ยอดหญิงสกุลเสิ่น 279.1-280.1
ตอนที่ 279-1 ใจร้อนเกิน
ขี่อาชาเปี่ยมสุขกลางสายลมวสันต์ เพียงหนึ่งวันชมทิวทัศน์ทั่วฉางอัน
จอหงวนเซี่ยหมิงผู่ที่ได้รับพระราชทานงานแต่งเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ เช่นนั้น เว่ยจิ่นอวี้ที่ได้ตำแหน่งทั่นฮวาก็อัดอั้นเหลือจะกล่าวแล้ว
ในสายตาผู้อื่นทั่นฮวาอาจเป็นอันดับที่ดีมากแล้ว เพราะอย่างไรเสียทุกสามปีจึงจะรับข้าราชการสามร้อย สามารถสอบติดอันดับที่สามของทั้งประเทศก็ร้ายกาจมากแล้ว ทว่าจากที่เว่ยจิ่นอวี้มอง นี่กลับเป็นความอัปยศ เดิมเขาก็เป็นอัจฉริยบุคคลที่ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวงอยู่แล้ว อีกทั้งในการสอบฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วได้เจี่ยหยวนอันดับแรกอีก การสอบฤดูใบไม้ผลิปีนี้เขามุ่งเป้าไปที่จอหงวนอย่างลำพอง
ไม่คิดว่าไม่เพียงจอหงวนถูกเด็กไร้ชื่อเสียงเรียงนามชิงไป แม้แต่อันดับสองปั๋งเหยี่ยนเขาก็ไม่ได้ ได้แต่อัดอั้นรับตำแหน่งทั่นฮวา จะให้เขาใจสบายได้อย่างไร
ต่อหน้ามิตรสหายร่วมห้องเรียนที่มาอวยพร เขาได้แต่ฝืนทำร่าเริง พอหันหลังรอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปอย่างไม่เห็นร่องรอยทันที
ทั่นฮวา ทั่นฮวา ไยถึงไม่ใช่จอหงวนนะ ข้างหน้ามีจอหงวนที่อายุน้อยกว่าความสามารถมากกว่ากดอยู่ ยิ่งกว่านี้บัดนี้ยังเป็นพระราชบุตรเขยขององค์หญิงสามรัชกาลปัจจุบัน ใครยังจะมองเห็นเขาเว่ยจิ่นอวี้อีก เมื่อไรเขาถึงจะเงยหน้าอ้าปากได้ เงยหน้าอ้าปากไม่ได้เขาจะเอาอะไรไปเชิดชูจวนหย่งหนิงโหว หรือว่าจวนหย่งหนิงโหวของเขาต้องอาศัยจมูกจวนหย่งกั๋วกงหายใจไปทั้งชาติ ไม่ เขาไม่ยอม!
เว่ยจิ่นอวี้หงุดหงิดสุดขีด มักรู้สึกว่าในใจมีไฟมารสายหนึ่งเอาไม่ออก บังเอิญเจอสาวใช้เข้ามาส่งน้ำชา แววตาเขาชะงัก ลากสาวใช้คนนี้เข้ามากดลงบนโต๊ะหนังสือโดยพลัน
เสิ่นเสวี่ยที่นำสาวใช้มาส่งน้ำแกงบำรุงให้เว่ยจิ่นอวี้ยืนอยู่นอกห้องหนังสือด้วยใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ฟังเสียงกามคำพูดต่ำช้าที่ดังมาจากในห้องหนังสือ ในแววตาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน นางหัวเราะเยาะเสียงหนึ่งแล้วหันหลังจากไป เดิมนึกว่าเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นเพียงหัวเทียนหอกเงิน*ที่เปลือกนอกสุกใส เพียงปีกว่า ความกระตืนรือร้นของเสิ่นเสวี่ยก็มอดหมดแล้ว ใจก็ท้อแท้แล้ว
รัชทายาทตกม้า ใจของเหล่าขุนนางเริ่มไม่มั่นคงขึ้นมา อย่าว่าแต่พวกที่มุงดู แม้แต่ขุนนางฝ่ายรัชทายาทก็กระวนกระวายใจ รัชทายาทจะฟื้นมาได้หรือไม่ยังเอาแน่ไม่ได้ ต่อให้ฟื้นแล้วจะสามารถฟื้นตัวดังเดิมได้หรือไม่อีก นี่ก็พูดยาก ได้ยินว่าที่รัชทายาทบาดเจ็บคือส่วนศีรษะ ซื่อจื่ออู่อันโหวคนก่อนก็บาดเจ็บที่ศีรษะมิใช่หรือ หลังจากช่วยจนฟื้นแล้วก็เปลี่ยนไปเหมือนเด็ก
ขุนนางที่เอาใจองค์ชายรองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทว่าองค์ชายรองกลับไม่ได้ได้ใจเพราะการนี้ ตรงกันข้ามกลับยิ่งถ่อมตนเลี่ยงปัญหาขึ้นมา ทุกวันนอกจากไปเยี่ยมรัชทายาทที่ตำหนักบูรพา ก็ไปเข้าเวรที่กรมคลัง เข้าเวรเสร็จก็กลับจวนองค์ชาย และไม่ได้สมาคมกับเหล่าขุนนางมากจนเกินไป การแสดงออกของเขาเช่นนี้ตกไปอยู่ในสายตาใต้เท้าไม่กี่ท่านของคณะเสนาบดีแล้วว่าช่างวางตัวดีปฏิบัติตัวดีน่าชมเชย แม้แต่ฮ่องเต้ยงเซวียนก็พอใจมาก เรียกเขามาปรึกษาราชกิจบ่อยครั้ง
ฝ่าบาทสอบมาสามวันแล้ว ผู้ติดตามที่ตามรัชทายาทออกนอกเมืองล้วนถูกโบยจนหนังเปิดเนื้อแตก ในที่สุดก็สอบได้คนน่าสงสัยคนหนึ่ง และยังเป็นคนที่ทุกคนนึกไม่ถึง คนผู้นี้ติดตามอยู่ข้างกายรัชทายาทมาเจ็ดปีแล้ว เป็นคนที่ฮองเฮาชีพาเข้าวังมาจากตระกูลชีในตอนนั้น ดูท่าทางจงรักภักดีจึงให้รัชทายาทไว้ ใครจะคิดว่าคนคนนี้จะเป็นสายลับที่ผู้อื่นวางไว้
ฉวยโอกาสที่ทุกคนกำลังตื่นตะลึง คนผู้นี้กัดลิ้นฆ่าตัวตายเสียแล้ว ทำให้ขุนนางที่พิพากษาโกรธจนเฆี่ยนศพอยู่ครึ่งชั่วยามถึงหายแค้น เบาะแสมาถึงตรงนี้จึงขาดหายไปหมด ลำบากมานานถึงเพียงนี้ยังต้องสืบใหม่ตั้งแต่ต้นอีก จะไม่ให้คนอัดอั้นตันใจได้อย่างไร
