ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 279-286
ตอนที่ 279 สาวน้อยและราชาสุนัขป่า
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันหันมามองจีเฉวียน ที่ผ่านมาพระสนมที่ติดตามฮ่องเต้ออกมาด้านนอกล้วนแล้วแต่เป็นคนโปรดที่สุด
พระสนมหยวนเฟยผู้นี้ เป็นองค์หญิงน้อยของแดนหนานเจียง หลังจากที่อ๋องแห่งหนานเจียงสิ้นพระชนม์ไปเพราะช่วยเหลืออดีตฮ่องเต้ องค์หญิงน้อยจากแดนหนานเจียงผู้นี้ก็ถูกอดีตฮ่องเต้รับมาอยู่ในวังของแคว้นต้าโจว
ต่อมาเมื่อจีเฉวียนกลับมาจากแคว้นเหยียน ก็สนิทสนมใกล้ชิดกับองค์หญิงน้อยผู้นี้ เมื่อเขาได้ขึ้นครองราชย์ ก็แต่งตั้งนางเป็นหยวนเฟยในทันที
ความผูกพันของคนทั้งคู่ย่อมต้องหนักแน่นลึกซึ้งอย่างแน่นอน
หากว่าครั้งนี้จีเฉวียนทรงเห็นความตายโดยมิได้ช่วยเหลือ ชื่อเสียงของเขาก็คงจะต้องย่อยยับอย่างแน่นอน
ในใจของหยวนเฟยมีแต่ความหงุดหงิดคับข้อง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ชีวิตของตนเองจะมากลายเป็นตัวเบี้ยที่เหยียนเฉียวหลัวเอามาใช้ต่อรองกับจีเฉวียน
ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ใดกัน …..เบื้องหน้าของพระองค์นอกจากอำนาจและทรัพย์สินเงินทองนั้น สิ่งอื่นๆ ใดๆ ก็เหมือนกับว่าจะแทรกไม่เข้าทั้งนั้น
เหยียนเฉียวหลัวจะใช้สิ่งใดเป็นตัวประกันก็ใช้ไปเถอะ แต่นางกลับถือโอกาสจะมาใช้นาง?”
ไม่รู้หรือไงว่าในสายพระเนตรของฝ่าบาท นางก็แค่คนจับแมลงเท่านั้น?
สายตาของนางมืดครึ้มกว่าเดิม ในใจไม่รู้ว่าเป็นรสชาติเช่นไรกันแน่
อีกด้านหนึ่ง จีเฉวียนเพียงแย้มสรวลอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าเราเป็นคนที่สามารถใช้การข่มขู่ได้อย่างนั้นหรือ?”
ตรัสแล้ว พระองค์ก็ไม่ให้โอกาสเหยียนเฉียวหลัวได้พูดพล่ามอีกต่อไป ทันทีที่พระหัตถ์ใหญ่โตยกขึ้นสูง ก็เห็นตู๋กูจุนคว้าดาบใหญ่ของเขาขึ้นมา สับเสียงดังครั้งหนึ่งก็พุ่งไปถึงข้างกายเหยียนเฉียวหลัว
ร่างที่แข็งแรงเปี่ยมไปด้วยพลังยุทธ์กำจายไอเย็นที่เหน็บหนาวออกมา บุกเดี่ยวเข้าไปในกลุ่มของนักพรตเขาฮว่าชิ่งซาน พอดาบใหญ่เล่มนั้นกวาดออกไป ไอสังหารที่แหลมคมก็บาดผิวผู้คนจนเจ็บปวด
เหล่านักพรตอาวุโสพากันตกตะลึงไป
ในช่วงเวลานั้นเอง เหยียนเฉียวหลัวที่อยู่ภายใต้การดูแลของพวกเขาก็ถูกตู๋กูจุนคว้าตัวจับไปเสียแล้ว
ขณะที่ผู้อาสุโสหยู่ซั่งยื่นมือออกไป ก็คว้าได้แต่เพียงชายเสื้อของเหยียนเฉียวหลัวที่ขาดติดมือและหล่นอยู่แทบเท้า
เหยียนเฉียวหลัวถูกตู๋กูจุนคว้าคอลากกลับมา ลำคอที่เล็กและบอบบางนั้นเกือบจะถูกตู๋กูจุนหักทิ้งเสียแล้ว
เขาโยนเหยียนเฉียวหลัวทิ้งไว้ที่เบื้องพระพักตร์จีเฉวียนด้วยสีหน้าเฉยชา ไม่รอให้นางได้ทันขยับตัวก็เหยียบลงไปบนกลางหลังของนาง
ฝ่าเท้านั้นเปี่ยมด้วยพละกำลัง ทั้งยังเหยียบลงไปอย่างไร้ความทะนุถนอมใดๆ ทั้งสิ้น ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวถึงกับกระอักเลือดออกมา
นางหมอบอยู่บนพื้นต่อหน้าจีเฉวียน พยายามฝืนเก็บความเจ็บปวดราวกับอวัยวะภายในฉีกขาดเอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก เงยหน้าขึ้นมองจีเฉวียนพลางกล่าวว่า “หากว่าข้าตายไป หยวนเฟยก็จะต้องตายไปด้วย จีเฉวียน ข้าพนันว่าเจ้าไม่กล้าฆ่าข้าหรอก!”
จีเฉวียนเพียงกวาดตามองดูนางครั้งหนึ่ง ทันทีที่ชายแขนเสื้อขยับ สายลมหอบนึงก็เคลื่อนผ่านไป ตบลงบนใบหน้าของนางอย่างรุนแรง
เหยียนเฉียวหลัวถูกตบจนเลือดกลบปาก เลือดไหลปะปนกันไปตามร่องฟัน
นางเบิกตาโต มือข้างหนึ่งเกาะกุมใบหน้าเอาไว้ มองดูจีเฉวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
การตบสตรีเช่นนี้ บุรุษทั่วไปล้วนไม่มีทางกระทำ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ของแว่นแคว้นหนึ่ง กลับลงมือตบตีนาง ทั้งยังลงมืออย่างรุนแรงถึงเพียงนี้?
ช่างน่าอดสูเกินไปแล้ว!
นางอ้าปากกว้าง คิดจะด่าคนอีก
แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่ให้โอกาสนางแม้แต่น้อย ทันทีที่แขนเสื้อขยับแรงลมอีกข้างก็ซัดออกไป ตบจนเหยียนเฉียวหลัวใบหน้าบวมเป่งทั้งสองข้าง
“จีเฉวียน เป็นถึงฮ่องเต้แห่งต้าโจวแต่ว่าเจ้ากลับตบตีอิสตรี?” ผู้อาวุโสหยู่ซั่งทนไม่ไหวอีกต่อไป นางสบัดแส้ในมือตะโกนด่าจีเฉวียนเสียงดัง
จะไม่ถูกกันอย่างไรนางก็คือคนในราชวงศ์เหยียนคนหนึ่ง ตอนนี้พอได้เห็นองค์หญิงแคว้นเหยียนถูกตบตีอย่างรุนแรงกับตา ย่อมกล้ำกลืนโทสะลงไปไม่ได้
“เจ้าใช้ดวงตาข้างไหนมองถึงได้บอกว่าฮ่องเต้ของพวกเราตบตีนาง?” ตู๋กูเจวี๋ยกล่าวออกมาจากบนหลังของสุนัขป่าตัวใหญ่ “อายุมากแล้ว สายตาก็เลยไม่ดีใช่หรือไม่? ฝ่าบาทเพียงแค่มีฝุ่นเกาะชายฉลองพระองค์ ปัดทิ้งไปก็เท่านั้น!”
นักพรตหยู่ซั่ง “……”
หรือว่าเจ้าเด็กน้อยหน้าขาวไม่เคยรู้เลยหรือว่ามีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่ากำลังภายใน?
และก็ไม่รู้ว่าจีเฉวียนที่จริงแล้วนั้นเป็นผู้มีพลังยุทธ์ หรือนักพรตกันแน่ เพราะว่าสองครั้งที่สบัดแขนนี้ มีพลังที่ตาเปล่ามองไม่เห็น
หากใช้แต่ตาเปล่ามองดู เขาย่อมไม่ได้ตบเหยียนเฉียวหลัว แต่ว่าหากใช้สมองไตร่ตรองล่ะก็ย่อมจะพบว่าเขาตบเหยียนเฉียวหลัวอย่างแน่นอน
“รัชทายาทแคว้นท่านถูกนางทำร้ายจนเสียขาไปข้างหนึ่งแล้ว ท่านกลับไม่ไถ่ถาม ตอนนี้นางหาเรื่องใส่ตัวถูกฟ้าดินตบไปสองที ท่านกลับเปิดปากขึ้นมาแล้วหรือ? เรื่องนี้เผลอๆ แล้วคงจะเป็นเพราะพวกท่านรวมหัวกันล้มเจ้าของตนเองกระมัง?” ตู๋กูเจวี๋ยจีบปากจีบคอว่าต่อไป
เหยียนเฉียวหลัวเจื้อยแจ้วเก่งนักหรือ?
เรื่องการเจื้อยแจ้วเจรจาเนี่ย ตัวเขาตู๋กูเจวี๋ยก็ไม่เคยแพ้ใครเหมือนกัน!
ผู้อาวุโสหยู่ซั่งถูกกัดจิกไปรอบหนึ่งก็ได้แต่อึดอัดคับข้องใจ นางแทบอยากจะสะบัดแส้ออกไปฟาดมันให้ตายในครั้งเดียว
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้แคว้นโจวเห็นสตรีของตนเองจะตายกลับไม่ช่วยเหลือ เขาไม่ยอมกระโดดทะเลสาบ ก็คือไร้ความกล้าไร้ความสามารถ” ผู้อาวุโสหยู่ซั่งขมวดคิ้วว่าต่อไป “องค์หญิงแคว้นเหยียนของข้าหากว่าตายไปล่ะก็ หยวนเฟยผู้นั้นก็ต้องถูกฝังกลบไปด้วย ภายหน้าเมื่อเล่าลือกันออกไป ผู้ที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจะหัวเราะเยาะเย้ยก็คือท่าน จีเฉวียน!”
คำพูดของผู้อาวุโสหยู่ซั่งทำให้ทุกคนต้องเห็นด้วย มิว่าจีเฉวียนจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่กระทั่งสตรีของตนเองก็ยังปกป้องเอาไว้ไม่ได้ ที่เขาจับตัวเหยียนเฉียวหลัวไป ก็เป็นแค่การได้หน้าเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น จะมีประโยชน์ใดกัน?
แค่คนๆ เดียวยังปกป้องไม่ได้ ไหนเลยจะสามารถกลายเป็นผู้ครอบครองแผ่นดินทั้งหมดได้กัน?
ฮ่องเต้มิได้ทรงร้อนพระทัยแม้แต่น้อย สายพระเนตรหงส์ของพระองค์เย็นชา ราวกับว่ามิได้เห็นคนเหล่านี้อยู่ในสายพระเนตรเลยสักนิด
พระองค์พึ่งจะขยับปลายพระหัตถ์ ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานน่ารักของสาวน้อยผู้หนึ่งดังขึ้นมา
“เฮ่อ น่าขำแทบตายแล้ว”
น้ำเสียงของนางน่าฟังมาก แต่ถ้อยคำที่เข้าหูกลับเป็นคำเยาะเย้ย
ฝูงชนหันไปมองตามเสียง ก็ได้เห็นสุนัขป่าขนสีเงินเป็นประกายตัวหนึ่ง
หากเปรียบเทียบกับสุขับป่าที่เหล่าทหารของต้าโจวขี่อยู่นั้น สุนัขป่าตัวนี้งดงามกว่ามาก มันมีขนสีเงินยวงตลอดร่าง บนหน้าผากของมันมีเขาสีเงินข้างหนึ่ง ตัวของมันมีขนาดประมาณหนึ่งจั้ง [1] ทุกครั้งที่ก้าวเดินเส้นขนสีเงินบนร่างก็จะขยับเคลื่อนไหวไปด้วย ทั้งงดงามทั้งดูสูงส่ง
ดวงตาสีทองทั้งสองข้างเป็นประกายสุกใส
เมื่อสุนัขป่าทั้งหลายได้เห็นมันก็พากันก้มศีรษะลง ราวกับว่ากำลังกราบกรานราชาผู้หนึ่ง
บนหลังของสุนัขป่าตัวนั้น มีแม่นางน้อยที่ขาวอวบผู้หนึ่ง
แม่นางอ้วนน้อยผู้นั้นไว้ผมมวยสองข้าง บนผมมวยทั้งสองข้างผูกผ้าไหมสีแดง ดูน่ารักน่าชังอย่างที่สุด
ทันทีที่สุนัขป่าและสาวน้อยปรากฏตัวขึ้น ก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดไป
รวมถึงฮ่องเต้ด้วย
ตอนที่พวกเขาลงมาจากท้องฟ้า เสี่ยวซิงซิงถูกเขาส่งตัวให้ตู๋กูจุน เดิมทีนางสมควรจะรออยู่ในที่ปลอดภัยต่างหาก
พระองค์หรี่เนตรหงส์ลง อย่างมิได้ประหลาดพระทัยเท่าไรนัก นางเป็นคนที่อยู่ไม่สุขมาตลอด ไหนเลยจะยอมหลบไปง่ายๆ?
“นี่…นี่คือ?”
ฝูงชนต่างมองไปที่สุนัขป่าและตู๋กูซิงหลัน
แม่นางอ้วนน้อยผู้นั้นแม้จะอวบอ้วน แต่ว่ากลับน่าดูอย่างมาก
แค่ได้เห็นเพียงแวบแรกก็เหมือนกับแม่นางน้อยที่ทำให้คนอยากจะเข้าไปอุ้มไปกอดให้แน่นๆ
ส่วนสุนัขป่าตัวนั้น……
“นั่นเป็นราชาสุนัขป่าตะวันตก?” อย่างไรเสียย่อมต้องมีคนที่มองออกอยู่บ้างพูดออกมา
ทันทีที่ได้ยิน ผู้คนทั้งหลายก็ตกตะลึงไป
ราชาสุนัขป่าตะวันตก?!
ฟังมาว่าแม้แต่หัวหน้าเผ่าอาปู้ไซก็ยังไม่ได้รับการยอมรับจากมันสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ขี่เลย ยามปกติแม้แต่จะสัมผัสก็ยังไม่ได้ด้วยซ้ำไป
แต่ตอนนี้ แม่นางตุ๊กตาผู้นั้นกำลังขี่หลังของมันอยู่?
