ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 279-286
ตอนที่ 279 ถึงตายก็ไม่ยอมรับ
นี่เป็นครั้งแรกที่อู่เจิ้งซือปกป้องอู่เหมยตรงๆ แม้ว่าจะเย็นชากับคนในครอบครัว แต่อู่เหมยก็ยังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจบ้างเล็กน้อย หากชาติที่แล้วอู่เจิ้งซือสามารถปกป้องเธอเช่นนี้ เธอก็คงจะไม่รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า และก็ไม่คงจะไม่ถูกอู่เยวี่ยฆ่าตาย!
โชคดีที่เธอได้กลับมาใหม่ และในชาตินี้เธอจะแข็งแกร่งขึ้น ชีวิตของเธอคล้ายหญ้าป่าที่งอกงาม แม้เธอจะไม่อยากได้รับการปกป้องจากอู่เจิ้งซืออีกแล้ว แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ อย่างน้อยก็ยังยั่วโมโหอู่เยวี่ยได้ แม้จะแค่เล็กน้อยก็ทำให้เธอเบิกบานใจ
อู่เยวี่ยมองออกว่าอู่เจิ้งซือปกป้องอู่เหมยอย่างเห็นได้ชัด เธอทั้งริษยาทั้งเคียดแค้น ให้เธอมาเกิดแล้ว ไฉนต้องให้อู่เหมยมาเกิดด้วย มีลูกสาวที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้แล้ว ทำไมพ่อแม่ยังมีอู่เหมยเพิ่มขึ้นมาเพื่อแย่งความรักทั้งหมดที่ควรจะเป็นของเธอไปล่ะ?
“พ่อค่ะ อย่าโมโหเลย หนูจะไปล้างจานเดี๋ยวนี้”
อู่เยวี่ยทนกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรม ฝืนยิ้มออกมา เก็บจานของหนึ่งวัน และยังหันไปแอบส่ายหน้ากับเหอปี้อวิ๋น บอกเธอว่าอย่าได้เป็นปฏิปักษ์กับอู่เจิ้งซืออีก ในบ้านอู่เจิ้งซือคือหัวหน้าที่พูดคำไหนคำนั้น คนที่อ่อนแอหรือจะสู้คนที่กำลังเข้มแข็งได้ เหอปี้อวิ๋นเอาชนะอู่เจิ้งซือไม่ได้อยู่แล้ว มีแต่จะแกว่งเท้าหาเสี้ยนเท่านั้น
มีหรือที่เหอปี้อวิ๋นจะไม่เข้าใจเหตุผลเหล่านี้ ทว่า เธอก็เคารพศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอยอมให้อู่เจิ้งซือด่าว่าตบตีเช่นนี้ ถ้าเธอทนได้ก็แปลกแล้ว แต่ตอนนี้เธอใจเย็นลงแล้ว คำพูดของอู่เจิ้งซือยิ่งทำให้เธอเศร้าใจอย่างที่สุด
ยายตัวดี วางยาเสน่ห์อู่เจิ้งซือไปเท่าไหร่นะ ใจถึงได้เอนเอียงเข้าข้างยายตัวดีขนาดนี้!
เยวี่ยเยวี่ยที่น่าสงสารของเธอต้องล้างจานทั้งวัน แล้วมือจะทนไหวหรือ?
“เหล่าอู่ วันนี้คุณเป็นอะไรกันแน่? คุณไปโมโหมาจากข้างนอกก็อย่าเอากลับมาบ้าน แล้วก็อย่าไปลงที่เยวี่ยเยวี่ย คุณ…” เหอปี้อวิ๋นข่มความโกรธไว้ ท่าทีของเธออ่อนลง อยากจะค่อยๆ พูดกับอู่เจิ้งซือ แต่กลับถูกอู่เจิ้งซือที่ใจร้อนขัดจังหวะ
“เหอปี้อวิ๋น คุณไม่ต้องมาพูดจาไร้สาระกับผม เอาของเหมยเหมยที่หยิบไปออกมาซะดีๆ นั่นเป็นของขวัญที่เหมยเหมยเตรียมมอบให้แก่ครูจ้าว คุณก็ยังจะมีหน้าเอาไปอีก?”
“ตกลงมันคืออะไรกันแน่ อู่เจิ้งซือ คุณพูดดีๆ นะ ยายตัวดีนี่จะมีของดีอะไร ฉันถึงจะต้องขโมยไป? อู่เจิ้งซือ คุณนี่มันโง่เขลาแถมยังไม่รู้จักใช้สมองคิดให้ดีอีก!” เหอปี้อวิ๋นโมโห พูดเสียงดังขึ้นมา
อู่เหมยขมวดคิ้วมุ่น เห็นท่าทางเหอปี้อวิ๋นแล้วก็สัมผัสได้ว่าเหมือนกับเธอถูกใส่ร้ายจริงๆ หากไม่ใช่หล่อนแล้วจะเป็นใครล่ะ?
หรือว่า…
อู่เจิ้งซือบอกว่าเครื่องประดับเงินสามชิ้น เหอปิ้อวิ๋นหัวเราะเยาะหยันไม่หยุด “เหมยเหมย อาทิตย์หนึ่งมีเงินใช้เพียงสองหยวน จะเอาเงินมาจากไหนไปซื้อเครื่องประดับเงินพวกนี้? ยายตัวดีนี่พูดโกหกจนเป็นนิสัยแล้ว เหล่าอู่ คุณโดนยายตัวดีนี่หลอกแล้วล่ะ!”
เมื่อก่อนหากเธอพูดอย่างนี้ อู่เจิ้งซือก็อยากจะเชื่อ แต่เรื่องนี้มีหลักฐานและพยานอยู่ อู่เจิ้งซือเชื่ออู่เหมย แต่ก็มีความสงสัยต่อกำลังซื้อของอู่เหมยอยู่บ้าง ถึงแม้เครื่องประดับเงินจะไม่ได้มีค่า แต่สามชิ้นรวมกันแล้ว อย่างน้อยก็ราคาห้า หกหยวน อู่เหมยเอาเงินมากมายมาจากไหน?
อู่เหมยแอบยิ้มเยาะในใจ เธอแกล้งทำเป็นน้อยใจเพื่อแก้ต่างให้ตัวเอง เธอกล่าว “หนูซื้อที่ถนนหนานสุ่ย เครื่องประดับสี่ชิ้นนี้ดำมาก หนูซื้อมาเพียงสองหยวนค่ะ หลังจากกลับมาหนูก็ใช้ยาสีฟันล้างทำความสะอาด ถึงได้พบว่ามันคือเครื่องประดับเงินแท้
อู่เจิ้งซือพอได้ยินว่าซื้อที่ถนนหนานสุ่ยก็เชื่อ ของที่นั่นต้องอาศัยโชคช่วย โชคดีที่ซื้อมาสี่ชิ้นแค่สองหยวน ก็อาจเป็นไปได้
เหอปี้อวิ๋นหัวเราะเยาะและกล่าว “ตอนนี้แกจะพูดยังไงก็ได้ เหล่าอู่ ถึงอย่างไรฉันก็ไม่เชื่อยายตัวดีนี่ เครื่องประดับเงินบ้าบอพวกนั้น แกต้องพูดสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน คงอยากจะแยกความสัมพันธ์ระหว่างเราสามีภรรยาสินะ ยายตัวดี แกนี่มันเลวมาก”
……………………………………………………………..