“ท่านเสนาบดี สวรรค์ช่างเข้าข้างเราจริงๆ!” ใต้เท้าฟังจ้งนั่งอยู่ในห้องหนังสือของเสนาบดีฉิน สีหน้าชื่นชมยินดี ในใจทอดถอนใจว่า ‘อย่างไรก็องค์ชายรองโชคดี ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น รัชทายาทก็ตกม้า ผ่านไปสามวันแล้ว โอกาสที่รัชทายาทจะฟื้นน้อยเหลือเกิน’
เสนาบดีฉินลูบหนวดยิ้มว่า “ยิ่งเป็นเวลาเช่นนี้ยิ่งต้องรอบคอบ เตือนคนข้างล่าง สงบเสงี่ยมหน่อย ให้ทำงานไปแต่โดยดี”
ฟังจ้งใจสั่นว่า “ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจ” เขาไม่ได้ยอมรับแผนการของเสนาบดีฉินอย่างเต็มที่ ตาเป็นประกายแล้วพูดต่อว่า “เช่นนั้นที่เราเตรียมการไว้ตอนแรกยังจะทำต่อหรือไม่ขอรับ”
เสนาบดีฉินยิ้ม ส่ายหน้าว่า “ช่างเถอะ รามือเถอะ”
ฟังจ้งพยักหน้า ก่อนหน้านี้พวกเขาเตรียมการจะสร้างเรื่องในการสอบฤดูใบไม้ผลิ หากปูดออกมาว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิมีทุจริตหรือมีข้อสอบรั่ว เช่นนั้นซ่างซูฝ่ายพิธีการในฐานะผู้คุมสอบต้องถูกลงโทษอย่างหนักแน่ กระทั่งยังพัวพันไปถึงรัชทายาท บัดนี้รัชทายาทตกม้าหมดสติ พวกเขาย่อมไม่ต้องวางอุบายกับการสอบฤดูใบไม้ผลิอีก กลับทำให้ตาเฒ่าฝ่ายพิธีการนั่นรอดเคราะห์ไปได้
ส่งฟังจ้งไปแล้ว เสนาบดีฉินอารมณ์ดีนัก ความซึมเศร้าที่ผู้ลี้ภัยบุกเข้าจวนถูกกวาดจนเกลี้ยง เขาเอามือไพล่หลังเดินเข้าห้องลับในห้องหนังสือ “ท่านเฉิงอ๋องช่วงนี้อยู่คุ้นเคยหรือไม่” ที่แท้เสนาบดีฉินย้ายอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ไปไว้ในห้องลับในห้องหนังสือแล้ว
“ดูท่าทางเจ้าทำเรื่องชั่วช้าอะไรอีกแล้วกระมัง” เฉิงอี้แค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง “หากย้ายป้ายวิญญาณของบิดาที่น่าขยะแขยงของเจ้าออกไปข้าจะอยู่สบายยิ่งกว่านี้” ฉินเฮ่อก็คือคนถ่อยเจ้าเล่ห์ตั้งแต่ต้นจนจบ ไยเขาถึงตาบอดเป็นสหายสนิทกับเขามาตั้งหลายปีปานนั้นจนทำให้ถูกลอบกัดถูกคุมขังอยู่ในห้องลับในจวนเสนาบดีที่มืดมิดไร้ตะวันแห่งนี้
เสนาบดีฉินไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย “เช่นนั้นต้องขออภัยด้วยจริงๆ บิดาข้ายังชอบอยู่ด้วยกันกับท่านเฉิงอ๋อง” หยุดครู่หนึ่งเขาพูดอีกว่า “วันนี้ข้ามีข่าวดีมาแบ่งปันกับท่านเฉิงอ๋อง รู้หรือไม่ รัชทายาทตกม้าแล้ว นี่ผ่านไปสามวันแล้วยังไม่ฟื้น ได้ยินว่าบาดเจ็บที่ศีรษะ เห็นสีหน้าของฝ่าบาทแล้ว เกรงว่ารัชทายาทคราวนี้จะร้ายมากกว่าดี” เมื่อนึกถึงตรงนี้เขาก็อารมณ์ดีอย่าบอกใคร เพื่อวันนี้เขาเตรียมการมาตั้งหลายปี ไม่คิดว่าจู่ๆ ทุกอย่างก็มาถึงมือเขาแล้ว
“อ้อถูกแล้ว รัชทายาทที่ตกม้าคนนี้ไม่ใช่หลานตาของท่านคนนั้นหรอกนะ รัชทายาทองค์ปัจจุบันคือองค์ชายสี่ เกิดจากฮองเฮาตระกูลชี ตาแก่ชีจิ้นซงนั่นท่านยังจำได้สินะ ฮองเฮาชีก็คือบุตรสาวของเขา” เสนาบดีฉินอธิบายอย่างใจดี “ชีจิ้นซงตาแก่นี่ยังมีโชคอยู่บ้างจริงๆ ไม่มีความสามารถ ไม่มีฝีมือ เป็นคนใจเสาะกลัวปัญหา เขาดันได้เป็นพระสัสสุระของฝ่าบาท ท่านว่าจะจะกล่าวอันใดได้ ทว่าบัดนี้โชคดีของเขาถึงสุดทางแล้ว ควรเปลี่ยนตระกูลฉินของข้าลิ้มรสชาตินั้นบ้างแล้ว”
เฉิงอี้เบือนหน้าไปข้างๆ ขี้เกียจสนใจเขา
เสนาบดีฉินหัวเราะคิกคัก ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย หากแต่พูดว่า “องค์ชายใหญ่หลานตาของท่านถูกฝ่าบาทปล่อยออกมาแล้ว ท่านไม่เห็น เพิ่งจะอายุต้นสามสิบแท้ๆ แก่อย่างกับอายุสี่สิบอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังผอมจนเหลือแต่กระดูก ช่างน่าสงสาร ทว่าท่านเฉิงอ๋องท่านวางใจได้ องค์ชายใหญ่อย่างไรเสียก็เป็นพระเชษฐาขององค์ชายรอง ข้าจะดูแลเขาอย่างดีเอง ท่านว่าถูกหรือไม่ หา ฮ่าๆๆ” มองไปที่สายตาโกรธเกรี้ยวของเฉิงอี้ เสนาบดีฉินหัวเราะอย่างลำพอง
“รัชทายาทตกม้าเป็นฝีมือของเจ้าสินะ” เฉิงอี้เผยสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง
“ยังคงเป็นท่านเฉิงอ๋องที่มีประสบการณ์!” เสนาบดีฉินเปิดอกยอมรับอย่างไม่คาดคิด “นี่เพราะรัชทายาทรนหาที่ตายเอง ตำหนักบูรพาดีๆ ไม่อยู่ จะออกไปล่าสัตว์นอกเมืองให้ได้ โอกาสลงมือดีเช่นนี้ข้าจะปล่อยไปได้อย่างไรกัน” แม้เพราะการนี้จะทำให้สูญเสียหมากที่ฝังลึกไว้หลายปี ทว่าเขายังคงรู้สึกว่าคุ้มค่ามาก รัชทายาทจบเห่แล้ว ต่อจากนี้ควรให้ตระกูลฉินของเขาแต่งตัวออกโรงแล้ว!
