลอกชุดหนึ่งของจิตรกรเอกท่านหนึ่งจากนาตยทวีปซึ่งวางขายอยู่ในร้านนอกหอจิ้งเจี้ยนมาด้วย มีทั้งหมดห้าภาพ ทุกภาพล้วนเป็นม้วนภาพขนาดใหญ่และยาว แต่ละม้วนภาพวาดเซียนกระบี่ยี่สิบท่าน เซียนกระบี่ที่อยู่ในม้วนภาพมีขนาดยาวไม่เกินหนึ่งชุ่น แต่มีชีวิตชีวาเสมือนตัวจริง ล่องลอยประดุจเซียนบนสวรรค์


ต้นฉบับของ ‘ภาพเซียนกระบี่’ คือผลงานชิ้นเอกของบรรพบุรุษจิตรกรท่านหนึ่งที่รังสรรค์ผลงานขึ้นหลังจากชมศึกที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังถูกนำมาทำเป็นสำเนาคัดลอกจำนวนนับไม่ถ้วน


จำนวนเซียนกระบี่ในหอจิ้งเจี้ยนมีมากเกินไป ‘ภาพเซียนกระบี่’ ที่มีชื่อฉบับว่าคูหินชุดนี้ก็แค่เลือกเซียนกระบี่มาร้อยคนตามความชื่นชอบของจิตรกรเท่านั้น ตอนนั้นในร้านยังมีวางขายอีกหลายชุด ราคาแตกต่างกันออกไป แต่ชุดคูหินนี้มีราคาสูงที่สุด หลังจากที่เปรียบเทียบอย่างละเอียดแล้ว เฉินผิงอันก็ค้นพบว่ายังคงเป็นเซียนกระบี่ในชุดคูหินนี้ที่วาดได้ถูกใจตนที่สุด จึงกัดฟันซื้อมา


ค่าใช้จ่ายก้อนนี้ไม่น้อยเลยจริงๆ เพราะมากถึงห้าสิบเหรียญเงินร้อนน้อย


เถ้าแก่ที่ยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งไม่รู้ว่าดีใจที่เจอคนมือเติบ หรือรู้สึกชื่นชมที่สายตาของเฉินผิงอันมีแววจากใจจริง ถึงได้เล่าเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับ ‘ภาพเซียนกระบี่’ ให้ฟัง เขาบอกว่าใต้หล้านี้มีเซียนกระบี่หลายท่านที่ได้รับภาพวาดเซียนกระบี่ฉบับไม่สมบูรณ์ในช่วงแรกไปโดยบังเอิญ แล้วก็บรรลุสัจธรรมจากเซียนกระบี่ที่อยู่บนภาพวาด ขยับขึ้นเป็นเซียนในก้าวเดียว กลายเป็นเซียนกระบี่พสุธาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ


‘ภาพเซียนกระบี่’ ชุดนี้เฉินผิงอันคิดไว้ว่าจะมอบให้อริยะหร่วนฉงเป็นของขวัญ ตอนนั้นที่เขาออกมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนบ้านเกิด ช่างหร่วนยังไม่ได้จัดพิธีก่อตั้งสำนักอย่างเป็นทางการ ตอนนี้น่าจะทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับหร่วนฉงแล้ว เงินร้อนน้อยห้าสิบเหรียญย่อมไม่มีค่าพอให้พูดถึง แต่จะดีจะชั่วก็เป็นของที่เฉินผิงอันพกพาจากภูเขาห้อยหัวไปฝากถึงหลงเฉวียนต้าหลี มีพันภูเขาหมื่นสายน้ำกั้นขวาง แม้ของขวัญจะไม่มีราคาค่างวด แต่น้ำใจกลับเต็มเปี่ยม


ไก่งามเพราะขน คนก็งามเพราะแต่ง


ระหว่างทางที่เฉินผิงอันเดินไปที่ท่าเรือซ่างเซียงจึงมีเซียนซือสาวหลายคนชำเลืองตามามองเขาอยู่หลายที เป็นการมองแบบที่ว่ามองเสร็จแล้วยังมองซ้ำอีกที ไม่ใช่มองผ่านแวบเดียวแล้วไม่เหลียวแลอีก


เมื่อเทียบกับการเดินทางนำกระบี่มาส่งที่ภูเขาห้อยหัวแล้ว การเดินทางไปหานักพรตที่ใบถงทวีปครั้งนี้ เฉินผิงอันเคร่งเครียดกว่าเล็กน้อย เมื่อแน่ใจว่าผู้ฝึกลมปราณหญิงอายุน้อยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาชั่วร้ายก็ไม่คิดอะไรมากอีก


ท่าเรือซ่างเซียงกว้างใหญ่กว่าท่าเรือจัวฟ่างอยู่มาก แต่เฉินผิงอันที่พกป้ายหยกขึ้นเรือของภูเขาห้อยหัวไว้ที่เอวกลับไม่ได้เห็นปลาวาฬกลืนสมบัติที่ต้องมีเรือนกายใหญ่โตมโหฬารตัวนั้น กลับกันคือได้เห็นเต่าทะเลขุนเขาที่บนกระดองสร้างหอเรือนหอเก๋งไว้เรียงราย เห็นรถลากใหญ่ยักษ์คันหนึ่งที่มีกระเรียนเซียนชิงหลวนทำหน้าที่ลากรถ และยังมียอดเขาขนาดเล็กเขียวชอุ่มซึ่งก็คือวัตถุอันเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะในฝูเหยาทวีปที่ถูกบันทึกไว้ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’


เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นภูเขาบินมา หรือยอดเขาบินไป ว่ากันว่ารากของภูเขาประเภทนี้เกิดจากการรวมตัวกันของปราณวิญญาณ คือของบำรุงที่ยอดเยี่ยมสำหรับเจียวหลง การลงน้ำกลายเป็นมังกรของเจียวใหญ่ที่อยู่อาศัยบนบกในสมัยบรรพกาล หลังจากเลือกสายน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมกับมหาสมุทรไว้เรียบร้อยแล้ว จะต้องเชิญให้คนยกเอาภูเขาบินมายอดเขาบินไปหลายลูกมาไว้ริมน้ำ เพื่อที่พวกมันจะได้กินอาหารทันเวลา ป้องกันไม่ให้เหนื่อยล้าหมดแรง ไม่ให้เลือดลมถูกเผาผลาญจนสิ้นก่อนจะกลายเป็นมังกรได้สำเร็จ


เฉินผิงอันเพิ่งจะหัดเรียนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คิดจะถามทางก็คงคุยกับใครไม่รู้เรื่อง หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่เอาแผ่นไม้ไผ่ที่สลักตัวอักษรมาใช้สอบถาม


ยังดีที่เฉินผิงอันเจอผู้โดยสารที่แขวนป้ายหยกในลักษณะเดียวกันอยู่หลายคน จึงติดตามพวกเขาไปเงียบๆ เดินไปได้ระยะหนึ่ง เพียงไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่ผู้คนเบียดเสียดกัน เฉินผิงอันจึงถอนหายใจโล่งอก ผลคือถูกคนตบไหล่ซ้ายเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันหันกลับไปมองทางขวาโดยตรง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย คนผู้นั้นเห็นว่าเฉินผิงอันไม่หลงกลก็รู้สึกหมดสนุก กล่าวอย่างเกียจคร้านว่า “ทำไม เจ้าเองก็จะไปที่สำนักฝูจีใบถงทวีปด้วยหรือ? เจ้าคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับข้าหรอกกระมัง? ปรารถนาในความงามของข้างั้นรึ?”


นี่คือคนเลวชิงฟ้องก่อน?


ความประทับใจที่เฉินผิงอันมีต่อคนผู้นี้ไม่ดีและไม่เลว


คนผู้นี้ก็คือชายงามที่…ปักปิ่นมุก สวมชุดกระโปรงสีชมพู ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี


หากจะบอกว่าตั้งแต่ที่โดยสารเกาะกุ้ยฮวาจากนครมังกรเฒ่ามาถึงภูเขาห้อยหัวคือบุพเพวาสนา ถ้าอย่างนั้นจากภูเขาห้อยหัวไปยังสำนักฝูจีก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นแผนการที่ยากจะหยั่งเจตนาของใครบางคน


ลูกหลานสกุลลู่ที่เคยถูกนักพรตน้อยคนเฝ้าประตูโยนออกมาจากหอซ่างเซียงผู้นี้มองออกถึงความระแวดระวังของเฉินผิงอัน เขาจึงตบป้ายหยกขึ้นเรือที่เรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติแจกให้ตรงเอวหนึ่งทีแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “เป็นอย่างที่เจ้าคิดไว้ การเดินทางไปยังสำนักฝูจีของข้าในครั้งนี้ก็เพราะหวังเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย มารอคอยเจ้าโดยเฉพาะ”


นี่ถือเป็นการป่าวประกาศอย่างเปิดเผยแบบใดกัน?