ตอนที่ 280 นังสารเลวคนนี้เป็นคนทำ
อู่เหมยไม่รู้สึกโกรธแค้นสักนิดเลย เป็นเรื่องปกติมากที่ผู้หญิงคนนี้จะพูดอย่างนี้ หากวันไหนที่บอกว่าเธอดี ถึงเป็นเรื่องแปลก เธอหันมองอู่เยวี่ยที่ล้างจานอยู่ เธอคิดอะไรออก
“หากหนูหาเครื่องประดับเงินเจอ แม่จะว่าอย่างไรคะ?” อู่เหมยจ้องเหอปี้อวิ๋นด้วยความอาฆาต
เหอปี้อวิ๋นตะลึงงัน ไม่กล้าที่จะมองอู่เหมยตรงๆ หันหน้าไปด้านข้างเล็กน้อย แต่พอหลบได้ เธอก็รู้สึกหงุดหงิด ถึงเธอจะเป็นผู้ใหญ่ แต่จะแสดงความอ่อนแอต่อหน้าอู่เหมยได้อย่างไร?
ครั้นแล้วเหอปี้อวิ๋นก็หันหน้ามาอีกครั้ง แต่มองได้ไม่ถึงหนึ่งนาที เธอก็ทนต่อไปไม่ไหว เห็นอู่เหมยเธอก็นึกถึงนังแพศยาคนนั้น รู้สึกสะอิดสะเอียนจะแย่
“ถ้าแกมีความสามารถ ก็หาให้เจอนะ อยู่ที่นี่อย่ามาคุยโขมงก่อน” เหอปี้อวิ๋นโกรธมาก เธอรู้สึกว่าอู่เหมยกำลังพูดโกหก จงใจบอกว่าของหาย แล้วก็โยนความผิดให้เธอ ยายตัวดีนี่ใจดำเหลือเกิน
อู่เหมยก็ไม่เถียงกับเธอ เธอพอจะรู้แล้วว่าเครื่องประดับเงินอยู่ที่ไหน ในบ้านตอนนั้นมีแค่อู่เยวี่ยกับเหอปี้อวิ๋น หากไม่ใช่เหอปี้อวิ๋น ก็เป็นอู่เยวี่ยที่ขโมย อีกอย่างอู่เยวี่ยเคยมีประวัติขโมยเงิน นังสารเลวคนนี้ยิ่งน่าสงสัย
ตอนนี้ที่เธอเดิมพันก็คืออู่เยวี่ยเอาเครื่องประดับเงินซ่อนไว้ในห้อง คนที่เอาของไป ทิ้งแค่กล่องและภาพวาดไว้ อธิบายได้ว่าเธอแค่ชอบเครื่องประดับสามชิ้นนั้น น่าจะเอาของเหล่านั้นเก็บไว้ในที่ที่ตัวเองคุ้นเคยที่สุด
อู่เยวี่ยเห็นอู่เหมยผลักประตูห้องนอนของตัวเอง เธอมือสั่น เกือบจะทำถ้วยในมือตกแตก เธอสูดหายใจเข้าลึก ตะโกนพูดกับอู่เหมย “เหมยเหมย น้องไปทำอะไรห้องพี่น่ะ?”
“ก็ไปหาของนะสิ!”
อู่เหมยผลักประตูเข้าไปโดยไม่ลังเล เปิดลิ้นชักของอู่เยวี่ย หยิบกล่องใส่เครื่องประดับขึ้นมา ไม่พบอะไรตามที่เธอคาดการณ์ไว้ ของที่ขโมยมาวางไว้ในที่สะดุดตาไม่ได้ ต้องซ่อนเอาไว้อย่างดีถึงจะถูก
“แกเข้าไปหาอะไรในห้องพี่สาว? ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!” เหอปี้อวิ๋นเอ็ดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ยังคิดจะไปลากอู่เหมยออกมา
อู่เหมยหลบอย่างว่องไว ยิ้มเยาะ “พี่คะ เมื่อก่อนแม้กระทั่งเงินของฉัน พี่ก็ยังขโมย ขโมยของอีกนิดหน่อยจะเป็นอะไรไป ขอย้ำว่าในตอนนั้นในบ้านก็มีแม่กับพี่อยู่สองคน ถ้าไม่ใช่แม่เอาไป นอกจากพี่แล้ว ยังจะมีใครอีกล่ะคะ?”
อู่เยวี่ยหน้าซีดเผือด พยายามระงับอารมณ์ตัวเอง เธอซ่อนสิ่งของอันนั้นไว้อย่างดี อู่เหมยหาไม่เจอแน่นอน
“เหมยเหมย เธอทำไมต้องใส่ร้ายป้ายสีพี่บ่อยๆ ด้วย? พี่เคยขโมยเงินของเธอตอนไหน?” อู่เยวี่ยน้ำตาไหลพราก
“จะหยิบเงินไปหรือไม่นั้น ตัวพี่เองรู้ดีที่สุด ส่วนเครื่องประดับเงินสามชิ้นนี้ รอฉันหาเจอก็จะได้รู้กัน แล้วพี่จะกระวนกระวายใจอะไร?”
อู่เหมยไม่สนใจอู่เยวี่ย มือก็ควานหาไม่หยุด ลิ้นชัก ใต้ที่นอน ใต้เตียง ตู้…ถูกเธอค้นทั้งหมด แต่ก็ไม่เจออะไรเลย จิตใจของอู่เยวี่ยสงบลง ที่หางคิ้วปรากฏความภาคภูมิใจ ที่แห่งนั้นอู่เหมยหาไม่เจอแน่นอน
“เหมยเหมย ถ้าเธอหาของไม่เจอ ต้องมาขอโทษพี่ หลายวันมานี้ เธอใส่ร้ายป้ายสีพี่หลายครั้งแล้ว ทีแรกพี่ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าเธอจะพูดใส่ฉอดๆ พี่ยอมให้เธอพูดให้ร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พี่จะบอกเธอเอาไว้นะ ความอดทนของพี่ก็มีขีดจำกัด” อู่เยวี่ยดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง เพื่อให้ครอบครัวรักใคร่ปรองดองกัน จึงข่มอารมณ์เอาไว้ ทำทีว่าเข้าอกเข้าใจ เหอปี้อวิ๋นใจว้าวุ่น อยากจะตีอู่เหมยใจจะขาด
“เหล่าอู่ คุณเห็นไหมว่ายายตัวดีนี่เหมือนอะไร? คุณยังไม่สนใจอีกเหรอ?”
อู่เจิ้งซือก็ไม่พอใจต่อการกระทำของอู่เหมย เดาว่าเหอปี้อวิ๋นไม่มีอะไร อย่างไรก็เป็นคนตระกูลเหอ ความมีคุณธรรมเป็นสิ่งที่ตระกูลเหออาจจะอบรมสั่งสอนไม่ได้ แต่อู่เยวี่ยนามสกุลอู่ เป็นคนตระกูลอู่ จะไปขโมยได้อย่างไร?
………………………………………………………………..
ตอนที่ 281 เจอเครื่องประดับเงินแล้ว
“เหมยเหมยหยุดโวยวายได้แล้ว ออกมาเดี๋ยวนี้!” อู่เจิ้งซือตวาดเสียงต่ำ อู่เหมยค้นหาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ทำให้เขาไม่สบายใจจริงๆ
อู่เหมยร้อนใจอยู่ในใจเงียบๆ อู่เยวี่ยเอาเครื่องประดับเงินไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่ คงจะไม่โยนออกไปข้างนอกหรอกนะ?