“สวรรค์มีตา ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าทำร้ายบุตรฮ่องเต้ ต้องเจอกรรมตามสนอง” ตาของเฉิงอี้สว่างจนน่ากลัว
ที่ตอบเขาคือเสียงหัวเราะร่าของเสนาบดีฉิน “กรรมตามสนอง! ข้ารออยู่” ไม่เคยได้ยินหรือว่าคนดีอายุไม่ยืน คนชั่วอยู่ค้ำฟ้า ในโลกนี้มีกรรมตามสนองอะไรที่ไหน มีเพียงอำนาจที่เป็นของจริง อำนาจอันสูงสุด!
สุดท้ายรัชทายาทยังคงไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้ เหล่าหมอหลวงรวบรวมสติปัญญาใช้วิธีการทุกอย่างยังคงไม่อาจช่วยชีวิตเขากลับมาได้ ล่าช้าอยู่ครึ่งเดือน รัชทายาทยังคงจากไปจนได้
ฮองเฮากอดร่างของรัชทายาทราวกับคนบ้าไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ “ไสหัวไป ไสหัวไปให้หมด รัชทายาทเพียงแค่หลับไปเท่านั้น ห้ามพวกเจ้าแตะต้องรัชทายาท”
ไม่ว่านางกำนัลขันทีกล่อมอย่างไร ฮองเฮาก็ไม่ยอมให้ใครแตะต้องศพของรัชทายาท สุดท้ายยังคงเป็นฮ่องเต้ยงเซวียนเสด็จมา ฝืนทนความเศร้าโศกในใจเกลี้ยกล่อมว่า “จื่อถง รัชทายาทจากไปแล้ว อย่างไรก็ให้เขาได้ฝังศพสู่สุคติเถอะ” ในใจเขาเองก็เสียใจมาก นี่คือรัชทายาทของเขา เป็นรัชทายาทที่เขาสั่งสอนมากับมือ จากไปทั้งอย่างนี้แล้ว ยังไม่ถึงยี่สิบก็จากไปแล้ว เขาจะไม่ปวดใจได้อย่างไร
ในโลกนี้ที่น่าเศร้าโศกที่สุดก็คือคนผมหงอกส่งคนผมดำ ฮ่องเต้ยงเซวียนเป็นกษัตริย์ ทว่าเขาก็เป็นบิดาคนหนึ่งเช่นกัน
ฮองเฮาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดว่า “ฝ่าบาท บุตรของเรา รัชทายาทของเรานะ!” นางราวกับหมาป่าเฒ่าที่สูญเสียลูกไป โทมนัสถึงขีดสุด แก่ลงสิบปีในชั่วพริบตา
“ฝ่าบาท ท่านต้องแก้แค้นให้รัชทายาทให้ได้นะเพคะ! รัชทายาทตายอย่างอนาถ น่าแค้นใจนัก!” ฮองเฮาแหงนหน้าที่นองด้วยน้ำตาวิงวอน ในดวงตาเต็มไปด้วยความแค้น
ฮ่องเต้ยงเซวียนตบหลังนางว่า “จื่อถงวางใจ รัชทายาทเป็นบุตรชายของข้าเช่นกัน ข้าจะไม่ปล่อยคนร้ายที่อยู่เบื้องหลังไปเด็ดขาด” ตั้งแต่ปีที่แล้วเสิ่นผิงยวนกลับเมืองหลวง ในราชสำนักก็เกิดเรื่องติดๆ กัน ราวกับมีมือข้างหนึ่งชักใยทุกอย่างอยู่ในความมืด ข้างเตียงของตนจะยอมให้ผู้อื่นมานอนกรนได้อย่างไร**เขาต่างหากเป็นกษัตริย์แห่งต้ายง จะให้เขาทนต่อไปได้อย่างไร
ทันทีที่ข่าวรัชทายาทลือออกไป เสิ่นเวยก็ได้รับข่าวสองข่าว ข่าวหนึ่งส่งมาจากหลี่จื้อหย่วนฝ่ายตรวจการ ข่าวหนึ่งส่งมาจากเจียงเฉิน เจียงเฉินบัดนี้ไม่อยู่สำนักราชบัณฑิตหลวงแล้ว ถูกย้ายไปทำงานหน้าพระที่นั่ง สองข่าวนี้พูดถึงเรื่องเดียวกัน
“คนบางคนนั่งไม่ติดแล้ว” เสิ่นเวยยื่นกระดาษสองแผ่นให้เสิ่นโย่ว
เสิ่นโย่วรับกระดาษมาดู แล้วพูดนิ่งเรียบว่า “นั่นสิ คนบางคนใจร้อนเกินไปแล้ว”
วันก่อนฝ่าบาทเพิ่งให้องค์ชายใหญ่ไปรับหน้าที่ที่กรมข้าราชการพลเรือน วันนี้ก็ได้รับข่าวบอกว่ามีขุนนางยื่นฎีการ้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน
รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนงั้นหรือ! เพราะว่ากองทหารเด็กช่วยต่อต้านผู้ลี้ภัย จวนต่างๆ จึงมาเยือนเพื่อขอบคุณมิใช่หรือ นี่ก็เป็นการรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้วหรือ หรือเห็นว่าองค์ชายใหญ่ออกมารับราชการแล้ว นั่นก็เพราะพระชายาองค์ชายใหญ่ให้กำเนิดพระราชนัดดาองค์หนึ่ง อีกทั้งฝ่าบาทก็ให้ความสำคัญมากอีกมิใช่หรือ มิใช่เพราะสวีโย่วและองค์ชายใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีหรอกหรือ องค์ชายใหญ่เพิ่งรับตำแหน่ง ไม่มีจุดอ่อนใดๆ ให้จับ จึงคว้าสวีโย่วลูกพลับอ่อนลูกนี้ไว้มิใช่หรือ เสิ่นเวยเย้ยหยันในใจ
คาดว่าในใจฮ่องเต้ยงเซวียนก็รู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นฎีกาที่ร้องเรียนล้วนถูกเก็บไว้ หวังว่าปลวกพวกนี้จะเจียมตัว อย่ากระโดดโลดเต้นอีกเลย มิเช่นนั้นนางจะให้พวกเขาได้เห็นดีแน่!