เฉินผิงอันเริ่มมึนงง แต่ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าจะต้องอยู่ห่างๆ จากคนผู้นี้ไว้เป็นการดี


ไอ้หมอนี่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงามเลิศล้ำ ยังมีน้ำเสียงที่ใสไพเราะ ยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิง ก่อนหน้านี้ไปเที่ยวชมศาลาจัวฟ่างด้วยกัน ‘โดยบังเอิญ’ ดูจากคำพูดและการกระทำของเขาก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่มีนิสัยโลดโผน ไม่ทำอะไรตามหลักของคนปกติทั่วไป แม้เฉินผิงอันจะไม่ได้รู้สึกอคติต่อการแต่งกาย นิสัยและความชื่นชอบของคนผู้นี้ แต่ก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำลายชีวิตอันสงบสุขของตน


คนผู้นั้นเอามือสองข้างไพล่หลัง สิบนิ้วสอดประสานกัน เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หรี่ตามองเฉินผิงอัน ท่าทางนุ่มนวลอ่อนหวาน สง่างามหญิงว่าผู้หญิงจริงๆ ซะอีก เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็จะต้องพูดความจริงออกมา ข้าแซ่ลู่ชื่อไถ ลู่จากคำว่าลู่ตี้ที่แปลว่าแผ่นดิน ไถจากซ่างหยางไถผลงานของหลี่ป๋าย เป็นลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไม่ได้รับการยอมรับจากในตระกูลสักเท่าไหร่ จึงออกมาหาประสบการณ์ในใต้หล้าเพียงลำพัง ทวีปใหญ่เก้าแห่งของใต้หล้าไพศาล ข้าไปเยือนมาแล้วห้าแห่ง เดิมทีข้าไม่คิดจะไปที่ใบถงทวีปแล้ว แต่ตอนนี้กระเป๋าเงินของข้าฟีบแบน เลยอยากจะหาคนดีๆ ที่สามารถเลี้ยงดูข้าให้กินอิ่มนอนหลับ อีกทั้งยังไม่ปรารถนาในความงามของข้า ข้าคิดว่าคนคนนั้นก็คือเจ้า ถึงอย่างไรก็ติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญแล้ว จะติดเพิ่มอีกสักเหรียญ เจ้าก็คงไม่ถือสา ไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงใบถงทวีป ข้าเหยียบขี้หมาบนทาง (มาจากประโยคโชคดีขี้หมา) ก็อาจจะคืนเงินให้เจ้าได้ แล้วก็อาจจะถือโอกาสหาเงินค่าเดินทางกลับบ้านให้ตัวเองได้ด้วย”


เขาที่ชื่อว่าลู่ไถเห็นว่าเฉินผิงอันมีสีหน้าไร้อารมณ์ ชัดเจนว่าไม่คิดจะเชื่อคำพูดโป้ปดประโยคนี้ของเขา


เขาจึงถอนหายใจหนึ่งที “ก็ได้ บอกตามตรงแล้วกัน ข้ามีชาติกำเนิดจากสำนักหยินหยาง เชี่ยวชาญด้านการพยากรณ์ ในกระเป๋าไม่มีเงินคือเรื่องจริง หาเงินไม่ได้คือเรื่องโกหก แต่หลังจากที่ข้าติดเงินฝนธัญพืชเจ้าหนึ่งเหรียญก็ได้ทำนายดวงให้ตัวเอง ผลที่ออกมาก็คือเดินทางทิศตะวันออกกลืนสมบัติ ใบถงแต่งตั้งโหว คำทำนายระดับดีเยี่ยม ความหมายของคำทำนายนี้ตื้นเขินมาก แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ข้าก็ยังรอคอยอยู่ที่นี่ถึงยี่สิบวันเต็ม นี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพูดว่า ‘เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย’ สุดท้ายเมื่อได้พบเจ้า ข้าก็รู้แล้วว่าหากข้าไม่ยอมเดินทางไปยังใบถงทวีปที่มีบรรพบุรุษให้การปกป้องคุ้มครองในครั้งนี้ ก็คงต้องถูกฟ้าผ่าแล้ว”


เฉินผิงอันไม่ได้แสดงกิริยาหยาบคาย ยิ่งไม่ได้ทำสีหน้าหงุดหงิดให้เห็น แต่สอบถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรที่แฝงไว้ด้วยการปรึกษาว่า “คุณชายลู่ เจ้าเดินทางไปยังใบถงทวีปโดยอิงตามคำทำนายที่ออกมาว่าเป็นมงคล ข้าย่อมไม่ขัดขวางเจ้า แล้วก็ขวางเจ้าไม่อยู่ แต่เจ้ากับข้าต่างคนต่างอยู่ได้หรือไม่? หากคุณชายลู่ร้อนเงิน ข้าสามารถให้เจ้ายืมเงินร้อนน้อยได้อีกบางส่วน…”


เขาพลันตัดบทคำพูดของเฉินผิงอัน สีหน้าและน้ำเสียงมีความเย้ายวนตามธรรมชาติ “คุณชายลู่อะไรกัน เพื่อลดความยุ่งยากบางเรื่องลง เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางลู่ก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นสายตาที่คนอื่นมองข้าต้องแปลกประหลาดมากแน่ๆ”


เฉินผิงอันรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ


ในเมื่อเจ้าถือสาสายตาที่คนอื่นมองเจ้า? เหตุใดถึงไม่ถือสาสายตาที่ข้ามองเจ้าบ้างล่ะ?


ลู่ไถถึงขั้นเริ่มออดอ้อน “เฉินผิงอัน ตกลงเถอะน่า นะ? พาข้าไปด้วยสักครั้ง? ข้าสามารถสาบานต่อสวรรค์ หากมีใจคิดร้ายต่อเจ้าก็ขอให้ข้าถูกห้าอสนีผ่า ถูกโยนเข้าไปแช่ในบ่อสายฟ้า ถูกสยบอยู่ใต้ภูเขาสุ้ยซาน ถูกกักขังอยู่ในเตาหลอมของวังมังกรใต้ทะเลลึก ถูกเนรเทศไปอยู่พื้นที่ลับห่างไกลหมื่นลี้ที่เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน…”


ปากพูดเลื่อนเปื้อนไปเรื่อยยังไม่พอ เขายังยื่นมือข้างหนึ่งที่เรียวยาวขาวนวลยิ่งกว่ามือของสตรีออกมาหมายจับแขนเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันขนลุกพรึ่บไปทั้งตัว ปัดมือลู่ไถทิ้งโดยไม่สนใจมารยาทอะไรอีกแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าขึงขังว่า “คุณชาย…แม่นางโปรดสำรวมด้วย!”


ลู่ไถหดมือกลับอย่างขลาดๆ ยืนอยู่ที่เดิม กัดริมฝีปาก สายตาตัดพ้อ น้ำตาเจียนจะหยด


เฉินผิงอันหมุนตัวจากไปทันที


ลู่ไถเดินตามติดเป็นเงา เฉินผิงอันหยุดเดินเขาก็หยุดเดิน เฉินผิงอันหันหน้าเขาก็หันหน้า แล้วไม่รู้ว่าหยิบเอากระจกทองแดงบานเล็กที่งดงามประณีตมาจากไหน ระหว่างร่องนิ้วยังคีบตลับชาดที่เปิดอ้าตลับหนึ่ง ประหนึ่งหญิงสาวที่กำลังจะแต่งหน้า


ภาพนี้ทำให้เฉินผิงอันซึ่งพอจะรู้ตื้นลึกหนาบางของเขาอยู่บ้างขนลุกขนชัน แต่ผู้ฝึกลมปราณเพศชายหลายคนที่อยู่รอบด้านกลับมีริ้วกระเพื่อมไหวในดวงตา ต่อให้เป็นขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดบางส่วนที่มีอายุและตบะสูงล้ำจนสามารถมองผ่านเวทอำพรางตาของลู่ไถ รู้ว่าเขาเป็นบุรุษ แต่ในดวงตาก็ยังฉายประกายเร่าร้อนอยู่ดี


บนเส้นทางแห่งการฝึกตน ในช่วงชีวิตที่ยาวนาน ไร้ขีดจำกัดไร้ข้อห้าม


ลู่ไถเหมือนสตรีแต่งงานแล้วที่ถูกทอดทิ้งอย่างน่าสงสาร สตรีที่ไม่กล้าตำหนิบุรุษผู้ซึ่งทำร้ายจิตใจนาง ได้แต่เดินตามติดเขาไปอย่างอาลัยอาวรณ์


สายตาของคนรอบด้านเต็มไปด้วยความคลุมเครือมีเลศนัย


เฉินผิงอันไม่เคยเจอกลยุทธ์ที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนเจียนตายแบบนี้มาก่อน ไฟโทสะสุมอยู่เต็มท้อง แต่กลับรู้สึกจนปัญญากับลู่ไถ


เมื่อตำแหน่งเบื้องหน้าของท่าเรือมีคนทยอยหายกันไปเรื่อยๆ เฉินผิงอันถึงตระหนักได้ว่าสถานที่ขึ้นเรือของปลาวาฬกลืนสมบัติมีพรมปักลายหลายผืนปูอยู่บนพื้น ตอนนั้นที่ซื้อป้ายหยกขึ้นเรือ ป้ายหยกมีทั้งหมดสามประเภทได้แก่ ‘เมฆบนยอดเขา’ ‘สวนงามละไม’ ‘ทะเลสาบน้ำมรกต’ ราคาไม่เท่ากัน เฉินผิงอันเลือกพักที่ทะเลสาบน้ำมรกต เวลานี้เห็นพรมสามผืนมีภาพทิวทัศน์แตกต่างกันออกไป บ้างมีไอเมฆล่องลอย ยอดเขาแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น มีทะเลสาบสีมรกตที่กว้างใหญ่ไพศาล ห้องพักหลายหลังสร้างอยู่บนทะเลสาบ กระจัดกระจายกันเหมือนดวงดาวดารดาษ แล้วก็มีหอเรือนและจวนที่พุ่มบุปผาห้อมล้อม