แค่เสียดายที่ฉิวฉิวไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าอู่เจิ้งซือได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคงให้ฉิวฉิวช่วยหา ไม่นานต้องหาเจอแน่นอน อู่เหมยบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ เธอหวนคิดอย่างช้าๆ ของต้องอยู่ในห้อง ซึ่งเป็นที่ลับตามากแน่ๆ ที่นั่นต้องมีเพียงอู่เยวี่ยคนเดียวเท่านั้นที่รู้ หากไม่อย่างนั้น เธอคงไม่นิ่งสงบได้ขนาดนี้
อู่เหมยไม่สนใจอู่เจิ้งซือ หัวสมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน
เหอปี้อวิ๋นเห็นอู่เหมยท่าทางเช่นนี้ เธอก็เริ่มยุยงให้ทะเลาะกัน “เหล่าอู่ คุณดูสิ ฉันพูดไว้ไม่มีผิด ตอนนี้แม้แต่คำพูดของคุณ ยายตัวดีนี่ก็ไม่ฟังแล้ว นี่เธอปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะ!”
อู่เจิ้งซือโมโหขีดสุด จึงตะโกนเรียกอู่เหมยอีกครั้ง อู่เหมยยังคงไม่โต้ตอบ เหอปี้อวิ๋นก็ยุยงไม่หยุด อู่เจิ้งซือโกรธจนจะเข้าไปในห้องลากอู่เหมยออกมา ขณะที่เหอปี้อวิ๋นกับอู่เยวี่ยเผยรอยยิ้มที่พอใจออกมาพร้อมกันทั้งคู่
หากเพียงอู่เจิ้งซือได้ตบอู่เหมยสักสองฉาดก็คงจะดี!
อู่เหมยเกิดความคิดแวบขึ้นมาในหัว ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ในชาติก่อนมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ตอนนั้นเธออายุสิบห้าปี จู่ๆ ในบ้านมีหนูหลายตัว ทั้งผ้าห่มและเสื้อผ้าถูกกัดขาดหมด กระเป๋าเงินของเหอปี้อวิ๋นก็ถูกหนูคาบไป เหตุการณ์ครั้งนั้นแย่มาก เหอปี้อวิ๋นโมโหสุดขีด ในบ้านฉีดพ่นยาไล่หนูเยอะมาก ก็เงียบสงบลงไปเยอะ
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในบ้านก็เริ่มส่งกลิ่นเหม็น กลิ่นของเนื้อเน่าคละคลุ้งมาก โดยเฉพาะห้องนอนของเธอกับอู่เยวี่ย จนทั้งคู่อยู่ต่อไปไม่ได้ ครั้นแล้วในบ้านจึงได้เริ่มทำความสะอาดครั้งใหญ่ ย้ายสิ่งของในห้องของพวกเธอออกมาจนหมด ในที่สุดถึงได้พบแหล่งที่มาของกลิ่นเหม็นเน่า รูผนังที่อัดแน่นไปด้วยหนูเน่าสามตัว เน่าจนหนอนขึ้น
รูผนังนั้นอู่เยวี่ยเป็นคนหาเจอ เพราะว่ารูนั้นอยู่ด้านล่างเตียงของเธอ
อู่เหมยโล่งอกขึ้นมาทันที
บางทีตอนนี้อู่เยวี่ยก็อาจจะพบรูผนังนั่นแล้ว!
เธอรีบไปขยับเตียงของอู่เยวี่ยพร้อมกับกัดฟัน แอบสังเกตสีหน้าของอู่เยวี่ย กลับเห็นสายตาแพรวพราวไม่หยุด นิ้วมือก็เกี่ยวพันกัน ใจเธอหล่นวูบ ขยับเตียงออกอย่างเร่งรีบ เมื่อพบว่ามีหนังสือพิมพ์แผ่นหนึ่งน่าจะเพิ่งโปะลงไปใหม่ๆ เธอก็ยิ่งมั่นใจ
“พี่สาวซ่อนของเก่งจริงๆ ก็ไม่รู้นะว่าไปเรียนมาจากไหน” อู่เหมยหัวเราะอย่างเย็นชา
มืออู่เยวี่ยยิ่งเกี่ยวกันแน่น “เหมยเหมยเธออย่าใส่ร้ายคนอื่นสิ พี่ซ่อนของอะไร?”
“ฮึ! เรื่องมาถึงตัวแล้วยังจะปากแข็งอีก!”
อู่เหมยฉีกกระดาษหนังสือใหม่ออก ทันใดนั้นก็ปรากฏรูผนังกว้างประมาณปากถ้วย เธอล้วงมือเข้าไปในรูดำ ในนั้นค่อนขว้างกว้าง เธอคลำไปมา ก็คลำโดนถุงผ้าแข็งๆ แล้วก็ดึงออกมาทันที
“ขอให้พี่สาวช่วยอธิบายสักหน่อย เครื่องประดับสามชิ้นนี้มันคืออะไรกัน?”
ทันทีที่เปิดถุงผ้าออก เครื่องประดับเงินที่เปล่งประกาย สะท้อนสายตาทุกคน อู่เยวี่ยใจหล่นวูบ หน้าถอดสี ทว่าเธอรู้ว่า เรื่องนี้ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ตราบใดที่เธอยืนกรานไม่ยอมรับก็เป็นอันสำเร็จ
อู่เยวี่ยที่พอคิดได้ ก็สงบอารมณ์ทันที ทั้งยังยิ้มออกมาแล้วกล่าว “พี่จะรู้ได้ยังไงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเครื่องประดับเงินเหล่านี้? แล้วมาอยู่ใต้เตียงพี่ได้ยังไง เธอจะให้พี่อธิบายยังไงเหรอ?”
อู่เหมยคิดไม่ถึงว่าอู่เยวี่ยเห็นโลงศพแล้วยังไม่หลั่งน้ำตา โกรธมากแต่ยิ้ม “ความสามารถในการพูดจาโกหก ปั้นน้ำเป็นตัวของพี่เก่งขึ้นเรื่อยๆ นะ อย่างที่พี่พูด เครื่องประดับเงินเหล่านี้คงมีขางอกออกมาแล้วมาอยู่ที่นี่เอง?”
สีหน้าของอู่เยวี่ยยังคงเหมือนเดิม กล่าวเสียงเรียบ “จะยังไงก็ช่าง พี่ไม่รู้ว่าเครื่องประดับเงินเหล่านี้มาได้ยังไงเหมือนกัน บางทีเหมยเหมยจงใจเอามาวางไว้นี่หรือเปล่า?”
…………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 282 ตบอีกสองฉาด
“เยวี่ยเยวี่ยพูดถูก ต้องเป็นยายตัวดีนี่จงใจเอามาวางไว้ที่นี่ อยากจะปั้นเรื่องใส่ร้ายพี่สาว แกมันจิตใจไม่ปกติตั้งแต่เด็กแล้ว”
เหอปี้อวิ๋นไม่เชื่อว่าลูกสาวสุดรักจะก่อเรื่องลักเล็กขโมยน้อยได้ อู่เหมยใส่ความเยวี่ยเยวี่ยแน่นอน ช่วงนี้ยายตัวดีนี่มีอู่เจิ้งซือคอยปกป้อง นับวันยิ่งกล้ามากขึ้น
อู่เหมยไม่โกรธ กล่าวอย่างช้าๆ “ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม ต้องมีหลักฐาน แม่ไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ฉันจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าได้ยังไง? แกว่าพี่สาวขโมยของ แล้วแกมีหลักฐานไหม?” เหอปี้อวิ๋นตวาด
อู่เหมยยิ้ม “หนูมีหลักฐานอยู่แล้ว ตอนที่สยงมู่มู่มาตามหนู เครื่องประดับเงินนี้ยังอยู่กับหนู สยงมู่มู่ เขาก็เห็น และยังมีภาพวาดนั้นอีก ตอนที่หนูกับสยงมู่มู่ออกไป เครื่องประดับเงินกับภาพวาดอยู่ในลิ้นชักห้องนอนของหนู ตอนนั้นพี่ก็อยู่ในห้องนอนของพี่ตลอด หนูหายตัวได้รึไง? หรือว่าพี่สาวหูหนวก ตาบอด?”
