กระบี่จงมา 276.1-277.2

 บทที่ 276.1 ในบางครั้งการพบกันใหม่ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันหมุนตัวด้วยความสับสนมึนงง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงตำแหน่งใดของภูเขาห้อยหัวกันแน่ รอบด้านก็ไม่มีต้นไม้ที่ใหญ่พอให้เขาปีนขึ้นไปมองจากที่สูง บนถนนมีแค่ประตูเรือนและกำแพงสูง เฉินผิงอันหรือจะกล้าปีนขึ้นไปบนกำแพงบ้านของคนอื่นส่งเดช ทว่าเช้าตรู่แบบนี้ คนที่ออกมาเดินข้างนอกยังบางตา คนที่รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปก็ยิ่งไม่มีเลยสักคน หากเป็นเวลาปกติ ตนไม่กลับตลอดทั้งคืน จินซู่ที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยต้องร้อนใจอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าเรื่องอาจไปถึงหูเกาะกุ้ยฮวาที่กำลังยุ่งกับการขนถ่ายสินค้า เฉินผิงอันคงกระวนกระวายอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ได้มาเดินอยู่บนถนนที่เงียบสงบ เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าเดินไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปล่อยไปตามชะตาลิขิต ได้เห็นทัศนียภาพแบบไหนก็แบบนั้น


คนคนหนึ่งจะไม่เคยรบกวนคนอื่นเลยได้อย่างไร รบกวนบ้างครั้งสองครั้งก็ไม่จำเป็นต้องละอายใจเกินไป


เดินไปเดินมา เฉินผิงอันก็มองเห็นนาง


หนิงเหยายืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของถนน กำลังเดินตรงมาหาเฉินผิงอันช้าๆ


นางสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม หากจำไม่ผิด มันเหมือนชุดใหม่ที่เขาเคยซื้อให้นางตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูมาก สวมอยู่บนร่างนาง เหมาะมาก


เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า มาหยุดอยู่ตรงหน้าหนิงเหยาแล้วหลุดปากพูดไปว่า “บังเอิญจัง”


หนิงเหยากระตุกมุมปากแล้วทำหน้าเคร่ง ไม่พูดไม่จา


เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ ว่า “เดิมทีคิดไว้ว่าสองวันนี้จะเดินเที่ยวในภูเขาห้อยหัวให้ครบ เดินดูร้านค้าให้มากหน่อย สุดท้ายถึงค่อยตัดสินใจว่าจะไปซื้อของที่เรือนหลิงจือสักสองสามชิ้นดีหรือไม่ ถึงเวลานั้นจะได้มอบพวกมันให้เจ้าพร้อมกับกระบี่เล่มที่ช่างหร่วนเป็นผู้หลอม”


หนิงเหยาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เรือนหลิงจือจะมีของดีอะไรได้ อยากก็มีแค่หลิงจือสมปรารถนาดอกนั้นและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งที่พอจะเข้าท่าเข้าที แต่ข้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้สักหน่อย อีกอย่างเรือนหลิงจือก็ไม่มีทางขาย เจ้าเองก็ซื้อไม่ไหว”


เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเกาหัว รู้สึกเสียดายเล็กน้อย


หนิงเหยาลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะทำในสิ่งที่ขัดต่อนิสัยตัวเอง พูดอธิบายเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่น เจ้าอย่าคิดมาก”


เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่คิดมากหรอก ตอนนี้ในหัวข้าเหลวเป็นแป้งเปียก คิดอะไรก็ปวดหัวไปหมด”


หนิงเหยาถาม “เห็นข้าแล้ว ปวดหัวหรือไม่?”


เฉินผิงอันรีบตอบ “ดีขึ้นเยอะเลย”


หนิงเหยาถาม “เจ้าพักอยู่ที่ไหน? เดินเตร่ไปทั่วแบบนี้ ทำไม คิดอยากจะเป็นวีรบุรุษช่วยสาวงามที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอยู่ข้างทางงั้นรึ?”


เฉินผิงอันถอนหายใจ “เมื่อคืนวานดื่มเหล้าลืมทุกข์ของพื้นที่มงคลหวงเหลียงไป ผลกลับกลายเป็นว่าพอออกจากร้านก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะกลับไปยังไง”


คนทั้งสองเดินไปบนถนนอย่างเรื่อยเปื่อย หนิงเหยาถามว่า “เจ้าไปดื่มเหล้าลืมทุกข์ได้อย่างไร?”


เฉินผิงอันกดเสียงลงต่ำ “มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเลี้ยงเหล้าข้า น่าประหลาดมาก เมื่อครู่นี้ข้าถูกคนจับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นว่าพวกเขาอยู่บนหัวกำแพงด้วย แต่เมื่อคืนวานพวกเขากลับบอกว่าเพิ่งมาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก แต่กลับสามารถเล่าเรื่องเซียนกระบี่ผู้อาวุโสได้อย่างคุ้นเคยเหมือนคนเหล่านั้นเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง หรือว่าคนของภูเขาห้อยหัวไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ง่าย แต่หากสลับกันกลับยากมาก? แต่ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะน่าประหลาดใจแค่ไหน ข้าก็ยังรู้สึกว่าสองสามีภรรยาเป็นคนดี เลี้ยงเหล้าข้า เป็นเรื่องดี วันหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องเลี้ยงเหล้าพวกเขากลับให้ได้”


หนิงเหยาอืมรับเสียงคลุมเครือไม่ชัดเจน


คนทั้งสองเดินอยู่ในตรอกเส้นหนึ่งที่เงียบสงบ กำแพงสูงสองฝั่งล้วนเต็มไปด้วยดอกหวายม่วง (ภาษาอังกฤษคือต้นวีสเตียเรีย) หนิงเหยาเงียบไปตลอดทาง


เฉินผิงอันถามว่า “แม่นางหนิง ตอนนั้นเจ้ารีบร้อนจากไป ข้าลืมถามเจ้าว่า เจ้ารังเกียจข้าใช่ไหม”


หนิงเหยาตอบอย่างรวดเร็ว “เปล่า”


เฉินผิงอันหยุดเดิน เอื้อมมือไปคว้าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็ปล่อยมือ จ้องมองตรงไปที่หนิงเหยา “แม่นางหนิง ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบข้าหรือไม่?”


หนิงเหยาเงียบไม่ตอบ


เฉินผิงอันจึงเลียนแบบท่าทางของนางตอนอยู่บ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิงในปีนั้นด้วยการยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว ตั้งวางห่างกันให้เหลือพื้นที่ว่างตรงกลางแค่เล็กน้อย “ชอบแค่เท่านี้ก็ไม่เลยหรือ?”


หนิงเหยาไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้ แต่ถามกลับว่า “ทำไมเจ้าถึงชอบข้า?”


เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ดื่มเหล้าอย่างรวดเร็วหนึ่งอึก เช็ดปากแล้วยิ้มกว้างตอบว่า “งั้นก็มีเรื่องให้พูดมากเลยล่ะ ข้าจะค่อยๆ พูดให้เจ้าฟัง ไม่ว่าอย่างไร แม่นางหนิงเจ้าต้องฟังข้าพูดให้จบก่อน ต่อให้จะโกรธแค่ไหนก็อย่าขัดจังหวะข้า ข้ากลัวว่าถ้าถูกขัดจังหวะจะไม่กล้าพูดอีกตลอดชีวิต แม่นางหนิง เจ้าสวยมากจริงๆ ก่อนหน้าที่ข้าจะพบเจอเจ้า อยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูข้าไม่เคยเจอใครที่สวยกว่าเจ้ามาก่อน ภายหลังเจ้ามาพักรักษาตัวที่ตรอกหนีผิงก็ไม่เคยรังเกียจที่บ้านข้ายากจน เจ้ายังสอนข้าให้รู้จักตัวหนังสือ เพราะเจ้าช่วยอธิบายตำราหมัดเขย่าขุนเขาให้ข้าฟัง ข้าถึงได้เริ่มฝึกหมัด ถึงได้เดินมาถึงทุกวันนี้ เดินมาถึงที่ภูเขาห้อยหัว