‘แม่นางลู่’ ที่อยู่ห่างไปด้านหลังไม่ไกลอธิบายอย่างขลาดๆ ว่า “จะให้ขึ้นเรือผ่านทางปากปลาวาฬกลืนสมบัติก็คงไม่ดี ปลาวาฬกลืนสมบัติลำนี้มีขนาดใหญ่มาก ถือเป็นอันดับหนึ่งในทวีปเกราะทอง ในร่างของปลาวาฬกลืนสมบัติมีพื้นที่ลับขนาดเล็กอยู่สี่แห่ง สามแห่งในนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นที่พักของผู้โดยสาร ปลาวาฬกลืนสมบัติของนครมังกรเฒ่ามีพื้นที่ลับแค่แห่งเดียว เมื่อเทียบกันแล้วก็เรียกได้ว่ายากจนกว่ามาก พรมสามผืนนี้ แท้จริงแล้วคือยันต์ย่อพื้นที่สามแผ่นที่ระดับขั้นสูงมาก สามารถพาผู้โดยสารไปยังสถานที่ทั้งสามแห่งนั้นได้โดยตรง”


เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในฉับพลัน


เกี่ยวกับเรื่องของพื้นที่ลับ  ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเทพเซียนที่ครอบคลุมรอบด้านมีการบรรยายถึงอย่างละเอียด เพราะมันเกี่ยวพันกับถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล และถึงขั้นเกี่ยวข้องกับถ้ำสวรรค์หลีจูด้วย ดังนั้นพออ่านเจอมัน เฉินผิงอันจึงให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ทั้งยังจงใจไปขอความรู้ที่ไม่มีในหนังสือจากเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยด้วย


บุคคลที่เกิดและเติบโตมาในภูเขาห้อยหัว ไม่ว่าจะมีตบะสูงต่ำ มีชาติกำเนิดดีหรือเลว ก็ล้วนชอบใช้คำพูดคำจาที่ใหญ่โตอวดอ้างความรู้ ไม่ว่าจะเรื่องของอริยะ เทียนจวิน เซียนดิน แค่อ้าปากได้ก็ร่ายยาวอย่างไม่มีข้อห้ามใดๆ แต่ความรู้และประสบการณ์ที่หลากหลายกว้างขวางของพวกเขากลับแข็งแกร่งกว่าคนในพื้นที่อื่นๆ นอกภูเขาห้อยหัวอย่างแท้จริง


เดิมทีเถ้าแก่หนุ่มไม่ค่อยชอบพูดเท่าใดนัก แต่บางทีอาจเป็นเพราะเห็นเฉินผิงอันเป็นแขกผู้สูงศักดิ์จึงเล่าให้ฟังยาวเหยียดอย่างที่หาได้ยาก


หลังจากที่ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลหลายแห่งที่เก่าแก่เสื่อมโทรมไปตามธรรมชาติ หรือถูกพลังภายนอกทำลายให้เสียหายแตกสลายไปแล้ว ก็มักจะเหลืออาณาเขตใหญ่เล็กไม่เท่ากัน เนื่องจากพวกมันจะหายสาบสูญโดยที่ไม่มีใครรู้ร่องรอย จึงเป็นเหตุให้ถูกเรียกขานว่าพื้นที่ลับ ร้านขายสุราลืมทุกข์ในภูเขาห้อยหัวร้านนั้น แท้จริงแล้วก็คือพื้นที่ลับแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่ของถ้ำสวรรค์หวงเหลียง


โชควาสนามากมายของผู้ฝึกตนมักจะหนีไม่พ้นพื้นที่ลับ พื้นที่ลับเป็นได้ทั้งการปักบุปผาลงบนผ้าแพร แล้วก็เป็นได้ทั้งการมอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ สามารถพูดได้ว่าการดำรงอยู่ของพื้นที่ลับน้อยใหญ่ทำให้ผู้ฝึกลมปราณเต็มไปด้วยความคาดหวังและปรารถนา การที่ผู้ฝึกตนอิสระเกินครึ่งสามารถลุกผงาดขึ้นมาได้ล้วนต้องยกให้เป็นความดีความชอบของผลเก็บเกี่ยวจากพื้นที่ลับ


หากบุกเข้าไปในพื้นที่ลับที่ยังไม่ถูกครอบครอง จะเป็นดินแดนสุขาวดีที่มีพืชพรรณบุปผาสดชื่นงดงาม เป็นพื้นที่เปลี่ยวร้างที่อบอวลไปด้วยไอสกปรก หรือเป็นหลุมโพรงที่เซียนทิ้งร่างเอาไว้ หากโชคดีก็สามารถขึ้นฟ้าด้วยการบินทะยานในครั้งเดียว หากโชคไม่ดีก็อาจแก่ตายอยู่ในนั้น หรือไม่ก็ตายอนาถด้วยหายนะบางอย่าง หลังจากตายไปแล้วสมบัติทุกชิ้นที่มีติดตัวยังกลายไปเป็นหนึ่งในโชควาสนาของคนรุ่นหลังด้วย


เฉินผิงอันอยากรู้มากว่าหลังจากถ้ำสวรรค์หลีจูตกลงมาแล้ว ได้มีพื้นที่ลับทิ้งไว้บนโลกมนุษย์หรือไม่


กลับไปถึงบ้านเกิดเมื่อไหร่คงต้องลองถามเว่ยป้อดู


เวลานี้เฉินผิงอันเดินไปบนพรมผืนที่ตรงสู่ทะเลสาบน้ำมรกตของปลาวาฬกลืนอสนี ลู่ไถถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อยหนึ่งที สาวเท้าเดินเยื้องย่างมาอย่างรวดเร็ว ยื่นมือมาขวางทางเฉินผิงอันเอาไว้ “เดิมทีข้าเองก็จะไปที่ทะเลสาบน้ำมรกตเหมือนกัน ในเมื่อเจ้ารังเกียจข้าขนาดนี้ ข้าก็จะไม่อยู่ให้เกะกะสายตาเจ้าอีก ข้าสามารถเปลี่ยนไปพักที่อื่น เพิ่มเงินอีกหน่อย ขอแลกที่พักกับคนอื่น ไปพักยังสวนงามละไมที่ครอบครองชื่อเสียงอันดีงามมาอย่างยาวนาน พวกเราสองคนก็แยกทางกันตรงนี้เถอะ เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะให้ข้ายืมเงินร้อนน้อยอีกส่วนหนึ่ง ยังรักษาคำพูดอยู่หรือไม่? ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไปที่สวนงามละไมไม่ได้…”


บุรุษที่ทำท่าทางน่าสงสารคนหนึ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ขัดหูขัดตานัก


เฉินผิงอันควักเงินร้อนน้อยกำใหญ่ออกมาเหมือนต้องการจ่ายเงินฟาดเคราะห์ เดินขยับเข้าไปใกล้สองสามก้าวแล้วส่งมอบให้ลู่ไถอย่างรวดเร็ว


ขอแค่คนผู้นี้ไม่มาตอแยตนอีก ให้ตนได้ฝึกกระบี่และฝึกหมัดไปตลอดทางอย่างสงบ เฉินผิงอันก็ยินดีที่จะจ่ายเงินก้อนนี้


ลู่ไถรับเงินร้อนน้อยมาแล้วก็มองเฉินผิงอันอย่างเหม่อลอย ดวงตาคลอประกายน้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ สุดท้ายหมุนตัวจากไปอย่างหม่นหมอง คาดว่าคงไปปรึกษากับคนอื่นเรื่องขอแลกเปลี่ยนที่พัก


พอเฉินผิงอันเดินขึ้นไปบนยันต์ย่อพื้นที่ที่แปลกประหลาดแผ่นนั้นก็เห็นว่าลู่ไถที่มีสีหน้าเบิกบานหันมาขยิบตาให้ตน ชูป้ายหยกแผ่นที่ด้านบนสลักคำว่า ‘น้ำมรกต’ ให้เขาดู


เดิมทีเรื่องที่กระเป๋าเงินของลู่ไถฟีบแบนคือเรื่องจริง ดังนั้นตอนแรกเขาจึงได้แต่ซื้อป้ายหยกเมฆบนยอดเขาที่ราคาถูกที่สุดมา จากนั้นเขาก็แต่งเรื่องโกหกอย่างคล่องแคล่ว จนเฉินผิงอันมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งกำมือมาให้เขา…


ลู่ไถเดินขึ้นมาบนพรมผืนที่เฉินผิงอันยืนอยู่ด้วยฝีเท้าแผ่วเบาอย่างลิงโลดร่าเริง ท่าทางลำพองใจยิ่งทำให้ดวงหน้าของเขางามแฉล้ม


ก่อนหน้าที่เงาร่างของเฉินผิงอันจะหายไป เขาอดด่า ‘แม่นาง’ คนนั้นไม่ได้ว่า ปู่ทวดเจ้าเถอะ


