ยอดหญิงสกุลเสิ่น 276-278

ตอนที่ 276-1 เปิดโปงเรื่องเก่า

 

ยายหรูที่สองตาหลับสนิทกลับลืมตาขึ้นโดยพลัน สองตาราวกับสายฟ้าแลบ มาพร้อมความแค้นว่า “กรรมตามสนอง นี่คือกรรมตามสนองทั้งนั้น! นางซ่งเจ้าจำได้หรือไม่ว่าเคยทำอะไรกับคุณหนูข้าไว้? ยายแก่อย่างข้าเพียงแค่ตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น นี่เจ้าก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ? เจ้ามันนางอสรพิษ เจ้ามันนางใจบาปหยาบช้า จงทนไปแต่โดยดีเถอะ!”


 


 


ยายหรูเห็นสีหน้าหวาดผวาของพระชายาอ๋องจิ้น แล้วเผยให้เห็นสีหน้าสะใจ นางหอบอย่างเร็ว บนใบหน้ากลับเผยให้เห็นรอยยิ้ม ท่าทางเหมือนหายแค้นยิ่งนัก


 


 


เสิ่นเวยรู้สึกทนไม่ได้ “ยายหรู อย่าพูดอีกเลย พักสักครู่เถอะ”


 


 


ยายหรูกลับว่า “ฮูหยินใหญ่ ท่านก็ให้บ่าวพูดเถอะ หากบ่าวไม่พูดยามนี้เกรงว่าต่อไปจะไม่มีโอกาสแล้ว” นับตั้งแต่ชั่วขณะที่นางวางแผนแก้แค้น นางก็ไม่เคยคิดว่ายังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก อยู่ไปมีความหมายอะไรล่ะ? คุณหนูไม่อยู่แล้ว คนคุ้นเคยที่ใกล้ชิดล้วนไม่อยู่แล้ว เหลือนางมีชีวิตอยู่คนเดียวมีความหมายอะไร? นางไม่กลัวตาย ไม่กลัวตายแม้แต่น้อย ทว่าก่อนนางตายจะต้องเปิดโปงหนังหน้าคนสวยของนางซ่งให้ได้ ให้ทุกคนได้เห็นว่าตกลงนางเป็นตัวน่าขยะแขยงปานใดกันแน่


 


 


“พูด ให้นางพูด ข้าจะดูว่านางจะพูดอะไรออกมาได้!” ท่านอ๋องจิ้นพูดเสียงเย็น


 


 


“ท่านอ๋อง!” พระชายาอ๋องจิ้นเรียกเสียงแหลม คิดจะห้าม ทว่าไม่มีคนสนใจเลย รูม่านตานางหดลงโดยพลัน ในใจหวาดหวั่น มือที่วางอยู่ข้างตัวสั่นแผ่วเบา


 


 


เรื่องนั้นหรือว่าถูกบ่าวเฒ่าคนนี้รู้เข้า? ไม่ ไม่มีทาง นางทำอย่างมิดชิด นอกจากซือไท่ที่ให้ยาลับนางคนนั้น ก็ไม่มีบุคคลที่สามรู้แล้ว ส่วนซือไท่คนนั้นก็ถูกนางปิดปากไปนานแล้ว


 


 


ใช่ บ่าวเฒ่าคนนี้หลอกนางอยู่ หยั่งเชิงนางอยู่ นางจะรนไปเองมิได้เด็ดขาด! นิ่งไว้ นิ่งไว้


 


 


ใช่ ไม่มีทางมีคนรู้หรอก! นางปลอดภัย พระชายาอ๋องจิ้นบอกตนเองเช่นนี้ พยายามให้ตนใจเย็นลงอย่างสุดความสามารถ


 


 


“นางซ่งเจ้ากลัวแล้วสินะ? ฮ่าๆๆ เจ้าใช้วิธีการเช่นนั้นทำร้ายคุณหนูข้ายังคิดจะมีจุดจบที่ดี เจ้าอย่าฝัน” สามคำสุดท้ายยายหรูแทบจะเค้นออกมาจากซอกฟัน สายตาแห่งความแค้นจ้องหน้าพระชายาอ๋องจิ้นเขม็ง ราวกับผีร้ายที่กลับมาจากนรก


 


 


พระชายาอ๋องจิ้นทนความใจสั่นไว้ ภายนอกดุร้ายภายในกลับอ่อนแอ กล่าวโทษเสียงดังว่า “ข้าไม่ได้ทำเรื่องผิดมโนธรรมกลัวอะไร ใครไม่รู้บ้างว่าพระชายาอ๋องจิ้นคนก่อนตายเพราะคลอดยาก เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย? บ่าวเฒ่าเจ้าอย่ามายุยงทุกคนอยู่ที่นี่เลย เจ้าทำเช่นนี้เป็นการไม่เคารพข้า ควรโบยจนตาย”


 


 


ยายหรูกลับฮึทีหนึ่ง ไม่มองนางอีก หากแต่เบือนสายตาไปที่สวีเย่และสวีเหยียนว่า “ท่านซื่อจื่อและคุณชายสามอยากได้คำอธิบายมิใช่หรือ? หึๆ พวกท่านไม่ได้ทำอะไรผิด ทว่าพวกท่านเป็นบุตรชายของนางซ่ง นี่ก็คือความผิดที่ใหญ่ที่สุดของพวกท่าน! ปีนั้นคุณหนูข้าและคุณชายใหญ่ทำผิดอะไรอีก? หนี้มารดาบุตรใช้คืน นี่เป็นสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ?”