ตอนที่ 279-2 ใจร้อนเกิน
งานพิธีศพของรัชทายาทย่อมมีกรมพิธีการจัดการ ฮองเฮาทุกข์ทนจากการสูญเสียบุตรรัก ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก จึงล้มป่วยทันที ในฐานะสมาชิกเชื้อพระวงศ์เสิ่นเวยย่อมต้องเข้าวังไปเยี่ยม
ยามที่เสิ่นเวยไปถึงตำหนักคุนหนิง บังเอิญฮ่องเต้ยงเซวียนก็อยู่ เสิ่นเวยเข้าไปถวายพระพรอย่างว่าง่าย นางมองดูสีหน้าทรุดโทรมของฮองเฮาแล้ว ในใจสะท้อนใจยิ่งนัก ยามนี้ในปีที่แล้วฮองเฮายังจูงมือนางล้อเล่นอย่างสนิทสนม ยามนั้นสีหน้าของฮองเฮาดีเพียงใด บัดนี้ทั่วร่างกายฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายของความท้อแท้ เหมือนยายเฒ่าไม้ใกล้ฝั่ง
“ฮองเฮา ท่านต้องรักษาพระวรกายนะเพคะ! ดูท่านผ่ายผอมจนเป็นเช่นนี้ ท่านเสวยให้มากหน่อยนะเพคะ!” เสิ่นเวยดวงตาแฝงความห่วงใย แม้นางไม่ได้รู้สึกดีกับฮองเฮาอย่างลึกซึ้งมากนัก ทว่าไม่ว่าจะเล่นละครหรือว่ามีจุดประสงค์อื่น อย่างน้อยฮองเฮาก็ประทานรางวัลให้นางหลายครั้ง เทียบกับฉินซู่เฟยที่กระแนะกระแหนนางตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน ฮองเฮาน่ารักกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นสตรีที่สูญเสียบุตรมักน่าเห็นใจ ดังนั้นความห่วงใยของเสิ่นเวยไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
ฮองเฮาย่อมรู้สึกได้ถึงความจริงใจของเสิ่นเวย จึงพูดอย่างซาบซึ้งว่า “เด็กดี ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี” หลายวันมานี้คนที่มาเยี่ยมนางที่ตำหนักคุนหนิง นอกจากญาติสตรีของตระกูลชี มีคนไหนบ้างไม่ได้มาเพื่อเอาหน้า พวกนางปากพูดได้น่าฟัง ในใจยังไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะนางอย่างไรเลย โดยเฉพาะฉินซู่เฟยนางคนต่ำช้านั่น ความลำพองใจที่อยู่ลึกเข้าไปในดวงตาปิดก็ปิดไม่มิด
มีเพียงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ แม่นางน้อยที่เติบโตในชนบทจริงใจที่สุด คนพวกนั้นแทบอยากให้ตนไม่กินไม่ดื่ม รีบตายๆ ไปเสียจะได้ขยับตำแหน่งให้ซ้ำ
ฮ่องเต้ยงเซวียนที่อยู่ข้างๆ จู่ๆ ก็พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จยาฮุ่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีคนร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน”
เสิ่นเวยแอบกลอกตา จากนั้นทำท่าทางเหมือนประหลาดใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ว่า “อะไรนะเพคะ รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือ ฝ่าบาท ขุนนางท่านใดตาบอดเช่นนี้ ใบหน้าเย็นชาที่กีดกันคนให้ห่างออกไปพันลี้ของคุณชายใหญ่ของหม่อมฉันจะรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนได้อย่างไร เขานอกจากสนิทชิดเชื้อกับองค์ชายใหญ่เล็กน้อยเนื่องด้วยมิตรภาพในวัยเยาว์ แม้แต่พี่น้องในจวนอ๋องเชื้อพระวงศ์บ้านอื่นเขายังไม่ค่อยสนิทเลย เขาจะไปรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับใครเพคะ”
หยุดครู่หนึ่ง ทำปากเบ้พูดอย่างน้อยใจเหลือเกินว่า “ฝ่าบาท คุณชายใหญ่หม่อมฉันรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ท่านทรงรู้ดีที่สุดมิใช่หรือเพคะ ก่อนหน้านี้เขาล้มป่วยไปหนึ่งเดือน บัดนี้ร่างกายเพิ่งดีขึ้นเล็กน้อย ประตูจวนยังไม่ได้ออกก็รวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนแล้ว ฝ่าบาท ท่านบอกจยาฮุ่ย แท้จริงแล้วเป็นใต้เท้าท่านใด หรือว่าใต้เท้าพวกใด”
ฮ่องเต้ยงเซวียนมองเหล่ว่า “ทำไมหรือ เจ้าคิดจะไปคิดบัญชีย้อนหลังถึงบ้านหรือ” เรื่องเช่นนี้เด็กแก่นผู้นี้นี่ทำได้แน่นอน
เสิ่นเวยมีเหตุผลเต็มประดาว่า “นี่เป็นเรื่องกุขึ้นชัดๆ นี่พวกเขาสร้างเรื่องรำคาญใจให้คุณชายใหญ่หม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ หากทำให้คุณชายใหญ่โกรธจนล้มป่วยอีกจะทำอย่างไร จยาฮุ่ยย่อมต้องไปเยือนถึงบ้านถามพวกเขาว่ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่”
ฮ่องเต้กระแอมทีหนึ่ง พูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาติว่า “เหลวไหล! ร้องเรียนเป็นหน้าที่ของขุนนางตรวจการ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำเหลวไหลหรอก!”