บทที่ 286.1 ชาดหนึ่งตลับ

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันมาที่หอสูงใจกลางทะเลสาบแห่งหนึ่ง กวาดตามองไปรอบด้านก็เห็นน้ำทะเลสาบสีเขียวมรกต คลื่นน้ำกระเพื่อมแผ่เป็นวงกว้าง ไอหมอกลอยกรุ่น เหนือทะเลสาบมีหอเรือนร้อยกว่าแห่งลอยตัวอยู่ ระหว่างหอเรือนมีเส้นทางสายเล็กเชื่อมโยงพวกมันเข้าด้วยกัน หอเรือนแต่ละหลังผูกเรือแจวสองสามลำไว้รอให้คนล่องไปชมทัศนียภาพของทะเลสาบ


สี่ด้านแปดทิศของหอสูงมีเด็กสาวชุดกระโปรงสีเขียวหุ่นอรชรอ้อนแอ้น ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงวัยสิบสามสิบสี่ปี แต่ละคนหน้าตาโดดเด่น คอยทำหน้าที่ชี้นำทางให้แก่ผู้โดยสาร


หอเรือนที่เฉินผิงอันพักอาศัยมีชื่อว่า ‘เรือนภูเขาร่มเงา’ ตอนที่ซื้อป้ายหยก อีกฝ่ายแนะนำว่าหอเรือนแห่งนี้สูงสามชั้น สามารถอยู่อาศัยร่วมกับคนอื่นได้หลายคน ประหยัดได้มากกว่าเดิม เฉินผิงอันใคร่ครวญดูแล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม


ทางฝ่ายของเรือข้ามฟากปลาวาฬกลืนสมบัติไม่รู้สึกว่ามีอะไรประหลาด ผู้ที่บำเพ็ญตนมักชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพัง นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก แต่หากเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่หาเงินได้อย่างยากลำบากมักจะเคยชินกับการคิดคำนวณอย่างรอบคอบ จึงเต็มใจที่จะพักอาศัยร่วมกับคนแปลกหน้า เพราะไม่แน่ว่าอาจเป็นการสร้างสายสัมพันธ์ใหม่ๆ ขึ้นมา บนมหามรรคา มีสหายมากหน่อย ต่อให้จะเป็นเพียงความสัมพันธ์ผิวเผินที่แค่เคยผงกศีรษะทักทายกันก็ไม่ใช่เรื่องร้าย ไม่แน่ว่าวันใดโชคดีก็อาจได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่


หลังจากหญิงสาวชุดกระโปรงสีเขียวของทะเลสาบน้ำมรกตช่วยบอกทิศทางให้ เฉินผิงอันก็ลงจากหอสูง เดินช้าๆ ไปบนทางสายเล็กสายหนึ่งที่อยู่เหนือทะลสาบ สองฝั่งข้างกายหรือไม่ก็เหนือศีรษะมีเซียนซือขี่กระบี่ บ้างก็ทะยานลมผ่านไปเป็นระยะ เฉินผิงอันเดินไปได้ไม่นานเท่าไหร่ ด้านหลังก็มี ‘สาวงาม’ ยกชายกระโปรงวิ่งเหยาะๆ ตามมาด้วยท่าทางน่ารักซุกซน


เฉินผิงอันคือคนที่ไม่กลัวความลำบาก ตั้งแต่ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรซึ่งต้องทำงานหนักคอยรองรับคำด่า ไปจนถึงตอนที่คุ้มกันพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวไปส่งที่สำนักศึกษาต้าสุย ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ล้วนเป็นเฉินผิงอันที่คอยให้การดูแลอย่างใส่ใจ เฉินผิงอันไม่กลัวความลำบากประเภทนี้ก็จริง แต่เขากลับกลัวความลำบากอีกชนิดหนึ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นนักพรตสำนักหยินหยางที่ชื่อว่าลู่ไถคนนี้ แม้ลางสังหรณ์ของเฉินผิงอันจะไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่เหมาะสมใดๆ ไม่ได้รู้สึกกดดันและอึมครึมเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับฝูหนันหัวหรือชุยฉานในช่วงแรกๆ แต่หากยังไม่สามารถแน่ใจได้ว่าเรื่องหนึ่งจะดีหรือเลว เฉินผิงอันก็เคยชินที่จะทำให้ตัวเองแน่ใจก่อนว่าเรื่องนั้นๆ ‘ไม่เลว’


ที่ภูเขาห้อยหัว มีคนมากน้อยแค่ไหนที่แม้แต่ตอนหลับฝันก็ยังปรารถนาจะได้ข้ามธรณีประตูจวนหยวนโหรวของตระกูลหลิว?


แต่เฉินผิงอันที่หลังจากได้ยินคำกล่าวว่า ‘หอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ข้างจวนหยวนโหรว’ และพอจะแน่ใจน้ำหนักของตระกูลหลิวในธวัลทวีปคร่าวๆ แล้ว เรื่องแรกที่เขาทำก็คือขีดเส้นความสัมพันธ์กับหลิวโยวโจวที่สร้างความประทับใจไม่เลวแก่เขาคนนั้นทันที อาจเป็นเพราะส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันเอนเอียงเข้าหาความรู้สึกที่ได้ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างโดดเดี่ยวในถ้ำสวรรค์หลีจูมากกว่า เนื่องจากความรู้สึกนั้นได้ฝังลึกตรึงอยู่ในใจเขามาเนิ่นนานแล้ว


ลูกหลานสกุลลู่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่บอกว่าตัวเองชื่อลู่ไถเดินเคียงบ่าไปกับเฉินผิงอัน หันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของเฉินผิงอันแล้วยิ้มหวานพูดว่า “โกรธหรือ? เป็นผู้ชายจะใจแคบแบบนี้ได้อย่างไร ต้องใจกว้างหน่อย เมื่อใจกว้างแล้วก็สามารถรองรับโชควาสนาได้มากตามไปด้วย เจ้าคงจะเคยได้ยินคำว่าวิญญูชนมิใช่เครื่องใช้ภาชนะของลัทธิขงจื๊อมาบ้างกระมัง?”


เฉินผิงอันหยุดเดิน หันหน้ามามองคนประหลาดผู้นี้ “เจ้าคอยมาอยู่ข้างกายข้าเพราะคิดจะทำอะไรกันแน่? คำทำนายมหามงคลนั่นของเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้าสักหน่อย…”


ลู่ไถยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จะไม่เกี่ยวได้อย่างไร ข้าใช้เงินฝนธัญพืชเหรียญที่เจ้ามอบให้ข้ามาทำนายเชียวนะ เกี่ยวกับเจ้ามากเลยล่ะ ในโชควาสนาครั้งนี้เจ้าก็คือคนที่…”


คราวนี้เป็นเฉินผิงอันบ้างที่ตัดบทคำพูดของเขา “เงินฝนธัญพืชไม่ได้ให้เจ้า ให้ยืม”


ลู่ไถขมวดคิ้วที่โก่งงอนเรียวบางเหมือนสตรี ตั้งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถามด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “พูดถึงแต่เรื่องเงินจะทำลายความสัมพันธ์เอาได้ ไม่สู้พวกเรามาทำการค้าเล็กๆ กันสักครั้ง ข้าจะเอาสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ข้ารักมาแลกเปลี่ยนกับเงินฝนธัญพืชจากเจ้า?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็ติดไว้ก่อนเถอะ”


ลู่ไถพูดเหมือนน้อยใจ “ทำไมเจ้าต้องกลัวข้าขนาดนี้ด้วย? ทำไมต้องมองข้าเป็นดั่งภัยพิบัติชั่วร้าย? เจ้าคิดดูนะ บนเส้นทางของการฝึกตน เมื่อได้พบเจอคนที่ถูกชะตา จับมือกันท่องเที่ยวหาประสบการณ์ ชื่นชมภูเขาและแม่น้ำไปด้วยกัน นั่นจะเป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน?”


เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที


ที่แท้ใต้หล้านี้ก็มีเรื่องที่ใช้เหตุผลมาพูดไม่ได้จริงๆ เขาไม่รู้แล้วว่าควรจะเปิดปากอธิบายอย่างไร


คนทั้งสองเดินหน้าไปด้วยกันเงียบๆ เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ส่วนลู่ไถเหลียวซ้ายแลขวา พูดพึมพำกับตัวเองว่า “พื้นที่ลับแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของถ้ำสวรรค์น้อยฉุยฮวา เทพธิดาสาวท่านหนึ่งที่ชอบเก็บรวบรวมน้ำพุในโลกเป็นผู้ครอบครอง น่าเสียดายก็แต่สุดท้ายนางล้มเหลวตอนขอบเขตบินทะยาน ไม่เพียงแต่ร่างดับมรรคาสลาย ยังถูกวิถีสวรรค์แว้งกลับมาโจมตี เดือดร้อนให้ถ้ำสวรรค์ฉุยฮวาแตกสลายตามไปด้วย ชิ้นส่วนส่วนใหญ่สลายหายไปท่ามกลางฟ้าดิน ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง เพราะน้ำทะเลสาบในรัศมีสามร้อยลี้นี้ล้วนเป็นหนึ่งในน้ำพุมีชื่อเสียงที่เทพธิดาสาวเก็บรวบรวมเอาไว้ในปีนั้น ขอแค่เจ้าคว้าจับสายน้ำเล็กๆ เส้นหนึ่งซึ่งมีแก่นของน้ำพุซ่อนอยู่มาได้ ก็เหมาะที่จะนำมาต้มชาดื่มมากที่สุด”


เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว หลังจากเดินไปได้ประมาณสี่ห้าลี้ก็เห็นเรือนภูเขาร่มเงาที่สูงสามชั้นแห่งนั้น รอบด้านของหอเรือนคือระเบียงทางเดินที่อยู่ใต้ชายคาซึ่งโอบล้อมด้วยราวระเบียงหยกขาว ยังมีท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีเรือแจวสองลำจอดเทียบท่า บริเวณใกล้เคียงกับเรือนภูเขาร่มเงามีดอกบัวชูช่อเป็นผืนใหญ่ หญิงสาวเก็บดอกบัวคนหนึ่งกำลังพายเรือลอดไปตามช่องว่างพลางคลอบทเพลงพื้นบ้านอยู่ในลำคอ เป็นภาพที่นุ่มนวลน่าประทับใจ


เฉินผิงอันหยุดเดินแล้วเอ่ยเตือนว่า “ข้าถึงแล้ว”


ลู่ไถพยักหน้ารับ


เฉินผิงอันเห็นว่าเขาแกล้งไขสือก็ถามเข้าประเด็นโดยตรง “วันนี้ข้าคงไม่เชิญเจ้าเข้าไปนั่งข้างในแล้ว หากว่างเมื่อไหร่ข้าจะไปหาเจ้าแล้วกัน เจ้าพักอยู่ในหอเรือนใด?”