 


 


จากนั้นสายตาของนางตกลงบนตัวท่านอ๋องจิ้นว่า “ท่านอ๋อง ท่านเห็นนางซ่งที่อำมหิตชั่วช้านี่เป็นสมบัติล้ำค่า แต่กับคุณหนูข้ากลับทำเป็นไม่เห็น ท่านตาบอดชัดๆ ท่านทำร้ายคุณหนูข้า ท่านสมควรถูกหมกไว้ในกลอง บ่าวแทบจะอยากฉีกทึ้งชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้จริงๆ ข้าแทบอยากจะกินเนื้อพวกท่าน ดื่มเลือพวกท่าน!” ยายหรูแทบตะตะเบ็งคำรามออกมา เปลือยให้เห็นความแค้นในแววตา ไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย


 


 


“เจ้า เจ้านังบ่าวเจ้าเล่ห์ ลากลงไป ลากลงไปโบยให้ตาย” ท่านอ๋องจิ้นโกรธจนหน้าเปลี่ยนรูปหมดแล้ว ก่อนหน้านี้เขายังคิดจะอดทนฟังว่าบ่าวเฒ่าคนนี้คิดจะพูดอะไร บัดนี้เขาไม่อยากฟังแม้แต่น้อยแล้ว ออกคำสั่งฆ่าโดยตรง ทว่าบ่าวข้างกายเขากลับไม่มีใครกล้าขยับสักคน นี่ทำให้เขาทั้งเสียหน้าทั้งโกรธ


 


 


ทว่าบ่าวพวกนี้ยินดีรับไฟโกรธของท่านอ๋องจิ้น ก็ไม่ยอมล่วงเกินคุณชายใหญ่นี่นา! ตัวอย่างก่อนหน้านี้ยังนอนอยู่บนพื้นอยู่เลยนะ คุณชายใหญ่ขาเดียวก็ถีบเด็กรับใช้ที่โบยจนตาย ใครยังกล้าเข้าไปรนหาที่ตายล่ะ?


 


 


ยายหรูเห็นดังนั้นก็หัวเราะคิกคักขึ้นมาอีก เสียงแหบแห้งน่าเกลียด ใบหน้าสะใจว่า “ท่านอ๋อง เด็กที่ฮูหยินสามคลอดท่านเคยเห็นหรือไม่? อาการนั้นเหมือนยามที่คุณชายใหญ่ถือกำเนิดเปี๊ยบใช่หรือไม่? คุณชายใหญ่คลอดก่อนกำหนด ทว่าคุณชายเล็กของฮูหยินสามกลับคลอดตอนเต็มเดือนนะ ท่านอ๋องไม่เคยสงสัยมาก่อนหรือ? ฮ่าๆ ถูกต้อง เป็นฝีมือของบ่าวเอง ทว่าวิธีการนี่ข้าก็เรียนมาจากนางซ่ง ตอนนั้นคุณหนูตั้งครรภ์ บ่าวป้องก้นรอบด้าน มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่ไม่ได้กัน นางซ่งคนนี้ นางซ่งอำมหิตคนนี้ไม่คิดว่านางจะใส่ยาลับของ ‘เมาทุกวัน’ ไว้บนเสื้อของท่านอ๋อง ทำร้ายคุณหนูข้า ทำให้คุณชายใหญ่พอคลอดออกมาก็อ่อนแอ”


 


 


“เจ้า เจ้าปรักปรำคน! เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?” พระชายาอ๋องจิ้นบิดผ้าเช็ดหน้าแน่น แย้งเสียงดัง สีหน้านางโกรธอย่างหาใดเปรียบมิได้ ราวกับได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมากมาย “ท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ทำ ท่านจะฟังคำพูดเพ้อเจ้อของบ่าวเฒ่านี่ไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


“พระชายา ทำหรือไม่ท่านรู้แก่ใจดี ท่านลนลานเช่นนี้ อีกทั้งรีบร้อนแก้ตัว มิใช่ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงหรอกหรือ?” เสิ่นเวยพูดอย่างไม่รีบร้อน ช่างเปิดหูเปิดตาจริงๆ นางซ่งคนนี้จิตใจละเอียดรอบคอบ แม้แต่วิธีเช่นนี้ก็คิดออกมาได้


 


 


“เจ้านึกว่าเจ้าทำได้มิดชิด? เจ้านึกว่าเจ้าฆ่าซือไท่ที่ให้ยาลับกับเจ้าคนนั้นปิดปากก็ไม่มีคนรู้แล้วเช่นนั้นหรือ? นางซ่ง สวรรค์มีตานะจะบอกให้! เกรงว่าเจ้าคงไม่รู้กระมัง? ซือไท่คนนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไร นางแอบลับลอบกับคนให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่ง นางให้ยาที่ทำร้ายคนลับหลังเช่นนี้กับเจ้าย่อมต้องระวังเจ้าจู่ๆ เปลี่ยนหน้าแล้งน้ำใจ จึงแอบบอกเรื่องนี้กับบุตรสาวของนาง ต่อมาก็ถูกฮ่องเต้องค์ก่อนสืบได้แล้วมิใช่หรือ? มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเพราะอะไรเจ้าถึงมีตำแหน่งพระชายาเพียงในนาม ไม่ได้เข้าราชพงศาวลี ไม่ได้เข้าวัง ไม่ได้เข้าร่วมพิธีบวงสรวงงานเลี้ยงใดๆ ของราชสำนัก? ฮ่องเต้องค์ก่อนระวังเจ้าอยู่ไงล่ะ” ใบหน้ายายหรูเต็มไปด้วยความเยาะเย้ยอย่างเข้มข้น


 


 


“ฮ่องเต้องค์ก่อนอย่างไรก็รักบุตรชาย บวกกับเจ้าตั้งครรภ์แล้ว ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงปิดเรื่องนี้ไว้ ทว่าสวรรค์มีตา ยังคงให้บ่าวรู้เข้า ตั้งแต่ยามนั้นเป็นต้นมาบ่าวก็สาบานว่า ต้องแก้แค้นแทนคุณหนูให้ได้! ฮ่องเต้องค์ก่อนเห็นเจ้าตั้งครรภ์ถึงละเว้นเจ้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นบ่าวก็จะให้เจ้าสิ้นลูกสิ้นหลาน ไม่มีผู้สืบสกุลตลอดไป ดังนั้นบ่าวจึงหา ‘เมาทุกวัน’ มา ใช้วิธีแบบเดียวกันใส่ไว้บนตัวคุณชายสาม ฮ่าๆ ฮูหยินสามก็คลอดเด็กป่วยออกมาจริงๆ! คุณชายใหญ่ของเรามีฮ่องเต้องค์ก่อนทรงห่วงใย เอายาวิเศษในวังรักษา มีหมอเทวดาเฒ่าคอยบำรุงร่างกาย คุณชายน้อยที่ฮูหยินสามให้กำเนิดมีหรือไม่? มีหรือไม่? ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ เด็กคนนั้นอยู่ไม่เกินอายุครบเดือน อยู่ไม่เกินอายุครบเดือนแน่นอน” ยายหรูแววตาสับสน โบกมือตะโกนโหวกเหวก


 


 


“นางบ่าวเฒ่าอำมหิต เด็กไร้ความผิด?” สวีเหยียนกระโดดขึ้นมาชี้ยายหรูแล้วตะโกนด้วยความโกรธ ตาของเขาแดงหมดแล้ว นึกถึงบุตรชายสายตรงคนโตที่คลอดออกมาก็ถูกหมอหลวงวินิจฉัยว่าติดพิษจากในครรภ์ เขาโกรธอย่างมหันต์อีกทั้งเจ็บปวดใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ จ้องยายหรูอย่างดุร้าย ราวกับจะกินนาง


 


 


นั่นคือบุตรชายคนโตของเขา บุตรชายคนโตสายตรงนะ! และก็เป็นบุตรเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ของเขาแล้วด้วย!