เสิ่นเวยบุ้ยปาก พยายามถกด้วยเหตุผล “เช่นนั้นก็มิอาจพูดเหลวไหลได้นะเพคะ! ขุนนางตรวจการมีไว้ทำอะไร ชี้ข้อผิดพลาดเพื่อให้แก้ไข สังเกตวาจาการกระทำของเหล่าขุนนาง ไม่ใช่ให้พวกเขาเอาอำนาจในมือหาประโยชน์ใส่ตนนะเพคะ ฝ่าบาท ท่านเข้าใจนิสัยของคุณชายใหญ่หม่อมฉันดีที่สุด อย่างน้อยเขาก็เป็นพระราชนัดดาแท้ๆ ของท่าน อีกทั้งเพิ่งหายจากป่วยหนักมาหมาดๆ ท่านต้องดูแลเอาใจใส่สักหน่อยนะเพคะ อย่าให้พวกตัวตลกพวกนั้นทำเขาโกรธนะเพคะ” เสิ่นเวยร้องขออย่างเศร้าหมอง
หันหน้าไปร้องขอความเป็นธรรมกับฮองเฮา “ฮองเฮา ท่านเห็นหรือไม่เพคะ คุณชายใหญ่หม่อมฉันเป็นคนจริงใจเพียงใด! โลกนี้ก็ดันมีคนถ่อยที่เห็นคนอื่นดีไม่ได้ วันๆ เอาแต่หากระดูกในไข่ไก่ กระโดดขึ้นกระโดดลงไม่อยู่สุข คุณชายใหญ่หม่อมฉันเพิ่งอยู่อย่างสงบสุขได้กี่วันเองก็ถูกเพ่งเล็งแล้ว ท่านว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่เพคะ!”
ร้องขอความเป็นธรรมเสร็จ ต่อมาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที “ดังนั้นฮองเฮาท่านต้องทำพระทัยให้สบาย ควรเสวยให้มาก ควรดื่มให้มาก เสวยดีดื่มดีบรรทมดีอารมณ์ดี พระชนมายุยืนร้อยปี ให้พวกที่รอดูเรื่องตลกของท่านโกรธจนกระทืบเท้า หากท่านเศร้าโศกเสียพระทัยเหยียบย่ำพระวรกายตนเอง คนถ่อยพวกนั้นก็จะได้ใจมิใช่หรือเพคะ ฮองเฮา เราจะทำเรื่องโง่ๆ เช่นญาติมิตรเจ็บปวดผู้มีแค้นสะใจ***เช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ!” เสิ่นเวยยุแยงได้ถนัดมือนักเชียว
คำพูดนี้จี้ใจดำฮองเฮา นางตบมือเสิ่นเวยว่า “เด็กดี เจ้าพูดได้ถูกต้อง เมื่อก่อนข้าคิดพลาดไปแล้ว ข้าต้องมีชีวิตต่อไปดีๆ อายุยืนร้อยปี ข้าต้องอยู่ดูพวกคนต่ำช้าที่หัวใจเน่าเฟะพวกนั้นว่าจะมีจุดจบเช่นไร”
เสิ่นเวยเห็นด้วยว่า “ใช่เพคะ ฮองเฮาคิดเช่นนี้ก็ถูกแล้ว แต่โบราณมาธรรมะย่อมชนะอธรรม ภูตผีปีศาจทั้งหลายสุดท้ายต้องถูกจำกัด” แล้วโบกกำปั้นเล็กๆ ท่าทางเหมือนเคียดแค้นศัตรูคนเดียวกัน
นี่ทำให้ฮองเฮายิ่งมองนางยิ่งรู้สึกเจริญตา จยาฮุ่ยจวิ้นจู่แม้เติบโตในชนบท กลับมีจิตใจที่เที่ยงธรรมบริสุทธิ์ เทียบกับคุณหนูตระกูลใหญ่ที่เสแสร้งในเมืองหลวงพวกนั้นแล้วดีกว่ามาก ยิ่งกว่านั้นคำพูดของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่นี้แม้คำพูดหยาบแต่เหตุผลไม่หยาบ เรื่องก็เป็นเช่นนี้จริงๆ มิใช่หรือ
ฮ่องเต้ยงเซวียนดูอยู่ข้างๆ จนอยากเบ้ปาก เจ้าเสิ่นซื่อคนนี้ ดูปากนางสิ! หากเขารู้ความคิดในใจของฮองเฮา ต้องถลึงตาจนกลมโต ท่าทางเหมือนเห็นผีแน่ๆ ‘จิตใจเที่ยงธรรมบริสุทธิ์ รีบล้วงออกมาดูหน่อย ว่าหัวใจของเจ้าเสิ่นซื่อยังเป็นสีแดงหรือเปล่า’
ฎีกาของสวีโย่วถูกฮ่องเต้ยงเซวียนเก็บไว้ ท่าทีของกษัตริย์เช่นนี้ชัดเจนมากมิใช่หรือ ทว่าคนบางคนกลับตาบอด นอกจากเห็นลาภยศสรรเสริญแล้ว ก็ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อย่างไรพวกเขาก็ไม่ตายใจ ส่งฎีการ้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วยังร้องเรียนต่อหน้ายามว่าราชการเช้า ท่าทางพูดจาฉะฉานมีเหตุผลเสียเต็มประดาเช่นนั้น ราวกับใต้หล้ามีขุนนางมือสะอาดเพียงเขาคนเดียว
สวีโย่วแม้แต่เปลือกตาก็ไม่ยกสักที ฮ่องเต้ยงเซวียนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็สีหน้าไร้อารมณ์เช่นกัน ทำจนขุนนางที่อยู่ด้านล่างกระสับกระส่าย ที่จริงฮ่องเต้ยงเซวียนถอนใจอยู่ใน เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ เพราะพวกเจ้ารนหาที่ตายเอง จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นคนคุยด้วยง่ายๆ เช่นนั้นหรือ
ดังนั้น ต่อจากอาละวาดห้องทรงอักษรแล้ว เสิ่นเวยก็เลื่องชื่อในเมืองหลวงอีกครั้ง
ที่จริงนางก็ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่พากองทหารเด็กในจวนขัดขวางขุนนางที่ร้องเรียนคุณชายใหญ่ของนาง ซ้อมพวกเขาจนน่วมยกหนึ่ง ซ้อมไปถามไปว่า “ท่านร้องเรียนคุณชายใหญ่ข้ามีหลักฐานหรือไม่ มาๆๆ ลองมาคุยกับข้าก่อน เขารวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับใครบ้าง”
“อะไรนะ ท่านว่าระยะนี้หน้าจวนนผิงจวิ้นอ๋องรถม้าไปมาคับคั่ง เพราะอะไรรถม้าถึงไปมาคับคั่งท่านไม่รู้หรือ นี่ท่านแกล้งโง่ชัดๆ ไม่ใช่หรือ คนเลอะเลือนอย่างท่านยังเป็นขุนนางได้หรือ รีบกลับบ้านไปอุ้มลูกเถอะ”