พวกเขาแทบไม่จะอยากเชื่อสายตาของตนเองด้วยซ้ำไป
อาปู้ถาลาเดินนำหน้าราชาสุนัขป่าออกมา ราวกับเป็นบ่าวที่ทำหน้าที่นำทาง ใครมันจะไปรู้กัน….ราชาสุนัขป่าที่สูงส่งกว่าสิ่งใดในโลกของพวกเขา แค่ได้เห็นไทเฮาน้อยเพียงแวบเดียว ก็เปลี่ยนไปในทันที
พูดไปแล้วเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ราชาสุนัขป่าเป็นฝ่ายเสนอให้นางขี่หลังเอง!
——
[1] 3.3เมตร
——
ตอนหน้า “แค่นางกำนัลน้อยแคว้นต้าโจวก็สามารถจะอวดเก่ง?”
ตอนที่ 280 แค่นางกำนัลน้อยแคว้นต้าโจว...
อาปู้ถาลาไม่รู่ว่าหากท่านหัวหน้าได้เห็นภาพนี้แล้วจะรู้สึกเช่นไรบ้าง!
ราชาสุนัขป่าที่เลี้ยงดูมาหลายต่อหลายปี แม้แต่ขนก็ยังไม่ยอมให้จับ แต่พอมาถึงนี่กลับยอมให้แม่นางน้อยผู้หนึ่งขี่เสียเฉยๆ
หรือจะเป็นเพราะว่าไทเฮาน้อยทรงงดงาม แม้แต่ราชาสุนัขป่าก็ยังหลงใหลเข้าแล้ว?
อาปู้ถาลาคิดถึงคำถามนี้มาตลอดทาง ใช่แล้ว จะต้องเป็นเพราะว่าท่านหัวหน้าเผ่าของตนหน้าตาน่าเกลียดเกินไป ถึงได้ถูกราชาสุนัขป่าเมิน
เดิมที สุนัขป่าตะวันตกก็เป็นพวกที่ให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์อยู่แล้ว……
บนหลังราชาสุนัขป่า วิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลันถึงกับตัวสั่นน้อยๆ
ตอนที่พบกันที่เชิงเขานั้น ทันทีที่ราชาสุนัขป่าได้เห็นมัน สายตาก็ทอประกายรักใคร่ออกมา ถึงขนาดน้ำลายไหลเลยเสียด้วยซ้ำ
กระทั่งสตรีอย่างตู๋กูซิงหลัน ก็ยังไม่ลืมทิ่มแทงมัน “วิญญาณทมิฬ ข้ารู้สึกว่าราชาน้อยจะถูกใจเจ้านะ”
วิญญาณทมิฬหมดหนทางทำอะไรไม่ถูก…. มันก็ยอมรับว่าราชาสุนัขป่าตัวนี้สวยงามมาก
แต่ว่าประเด็นสำคัญก็คือ….มันไม่ได้สนใจสุนัขป่านิ!
มันเป็นวิญญาณสัตว์อสูร เพียงแต่ว่าลักษณะภายนอกของมันในโลกก่อนคล้ายกับสุนัขป่าเท่านั้นเอง!
ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นตัวผู้! มันชอบแต่สัตว์อสูรตัวเมียเท่านั้น ขอบคุณนะ! แต่ว่าราชาสุนัขป่าก็เป็นตัวผู้ไม่ใช่หรือ?
จากนั้น…. ภายใต้การขมขู่ของสตรีเช่นตู๋กูซิงหลัน มันก็ได้แต่ต้องสละตนขายตัวเอง เพื่อให้ราชาสุนัขยอมให้นางขี่อย่างว่าง่าย
ดูสิ กระทั่งตอนนี้ราชาสุนัขนั่นคอยแต่จะหันมามองดูมันอยู่ตลอด สวรรค์ทรงโปรดเถอะ สายตาที่มองมายังมัน เห็นแล้วเป็นต้องขนลุกขนพองไปหมด
ยามนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันประหลาดใจ
ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนหลังราชาสุนัขป่า กวาดตามองดูผู้คนโดยรอบ นางวางมาดสง่างาม กล่าวอย่างมีจริตว่า “อย่าได้อิจฉาไปเลย ราชาน้อยของพวกเราไม่ใช่ว่าใครๆก็จะขี่ได้”
ผู้คน “…….” แม่นางตุ๊กตาน้อยนั่นสวยงามน่ารักก็จริง แต่ว่าปากคอเราะรายนัก
อิ๋งฉีและเหยียนหยุนต่างก็มองดูนาง ในดวงตาของพวกเขาทอแวววับวามด้วยความตื่นตะลึง
แค่ได้เห็นนาง เหยียนหยุนก็รู้สึกว่าขาที่ขาดไปของตนไม่ค่อยเจ็บสักเท่าไหร่แล้ว สายตาของเขาเป็นประกายขึ้นมา เขาอยากจะไปที่ข้างกายนางสนทนากันสักสองสามประโยค
แต่ว่าอ๋องสิบแปดแคว้นฉินอิ๋งฉีผู้นั้นกลับยืนบังอยู่ด้านหน้า ทั้งยังจดจ้องอยู่ไม่วางตา ท่าทางไม่คิดจะเขยิบให้เขาแม้สักนิด
ครั้งก่อนที่พบเจอตู๋กูซิงหลันนั้น อิ๋งฉีก็ตกตะลึงไม่น้อยเช่นกัน
นางงดงามอย่างยิ่ง ทั้งๆที่รูปร่างออกจะอวบอั๋น แต่กลับเป็นความงามที่สมบูรณ์พร้อม ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจเลยสักนิด
และสตรีที่งดงามเลอเลิศผู้นี้ได้มอบยันต์คุ้มภัยให้กับเขา ทำให้เขารอดชีวิตจากทะเลสาบมาได้
อิ๋งฉีเป็นคนที่รู้จักแยกแยะบุญคุณและความแค้นอย่างชัดเจนมาโดยตลอด บุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้เขาจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน
ขณะที่ผู้คนทั้งหลายยังพูดอะไรไม่ออกนั้น ก็เห็นตู๋กูซิงหลันยื่นนิ้วมือเรียวยาวดุจต้นหอมออกมา ชี้ไปยังใบหน้าที่บวมฉึ่งและตกตะลึงของเหยียนเฉียวหลัว
“เอ๋? คนเมื่อครู่นั้นเป็นใครกันนะ บังอาจข่มขู่ฝ่าบาทของพวกเราเล่น เจ้าออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ พวกเรามาถกกันเป็นไง?”
เหยียนเฉียวหลัวกระอักเลือดออกมาบนอกคำหนึ่ง จดจ้องมาที่นางอย่างชิงชัง
ยายอ้วนนี้หน้าตาคล้ายคลึงกับไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวมาก นางก็คือนังตัวสำรองคนโปรดที่จีเฉวียนซุกซ่อนเอาไว้ในพระตำหนักตี้หัวกง?
ช่างสมกับที่จีเฉวียนโปรดปรานอย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงกับไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้ามาชี้มือชี้ไม้ใส่นางได้เชียวหรือ?
“ว่าเจ้านั่นแหละ! ยังจะมาถลึงตาทำไม!” ตู๋กูซิงหลันทำท่าเป็น ‘นังคนโปรด’ ที่เหิมเกริมอย่างที่สุด ประหนึ่งว่านางคือที่สุดแห่งความโปรดปราน ใครก็อย่าได้เผยอขึ้นมาหาเรื่องกับนางอย่างเด็ดขาด
สองพี่น้องตระกูลตู๋กูเห็นท่าทางของน้องเล็ก ก็ขยับเข้าไปยืนเคียงข้างนาง คอยพิทักษ์นางอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยปากขัดขวาง
พอหยวนเฟยมองเห็นตู๋กูซิงหลันก็เหมือนดั่งได้เห็นฟางช่วยชีวิต
นางไม่วาดหวังว่าฮ่องเต้จะช่วยชีวิตนางได้ ไทเฮาน้อยต่างหากที่พึ่งพาได้มากกว่าฮ่องเต้เสียอีก!
แค่ประโยคเดียวของของตู๋กูซิงหลัน ก็ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวโกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา
นางลุกขึ้นจากพื้น มองดูตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาอึมครึม “ข้าคือองค์หญิงแห่งแคว้นเหยียน เจ้าคือใครกัน? มีฐานะอะไรจึงมีสิทธิมาพูดจากับข้า? อย่างเจ้ามันก็แค่พวกคนชั้นต่ำที่แคว้นต้าโจวอุปโลกน์ขึ้นมามิใช่หรือ?”
ต่อให้เป็นที่โปรดปรานเพียงไร อย่างไรเสียก็เป็นแค่ตัวสำรองมิใช่หรือ? ยังจะกล้าผยองได้สักกี่น้ำกันเชียว?
จีเฉวียนไม่มีทางยอมให้สตรีที่จองหองเช่นนี้อยู่ข้างกายเขาไปตลอดอย่างแน่นอน
“เอ๋? ตอนนี้เจ้าเองก็เป็นเชลยของแคว้นต้าโจวอยู่มิใช่หรือ?” ตู๋กูซิงหลันเอียงคอ พลางหัวเราะกึ่งจริงกึ่งเล่น “ดูอาจารย์ของเจ้าสิ กระทั่งพวกอาจารย์ลุงของเจ้าก็ยังไม่มีใครกล้าออกมาช่วยเจ้าสักคน เจ้ามีฐานะเป็นถึงองค์หญิงแล้วมีประโยชน์อะไร?”
เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานต่างก็ถูกด่าจนรู้สึกแสบหน้าไปหมด แม่นางตุ๊กตาผู้นี้ช่างมีคารมแสบสันอย่างยิ่ง ขณะที่ด่าทอเหยียนเฉียวหลัวก็ยังไม่วายด่ากระทบพวกเขาไปด้วย
เนื่องเพราะยังไม่ได้รับคำสั่งจากองค์ชายน้อย พวกเขาย่อมไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพลการ
ได้แต่ต้องทนกล้ำกลืนอยู่กับที่เดิม ยืนหน้าทนให้นางตีกระทบต่อไป
เหยียนเฉียวหลัว “……..”
“คนอย่างเจ้ายังจะมีหน้ากล้ามาลบหลู่ฝ่าบาทของพวกเราด้วย?” ตู๋กูซิงหลันได้แต่กรอกตาใส่
“ต่อให้องค์หญิงอย่างข้าตกระกำลำบาก แต่ก็ยังเป็นคนของราชวงศ์แคว้นต้าเหยียน เป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง ไม่ใช่เรื่องที่คนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะมาเหยียบย่ำได้?” เหยียนเฉียวหลัวเดือดดาลอย่างที่สุด นังตัวสำรองนั่นก็เป็นแค่สุนัขที่ยืมบารมีผู้อื่นมากำแหงเท่านั้น
มันรอให้จีเฉวียนควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ทั้งหมดแล้ว ถึงได้ค่อยโผล่หน้า เปิดเผยตัวออกมา
นางสารเลวผู้นี้จิตใจลึกซึ้งยิ่งนัก มิน่าเล่า…ถึงได้รับความชื่นชมจากจีเฉวียน แต่อย่างไรเสีย….ก็เป็นแค่ของปลอมเท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจนาง เห็นนางโน้มตัวลงไป กระซิบกระซาบอะไรสักอย่างที่ข้างหูของราชาสุนัขป่า แล้วค่อยก็ตบคอของมันเบาๆ
จากนั้นก็เห็นราชาสุนัขป่าเชิดอกขึ้นมาพานางไปหาจีเฉวียน
ยามที่มันเดินผ่านเหยียนเฉียวหลัวนั้น ก็ถีบส่งๆออกไปครั้งหนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวพยายามหลบอย่างรวดเร็วแล้ว แต่ก็ยังไม่วายถูกเตะจนกระดูกซี่โครงหักอยู่ดี
เลือดคั่งที่นางพยายามกล้ำกลืนเอาไว้ในอกถึงกับถูกนางสำรอกออกมาจริงๆ ดูแล้วอเนจอนาถอย่างยิ่ง
“อ้ายย่าห์ ไม่ได้ตั้งใจนะ ราชาน้อยสายตาไม่ดีเท่าไหร่น่ะ เจ้าเองก็จริงๆเลย ทำไมถึงไม่รู้จักหลบๆไปเสียบ้างนะ จะออกมาให้ถูกถีบทำไม?” รอจนราชาสุนัขป่าเตะออกไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันถึงได้ทำท่าป้องปากกล่าวออกไป ด้วยสีหน้าขออภัย
กริยาเช่นนั้นยิ่งทำให้เหยียนเฉียวหลัวอยากจะพุ่งเข้าไปฉีกหน้านางให้ได้
นังคนนี้เล่นละครมากเกินไปแล้ว!
จีเฉวียนเป็นคนตาบอดหรือไร ดูไม่ออกเลยหรือ?
ผู้คนทั้งหลายแม้จะเกิดความรู้สึกต่อต้านตู๋กูซิงหลัน แต่พอเห็นว่าราชาสุนัขป่าถึงกับเชื่อฟังวาจาของนางเช่นนี้ ต่างก็ไม่กล้ากล่าวอะไรมากไป ได้แต่พากันประหลาดใจว่าตกลงแล้วนางมีฐานะอะไรกันแน่
หากดูจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็คล้ายจะเป็นนางกำนัลน้อย
นางกำนัลน้อยในแคว้นต้าโจวสามารถเหิมเกริมได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เหยียนเฉียวหลัวแม้จะพ่ายแพ้น่าเวทนาเช่นไรแต่ก็ยังเป็นถึงองค์หญิงของแคว้นหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับถูกนางกำนัลผู้หนึ่งดูถูกลบหลู่ ศักดิ์ศรีของแคว้นต้าเหยียนนับว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ดูเอาสิ ถึงขนาดนี้ฮ่องเต้ต้าโจวก็ยังมิได้ตำหนิติเตียนอะไรแม้แต่ครึ่งคำทั้งสิ้น โดยเฉพาะยามเมื่อสายพระเนตรหันไปมองดูนาง แววพระเนตรถึงกับอ่อนโยนลงไปโดยไม่รู้พระองค์
เมื่อครู่ยังทำท่าจะฆ่าคนอยู่เลย ตอนนี้พอได้พบนางเข้าเท่านั้น กระทั่งสายตาที่เก็บเอาไว้กับตัวถึงได้อ่อนโยนลงสามารถมองออกได้อย่างชัดเจน
นี่เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้แห่งต้าโจวเปิดเผยความรู้สึกอย่างไม่มีปิดบัง
หยวนเฟยใกล้จะกลายเป็นต้นไม้หนามอยู่แล้ว แต่สีพระพักตร์ของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
แต่แค่แม่นางอ้วนผู้นี้ปรากฏตัวออกมา เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน….