อู่เยวี่ยรู้สึกหนักอึ้งอีกครั้ง จู่ๆนังโง่นี่ก็มีหลักการขึ้นมาได้อย่างไร?
ไม่ได้ ไม่ว่าอู่เหมยจะพูดอย่างไร เธอก็จะยอมรับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แค่เธอยืนกรานว่าไม่ได้เอาไป พ่อก็จะตำหนิเธอไม่ได้
เหอปี้อวิ๋นยังอยากจะด่าอู่เหมย อู่เจิ้งซือที่สีหน้าดูแย่ผิดปกติแอบจ้องเธอด้วยสายตาที่ดุร้าย เหอปี้อวิ๋นหุบปากอย่างเชื่อฟัง เธอเสียวสันหลังวาบที่ด้านหลัง ภายในใจรู้สึกกังวลใจ
“เผียะ”
เกิดเสียงดังชัดอีกครั้ง อู่เหมยกะพริบตาปริบๆ แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ให้ตายเถอะ คนที่ขโมยของไปคืออู่เยวี่ย อู่เจิ้งซือตบเหอปี้อวิ๋นทำไม?
แน่นอนอยู่แล้ว ตบเหอปี้อวิ๋นเธอก็รู้สึกเบิกบานใจมาก แต่หากตบอู่เยวี่ย เธอก็ยิ่งสะใจ
“เธอดูลูกสาวแสนดีที่เธอเลี้ยงมาสิ ลักเล็กขโมยแล้วยังพูดปดจนเป็นนิสัย ช่างขายขี้หน้านัก!” อู่เจิ้งซือพูดพร้อมกัดฟันกรอดๆ
ตอนที่อู่เหมยเจอรูผนังนั่น เขาก็รู้แล้วว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น อู่เหมยมีสยงมู่มู่กับเหยียนหมิงซุ่นเป็นพยาน จะโกหกได้อย่างไร?
มีเพียงอู่เยวี่ยเท่านั้นที่พูดโกหก!
เดิมทีเจิ้งซือยังคิดว่าอู่เยวี่ยจะยอมรับผิดเอง ใครจะไปคิดว่าลูกสาวคนโตที่เขาเฝ้าฝากความหวังไว้ คาดไม่ถึงว่าจะหน้าด้านทำผิดจนเป็นนิสัย ความสามารถในการปั้นน้ำเป็นตัวของเธอเก่งเสียยิ่งกว่านิสัยขี้ขโมยหลายเท่า หากเขาไม่ได้ยินที่สยงมู่มู่พูดที่บ้านสยงมาก่อน อาจเป็นไปได้ที่จะถูกอู่เยวี่ยหลอกจริงๆ
สิ่งนี้ทำให้อู่เจิ้งซือโมโหเป็นพิเศษ สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดคือ คนที่ลักเล็กขโมยน้อย
ถ้าเป็นนักเรียนของเขามีความประพฤติแย่อย่างนี้ แม้แต่จะมองหน้าตรงๆ คงจะมองไม่ลงเด็ดขาด แต่ตอนนี้หัวขโมยกลับเป็นลูกสาวที่เขาให้กำเนิด ยิ่งทำให้เขาผิดหวัง
“เผียะ”
อู่เจิ้งซือเดินไปหยุดตรงหน้าอู่เยวี่ยที่ตะลึงงัน และตบเธอหนึ่งฉาดเช่นกัน เห็นอู่เหมยแอบเบิกบานใจ เธอประทับใจต่ออู่เจิ้งซือมากมาย อู่เจิ้งซือที่อยู่ในช่วงเวลานี้ มุมมองและทัศนคติตรงไปตรงมามาก ถูกใจเธอจริงๆ
“เหล่าอู่ คุณตบเยวี่ยเยวี่ยทำไม? คุณยังตรวจสอบเรื่องราวไม่ชัดเจนเลยก็ตีลูกแล้ว ทำไมคุณถึงใจร้ายอย่างนี้?”
เหอปี้อวิ๋นปวดร้าวใจดั่งถูกมีดกรีด รีบขึ้นมาปกป้องอู่เยวี่ย เธอยังไม่เชื่อว่าอู่เยวี่ยขโมยของ เพียงแต่ยืนยันว่าอู่เหมยยัดเยียดโยนความผิดให้อย่างแน่นอน ยายตัวดีนี่ทำให้อู่เจิ้งซือเคลิบเคลิ้มหลงใหลจนหัวตาพร่ามัว ตั้งใจแค่จะปกป้องยายตัวดีนี่ แล้วพยายามเหยียบย่ำเธอกับเยวี่ยเยวี่ยสองแม่ลูกอย่างสุดขีด
อู่เจิ้งซือเห็นเหอปี้อวิ๋นถึงตอนนี้ยังจะปกป้องอู่เยวี่ย ก็ยิ่งโมโหมากขึ้น ผลักเหอปี้อวิ๋นออกอย่างแรง มองอู่เยวี่ยที่น้ำตานองหน้าอย่างเย็นชา พูดช้าๆ ทีละประโยค “ตั้งแต่นี้ต่อไป พ่อจะหักเงินค่าขนมครึ่งหนึ่ง และลูกต้องซักเสื้อผ้าเอง แล้วการล้างจานก็เป็นหน้าที่ของลูก”
เขาก็หันหน้าไปทางเหอปี้อวิ๋น พูดน้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่า “หากผมจับได้ว่า คุณให้เงินค่าขนมอู่เยวี่ยเพิ่ม หรือช่วยเธอทำงานบ้าน คุณก็ไสหัวกลับบ้านแม่ของคุณไปเลย ไม่ต้องกลับมาอีก”
………………………………………………………………………….
ตอนที่ 283 ลงโทษอู่เยวี่ยอย่างเฉียบขาด
คำพูดของอู่เจิ้งซือเหมือนกับลูกระเบิดตอร์ปิโดน้ำลึก ระเบิดให้เหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกตื่นตระหนกตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมด ตัวเหอปี้อวิ๋นยิ่งตกใจจนหน้าซีด เธอไม่กลัวอู่เจิ้งซือด่า หรือตบตี แต่เธอกลัวการหย่าร้าง
ตอนนี้เธอเป็นหญิงกลางคนที่อายุใกล้จะสี่สิบแล้ว ถ้าหากหย่าร้างแล้ว เธอยังจะมีอนาคตอะไรอีก? แต่งงานอีกครั้งก็หาสามีดีไม่ได้ ไม่แน่สามีใหม่ก็ยังสู้อู่เจิ้งซือไม่ได้!