“ตายจริง นี่ไม่ใช่ผู้ตรวจการหลี่หรือ คนอื่นไม่เข้าใจสถานการณ์ท่านต้องเข้าใจอยู่แล้วใช่หรือไม่ ฮูหยินท่านก็มาขอบคุณที่จวนผิงจวิ้นอ๋องแล้วมิใช่หรือ หรือว่าคุณชายใหญ่ข้ารวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตนกับท่าน ท่านร้องเรียนเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เห็นคุณชายใหญ่เราเป็นลูกพลับอ่อนหมดสินะ ข้าจะบอกพวกท่านไว้ หากทำให้คุณชายใหญ่ข้าโกรธจนเป็นอะไรไป ข้าก็จะไปพังบ้านพวกท่าน ใครทำให้ข้าไม่สบายใจ เช่นนั้นทุกคนก็อย่าคิดจะได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย”
เสิ่นเวยขู่กรรโชกอย่างหนัก กองทหารเด็กเหวี่ยงกำปั้นอยู่ข้างๆ อย่างมีความสุข เหวี่ยงหาคนที่เนื้อมากโดยเฉพาะ เจ็บหนักเจ็บภายในนั้นเป็นไปไม่ได้ ทว่ารับรองท่านได้เจ็บแน่นอน
ซ้อมเสร็จเสิ่นเวยก็พาคนจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ขุนนางที่ถูกซ้อมกลับจวนด้วยใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมู ทั่วทั้งจวนตกใจจนพูดไม่ออก หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว นายหญิงของแต่ละบ้านโกรธแทบแย่ ด่าทอจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ยกใหญ่ไปตามกัน
ผู้ตรวจการหลี่พลางร้องไอหยาไอหยา พลางกระทืบเท้า “ไร้เหตุผลสิ้นดี ไร้เหตุผลสิ้นดี จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้ผยองเกินไป พรุ่งนี้ข้าจะยื่นฎีการ้องเรียนนาง” ไอหยา ลงมือช่างโหดเ**้ยมจริงๆ เจ็บจะตายอยู่แล้ว
หลี่ฮูหยินที่ใส่ยาให้เขาอยู่โกรธจนหยิกที่เอวเขาทีหนึ่งว่า “ท่านหุบปากนะ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ดุดันเช่นนี้อยู่แล้ว ท่านไปตอแยนางทำอะไร”
ผู้ตรวจการหลี่โวยวายว่า “ข้าตอแยนางที่ไหนเล่า” ผู้ตรวจการหลี่น้อยใจมยิ่งนัก คนดุดันเช่นนั้น แม้หลบเขายังแทบไม่ทันเลย
หลี่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เช่นนั้นท่านร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องทำอะไร จวนเขาเพิ่งช่วยเราไว้ ท่านกลับถือดี ยังร้องเรียนเขา นี่มิใช่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นหรือ ถูกซ้อมนี่ยังเบา” หลี่ฮูหยินก็เป็นคนดุดัน มิเช่นนั้นเรือนด้านหลังตระกูลหลี่จะมีนางใหญ่เพียงคนเดียวได้อย่างไรกัน
ผู้ตรวจการหลี่โกรธจนได้แต่แค่นเสียง ฮึ “เรื่องในราชสำนักสตรีอย่างเจ้ารู้อะไร”
หลี่ฮูหยินโยนยาใส่มือสาวใช้ แล้วชี้จมูกผู้ตรวจการหลี่ด่ากราดว่า “สตรี ข้าเป็นสตรียังรู้เหตุรู้ผลยิ่งกว่าขุนนางราชสำนักอย่างท่าน! ข้าว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ควรซ้อมท่านให้หนักสักยก จะให้ดีต้องซ้อมจนท่านตาสว่าง เรื่องเน่าๆ ในราชสำนักพวกนั้นข้าไม่มีสิทธิ์ยุ่ง นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไปท่านก็ลาป่วยอยู่บ้านรักษาอาการบาดเจ็บ เรื่องน่ากวนใจพวกนั้นยุ่งให้มันน้อยหน่อย”
ทว่าผู้รู้เหตุรู้ผลเช่นหลี่ฮูหยินนี้อย่างไรเสียก็มีไม่มาก คนส่วนใหญ่ล้วนแค้นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่จนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ดังนั้นวันที่สองคนที่ถูกร้องเรียนในท้องพระโรงจึงกลายเป็นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ โทษฐานเย่อหยิ่งโอหัง ทำร้ายขุนนางราชสำนัก
*หัวเทียนหอกเงิน หมายถึง หัวหอกที่นึกว่าเป็นเงินแท้ที่แท้ก็ทำจากเทียน ใช้เปรียบเปรยว่า ภายนอกดูสวยงาม เป็นของดีมีคุณค่า แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ของดีมีคุณค่าอย่างที่คิด ข้างนอกสุกใส ข้างในเป็นโพรง
**ข้างเตียงของตนจะยอมให้ผู้อื่นมานอนกรนได้อย่างไร อุปมาว่า ไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกรานอาณาเขตผลประโยชน์ของตัวเอง
***ญาติมิตรเจ็บปวดผู้มีแค้นสะใจ หมายถึง การทำอะไรให้คนกันเองเสียใจ ศัตรูสะใจ
ตอนที่ 280-1 สหายร่วมทีมเยี่ยงหมู
ในตำหนักจินหลวน ขุนนางที่ถูกเสิ่นเวยซ้อมอย่างหนัก นอกจากผู้ตรวจการหลี่ที่ถูกฮูหยินบังคับให้ลาป่วยอยู่บ้าน ล้วนติเตียนจยาฮุ่ยจวิ้นจู่อย่างโกรธแค้นว่าไม่เห็นกฎหมายในสายตาทำร้ายขุนนางราชสำนัก พร้อมใบหน้าที่บวมเป็นหัวหมูอย่างน่าอนาถเกินกว่าจะทนดูได้
เหล่าขุนนางทั่วท้องพระโรงมองดูใบหน้าที่น่าดูชมของพวกเขาแล้ว ในใจเห็นใจเหลือเกิน ไอหยา ทั่วเมืองหลวงมีใครไม่รู้บ้างว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นคนที่ทั้งก๋ากั่นทั้งถือหางให้ท้ายพวกตน คราวที่แล้วเนื่องด้วยเรื่องที่ผิงจวิ้นอ๋องถูกขังในศาลราชวงศ์ นางยังกล้าอาละวาดถึงห้องทรงอักษร พวกเจ้าไม่มีตาถึงกล้าร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋อง นางไม่ถือดาบไปฟันเจ้าทั้งบ้านก็ถือว่ายั้งมือไว้ไมตรีแล้ว