ผู้คนทั้งหลายต่างก็มิใช่คนตาบอด ย่อมต้องรู้สึกว่านางกำนัลน้อยผู้นี้มิใช่ธรรมดา
ตู๋กูซิงหลันเยาะเย้ยเหยียนเฉียวหลัวจบแล้ว ก็เตรียมจะพลิกตัวลงจากหลังของราชาสุนัขป่า นางพึ่งจะขยับตัว ก็เห็นว่าจีเฉวียนยื่นพระหัตถ์มารออยู่ด้านข้างแล้ว
——
ตอนต่อไป “เราจะหนุนหลังเจ้าเอง”
ตอนที่ 281 เราจะหนุนหลังเจ้าเอง
ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเล็กน้อย เมื่อครู่นางปลุกกระแสความเกลียดชังขึ้นมาแล้ว หากยังให้จีเฉวียนมาใกล้ชิดขนาดนี้อีก ท่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ล่ะมั้ง? แต่พอคิดอีกที อย่างไรเสียก็เหิมเกริมไปแล้ว ก็เลยตามเลยไปก็แล้วกัน
ตอนนี้นางเป็นบัวขาวดอกใหญ่ดอกหนึ่ง บัวขาวก็ต้องเสแสร้งเก่งอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นนางจึงค่อยๆ ลงจากหลังของราชาหมาป่าทีละนิดๆ ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
พอถูกจีเฉวียนพยุงและกอดเอาไว้ในอ้อมพระพาหา นางก็ยื่นมือขึ้นไปโอบรอบพระศอเอาไว้ ส่งเสียงเย้ายวนว่า “ฝ่าบาท ข้างบนนี้สูงมากเลย น่ากลั้วน่ากลัว”
ผู้คนทั้งหลาย “???” พี่สาว เมื่อครู่ตอนที่ท่านทำท่ายโสโอหังอยู่บนนั้น ไม่ใช่แบบนี้นิ
พอหันมามองดูฮ่องเต้แคว้นต้าโจว เขากลับไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ หากแต่บีบปลายจมูกของนางเบาๆ “ต่อให้สูงกว่านี้ เราก็จะรับเจ้าเอาไว้เอง”
ผู้คนทั้งหลายแทบจะกระอักเลือดออกมา
ขอโทษทีเถอะนะ….พวกเขามาที่นี่เพื่อตามหาสมบัติ ไม่ใช่มาดูทั้งสองพลอดรักกันเข้าใจไหม?
ขอถามหน่อย ทำตัวให้เป็นคนปกติบ้างเป็นไหม รักษากริยาหน่อย?
ตู๋กูซิงหลันได้ยินเขาตรัสเช่นนี้ก็ชักจะขนลุกตัวชาขึ้นมาเหมือนกัน…..
ส่วนหยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยเห็นบ่อยจนคุ้นชินแล้ว จึงมีแต่ตู๋กูจุนที่ทำสีหน้าตกตะลึง
เขาพึ่งจะจากไปได้นานเท่าไหร่กัน? น้องเล็กก็ถูกเจ้าฮ่องเต้สุนัขจีเฉวียนนั่นงาบไปแล้วหรือ?
นางลืมไปแล้วหรือไง ว่าก่อนหน้านี้ก็ยังปรึกษาเรื่องก่อกบฏกับเขาอยู่เลยไม่ใช่รึ?
อู๋เจินรีบสั่งให้บรรดาลูกศิษย์ของตนเองก้มหน้าลงไป ฉากรักที่วาบหวามเช่นนี้ดูมากเกินไป จะมีผลต่อการฝึกฝนจิตใจของพวกลูกศิษย์ทั้งหลาย
ดูสิ เลี่ยนตายชัก!
ตู๋กูซิงหลันถึงกับหน้าแดงก่ำ พอลงจากอ้อมอกของจีเฉวียน ถึงได้กลับเป็นปกติ “บ่าวช่างใช้ไม่ได้จริงๆ ไม่อาจดูแลฝ่าบาทให้ดี และไม่ได้ดูแลพระสนมหยวนเฟย ถึงได้ปล่อยให้ของเล่นเหล่านี้บังอาจลามปามขึ้นมาเล่นบนหัวพวกเราได้”
หืม บ่าว!
ผู้คนพากันจับประเด็นสำคัญ ดูท่าแม่นางน้อยผู้นี้คงจะเป็นนางกำนัลในวังของแคว้นต้าโจว ดูท่านางจะเป็นนางกำนัลประจำตัว ทั้งยังเป็นที่ไว้วางพระทัยของฮ่องเต้ ดังนั้นเมื่อครู่ถึงได้กล้าทำตัวยโสโอหังขนาดนั้น?
เพียงแต่ว่า…ทำไมนางถึงมีคุณสมบัติออกมาพูดจาได้กัน? หรือว่านางยังเก่งกล้าสามารถกว่าเหยียนเฉียวหลัวอีก สามารถถอนพิษไม้หนามได้หรือไร?
ฟังจากคำพูดที่นางตอบโต้กับเหยียนเฉียวหลัว คำว่า ‘ของเล่น’ ดูท่านางไม่ได้เห็นเหยียนเฉียวหลัวอยู่ในสายตาเลยเสียด้วยซ้ำ
กลุ่มของผู้อาวุโสหยู่ซั่งต่างพากันมีโทสะแล้ว แต่ละถ้อยคำของนังเด็กอ้วนนั้นเหมือนกับว่าตบลงมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“องค์ชาย เช่นนี้แล้วพวกเรายังจะต้องทนต่อไปอีกหรือ?” ผู้อาวุโสหยู่ซั่งทนต่อไปไม่ไหว จึงหันไปถามบุรุษชุดม่วง
องค์ชายเพียงมองดูตู๋กูซิงหลันอย่างเงียบๆ ค่อยกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่า เหยียนเฉียวหลัวถูกรังแกเกี่ยวอันใดกับเราด้วย?”
หยู่ซั่งได้แต่สูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว แต่ก็ไม่กล่าต่อต้านเขา
“อย่างนางแม้แต่คุณสมบัติจะเป็นตัวหมาก ก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ แล้วยังจะมาคาดหวังให้เราช่วย?” องค์ชายน้อยเยาะเย้ย
แค่ประโยคนั้นประโยคเดียวก็ทำให้หัวใจของหยู่ซั่งชาวาบ…..ใช่แล้ว ขนาดพวกนางก็ยังไม่มีคุณสมบัติเข้าตาของเขา ………แล้วเหยียนเฉียวหลัวล่ะมีอะไร
นางหันกลับไปมองดูเหยียนเฉียวหลัวที่น่าสงสาร ด้วยสายตาที่เยือกเย็นกว่าเดิม
เมื่อครู่เหยียนเฉียวหลัวยังได้รับการยกย่องจากฝูงชน ตอนนี้พอร่วงลงมา กลับโดดเดี่ยวอยู่เพียงผู้เดียว ถูกคนรังแกก็ไม่มีแม้แต่อาจารย์ของตนเองออกมาพูดหรือให้ความช่วยเหลือ ในหัวใจของนางเหลือแต่ความเหน็บหนาว
นางมองไปยังจีเฉวียน เพราะเมื่อครู่กระดูกซี่โครงหักไปท่อนหนึ่ง นางจึงทรุดลงไปนั่งกับพื้น มองขึ้นมาด้วยสายตาอึมครึม “ฝ่าบาท มิว่าจะอย่างไร มีแต่ข้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือหยวนเฟยได้ สตรีผู้นั้นคิดจะครอบครองท่านเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ถึงได้ตั้งใจถ่วงเวลา ไม่ให้หยวนเฟยได้รับความช่วยเหลือ”
พอโดนสาดน้ำครำ ตู๋กูซิงหลันก็ยกมือขึ้นมา “ปากอย่างเจ้าไม่ว่าอะไรก็กล้าพูดออกมาได้ทั้งนั้นสินะ”
“เจ้าหุบปาก” เหยียนเฉียวหลัวตัดบทเสียงเย็น ในมือของนางมีขวดยาอยู่ใบหนึ่ง นางหันไปหาจีเฉวียน “นี่คือยาขวดสุดท้ายแล้ว ฝ่าบาท ข้าไม่ต้องการให้ท่านกระโดดทะเลสาบแล้ว นางกำนัลผู้นี้จงรักภักดีมากมิใช่หรือ? ขอเพียงนางยินยอมกระโดดทะเลสาบแทนท่าน ข้าก็จะมอบยาขวดนี้ให้กับหยวนเฟยในทันที”
“พระองค์อย่าได้ทรงลืมนะเพคะ หยวนเฟยเป็นถึงองค์หญิงของหนานเจียง ชีวิตของนางสูงค่ากว่านางกำนัลมากนัก”
นางคิดว่าตนเองโยนปัญหาหนักใส่จีเฉวียนได้แล้ว
คนหนึ่งมีฐานะสูงส่งเป็นถึงพระสนม อีกคนหนึ่งคือคนโปรดคนใหม่ เขาจะเลือกใคร?
เฮอะ เฮอะ …..คิดว่าจีเฉวียนเป็นคนที่มีความรักลึกซึ้งหรือ?
นางกล้าพนันเลยว่า เขาจะตัดสินใจส่งนังตัวสำรองนั่นออกไปโดยไม่มีแม้แต่ความลังเลสักนิด!
นางจะคอยดูซิว่า อีกประเดี๋ยวนังคนอุบาทว์นั่นยังจะยิ้มได้อีกหรือไม่?
ด้านหยวนเฟย “…..” นางรู้สึกว่าตนเองกระโดดลงทะเลสาบไปเลยดีกว่า
พวกเขาดูอย่างไรถึงได้เห็นว่าไทเฮาน้อยเป็นนางกำนัลกัน?
แค่เพราะว่านางสวมใส่ชุดนางกำนัลนะหรือ? นางกำนัลที่ไหนจะเกิดมาสวยงามและมีสง่าราศีเท่านี้?
ตาบอดหรือไง?
“อ๋ายย่าห์ ฝ่าบาทดูสิเพคะ…..ของเล่นชิ้นนี้มีพิษสงมาจริงๆ! รู้จักยุแยงให้แตกกันด้วย” ตู๋กูซิงหลันมองดูด้วยสีหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็หันไปเกาะท่อนแขนจีเฉวียน “นี่นางกำลังดูถูกฝ่าบาท หรือว่ากำลังดูถูกบ่าวกัน?”
จีเฉวียนเห็นนางทำตัวแปลกๆ เช่นนี้ก็ต้องแย้มสรวลออกมา
อ้ายย่าห์…..ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่รู้มาก่อน ว่าดาวดวงน้อยดวงนี้มิว่าจะทำอะไร ก็ถูกอกถูกใจเขาไปเสียหมด?
อืม จะมองซ้าย หรือมองขวาดูอย่างไรก็น่ารัก
ว่าแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็ถลึงตากลับไป จากนั้นก็ปล่อยมือจากจีเฉวียน เดินไปหาหยวนเฟยด้วยสีหน้ากังวลใจ “พระสนมหยวนเฟยเพคะ ท่านอย่าได้ไปเชื่อถือคำพูดไร้สาระจากของเล่นชิ้นนี้ นางตั้งใจจะแยกท่านออกจากฝ่าบาท”
หยวนเฟยรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาแล้วจริงๆ เดิมทีไทเฮาน้อยจะมาจับข้อมือของนาง แต่ทำไมตอนนี้นางรู้สึกว่าหลังคอเย็นวาบอย่างไรก็ไม่รู้ พอเหลือบตาไปมองฮ่องเต้ก็เห็นว่าสายพระเนตรของพระองค์จดจ้องมาที่นางอย่างแน่วแน่
สายพระเนตรนั้นเหมือนกับจะบอกว่า หากนางกล้าแตะต้องไทเฮาน้อย เขาก็จะให้นางได้งอกเงยอยู่บนภูเขาเทียนซานตลอดไป
หยวนเฟยรู้สึกเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที นางผงกศีรษะ “คนของแคว้นต้าโจวอย่างพวกเรา ไหนเลยจะถูกยุแยงให้แตกแยกได้ง่ายๆ”
ว่าแล้วนางส่งสายตาให้ไทเฮาน้อย กระซิบเสียงเบาที่ข้างหูนางว่า “ไทเฮาเพคะ อย่างข้าถือว่าพอจะยังมีทางช่วยได้หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันเกือบจะหลุดขำออกมาเพราะนางอยู่แล้ว จึงตอบกลับไปด้วยเสียงเบาๆ ที่ได้ยินกันสองคนว่า “ต่อไปภายหน้าหากเจ้ามาเล่นกับข้าที่ตำหนักเฟิ่งหมิงกงบ่อยๆ ข้าก็จะช่วยเจ้า”
นางมารน้อยหยวนเฟยผู้นี้ ทั้งน่ารักทั้งน่าสนใจ หากไม่มาเล่นกับตนบ่อยๆ ก็น่าเสียดายไปแล้ว
เพียงแต่ว่าอุปนิสัยของนางออกจะถือดีและดื้อรั้น ไม่ใช่ประเภทที่เรียกหาก็มาง่ายๆ
“ได้ ได้ ได้ ข้าจะไป ไปตำหนักของท่านทุกๆ วัน อยู่ให้ท่านเรียกหาได้ตลอด ขอไทเฮาช่วยชีวิตด้วยเถอะเพคะ” หยวนเฟยยอมแล้ว
อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่รักอิสระ และตามแต่ใจตนเองอยู่แล้ว ได้คลุกคลีกับไทเฮา ก็น่าจะมีโอกาสได้โบยบินมากกว่าเดิม
ตู๋กูซิงหลันแม้จะเป็นคนประหลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่ชั่วร้ายอะไร มีฝีมือสูงส่ง หากได้สนิทสนมกับนางก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
แถมตอนนี้มือของนางใกล้จะถูกไม้หนามนั้นกลืนกินเข้าไปอยู่แล้ว นางมีแต่ความร้อนใจ
เหยียนเฉียวหลัวเห็นสองคนกระซิบกระซาบไม่หยุด ก็กล่าวขึ้นมาว่า “หยวนเฟย เจ้าอย่าได้ไปเชื่อถือนาง นางอยากให้เจ้ารีบๆ ตายไปซะ จะได้ครอบครองฝ่าบาทเพียงผู้เดียว”
บังเอิญจริงๆ ผู้อื่นเห็นแล้วก็คิดไปในทางเดียวกัน
พอเหยียนเฉียวหลัวพูดจบ ก็เห็นตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปคว้ายอดหนามบนข้อมือของหยวนเฟยขึ้นมาทันที
——
คุยกันนิดนึง:
ดอกบัวขาว: ชาวจีนมีคำกระแนะกระแหนผู้หญิงที่ชอบทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าแต่ลับหลังวางแผนแทงผู้อื่น ว่าเป็นดอกบัวขาว เช่น โอ้ย! แม่นางเอกนอกจอ แม่ดอกบัวขาว ทั้งดีทั้งสวยทั้งมีเมตตา หล่อนใช้วิธีนี้สินะถึงได้จีบผู้ชายสำเร็จ
ตอนต่อไป : “หลงจนโงหัวไม่ขึ้น” (ชอบชื่อตอนนี้)
ตอนที่ 282 หลงจนโงหัวไม่ขึ้น
นางคิดจะใช้มือเปล่าถอนออกมา!