 


 


ยายหรูกลับไม่รู้สึกรู้สมแม้แต่น้อย “เด็กไร้ความผิด? บัดนี้คุณชายสามรู้แล้วว่าเด็กไร้ความผิด? เช่นนั้นคุณชายใหญ่ของเราล่ะ? คุณชายใหญ่ของเราก็ไม่ใช่เด็กหรือ? หรือว่าเขาก็สมควรตายเช่นนั้นหรือ? คุณหนูของเรายิ่งไร้ความผิดมิใช่หรือ? ก็เพราะไปขวางทางของนางซ่งผู้หญิงอำมหิตคนนี้ นางจึงใช้วิธีการทำร้ายลับหลังทำร้ายคุณหนูข้า!” สายตาของยายหรูคมขึ้นทันที “จะโทษก็โทษเสด็จแม่ของพวกท่านเถอะ ใครให้พวกท่านมีเสด็จแม่แสนดีล่ะ! คุณหนูข้าตายในมือนาง เช่นนั้นนางก็อย่าคิดจะได้ดีเลย บ่าวอยู่ในจวนอ๋องจิ้นนี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว จะซื้อคนสักสองสามคนไม่ได้เชียวหรือ? ของกินของใช้แต่ละวันของท่านซื่อจื่อและคุณชายสาม เป็นของที่บ่าวสิ้นเปลืองความคิดนับไม่ถ้วนส่งขึ้นไปเชียวนะ นางซ่ง เจ้าสิ้นผู้สืบทอดแล้ว บ่าวก็ไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูได้อย่างสบายใจแล้ว” บนใบหน้ายายหรูประดับรอยยิ้มที่ทำให้คนหวาดกลัว


 


 


สีหน้าของพระชายาอ๋องจิ้นเปลี่ยนอีก นางนึกถึงคำวินิจฉัยของหมอหลวงขึ้นมา แล้วสั่นไปทั้งตัว ไม่มีทายาท! เย่เกอเอ๋อร์และเหยียนเกอเอ๋อร์ไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว นางจะไม่ได้อุ้มหลานอีกแล้ว!


 


 


ไม่ ยังมีฉ่างเกอเอ๋อร์ นางยังมีฉ่างเกอเอ๋อร์นะ ฉ่างเกอเอ๋อร์อยู่ในจวนน้อยมาก ต้องยังไม่เจอน้ำมืออำมหิตของยัยเฒ่าปีศาจนี่แน่ ใช่ ฉ่างเกอเอ๋อร์ของนางยังสามารถให้กำเนิดหลานเล็กๆ ให้นางได้ นางจะไม่ขาดผู้สืบสกุล ไม่เป็นหรอก

 

 

 


ตอนที่ 276-2 เปิดโปงเรื่องเก่า

 

ยายหรูราวกับรู้สิ่งที่นางคิดอยู่ในใจ หัวเราะเยาะเสียงหนึ่งว่า “ซ่งซื่อเจ้ากำลังคิดว่ายังมีคุณชายสี่สินะ หึๆ คุณชายสี่เพิ่งสิบสองสิบสามก็เสียพรหมจรรย์ หลายปีมานี้ยิ่งใช้ชีวิตเหลวแหลกอยู่ข้างนอก ไม่ต้องให้บ่าวลงมือเขาก็ย่ำยีร่างกายของตนจนพังแล้ว ซ่งซื่อเจ้ายังไม่รู้กระมัง เขาไม่อาจมีบุตรได้ตั้งนานแล้ว มิเช่นนั้นเจ้าเคยได้ยินข่าวเขาทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่” 


 


 


จิ้นหวังเฟยสิ้นหวังหมดแล้ว สีหน้าซีดเผือดถลาไปถึงหน้าท่านจิ้นอ๋องว่า “ท่านอ๋อง ท่าน ท่านต้องออกหน้าแทนข้า! เยี่ยเอ๋อร์พวกเขา… บ่าวเฒ่าคนนี้อำมหิตเกินไปแล้ว นางบังอาจลงมือกับบุตรของท่าน” ฟันของนางสั่นไปหมด 


 


 


ท่านจิ้นอ๋องกลับจ้องนางด้วยสายตาซับซ้อนว่า “เจ้าใส่ยาลับในเสื้อผ้าของข้า” เขาสีหน้าสงบ น้ำเสียงก็สงบยิ่งนัก 


 


 


ทว่าจิ้นหวังเฟยที่อยู่ใกล้ที่สุดในใจกลับเกิดหวาดกลัวขึ้นมา ปฏิเสธอย่างไม่รู้ตัวว่า “เปล่า ข้าเปล่า ท่านอ๋องท่านต้องเชื่อ ข้าเปล่านะ!” 