ตอนอยู่บนสะพาน เจ้าให้ข้ายืมมีดทับกระโปรง จากนั้นพวกเราก็ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กัน เล่นงานวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงด้วยกัน พวกเราเกือบตายแล้ว แต่สุดท้ายพวกเราก็ไม่ตาย ดีมากเลย ตอนอยู่ที่สุสานเทพเซียน ข้ายังเกือบจะฆ่าหม่าขู่เสวียนผู้นั้นได้ พวกเราไปที่ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกด้วยกัน ไปช่วยหญิงสาวสกุลเฉินจากนาตยทวีปตามหาต้นอบเชยต้นนั้น ภายหลังมีครั้งหนึ่งที่เจ้าโกรธ ไม่ยอมให้ข้าช่วย จะต้มยาเองให้ได้จนหน้าดำมอมแมมไปหมด ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่ารักมาก เจ้าเคยพูดประโยคหนึ่งว่ามหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้ ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ แต่ออกจากบ้านเดินทางไกลครั้งนี้ ข้าถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ตอนที่เจ้าเกลี้ยกล่อมไม่ให้ข้าเป็นคนดีเกินเหตุและกุมารแจกทรัพย์สิน อันที่จริงข้าดีใจมาก ตอนนั้นที่เจ้าไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ติดตามพวกเทพเซียนไปไกลขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังเต็มใจขี่กระบี่กลับมาบอกลาข้า พอเจ้าจากไป ข้ากินถังหูลู่ที่ตอนเด็กแค่คิดถึงก็น้ำลายไหลเพียงลำพัง มันกลับไม่มีรสชาติอีกต่อไป อาจารย์ฉีจากไปแล้ว ข้าพาพวกเป่าผิงน้อยไปที่ต้าสุย ทุกครั้งที่ได้เห็นภูเขาสวยๆ ก็มักจะคิดถึงคิ้วของแม่นางหนิง เห็นน้ำใส ก็มักจะคิดถึงดวงตาของแม่นางหนิง พบเจอกับแม่นางหน้าตาดีมากมายระหว่างที่เดินทางก็จะคิดถึงแม่นางหนิง จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกนางไม่สวยอีกต่อไปแล้ว”


หลังจากพูดประโยคเหล่านี้รวดเดียวหมดเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ เฉินผิงอันก็เริ่มคอแห้ง ใบหน้าแดงก่ำ รู้สึกเพียงว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือหนักหลายหมื่นชั่ง


แต่เฉินผิงอันไม่เสียใจที่ตัวเองพูดออกไปมากมายขนาดนี้


เฉินผิงอันพูดเสียงสั่น “แม่นางหนิง ข้าชอบเจ้าเป็นเรื่องของข้า เจ้าไม่ชอบข้าก็ไม่เป็นไร”


หนิงเหยาเอนหลังพิงกำแพง ดอกหวายม่วงเหล่านั้นก็ยังไม่งดงามน่าหลงใหลเท่านาง


นางถามว่า “หากข้าไม่ชอบเจ้า เจ้าก็จะไปชอบผู้หญิงคนอื่นใช่ไหม? อย่างเช่น…”


นางคิดแล้วก็พูดต่อว่า “หร่วนซิ่ว?”


เฉินผิงอันมองนาง เพิ่งจะค้นพบว่าที่แท้การชอบแม่นางที่ดีมากคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่านางจะไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากก็จริง แต่ก็คล้ายว่าจะไม่น่าเสียใจมากนัก “ถ้าหากข้าไปชอบผู้หญิงคนอื่นแล้วจะไม่ได้พบเจอเจ้าอีก ถ้าอย่างนั้นชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะไม่ชอบผู้หญิงคนอื่นอีกแล้ว ข้าอยู่ห่างไกลไปหนึ่งพันหนึ่งหมื่นลี้ อยู่ในสถานที่ที่เจ้ามองไม่เห็นข้า ข้าฝึกหมัดหนึ่งพันหนึ่งหมื่นหนึ่งล้านหมัด ก็ยังชอบแค่เจ้าคนเดียว”


หนิงเหยามองค้อน “ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยหรือ?”


เฉินผิงอันอึ้งตะลึง


จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ใช่ ข้าไร้เหตุผลขนาดนั้นแหละ!”


แต่แล้วนางก็พลันคลี่ยิ้ม เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจเหมือนเด็กๆ พอนางยิ้ม คิ้วตาก็ยิ่งงดงามมีชีวิตชีวาดุจสาวงามที่หลุดมาจากภาพวาด นางยกแขนสองข้างขึ้นกอดอก “ใครใช้ให้มีคนโง่มาชอบข้าเล่า?”


จากนั้นนางก็เดินออกมาข้างหน้าสองก้าว ยื่นแขนโอบกอดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นพลางพึมพำว่า “เฉินผิงอัน! ข้าชอบเจ้าไม่น้อยไปกว่าที่เจ้าชอบข้าเลยสักนิด!”


ครั้งแรกที่ได้พบกันอีกครั้ง อันที่จริงนางอยากพูดกับเขาว่า


ข้าไม่ชอบเจ้า


แต่มันกลับยากเหลือเกิน


บทที่ 276.2 ในบางครั้งการพบกันใหม่ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด

โดย

ProjectZyphon

นางปล่อยมือออก กรอบตาแดงก่ำเล็กน้อย ทั้งโกรธและเขินอายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตนี้ของนางหนิงเหยา ราวกับว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก “ทำไมเจ้าถึงได้โง่ขนาดนี้?!”


เฉินผิงอันพูดอย่างเหม่อลอย “เจ้าจะชอบข้าจริงๆ ได้อย่างไร…”


ข้อนี้เฉินผิงอันเหมือนหลิวป้าเฉียวแห่งสวมลมฟ้าราวกับถอดแบบกันมา


ชอบแม่นางคนหนึ่ง ชอบมากจนถึงขั้นที่คิดว่าชั่วชีวิตนี้แม่นางคนนั้นไม่มีทางชอบตนตอบ อีกทั้งยังไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจใดๆ ด้วย


ในที่สุดหนิงเหยาก็เริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้บ้างแล้ว นางเลิกคิ้วขึ้นสูงดุจกระบี่บินที่แหลมคมที่สุดในใต้หล้า “ข้าหนิงเหยาชอบใครยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?!”


อันที่จริงแล้วก็มี แถมยังมีมากด้วย


เพียงว่านางไม่กล้าพูดมันออกมา ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้หญิงนี่นะ แล้วนางก็ไม่ใช่คนที่หน้าหนาอย่างเฉินผิงอันด้วย


ทันใดนั้นเหมือนมีเทพช่วย เฉินผิงอันพลันยื่นแขนไปโอบกอดหนิงเหยา


หนิงเหยาหน้าแดงก่ำ เม้มริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน กลับยังยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับสาบเสื้อเฉินผิงอันเบาๆ


ในตรอกเล็กของภูเขาห้อยหัว เด็กหนุ่มเด็กสาวกอดกันอยู่เงียบๆ เช่นนี้


ดูเหมือนว่านาทีนี้โลกทั้งใบจะพลันมีชีวิตขึ้นมา


สุดท้ายหนิงเหยาก็ยังคงเป็นหนิงเหยา เฉินผิงอันยังคงเป็นเฉินผิงอัน คนทั้งสองไม่ได้เคอะเขินเอียงอายกันต่อไป


พอปล่อยมือออกจากกันแล้ว หนิงเหยาก็นำทาง บอกว่าจะไปดื่มเหล้าหวงเหลียงครึ่งไหนั้นให้หมด นางพาเฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นไหว ยกมือขึ้นแล้วงอนิ้วคล้ายกำลังเคาะประตู


ไม่นานเบื้องหน้าหนิงเหยาก็เกิดริ้วคลื่นกระเพื่อม ร้านเหล้าแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา หนิงเหยาก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้าไปก่อน เฉินผิงอันเดินตามหลังนางไปติดๆ


สวี่เจี่ยลูกจ้างร้านเห็นหนิงเหยาก็กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ “แม่นางหนิง เจ้ามาแล้วหรือ ให้ข้าเลี้ยงเหล้าเจ้าดีไหม?”


หนิงเหยาชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง ใครกัน ไม่เห็นจะจำได้


แล้วก็คร้านจะสนใจอีก เดินตรงไปข้างหน้า เลือกโต๊ะตัวหนึ่งแล้วนั่งลง


สวี่เจี่ยพลันห่อเหี่ยวไร้ชีวิตชีวา


เขารู้สึกว่าแม่นางเบื้องหน้าผู้นี้คือสตรีที่เป็นรองแค่คุณหนูใหญ่เท่านั้น ครั้งแรกที่พบเจอกันนางได้มอบความประทับใจที่ลึกซึ้งให้แก่สวี่เจี่ย


นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ครั้งแรกที่เด็กสาวจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเยือนภูเขาห้อยหัว มีคนผู้หนึ่งพานางมาที่ร้านเหล้า เจ้าหมอนั่นดื่มเหล้าไปสองไห นางดื่มไปแค่อึกเดียวก็ไม่ดื่มอีก คราวนั้นนางสวมชุดสีดำ ห้อยดาบ ไม่ได้พกกระบี่คู่อย่างทุกวันนี้ และยิ่งไม่ได้สวมชุดยาวสีเขียวเข้ม สีหน้าของนางเย็นชา ต่อให้เถ้าแก่ร้านจะจ้องตานาง นางก็ไม่สะทกสะท้าน ในขณะที่อาเหลียงดื่มเหล้า นางเดินไปที่กำแพงสูงเพียงลำพัง มองอยู่นานโดยไม่พูดอะไรสักคำ ภายหลังถึงกลับมานั่งที่เดิม สวี่เจี่ยที่มองดูอยู่รู้สึกว่าเด็กสาวมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครจริงๆ นางเจิดจ้าสะดุดตาจนคนอื่นแทบไม่กล้ามองสบตรงๆ