พอเห็นภาพตรงหน้า ผู้คนก็พากันสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความเหน็บหนาว
พวกเขาต่างก็รู้ว่า หากว่าโดนปลายหนามเกี่ยวเข้า ต่อให้เป็นเพียงการสะกิดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะโดนพิษของมัน บาดแผลจะเกิดต้นหนามงอกออกมา
สตรีผู้นั้นไยจึงโง่เง่า จนถึงขนาดทำเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา
หรือนางคิดว่า แค่บ่งเอายอดหนามออกมาจากบาดแผลบนมือของหยวนเฟยก็จบแล้วหรือ?
คิดเช่นนั้นมันไร้เดียงสาไปแล้ว!
ฝ่าบาทมิได้ขัดขวาง แต่สายพระเนตรของพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบก็ไม่ได้คลาดไปจากตัวนาง
แม้ว่าพี่ชายทั้งสองคนจะเชื่อมั่นในความสามารถของผู้เป็นน้องสาว แต่ตอนนี้ก็มีเหงื่อเย็นๆ ออกมาเหมือนกัน
นับตั้งแต่ที่น้องเล็กฟื้นขึ้นมาจากการฆ่าตัวตาย ก็มักจะทำอะไรเกินความคาดหมาย พวกเขาล้วนไม่เข้าใจ
อู๋เจินนับว่าเป็นคนที่สงบนิ่งที่สุดแล้ว เขาละอยากจะไปหาเก้าอี้มานั่งดูงิ้วฉากนี้ด้วยซ้ำไป
อย่างไทเฮาน้อยนะรึ? ……นั่นน่ะเป็นท่านเซียนใหญ่เลยนะ
ขนาดท่านเจ้าอารามอู๋เทียนของพวกเขา ก็อาจจะเทียบไม่ได้ด้วยซ้ำไป จะไปกังวลทำไมกัน?
ส่วนพวกนักพรตที่มาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานเหล่านั้น……เฮอะ ไม่อยู่ในสายตาเลยเสียด้วยซ้ำ
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันจับยอดหนามเอาไว้โยกไปโยกมา ก็โคลงศีรษะ “เจ้าสิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะหยั่งรากลึก ถอนยากพอควร”
หยวนเฟย “……” ไทเฮาเพคะ เวลาแบบนี้อย่าพึ่งล้อเล่นกับนางจะได้ไหม?
“หยวนเฟยเพคะ ทรงอดทนสักหน่อยนะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้าจริงจัง จับปลายหนามเอาไว้แน่นแล้วก็ออกแรงกระชาก
เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะออกมาเสียงดัง “เจ้ามันบ้าไปแล้วหรือเปล่า? ไม้หนามนั่นงอกออกมาจากเลือดและกระดูก เจ้ายังคิดว่าจะถอนมันออกมาได้หรือ?”
“ข้าถึงบอกแล้วไง ว่าเจ้าน่ะอยากให้หยวนเฟยตายเร็วๆ ใช่หรือไม่?”
เหยียนเฉียวหลัวไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสตรีที่โง่เง่าขนาดนี้ ไปเข้าตาจีเฉวียนได้อย่างไร?
หรือว่าเขาชอบคนโง่ๆ เช่นนี้หรือ?
หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวยิ่งไม่สงบกว่าเดิม
ผู้อื่นต่างก็พากันมองมาที่ตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่โง่งมไปหมดแล้ว เดิมทียังคิดว่านางคงจะมีดีอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพวกที่ดีแต่ชิงดีชิงเด่นเท่านั้น
คนที่น่าสงสารที่สุดตั้งแต่ต้นจนจบก็คือหยวนเฟย
นางเป็นถึงองค์หญิงแห่งหนานเจียง พระสนมแห่งต้าโจว แต่ภายใต้การอนุญาตของฮ่องเต้ นางถึงกับถูกนางกำนัลผู้หนึ่งรังแก ไม่รู้ว่าหนานเจียงอ๋องที่ยอมเสียสละตนเองจนตายไปอยู่ในปรโลกพอรู้เข้า เขาจะรู้สึกเช่นไร
“เจ้าปล่อยหยวนเฟยไปเถอะ ต่อให้ไม่มีนาง ก็ยังมีพระสนมคนอื่นๆ อีก เจ้าไม่มีทางฆ่าได้หมดทุกคนหรอก”
มีเสียงคนผู้หนึ่งกล่าวออกมาจากกลางฝูงชน
โดยเฉพาะเหล่าคนที่ได้รับความทรมานจากไม้หนามไปก่อนหน้านี้ พอเห็นการกระทำของตู๋กูซิงหลันต่างก็พากันรู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งร่าง
“จริงด้วย ตอนนี้นางยังเป็นเพียงแค่นางกำนัล ก็ยังร้ายกาจถึงขนาดนี้ หรือจะต้องให้ฮ่องเต้มีแต่นางเพียงผู้เดียวไปทั้งชีวิตหรืออย่างไร?”
จีเฉวียนลองคิดๆ ดู ก็ถูกแล้วนี่สตรีที่เขาจะอยู่ร่วมด้วยในชาตินี้ก็มีแต่ตู๋กูซิงหลันเพียงผู้เดียว
ขณะที่เสียงจากฝูงชนยังไม่ทันจะดังขึ้นมาอีกครั้ง ตู๋กูซิงหลันก็ร้องออกมาคำหนึ่ง “อ้ายย่าห์ ในที่สุดก็เอาออกมาได้แล้ว”
เหยียนเฉียวหลัว “?”
แค่เพียงประโยคเดียว ก็ทำให้คนทั้งหมดหันกลับไปมอง
ต่างก็เห็นว่าบนใจกลางฝ่ามือของนางมีรากหนามสองสามนิ้ววางอยู่ พอรากหนามนั้นอยู่อย่างว่างเปล่าในอากาศก็บิดตัวด้วยความเจ็บปวด
ส่วนหลังพระหัตถ์ของหยวนเฟยนั้น กลับไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว ปากแผลที่ถูกดึงเอาหนามออกมา ก็สมานตัวเข้าหากันด้วยความรวดเร็วในทันที
เป็นไปได้อย่างไร? สตรีผู้นี้ถึงกับสามารถถอนรากไม้หนามออกมาได้จริงๆ หรือนี่?
นางทำได้อย่างไรกัน?
หยวนเฟยรู้สึกว่าเมื่อครู่ตอนที่ใจลอยไปเล็กน้อย อยู่ๆ ไม้หนามนั่นก็ถูกตู๋กูซิงหลันถอนออกไปในทันที นางรู้สึกแค่ว่ามีบางสิ่งในร่างกายถูกดึงออกไป หลังจากนั่น ร่างกายที่หนักอึ้งก็เบาสบายขึ้นมา
พอมองดูหลังมือของตนเอง ก็กลับเป็นเรียบลื่นเหมือนดังเดิม
ว่ากันตามจริง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แม้แต่ตัวนางก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก
คล้ายกับว่าในพระหัตถ์ของไทเฮาน้อยจะมียันต์อยู่ใบหนึ่ง ยันต์ใบนั้นถูกนางซุกเอาไว้ในมือ จึงไม่มีใครมองเห็น
หลังจากนั้น….ไม้หนามที่งอกออกมาจากเลือดเนื้อและกระดูกก็ถูกนางถอนออกมา
พอถอนหนามให้ทางนี้เสร็จแล้ว ตู๋กูซิงหลันก็เอารากไม้หนามแท่งนั้นวิ่งไปหาจีเฉวียน กล่าวกับเขาว่า “ฝ่าบาทเพคะ พระองค์ก็ทรงทราบว่า บรรพบุรุษของข้านั้นชอบปลูกต้นไม้ เรื่องการปลูกๆ ถอนๆ อะไรเนี่ย บ่าวชำนาญที่สุดแล้ว ต้นไม้หนามนี้ก็งามดีไม่เลว ไยเราจึงไม่เอามันกลับไปปลูกไว้ในวังละเพคะ?”
จีเฉวียนมองดูนาง อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า บรรพบุรุษของนางยังชำนาญการตบหน้ารักษาพิษอีกด้วย
พระองค์ทรงรู้สึกว่า เมื่อครู่นางสมควรจะถอดรองเท้ามาตบๆ หน้าหยวนเฟยสักชุดหนึ่ง ไม่แน่ว่ายอดหนามนั่นก็อาจจะหลุดออกมาเองก็เป็นได้
ตู๋กูซิงหลันไม่รู้จริงๆ ว่าฝ่าบาทกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ดังนั้นนางจึงมองดูเขาอย่างเงียบเชียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยกล่าววาจาร้ายกาจออกมา
“ท่าจะให้ดีที่สุดก็ปลูกเอาไว้ในพระตำหนักตี้หัวกงของพระองค์ หากว่ามีศัตรูที่เซ่อซ่าบุกเข้ามา เฮอะ ฝ่าบาทก็ทรงใช้สิ่งนี้ทิ่มตำเขา! ทิ่มๆๆ เอาให้ตายไปเลย!
ฝูงชน “!!!” สวรรค์ทรงโปรด ทำไมในโลกนี้ถึงได้มีสตรีที่ร้ายกาจเช่นนี้ได้!
แค่ได้ฟังที่นางพูดออกมา หัวใจของพวกเขาก็เกิดอาการชาแล้ว
จีเฉวียนทรงพระสรวลเบาๆ “ดี”
ผู้คนทั้งหมดต่างก็กล่าวอะไรไม่ออกแล้ว ….ดีกับพ่อเจ้าน่ะสิ! ความคิดที่โหดร้ายเช่นนี้ เขาคิดว่ามันดีที่ตรงไหนกัน?
“ฮ่องเต้ที่สามารถรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเช่นฝ่าบาทนี้ ต่อให้จุดโคมตามหาก็ยังไม่เจอเลยเพคะ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะอย่างเบิกบาน
รากหนามในมือของนางยังคงดิ้นรน พอมันดิ้นอีกครั้ง ข้างกายก็เกิดไฟสีน้ำเงินบางๆ ขึ้นมาชั้นหนึ่ง
ทำเอามันตกใจจนไม่กล้าขยับตัวอีกแล้ว
ต้นไม้หนามเหล่านี้เกิดมาจากเลือดเนื้อ มันย่อมหวาดกลัวความเจ็บปวด
โดนยันต์ของตู๋กูซิงหลันเข้าไปแผ่นหนึ่ง ก็ได้แต่ต้องยินยอมอย่างศิโรราบ ไหนเลยยังจะกล้ากำแหงอีก?
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหยกสรรพชีวิตอีกแล้ว แต่ว่านางก็มิได้อ่อนแอ
พวกปีศาจที่เคยได้พบมาในโลกก่อน ยังคงร้ายกาจยิ่งกว่าสิ่งเหล่านี้มากนัก
“เป็นความคิดที่ดี เราย่อมต้องรับฟัง” สายตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันมีแต่ความโปรดปราน
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปรับรากหนามนั้นมาถือเอาไว้ โดนมิได้หวาดกลัวว่ามันจะตำพระหัตถ์
ท่ามกลางสายตาของผู้คนที่จดจ้องมาพระองค์ก็ส่งต่อให้กับหลงเซียว ให้เขาเก็บรักษาเอาไว้ “เอากลับวัง ไปปลูกให้ดีๆ”
หลงเซียวอยู่ๆ ก็ได้รับหน้าที่เช่นนี้มา ในใจพลันเกิดความหวั่นวิตก
ต่อไปเขาคงจะต้องคอยเตือนเหล่าองครักษ์ลับ เวลาไปที่พระตำหนักตี้หัวต้องระมัดระวังตัวให้มากๆ เสียแล้ว มิเช่นนั้นหากไม่ระมัดระวังคงต้องบาดเจ็บกันเป็นแน่
กับไทเฮาน้อย……ฝ่าบาททรงถึงขั้นเชื่อฟังทุกคำพูดไปแล้ว
ที่ผ่านมาสีหน้าของหลงเซียวล้วนไม่เคยบ่งบอกอารมณ์ใดๆ แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไปยังตู๋กูซิงหลันกลับมีความเร่าร้อนขุมหนึ่งผุดขึ้นมา
เมื่อจีเฉวียนกวาดตามองมา หลงเซียวก็เก็บสายตากลับไป ส่งเสียงขานรับคำหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา”
รับคำเสร็จแล้ว ก็ถอยห่างจากตู๋กูซิงหลันอย่าไร้ซุ่มเสียง
เขาติดตามฝ่าบาทมานานหลายปี ทุกสายพระเนตรของพระองค์ เขาย่อมเข้าใจความหมายอย่างชัดเจน
หากยังไม่ถอยไป เกรงว่าเขาคงจะต้องกลายเป็นต้นไม้หนามต้นแรกของพระตำหนักตี้หัวกงอย่างแน่นอน
ตอนนี้ เหยียนเฉียวหลัวถึงกับมึนงงไปหมดแล้ว นางเบิกตาโต แทบไม่อยากจะเชื่อ
นังคนนั้น….นางทำได้อย่างไร?
นี่มัน…….เป็นไปไม่ได้!
นอกเสียจากว่า……นางก็เป็นนักพรตเหมือนกัน?
แถมยังเป็นนักพรตที่สูงส่งอย่างยิ่งอีกด้วย!