มิหนำซ้ำยังมีขุนนางที่เคยถูกผู้ตรวจการที่เหมือนหมัดพวกนี้ร้องเรียนมาก่อนในใจยิ่งแอบสะใจ ฮึ วันๆ เอาแต่อยู่ไม่สุข เห็นคนนี้ขัดตา หาเรื่องคนนั้น ในไข่ไก่ยังหากระดูกออกมาได้ ปากยังกับสตรี เรื่องเล็กๆ ก็ถูกพวกเขาขยายจนใหญ่กว่าฟ้าอีก น่ารำคาญเหลือเกิน บัดนี้เตะถูกของแข็งแล้วสินะ สมน้ำหน้า ก็ควรให้คนเช่นจยาฮุ่ยจวิ้นจู่มาจัดการพวกเขา จะได้ไม่มาทำตัวน่ารำคาญทั้งวัน
แน่นอนว่ามีขุนนางบางส่วนเห็นว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ทำเกินไป นี่มิใช่การถกเถียงกันระหว่างสตรีเสียหน่อย ทำร้ายขุนนางราชสำนักเท่ากับไม่เห็นราชสำนักในสายตาไม่ใช่หรือ ในใจแม้ไม่พอใจ กลับไม่มีคนลุกขึ้นพูดแม้แต่คนเดียว อย่างไรเสียคนที่ถูกซ้อมก็ไม่ใช่ตน เรื่องไม่เกี่ยวกับตนก็อย่าไปสนใจ ตัวอย่างครั้งก่อนยังอยู่ตรงนั้นอยู่เลย จยาฮุ่ยจวิ้นจู่น่าล่วงเกินหรือ คำพูดของนักปราชญ์ไม่ผิดจริงๆ ‘สตรีและคนถ่อยเลี้ยงยาก’ พวกเขาไม่อยากซ้ำรอยเท้าของหน้าหัวหมูหรอกนะ
หน้าหัวหมูหน้าหนึ่งในนั้นยิ่งพูดยิ่งโมโหว่า “กระหม่อมเป็นผู้ตรวจการ ร้องเรียนขุนนางเป็นหน้าที่ของกระหม่อม จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อาศัยอำนาจแก้แค้นส่วนตัวเช่นนี้มีเหตุผลอันใด จยาฮุ่ยจวิ้นจู่คือจวิ้นจู่เชื้อพระวงศ์ กลับไม่มีลักษณะสง่างามใจกว้างของเชื้อพระวงศ์ ดูจากคำพูดและพฤติกรรมก็คือหญิงปากร้ายนั่นเอง กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดตัดสินให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
“ขอฝ่าบาทโปรดตัดสินให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หน้าหัวหมูคนอื่นก็โวยวายขึ้นมาตามๆ กัน
ฮ่องเต้ยงเซวียนใบหน้าบูดบึ้ง ที่จริงในใจรำคาญจะตายอยู่แล้ว มารดารเจ้า ถูกผู้หญิงซ้อมจนน่าอนาถเช่นนี้ยังมีหน้าขอให้ข้าตัดสินให้อีก ข้าเป็นกษัตริย์ คุมเรื่องใหญ่ของราชสำนัก ใครจะทนรำคาญจัดการเรื่องบ้าๆ ไม่เป็นชิ้นเป็นอันพวกนี้ให้พวกเจ้า
อันที่จริงเสิ่นซื่อซ้อมคนพวกนี้เป็นหัวหมู ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ในใจเขายังโล่งอกรางๆ เขารู้สึกว่าเสิ่นซื่อสามารถอดทนนานปานนั้นค่อยลงมือก็ถือว่าหายากมากแล้ว ได้ยินว่ายามอยู่ซีเจียงมีโจรที่ตาไม่มีแววคนหนึ่งเห็นนางหน้าตาดีเกี้ยวนางไปคำหนึ่ง คืนนั้นนางก็สามารถพาคนไปรื้อรังโจรนั่นได้
เสิ่นซื่อเป็นใคร เป็นคนที่มีแค้นต้องชำระ!ทั้งเกเรทั้งกะล่อนซ้ำยังมีความสามารถ มิหนำซ้ำยังเป็นสตรี สามียังรักเอ็นดูตามใจ บางทีฮ่องเต้เช่นเขาอาจยังทำอะไรนางไม่ได้
“พวกเจ้าจะให้ข้าตัดสินอย่างไร” ฮ่องเต้ยงเซวียนถามนิ่งเรียบ พวกเขารู้สึกได้รับความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง ทว่าฮ่องเต้ยงเซวียนไม่ได้มองเช่นนี้ เขารู้สึกว่าเสิ่นซื่อเพียงซ้อมพวกเขายกหนึ่ง ให้พวกเขาขายหน้าเล่นก็ถือว่ายั้งมือไว้ไมตรีแล้ว เหมือนเช่นเมื่อก่อนนางลงมือเมื่อไรไม่ตายก็พิการ บัดนี้แค่บาดเจ็บภายนอกเท่านี้เสมือนละอองฝนชัดๆ! นี่คาดว่าคงจะเห็นแก่หน้าฮ่องเต้เช่นเขาแล้ว
เหล่าหัวหมูตกใจ นั่นสิ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นผู้หญิง ลดตำแหน่งก็ไม่ได้ ลงโทษก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกักบริเวณ ด้วยความหน้าหนาของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่คาดว่าก็คงไม่ใส่ใจ พวกเขาสบตากันปราดหนึ่ง เกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ฝ่าบาท พวกกระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ขอขมาขุนนางทั้งหลายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เพิ่งสิ้นเสียง ในท้องพระโรงก็มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้นเสียงหนึ่ง เหล่าหัวหมูถลึงตามองไปด้วยความโกรธเคืองพร้อมกัน “ผิงจวิ้นอ๋องหมายความว่าเช่นไร หรือว่ายังจะปกป้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่งั้นหรือ”
ประโยคหลังทำให้สวีโย่วหัวเราะเยาะขึ้นมาอีก เขาไม่ปกป้องสะใภ้บ้านตนเอง หรือว่าจะให้ปกป้องพวกเขา “ไม่ได้หมายความเช่นไร เพียงแต่รู้สึกว่าใต้เท้าทั้งหลายหน้าใหญ่เสียจริง!” สวีโย่วพูดอย่างมีนัย
ทุกคนคิดๆ ดูแล้วกลับเป็นเช่นนี้จริงๆ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อย่างน้อยก็เป็นจวิ้นจู่เชื้อพระวงศ์ และยังเป็นสะใภ้เชื้อพระวงศ์อีก ให้นางขอขมาขุนนางราชสำนัก นี่มิใช่ตบหน้าเชื้อพระวงศ์หรอกหรือ พูดเสียใหม่ นี่คือตบพระพักตร์ฝ่าบาทอยู่!