คราวนั้นอาเหลียงไร้ซึ่งรอยยิ้ม เขาเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว สวี่เจี่ยมองออกว่าอาเหลียงไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมเด็กสาวอย่างไร ดูเหมือนว่าเด็กสาวจะไปทำเรื่องหนึ่งที่ร้ายกาจมาก อาเหลียงดื่มเหล้าเงียบๆ อย่างอัดอั้น นั่นถึงทำให้สวี่เจี่ยรู้ว่าที่แท้อาเหลียงก็มีช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน หลังจากที่เด็กสาวยืนกรานไม่ให้อาเหลียงไปส่งและออกจากร้านไปเพียงลำพัง อาเหลียงก็ไม่ดื่มเหล้าอีก ท่าทางของเขาเป็นทุกข์ บอกว่าบุตรสาวครึ่งตัว อยู่ดีๆ ก็โบยบินหนีไปทั้งอย่างนี้


สวี่เจี่ยมองเด็กหนุ่มจากต้าหลีที่ชื่อว่าเฉินผิงอันผู้นั้นแวบหนึ่ง


ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่ไม่คู่ควรกับแม่นางหนิง


ร้อยเฉินผิงอันรวมกันก็ใช่ว่าจะคู่ควร


เฉินผิงอันเรียกหาเหล้าลืมทุกข์ที่เหลืออยู่ครึ่งไห รินได้ประมาณสองถ้วยขาวใบใหญ่ เฉินผิงอันจึงรินให้ก่อนคนละครึ่งชาม


คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่กันบนม้านั่งยาวตัวหนึ่ง หนิงเหยาไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง


สวี่เจี่ยที่หลบอยู่ไกลๆ จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด


เฉินผิงอันดื่มเหล้าลืมทุกข์หนึ่งอึก


แล้วก็พลันรู้สึกว่าคราวนี้เหล้านี่อร่อยกว่าที่ดื่มเมื่อคืนวานเยอะเลย จึงหันมายิ้มให้หนิงเหยา


หนิงเหยาถลึงตาใส่เขาหนึ่งที


คนทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกัน เพียงจิบเหล้าคำเล็กๆ


แต่แล้วเฉินผิงอันก็ถามด้วยน้ำเสียงน่าสงสารว่า “หนิงเหยา เจ้าคงไม่ใช่ตัวปลอมหรอกนะ?”


ต่อให้เป็นผู้เฒ่าที่กำลังหยอกนกในกรงก็ยังรู้สึกขบขันกับคำถามโง่งมของเด็กหนุ่ม


หนิงเหยาถอนหายใจ


เขาเป็นคนโง่ แต่ข้าโง่ยิ่งกว่า


ตอนนั้นใครกันนะที่พูดว่าไอ้หมอนี่ต้องได้คนโง่มาเป็นคนรักแน่นอน?


เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง ยื่นมือออกมาหาคนที่นั่งอยู่ข้างๆ หนิงเหยามองเขาอยู่แบบนั้น อยากรู้ว่าไอ้หมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่


เฉินผิงอันใช้สองนิ้วหนีบแก้มนางแล้วดึงเบาๆ


หนิงเหยายังเฉย


เฉินผิงอันจึงยื่นมืออีกข้างมาหนีบแก้มอีกฝั่งหนึ่งของหนิงเหยา


สวี่เจี่ยที่มองดูอยู่เหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกว่าเจ้าคนที่ใจกล้าเทียมฟ้าผู้นี้ต้องตายแน่ๆ


ผลคือหนิงเหยาแค่ใช้มือข้างหนึ่งปัดมือสองข้างที่ยุ่มย่ามของเฉินผิงอันออก พูดเตือนว่า “เฉินผิงอัน ถ้าเจ้ายังทำอะไรโง่ๆ แบบนี้ ข้าจะโมโหแล้วนะ”


เฉินผิงอันหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ “เป็นตัวจริงก็ดีแล้ว”


หนิงเหยาดื่มเหล้าอึกใหญ่ ถามว่า “เจ้าคงจะรู้แล้วว่า พ่อแม่ข้าเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้าน่าสงสารไหม?”


สวี่เจี่ยรู้สึกว่าหากไอ้หมอนี่กล้าพูดว่าน่าสงสาร ถ้าอย่างนั้นคราวนี้เขาก็ต้องตายอย่างจริงแท้แน่นอน


เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “น่าสงสารสิ ถ้าสูญเสียพ่อแม่ไปแล้วยังไม่น่าสงสาร แบบไหนถึงจะน่าสงสารล่ะ?”


เพียงแต่ว่าตอนที่พูดประโยคพวกนี้


เฉินผิงอันเม้มริมฝีปากแน่น มุมปากสองข้างเบะลง ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งกว่านางเสียอีก


เขาไม่ได้กำลังเวทนาเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า เพราะเขาเองก็ไม่มีพ่อแม่เหมือนกัน แถมยังไม่มีมานานแล้วด้วย เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ตอนยังเด็ก มีชีวิตอยู่อย่างไร้กำลัง อดทนจนทนไม่ไหวแล้วถึงจำต้องขอความเมตตาและขอทานมาจากคนอื่น นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หาไม่แล้วก็คงไม่มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้


แต่พอเติบใหญ่กลับไม่ต้องการให้คนอื่นมาสงสาร เพราะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีแล้ว อีกทั้งยังมีความสามารถพอที่จะตอบแทนน้ำใจที่เคยได้รับในอดีตด้วย เขาแค่รู้สึกปวดใจแทนนาง


คำพูดมาหยุดรอที่ปากแล้ว เฉินผิงอันจึงยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่


หนิงเหยาแค่นเสียงเย็น “เจ้าเป็นใครกันถึงต้องมาสงสารข้า?”


เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ


หนิงเหยาหน้าแดง แอบกระทืบหลังเท้าเฉินผิงอันอยู่ใต้โต๊ะ


สวี่เจี่ยที่มองอยู่มีสีหน้าอึ้งตะลึง เขารู้สึกเหมือนถูกเซียนกระบี่ใหญ่ใช้กระบี่แทงเข้าที่หัวใจหลายครั้ง


หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ดื่มเหล้าพลางกระซิบพูดคุยกันเบาๆ


สวี่เจี่ยรู้สึกเหมือนถูกแทงซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า


คราวนี้จะใช้ชีวิตต่ออย่างไร


เขาจึงไม่อยู่ในร้านอีก ยกม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงธรณีประตู ตาไม่เห็นใจก็ไม่ขุ่นเคือง


เพียงแต่อดไม่ไหวหันกลับไปมองอีกครั้ง จึงเห็นว่าแม่นางที่มีคิ้วสองข้างแคบยาวผู้นั้นไม่มีมีท่าทางเศร้าตรมเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรกอีกแล้ว กลับกันคือดูขี้เล่นและอบอุ่น


กระบี่ที่แทงเข้ากลางใจครั้งนี้เหมือนมาจากฝีมือของอาเหลียง


หลังจากนั้นเขาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มจากต้าหลีคลี่ยิ้มเต็มใบหน้า แต่แววตาอ่อนโยน ราวกับกำลังพูดว่า เขาชอบหนิงเหยา ชอบโดยที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใต้หล้าทั้งสองแห่ง เขาแค่ชอบแม่นางคนนี้คนเดียวเท่านั้น เป็นเหตุให้คนนอกอย่างสวี่เจี่ยรู้สึกว่าคนทั้งสองเหมาะสมกันมาก


ถ้าเช่นนั้นกระบี่ที่แทงใจครั้งนี้ ก็คือกระบี่ ‘กู้เมือง’ ในตำนานของเซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่บนหัวกำแพงท่านนั้น


สวี่เจี่ยหันไปร้องคร่ำครวญกับเถ้าแก่ผู้เฒ่า “เมื่อไหร่คุณหนูใหญ่จะกลับบ้านสักที ข้าคิดถึงนางจะตายอยู่แล้ว”


เถ้าแก่ตอบกลับมาหนึ่งประโยค “คิดถึงจะตาย? แค่อย่ามาตายในร้านก็พอ”


และเวลานี้เอง สวี่เจี่ยก็พลันลิงโลดขึ้นมา หลังจากคนวัยเดียวกันเคาะประตูอยู่ ‘ข้างนอก’ เขาก็รีบ ‘เปิดประตู’ ต้อนรับลูกค้าทันที


คนที่เดินเข้ามาคือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตาหล่อเหลาคมคาย


สวี่เจี่ยถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ากลับมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไร?”