 


 


นางส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต คิดจะถอยหลัง กลับถูกท่านจิ้นอ๋องบีบคางไว้ว่า “เปล่าหรือ แล้วเหตุใดอาการของเด็กคนนั้นถึงเหมือนยามโย่วเอ๋อร์คลอดออกมายิ่งนัก ซ่งซื่อ เจ้าพูดความจริง เจ้าบอกความจริงกับข้า ใช่เจ้าหรือไม่” 


 


 


ท่านจิ้นอ๋องสงบปานนั้น สงบจนแทบจะอ่อนโยน ทว่าจิ้นหวังเฟยกลับเหมือนเห็นผีร้ายอย่างไรอย่างนั้น หน้าถอดสีว่า “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้าจริงๆ” นางคิดจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการกลับไม่กล้าขยับอีก 


 


 


“มารดาเจ้าสิเจ้าบอกความจริงข้ามา ไม่ใช่เจ้า เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าเด็กคนนั้นในเรือนเหยียนเอ๋อร์มันเรื่องอะไรกัน” ท่านจิ้นอ๋องตะคอกด้วยความโกรธทันที มือที่บีบคางหวังเฟยจิ้นก็ยิ่งออกแรง “ซ่งซื่อ เจ้าช่างเก่งจริงๆ แหย่ข้าเป็นลิงเจ้าได้ใจมากสินะ” เขาดูถูกนาง ราวกับกำลังมองของสกปรกอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


จิ้นหวังเฟยถูกเขาบีบจนร้องอย่างเจ็บปวด พยายามส่ายหน้าสุดชีวิต แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด เห็นสีหน้านางอดกลั้นจนเป็นสีเขียว จะหายใจไม่ออกแล้ว 


 


 


สวีเยี่ยและสวีเหยียนเห็นดังนั้นตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปห้ามว่า “เสด็จพ่อท่านรีบปล่อยมือ ท่านทำเช่นนี้จะบีบเสด็จแม่ตายได้” ทั้งสองคนไม่สนใจอย่างอื่นแล้วออกแรงแกะมือของท่านจิ้นอ๋อง ไม่รู้ว่าวันนี้ท่านจิ้นอ๋องเป็นอะไรมือหนักเป็นพิเศษ สวีเยี่ยและสวีเหยียนคนหนุ่มกำยำสองคนใช้แรงของวัวเก้าตัวบวกกับเสือสองตัวถึงช่วยจิ้นหวังเฟยออกมาได้ 


 


 


จิ้นหวังเฟยที่ได้รับอิสระจับคอของตนไว้แล้วไออย่างรุนแรง แววตาเหม่อลอย พูดไม่หยุดว่า “ไม่ใช่ข้า ไม่ใช่ข้า ท่านอ๋อง ไม่ใช่ข้าจริงๆ” พลางพูด พลางถอยหลังไป ลึกเข้าไปในดวงตาคือความหวาดกลัวอันลุ่มลึก 


 


 


ยายหรูเห็นฉากเช่นนี้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มที่จะเศร้าก็ไม่เศร้าจะสุขก็ไม่สุข แล้วพูดเสียงดังว่า “กรรมตามสนอง กรรมตามสนองแล้ว! คุณหนู วิญญาณท่านบนสวรรค์เห็นหมดแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ บ่าวแก้แค้นให้ท่านแล้ว ซ่งซื่อจะสิ้นลูกสิ้นหลานแล้ว” นางแหงนหน้าขึ้นแผ่วเบา สายตามองทะลุผ่านความว่างเปล่า หยุดอยู่กลางอากาศ ราวกับคุณหนูของนางยืนอยู่ตรงนั้น 


 


 


เสิ่นเวยรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก เรียกเบาๆ ทีหนึ่งว่า “ยายหรู” 


 


 


สีหน้าสวีโย่วก็ดูไม่ดี “ยายหรู ท่านควรบอกข้าแต่แรก” ในฐานะบุตรชาย แก้แค้นแทนมารดาควรเป็นงานของเขา เขาพอจะรู้ว่าพิษที่ติดมาจากครรภ์ของเขาน่าจะหนีไม่พ้นจิ้นหวังเฟย ทว่าคิดไม่ถึงว่าความจริงจะเป็นเช่นนี้ มิน่าสายตาที่เสด็จปู่มองเขาถึงซับซ้อนเช่นนั้น 


 


 


ยายหรูกลับยิ้มแล้วว่า “คุณชายใหญ่ เรื่องแก้แค้นมีบ่าวก็พอแล้ว ท่านกับฮูหยินใหญ่ต้องอยู่อย่างมีความสุข คลอดหลานชายตัวอ้วนๆ ให้คุณหนู ต่อให้บ่าวไปถึงปรภพก็สบายใจได้แล้ว” นางจะบอกเขาได้อย่างไร คุณชายใหญ่น่าสงสารพอแล้ว นางจะทำใจให้เขาแบกรับภาระความแค้นที่หนักอึ้งเช่นนี้ได้อย่างไรอีก นางจะให้คุณชายใหญ่แบกชื่อเสียงอกตัญญูไว้ไม่ได้! 


 


 


สวีโย่วหลับตาลง ปิดบังความรวดร้าวภายใน ยื่นมืออุ้มยายหรูว่า “ยายหรู ข้าจะพาท่านไป เรากลับจวนผิงจวิ้นอ๋องกัน” สถานที่บ้าๆ นี่เขาไม่อยากอยู่แม้เพียงชั่วขณะเดียว “เจียงเฮยเจียงไป๋ ไปศาลบรรพชนเชิญป้ายวิญญาณของเสด็จแม่ออกมา” เสด็จแม่เขาก็คงไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อไปกระมัง 


 


 


สวีโย่วอุ้มยายหรูก้าวอย่างมั่งคงออกข้างนอก เสิ่นเวยตามอยู่ข้างๆ พลานุภาพที่แข็งแกร่งไม่อาจต้านบีบจนบ่าวไพร่ทั่วทั้งเรือนต่างถอยหลังไปตามๆ กัน แม้แต่ท่านจิ้นอ๋องก็งงเป็นไก่ตาแตก ยืนอึ้งอยู่ที่เดิม รอยามที่เขาได้สติกลับมา สวีโย่วก็เดินไปไกลแล้ว 


 


 


ยายหรูยังคงจากไป ท่านหมอหลิ่วใช้เข็มทองยืดเวลาได้สองวัน ยังคงไม่อาจรั้งนางไว้ได้ สองวันนี้ สวีโย่วเฝ้าอยู่หน้าเตียงยายหรูไม่ห่าง เสิ่นเวยตามอยู่ข้างกายเขาเงียบๆ ตลอดเวลา 


 


 


ยายหรูอมยิ้มที่มุมปาก ไปอย่างสงบยิ่ง สวีโย่วซุกศีรษะไว้บนตักเสิ่นเวย ไหล่สั่นเทิ้ม เสิ่นเวยถอนใจในใจทีหนึ่ง ยื่นมือกอดศีรษะเขาไว้เบาๆ คำพูดปลอบใจกลับพูดไม่ออกสักคำ 


 


 


สวีโย่วและเสิ่นเวยฝังยายหรูไว้ข้างสุสานต้วนซื่อเสด็จแม่ของพวกเขา พวกเขาตั้งป้ายกราบไหว้ด้วยตนเอง มองกระดาษเงินกระดาษทองที่ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า ในใจเสิ่นเวยเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก 