——
ตอนต่อไป “อยู่ดีๆ ก็สุมไฟใส่ตัว”
ตอนที่ 283 อยู่ดีๆ ก็สุมไฟใส่ตัว
ความคิดนี้ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปแล้ว
เมื่อมองดูใบหน้าที่คล้ายคลึงกับใบหน้าของตู๋กูซิงหลันอย่างที่สุด หัวใจของนางก็เกิดอาการเย็นวาบขึ้นมา
นางคิดมาตลอดว่า นังคนนี้ก็คือตัวแทนของตู๋กูซิงหลัน แต่คิดไม่ถึงว่า…..มันก็คือตู๋กูซิงหลัน!
คืนที่อยู่ในตำหนักหยู่เฉียนกงของต้าโจวนั้น ตู๋กูซิงหลันถูกล่อออกมา ….สตรีที่เกือบจะฆ่าศพคืนชีพเฒ่าผู้นั้นทิ้งไปก็คือตู๋กูซิงหลัน
จีเฉวียนเป็นคนพานางกลับไปพระตำหนักตี้หัวกงด้วยพระองค์เอง
ทำไมนางถึงได้คิดว่า ‘คนที่’ ถูกประคบประหงมอยู่ในตำหนักตี้หัวกงก็คือคนโปรดคนใหม่?
พอคิดมาถึงตรงนี้ นางก็หันกลับไปถลึงตาใส่เหยียนหยุนครั้งหนึ่ง
นางเข้าใจผิดไปตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นเหยียนหยุนที่มาบอกนางเรื่องที่ว่าตำหนักตี้หัวกงมีคนโปรดคนใหม่
เหยียนหยุนมิได้สนใจสายตาของนาง น้องสาวที่มีพิษร้ายเช่นนี้ ไม่มีก็ถือว่าไม่เป็นไร
เหยียนเฉียวหลัวกำหมัดของตนเองแน่นด้วยความผิดหวัง นางคำรามออกมาด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำแหลกสลาย “ตู๋กูซิงหลัน! เป็นเจ้า! เป็นเจ้าใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันเอียงคอ ทำสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสา จากนั้นค่อยแสดงความหงุดหงิดปนงุนงงออกมา “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? ไทเฮาของพวกเราประทับอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบายต่างหากเล่า”
เหยียนเฉียวหลัวอยากจะเข้าไปกระชากใบหน้าของนาง นังนี่คือนังคนตอแหล!
นังคนน่าอายที่คิดจะเชิดหน้าชูคอขึ้นมา
นางได้แต่กัดริมฝีปากตนเองเอาไว้ จนกระทั่งมีเลือดไหลออกมา นางตกหลุมพลางอีกครั้งเสียแล้ว เป็นเพราะนังคนนี้!
ผู้คนทั้งหลายเมื่อได้ยินเสียงของเหยียนเฉียวหลัว ก็อดไม่ได้ที่จะมองดูตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง
ไทเฮา? แม่นางตุ๊กตาที่เหิมเกริมผู้นี้น่ะรึ? เป็นไปไม่ได้ละมั้ง!
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยได้เห็นตัวจริงมาก่อน แต่ก็รู้ว่าไทเฮาน้อยแห่งต้าโจวคือยอดโฉมงามที่อ้อนแอ้น นางคือสตรีที่งดงามจนทำให้อดีตฮ่องเต้เห็นแล้วต้องสิ้นไป
แม่นางตุ๊กตาผู้นี้ถึงแม้ว่าจะงดงาม แต่ว่ารูปร่างหน้าตาก็ออกจะไปในทางน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น มีไทเฮาที่ไหนจะไม่รู้จักกาลเทศะ ใส่ชุดนางกำนัลออกมาวิ่งวุ่นวายอยู่ภายนอก เกรงว่าแม้แต่จีเฉวียนเองก็คงจะไม่ยินยอมให้ไทเฮาของแคว้นตนทำเช่นนั้นเป็นแน่
เหยียนเฉียวหลัวผู้นั้นคงจะถูกบีบคั้นจนร้อนรน ถึงได้เที่ยวกัดเขาไปทั่ว
แต่ว่าเหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บต่างก็เกิดความลังเลขึ้นมา ไม่กล้าต่อต้านเหยียนเฉียวหลัวอย่างง่ายๆ เนื่องเพราะแม้ว่าพวกเขาจะได้กินยาระงับพิษเข้าไปแล้ว แต่ว่ารากหนามที่อยู่ในร่างกายยังไม่ถูกถอนออกมา
หากว่าเหยียนเฉียวหลัวเกิดตายไป ….พวกเขาก็คงจะต้องร่วมกลบฝัง
ภายใต้การบีบบังคับของเหยียนเฉียวหลัว พวกเขาจึงได้แต่แข็งขืนต่อต้านฮ่องเต้แห่งต้าโจว
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เคลื่อนไหว ก็เห็นตู๋กูซิงหลันกระตุกชายฉลองพระองค์ของจีเฉวียน กล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า
“ฝ่าบาทเพคะ ถึงอย่างไรบรรพบุรุษของข้าก็เป็นผู้ที่ถนัดขุดๆ ปลูกๆ พืชพรรณมาก่อน หนามแหลมที่อยู่ในร่างของเหล่าผู้กล้าในแผ่นดินทั้งหลายยังไม่ได้ถอนออกไป ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาไพศาลประทานอนุญาตให้บ่าวถอนหนามให้พวกเขาได้ไหมเพคะ?”
จีเฉวียนไหนเลยจะยอมให้นางไปลำบากลำบนเช่นนั้นได้กัน
“พอดีเลยบรรพบุรุษของนักพรตอู๋เจินก็เป็นพวกที่ชอบปลูกต้นไม้เหมือนกัน เรื่องนี้ก็มอบให้เขาจัดการเถอะ”
จากนั้นก็หันพระพักตร์ไปทอดพระเนตรอู๋เจิน “?”
ตายโหง…. เขาไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอะไรด้วยแท้ๆ ….อยู่ดีๆ ทำไมความโชคร้ายถึงได้หล่นใส่หัว
ด้วยวิชาอาคมน้อยนิดของเขาจะไปจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร?
“โอ้ เง็กเซียนบนสวรรค์ ฝ่าบาทตรัสอย่างมีเหตุผล บรรพบุรุษของอู๋เจินทั้งสามรุ่นเป็นผู้ที่ชอบปลูกพืชจริงๆ งานหนักเช่นนี้มอบให้บุรุษไปกระทำย่อมเหมาะสมยิ่งแล้ว แม่นางน้อยผู้นั้นเพียงแต่คอยดูแลฝ่าบาทและพระสนมหยวนเฟยให้ดีก็พอแล้ว” นักพรตเคราขาวอู๋เทียนเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนก้าวออกมา ทั้งยังผลักอู๋เจินออกไปด้านหน้า
อู๋เจินอยากจะหลั่งน้ำตา …..นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าอารามได้ทราบว่าไทเฮาน้อยเป็นสุดยอดท่านเซียนขึ้นมานั้น ก็ครุ่นคิดแต่จะหาวิธีอัญเชิญไทเฮาน้อยไปประทับที่อาราม
นี่ก็เห็นชัดเลยว่า คิดจะขายคนกันเองทิ้งไปง่ายๆ
อู๋เจินได้แต่ฝืนยิ้มออกมา “ใช่แล้วๆ เรื่องนี้ข้านักพรตถนัดอย่างยิ่ง”
ว่าแล้ว เขาก็ก้มหน้าก้มตาเดินออกไป ก่อนที่จะเดินไปอู๋เทียนก็รั้งเอาไว้ ส่งถุงมือไหมสีดำให้เขาคู่หนึ่ง แม้อู๋เจินจะสวมถุงมือเอาไว้ แต่ก็ยังไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
เขานำเหล่าลูกศิษย์หน้าละอ่อนออกไปด้วย เริ่มให้ความช่วยเหลือถอนหนามให้กับคนที่ได้รับบาดเจ็บ
เมื่อมียันต์อยู่เป็นปึกๆ ประกอบกับถุงมือที่ท่านเจ้าอารามประทานมาให้ เรื่องราวก็คล้ายจะไม่ยากสักเท่าไหร
ผ่านไปครู่หนึ่งก็สามารถถอนหนามอันแรกออกมาได้
เหล่าผู้ได้รับบาดเจ็บเห็นดังนั้น ต่างก็พากันหันเหออกจากเหยียนเฉียวหลัว รุมเข้าไปหาอู๋เจินราวกับฝูงผึ้ง วิงวอนขอความช่วยเหลือ
ถึงตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดก็ชัดเจนออกมาแล้ว ในเมื่อไม่จำเป็นจะต้องเป็นศัตรูกับฮ่องเต้แคว้นต้าโจว พวกเขาย่อมไม่เอาด้วยอย่างแน่นอน
เหยียนเฉียวหลัวเห็นดังนั้น ก็โกรธเกรี้ยวแทบเป็นแทบตาย!
ทำไมนางถึงได้ไม่รู้มาก่อน ว่าอารามเทียนเก๋อกวนก็สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้เหมือนกัน?
“ครั้งนี้เป็นเพราะว่าฮ่องเต้ของพวกเราทรงมีพระเมตตา พวกเจ้าก็อย่าได้ทำตัวเป็นหมาจิ้งจอกตาขาว” ตู๋กูซิงหลันที่อยู่ด้านข้างว่าต่อไป “นักพรตอู๋เจินของพวกเราความทรงจำดีมาก วันนี้ได้ทำการรักษาให้ผู้ใดไปบ้าง เขาย่อมต้องจดจำได้อย่างชัดเจน ถึงเวลาหากยังมีใครกล้าหาเรื่องขึ้นมา คนนั้นย่อมเป็นคนต่ำช้าอกตัญญูไม่รู้บุญคุณ ที่ใครๆ ก็สามารถจัดการได้”
“แม่นางกล่าวได้อย่างถูกต้อง พวกเราได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ย่อมต้องจดจำเอาไว้ ภายหน้าหากว่าฮ่องเต้ต้าโจวมีพระบัญชาลงมา พวกเราก็พร้อมตอบสนอง” เหล่าผู้บาดเจ็บต่างรับคำ เวลาเช่นนี้ไหนเลยจะยังกล้าเผชิญหน้าได้อีก
ดูจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ พลังอำนาจของแคว้นต้าโจวได้ปรากฏให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว ดูท่าทางแผ่นดินอันกว้างใหญ่แห่งนี้คงจะต้องตกเป็นของแคว้นต้าโจวในไม่ช้าก็เร็ว
พวกเขายังจะต่อสู้อย่างไร้ประโยชน์ไปอีกทำไม?
เห็นชัดอยู่แล้วว่าสถานการณ์ทั้งหมดในตอนนี้ ถูกจีเฉวียนควบคุมเอาไว้หมดแล้ว
นางกำนัลน้อยผู้เหิมเกริมที่ยืนอยู่ข้างกายฮ่องเต้ ก็ราวกับเป็นเจ้าของวังหลังตัวจริง
หากมิใช่ว่านางเจ้าเนื้อไปทั้งตัว ผู้คนทั้งหลายก็คงคิดว่านางกับไทเฮาน้อยจะต้องมีส่วนที่เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน
ยามนี้ผู้คนต่างก็พากันให้ความเคารพยำเกรงนางขึ้นมา นางกำนัลน้อยที่ฮ่องเต้แห้งต้าโจวทรงโปรดปรานอย่างที่สุดผู้นั้น นับตั้งแต่วินาทีที่ปรากฏตัวขึ้นมา สายพระเนตรของฝ่าบาทก็ไม่เคยคลาดไปจากตัวนางเลย
สายพระเนตรที่แสดงถึงความโปรดปรานนั้น ชัดเจนอย่างยิ่ง
เหยียนเฉียวหลัวใกล้จะระเบิดเป็นควันออกมาอยู่แล้ว มือข้างหนึ่งของนางเกาะกุมท้องเอาไว้ ซี่โครงหักไปแล้ว แม้จะเจ็บมากเพียงไร ก็ยังไม่อาจเทียบได้กับความเจ็บใจที่นางได้รับ
นางหลงชอบจีเฉวียนมานานหลายปี อุทิศตนไปเพื่อเขาไปตั้งมากมาย เขากลับไม่เคยมองมาที่นางเลยสักนิด
แต่ว่าสายพระเนตรที่เปี่ยมไปด้วยความโปรดปรานนั้น….กลับเป็นของนังนั่นทั้งหมด!