เหอปี้อวิ๋นหวาดกลัวอู่เจิ้งซือจนไม่กล้าพูด ความคิดทุกอย่างหายไปหมด ตีหัวอู่เยวี่ยด้วยความเวทนา เยวี่ยเยวี่ยที่น่าสงสารของเธอ เป็นเพราะโดนยายตัวดีนี่รังแก
เห็นอู่เจิ้งเข้าไปในห้องแล้ว เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงเบา “เยวี่ยเยี่ยไม่ต้องกลัวนะ พ่อของลูกดื่มเยอะเลยทำตัวเละเทะ เดี๋ยวรอพรุ่งนี้ก็สร่างเมาแล้ว เขาต้องเสียใจภายหลังแน่นอน”
อู่เยวี่ยรู้สึกจิตใจว้าวุ่น จับต้นชนปลายไม่ถูก เธอหวังว่าอู่เจิ้งซือจะเมาเหล้าจริงๆ ทว่า เธอรู้ดี อู่เจิ้งซือไม่ได้เมาเหล้า แววตาของเขาสดใส การพูดก็ชัดเจน ไม่มีอะไรจะมีสติกว่านี้อีกแล้ว
“แม่ หนูไปซักผ้าก่อนนะคะ”
ตอนบ่ายหลังอู่เยวี่ยอาบน้ำเสร็จ เสื้อผ้าที่เปลี่ยนใส่เมื่อตอนบ่ายก็ยังไม่ได้ซัก เมื่อก่อนล้วนเป็นอู่เหมยซักให้ หลังจากอู่เหมยหยุดทำงาน ก็เป็นเหอปิ้อวิ๋นซัก ตอนนี้มีแต่เธอต้องทำเอง มาตอนนี้อู่เยวี่ยนึกถึงอู่เจิ้งซือที่สีหน้าเย็นชาเมื่อครู่นี้ขึ้นมา ตัวเธอก็สั่นเทา
คนที่อ่อนโยนและพูดเสียงเบาเวลาปกติ ไม่นึกเลยว่าพอระเบิดอารมณ์ขึ้นมาจะน่ากลัวเพียงนี้ อู่เยวี่ยกลัวอู่เจิ้งซือจริงๆ ความปวดแสบที่ใบหน้ายิ่งตอกย้ำเธอ อู่เจิ้งซือไม่ใช่อู่เจิ้งซือคนเดิมแล้ว อีกอย่างเธอก็ไม่ใช่คุณหนูตระกูลอู่คนเดิมอีกแล้ว
เหอปิ้อวิ๋นมองลูกสาวสุดที่รักที่ซักผ้าอย่างทุลักทุเลด้วยความปวดใจ กลับไม่กล้าออกหน้าเข้าไปช่วย อู่เจิ้งซือกำลังโมโห เธอกล้าซะทีไหน?
เพียงแค่หวังว่าผ่านไปหลายวัน อู่เจิ้งซือจะหายโกรธ เธอค่อยไปพูดจาไพเราะ ให้ยกเลิกลงโทษอู่เยวี่ย เยวี่ยเยวี่ยเรียนหนังสือทุกวัน ลำบากขนาดนั้น จะเอาแรงที่ไหนมาทำงานบ้าน?
อู่เหมยมองท่าทางการสื่อสารของผู้หญิงสองคนนี้ออกอย่างชัดเจน ส่งเสียง ฮึ! เบาๆ เธอถือเครื่องประดับเงินกลับห้องตัวเอง วันนี้เธอได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ เป็นที่น่ายินดีและน่าฉลองอย่างยิ่ง พรุ่งนี้ไปร้านอาหารเฟิ้งไหลกินซาลาเปาไข่ปู เลี้ยงสยงมู่มู่สักมื้อ แล้วยังมีเจ้าอ้วนอู่เชาอีกคนด้วย
ถือโอกาสให้สองคนนี้ป่าวประกาศแทนอู่เยวี่ย ตั้งแต่นี้ต่อไปอู่เยวี่ยจะมีฉายาว่า ‘ขี้ขโมย’ เพิ่มขึ้นมาอีก
จริงๆ แล้ว เธอยิ่งอยากจะชวนเหยียนหมิงซุ่น หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของเหยียนหมิงซุ่น เธอจะซื้อบ้านอย่างราบรื่นได้อย่างไร และก็เป็นไปไม่ได้ที่หาเงินได้เยอะขนาดนั้น แต่เสียดายที่เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับเธอ จึงไม่ได้เจอเขาเลย
หาไม่แล้ว เธอวาดรูปมอบให้เหยียนหมิงซุ่น ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นน้ำใจของเธอ!
พอนึกแล้วอู่เหมยก็เกิดอาการตื่นเต้นและคึกคักขึ้นมา
เธอไม่ง่วงไม่แต่น้อย วางกระดาษเรียบร้อยอยู่บนโต๊ะ วาดภาพนั้นที่อู่เยวี่ยทำขาดเสียก่อน เตรียมส่งไปพร้อมกับเครื่องประดับพรุ่งนี้ เพราะว่าเป็นการวาดครั้งที่สอง อู่เหมยวาดเร็วเป็นพิเศษ สักพักก็ลงเส้นและระบายสีอย่างระมัดระวังจนเสร็จ นับว่างานใหญ่สำเร็จลุล่วงแล้ว
ขณะหยิบกระดาษขึ้นมาเพิ่ม อู่เหมยกัดดินสอครุ่นคิดอย่างหนัก ด้วยไม่รู้ว่าจะวาดอย่างไร แต่ไม่นานเธอก็คิดออก เธอขีด เขียน วาดออกมา ไม่นาน มีเด็กผู้ชายรูปร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งปรากฏอยู่บนกระดาษ คิ้วและตาคล้ายกับเหยียนหมิงซุ่นมาก มองแวบเดียวก็จำได้
แล้วเธอก็วาดอีกหลายคน ซึ่งล้วนวาดง่ายมาก แม้กระทั่งคิ้วและตาก็ไม่ชัด ในกลุ่มมีเหยียนหมิงซุ่นปรากฏอยู่ในภาพวาด กำลังโยนลูกบาสไปทางแป้นบาส ค้างอยู่กลางอากาศสามวินาที หันกลับมามองแล้วยิ้มให้ เก๋ไก๋อย่างไม่น่าเชื่อ
อู่เหมยวาดภาพที่เธอเห็นเหยียนหมิงซุ่นเล่นบาสครั้งแรกออกมา เธอวาดการ์ตูนเพิ่มลงไป แล้วก็ระบายสี ไม่นานภาพก็มีชีวิตชีวาเหมือนจริง และเธอยังวาดให้เหยียนหมิงซุ่นสวมเครื่องแบบทหารล่วงหน้าอีกด้วย
ไม่มีเสื้อผ้าอะไรจะแสดงให้เห็นเสน่ห์ของผู้ชายได้มากกว่าเครื่องแบบทหารอีกแล้ว!
เธอมองภาพวาดที่วาดเสร็จด้วยความพอใจ แล้วเก็บอย่างระมัดระวัง หาเวลาเอาไปให้เหยียนหมิงซุ่น หวังว่าเขาจะชอบ และเธอยังต้องไปซื้อแม่กุญแจ เพราะต้องป้องกันสิ่งของมีค่าอย่างเข้มงวดให้พ้นจากยายอู่เยวี่ยขี้ขโมย
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 284 เปลี่ยนที่นั่ง
วันที่สอง อู่เหมยตื่นสายเล็กน้อย เหอปี้อวิ๋นตื่นนอนแล้ว เธอใส่หน้ากากตั้งแต่เช้าตรู่ อู่เยวี่ยก็ใส่เหมือนกัน อู่เหมยเห็นแล้วแอบโล่งใจมาก สองคนนี้มีความสามารถมากที่ไม่กินข้าวหนึ่งวัน ไม่เช่นนั้นแล้วคนอื่นต้องเห็นหน้าพวกเธอแน่นอน
อู่เจิ้งซือที่ใส่หน้ากากเหมือนกันเดินออกมาจากบ้าน อู่เหมยกั้นหัวเราะไว้ เธอไปยกโจ๊กที่อยู่บนเตา อาจารย์แม่จางเห็นอู่เหมยสบายอกสบายใจ ก็ยิ่งแปลกใจ “เหมยเหมย เธอไม่ได้เป็นหวัดนะ? ครูเหอบอกว่าวันนี้บ้านเธอเป็นหวัด!”