เด็กหนุ่มที่สวมชุดสีขาว มีรอยยิ้มอบอุ่นยกมือข้างหนึ่งตีมือกับสวี่เจี่ย พูดกับผู้เฒ่าเสียงดังกังวานว่า “เถ้าแก่ กฎเดิม ข้าจะซื้อเหล้าหนึ่งไห ค่าเหล้าคิดลงในบัญชีของอาจารย์ข้า”


เถ้าแก่วัยชราเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็คลี่ยิ้มเช่นกัน


ขอแค่เป็นคนแก่ที่อายุมากหน่อย ได้เห็นเด็กหนุ่มอายุน้อยที่สดใสเหมือน ‘ดวงตะวันกลางนภา’ ผู้นี้ ก็แทบไม่มีใครที่ไม่ชอบเขา


อีกทั้งยังต้องอาศัยอายุที่มากกว่าในเวลานี้ ฉกฉวยโอกาสที่จะมองเด็กหนุ่มอย่างคนที่อยู่เหนือกว่าเอาไว้ให้ดี เพราะอีกไม่นานก็จะไม่มีโอกาสนี้แล้ว


เมื่อไม่นานมานี้ อาจารย์ของเด็กหนุ่มเพิ่งจะเขียนประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความเผด็จการว่า ‘วิถีวรยุทธ์สูงได้อีก’ ไว้บนผนัง


เด็กหนุ่มหล่อเหลาหันไปพูดกับสวี่เจี่ยด้วยรอยยิ้ม “สวี่เจี่ย ข้าจะไปเขียนตัวอักษรก่อน เจ้าช่วยถือพู่กันให้ข้า อืม ข้าจะเขียนใกล้ๆ กับอักษรของอาจารย์”


ในใจของสวี่เจี่ยไม่เหลือความห่อเหี่ยวอีกแล้ว เขารีบวิ่งไปหยิบเหล้าและพู่กัน วิ่งพลางหันหน้ามาเอ่ยยิ้มๆ ด้วยว่า “ได้เลย รอสักครู่”


ตอนที่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาเดินเข้าไปใกล้ผนังแห่งนั้น สายตาของเขาจ้องมองหนิงเหยาที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตลอดเวลา


น่าเสียดายที่หนิงเหยามองเขาแค่แวบเดียวก็หันไปคุยเรื่องของกำแพงเมืองปราณกระบี่กับเฉินผิงอันต่อ


เด็กหนุ่มหล่อเหลาจึงยกยิ้ม เดินไปหยุดอยู่ใต้กำแพง ยกม้านั่งตัวหนึ่งมาให้ตัวเอง จับพู่กันเขียนตัวอักษรห้าคำว่า ‘สูงขึ้นอีกเพราะข้า’ ไว้ตรงตำแหน่งที่ดีกว่าตัวอักษรบรรทัดนั้นของราชครูสาวแห่งราชวงศ์ต้าตวน


เฉินผิงอันถอนสายตากลับมา ถามเสียงเบาว่า “ใครกัน? ดูเหมือนว่าจะร้ายกาจมาก”


หนิงเหยาตั้งใจคิดแล้วตอบว่า “ลืมชื่อไปแล้ว”


บทที่ 277.1 ในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันเคยเห็นคนวัยเดียวกันที่หน้าตาดีมาไม่น้อย ซ่งจี๋ซินเพื่อนบ้านในตรอกหนีผิง จ้าวเหยาที่เคยเรียนหนังสือกับอาจารย์ฉีในโรงเรียน หลินโส่วอี จากนั้นก็คือบุรุษที่แต่งตัวเป็นสาวงามยากจะแยกแยะว่าเป็นชายหรือหญิงบนเกาะกุ้ยฮวา เกาเซวียนองค์ชายต้าสุย แต่ไม่ว่าใครก็สู้เด็กหนุ่มที่อยู่ในร้านเหล้าผู้นี้ไม่ได้


หลังจากที่เขียนอักษรบนกำแพงเสร็จแล้ว คนผู้นี้ก็ยกไหเหล้ามานั่งโต๊ะข้างๆ เขาขอถ้วยขาวใบใหญ่สองใบ เรียกให้สวี่เจี่ยมาดื่มด้วยกัน สวี่เจี่ยที่รู้ราคาเหล้าหวงเหลียงชัดเจนดีที่สุดกลับไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมเลย เขาเปิดผนึกฝาดิน ช่วยรินเหล้าให้ จากนั้นก็ยกชามชนกัน ท่าทางดูมีความสุขมาก ส่วนเถ้าแก่ร้านก็มีรอยยิ้มเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน น่าสงสารก็แต่นกในกรงตัวนั้นที่หันหลังให้เด็กหนุ่มผู้สดใสด้วยท่าทางอ่อนเปลี้ยเพลียแรง


เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายชูถ้วยเหล้าให้เฉินผิงอัน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชื่อเฉาสือ เป็นคนจากต้าตวนแผ่นดินกลาง”


เฉินผิงอันจึงต้องยกถ้วยเหล้าขึ้นมาบ้าง “ข้าชื่อเฉินผิงอัน คนจากต้าหลีแจกันสมบัติทวีป”


เฉาสือพยักหน้ารับ สายตาเต็มไปด้วยแววชื่นชม “รากฐานวรยุทธ์ขอบเขตสามของเจ้าปูมาได้ไม่เลวเลย”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ได้แต่ดื่มเหล้าหนึ่งอึก รู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกๆ


ใคร่ครวญอยู่นาน ในที่สุดก็พอจะได้คำตอบ ที่แท้เด็กหนุ่มจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่าหรือน้ำเสียงการพูดจาก็ล้วนไม่เหมือนคนวัยเดียวกัน กลับเหมือนผู้เฒ่าเปลือยเท้าบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วมากกว่า เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มไม่มีมาดโอหังของคนที่มองเหยียดผู้อื่นจากเบื้องสูงอย่างผู้เฒ่าแซ่ชุย ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มจากต้าตวนที่ชื่อว่าเฉาสือผู้นี้พูดจาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นมิตร ทว่าต่อให้ทั้งสองฝ่ายจะพูดคุยกันด้วยเรื่องหยุมหยิมทั่วไป เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็นอยู่ดี


เฉาสือเป็นอย่างไร หนิงเหยากลับไม่มีความรู้สึกอะไรมากนัก นางแค่รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย อยู่ดีๆ ก็มีคนผู้หนึ่งโผล่มาให้ขวางหูขวางตา อารมณ์อยากดื่มเหล้าจึงหายไปเยอะ


ดื่มเหล้าหวงเหลียงที่เหลืออีกครึ่งไหกับเฉินผิงอันไปอย่างแกนๆ จนหมดก็รีบลากเฉินผิงอันเดินไปยังประตูของร้านเหล้าทันที


ในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเดินออกไป เฉาสือตะโกนเรียกชื่อเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้ม “แม่นางหนิงที่เจ้าชอบ ดีมาก อย่างเดียวที่ไม่ดีคือพบหน้ากันหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังจำชื่อของข้าไม่ได้”


เฉินผิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าแบบนั้นยิ่งดี”


เฉาสือหัวเราะเสียงดังกังวาน มือหนึ่งชูถ้วยเหล้า อีกมือหนึ่งโบกมือลาเฉินผิงอัน คลี่ยิ้มจริงใจ “เฉินผิงอัน อีกสามวันให้หลังจงเริ่มช่วงชิงขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้แล้ว”


เขาพูดประโยคที่แค่ขบคิดเล็กน้อยก็รู้สึกว่าแปลกประหลาดอย่างเห็นได้ชัดอีกแล้ว


เฉินผิงอันกุมมือคารวะ ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาหันหน้ากลับแล้วเดินไปจากพื้นที่มงคลหวงเหลียงที่เล็กแคบแห่งนี้พร้อมกับหนิงเหยา


ในร้านเหล้า สวี่เจี่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าชอบแม่นางหนิง?”


เฉาสือโบกมือปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม “ข้าชอบอาจารย์ที่คือผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในใจข้า ชอบฮองเฮาที่เวลายิ้มมีลักยิ้มบุ๋มลงไปสองข้างแก้ม ชอบแม่นางหนิงที่ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้เป็นความชอบระหว่างชายหญิงอย่างที่เจ้าคิด เพราะมันจะเป็นภาระในการฝึกตน”


เฉาสือดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถอนหายใจ “ข้านึกภาพของตัวเองในวันหน้าที่ชอบแม่นางคนหนึ่งไม่ออกเลย”


สวี่เจี่ยร้องอ้อหนึ่งที เฉาสือพูดอะไรเขาก็เชื่ออย่างนั้น จากนั้นลูกจ้างร้านผู้นี้ก็มีสีหน้าลิงโลด เปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคงใกล้จะเลื่อนสู่ขอบเขตห้าแล้วสินะ?”