ลู่ไถชี้ไปที่เรือนภูเขาร่มเงา


เฉินผิงอันยิ้มจืดชืด “คุณชายลู่เลิกล้อเล่นเถอะ”


ลู่ไถชูสองมือขึ้นทำท่าว่ามีเงินร้อนน้อยอยู่ในมือกอบใหญ่ “เมื่อครู่ตอนอยู่หอสูงใจกลางทะเลสาบ ด้วยจำต้องหาทางเอาชีวิตรอด แล้วก็คิดว่าพวกเราสนิทกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็น่าจะยอมให้ข้าพักด้วย เลยขายที่พักของข้าให้กับเทพเซียนคนหนึ่งที่มีเงินมากไปแล้ว”


สีหน้าของเฉินผิงอันไม่ค่อยน่ามองนัก


บนโลกมีคนที่หน้าด้านเกาะติดคนอื่นเหนียวหนึบยิ่งกว่าตังเมแบบนี้ได้อย่างไร?


ลู่ไถพลันหัวเราะ “ก็ได้ๆ ข้าจะบอกกับเจ้าตามตรงก็แล้วกัน การเดินทางไปใบถงทวีปในครั้งนี้ นอกจากข้าจะทำนายได้เซียมซีดีเยี่ยมว่า ‘แต่งตั้งโหว’ แล้ว อันที่จริงยังทำนายได้ด้วยว่าโชควาสนาครั้งนี้ไม่ได้อยู่ที่วัตถุล้ำค่า แต่อยู่ที่ ‘ขึ้นดาดฟ้าพิศมรรคา’ ห้าคำนี้ เดินทางร่วมกับเจ้า อาศัยสภาพจิตใจของเจ้า ไม่ว่าจะดีเลวหรือสูงต่ำก็ล้วนสามารถขัดเกลาจิตแห่งเต๋าของข้าได้ นี่เรียกว่าใช้หินของภูเขาลูกอื่นมาเกลาเป็นหยก…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ลู่ไถก็หัวเราะหึหึแล้วรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ว่า “ผิดแล้วๆ ต้องพูดว่าอาศัยหยกของภูเขาคนอื่นมาตีหิน!”


เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาคำพูดของลู่ไถ แต่พอลู่ไถเอ่ยสองคำว่า ‘พิศมรรคา’ (ตรงกับคำว่ากวานเต๋าของอารามกวานเต๋าที่เฉินผิงอันกำลังตามหา) ออกมา เฉินผิงอันก็ทั้งกังวลใจและทั้งวางใจ


วางใจเพราะลู่ไถน่าจะไม่ได้พูดจาส่งเดช ดังนั้นจึงไม่ได้มีแผนการร้ายที่หมายเล่นงานเขาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ กังวลก็เพราะตนต้องไปตามหาอารามกวานเต๋าและนักพรตเฒ่า แล้วนี่ดันมีลู่ไถที่ไม่รู้ชาติกำเนิดเพิ่มมาคนหนึ่ง ไม่เรียกว่าปัญหาแทรกซ้อนจะเรียกว่าอะไร?


ลู่ไถลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกัดฟันพูดเหมือนเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ “หากเจ้าระแวดระวังข้าทุกเรื่องขนาดนี้ต้องส่งผลกระทบต่อวาสนาการ ‘พิศมรรคาแต่งตั้งโหว’ ของข้าอย่างแน่นอน ข้าสามารถช่วยพยากรณ์อย่างจริงจังให้เจ้าได้หนึ่งครั้ง ขอแค่ไม่ได้เกี่ยวพันกับบุคคลใหญ่ที่ร้ายกาจจนเกินไป การทำนายของข้าก็นับว่าแม่นยำอยู่เหมือนกัน แต่หากเกี่ยวพันกับเทพเซียนห้าขอบเขตบน ข้าก็ต้องลำบากแน่ ลำบากยิ่งกว่านอนอยู่บนเรือลำเล็กอะไรนั่นนับร้อยนับพันเท่า! เฉินผิงอัน โอกาสหาได้ยาก อย่าได้พลาดเด็ดขาดเชียว!”


ดูเหมือนลู่ไถกลัวว่าเฉินผิงอันจะไม่เชื่อจึงจ้องหน้าเฉินผิงอันเขม็ง “ไม่ได้หลอกเจ้า!”


 เฉินผิงอันถอนหายใจ โบกมือปฏิเสธคำแนะนำของลู่ไถ พูดแค่ว่า “เจ้าพักอยู่ในเรือนภูเขาร่มเงานี่ไปเถอะ แต่หลังจากนี้เจ้ากับข้าต่างคนต่างฝึกตน น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”


ลู่ไถมีสีหน้าประหลาด เหม่อมองแผ่นหลังของเฉินผิงอันอยู่พักหนึ่งก็พลันคืนสติ สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นโล่งอก รีบเดินเร็วๆ ตามไป


สุดท้ายเฉินผิงอันพักอาศัยอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ลู่ไถเลือกชั้นสาม ตรงกลางมีชั้นสองกางกั้น


ลู่ไถนอนอยู่บนเตียงที่ชั้นสามอย่างสบายอารมณ์ ใบหน้าเกียจคร้านและพึงพอใจ เดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวหัวเราะร่า ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิดจริงๆ


ในเมื่อมาแล้วก็ควรพักอยู่ที่นี่อย่างสงบ


เฉินผิงอันไม่สนใจลูกศิษย์สำนักหยินหยางที่ลึกลับเหมือนมีเมฆหมอกปกคลุมผู้นั้นอีก นอกจากกระบี่ยาวที่สะพายไว้ข้างหลังและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ห้อยไว้ตรงเอวแล้ว เขาก็ไม่มีของนอกกายอย่างอื่นอีก เดินทางเพียงลำพังสบายตัวอย่างมาก อย่างเดียวที่ไม่ดี แน่นอนว่าคือลู่ไถที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิต


เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะติดกับหน้าต่าง หยิบเอาตำราปึกหนึ่งออกมาจากวัตถุฟางชุ่นสืออู่ได้แก่ ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ซึ่งเป็นตำราเทพเซียน หนังสือสองเล่มที่สอนภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางและของใบถงทวีป รวมไปถึงบันทึกภูเขาและแม่น้ำหลายเล่มที่ได้มาจากแคว้นไฉ่อี ทั้งหมดถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หยิบแผ่นไม้ไผ่ล้ำค่าที่มาจากภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ คิดว่านอกจากจะอ่านหนังสือแล้วจะถือโอกาสสลักตัวอักษรลงไปด้วย


ทุกวันตอนเช้าจะฝึกวิชาหมัดเขย่าขุนเขา ตอนบ่ายฝึก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ตอนกลางคืนอ่านหนังสือ เรียนรู้ภาษาทางการของสองทวีป


ที่น่าประหลาดมากก็คือ ทั้งๆ ที่เป็นแค่พื้นที่ลับที่ปริแตก ที่ทะเลสาบน้ำมรกตแห่งนี้กลับยังมีภาพเหตุการณ์มหัศจรรย์ที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ขึ้นและตกอยู่เหมือนเดิม แล้วก็มีการแบ่งแยกกลางวันกับกลางคืน ไม่รู้ว่าเป็นเวทอำพรางตาชั้นเยี่ยมของเซียน หรือคือกฎอันเป็นเอกลักษณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหลังถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลปริแตกแล้ว?