 


 


สวีโย่วกลับมาจากสุสานก็ล้มป่วย ไข้ขึ้นสูงมาก ร้อนจนหน้าแดงไปหมด ไม่ได้สติ ไม่เพียงท่านหมอหลิ่วมาแล้ว แม้แต่หมอหลวงในวังก็ตื่นตัวด้วย 


 


 


เสิ่นเวยเฝ้าเขาทั้งคืนอย่างไม่ละสายตา ยามฟ้าสางไข้ของเขาถึงลดลงได้บ้าง 


 


 


“ข้าป่วยอีกแล้วหรือ” สวีโย่วลืมตาขึ้น พูดอย่างอ่อนแรง “เจ้าเฝ้าข้าทั้งคืน” เขามองเสิ่นเวยที่เส้นเลือดฝอยกระจายเต็มตาเห็นชัดว่าไม่ได้นอนทั้งคืนแล้วความปวดใจแวบผ่านใบหน้า 


 


 


เสิ่นเวยกลับต่อว่าอย่างดีใจ “ท่านทำข้าตกใจแทบตาย” นางตกใจจริงๆ เมื่อก่อนมักได้ยินคนอื่นบอกว่าสวีโย่วสุขภาพไม่ดี เวลาประจันหน้ากับคนอื่นนางก็เอาเรื่องนี้มาพูดบ่อยๆ ทว่าในใจกลับไม่เคยเอามาเป็นเรื่อง เพราะตั้งแต่ที่นางรู้จักสวีโย่ว เขาก็มีท่าทางฉกาจฉกรรจ์อย่างไม่มีอะไรเทียบได้ โดยเฉพาะบนเตียง ราวกับมีพลังกายใจที่ใช้ไม่หมด ทุกครั้งล้วนบีบจนนางต้องขอให้ละเว้น เมื่อคืนทำให้นางตกใจเกือบตายจริงๆ 


 


 


สวีโย่วแย้มยิ้มอย่างซีดเซียวว่า “ข้าไม่เป็นไรแล้ว เจ้ารีบไปพักสักครู่เถอะ” 


 


 


เสิ่นเวยส่ายหน้าว่า “ท่านหิวแล้วสิ อยากกินอะไร ข้าจะสั่งห้องครัวทำให้ กินอะไรก่อนประเดี๋ยวยังต้องกินยาอีก” ท่าทางของสวีโย่วเช่นนี้นางวางใจไม่ลงจริงๆ นอนหลับลงที่ไหนกัน 


 


 


สวีโย่วเห็นดังนั้นจึงว่า “ยามนี้ข้ายังไม่หิว เจ้าเข้ามานอนเป็นเพื่อนข้าอีกหน่อยเถอะ” เขาตบตำแหน่งข้างตัว 


 


 


เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้ว จึงถอดรองเท้าปีนขึ้นเตียง นอนลงอย่างระมัดระวังข้ายกายสวีโย่ว สวีโย่วยื่นมือกอดนางเข้ามาในอ้อมกอด แล้วตบหลังนางเบาๆ เสิ่นเวยอ่อนเพลียมากอยู่แล้วจึงเข้าสู่แดนฝันอย่างรวดเร็ว ส่วนสวีโย่วก็หลับตาลงอย่างวางใจ 


 


 


สวีโย่วป่วยครั้งนี้รักษาอยู่ครึ่งเดือนจึงค่อยๆ ฟื้นตัว เสิ่นเวยวนเวียนอยู่รอบตัวเขาทุกวัน ไม่มีพลังกายใจไปสนใจเรื่องภายนอกแล้ว 


 


 


รอถึงยามที่สวีโย่วหายดีเป็นปลิวทิ้ง รายชื่อการสอบฤดูใบไม้ผลิก็ออกมาแล้ว ที่หนึ่งไม่ใช่บุรุษอัจฉริยะเว่ยจิ่นอวี๋ที่ชื่อกระฉ่อนเมืองหลวง หากแต่เป็นผู้เข้าสอบที่ไม่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อเซี่ยหมิงผู่ 


 


 


ยามที่เสิ่นเวยได้ข่าวนี้ยังงุนงงไปพักหนึ่ง แม้นางจะฝากความหวังอย่างใหญ่หลวงไว้ที่เซี่ยหมิงผู่ กลับรู้ว่าเหนือคนย่อมมีคนเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า ไม่คิดว่าเจ้าเซี่ยหมิงผู่ผู้นี้จะบุกออกจากกองทัพนับพันนับหมื่นจริงๆ 


 


 


ที่สองคือผู้เข้าสอบท่านหนึ่งจากถนนเป่ยเจ๋อ อายุเกินสามสิบแล้ว ชื่อชุยจิ้ง 


 


 


ที่สามถึงจะเป็นเว่ยจิ่นอวี๋ซื่อจื่อหย่งหนิงโหว 


 


 


เสิ่นเซ่าจวิ้นก็สอบได้ไม่เลว ขั้นสองอันดับที่ยี่สิบสาม พี่เขยสามเหวินเทาก็อยู่ขั้นสอง ขั้นสองอันดับที่เจ็ดสิบเจ็ด ก็นับว่าไม่เลวแล้ว 


 


 


หลังจากการสอบระดับประเทศก็คือการสอบหน้าพระที่นั่ง ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงแต่งตั้งสามอันดับแรกเป็นจอหงวน (อันดับหนึ่ง) ปั๋งเหยี่ยน (อันดับสอง) และทั่นฮวา (อันดับสาม) ด้วยองค์เอง 


 


 


จอหงวนก็คือเซี่ยหมิงผู่ ปั๋งเหยี่ยนคือชุยจิ้ง ทั่นฮวาคือเว่ยจิ่นอวี๋ 


 


 


ยามที่สามอันดับแรกขี่ม้าท่องเมืองครึกโครมไปทั้งเมืองหลวง นอกจากปั๋งเหยียนชุยจิ้งอายุมากเล็กน้อย จอหงวนและทั่นฮวาล้วนเป็นเด็กหนุ่มอายุน้อย ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีเป็นพิเศษ 


 


 