เฉาสือพยักหน้ารับ “อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มานานขนาดนี้ก็ควรฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว”


สวี่เจี่ยยิ้มกว้าง “หากอยู่ที่บ้านเกิด ข้าว่าตอนนี้เจ้าน่าจะเป็นขอบเขตเจ็ดแล้วกระมัง”


ไม่รอให้เฉาสือตอบ สวี่เจี่ยก็พูดเสริมทันทีว่า “อีกอย่างก่อนที่จะเป็นขอบเขตเจ็ด ยังเป็นขอบเขตสี่ ขอบเขตห้า ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย!”


พอพูดถึงเรื่องนี้ สวี่เจี่ยดูดีใจยิ่งกว่าเฉาสือเองเสียอีก “ผู้เฒ่าบอกว่าขอบเขตสี่ของเจ้าในเวลานี้คือขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ ไม่ใช่บุคคลอันดับหนึ่งของขอบเขตสี่วิถีวรยุทธ์แค่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่าไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ และในอนาคตก็จะไม่มีใครทำได้ จริงหรือไม่?”


เฉาสือตอบอย่างอ่อนใจ “ไม่เคยมีปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์ ข้าพอจะมั่นใจได้ ส่วนในอนาคตไม่มีใครทำได้นั้น ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง แถมยังทำนายโชคชะตาฝ่ายบู๊ของใต้หล้าในอีกร้อยปีพันปีให้หลังไม่ได้สักหน่อย”


สวี่เจี่ยหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “เฉาสือ! หากมีวันใดที่ข้าอดใจไม่ไหวไปตามหาคุณหนู ข้าจะต้องไปเที่ยวหาเจ้าที่ราชวงศ์ต้าตวนแน่นอน”


เฉาสือพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเตรียมสุราดีไว้รอแต่เนิ่นๆ”


จู่ๆ สวี่เจี่ยก็กดเสียงลงต่ำ พูดขอร้องว่า “เฉาสือ ไม่อย่างนั้นพวกเรามาต่อสู้กันสักตั้งดีไหม จากนั้นเจ้าก็จงใจแพ้ให้ข้า วันหน้าเวลาข้าไปจากภูเขาห้อยหัวจะได้เอาไปป่าวประกาศกับคนอื่นว่าตัวเองเอาชนะเฉาสือได้ เจ้าลองคิดดูสิ อีกสิบปีร้อยปีให้หลัง ถึงเวลานั้นไม่มีใครในใต้หล้าที่เป็นศัตรูกับเจ้าได้แล้ว เจ้าอาจถึงขั้นเอาชนะเต๋าเหล่าเอ้อร์ของใต้หล้ามืดสลัวได้ เปลี่ยนจากไร้ศัตรูมาเป็นมีศัตรูจริงๆ ข้าก็จะกลายเป็นคนเดียวที่เคยเอาชนะเจ้าเฉาสือได้ ถึงเวลานั้นคนทั่วทั้งใต้หล้าต้องถามแน่ๆ ว่าเจ้าหมอนี่เป็นใคร ไม่แน่ว่าคุณหนูใหญ่อาจจะหันมามองข้าใหม่ก็เป็นได้”


เฉาสือยิ้มจนตาหยี มือหนึ่งถือชาม อีกมือหนึ่งตบศีรษะตัวเองเบาๆ “เอาเถอะ เจ้าสวี่เจี่ยเอาชนะข้าเฉาสือได้แล้ว ตอนออกไปจากภูเขาห้อยหัวเจ้าก็พูดกับคนอื่นแบบนี้ได้เลย”


สวี่เจี่ยรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย “ตอนนี้เจ้าไม่คิดอะไรมาก แต่ในอนาคตจะไม่เสียใจทีหลังหรือ?”


เฉาสือดื่มเหล้าในถ้วยแล้วก็หันหน้าไปกวักมือให้เถ้าแก่ผู้เฒ่า “เหล่าหลวี่ ตัดใจยกเหล้าหนึ่งไหให้ข้าได้ไหม? ตอนนี้ข้าเสียใจแล้ว หากไม่มีสุราลงท้องก็คงระงับความเสียใจไว้ไม่อยู่ หากมีเหล้าลืมทุกข์เพิ่มมาอีกไห อย่างน้อยก็คงไร้ทุกข์ไร้ความเสียใจไปอีกหนึ่งร้อยปี!”


สวี่เจี่ยหันไปมองเถ้าแก่วัยชราด้วยท่าทางน่าสงสาร


ผู้เฒ่ายิ้ม “สวี่เจี่ย ไปยกเหล้าอีกไหหนึ่งมาให้เฉาสือ อีกอย่างวันหน้าหัดจดจำความดีของเถ้าแก่เอาไว้บ้าง ไม่ใช่วันๆ เอาแต่แอบด่าว่าข้าขี้งก หรือไม่ก็บ่นที่ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าออกไปท่องยุทธภพ”


สวี่เจี่ยวิ่งตุปัดตุเป๋ไปยกเหล้ามาเพิ่ม


เฉาสือเหลือเหล้าชามสุดท้ายแล้ว ระหว่างที่รอเหล้าไหใหม่ เขาก็ถือถ้วยเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นเดินไปยืนใต้กำแพง ไล่สายตามองไปทั่วๆ นับจากครั้งแรกที่ดื่มเหล้าก็ห่างมาเกือบสามปีแล้ว ตัวอักษรใหม่บนผนังมีเพิ่มขึ้นไม่น้อย สุดท้ายเฉาสือมองไปยังตัวอักษรสามตัวที่อยู่ตรงมุมด้านล่างสุดซึ่งเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบแต่กลับคร่ำครึตายตัว จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหล่าหลวี่ ตัวอักษรที่เฉินผิงอันเขียนทิ้งไว้ก็คือ ‘ปราณกระบี่ยาว’ นี่น่ะหรือ?”


ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ทำไม เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดามากเลยหรือ?”


เฉาสือทรุดตัวลงนั่งยอง จิบเหล้าคำเล็กจากถ้วยขาวใบใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ สายตาฉายประกายเร่าร้อน “เขาน่าจะเป็นคนที่มีขอบเขตสามที่แข็งแกร่งที่สุดตามหลังข้ากระมัง”


ผู้เฒ่ารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นกขมิ้นฝ่ายบู๊ในกรงตัวนี้มีเวลาที่จำกัดในการวิเคราะห์ความสั้นยาวของชะตาบู๊ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว หากไม่ใช่ตอนที่เขียนอักษร นกขมิ้นฝ่ายบู๊ก็ล้วนสามารถบินออกจากกรงมาจิกได้ตลอดเวลา แต่ผลกลับกลายเป็นว่าทั้งก่อนและหลังที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษร มีอาจารย์และศิษย์คู่หนึ่งมาประกบหัวและท้ายพอดี ช่วงระยะเวลาเช่นนี้ไม่ต้องหวังเลยว่านกขมิ้นฝ่ายบู๊จะบินออกจากกรง


มันไม่มีความกล้ามากขนาดนั้น


เฉาสือดื่มเหล้าลืมทุกข์กับสวี่เจี่ยหมดไปอีกหนึ่งไห


สวี่เจี่ยดื่มเหล้าไม่เก่ง ยิ่งดื่มก็ยิ่งเมา สุดท้ายจึงหลับเป็นตายอยู่บนโต๊ะ


เฉาสือคือคนประเภทที่ยิ่งดื่มสติก็ยิ่งแจ่มชัด ดวงตาเป็นประกายคมกล้า


จู่ๆ เฉาสือก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หากไม่เป็นเพราะอาจารย์จะมารับข้า ข้าก็อยากจะไปใต้หล้าที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่สักครั้งจริงๆ มากสุดแค่สี่สิบห้าสิบปี ข้าคงกล้างัดข้อกับปีศาจใหญ่หลายตนแล้ว และก่อนหน้าที่จะเป็นเช่นนั้น ข้าต้องได้ผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ได้ปล่อยฝีมืออย่างเต็มคราบครั้งแล้วครั้งเล่า”


ผู้เฒ่าหัวเราะ “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ขอแค่เจ้าเดินขึ้นไปบนหัวกำแพง เจ้าก็ตายแล้ว?”