เวลาที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่งจะต้องวนรอบระเบียงวงกลมที่ล้อมอยู่รอบหอเรือน


ลมเย็นพัดโชย กลิ่นหอมของดอกบัวลอยมาปะทะจมูก ยังคงได้ยินเสียงบทเพลงพื้นบ้านของหญิงสาวเก็บดอกบัวดังลอยมาแว่วๆ เด็กหนุ่มชุดขาวออกหมัดอย่างเชื่องช้า


ฝึกกระบี่ตอนกลางวัน เฉินผิงอันจะอยู่แค่ในชั้นหนึ่งที่กว้างขวางเท่านั้น ไม่ได้ออกไปที่ระเบียงนอกหอเรือน แล้วก็ยังคงทำท่าจับกระบี่มายา


เพราะ ‘ปราณกระบี่’ กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังสามารถหล่อหลอมจิตวิญญาณได้ เดิมทีก็ถือเป็นการฝึกตนอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ต่อให้นอนหลับตอนกลางคืน เฉินผิงอันก็ไม่ได้ปลดมันลงมา แต่เลือกที่จะนอนหลับด้วยท่าตะแคงข้าง


น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แขวนสูงไว้ด้านหน้าเตียง ตอนนี้เขาไม่ได้ดื่มเหล้าบ่อยๆ อีกแล้ว จึงไม่ได้เอามันมาห้อยไว้ที่เอวเป็นประจำ จิตใจของเขาเชื่อมโยงกับสองบรรพบุรุษน้อยอย่างชูอีและสืออู่นานแล้ว ตลอดระยะทางนับพันนับหมื่นลี้ที่ผ่านมา ได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้าก็ยิ่งรู้ใจกันมากขึ้น การสื่อสารยิ่งราบรื่น ดูเหมือนว่าสติปัญญาของกระบี่บินทั้งสองเล่มเริ่มสุกงอมเหมือนผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว


หลังจากที่เฉินผิงอันนอนหลับก็มอบหน้าที่ให้พวกมันช่วยดูแลบ้านให้ ชูอีไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ส่วนสืออู่ที่อ่อนโยนว่าง่ายมากกว่ากลับ ‘พยักหน้าตกลง’ อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อย่างยินดี


ตอนกลางคืนระหว่างที่อ่านหนังสือ เฉินผิงอันก็จะหยิบ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ เล่มนั้นออกมาจากสืออู่ชั่วคราว หลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เขาค้นพบว่าตัวเองสามารถวาดยันต์เพิ่มขึ้นได้อีกสองชนิด ชนิดหนึ่งคือ ‘ยันต์คำสั่งกระบี่แม่น้ำภูเขา’ ภูเขาในที่นี้แบ่งเป็นสามภูเขา แต่คือสามภูเขาใดบ้าง ในหนังสือกลับไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด การอธิบายคำว่าแม่น้ำของยันต์นี้ก็กว้างและคลุมเครืออย่างมาก พูดแค่ว่ามีเทพพิทักษ์แม่น้ำ ทำหน้าที่ ‘กำจัดความชั่วร้ายทำลายความเลวทราม’ ชอบ ‘เขมือบกลืนหมื่นวิญญาณ’


ยันต์คำสั่งกระบี่คือยันต์ประเภทที่ใช้คุ้มกันกาย ส่วนยันต์ประเภทที่สองคือ ‘ยันต์ขอฝน’ มีความหมายตรงกับชื่อ ว่าเมื่อ ‘ฟ้าดินมืดอึมครึม ฝนห่าใหญ่ไหลท่วมทับ’ ยันต์นี้ถือเป็นหนึ่งในยันต์ที่ใช้ทำพิธีบวงสรวง เป็นยันต์ที่พระอาจารย์ผู้ทำพิธีที่มีวิชาสูงส่งส่วนใหญ่เชี่ยวชาญ เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกสนใจเท่าใดนัก


เมื่อเทียบกับยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์กำจัดคราบสกปรกและยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจแล้ว ระดับขั้นของยันต์สองชนิดนี้สูงกว่าเล็กน้อย เฉินผิงอันค่อนข้างให้ความสำคัญกับยันต์คำสั่งกระบี่ จึงเอากระดาษสีเหลืองที่ธรรมดาที่สุดมาเขียนเป็นยันต์หนึ่งแผ่น เขาเขียนได้สำเร็จอย่างถูไถ หลังจากที่เฉินผิงอันเลื่อนสู่ขอบเขตหลอมลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์แล้ว จิตวิญญาณก็ยิ่งมั่นคงและแน่นหนามากขึ้น ตอนที่สามจิตแล่นผ่านทะเลสาบหัวใจ เขาก็มักจะได้ยินเสียงน้ำหยดดังมาแว่วๆ เสมอ


ดังนั้นเฉินผิงอันจึงมองออกว่าพลังจิตในการเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ไม่มากพอ เพียงแต่ว่าอานุภาพที่แน่นอนจะมีมากเท่าไหร่ เพราะชั้นบนมีลู่ไถอาศัยอยู่ด้วยจึงไม่มีโอกาสได้พิสูจน์


ผ่านไปสิบวัน บางครั้งจะได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาที่ชั้นสอง แต่จำนวนครั้งไม่มากนัก ลู่ไถไม่เคยลงมารบกวนเฉินผิงอันเลยแม้แต่ครั้งเดียว


เฉินผิงอันจึงพอจะวางใจได้บ้างเล็กน้อย


โชควาสนาที่พุ่งมาหาตนอย่างไร้สาเหตุ ไม่ได้คาดหวังให้เป็นบุญสัมพันธ์ ขอแค่ไม่ใช่กรรมสัมพันธ์ก็พอแล้ว


บทที่ 286.2 ชาดหนึ่งตลับ

โดย

ProjectZyphon

คืนวันนี้เฉินผิงอันเพิ่งจะเขียนยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นที่สองเสร็จ เขาก็ยังคงไม่พอใจเท่าไหร่นัก


นี่ก็เหมือนการขึ้นรูปเผาเครื่องปั้น ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปสองชิ้นที่มองดูเหมือนคล้ายกันมาก แต่หากผู้เชี่ยวชาญมองอย่างละเอียดก็สามารถมองออกถึงความต่างราวฟ้ากับเหวในปราดเดียว


หรือว่าจะต้องไปตามหาวิญญาณวีรบุรุษที่ยังคงเข่นฆ่าสังหารไม่หยุดในซากปรักของสนามรบโบราณแห่งหนึ่งจริงๆ ถึงจะสามารถทำให้ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์มีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบได้? ถึงเวลานั้นถึงจะสามารถควบคุมยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว?


เฉินผิงอันขมวดคิ้วครุ่นคิดลึกซึ้ง แล้วจู่ๆ ก็หันขวับไปมอง เห็นเพียงว่าลู่ไถเดินลงบันไดมา พอหยุดเดินแล้วก็ยื่นมือไปเคาะผนังเหมือนแขกที่เคาะประตู จากนั้นเขาก็นั่งลงบนขั้นบันได ส่งยิ้มมาให้ แต่ไม่ได้เดินลงมาที่ชั้นหนึ่ง


เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเอา ‘จารึกภูเขาและทะเล’ ปิดทับยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น ลู่ไถกลับหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ขึ้นมาเสียก่อน “จะปกปิดอำพรางไปทำไม แค่ยันต์โบราณที่หายสาบสูญไปแล้วแผ่นเดียวเท่านั้น แถมระดับขั้นก็ไม่ได้สูง แค่มีดีที่ความบริสุทธิ์เพราะกลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมที่แท้จริงเท่านั้น เมื่อครู่นี้ข้าชำเลืองมองไปแวบหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจก็เจ็บปวดจนหัวใจสั่นไปหมด จนถึงตอนนี้ยังปวดหัวใจอยู่เลย”


เฉินผิงอันถาม “หมายความว่าอย่างไร?”


ลู่ไถชี้ไปยังยันต์คำสั่งกระบี่แผ่นนั้น “ยันต์คุ้มกันกายชิ้นนี้มีที่มายิ่งใหญ่มาก ตลอดทั้งตระกูลลู่ คนที่อายุพอๆ กับข้า เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถมองรากฐานของมันออก ดังนั้นการที่ข้าเจ็บปวดหัวใจก็เพราะหนึ่ง เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว เขียนยันต์โบราณบริสุทธิ์ออกมาได้แย่ขนาดนี้ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก…”


เฉินผิงอันอดพูดแทรกไม่ได้ “ผู้ฝึกยุทธ์เขียนยันต์ถึงจะไม่สมเหตุสมผลมากกว่ากระมัง?”


ลู่ไถกระตุกมุมปาก “อ้อ แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นบันทึกในตำราตระกูลลู่ของข้าก็คงมีข้อผิดพลาด หรือไม่ก็เป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน”


ลู่ไถไม่อยากลงลึกในหัวข้อนี้ จึงแค่พูดต่อว่า “สอง การวาดยันต์ของเจ้า ส่วนใหญ่แล้วล้วนอาศัยพู่กันด้ามนั้น ไม่ใช่อาศัยความรู้ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อยันต์แผ่นหนึ่งว่าลึกซึ้งเท่าไหร่ อืม อาจจะเป็นประมาณว่าเจ้ามองเห็นทัศนียภาพที่แท้จริง แต่เส้นทางที่เจ้าเดินไปยังทัศนียภาพแห่งนั้นบิดๆ เบี้ยวๆ ดังนั้นยันต์ที่วาดออกมาจึงใช้ได้ แต่แค่ใช้ไม่ได้ผลมากนัก สาม ระดับขั้นของกระดาษยันต์แผ่นนี้ดีมาก แต่กลับถูกเจ้านำมาทำเป็นการค้าแค่ครั้งเดียวก็ยิ่งสิ้นเปลืองของดี สำหรับเรื่องนี้จะพูดแค่ว่าเป็นการกระทำนอกรีตนอกรอยไม่ได้ ต้องพูดว่าทำผิดอย่างร้ายแรงด้วยซ้ำ เพราะหากให้ยอดฝีมือสำนักมหายันต์ลัทธิเต๋ามาเห็นเข้า ต้องคิดอยากจะทุบเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียวแน่นอน”