นางกำหมัดทั้งสองอย่างแนบแน่น สายตาเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตแค้น
ในขณะที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น ในทะเลสาบที่อยู่ด้านหลังของนาง มีหมอกดำกำจายออกมาสายหนึ่ง มันค่อยๆ คืบคลานจากปลายเท้าของนางเข้าสู่ร่างกายอย่างช้าๆ
เหยียนเฉียวหลัวที่เดิมที่ก็มีแต่ความคับข้องใจอย่างเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว ยามนี้ความแค้นทั้งหมดยิ่งทวีกำลังขึ้นมา
เสียงกระดูกสันหลังของนางลั่นดังกรอบแกรบ เส้นเลือดดำที่ลำคอก็ปูดโปนเป็นสีดำคล้ำขึ้นมา
ในสมองมีเสียงหนึ่งดังขึ้นภายใน “เกลียดสิ…เกลียดให้มากๆ …พวกมันล้วนสมควรตาย”
เหยียนเฉียวหลัวโคลงศีรษะ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าในร่างกายมีพละกำลังมหาศาลขึ้นมา
พลังนั้นเอ่อท้นไปทั่วทั้งร่าง
นางสบัดมือออกไป ก็เกิดเสียงลมฟาดออกมา พลันมีดาบสีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นจากใจกลางฝ่ามือของนาง
ดาบสีดำเล่มนั้นเปี่ยมไปด้วยไอดำที่เข้มข้น ดาบนี้ถึงกับงอกออกมาจากใจกลางฝ่ามือของนาง
พอนางเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสองข้างก็กลายเป็นสีแดงดุจเลือด
ในดวงตาของนางมองเห็นแต่เพียงตู๋กูซิงหลันผู้เดียวเท่านั้น
ในขณะที่ผู้คนทั้งหลายยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ดาบเล่มนั้นก็พุ่งเข้าใส่ตู๋กูซิงหลัน
ความเร็วนี้เสมือนดั่งสายฟ้าฟาด เพียงวูบเดียวก็พุ่งถึงเบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน
ตอนที่ 284 รักถึงขนาดอุทิศชีวิตให้นาง
ตู๋กูจุน ตู๋กูเจวี๋ย หยวนเฟยและหลงเซียวต่างก็ยืนอยู่ด้านหลังตู๋กูซิงหลัน
ตอนนั้นพวกเขาเพียงแต่รู้สึกว่ามีพลังลึกลับที่แข็งแกร่งขุมหนึ่งพุ่งเข้ามา ขนาดผิวกายของพวกเขายังถูกสายลมนั้นกรีดจนเจ็บแสบ
ทั่วทั้งร่างคล้ายถูกอัดกระแทก หลายคนในพวกเขาถูกผลักจนกระเด็นไปด้านหลังก้าวใหญ่
ตู๋กูจุนรีบปักดาบเล่มใหญ่เอาไว้เบื้องหน้าของคนทั้งหมด
เมื่อมีดาบยักษ์กำบังพลังที่รุนแรงสายนั้น ผู้คนที่เหลือค่อยสามารถสูดลมหายใจเข้าไปได้
พอลืมตาขึ้นมามอง ทั้งหมดก็เห็นว่าฮ่องเต้ทรงใช้พระองค์เองบดบังตู๋กูซิงหลันเอาไว้ทั้งตัว
ดาบสีดำเล่มนั้นแทงทะลุหัวไหล่ของพระองค์ไปแล้ว
ส่วนตู๋กูซิงหลันถูกกอดเอาไว้ในอ้อมพระพาหา พระหัตถ์ที่ใหญ่โตนั้นโอบศีรษะของนางเอาไว้อย่างแน่นหนา เส้นผมที่ยาวสลวยนั้นซุกอยู่ในอ้อมพระอุระ
หนึ่งดาบแทงทะลุ เลือดสดสาดกระเซ็น ไอเย็นแผ่ซ่านทะลุขึ้นไปบนชั้นฟ้า
พลังในหมอกสีดำที่เกาะติดอยู่บนตัวดาบดำนั้นแทบจะกลืนกินจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันลงไป
ตู๋กูซิงหลันคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนที่ดาบเล่มนั้นพุ่งเข้ามา ปฏิกริยาแรกของจีเฉวียนก็คือรับดาบแทนนาง
ที่จริงแล้ว หากมิใช่ว่าเขาคว้าตัวนางเอาไว้อย่างแน่นหนา ดาบนั้นนางยังมีโอกาสหลบพ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง
แต่ว่าตอนนี้นางถูกการกระทำของเขาทำเอาตกตะลึงไปเสียแล้ว
นางพึ่งจะขยับปากได้ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “ไม่ต้องพูดอะไร”
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ปิดปากเอาไว้ พลันรู้สึกว่าข้างแก้มของนางเย็นวาบ นางถึงได้เห็นว่าหัวไหล่ของจีเฉวียนเปียกชื้นไปทั้งแถบ
เขาสวมใส่ฉลองพระองค์สีดำลายทอง ต่อให้โดนเลือดย้อมก็ยังมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ฉลองพระองค์เปียกชื้นเย็นยะเยือกเสมือนหนึ่งเป็นน้ำแข็ง ความเย็นแทรกจากผิวหน้าซึมเข้าสู่หัวใจของนาง
“ซวยแล้ว ฮ่องเต้สุนัขตกหลุมรักเจ้าเข้าจริงๆ เสียแล้ว!” วิญญาณทมิฬเกาะอยู่บนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน นี่เป็นครั้งแรกที่มันสัมผัสได้ถึงความรักของจีเฉวียน
การตัดสินใจที่เกิดขึ้นในฉับพลันของคนเรานั้น จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมดออกมา
ความรักชอบที่จีเฉวียนมีให้กับตู๋กูซิงหลันนั้น ……ที่แท้ก็ไม่ใช่เพียงแค่คำพูด
แต่หากให้เปรียบเทียบกับเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่มันกังวลใจยิ่งกว่าก็คือ มันรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายจากดาบสีดำเล่มนั้นอย่างยิ่ง!
ตู๋กูซิงหลันเองก็เช่นกัน นอกจากนางจะตกใจทั้งยังซาบซึ้งกับการกระทำของจีเฉวียนแล้ว ก็ยังแบ่งความสนใจส่วนหนึ่งมาที่ดาบสีดำของเหยียนเฉียวหลัวอีกด้วย
ถึงตอนนี้ เหยียนเฉียวหลัวก็กลายเป็นเสียสติคลุ้มคลั่งไปแล้ว
ดวงตาของนางแดงก่ำ ทั่วทั้งร่างมีแต่ไอแค้นและแรงอาฆาต ทันทีที่ดาบแทงทะลุหัวไหล่ของจีเฉวียนเข้าไป ความแค้นของนางก็ยิ่งลึกล้ำกว่าเดิม
ก่อนหน้านางคิดว่าจีเฉวียนคงจะชอบตู๋กูซิงหลันอยู่บ้างสักเล็กน้อย แต่ตอนนี้ตนถึงได้รู้ว่า เขาชอบนางจนถึงขนาดที่….ไม่อาจจะมีอะไรมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ชอบถึงขนาดที่ไม่ลังเลที่จะ….ตายแทนนาง
“จีเฉวียน ทำไมท่านถึงไม่ชอบข้า ทำไมถึงได้ผูกพันลึกซึ้งแต่กับนาง!” เหยียนเฉียวหลัวตาแดงก่ำแผดเสียงตะโกนออกมา ดาบในมือก็แทงลึกเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง
ทะลุเนื้อหนัง ทะลวงออกไปอีกด้าน
จีเฉวียนเพียงแต่ขมวดคิ้วแนบแน่น ตรัสออกมาคำหนึ่งอย่างเย็นชา “ในโลกนี้ มีแต่นางที่คู่ควรให้เราชอบ”
“ข้าไม่ฟัง!” เหยียนเฉียวหลัวกระชับดาบในมือ “ห้ามท่านชอบนาง ห้ามชอบนาง! ท่านลืมแล้วหรือ ตอนที่อยู่ในต้าเหยียนพวกเราเคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน! ต่อให้ท่านไม่ชอบข้า ท่านก็ควรจะจดจำฉางซุนอิงได้! ต่อให้จะชอบใคร ท่านก็ควรจะไปชอบฉางซุนอิงต่างหาก นางน่ะเพราะเพื่อท่านแล้ว ถึงได้….”
ทันทีที่ได้ยินชื่อของฉางซุนอิง สีพระพักตร์ของจีเฉวียนก็เปลี่ยนแปลงไป
ไม่รอให้เหยียนเฉียวหลัวทันพูดจบ เขาก็ซัดฝ่ามือออกไปครั้งหนึ่ง
เหยียนเฉียวหลัวรับฝ่ามือของเขาเข้าไปเต็มๆ คนก็ลอยออกไปทั้งตัว
คราวนี้ไม่มีผู้ใดออกมาช่วยเหลือนาง รวมไปถึงผู้อาวุโสหยู่ซั่งอาจารย์ของนางเอง
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตกใจยิ่งกว่าเดิม
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมเหยียนเฉียวหลัวถึงได้มีวิชาอาคมถึงระดับนั้น ดาบดำเล่มนั้นคล้ายดั่งกับว่างอกเงยออกมาจากร่างกายของนาง
ภูเขาฮว่าชิ่งซานฝึกฝนวิชาใดกันแน่? ตกลงแล้วเป็นวิชาเซียนหรือว่าวิชามาร?
ผู้คนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองดูเหล่านักพรตภูเขาฮว่าชิ่งซาน
แต่เห็นเพียงว่าพวกนักพรตเหล่านั้นขมวดหัวคิ้วแน่น ราวกับคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
ในขณะที่ผู้คนกำลังตื่นตกใจนั้น ก็เห็นว่าบนร่างของเหยียนเฉียวหลัวที่กำลังจะตกลงไปในทะเลสาบ มีหมอกสีดำพวยพุ่งออกมา
หมอกสีดำนั้นกลายเป็นมือผอมๆ ที่ยาวเฟื้อย พุ่งเข้ามาหาจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า
ครั้งนี้ ตู๋กูซิงหลันผลักจีเฉวียนออกไป ทำให้ตนเองถูกมือหมอกดำนั้นคว้าตัวไป จนถูกเหยียนเฉียวหลัวลากตกลงไปในสระสวรรค์ด้วยกัน
เมื่อครู่นางติดค้างจีเฉวียนไปแล้วหนึ่งดาบ ความรู้สึกติดค้างเช่นนี้หากยิ่งมีมากก็คงยิ่งสะสางไม่ออก
ฝ่ามือนี้นางใช้พละกำลังอย่างแรง ถึงได้ผลักจีเฉวียนออกไปได้
จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตูมตาม’ สองครั้ง ทั่วทั้งทะเลสาบก็สงบเงียบลงทันที
จีเฉวียนมิได้หยุดยั้งลงแม้แต่น้อย เขารีบกระโดดตามลงไป
เงาร่างของชุดสีทองร่วงลงไปในทะเลสาบ แทบจะไม่มีหยดน้ำกระเซ็นขึ้นมา ราวกับว่าคนทั้งคนจมลึกลงไป
“น้องเล็ก!”
“ฝ่าบาท!”
ผู้คนทั้งหมดต่างตกตะลึง
ตู๋กูจุนและตู๋กูเจวี๋ยมาถึงริมทะเลสาบ หากมิใช่ว่าท่านเจ้าอารามเทียนเก๋อกวนรั้งตัวเอาไว้ ทั้งสองคนคงจะกระโดดลงไปแล้ว
“ท่านแม่ทัพผู้พิชิต ฝ่าบาททรงมีพระบารมีสูงส่ง ย่อมไม่สวรรคตโดยง่าย” อู๋เทียนกล่าวต่อไป “ขอท่านแม่ทัพคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม พวกเราไม่อาจเสียกระบวน”
เมื่อครู่ตู๋กูจุนกังวลในตัวน้องเล็กมาเกินไป ดังนั้นจึงมึนหัวไปหมด
ยามนี้ถึงได้ค่อยๆ สงบลง
ที่นี่นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ยังมีคนของภูเขาฮว่าชิ่งซาน ต้าเหยียน ต้าฉิน เจ็ดแคว้นเล็กและขุมกำลังต่างๆ
หากว่าพวกเขาเสียกระบวน คนพวกนี้ก็อาจจะกลุ้มรุมกันเข้ามา
ใช่แล้ว….เขาไม่อาจว้าวุ่น
เขายืนอยู่ริมทะเลสาบ ออกคำสั่งลงไปในทันที
ให้นักพรตจากอารามเทียนเก๋อกวนเป็นแนวหน้า ลงไปในทะเลสาบ
ในตอนนั้นเองอิ๋งฉีก็ก้าวออกมา ผงกศีรษะให้กับตู๋กูจุนกล่าวว่า “นางกำนัลน้อยประจำตัวฮ่องเต้ต้าโจวผู้นั้น เคยช่วยชีวิตข้าผู้เป็นอ๋องเอาไว้ครั้งหนึ่ง เราผู้เป็นอ๋องสมควรตอนแทน หากว่าท่านแม่ทัพไม่รังเกียจ ข้าผู้เป็นอ๋องอาสานำเหล่านักพรตลงไปตามหาคน”
“สภาพในทะเลสาบค่อนข้างซับซ้อน ข้าผู้เป็นอ๋องคือผู้รอดชีวิตกลับมาเพียงหนึ่งเดียว พื้นที่ด้านล่างนั้นข้ายังคุ้นเคยอยู่บ้าง”
หากแยกเรื่องยาอายุวัฒนะเอาไว้ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งของความรู้สึกเขารู้ว่าตนเองติดค้างบุญคุณตู๋กูซิงหลัน
ตู๋กูจุนมิได้ขัดขวางเขา เพียงแต่มีสีหน้าดำคล้ำ
เขาต้องอยู่ที่ริมทะเลสาบ คอยจับตาผู้คนจากฮว่าชิ่งซาน
โดยเฉพาะคนชุดม่วงที่สวมใส่หน้ากากผู้นั้น
ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้จะพูดอยู่เพียงไม่กี่ประโยค แต่ความรู้สึกที่ตนได้รับนั้น เขาคือตัวอันตรายที่สุด
ดังนั้น คนกลุ่มหนึ่งจึงกระโดดตูมลงไปในทะเลสาบ ส่วนตู๋กูเจวี๋ยที่ปากมากอยู่ตลอดเวลาก็ต้องการจะติดตามกลุ่มของแคว้นฉินลงไปให้ได้
ตู๋กูจุนก็คร้านจะรั้งตัวเขาเอาไว้เช่นกัน
……………….