“หนูภูมิต้านทานแข็งแรงค่ะ ไวรัสพวกนั้นกลัวหนูจนหนีไปไกลเลยค่ะ” อู่เหมยพูดด้วยยิ้มตาหยี แล้วขยิบตายุกยิก เดินถือโจ๊กเข้าบ้านไป
เรื่องนี้ไม่ต้องรอให้เธอพูด คางและหางคิ้วของอู่เจิ้งซือต่างก็มีรอยข่วน ใบหน้าของเหอปี้อวิ๋นก็บวมเป่ง หน้ากากจะปกปิดได้ขนาดไหน?
คนที่มีสายตาเฉียบคมแค่เห็นก็รู้ว่าแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
อาจารย์แม่จางก็ดูออก อีกอย่างเมื่อคืนนี้บ้านอู่ส่งเสียงดังมาก เธอไม่ใช่คนหูหนวก จะไม่ได้ยินได้อย่างไร?
แต่เมื่อสักครู่นี้แค่ตั้งใจถามเท่านั้นเอง ใครบอกให้เหอปี้อวิ๋นทำให้คนเขาโมโหมากนักนะ เป็นโอกาสดีที่ได้ใช้คำพูดหลายคำเยาะเย้ยถากถางเสียที
บรรยากาศอาหารเช้าของตระกูลอู่น่าอึดอัดมาก แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความอยากอาหารของอู่เหมย เธอกินนมหมดหนึ่งแก้ว กินซาลาเปาเนื้ออีกสามชิ้น แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะอารมณ์ไม่ดี แต่ปริมาณการกินอาหารเช้าก็ยังดีอยู่ อู่เหมยกินอย่างพอใจมาก กินจนเต็มท้อง เธอแบกกระเป๋าหนังสือขึ้นมาแล้วก็ออกไป
ตอนนี้เธอเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านกับการไปโรงเรียน แม้กระทั่งยังรอคอยว่าจะได้สอบทุกวัน หากเป็นเช่นนี้เธอก็จะพัฒนาขึ้นทุกวัน!
ฟังคุณครูชมเชยทุกวัน จะดีขนาดไหนนะ!
เพิ่งจะเข้าห้องเรียน เจินหวานหว่านถามด้วยน้ำเสียงเกินจริง “เหมยเหมย ได้ยินมาว่าผลสอบเดือนนี้พี่สาวของเธอได้แค่ที่สิบสองของโรงเรียนจริงเหรอ?”
การอ่านตอนเช้าหยุดชะงัก ทุกคนเงยหน้าขึ้น หูผึ่ง หน้าตามีความอยากรู้อยากเห็น อู่เหม่ยทำหน้านิ่ง พยักหน้าและพูดตรงๆ “ใช่ ได้ที่สิบสอง”
“อุ๊ย! ทำไมสอบได้แค่ที่สิบสองล่ะ? พี่อู่เยวี่ยครองที่หนึ่งมาโดยตลอดไม่ใช่เหรอ?” เจินหวานหว่านแกล้งถาม แต่ในใจรู้สึกเบิกบานใจ
อู่เหมยมองเธอด้วยความประหลาดใจ แล้วพูดช้าๆ “อับดับหนึ่ง สอบได้ที่สิบสอง ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินี่ ในเมื่อโลกนี้ก็ไม่มีขุนศึกผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ที่แท้จริง ก็เหมือนกับเธอนั่นแหละ เจินหวานหว่าน คะแนนสอบล่าสุดไม่แย่ลงก็เก่งมากแล้ว แม้กระทั่งสอบไม่ผ่าน ก็ยังสอบมาแล้ว”
แม้ว่าเธอจะเกลียดชังอู่เยวี่ย แต่เธอก็ไม่ชอบเจินหวานหว่าน ไม่อยากถูกเจินหวานหว่าน ใช้เธอเป็นเครื่องมือดูแคลนอู่เยวี่ย อนึ่ง อู่เยวี่ยเป็นพี่สาวของเธอ เธออยู่ต่อหน้าคนอื่น เธอก็ยังต้องแกล้งแสดงความรักระหว่างพี่สาวน้องสาว จะให้คนอื่นจับผิดความรู้สึกบกพร่องนี้ไม่ได้
เจินหวานหว่านถูกพูดขัดจนสีหน้าดูแย่มาก ทีแรกอยากให้อู่เหมยฉีกหน้าอู่เยวี่ย แต่ไม่นึกเลยว่านังโง่นี่ไม่ตกหลุมพราง แต่กลับแกล้งหักหน้าเธอเสียด้วยซ้ำไป ทำเอาเธอโมโหมาก
“เหมยเหมย เธอพูดถูก บนโลกนี้จะมีขุนศึกผู้ไม่เคยแพ้ที่แท้จริงซะที่ไหน อีกอย่างฉันได้ยินว่า ผู้หญิงหลังจากขึ้นมัธยมต้น คะแนนสอบก็จะแย่ลง นี่เป็นกฎธรรมชาติ”
อู่เหมยมุ่นคิ้ว ตอบกลับโดยไม่เงยหน้า “เจินหวานหว่าน เธอกำลังพูดถึงตัวเองหรือเปล่า? ยังไม่ได้ขึ้นมัธยมต้นเลย คะแนนสอบของเธอก็แย่ลงแล้ว ไม่แปลกใจที่เธอเรียนยังไงก็เรียนได้ไม่ดี ที่แท้ก็เป็นกฎธรรมชาตินี่เอง!
“ฮ่าๆๆ!”
เพื่อนร่วมชั้นหัวเราะกันครื้นเครง ยังมีบางคนพากันกระเซ้าเย้าแหย่ พูดถึงแต่คะแนนสอบของเจินหวานหว่าน ตอนนี้อู่เหมยหน้าตาสวย การเรียนของเธอก็ยังก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว สถานะในหัวใจของเพื่อนร่วมชั้นก็สูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เจินหวานหว่านหน้าตาธรรมดา แถมคะแนนสอบก็แย่มาก ใจของทุกคนเอนเอียงไปอยู่ข้างอู่เหมยอย่างเห็นได้ชัด
เจินหวานหว่านโกรธจนร้องไห้ตาแดง เธอร้องไห้เบาๆ ฟุบลงบนโต๊ะ แต่อู่เหมยไม่กลัวเธอ เดี๋ยวรอเลิกเรียน เธอต้องไปหาครูประจำชั้นเพื่อเปลี่ยนที่นั่ง ไม่นั่งกับยายน่ารำคาญคนนี้อีกแล้ว
เหตุผลของอู่เหมยธรรมดามาก เพราะว่าเธอสูงขึ้น เข้าไปขอเปลี่ยนไปนั่งข้างหลังเอง ตอนนี้ครูประจำชั้นมีท่าทีอ่อนโยนและเป็นมิตรกับเธอเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินคำขอที่ไม่มากเกินไป ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงและยังเห็นด้วย แล้วย้ายเธอไปทางด้านหลังถัดไปสองที่นั่ง โต๊ะเดียวกับอู่เชาพอดี อู่เชาก็ย้ายตามลงไป เพราะว่าเจ้าเด็กอ้วนคนนี้ก็สูงขึ้น
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 285 การแสดงด้านศิลปะวรรณคดี
อู่เหมยพอใจกับที่นั่งใหม่มาก ในที่สุดก็ไม่ต้องทนเจินหวานหว่านที่น่ารำคาญอีกแล้ว ทุกวันนี้เวลาเห็นเธอแสดงตัวเป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง อู่เหมยก็รู้สึกรำคาญแล้ว ถึงแม้ว่าจะต้องเผชิญกับใบหน้าอ้วนกลมของอู่เชาทุกวัน ก็ยังดีกว่ามองเจินหวานหว่าน
เจินหวานหว่านไม่ได้โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น โต๊ะเดียวกันกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ค่อยพูดเงียบขรึมคนหนึ่ง มันเป็นโต๊ะของอู่เชาเมื่อก่อน เธอเป็นนักเรียนเรียบร้อยที่เคารพกฎเป็นพิเศษ นั่งเรียนหนังสือหลังตรงกว่าแท่นนาฬิกา เจินหวานหว่านพอเห็นเธอก็ปวดหัว
“เหมยเหมย ทำไมถึงขอครูเปลี่ยนที่นั่งปุบปับล่ะ? พวกเรานั่งด้วยกันดีจะตาย!” ตอนเลิกเรียน เจินหวานหว่านถือโอกาสเข้ามาตีสนิท
“เธอตัวเตี้ยเกินไป ถ้าฉันนั่งกับเธอก็จะส่งผลกระทบต่อเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งด้านหลัง” อู่เหมยกลอกตาไปมา ลากเจ้าอ้วนออกมา “อีกอย่าง พี่ชายของฉันอยากนั่งโต๊ะเดียวกับฉัน”
อู่เชาตัวเกร็งไปหมด เขาอยากนั่งกับยายตัวดีนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ตอนนี้ยายตัวดีนี่ไม่ได้พูดความจริง ไม่ได้จิตใจดีขนาดนั้น!