เฉินผิงอันขมวดคิ้วแน่น ขบคิดคำพูดของลู่ไถอย่างละเอียด ต้องการแยกแยะให้ได้ก่อนว่าจริงหรือเท็จแล้วค่อยตัดสินว่าดีหรือเลว แต่ว่าลู่ไถเป็นคนลึกลับเกินไป จึงยากที่เฉินผิงอันจะได้ข้อสรุป


ลู่ไถถามยิ้มๆ “ช่วยยกยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาให้ข้าดูเนื้อวัสดุอย่างละเอียดได้หรือไม่ ก่อนหน้านี้มองแค่ปราดเดียว ยังไม่ค่อยกล้ายืนยัน”


เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังคีบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมา เพียงแต่ว่าให้ลู่ไถได้ดูแค่ด้านหลังของแผ่นยันต์เท่านั้น


ลู่ไถยิ้มบางๆ ไม่ได้ถือสากับท่าทางระแวดระวังของเฉินผิงอัน มองอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ากล่าวว่า “เป็นวัสดุล้ำค่าของยันต์คืนวสันต์จริงๆ ด้วย ยันต์ที่เขียนลงไปบนวัสดุประเภทนี้สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง ยันต์แผ่นหนึ่งที่วาดสำเร็จ ระดับขั้นสูงหรือต่ำ อานุภาพมากหรือน้อย กระดาษยันต์ดีหรือร้ายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ยันต์ที่ดีอย่างแท้จริงในโลกใบนี้ หากไม่นับประเภทที่แสวงหาอานุภาพยิ่งใหญ่อย่างสุดโต่ง ส่วนใหญ่ก็ล้วนเอากลับมาใช้ซ้ำได้อีกครั้ง หากเอ่ยตามคำพูดที่มีอารมณ์ขันของบุรพาจารย์ท่านหนึ่งของสำนักมหายันต์ อย่างเจ้าน่ะเรียกว่าความเยาว์ร่วงโรย ใบไม้ปลิดปลิว อืม สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็คือ ‘รั้งไว้ไม่อยู่’ เฉินผิงอันเจ้าว่ามันน่าเสียดายหรือไม่ล่ะ? กระดาษยันต์ โดยเฉพาะกระดาษยันต์คืนวสันต์นั้นเผาผลาญเงินอย่างมาก อืม อย่างข้าน่ะถือว่าเจ็บปวดใจเสียดายแทนเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเฉินผิงอันก็มีตระกูลใหญ่โตมีกิจการยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสนใจเงินเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้”


เฉินผิงอันมองลู่ไถแวบหนึ่ง แล้วก็หันมามองยันต์คำสั่งกระบี่ที่วางไว้บนโต๊ะอีกครั้ง


ลู่ไถรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยกสองมือเท้าแก้ม มองไปยังเด็กหนุ่มท่าทางหงุดหงิดที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะแล้วถามยิ้มๆ “คนที่มอบกระดาษยันต์ล้ำค่าพวกนี้ให้เจ้าไม่เคยพูดให้ฟังหรือ? คนนำทางที่สอนเจ้าวาดยันต์ไม่เคยบอกเจ้าหรือไงว่า นักเขียนยันต์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างเจ้าควรต้องประหยัดเอาไว้?”


เฉินผิงอันถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที


ลู่ไถกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตเจ็ดแปดเก้าน่าจะสามารถเขียนยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้แล้ว อาศัยลมปราณที่แท้จริงหนึ่งเฮือก เขียนให้เสร็จในรวดเดียว น่าเสียดายที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่พอมาถึงขั้นนี้ แต่ละคนที่ก้าวเดินขึ้นสู่ยอดเขาล้วนมีจิตใจที่แข็งแกร่งปานเหล็กกล้ามานานแล้ว ใครจะยังหันไปวาดยันต์อยู่อีก? เจ้าเองก็เพราะโชคดี ได้ครอบครองกระดาษยันต์และพู่กันเขียนยันต์ที่ล้ำค่าขนาดนี้ สุดท้ายถึงสามารถวาดยันต์ที่ไม่เลวออกมาได้ ไม่อย่างนั้นการวาดยันต์ทุกแผ่นก็เท่ากับว่าต้องเผาตั๋วเงินปึกใหญ่ อืม เจ้าดีขึ้นมาหน่อย แค่เท่ากับว่าเผาตั๋วเงินครึ่งปึกเท่านั้น”


เฉินผิงอันถลึงตาดุดันใส่เจ้าคนที่สาดเกลือลงบนแผลสดของเขาผู้นี้


ลู่ไถหัวเราะร่า “เฉินผิงอัน เจ้านี่ก็น่าสนใจจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์วาดยันต์ แถมยังมีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และกระบี่บิน ที่เกินเหตุสุดๆ ก็คือยังตั้งใจเรียนหนังสือทุกวันด้วย? เจ้าไม่กลัวว่าไม่ทำเรื่องที่ควรทำแล้วจะส่งผลต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์ กลายเป็นคนประเภทหัวมังกุท้ายมังกร ทำอะไรไม่สำเร็จสักเรื่องงั้นหรือ?”


เฉินผิงอันไม่ได้สนใจคำพูดเยาะเย้ยเสียดสีของเขา เขาเก็บยันต์คำสั่งกระบี่ แล้วเริ่มเปิด ‘จารึกภูเขาและทะเล’ เล่มนั้นออกอ่าน


ลู่ไถลุกขึ้นกลับไปยังที่พักบนชั้นสามอย่างเงียบเชียบ


หลังจากนั้นลู่ไถก็เริ่มออกจากเรือนภูเขาร่มเงา บ้างก็ไปพายเรือชมทะเลสาบน้ำมรกต หรือไม่ก็ไปเที่ยวชมคลังสมบัติที่ปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวต้องมี การที่ปลาวาฬกลืนสมบัติมีชื่อเรียกเช่นนี้ก็เพราะท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน มันจะต้องกลืนเรือใหญ่ที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรลงท้อง และเรือข้ามฟากที่สามารถข้ามทวีปได้ก็มักจะถูกเรียกว่า ‘เรือสมบัติ’ ดังนั้นในท้องของปลาวาฬกลืนสมบัติทุกตัวจึงต้องมีสมบัติล้ำค่าแปลกประหลาดมากมายนับไม่ถ้วน


หรืออาจถึงขั้นซุกซ่อนร่างทองที่ถูกลอกคราบทิ้งไว้ของเซียนที่ตายไปในสนามรบ


ตอนบ่ายของวันหนึ่ง ลู่ไถเริ่มนำอุปกรณ์ชงชาชุดหนึ่งที่เรียกได้ว่ายิบย่อยมากชิ้นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น ใช้วิชาลับดึงเอาแก่นของน้ำพุที่อยู่ในทะเลสาบน้ำมรกตออกมา แล้วเริ่มชงชาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนระเบียงทางเดินของชั้นหนึ่ง


กลิ่นหอมของชาทำให้จิตใจคนสงบปลอดโปร่ง


เฉินผิงอันไม่ได้ขอชาจากอีกฝ่ายดื่ม แค่ฝึกวิชากระบี่อยู่ในห้องของตัวเอง


หลังจากนั้นลู่ไถก็จะต้องมาชงชาทุกวัน ดื่มชาชมทัศนียภาพอยู่เพียงลำพัง และมักจะนั่งนานตลอดบ่าย


ใกล้เที่ยงของวันหนึ่ง เฉินผิงอันใกล้จะฝึกเดินนิ่งเสร็จก็เห็นว่าลู่ไถพายเรือแจวลำเล็กกลับมาจากทิศไกลด้วยตัวเอง


ผูกเรือแจวลำเล็กเรียบร้อยแล้ว ลู่ไถก็กระโดดขึ้นมาบนระเบียงแล้วยืนอยู่ที่เดิม ตอนที่เฉินผิงอันซึ่งฝึกหมัดเดินผ่านข้างกายเขาไป เขาชูมือขึ้นสูง กลางฝ่ามือมีตลับชาดหลายตลับวางทับซ้อนกันอยู่ น่าจะกำลังอวดให้เฉินผิงอันเห็นถึงผลเก็บเกี่ยวของเขาในวันนี้ ห่างจากหอสูงใจกลางทะเลสาบน้ำมรกตไปไม่ไกล มีเรือนหลายหลังซึ่งเป็นแหล่งผลาญเงินที่เรือข้ามฟากนำสินค้ามาขายโดยเฉพาะ เฉินผิงอันเคยไปเยือนแค่หนึ่งเดียว รู้สึกว่าพวกเขาใจดำเกินไป เขาลองเลือกดูสินค้าที่คล้ายกันมาสองสามชิ้นก็ค้นพบว่าราคาที่ตั้งไว้สูงเกินจริงยิ่งกว่าที่ภูเขาห้อยหัว จึงหมดอารมณ์ที่จะซื้อของจากที่นั่นอย่างสิ้นเชิง


ลู่ไถเขย่งปลายเท้า จากนั้นกระโดดไปข้างหลังเบาๆ หนึ่งครั้ง นั่งลงบนรั้วระเบียงหยกขาว เปิดตลับเครื่องประทินโฉมหนึ่งในนั้นออก หยิบกระจกบานเล็กออกมา เม้มปาก งอนิ้วข้างหนึ่ง ใช้ท้องนิ้วปาดคิ้วยาวของตัวเองเบาๆ ท่าทางนุ่มนวลและพิถีพิถัน


เฉินผิงอันเพียงแค่ฝึกหมัดเลียบไปตามระเบียงต่อไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ชำเลืองตามาแลเลยสักครั้ง


ตอนที่เฉินผิงอันเดินผ่านข้างกายไปอีกครั้ง ลู่ไถที่นั่งเขียนคิ้วอยู่บนรั้วก็ขยับกระจกบานนั้นเบี่ยงออกเล็กน้อย ถามด้วยรอยยิ้มว่า “สวยหรือไม่?”