เฉาสือถอนหายใจ


เหตุผลนั้นง่ายดายมาก แค่ผู้เฒ่าให้คำชี้แนะเขาก็เข้าใจได้อย่างกระจ่างแจ้ง


เพราะมีความเป็นไปได้อย่างสูงว่าเขาเฉาสือจะเดินไปอยู่ในสายตาของปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุด กลายเป็นคนที่ต้องถูกสังหาร ไม่มีทางที่พวกเขาจะมอบเวลาสี่สิบห้าสิบปีให้เขาอย่างแน่นอน หรือแม้แต่วันเดียวก็อาจจะยังไม่มีให้


เฉาสือกล่าวอย่างจนใจ “ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแต่โดยดีเถอะ”


ผู้เฒ่ากล่าวเหมือนตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้เจตนา “บรรพบุรุษตระกูลต่งที่บุกสังหารอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จนสุดท้ายลุกผงาดขึ้นมาอย่างโดดเด่นมีแค่คนเดียวในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็พอแล้ว และก็จะมีได้แค่คนเดียวเท่านั้น หากเผ่าปีศาจยังจะเลี้ยงลูกเสือไว้เป็นภัย บ่มเพาะปลูกฝังให้เกิดเจ้าเฉาสือที่มีหวังว่าจะเป็นขอบเขตสิบเอ็ดบนวิถีวรยุทธ์อีกคน ข้ารู้สึกว่าพวกเขาก็ควรฆ่าตัวตายกันได้แล้ว”


เฉาสืออืมรับหนึ่งที “ข้าต้องถามอาจารย์ก่อนว่าได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบเอ็ดหรือไม่ ข้าหวังว่าจะไม่…”


ผู้เฒ่ายิ้มสัพยอก “ลูกศิษย์อย่างเจ้านี่ไร้มโนธรรมไปหน่อยไหม? ทำไมไม่เห็นความดีของอาจารย์บ้าง ในข้อนี้ เจ้ากลับมีนิสัยพอๆ กับสวี่เจี่ย ไม่ดีเลย เจ้าคือเฉาสือนะ จะทำตัวเหมือนคนธรรมดาสามัญแบบนี้ได้อย่างไร”


เฉาสือส่ายหน้า ชูฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะแล้วปาดลงไปเหนือโต๊ะนั่งเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยน ทว่าสายตากลับมุ่งมั่น “ตอนนี้วิถีวรยุทธ์ของอาจารย์สูงถึงขนาดนี้แล้ว จนแทบจะ…เทียบเคียงได้กับยอดของยอดเขาที่แท้จริง หากไม่ใช่ขอบเขตที่สิบเอ็ด ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของข้า หรือไม่ก็ข้าในวันหน้า จะไม่…”


ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ก็มารอดูกันได้เลย”


เฉาสือหันหน้าไปมองผู้เฒ่า “ผู้อาวุโสที่พูดง่ายอย่างท่าน มีน้อยมาก”


ผู้เฒ่าเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “นั่นก็เพราะตาแก่อย่างข้ายอมรับชะตากรรมแล้ว”


เฉาสือนั่งอยู่ที่โต๊ะเงียบๆ เสียงกรนของสวี่เจี่ยดังดุจเสียงฟ้าผ่า ผู้เฒ่าไปที่อื่นแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน แน่นอนว่าพื้นที่มงคลหวงเหลียงใหญ่กว่าที่จินตนาการไว้เล็กน้อย ไม่ได้มีพื้นที่แค่ร้านเหล้าแห่งนี้ แต่ก็เสียหายเสื่อมสภาพไปแล้วจริงๆ หากไม่เป็นเพราะหนึ่งในบรรพบุรุษของเมธีร้อยสำนักท่านนี้พยายามรักษาไว้อย่างสุดความสามารถ เกรงว่าคงเป็นเหมือนถ้ำสวรรค์หลีจูที่สูญเสียคำเรียกเสริมว่า ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ อย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว


ในแต่ละวันเหล่าอริยะของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักยุ่งอยู่กับการทำอะไร?


ถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่ง ถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่ง พื้นที่มงคลเจ็ดสิบสองแห่ง เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?


หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปปริแตก ก็เหลือถ้ำสวรรค์เล็กแค่สามสิบห้าแห่งเท่านั้นหรือ?


ในความเป็นจริงแล้วเหล่าอริยะของใต้หล้าไพศาลจำเป็นต้องบุกเบิกที่ดินเพื่อขยายอาณาเขตของใต้หล้าไพศาล


ข้อนี้ไม่ค่อยเหมือนกับอริยะลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวเท่าใดนัก เพราะหลักๆ แล้วพวกเขาจะให้ความสำคัญกับระดับความสูงของป๋ายอวี้จิง หวังให้มันสูงขึ้นชั้นแล้วชั้นเล่า


ส่วนใต้หล้าของลัทธิพุทธนั้นแสวงหาธรรมมะที่ยาวไกล อดีตชาติ ชาตินี้ ชาติหน้าล้วนให้คนมีชีวิตอยู่อย่างไร้ข้อกังขา ไร้ความยึดติด


แน่นอนว่าลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล นอกจากบุกเบิกถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล อบรมให้ความรู้แก่ปวงประชาแล้ว ยังจำเป็นต้องคอยจับตามองเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วย


ใต้หล้าอีกสองแห่งก็ไม่ได้อยู่อย่างว่างๆ เช่นกัน


ลู่เฉินเจ้าลัทธิเต๋าเข้ามาสร้างปัญหาบ่อนทำลาย และคอยวางหมากวาดแผนการอยู่ในใต้หล้าไพศาล


แล้วหย่าเซิ่งของลัทธิขงจื๊อจะไม่รับลูกศิษย์ถ่ายทอดความรู้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวบ้างเลยหรือ?


ในร้านเหล้า ต่อให้ไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีเหล้าให้ดื่ม เฉาสือก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้นด้วยจิตใจที่สงบนิ่ง


ยากจะจินตนาการได้ว่าคนบนวิถีวรยุทธ์จะรู้สึกว่าการฝ่าทะลุขอบเขตไม่น่าสนใจ ระงับขอบเขตเอาไว้ถึงจะสนุก


ตอนที่เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับมา เขาถามยิ้มๆ ว่า “เฉาสือ นอกจากเดินขึ้นสู่ยอดบนสุดของวิถีวรยุทธ์ ชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่คิดถึงอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?”


เฉาสือยิ้มตอบ “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะคิดอะไรดี”


ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อ “ถ้าอย่างนั้นไม่สู้เจ้าทำเหมือนสวี่เจี่ยบ้านข้าและเด็กหนุ่มต้าหลีคนนั้น”


เฉาสือพยักหน้ารับ


บทที่ 277.2 ในบรรดาผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

โดย

ProjectZyphon

สุดท้ายเด็กหนุ่มชุดขาวเดินออกจากร้านเหล้า เขาไม่ได้ไปหาอาจารย์ที่เข้าพำนักในจวนส่วนตัวของตระกูลใหญ่บางแห่ง แต่ตรงดิ่งไปที่ตีนเขาเดียวดาย พอขยับเข้าใกล้บริเวณประตูใหญ่ของลานกว้าง นักพรตน้อยและชายฉกรรจ์อุ้มดาบต่างก็พากันเอ่ยทักทายเด็กหนุ่ม เฉาสือจึงหยุดเดิน พูดคุยกับพวกเขาอยู่พักใหญ่ถึงเดินเข้าไปในหน้ากระจก ผลกลับกลายเป็นว่าพอไปถึงทางฝั่งนั้น ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าที่ก้มหน้าก้มตาหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตและนักพรตหญิงที่ตรงเอวพกดาบอาคมก็ทักทายกับเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน เฉาสือจึงหยุดเดินอีกครั้งเพื่อพูดคุยกับพวกเขา


คุยกันเรื่องกถามรรค คุยเรื่องเวทกระบี่ คุยเรื่องใต้หล้า


ไม่ว่ากับใคร เฉาสือก็พูดคุยด้วยได้หมด


หลายปีมานี้ล้วนเป็นเช่นนี้


แม้แต่พวกเทพเซียนอาวุโสที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่หลบเร้นไม่เผยตัวต่อโลก หรือเซียนกระบี่ที่มีศักยภาพน่ากริ่งเกรง บางคนที่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มถึงกับได้รับผลประโยชน์มหาศาล บางคนถึงกับรู้สึกละอายใจที่ตัวเองสู้เด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่คนหนึ่งไม่ได้


เฉาสือ


เฉาสือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


ชาติกำเนิดธรรมดา บรรพบุรุษทำไร่ทำนามาหลายรุ่นหลายสมัย ครอบครัวของเขายังเรียกว่าพอมีพอกินไม่ได้ด้วยซ้ำ เพลิงสงครามครั้งหนึ่งถล่มให้เมืองในอุดมคติที่สงบสุขพังราบเป็นหน้ากลอง ผู้ลี้ภัยพลัดถิ่นฐานระหกระเหเร่ร่อน ทุกวันต้องมีคนที่ทั้งจากเป็นและจากตาย


จากนั้นหญิงสาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่ควบม้าท่องยุทธภพเพียงลำพังก็มองเห็นเขา รับเขาเป็นลูกศิษย์