ใครๆ ก็รู้ว่าทั่นฮวาแต่งงานมีภรรยาแล้ว ทว่ายังมีจอหงวนมิใช่หรือ จวนต่างๆ ต่างเริ่มสืบประวัติของจอหงวน คิดจะดึงเขาเข้าพื้นที่ของตน 


 


 


วันที่ท่องเมืองนี้ เสิ่นเวยและสวีโย่วก็ไปดูความครึกครื้นเช่นกัน พวกเขาจองห้องส่วนตัวบนชั้นสองที่มีตำแหน่งดีที่สุดติดถนนไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว เสิ่นเวยชี้จอหงวนที่แต่งตัวด้วยสีสันสดใสเป็นมงคลนั่งตัวตรงบนม้า พูดเสียงเบากับสวีโย่วว่า “ดูสิ นั่นก็คือพี่ชายของฉาฮวา บุตรในสายโลหิตของตระกูลเซี่ยแห่งเจียงหนาน” 


 


 


สวีโย่วมองไปตามทิศทางที่นางชี้แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งว่า “เป็นอัจฉริยะบุคคล” เพิ่งอายุสิบเจ็ดก็ชิงจอหงวนมาได้ เห็นได้ว่ามีความรู้อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้นเซี่ยหมิงผู่คนนี้ เสด็จลุงของเขาเพิ่งพูดถึงเขา ชมเขาไม่ขาดปาก บอกว่าบทความของเขาไม่เพียงประเสริฐยอดเยี่ยม ยิ่งกว่านั้นยังมีความหมายลึกซึ้งชัดเจน เป็นบุคลากรที่มองการณ์ไกล หากให้เวลาอีกหน่อยต้องเป็นเสาหลักของประเทศอีกคนหนึ่ง การประเมินเช่นนี้เรียกได้ว่าสูงมาก 


 


 


ข้างหน้าต่างอีกบานหนึ่ง ฉาฮวาเถาฮวาไม่กี่คนตื่นเต้นเหลือเกิน สะบัดผ้าเช็ดหน้าโบกมือให้ข้างล่างเป็นการใหญ่ ฉาฮวาตื่นเต้นจนหน้าแดงหมด หากไม่ใช่เหล่าแม่นางน้อยที่มุงดูต่างมีท่าทางเช่นนี้ นางต้องก่อให้คนอื่นเกิดความสงสัยเป็นแน่ 


 


 


พลังการเคลื่อนไหวของจวนต่างๆ รวดเร็วมาก ไม่นานก็สืบประวัติของจอหงวนอย่างหมดเปลือก อ้อ ที่แท้จอหงวนอายุน้อยท่านนี้เป็นคนอำเภอผิงหยางหรือนี่ เป็นบัณฑิตของโรงเรียนชิงซาน เป็นศิษย์นักปราชญ์ใหญ่ฉีเตี่ยน มิน่าอายุแต่น้อยก็สามารถชิงตำแหน่งจอหงวนมาได้ ที่ทำให้คนพอใจที่สุดคือบิดามารดาของจอหงวนเซี่ยท่านนี้เสียชีวิตทั้งคู่ อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีเครือญาติสักคน จัดเป็นประเภทคนหนึ่งกินอิ่มไม่อดทั้งบ้าน 


 


 


เดิมทีสถานการณ์เช่นเซี่ยหมิงผู่นี้ล้วนทาบทามเรื่องแต่งงานได้ยาก ทว่านี่ถูกปากของตระกูลใหญ่เรืองอำนาจพอดี ไม่มีเครือญาติดียิ่ง รอแต่งงานแล้วก็ต้องสนิทชิดเชื้อใจเดียวกับบ้านภรรยามิใช่หรือ เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการแต่งบุตรเขยเข้าบ้านแล้วได้บุตรชายครึ่งคนมาเปล่าๆ ใครไม่ดีใจบ้าง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นบุตรชายที่ดีเช่นจอหงวนหนุ่ม 


 


 


ดังนั้นขุนนางและผู้สูงศักดิ์ที่มีคุณสมบัติในการแย่งชิงต่างใส่ใจเหลือเกิน ใครๆ ก็อยากรับจอหงวนที่ถูกฝ่าบาทชื่นชมท่านนี้มาเป็นบุตรเขยบ้านตน ทว่าพวกเขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเสียแรงเปล่า เพราะองค์หญิงสามที่เกิดจากโหรวเฟยก็ต้องตาจงหงวนท่านนี้เช่นกัน 


 


 


องค์หญิงสามปีนี้อายุสิบห้าแล้ว เดือนที่แล้วเพิ่งถึงวัยปักปิ่น**ตั้งแต่เห็นท่วงท่าอันสง่างามของจอหงวนเซี่ยบนถนนก็ตราตรึงใจมิลืมเลือน โหรวเฟยเป็นคนรักบุตรสาว ได้ยินการรายงานของนางกำนัลใหญ่ข้างกายบุตรสาว จึงส่งคนไปตรวจสอบจอหงวนเซี่ยท่านนี้ 


 


 


ได้ข้อมูลของจอหงวนเซี่ย โหรวเฟยพอใจเหลือเกิน จึงคิดจะทำให้บุตรสาวสมหวัง นางไม่ได้ไปขอร้องฮ่องเต้ยงเซวียนก่อน หากแต่ไปตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา เดิมทีนางก็พึ่งพิงฮองเฮาอยู่แล้ว จะวางแผนเรื่องสมรสให้บุตรสาวย่อมไม่ควรข้ามหน้าฮองเฮา ยิ่งกว่านั้นเรื่องสมรสของเหล่าองค์ชายองค์หญิงเดิมทีก็ควรให้ฮองเฮามากังวลมิใช่หรือ 


 


 


ฮองเฮาก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้มากทีเดียว หากจอหงวนเซี่ยกลายเป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสาม ก็จะเป็นคนฝ่ายนางมิใช่หรือ ดังนั้นทั้งสองคนจึงไปขอร้องฮ่องเต้ยงเซวียนพร้อมกัน 


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนแม้อัดอั้นบ้าง กลับรับปากอย่างไม่อ้อมค้อม บุคลากรที่โดดเด่นเช่นนี้ก็มีเพียงองค์หญิงถึงคู่ควรมิใช่หรือ 


 


 


ข้อกำหนดของราชบุตรเขยในรัชสมัยนี้ไม่เข้มงวดเหมือนรัชสมัยก่อน หากราชบุตรเขยไม่อยากไปกองราชพิธี อีกทั้งเจ้าตัวก็โดดเด่น จะรับตำแหน่งสำคัญในราชสำนักก็ย่อมได้ 