อู่เชายิ้มแหยๆ ไม่สนใจเขา เจินหวานหว่านรู้สึกว่าไม่น่าสนใจ จึงกลับไปนั่งที่ อู่เชาก้มหน้าจะด่า อู่เหมยพูดเสียงเบา “ซาลาเปาไข่ปู่ที่ร้านอาหารเฟิ้งไหลจะกินไหม?”
“กินสิ จำกัดปริมาณไหม?”
อู่เชาตาเป็นประกาย กลืนคำพูดที่จะด่าฉับพลัน มองอู่เหมยด้วยแววตาที่มีชีวิตชีวา
“กินได้ไม่อั้น กินได้ตามสบายเลย!”
อู่เชาดีใจจนตาหยี กลายเป็นขีดเดียว ซาลาเปาไข่ปูของร้านเฟิ้งไหลน่ะ รสชาตินั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงจะแพงไปหน่อย แม้ว่าเงินค่าขนมเขาจะเยอะ แต่อย่างไรเขาก็ยังเสียดายเงิน ไม่กล้าซื้อกินบ่อยๆ ราคาของซาลาเปาไข่ปูหนึ่งเข่งสามารถซื้อโอ่วซือปิ่งได้หกชิ้นเลยนะ!
ไม่คุ้มเลย!
“จะไปกินเมื่อไหร่?”
“วันนี้หลังเลิกเรียนไปกินกัน” อู่เหมยหรี่ตามอง เจ้าอ้วนที่แยกเขี้ยวยิงฟัน ตัวเองถูกแหย่จนหัวเราะ อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ตอนกินข้าวกลางวัน อู่เชาเปลี่ยนจากการกินตะกละตะกลามที่ทำเป็นประจำอย่างไม่คิดว่าจะเปลี่ยนได้ กลายเป็นค่อยๆ กิน แล้วยังเอากุนเชียงที่คุณย่าอู่ทำให้เป็นพิเศษยกเอาให้อู่เหมย ตัวเองกินแค่ผัดผักกาดขาวเต้าหู้ ข้าวก็กินแค่ครึ่งเดียว เหมือนกับบริจาคดอกไม้ใบหญ้าในสวนดอกไม้
“นายเพี้ยนไปแล้วเหรอ? ทำไมถึงกินนิดเดียว?” อู่เหมยประหลาดใจมาก
“ฉันต้องเหลือท้องไว้เยอะๆ เดี๋ยวจะกินซาลาเปาไข่ปูได้ไม่เยอะ” อู่เชาลูบท้อง
พยายามดิ้นรนเพื่อเพิกเฉยต่อการประท้วงในท้องของเขา เขาดื่มน้ำแก้วใหญ่อึกๆ หนึ่งแก้ว ถือว่าอิ่มพร้อมกับน้ำ
อู่เหมยฉีกยิ้มมุมปาก ทำเสียงฮึ “มีพัฒนการนี่นา!”
ทำไมชาติที่แล้วไม่พบว่า เจ้าอ้วนจะมีนิสัยซื่อๆ น่ารักได้นะ?
แกล้งเป็นวางมาดขรึมออกสื่อทีวีเท่านั้น เธอจำได้เจ้าอ้วนคนนี้ ต่อมายังไปอยู่ในวงการบันเทิง เป็นพิธีกรรายการหนึ่ง ตลอดทั้งวันแกล้งเป็นคนต้มตุ๋นสวมเสื้อคอจีน เห็นๆ กันอยู่ว่าแม้กระทั่งพูดยังไม่พูดชัด ไม่นึกเลยว่าจะมีคนตาบอด เอาเขาไปพิธีกร แต่ยิ่งทำให้ประหลาดใจคือ ไม่นึกเลยว่ารายการนี้จะดัง!
สุดท้ายมีคนค้นหาเจ้าอ้วน อู่เชาในเว็บไซต์ไป๋ตู้เพิ่มมากขึ้น รายการค้นหา ‘พิธีกรที่มีชื่อเสียง!’
ชิ! ทำบุญมาดีจริงๆ !
แต่อู่เหมยกินจนอิ่ม เธอรู้สึกพอใจเป็นพิเศษ เอาน้ำล้างกล่องข้าว เดินกลับไปห้องเรียน เพิ่งจะนั่งลงไม่ทันไร กรรมการด้านศิลปวรรณคดีของชั้นเรียนเดินมา กรรมการด้านศิลปวรรณคดีคนนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่สวย เธอชื่อเจียงซินเหมย เป็นคนรูปร่างผอมเพรียว แค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ฝึกเต้นมาตั้งแต่เด็ก
อู่เหมยยังจำเจียงซินเหมยได้ เหมือนกับว่าต่อมาเธอไปเป็นทหารในกรมวัฒนธรรมกองทัพบก สามีของเธอยังเป็นเจ้าหน้าที่ของกองทัพด้วย นับว่าน่าสนใจยิ่งนักที่มีคนแบบนี้ปะปนอยู่กลุ่มเพื่อนร่วมชั้นของเธอ
“เพื่อนร่วมชั้นอู่เหมย โรงเรียนกำลังรวบรวมการแสดงศิลปวรรณคดีในวันขึ้นปีใหม่ ในแต่ละชั้นต้องมีทั้งหมดสามการแสดง เธอก็เข้าร่วมสิ?” เสียงของเจียงซินเหมยนั้นชัดแจ๋วมาก เหมือนกับเสียงกัดแตงกวาดอง ฟังแล้วรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษเหมือนกับนิสัยของเธอ
“ฉันร้องเพลงกับเต้นไม่ได้เลย อย่าได้เอาฉันไปถ่วงความเจริญของเลย”
อู่เหมยส่ายหน้าปฏิเสธ เธอทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากขึ้นเวทีไปไม่ใช่จะไปปล่อยไก่แย่เหรอ!