ตอนนั้นหญิงสาวกอดเขาไว้ในอ้อมอก ท่ามกลางค่ำคืนที่สายลมหิมะพัดหวีดหวิว พวกเขาอยู่บนม้าตัวเดียวกัน นางพูดกับเด็กชายที่อายุแค่เจ็ดแปดขวบด้วยรอยยิ้มว่า “เฉาสือ นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือลูกศิษย์เพียงคนเดียวของข้าเผยเปย”


เฉาสือเดินผ่านเมืองที่อยู่ทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปอย่างเชื่องช้า ตลอดทางถ้ามีคนที่รู้จักมักคุ้นกันเอ่ยทักทาย เขาก็จะหยุดพูดคุยกับพวกเขา หากไม่มีใครทัก บางครั้งเขาก็จะหยุดเดิน ก้มหน้าลงมองว่าวกระดาษที่ปลิวละล่อง มองชายคาที่ตวัดงอนสูง บ้างก็มองไปยังภาพเทพทวารบาลมืดมนไร้สีสันที่แปะอยู่บนประตู


สุดท้ายเขาเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงช้าๆ กลับไปยังกระท่อมหลังเล็กที่อยู่ด้านหลังกระท่อมเก่า ด้วยเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจึงหยิบหนังสือสองสามเล่มมาเปิดอ่าน อ่านไปเล่มละไม่กี่หน้าก็วางลง เดินออกจากกระท่อมไปไกลถึงเจ็ดแปดลี้ ถึงได้หาท่านปู่เฉินที่กำลังยืนอยู่บนกำแพงมองไปทางทิศใต้เจอ


เด็กหนุ่มชุดขาวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพงเบาๆ


หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มต่างก็เงียบงัน ไม่พูดจา


……


ออกจากร้าน หนิงเหยาที่ถามหาตำแหน่งที่ตั้งของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแล้วก็พาเฉินผิงอันเดินไปทางท่าเรือจัวฟ่าง


ผลคือเฉินผิงอันเจอกับกุ้ยฮูหยินที่มีสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายใจ กับจินซู่ที่ท่าทางหงุดหงิดไม่พอใจตรงปากตรอกเล็กอันเป็นที่ตั้งโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย


เห็นว่าเฉินผิงอันสบายดี กุ้ยฮูหยินเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำรุนแรงอะไร ถึงขั้นไม่ได้ถามด้วยว่าเหตุใดเฉินผิงอันถึงเพิ่งกลับมา แค่ทักทายกับ ‘แม่นางหนิง’ ที่เฉินผิงอันแนะนำแล้วก็กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือจัวฟ่างอีกครั้ง การค้ากองใหญ่รอนางอยู่ นางยุ่งจนหัวหมุน บวกกับเรื่องของคุณชายสกุลเจียงสำนักกุยหยกผู้นั้นทำให้อารมณ์ของนางไม่ใคร่จะดีสักเท่าไหร่


เดิมทีจินซู่อยากจะบ่นสักสองสามคำ ไอ้หมอนี่ทำให้ตนถูกอาจารย์ด่าซะจนไม่เหลือชิ้นดี เพียงแต่ว่าครั้งแรกที่นางได้เห็นเด็กสาวพกกระบี่สวมชุดยาวสีเขียวเข้มคนนั้น เห็นเด็กสาวแซ่หนิงที่สีหน้าท่าทางเป็นธรรมชาติ แต่กลับฉายประกายคมกริบ จินซู่ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก


คนทั้งสามไม่ได้ไปโรงเตี๊ยมที่อยู่ในตรอกเล็ก หนิงเหยาได้ยินว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวในเมืองภูเขาห้อยหัวซึ่งจะไปหน้าผาหมีลู่ด้วย จึงบอกว่านางเองก็ยังไม่เคยไป ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเลย


แม้ว่าในใจจะค่อนข้างกระสับกระส่าย แต่จินซู่ก็ไม่ต้องการให้ตัวเองแสดงความขลาดกลัวออกมา จึงเป็นฝ่ายเปิดปากชวน ‘แม่นางหนิง’ ที่มองดูแล้วน่าจะเข้ากับคนได้ยากคุยเล่น


อันที่จริงหนิงเหยาไม่ได้เย่อหยิ่งอะไร นางแค่ขี้เกียจเท่านั้น แต่หากคนที่ไม่สนิทสนมอย่างจินซู่ถามนาง นางก็เอ่ยตอบ เพียงแต่ว่าคำตอบสั้นและกระชับอย่างยิ่ง


ถึงท้ายที่สุด จินซู่ก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะหาเรื่องอะไรมาคุยกับนาง จึงเริ่มเงียบลง บรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อย


ทว่าส่วนลึกในใจของจินซู่กลับมีคลื่นซัดโถมกระหน่ำ


แม่นางหนิงที่อายุไม่มากคนนี้บอกว่าตัวเองมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่


คนนอกที่หากจะเดินทางจากภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ขอแค่มีเงินก็พอ แต่หากผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คิดจะเข้ามาในภูเขาห้อยหัว ได้ยินมาว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีผลงานการต่อสู้เหี้ยมหาญก็ยังทำได้ยาก


ก็ไม่แปลกที่จินซู่จะคิดจินตนาการไปไกล เพราะในความเป็นจริงแล้วนางเองก็คิดไม่ผิด แซ่สกุลของแม่นางหนิงเป็นสิ่งที่ช่วยได้มาก


แต่จินซู่เดาถูกแค่ครึ่งเดียว


เรื่องวงในมากมายที่เกิดขึ้นในกำแพงเมืองปราณกระบี่ กุ้ยฮูหยินไม่อยากจะเอามาพูดให้ลูกศิษย์ฟังมากนัก ดังนั้นจินซู่จึงรู้เรื่องของศึกสิบสามคู่ที่สะท้านสะเทือนจิตใจผู้คนครั้งนั้นแค่คร่าวๆ ต่อให้เด็กสาวข้างกายจะแซ่หนิง นางก็ได้แต่กล้าคิดว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในลูกหลานสายตรงตระกูลหนิงของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น และเดินทางมาครั้งนี้ก็อาจจะเพราะมีภารกิจของตระกูลให้รับผิดชอบ


สาเหตุที่จินซู่ไม่กล้านึกไปถึง ‘ความจริง’ ที่ดูเกินจริงมากที่สุดนั้นง่ายมาก เป็นเพราะข้างกายพวกนางยังมีเฉินผิงอันอยู่อีกคน


เนื่องจากหนิงเหยามาด้วย จินซู่จึงเที่ยวสถานที่ที่มีชื่อเสียงสามแห่งอย่างหน้าผาหมีลู่ หอซ่างเซียง หอเหลยเจ๋ออย่างอึดอัด ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง พูดน้อยและเบื่อหน่าย


ถึงอย่างไรจินซู่ก็มีชาติกำเนิดเป็นแม่นางกุ้ยฮวา ไม่เพียงแต่พรสวรรค์ในการฝึกตนดีเยี่ยม นางยังมีจิตใจที่ละเอียดอ่อนมาก ดังนั้นหลายครั้งนางจะจงใจทิ้งระยะห่าง ให้เฉินผิงอันอยู่กับแม่นางหนิงที่ไม่ชอบพูดคนนั้นตามลำพัง เวลาหนิงเหยาอยู่กับเฉินผิงอัน นางคิดอะไรก็มักจะพูดออกมา


เฉินผิงอันไม่ค่อยสนใจเรื่องการผลัดเปลี่ยนราชวงศ์หลังเกิดมรสุมลูกใหญ่ ไม่สนใจแนวโน้มของสถานการณ์ในใต้หล้า ความรุ่งโรจน์และตกต่ำของเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่าใดนัก


อันที่จริงเพราะเขาไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่อยากจะเข้าใจ


แต่ในเมื่อหนิงเหยาเล่าเรื่องพวกนี้ เขาก็ยินดีจดจำไว้ในหัวใจ


จินซู่ค่อนข้างจะแปลกใจ เหตุใดแม่นางหนิงที่นิสัยเย็นชาถึงได้เต็มใจพูดคุยอะไรมากมายกับเฉินผิงอันที่มีนิสัยเหมือนน้ำเต้าตัน


ระหว่างที่คนทั้งสามเดินขึ้นหอเหลยเจ๋อพร้อมกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นสีเงินทองก็ปรากฏตัว เขายืนอยู่บนบันได พูดกับหนิงเหยาด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์กำชับมาว่า หากแม่นางหนิงต้องการอะไรที่ภูเขาห้อยหัวก็บอกมาได้เลย ต่อให้จะอยากไปดูกระดิ่งตรีวิสุทธิ์บนภูเขาเดียวดายก็ยังได้”


หนิงเหยามองไปทางเฉินผิงอันอย่างเป็นธรรมชาติ เฉินผิงอันส่ายหน้าน้อยๆ นางจึงส่ายหน้าพูดว่า “พวกเราคงไม่ขึ้นไปบนภูเขาเดียวดายแล้ว”


นักพรตเฒ่าคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็ไม่รบกวนแล้ว หากต้องการสิ่งใด แม่นางหนิงก็สามารถให้นักพรตคนหนึ่งไปแจ้งที่ภูเขาห้อยหัวได้”


เดิมทีหนิงเหยาไม่ได้อยากพูดคุยกับอีกฝ่าย เพียงแต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณผู้เฒ่า นางจึงผงกศีรษะรับ เอ่ยสองคำว่า “ตกลง”


จินซู่พึมพำเบาๆ “เจียวหลงเจินจวิน?”