 


 


  


 


 


  


 


 


*ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้ 


 


 


**วัยปักปิ่น คือช่วงวัยของเด็กสาวที่มีอายุ 15 ปี ซึ่งถือเป็นวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว โดยเด็กสาวจะต้องผ่านพิธีบรรลุนิติภาวะ ในพิธีเด็กสาวจะทำการรวบผมมัดเป็นมวยไว้กลางศีรษะ ผู้ใหญ่ของเด็กจะเชิญแขกผู้หญิงมาช่วยปักปิ่นผมให้กับเด็กสาวแสดงถึงว่าเด็กสาวคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมจะออกเรือนแล้ว 

 

 

 


ตอนที่ 277 จุดจบ

 

จิ้นหวังเฟยถูกเปิดโปงโฉมหน้าต่อหน้าผู้คน โดยเฉพาะบุตรชายบังเกิดเกล้า ความกระอักกระอ่วนนั้นไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้เลย สายตาที่เย็นเยียบบึ้งตึงยามที่ท่านจิ้นอ๋องไปก็ทำให้นางกระวนกระวายใจไม่เป็นสุข เป็นไปตามคาด ถึงช่วงบ่ายนางก็ออกจากเรือนไม่ได้แล้ว


 


 


อาจเพราะเห็นแก่หน้าของบุตรชายในสายโลหิตสามคน ท่านจิ้นอ๋องไม่ได้ให้จิ้นหวังเฟยย้ายออกจากเรือนหลัก หากแต่ผนึกเรือนหลักโดยตรง ข้างกายนางเหลือแม่นมซือคนเดียวคอยปรนนิบัติ แม้แต่หวาเยียนที่ใช้ถนัดมือที่สุดก็ถูกย้ายไปที่อื่นแล้ว


 


 


จิ้นหวังเฟยทั้งตกใจทั้งกลัวทั้งโกรธ ขว้างของในห้องแตกหมด แม่นมซือซึ่งมองหวังเฟยที่เหมือนคลุ้มคลั่งก็ไม่ปานกล้าห้ามที่ไหน หดอยู่ที่มุมอับเอาแต่ถอนใจว่า ‘หวังเฟยเอ๋ย บัดนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว ท่านก็เพลาๆ หน่อยเถอะ! ท่านอ๋องไม่ได้ประหารท่านทันทีก็เป็นความกรุณาในความกรุณาแล้ว’


 


 


แม่นมซือเป็นแม่นมคนสนิทข้างกายจิ้นหวังเฟย ทว่านางเพียงแต่รู้รางๆ ว่าหวังเฟยเข้าจวนอ๋องมาได้เพราะใช้วิธีการบางอย่าง ยามที่ยายหรูเปิดโปงเรื่องนั้นออกมานางก็ตกใจแทบสะดุ้งเช่นกัน นึกขึ้นได้ทันทีว่ายามที่หวังเฟยถูกส่งเข้าอารามเคยใกล้ชิดกับแม่ชีคนหนึ่งมาก ยามนั้นนางยังห่วงว่านางจะหมดอาลัยตายอยากคิดจะเข้าประตูธรรม


 


 


จิ้นหวังเฟยขว้างปาของเหนื่อยแล้วก็นั่งอยู่บนเก้าอี้สงบสติอารมณ์ แม่นมซือจึงลุกขึ้นเก็บกวาดความเละเทะเต็มพื้น บัดนี้ข้างกายหวังเฟยเหลือนางเพียงคนเดียว งานพวกนี้ย่อมตกเป็นหน้าที่นางเป็นธรรมดา มิใช่นางโอดครวญ ตรงกันข้ามนางกลับเข้าใจอย่างยิ่ง ‘นางคือแม่นมของหวังเฟย ไม่ว่าใครก็สามารถไปจากหวังเฟยได้ มีเพียงนางที่ไม่สามารถ ช่างเถอะ นางมีอายุแล้ว ยังจะอยู่ได้อีกกี่ปีกัน ทนอยู่ในเรือนนี้เป็นเพื่อนหวังเฟยเถอะ’


 


 


“ซื่อจื่อล่ะ ฮูหยินซื่อจื่อล่ะ คุณชายสามคุณชายสี่ล่ะ เหตุใดพวกเขายังไม่มา” จิ้นหวังเฟยถามเสียงดัง ท่านอ๋องพึ่งไม่ได้แล้ว ไม่เป็นไร นางยังมีบุตรชาย นางยังมีบุตรชายในสายโลหิตสามคน นางกลับลืมไปสิ้นเชิง


 


 


เพราะนาง เหล่าบุตรชายของนางจึงไม่อาจมีบุตรได้อีกแล้ว ไม่พูดไม่ได้ว่าจิ้นหวังเฟยเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบคนที่นางรักที่สุดมีแต่ตนเองเท่านั้น


 


 


แม่นมซือที่นั่งยองๆ เก็บกวาดอยู่บนพื้นหยุดชะงัก นางบอกได้หรือว่าพวกคุณชายไม่มาแล้ว อย่างน้อยในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ไม่มีทางมาหรอก


 


 


แม่นมซือไม่ส่งเสียง จิ้นหวังเฟยกลับไม่ยอมรามือ แผดเสียงตะโกนใส่ข้างนอกว่า “ไป รีบไปเรียกพวกซื่อจื่อมา ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเขา”


 


 


ครึ่งค่อนวันถึงมีเสียงงึมงำๆ ของหญิงชรารับใช้ใช้แรงงานลอยมาว่า “หวังเฟยอภัยด้วย ไม่มีคำสั่งของท่านอ๋องบ่าวไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการเจ้าค่ะ” ท่านอ๋องเพียงแต่ให้พวกนางเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้บอกให้พวกนางทำงานอื่น หากพวกนางจากไปโดยพลการ ท่านอ๋องย้อนกลับมาสืบสาวราวเรื่อง… นึกถึงศพที่หามออกไปทีละศพๆ จากเรือนนี้ในช่วงเช้า บัดนี้พวกหญิงชรายังกลัวไม่หายเลย ท่านอ๋องเมตตา อุตส่าห์ไว้ชีวิตพวกนางไว้เฝ้าหวังเฟยที่นี่ พวกนางจะกล้าประมาทได้อย่างไร


 