เฉินผิงอันไม่ได้มองลู่ไถที่กำลังผัดแป้งแต่งหน้า แล้วก็ไม่ได้ตอบคำถาม


จากนั้นทุกครั้งที่เฉินผิงอันเดินนิ่งผ่านไป ลู่ไถจะต้องถามคำถามที่แตกต่างกันไปทุกครั้ง


“เฉินผิงอัน เจ้าว่าสีแก้มของข้าแดงเกินไปหรือเปล่า?”


“คิ้วนี่ควรจะวาดให้เรียวกว่านี้หน่อยดีไหม?”


“ใช้ปิ่นเรียวเล็กของเรือนฮวาลู่คู่กับตลับชาดที่เลือกออกมาจากกล่อง ดูแล้วเป็นธรรมชาติมากกว่าจริงๆ ด้วย เจ้าคิดว่าไง?”


เฉินผิงอันแค่เดินไปเงียบๆ ตามแผนการเดิมที่วางไว้ เมื่อถึงเวลาแล้วค่อยหยุดฝึกวิชาหมัด


ครั้งสุดท้ายลู่ไถไม่ได้สอบถามเฉินผิงอัน เพียงแค่เอากระจกบานเล็ก ปิ่นและชาดหลายตลับวางไว้บนรั้วข้างตัว หันหน้าไปมองใบบัวสีเขียวมรตบานสะพรั่ง สายตาบนใบหน้าที่ถูกประทินโฉมงดงามเลื่อนลอย


เฉินผิงอันกำลังคิดว่าจะเดินกลับไปยังประตูหน้าของชั้นหนึ่ง ลู่ไถก็เปิดปากถามขึ้นอีกครั้งโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับมา “เจ้าคิดใช่ไหมว่าบุรุษอย่างข้า…น่าหัวเราะเยาะมาก? หรือถึงขั้นที่ลึกๆ ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียนด้วย?”


เฉินผิงอันหยุดเท้า หมุนตัวเดินไปทางลู่ไถ หยุดอยู่ห่างจากเขาประมาณห้าหกก้าว เขานั่งลงบนรั้วระเบียงโดยหันหน้าเข้าหาน้ำ หันหลังให้ระเบียง


ลู่ไถที่ไม่ได้รับคำตอบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังยิ้มหวานอยู่กับตัวเอง เลือกชาดมาหนึ่งตลับ รู้สึกว่าสีของมันไม่ดีนัก ไม่สมกับชื่อเสียง วันหน้าจะไม่ใช้มันแล้ว เลยทำท่าจะโยนมันทิ้งลงน้ำ


เฉินผิงอันพลันถามว่า “ชาดตลับนี้ขายเท่าไหร่?”


ลู่ไถอึ้งตะลึง ก่อนจะหันตัวกลับมานั่งหันหน้าเข้าหาทะเลสาบเช่นกัน เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ถือว่าแพงมาก ทุกตลับขายหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย เพิ่งออกใหม่ของปีนี้ โด่งดังเป็นที่นิยมมาก เทพธิดาที่มีชื่อเสียงหลายคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางต่างก็ชอบใช้มัน เฮ้อ แต่ดูท่าแล้วคงจะเป็นอุบายของลูกหลานสำนักการค้าที่ถูกความโลภบังตาเสียมากกว่า ข้าถูกพวกเขารวมหัวกันหลอกซะแล้ว”


เฉินผิงอันทอดถอนใจ “หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย นั่นก็เท่ากับหนึ่งร้อยเงินเกล็ดหิมะ หนึ่งแสนตำลึงเงิน ข้ารู้สึกว่า…”


หยุดชะงักไปชั่วครู่ เฉินผิงอันที่ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้าก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อของที่ใจรัก เจ้าซื้อมัน อาจจะรู้สึกว่าไม่แพง แต่คนบางคนที่พอได้ยินราคาแล้วต้องอึ้งงันแน่นอน ตีให้ตายก็ไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกจะมีเครื่องประทินโฉมที่ดีเลิศขนาดนี้”


ลู่ไถสงสัยเล็กน้อย “หืม?”


เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะวางมือสองข้างไว้บนหัวเข่า เล่าเรื่องชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยในเตามังกรบ้านเกิดให้ลู่ไถฟัง


เฉินผิงอันไม่ได้เล่าให้ดูร้ายแรง น้ำเสียงไม่หนัก สีหน้าไม่จริงจัง เล่าเรื่องชีวิตที่น่าสงสารของคนคนหนึ่งซึ่งตายไปแล้วให้บุรุษข้างกายฟัง


เขาที่อยู่ข้างกาย ตรงเอวรัดเข็มขัดหลากสี สีหน้าสดใสร่าเริง คือคนในกลุ่มของเทพเซียน งดงามยิ่งกว่าหญิงสาวที่แท้จริงในโลกเสียอีก


ส่วนบุรุษในบ้านเกิดคนนั้นกลับมีเรือนกายผอมบาง แถมยังมีตอหนวดอยู่บนใบหน้า หน้าตาไม่ได้ดีไปกว่าสตรีแต่งงานแล้วในหมู่ชาวบ้านเลยสักนิด ต่อให้ทุกวันตอนเช้าเขาจะจัดการตัวเองจนสะอาดเอี่ยมเรียบร้อย แต่ถึงเวลาเลิกงาน ขี้ดินดำสกปรกก็อุดเต็มเล็บมืออยู่ดี ดังนั้นเวลาที่บุรุษผู้นั้นจีบนิ้วจึงไม่มีอะไรชวนให้น่าหวั่นไหวแม้แต่น้อย


อีกทั้งเขายังไม่รู้จักน้ำค้างบำรุงผิวหน้า ผงดอกท้ออะไรทั้งหลาย ยิ่งไม่รู้จักประเภทของเครื่องประทินโฉมที่แยกกันใช้ทาปาก ปัดแก้มหรือเขียนคิ้ว


สุดท้ายเฉินผิงอันมองไปยังทิศไกลด้วยความรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “ถึงท้ายที่สุด ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นคนประหลาดมาก ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย แต่ทำไมถึงชอบแต่งกายให้ตัวเองเหมือนผู้หญิง แต่วันนั้นก่อนที่เขาจะใช้กรรไกรแทงตัวเองตายและใช้ผ้าห่มปิดทับ เคยขอร้องข้าเรื่องหนึ่ง ทว่าข้าไม่ได้รับปาก และข้าก็เสียใจมาจนถึงทุกวันนี้ หากข้ารู้ว่าเขาจะทำอย่างนั้น ข้าต้องรับปากเขาแน่นอน”


“วันนั้นเขาพูดคุยกับข้าเยอะมาก สุดท้ายยิ้มพูดว่าเขาจะไม่ทำตัวให้เหมือนผู้หญิงอีกแล้ว ดังนั้นหวังว่าข้าจะช่วยเก็บชาดตลับนั้นเอาไว้ เขาจะได้ข่มใจตัวเองไม่ให้ใช้มันได้”


“ตอนนั้นข้าหรือจะยอมรับปากกับเรื่องแบบนี้ ให้ตายก็ไม่ยอมรับ เขาโน้มน้าวข้าอยู่สองครั้งก็ไม่พูดอะไรอีก”


“พอเขาตายไป ไม่ว่าใครก็ไม่ได้เห็นชาดตลับนั้น และอันที่จริงก็ไม่มีใครสนใจด้วย”


เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้ลู่ไถที่งดงามดั่งโฉมสะคราญงามล่มเมือง “ชาดที่แพงขนาดนี้จะโยนทิ้งไปทำไม?”


ลู่ไถเอียงศีรษะ ปิ่นไข่มุกงามประณีตชิ้นนั้นจึงเอนเอียงตามไปด้วย ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นข้ายกให้เจ้าดีไหม? วันหน้าเมื่อเจ้ากลับไปบ้านเกิดก็เอาชาดตลับนี้ไปที่หลุมศพของคนผู้นั้น บอกกับเขาว่า เขาได้มีชาดแต่งหน้าที่ดีถึงขนาดนี้ บอกให้ชาติหน้าเขาไปเกิดในครอบครัวที่ดี ได้เป็นสตรีสมดังใจ เอาชาดทาหน้าตัวเองให้เต็มที่ มีกี่จินก็ทาลงไปเท่านั้น ไม่ต้องเสียดายเงินอีกต่อไปแล้ว…”


เฉินผิงอันหันหน้ากลับ มองไปยังทิศไกล ส่ายหน้าเบาๆ “แม้แต่หลุมศพของเขาข้าก็ยังหาไม่พบ จะเอาของสิ่งนี้ไปให้เขา ไปพูดแบบนี้กับเขาได้อย่างไร”


เด็กหนุ่มชุดขาวที่หน้าตาสะอาดสะอ้านสอดสองมือรองไว้ท้ายทอยแล้วไม่เอ่ยคำใดอีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)