เดิมทีผู้เฒ่าจะไปจากหอเหลยเจ๋อแล้ว ในฐานะบุคคลอันดับสามของภูเขาห้อยหัว กถามรรคของเขาสูงส่งลึกล้ำ แม้แต่ผู้ฝึกตนทั่วทั้งทักษินาตยทวีปก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงของเขา ต่อให้จินซู่จะพูดในใจ เขาก็ยัง ‘ได้ยิน’ อย่างชัดเจน ดังนั้นพอได้ยินเสียงนี้จึงถามยิ้มๆ ว่า “แม่นางท่านนี้ มีธุระอะไรหรือ?”


จินซู่ตกใจหน้าซีดเผือด รีบส่ายหน้าทันที “ไม่มีธุระ แค่ผู้น้อยเคารพเลื่อมใสท่านเจินจวินผู้เฒ่ายิ่งนัก จึงอดส่งเสียงเรียกท่านไม่ได้ หวังว่าเจินจวินผู้เฒ่าจะให้อภัย”


นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังกังวาน “ข้าไม่ได้เผด็จการขนาดนั้น อีกอย่างกฎของภูเขาห้อยหัวก็ไม่มีข้อไหนที่บอกว่าผู้ที่เรียกฉายาของข้าจะต้องถูกลงโทษ”


แล้วผู้เฒ่าก็หายวับไป


จินซู่กลืนน้ำลายลงคอ


เทพเซียนผู้เฒ่าห้าขอบเขตบนของภูเขาห้อยหัวท่านนี้คือเจินจวินแห่งลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือขึ้นมาเพราะสังหารเจียวหลงแห่งทะเลใต้ แล้วนี่เขามายืนอยู่ตรงหน้าตน แถมยังพูดคุยกับตนด้วย?


ตบะขอบเขตสิบเอ็ดของเจียวหลงเจินจวินมากพอจะบดขยี้ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบส่วนใหญ่บนโลก


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตำแหน่งเทียนจวินต้องกลายมาเป็นของในกระเป๋าของนักพรตเฒ่าแน่นอน


สุดท้ายตอนที่คนทั้งสามเดินทางกลับโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย หนิงเหยากลับเป็นฝ่ายชวนคุยซะเอง ถามตอบอยู่กับจินซู่ คราวนี้กลายเป็นว่าฝ่ายหลังพูดน้อยมาก


หนิงเหยาอารมณ์ดีไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าร้านแผงลอยตีนภูเขาหน้าผาหมีลู่ นางซื้ออาวุธวิเศษขนาดเล็กคู่หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนปลาหยินหยางมา


พอไปถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เถ้าแก่หนุ่มที่ไม่ชอบพูดคุยยิ้มแย้มคนนั้นบอกว่าห้องเต็มแล้ว หนิงเหยาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ควักเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาวางลงบนโต๊ะคิดเงิน ถามว่าพอหรือไม่


เถ้าแก่หนุ่มหนังตากระตุก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เฉินผิงอันกลับแย่งเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นกลับมา พูดกับเถ้าแก่หนุ่มยิ้มๆ ว่า “แม่นางหนิงคือเพื่อนของพวกเรา เถ้าแก่ ท่านช่วยยืดหยุ่นให้หน่อยได้หรือไม่?”


เถ้าแก่หนุ่มตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าก็อยากจะยืดหยุ่นให้อยู่หรอก แต่จะให้ข้าไล่แขกคนอื่นออกไปก็คงไม่ได้กระมัง? โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยจะยังรักษาชื่อเสียงไว้ได้อีกไหม วันหน้าจะยังทำการค้าได้อย่างไร?”


หนิงเหยาพูดเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าเปลี่ยนไปพักโรงเตี๊ยมอื่นก็ได้”


เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ควักเงินฝนธัญพืชอีกเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ “รบกวนเถ้าแก่ช่วยปรึกษากับลูกค้าสักหน่อยได้ไหม?”


เถ้าแก่หนุ่มยิ้มบางๆ เก็บเงินฝนธัญพืชมา “ตกลง ลูกค้ารอสักครู่”


เฉินผิงอันคืนเงินฝนธัญพืชเหรียญก่อนหน้านั้นให้หนิงเหยา นางถามว่า “นี่เจ้าทำอะไร?”


เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ข้าเลี้ยงค่าโรงเตี๊ยมเจ้าไงล่ะ”


หนิงเหยาเขย่าฝ่ามือชั่งน้ำหนักเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นพลางกล่าวอย่างระอาใจว่า “เจ้าต้องลำบากลำบนกว่าจะได้เงินฝนธัญพืชมาเหรียญหนึ่ง แต่ทางฝั่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา เจ้าของเล่นนี่ไม่ได้มีค่าสักเท่าไหร่ เจ้าทำแบบนี้เรียกว่าตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำอะไรเกินความสามารถเพื่อรักษาหน้าตาตัวเอง/คนที่แกล้งทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต) น่าเบื่อมาก ไปพักโรงเตี๊ยมอื่นก็ไม่เห็นจะเป็นไร อยู่ที่ไหนก็นอนได้เหมือนกัน ข้าไม่ได้บอบบางขนาดนั้นสักหน่อย”


เฉินผิงอันยื่นมือออกมาพูดยิ้มๆ “งั้นเจ้าก็คืนเงินฝนธัญพืชให้ข้าสิ?”


หนิงเหยากลอกตาใส่เขา เก็บเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมาอย่างเฉียบขาดแล้วกล่าวอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “งั้นเจ้าก็รอเสียดายเงินได้เลย”


สุดท้ายโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยหาห้องที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่นอกประตูข้างของห้องหนังสือ เป็นเรือนส่วนตัวหลังหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกว่าดีมาก


หนิงเหยากลับไม่ได้รู้สึกอะไร


สุดท้ายก่อนที่เถ้าแก่หนุ่มจะจากไปได้วางเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นไว้บนโต๊ะต่อหน้าคนทั้งสาม เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาลองใคร่ครวญดูแล้ว รู้สึกว่าเงินนี่อาจจะร้อนลวกมือ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้ แม่นางพักที่นี่มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ข้าจะจดไว้ในบัญชีแล้วไปขอเงินจากเกาะกุ้ยฮวาเหมือนที่ทำกับคุณชายเฉิน”


เฉินผิงอันสับสนไม่เข้าใจ


จินซู่มองตอบกลับด้วยสายตาซาบซึ้ง


เฉินผิงอันนั่งลงข้างโต๊ะ เตรียมจะยื่นมือไปเก็บเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา แต่หนิงเหยากลับตบมือเขา แล้วเก็บเงินไปเอง


เห็นสีหน้ามึนงงของเฉินผิงอัน หนิงเหยาก็เลิกคิ้วเบาๆ คล้ายกำลังท้าทาย เฉินผิงอันจึงยิ้มแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น


จินซู่บอกลาจากไปอย่างรู้มารยาท


พอประตูห้องปิดลง เฉินผิงอันก็เอาทรัพย์สินและสมบัติทั้งหมดที่มีติดตัวออกมาวางเรียงกันไว้บนโต๊ะ


ต่อให้เป็นหนิงเหยาก็ยังรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นางทอดถอนใจกล่าวว่า “เฉินผิงอัน เจ้าใช้ได้เลยนี่นา มีความสามารถในการหาเงินมากขนาดนี้ ทำไมถึงเปลี่ยนจากกุมารแจกทรัพย์มาเป็นกุมารเรียกทรัพย์แล้วล่ะ? เจ้าต่างหากล่ะมั้งที่เป็นเฉินผิงอันตัวปลอม?”


เฉินผิงอันเลียนแบบหนิงเหยา เขาเอนตัวไปข้างหลัง ยกสองมือกอดอก


สีหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยความลำพองใจ


วันนี้ที่ภูเขาห้อยหัว


มีหนิงเหยาที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แล้วก็มีเฉินผิงอันที่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน


จนกระทั่งคนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งอย่างงดงาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)