ทว่าเหล่าหัวหมูกลับไม่คิดเช่นนี้ อาจเพราะกระทบกระเทือนจนลืม อาจเพราะไม่เคยเห็นจวิ้นจู่ต่างแซ่อย่างเสิ่นเวยคนนี้ในสายตาเลย พวกเขาสะบัดชุดขุนนาง คุกเข่าลงบนพื้นว่า “ขอฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
นี่กำลังบีบบังคับตนอยู่หรือ ฮ่องเต้ยงเซวียนแทบจะหัวเราะออกมา น้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ผิงจวิ้นอ๋องพูดถูกต้อง พวกเจ้ายังหน้าไม่ใหญ่พอ ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ขอขมาพวกเจ้า พวกเจ้าคิดออกมาได้อย่างไร ยังคิดจะให้ข้าขอขมาพวกเจ้าด้วยใช่หรือไม่”
ทันใดนั้นหัวหมูที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตื่นตระหนกเหลือคณาว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมละอายนักพ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้พวกเขาถึงนึกขึ้นได้ว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นหลานสะใภ้แท้ๆ ของฝ่าบาท อดกลัวจนเหงื่อตกไม่ได้
ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับแค่นเสียงเย็นว่า “มิบังอาจ ละอาย ยังมีเรื่องอะไรที่พวกเจ้าไม่กล้าบ้าง ฝ่ายตรวจการมีอำนาจตรวจสอบขุนนางที่ทำผิด ทว่าพวกเจ้าทำอะไร ผิงจวิ้นอ๋องรวบรวมพรรคพวกเพื่อประโยชน์ส่วนตน หลักฐานอยู่ไหน เพียงฮูหยินและพ่อบ้านที่ไปเยือนเพื่อขอบคุณไม่กี่คนนั้น แม้แต่ข้าก็รู้ว่าผิงจวิ้นอ๋องนอกจากสนิทกับองค์ชายใหญ่ ก็ใกล้ชิดกับบ้านพ่อตาจวนหย่งกั๋วกง อ้อจริงสิ ยังมีข้า ความสัมพันธ์ของผิงจวิ้นอ๋องและข้าก็ไม่ห่างเหิน ใต้เท้าทุกท่านจะบอกว่าข้าก็เป็นพรรคเดียวกับผิงจวิ้นอ๋องใช่หรือไม่”
เสียงตำหนิของฮ่องเต้ยงเซวียนแต่ละเสียงราวกับฟ้าร้องผ่าลงกลางใจทุกคน ไม่เพียงหน้าหัวหมูไม่กี่คนนั้นในใจตื่นตะลึง ขุนนางที่เหลือก็คุกเข่าขอประทานอภัยโทษตามๆ กัน “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ไม่โกรธ ข้าจะไม่โกรธได้อย่างไร ข้าให้อำนาจพวกเจ้า พวกเจ้าก็ตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ พวกเจ้า พวกเจ้าทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ” ฮ่องเต้ยงเซวียนปวดใจเป็นอย่างยิ่ง “ในเมื่อล้วนว่างไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นก็ออกไปตรวจตราให้หมด! เลิกประชุม! สีหน้าเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อออกไป
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เหล่าขุนนางในท้องพระโรงถึงได้สติกลับมา ช่วยกันพยุงลุกขึ้นยืนช้าๆ จากนั้นมองหน้ากัน ฝ่าบาทไม่ได้กริ้วเช่นนี้มานานแล้ว ดูท่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะกริ้วไม่ใช่น้อย
จริงอยู่ แม้ผู้ตรวจการมีอำนาจในการร้องเรียนเหล่าขุนนาง ทว่าอย่างไรเสียก็ต้องดูสีหน้าเป็นกระมัง ฝ่าบาทเก็บฎีกาไว้ไม่แจกแล้วเจ้ายังไม่เข้าใจท่าทีของฝ่าบาทหรือ ไม่รู้จักอ่านสถานการณ์หรือ เช่นนั้นโทษที่เจ้าร้องเรียนก็ควรเป็นเรื่องจริงสิ ทั้งสองอย่างล้วนไม่เข้าข่ายเจ้ายังเต้นเร่าๆ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายล้วนๆ หรือ
รนหาที่ตายก็รนหาที่ตายเถอะ มิหนำซ้ำยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก สายตาของผู้ตรวจการคนอื่นของฝ่ายตรวจการที่มองไปยังเหล่าหน้าหัวหมูโกรธแค้นยิ่งนัก ผู้ตรวจการตรวจตราเป็นกันง่ายๆ หรือ ระหว่างทางลำบากก็ไม่พูดถึงแล้ว ยังต้องคอยขับเคี่ยวกับขุนนางท้องถิ่น สบายสู้อยู่ในเมืองหลวงได้ที่ไหน
พวกหน้าหัวหมูไม่กี่คนเสียใจอย่าบอกใคร ไยถึงถูกลาภยศบังตาคิดแผนเลอะเลือนอย่างการร้องเรียนผิงจวิ้นอ๋องได้นะ ไยถึงผีบังตาฟ้องจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ได้นะ ทว่าเสียใจยามนี้ก็สายไปแล้ว ได้แต่เผ่นกลับจวน ตรวจการตรวจตราก็ตรวจการตรวจตาเถอะ อย่างไรเสียก็ดีกว่าถูกปลดกระมัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น