ในสระสวรรค์ สายน้ำเย็นอย่างยิ่ง
ทั้งสี่ทิศรอบด้านมีแต่ความมืดมิด ในกระแสน้ำยังมีศพแห้งลอยไปลอยมาอยู่ไม่น้อย
ศพแห้งที่ไม่ได้ถูกล่ามเอาไว้ ลอยเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย
ตู๋กูซิงหลันมีไอสีดำครอบคลุมอยู่รอบตัวอยู่ห่างจากเหยียนเฉียวหลัวไปประมาณห้าหกเมตร นางถูกไอสีดำนั่นพาดำลิ่งลงไปที่เบื้องหน้ารูปสลักทองแดงโบราณ
เส้นผมของรูปสลักโบราณนั้นเป็นหนามแหลมมากมาย ทั้งยังแขวนศพที่ยังไม่ถูกดูดจนแห้งดีเอาไว้
เมื่อมองลงไปจากมุมที่นางอยู่ สภาพข้างใต้เท้านี้เป็นดั่งขุมนรก
ตอนที่ 285 ฉางซุนอิง
ตู๋กูซิงหลันประกบสองหมัดเข้าหากันอยู่ภายใต้แขนเสื้อ ก่อนที่จะถูกลากลงมาในทะเลสาบ อิ๋งฉีที่มือเท้าว่องไวก็โยนลูกแก้ววารีเม็ดหนึ่งให้กับนาง
ตอนนี้ลูกแก้ววารีกำลังส่งพลังออกมา ครอบคลุมร่างกายทั้งหมดของนางเอาไว้ ไม่ให้นางสำลักน้ำ
ตู๋กูซิงหลันเคร่งเครียดอย่างยิ่ง นางกำลังจะแข็งทื่อไปทั้งตัวอยู่แล้ว
พอถูกไอสีดำนั่นลากลึกลงไป ความหวาดกลัวที่ซุกอยู่ในใจก็ผุดขึ้นมา
ในสมองของนางมีแต่ภาพยามตายของศิษย์น้องวนเวียนผ่านเข้ามาไม่ยอมหยุด นางได้แต่มองดูอย่างไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรได้ทั้งนั้น
ทันใดนั้นนางก็กระชากสองมือออก ปลายเล็บกรีดลงไปในใจกลางฝ่ามือ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากใจกลางฝ่ามือ
มีแต่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่สามารถช่วยเตือนให้นางสงบนิ่งลง
แต่ละคนล้วนมีอดีต ล้วนมีเรื่องที่ผ่านมา มีเรื่องที่ชอบ มีเรื่องที่หวาดกลัว
สิ่งที่ตู๋กูซิงหลันกลัวที่สุด ก็คือความทรงจำอันนั้น
ความรู้สึกสิ้นหวังที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้และความสำนึกเสียใจ…..แม้แต่ตอนนี้เมื่อนึกถึงขึ้นมาก็ยังทำให้นางต้องสั่นเทาไปทั้งร่าง
แม้แต่ในโลกก่อนนางก็ยังไม่อาจเอาชนะได้ และครั้งนี้ก็เช่นกัน การตายของศิษย์น้องยังคงหลอกหลอนอยู่ในใจของนาง เป็นหลุมลึกที่มิว่าอย่างไรก็ไม่อาจจะก้าวข้ามออกไปได้
เมื่อครู่นางคิดแต่เพียงว่าไม่อาจติดค้างความรู้สึกของจีเฉวียนได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงลืมไปว่านางเป็นโรคกลัวน้ำลึก
ภายในทะเลสาบ เหยียนเฉียวหลัวกลืนน้ำสีดำลงไปหลายต่อหลายอึก นางสำลักจนไอติดๆ กันหลายครั้ง
กระทั่งยามเมื่อนางใกล้จะขาดใจตายขึ้นมานั้น ก็เห็นว่าไอสีดำนั้นกลายเป็นดังหมอกดำสายหนึ่งโอบล้อมตัวนางเอาไว้ แบ่งแยกน้ำในทะเลสาบออกไป
เหยียนเฉียวหลัวหอบตัวโยน หมอกสีดำนั้นรายล้อมอยู่รอบตัวนาง เพียงครู่เดียว ก็ทำให้นางสามารถมองเห็นภาพทุกอย่างภายใต้ทะเลสาบได้อย่างชัดเจน
สภาพเบื้องหน้าแม้ว่าจะน่าหวาดผวา แต่พอนางได้เห็นดวงตาดอกท้อของตู๋กูซิงหลันที่มีแต่ความหวาดกลัวนั้น ในใจของนางก็พลันเกิดความปิติขึ้นมา
“เฮอะ เฮอะ เฮอะ…..” นางเปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ดูท่าองค์หญิงอย่างข้าไม่เพียงแต่มีชะตาเข้มแข็งไม่ต้องตาย แถมยังถูกบางสิ่งเลือกสรรเข้าแล้ว”
หมอกสีดำเหล่านี้ก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด
ก่อนหน้านี้ดาบสีดำออกมาจากฝ่ามือของนาง และพละกำลังที่อยู่ๆ ก็เพิ่มพูนขึ้นมาก็เป็นหลักฐานอีกอย่างเช่นกัน
สิ่งที่อยู่ในสระสวรรค์นี้ได้เลือกนาง ดังนั้นจึงได้มอบพลังให้แก่นาง ทำให้นางสามารถมีพลังประมือกับจีเฉวียน แล้วตอนนี้ ก็ยังลากนังคนที่น่ารังเกียจนั่นลงมาในทะเลสาบอีกด้วย
“ตู๋กูซิงหลัน เจ้าไยไม่ทำท่ายโสโอหังต่อไปเล่า? ตอนที่อยู่บนทะเลสาบมิใช่ว่าเก่งกาจนักหรอกหรือ? ที่แท้เจ้าก็มีเรื่องที่หวาดกลัวอยู่เหมือนกัน ฮิ ฮิ ฮิ …” นางหัวเราะเสียงแหลมใส่ จากนั้นก็รวบรวมหมอกสีดำเหล่านั้นเข้ามา
เพียงแค่นางดีดนิ้วเบาๆ หมอกสีดำหลายสายก็พุ่งเข้าหาตู๋กูซิงหลันดุจลูกธนู ทำลายอาณาเขตที่ลูกแก้ววารีสร้างขึ้นมาจนเกิดเป็นรูรั่ว
“หลันหลัน เจ้ามีสมาธิหน่อย!” วิญญาณทมิฬเองก็ถูกห่อหุ้มอยู่ภายในลูกแก้ววารีด้วยเช่นกัน
มันเข้าใจตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี
สตรีผู้นี้ยามปกติไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน แต่เป็นโรคหวาดกลัวน้ำลึก
ความตายของศิษย์น้องคือปมในใจของนาง ที่นางไม่อาจละวางได้
ตอนนี้ถูกลากลงมาโดยมิได้รู้ว่าจะต้องเจอะเจอกับอะไรบ้าง จึงถือว่าคับขันอย่างแท้จริง โดยเฉพาะหมอกสีดำที่ครอบคลุมอยู่ทั่วร่างของเหยียนเฉียวหลัว ช่างให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างยิ่ง
ยิ่งจมลึกลงไปในทะเลสาบ กลิ่นอายก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร” ตู๋กูซิงหลันกำฝ่ามือเอาไว้ พยายามฝืนใจต่อต้านความทรงจำอันเกี่ยวโยงกับความตายของศิษย์น้องที่ผุดขึ้นมา
ยามเมื่อลูกธนูจากหมอกดำนั้นพุ่งผ่านเข้ามา อาณาเขตของลูกแก้ววารีก็สั่นสะเทือนเกิดเป็นเสียงครืนครืน
นางรีบผนึกยันต์แผ่นหนึ่งลงไป
ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีทองสาดส่องออกมาในทันที อาณาเขตของลูกแก้ววารีจึงมั่นคงขึ้น
แม้แต่ลูกธนูจากหมอกสีดำก็ยังยิงไม่เข้า
“เป็นเจ้าจริงๆ” เหยียนเฉียวหลัวยิ้มเ**้ยมเกรียม “เจ้าทำให้ข้าเป็นเหมือนกับคนโง่ แต่ว่ากระทั่งฟ้าดินก็ไม่อาจทนดูได้อีกต่อไป จึงได้จะทำลายเจ้าเสีย”
เหยียนเฉียวหลัวเกลียดชังนางอย่างที่สุด “วันนี้สระสวรรค์จะกลายเป็นสุสานของเจ้า”
ว่าแล้ว นางก็คำรามเสียงดังออกมา ด้วยสองตาที่แดงก่ำ จากนั้นก็ซัดลูกธนูสีดำออกมาอีกหลายดอก
ถึงพลังป้องกันของนางจะแข็งแกร่งเพียงไร หรือยังจะสามารถต้าทานความประสงค์ของฟ้าดินได้กัน?
เหยียนเฉียวหลัวยิ้มอย่างเย็นชาพลางส่งลูกธนูออกไป ขณะเดียวกันก็กล่าวอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ก่อนเจ้าจะตาย ข้าจะบอกให้เจ้ารู้เอาไว้ อย่าได้คิดว่าจีเฉวียนชอบเจ้าเข้าแล้วจริงๆ ต่อให้ในใจของเขาไม่มีข้า ก็ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่อย่างแน่นอน เป็นคนที่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจจะแทนที่ได้ทั้งนั้น”
“ฉางซุนอิง เจ้าเคยได้ยินชื่อของนางมาหรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจนางเลย นางเพียงแต่กวาดตามองออกไป มองดูสถานการณ์ใต้ทะเลสาบ
ตั้งแต่ที่พวกนางดิ่งลงมาตรงหน้ารูปสลักขนาดใหญ่ ก็ยิ่งดิ่งลงไปเรื่อยๆ ยิ่งลงไปลึกก็ยิ่งสามารถมองเห็นแขนที่ถูกล่ามเอาไว้ได้อย่างชัดเจน
พวกนางดำดิ่งผ่านศพแห้งมากมายลงไปถึงก้นทะเลสาบ
ก้นทะเลสาบเป็นหลุมดำมืดลึกขนาดใหญ่ ราวกับสิ่งที่รอคอยจะกลืนกินพวกนางลงไป
ในหลุมดำมืดนั้นมีโลงทองแดงอยู่โลงหนึ่ง
ชั้นนอกของโลงมีร่องรอยของช่องที่ถูกแง้มออกมา
ไอหมอกสีดำที่เข้มข้นนั่นลอยออกมาจากโลงของเขา
พอเห็นว่าตู๋กูซิงหลันมิได้สนใจตนเอง ใจของเหยียนเฉียวหลัวก็เกิดความหงุดหงิดขึ้นมา นางถลึงตา ตะคอกออกไปว่า “ตู๋กูซิงหลัน เจ้าคิดจะหนีหรือ?”
“เจ้าคิดจะครอบครองจีเฉวียนเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่กลับต้องพบว่าในใจของเขามีใครอื่นอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นอย่างไร ความรู้สึกเช่นนี้ทุกข์ทรมานมากใช่หรือไม่?”
“ฉางซุนอิงผู้นั้น คือคนที่ถูกส่งตัวไปยังแคว้นเหยียนพร้อมกับเขาไงล่ะ”
“เจ้าไม่รู้ละซิ? ตอนที่จีเฉวียนยังเป็นเด็ก มีแต่ฉางซุนอิงที่คอยดูแลอยู่ตลอด ทั้งๆ ที่นางเป็นญาติผู้น้องของเขาแท้ๆ แต่กลับเต็มใจลดตัวลงเป็นบ่าวของเขา อดทนอย่างยากลำบากมาตั้งนานหลายปี ใครจะไปคิดว่าตอนหลังจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา….”
ยิ่งพูดเหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ “นางถึงกับยอมตายเพื่อจีเฉวียน! ชาตินี้ทั้งชาติจีเฉวียนก็ไม่มีทางลืมเลือนนางได้อย่างแน่นอน!”
“เจ้าเป็นใครกัน? ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอะไรให้เขาแท้ๆ แต่กลับได้รับความรักจากเขาไป? เจ้าอาศัยอะไร?”
ถึงแม้ว่าตู๋กูซิงหลันจะคอยมองลงไปด้านล่างอยู่ตลอดเวลา แต่ว่าเสียงตะโกนปานหัวใจแหลกสลายของเหยียนเฉียวหลัว ทำให้นางยังคงได้ยินไปบ้างหลายประโยค
นางกำลังสำรวจสภาพของตนเองอยู่ตลอดเวลา รอคอยจนเหยียนเฉียวหลัวพูดจบถึงได้ถามออกไปคำนึงว่า “ดังนั้นแล้ว?”
เรื่องราวในอดีตของจีเฉวียน นางไม่อาจมีส่วนกี่ยวข้อง แม้แต่เจ้าของร่างเดิมก็เช่นกัน
นางไม่จำเป็นจะต้องขุดเรื่องที่ผ่านมาของจีเฉวียนขึ้นมา เพื่อมาทำให้ตนเองต้องเป็นทุกข์เสียเปล่าๆ
ยิ่งไปกว่านั้น นางก็ไม่ได้รักจีเฉวียน
เมื่อไม่ได้รัก ย่อมไม่ได้สนใจว่าในใจของเขาจะมีนางหรือไม่
“ดังนั้นในชาตินี้ ก็อย่าได้หวังเลยว่าจะสามารถครอบครองหัวใจของเขาได้ทั้งหมด!” เหยียนเฉียวหลัวชิงชังรังเกียจท่าทางเช่นนี้ของตู๋กูซิงหลันที่สุด นางแสยะยิ้มข่มความเจ็บปวดว่าต่อไป “เฮอะ เฮอะ แต่ว่าเจ้าก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว เจ้าจะต้องตายอยู่ที่นี่เสียตอนนี้”
ทันทีที่สิ้นเสียง ในฝ่ามือของนางก็ปรากฏดาบสีดำขึ้นมาอีกครั้ง
นางขยับตัว กระชับดาบสีดำพุ่งมาทางตู๋กูซิงหลันอย่างรวดเร็ว
นางรู้ดีว่า ดาบสีดำนี้มีพลังมหาศาล จะต้องสามารถทำลายอาณาเขตที่ครอบอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันได้อย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้นางลงมือ ตู๋กูซิงหลันก็ต้องจมน้ำตาย
ฆ่านางรึ ฮึ เปื้อนมือตนเองเปล่าๆ
ในมือของตู๋กูซิงหลันมียันต์ใบหนึ่ง ดวงตาดอกท้อหรี่ลง นางพยายามทำสมองให้ปลอดโปร่ง ทันทีที่เหยียนเฉียวหลัวแทงดาบเข้ามา นางก็เขวี้ยงยันต์สวนออกไป
ทั้งสองสิ่งปะทะกัน เกิดเสียงดังสนั่นอย่างอย่างรุนแรง
ในทันทีที่เกิดเสียงปะทะอย่างดุดันนั้นเอง ชั้นนอกของโลงทองแดงที่อยู่ก้นทะเลสาบก็เกิดเสียงขยับเคลื่อนไหว
จากนั้นก็เห็นว่าโลงศพหลังถูกแง้มออก มีหมอกสีดำมากมายพวยพุ่งออกมาจากด้านใน
ตอนที่ 286 ผิวขาวราวหิมะ
เหยียนเฉียวหลัวมองไปด้วยความยินดี หัวใจของนางลิงโลดขึ้นมา
‘ผู้ที่’ เลือกสรรนาง กำลังจะออกมาแล้วใช่หรือไม่?