…………………………………………………………………………
ตอนที่ 286 อู่เชาก็อยากจะแสดง
เจียงซินเหมยพูดเกลี้ยกล่อมอู่เหมยอย่างไม่ลดละ “เธอสวยขนาดนี้ ไม่ไปขึ้นแสดงละก็เสียดายแย่ พวกเราก็ไม่ใช่ทีมเต้นมืออาชีพ ก็ไปเต้นด้วยกัน แค่บิดแขน เตะแข้งเตะขาเป็นก็ได้แล้ว มาเถอะ กลุ่มของฉันยังขาดอีกสองคน ถ้าเธอไม่ช่วย ฉันก็แสดงไม่ได้แล้ว”
อู่เหมยถูกความออดอ้อนฉอเลาะของเจียงซินเหมยจนในหัวของเธอสับสน เธอพยักหน้าอย่างงงๆ เจียงซินเหมยดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง กอดและหอมอู่เหมยจนเธอตกใจสะดุ้งโหยง จ้องเขม็งเจียงซินเหมยอย่างระวังตัว
“ฮ่าๆ อู่เหมย เธอนี่ตลกจริงๆ ฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย หอมเธอนิดเดียวจะเป็นอะไร?” เจียงซินเหมยหัวเราะชอบใจ
อู่เหมยเช็ดหน้าด้วยความรังเกียจ เกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาหอมเธอ แค่คิดถึงน้ำลายคนอื่นมาติดอยู่บนหน้าหรือปากของเธอ เธอก็อดรู้สึกขยะแขยงไม่ได้
“โอเคๆ ต่อไปฉันไม่หอมเธอแล้ว ตกลงไหม? แต่เห็นปฏิกิริยาของเธอรุนแรงอย่างนี้ สามีของเธอในอนาคตน่าเวทนาแย่!”
เจียงซินเหมยดูออกว่าอู่เหมยรู้สึกไม่พอใจที่คนอื่นมาหอมจริงๆ ก็อดเก้อเขินเล็กน้อยไม่ได้ เธอจึงพูดเรื่องตลกหลายเรื่องเพื่อแก้เขิน ใครจะไปรู้ว่าพูดแล้วทำให้อู่เหมยหน้าแดงอีก
“อุ๊ย! อู่เหมย ทำไมเธอถึงเหมือนต้นไมยราบเลย ฉันเห็นแล้วเอ็นดูเธอจริงๆ”
เจียงซินเหมยตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง เธอสะบัดหัวถึงจะตื่นขึ้นมา แอบร้องอมิตตาพุทธ อู่เหมยมีหน้าตาเช่นนี้ก็เพื่อทำร้ายผู้ชายชัดๆ เธอเป็นผู้หญิงยังมองตาค้างเลย จุ๊ๆๆ อย่างไรก็ตามเธอขอมีหน้าตาธรรมดาอย่างนี้ดีกว่า
อู่เหม่ยมองเธออย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง เมื่อก่อนยังดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจียงซินเหมยนิสัยอย่างนี้ ลิ้นลมคมคาย แต่เธอไม่ได้รู้สึกแย่ต่อเจียงซินเหมย เพราะถึงแม้ผู้หญิงคนนี้จะพูดจาหวานไพเราะ แต่ก็มีแววตาที่จริงใจมาก ไม่เหมือนเจินหวานหว่าน ที่ในแววตามักจะมีแผนการอยู่ตลอด
อู่เชาเฮโลเข้ามา พอเห็นน้องสาวยอมให้จิ๊กกี๋อย่างเจียงซินเหมยล่วงเกิน เขาในฐานะพี่ชายก็ต้องออกหน้า เขาเหล่ตามองเจียงซินเหมย พูดอย่างตั้งใจ “ไม่อย่างนั้น ก็ให้ฉันแสดงด้วยไม่ได้เหรอ?”
เจียงซินเหมยกอดอก ก้มลงมองพินิจพิเคราะห์อู่เชา ไม่มีทาง ผู้หญิงคนนี้สูงกว่าเจ้าอ้วน ไม่รู้ว่ากินอะไรมาถึงได้ตัวโต
“อู่เชา เธอจะไปแสดงอะไร? คงจะไม่ขึ้นเวทีไปขายเซาปิ่งหรอกนะ?” เจียงซินเหมยกลั้นหัวเราะแล้วกล่าว
อู่เหมยรีบเอามือปิดปาก ยัยเจียงซินเหมยนี่ช่างพูดจาเหน็บแนบเสียจริง ด่าคนไม่ใช้คำหยาบ อู่เชาโกรธ เขาหายใจฟึดฟัด พูดด้วยความโมโห “ฉันจะแสดงเป่าปี่ ฉันเป็นผู้ชายที่มีกึ๋น มีความสามารถอันยอดเยี่ยม”
อู่เหมยเบะปาก ‘เป่าปี่’?
ได้ยินคำนี้แล้วขนลุก…
เจียงซินเหมยไม่รู้จักเรื่องราวโบราณของการเป่าปี่แน่นอน
เธอพินิจพิเคราะห์เด็กอ้วนอย่างสงสัย “เธอเป่าปี่เป็นจริงเหรอ? ไม่ได้คุยโวนะ?”
“ทำไมฉันต้องคุยโว? ฉันไม่เพียงแต่เป่าปี่เป็น แต่ยังเป่าขลุ่ยเป็นด้วยนะ เจียงซินเหมย เธอคิดว่าในโลกนี้มีแค่เธอที่เต้นรำ บิดตูดเป็นเหรอ? ชิ!” อู่เชาเงยหน้าขึ้นสูงมาก รูจมูกบานๆ
อู่เหมยกลั้นหัวเราะแล้วกล่าว “ลูกพี่ลูกน้องของฉันเป่าปี่เป็นจริงๆ นอกจากนี้ยังเป่าขลุ่ย ซอสองสายก็เล่นเป็น นอกจากเรียนหนังสือไม่ได้แย่แล้ว วิธีการที่ไม่ชอบมาพากลอื่นๆ ก็ค่อนข้างเก่งทีเดียว”
เจ้าอ้วนมีสัมผัสพิเศษทางด้านดนตรีและมีความรู้ค่อนข้างลึกซึ้ง ทั้งปี่ ซอสองสาย ขลุ่ย เครื่องดนตรีเหล่านี้เขาหัดเองทั้งหมด ตระกูลอู่ก็ไม่มีคนเล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้เป็น เขาซื้อหนังสือเกี่ยวกับด้านนี้เอง เขายังไปสวนสาธารณขอคำแนะนำพวกเพื่อนๆ ต่างอายุอีกนะ ไม่นึกเลยว่าจะให้เขาเรียนเครื่องดนตรีของชนชาติจีนมากมาย แล้วเขายังหัดเล่นพิณผีผา พิณกู่เจิง ขิมโบราณ ฯลฯ เองด้วยนะ
มีเพียงอย่างหนึ่งที่แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าอ้วนไม่หัดเล่น คือ เครื่องดนตรียุโรป เพราะว่าเจ้าอ้วนรู้สึกว่าเครื่องดนตรียุโรปไม่มีกึ๋น เทียบกับเครื่องดนตรีจีนไม่ได้
อู่เชาพอใจกับคำพูดครึ่งก่อนหน้าของอู่เหมยมาก แต่คำพูดครึ่งหลังกลับไม่ค่อยเข้าหู เจ้าอ้วนทำเสียงเยาะเย้ย บ่งบอกว่าเขาไม่พอใจมาก
วิธีการที่ไม่ชอบมาพากลอะไร?
สิ่งเหล่านี้คือประวัติอันยาวนานของชนชาติจีน เป็นวัฒนธรรมอันล้ำเลิศ!
คุยกับคนไม่มีวัฒนธรรมนี่มันเหนื่อยจริงๆ!
…………………………………………………………………..
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น