ผู้คนต่างก็ล่ำลือกันว่าในขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือมีโชคชะตาลี้ลับที่ประเมินค่ามิได้อยู่
และโชคชะตานี้ถูกนางค้นพบเข้าแล้ว
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมานางจะถูกดูถูกเหยียดหยาม แต่พอคิดว่าตอนนี้นางกำลังจะกลายเป็นสตรีที่ฟ้าได้เลือกสรร ความโศกเศร้าทั้งหมดก็ถูกนางโยนทิ้งไปด้านหลัง
ดูสิ นางกำลังจะได้รับโชคชะตาอันยิ่งใหญ่แล้ว ส่วนตู๋กูซิงหลันล่ะ นังสารเลวนั่นก็จะถูกฝังอยู่ในนี้ กลายเป็นหนึ่งในศพแห้งมากมายอยู่ที่นี่
หมอกสีดำยิ่งทีก็ยิ่งเข้มข้น กระจายออกมาจนแทบจะครอบคลุมก้นทะเลสาบทั้งหมด
เดิมทีที่นี่ก็ดำมืดจนแทบจะมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้าอยู่แล้ว
ในหมอกดำที่ขุ่นข้นนั้นเอง มีเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมา “เย่วซิงหลัน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
น้ำเสียงนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง แผ่วเบาเสียจนคนแทบจะจับความไม่ได้
แต่พอถูกเรียกชื่อขึ้นมา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนจะขาดใจ
ทันทีที่เขาส่งเสียงออกมา รอบๆ โลงทองแดงก็ยิ่งส่งเสียงกึกกักครืนครืนมากกว่าเดิม เสียงเสียดสีจากการเลื่อนของโลงทองแดงดังสนั่น อักขระที่ซับซ้อนบนโลงศพทอประกายแสงสว่างออกมา
น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นทำให้ทั้งวิญญาณทมิฬและตู๋กูซิงหลันตื่นตัวขึ้นมาในทันที
เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปแล้ว ถึงน้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นทำให้นางต้องขนลุกซู่ กระนั้นนางก็ยังอยากจะให้ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ผู้นั้นเรียกนาง
นางไม่กล้าส่งเสียงออกไป
ยามที่ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ กล่าวออกมานั้น นางก็ไม่สามารถควบคุมหมอกสีดำที่อยู่รอบๆ กายได้อีกต่อไป
ดาบสีดำในมือก็สลายกลายเป็นหมึกดำจนไม่เหลืออะไรอยู่อีก นางได้แต่รอคอยโอกาสที่กำลังจะมาถึงอยู่กับที่
อย่างไรเสีย…. ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ จะต้องส่งมอบโชคชะตานั้นให้กับนางอย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะไม่มีผู้ใดกล้าแข็งข้อกับนางอีก
รวมทั้งจีเฉวียนด้วย!
ในเมื่อเขากล้ารังเกียจนาง นางก็จะต้องทำให้เขาได้เห็นดี!
นางจะต้องจัดการเขาอย่างโหดเ**้ยม เหนือกว่าที่เคยคิดเอาไว้เป็นร้อยเป็นพันเท่า!
อีกด้านหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็ตอบกลับไป “ไม่ได้พบกันนานแล้วจริงๆ เสินฟาง”
คนบางคน ถึงแม้ไม่ได้พบหน้า แค่ได้ยินน้ำเสียงก็สามารถเรียกชื่อของเขาออกมาได้
อย่าว่าแต่เสินฟางที่เป็น…..จอมมาร
ท่านผู้นี้ พูดไปแล้วก็ต้องนับว่าหนักหนาจริงๆ!
เสินฟาง เป็นหนึ่งในผู้ปกครองขุมนรกทั้งสิบ และ ถือเป็นอันดับหนึ่งในขุมนรกทั้งสิบด้วย
ไม่รู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น อยู่ๆ เขาก็ถูกจิตมารเข้าครอบงำ
หลังจากนั้นก็เริ่มก่อหายนะขึ้นมา เพียงแค่เวลาสั้นๆ ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องตายจากไป แม้ตายไปแล้ววิญญาณก็ยังถูกนำไปทรมาน
ต่อมาค่อยสืบพบว่า เป็นฝีมือของเสินฟาง
เขาดูดกลืนจิตวิญญาณมากมาย อย่างไม่ยอมหยุด
ตัวนางก็เพราะการปะทะกับเสินฟางในครั้งก่อน สู้กันจนล้มตายตัวเย็นชืด
เพียงแต่ว่าก่อนที่จะตาย นางได้ใช้พลังทั้งหมดของตนเอง และพลังของหยกสรรพชีวิต จัดการกับเสินฟางจน ‘ตาย’ ไปแล้ว
เดิมทีนางมั่นใจว่า เสินฟางนั้น ‘ดับดิ้นสิ้นสูญ’ ไปแล้ว จนกระทั่งเมื่อได้เจอกับพวกปีศาจไร้หน้าในทะเลทราย นางถึงได้เกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยขึ้นมา….นางค่อยคาดเดาว่า เสินฟางยังไม่ตาย
แต่ว่ามาอยู่ในโลกมิติเดียวกันกับนาง
และแล้วก็เป็นจริงเสียด้วย…..เพราะคาดเดาเอาไว้เช่นนี้นางจึงมิได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่านางคิดไม่ถึงว่าเสินฟางจะมาหลบซ่อนตัวอยู่ในขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ
ร่างของผู้ที่นอนอยู่ในโลงศพขนาดใหญ่ใต้ทะเลสาบสมควรจะเป็นฮ่องเต้ของแคว้นเซอปี่ซือ
แต่ที่พักผ่อนอันสงบสุขของเขา ถูกนกพิราบเข้าครองรังเสียแล้ว
บนยอดเขามีทะเลสาบ โอบล้อมด้วยภูเขาทั้งแปดลูก สถานที่ที่มีชัยภูมิเป็นภูเขาล้อมรอบแหล่งน้ำเช่นนี้นับว่าเป็นฮวงจุ้ยชั้นเลิศ
ไอทิพย์และจิตวิญญาณในธรรมชาติที่หมุนวนอยู่ ล้วนถูกดึงดูดลงมาที่ทะเลสาบแห่งนี้
ฮ่องเต้แคว้นเซอปี่ซือที่พักผ่อนอย่างสงบอยู่ในโลงทองแดง ร่างของเขาจะได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ ทำให้สามารถรักษาร่างเอาไว้เป็นพันปีโดยไม่เสื่อมสลาย
และบางทีรูปสลักขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือโลงศพขึ้นไปนั้น อาจจะมีเอาไว้เพื่อดึงดูดจิตวิญญาณธรรมชาติลงมาก็เป็นได้
บางทีในตอนนั้นเมื่อพสกนิกรในแคว้นเซอปี่ซือตายไปแล้ว อาจมีการทำพิธีฝังอยู่ในน้ำใต้สระสวรรค์ เพื่อจะได้เฝ้ารักษาแคว้นของพวกเขาตลอดไป
แต่ว่า…..สถานที่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ กลับกลายเป็นประโยชน์ต่อจอมมารอย่างเสินฟางอย่างที่สุด
ตู๋กูซิงหลันเชื่อมั่นว่า ตอนที่นางทุ่มพลังทั้งหมดออกไปนั้น ก็ได้จัดการเสินฟางจนดับสิ้นไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อเสินฟางมาถึงยังโลกมิติแห่งนี้ สมควรจะอ่อนแออย่างยิ่ง
แต่ว่าเขากลับโชคดีบังเอิญได้พบกับฮวงจุ้ยที่ล้ำเลิศเช่นนี้ หลังจากนั้นจึงได้ยึดโลงของฮ่องเต้องค์นี้เอาไว้ ดูดกลืนไอบริสุทธิ์ที่อยู่ในร่างของผู้คนในแคว้น เพียงไม่ถึงหนึ่งปีก็สามารถฟื้นฟูได้มากจนถึงขนาดนี้แล้ว
นางหรี่ตาลงมองดูโลงทองแดงหลังนั้น ท่ามกลางหมอกดำที่เข้มข้น ก็เห็นว่ามีมือที่ซีดขาวราวหิมะข้างหนึ่ง กำลังค่อยๆ ขยับด้านนอกของโลงอยู่
ในบรรดายมราชของขุมนรกทั้งสิบ เสินฟางนับว่ามีผิวขาวที่สุด
ขาวจนปราศจากสีอื่นๆ ทั่วทั้งร่างคล้ายดั่งถูกโปรยด้วยผงแป้งชั้นหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันจดจำเขาได้อย่างล้ำลึก
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะเห็นเพียงแค่มือข้างเดียว นางก็รู้แล้วว่า เขากำลังจะฟื้นร่างกลับคืนมา
เขาดูดกลืนจิตวิญญาณที่อยู่ในสระสวรรค์ทั้งหมดเข้าไป แล้ววันนี้ก็ยังได้สูบเอาพลังชีวิตของผู้คนหลายร้อยชีวิตเข้าไปด้วย ที่สามารถสร้างร่างขึ้นมาได้ จึงมิได้น่าแปลกใจอันใด
คำทักทายเพียงประโยคเดียวของนาง ถึงกับทำให้ ‘คน’ ที่อยู่ในโลงทองแดงหัวเราะออกมาแล้ว
“เฮอะ เฮอะ”
“ยากนักที่เจ้ายังสามารถจดจำชื่อของเราผู้เป็นอ๋องได้”
น้ำเสียงของเขายังคงลึกลับน่ากลัว มือสีขาวราวหิมะของเขายังคงผลักฝาโลงอยู่ไม่ยอมหยุด “เย่วซิงหลัน เราได้พบกับเจ้า รู้สึกปิติอย่างยิ่งจริงๆ”
ว่าแล้ว ก็เห็นมือสีขาวข้างนั้นค่อยๆ ยื่นออกมาจากโลง
ผอมอย่างยิ่ง! จนสามารถเห็นข้อกระดูกได้อย่างชัดเจน แม้แต่เส้นลายนิ้วมือก็ยังเป็นสีขาว
มือสีขาวข้างนั้นค่อยๆ ยื่นออกมาอย่างช้าๆ
ตู๋กูซิงหลันจับตามองดู พลางหรี่ตาน้อยๆ
ความขาวโพลนเช่นนั้น นับว่าเตะตาท่ามกลางความมืดอย่างยิ่ง
เหยียนเฉียวหลัวประหลาดใจอย่างแรง นางไม่รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเช่นไรกันแน่ ทำไมตู๋กูซิงหลันถึงได้รู้จักกับ ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ ที่อยู่ในโลงศพ?
เย่วซิงหลัน?
ไม่ใช่ตู๋กูซิงหลันหรือ?
ตอนนี้สมองของนางสับสนไปหมดแล้ว จนชักจะสงสัยว่าตนเองมีปัญหาเรื่องการฟังหรือเปล่า
มิใช่ว่าท่าน ‘ผู้ยิ่งใหญ่’ จะต้องมอบโชคชะตาให้กับนางหรอกหรือ? ทำไมถึงได้ไปสนทนากับตู๋กูซิงหลันได้กัน?
นางเพ่งตามองเข้าไป ครู่หนึ่งก็เห็นว่าฝาด้านบนของโลงศพถูกเลื่อนออกมาจนหล่นลงไป นอกจากข้อมือที่ขาวราวหิมะแล้ว ก็ยังมีบางอย่าง…..ศีรษะโล้นที่สว่างจนส่องประกายออกมา
หืม? ศีรษะโล้นๆ???
ส่วนใหญ่….ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายล้วนมีลักษณะเด่นเฉพาะใช่ไหม?
ตู๋กูซิงหลันกลับไม่รู้สึกแปลกประหลาดในที่ใด
พอได้เห็นศีรษะโล้นที่ค่อยๆ โผล่ออกมาจากโลงศพแล้ว นางกลับสงบนิ่งลง
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หัวไข่พะโล้ของเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปสักนิดเดียว”
นางพึ่งจะพูดออกไป ก็เห็นว่าภายใต้ศีรษะโล้นเลี่ยนที่ส่องประกายนั้น ค่อยปรากฏใบหน้าที่แปลกประหลาดชวนน่าหวาดผวาขึ้นมา
นั่นเป็นเครื่องหน้าที่คล้ายกับว่าใช้พู่กันวาดขึ้น
รายละเอียดของเส้นคิ้ว หัวตา ดั้งจมูกและริมฝีปาก แม้แต่ขนคิ้วและขนตาต่างก็ขาวราวหิมะ
ดวงตาคู่นั้นคล้ายกับว่าไม่มีนัยตาดำ มีแต่ดวงตาสีขาว ที่ดูน่ากลัว
ข้างแก้มที่เป็นสีขาวราวหิมะ ปรากฏลายเส้นคล้ายดั่งดอกพลับพลึงแดง
นี่ไม่ใช่ภาพที่วาดลงไป แต่ว่าเป็นดอกพลับพลึงแดงงอกเงยอยู่ในนั่นจริงๆ!
พลับพลึงสีแดงเพลิงเมื่ออยู่บนผิวที่ขาวราวหิมะเช่นนี้ก็ยิ่งกลายเป็นจุดเด่น
ในโลกก่อน ครั้งแรกที่ตู๋กูซิงหลันได้เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา นึกถึงแต่คำนี้เพียงคำเดียว ความงามอันเลอะเลือน
ใช่แล้ว….งดงาม
ไม่ว่าเสินฟางจะมีรูปลักษณ์เช่นไร เขาก็ยังงดงาม เป็นความงดงามที่เหนือโลก
——
คุยกันนิดนึง:
ยมราชทั้งสิบ: ตามความเชื่อในยุคสมัยหนึ่งของจีน เชื่อว่านรกมีสิบขุมแต่ละขุมมียมราชของตนเอง โดยจะมีชื่อเป็นอ๋องต่างๆ (王)
แม่ก็ไปศึกษาดูเล็กน้อย แต่ไม่มีท่านใดชื่อเสินฟางแฮะ! มันคงจะเป็นจินตนาการของผู้แต่งละมั้ง
ดอกพลับพลึงแดง: (曼珠沙华, Red Spider Lily, Higanbana) เป็นดอกไม้ที่มีมากในจีนและญี่ปุ่นชอบขึ้นในที่ชื้นแฉะ ดอกมีพิษ ทำให้อาเจียน นิยมปลูกตามคันนาเพื่อป้องกันหนูแมลงกัดกินพืชผล หรือปลูกในสุสาน กันสัตว์เข้าไปคุ้ยทำลาย ดอกไม้ชนิดนี้จะผลิบานในช่วงเปลี่ยนฤดู (ขณะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง) ใกล้กับช่วงสารทจีน จึงกลายเป็นความเชื่อว่าเป็นดอกไม้ที่เกี่ยวข้องกับคนตาย มีตำนานเล่าว่าดอกไม้นี้เกิดในนรกภูมิ ทุ่งดอกไม้ชนิดนี้จะผลิบานตลอดเส้นทางที่วิญญาณจะต้องผ่านไปเพื่อนำทางวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ไปสู่อีกฝากฝั่งหนึ่ง ด้วยลักษณะพิเศษที่เมื่อออกดอกก็จะไม่มีใบ เมื่อมีใบก็ไม่ออกดอก จึงเป็นที่มาของตำนานอีกตำนานว่า Manshu (曼珠) ผู้พิทักษ์ดอก และ Shahua (沙华) ผู้พิทักษ์ใบ คือสองคนรักที่ละเมิดกฎ เลยถูกสาปให้มาเกิดอยู่ในดอกพลับพลังแดงนี้ ทำให้ไม่อาจได้อยู่ร่วมกันตลอดกาล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น