 


จิ้นหวังเฟยโกรธโมโหใหญ่โตทันทีว่า “เจ้าพวกยกตนข่มท่าน ข้ายังไม่หมดอำนาจก็รีบซ้ำเติมเสียแล้ว พวกเจ้าคอยดูเถิด”


 


 


แม่นมซือจนด้วยเกล้า ได้แต่เข้าไปกล่อมว่า “หวังเฟย ท่านโกรธบ่าวไพร่ไปไย อย่าโกรธเลย อย่าโกรธจนเสียสุขภาพ ประเดี๋ยวท่านซื่อจื่อและคุณชายสามคุณชายสี่จะปวดใจอีก ท่านพักผ่อนสักครู่เถอะ นี่วุ่นวายมาครึ่งวันแล้ว ท่านซื่อจื่อพวกเขาก็เหนื่อยไม่เบา รอพักผ่อนเสร็จแล้วต้องมาเยี่ยมท่านแน่นอนเจ้าค่ะ”


 


 


นางชักแม่น้ำทั้งห้าในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมจิ้นหวังเฟยไว้ได้ พยุงหวังเฟยเข้าไปห้องด้านใน พอหันหลังออกมาก็ถอนใจเป็นการใหญ่ ดูท่าทางเช่นนี้ ท่านอ๋องโกรธหวังเฟยถึงที่สุดแล้ว พวกซื่อจื่อก็ไม่ใช่ไม่โกรธเคืองหวังเฟย หวังเฟยดันไม่รู้ตัวอีก กลุ้มใจเสียจริง!


 


 


เป็นดังที่แม่นมซือคิด สวีเยี่ยและสวีเหยียนแม้ปากไม่พูด ในใจกลับแค้นเคืองเสด็จแม่ของพวกเขายิ่งนัก นับตั้งแต่ที่พวกเขาจำความได้ เสด็จแม่ก็ภูมิฐานมีคุณธรรม สง่างามมีคุณค่า ยิ่งกว่านั้นความสัมพันธ์กับเสด็จพ่อก็ดีเป็นพิเศษ ตามอายุที่เพิ่มขึ้น แม้พวกเขารู้ว่าเสด็จแม่เป็นคนมีแผนการ กลับไม่ได้ใส่ใจ มีนายหญิงบ้านไหนบ้างที่ไม่มีแผนการ


 


 


แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็นึกไม่ถึงว่าเสด็จแม่จะเป็นคนไม่เลือกวิธีการเช่นนี้ ซ้ำยังเพิ่งรู้ว่าที่แท้การตายของมารดาพี่ใหญ่และสุขภาพของพี่ใหญ่ล้วนเกิดจากเสด็จแม่ นี่จะให้พวกเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! มิหนำซ้ำด้วยความอำมหิตของเสด็จแม่ทำให้พวกเขาเดือดร้อนจนไม่สามารถมีบุตรได้อีก ต่อให้พวกเขากตัญญูเพียงใดก็ไม่อาจไม่โอดครวญ!


 


 


อู๋ซื่อซื่อจื่อฮูหยินร้องไห้จนตาบวม สะอึกสะอื้นว่า “ท่านซื่อจื่อ!” ที่แท้ไม่ใช่นางให้กำเนิดไม่ได้ หากแต่เป็นท่านซื่อจื่อต่างหากที่ไม่สามารถให้กำเนิดได้!


 


 


สวีเยี่ยใบหน้าบึ้งตึง เมื่อนึกว่าตนไม่อาจมีบุตรของตัวเองได้อีกในใจก็เจ็บเหมือนถูกมีดเฉือน เขามองดูดวงตาบวมแดงของภรรยา ในใจอดรู้สึกผิดไม่ได้ “ช่างเถอะ นี่ล้วนเป็นชะตา ดีที่เรายังมีบุตรสาวสองคน เลี้ยงพวกนางให้เติบใหญ่อย่างดี หากไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เอ้อร์เอ๋อร์รับเขยเข้าบ้านเถอะ” เขารู้สึกโชคดีมากที่ยายหรูคนนั้นลงมือช้า มิเช่นนั้นเขาก็ต้องเหมือนน้องสามที่แม้แต่เลือดเนื้อเชื้อไขสักคนก็มีไม่ได้แล้ว


 


 


อู๋ซื่อสะอึกสะอื้นแนบหน้าไว้ที่หน้าอกเขา แล้วพยักหน้าเบาๆ ว่า “ข้า ข้าก็แค่คิดว่าหากต้าเอ๋อร์ หรือเอ้อร์เอ๋อร์มีคนหนึ่งเป็นบุตรชายก็ดี”


 


 


สวีเยี่ยก็อยากเช่นกัน ทว่านี่เป็นสิ่งที่เขาอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้หรือ เขาถอนใจยาวทีหนึ่ง ลึกเข้าไปในตามีแต่ความเศร้าสลด


 


 


ที่จริงอู๋ซื่อไม่ได้เสียใจเท่าที่นางแสดงออกมา กระทั่งลึกลงไปในใจนางยังแอบโล่งอก นางแม้เสียดายที่ไม่มีบุตรชาย ทว่าอย่างน้อยนางก็มีบุตรสาวแท้ๆ ถึงสองคน! บัดนี้ท่านซื่อจื่อให้กำเนิดไม่ได้แล้ว เช่นนั้นต่อไปก็ไม่มีบุตรชายบุตรสาวอนุแล้ว ทั้งจวนจิ้นอ๋องก็เป็นของบุตรสาวสองคนของนางแล้ว ยิ่งกว่านั้นเพราะเรื่องนี้ซื่อจื่อรู้สึกผิดต่อนาง ต่อไปเรือนหลังนี่ก็ไม่มีคนกล้าดิ้นรนมาสร้างความรำคาญให้นางแล้ว พอนึกถึงเรื่องนี้นางก็ไม่เสียใจปานนั้นแล้ว


 


 


ทางด้านสวีเหยียนกลับเป็นอีกสภาพหนึ่ง หูซื่อกอดบุตรชายที่เพิ่งคลอดร้องจนแทบขาดใจ “ลูกข้า ลูกข้า! ยายแก่ที่สมควรตายนั่น กรรมใดใครก่อ เรื่องอะไรมาหาลูกที่ไร้ความผิดของข้า! ลูกเอ๋ย ลูกที่น่าสงสารของข้า!”


 


 


กว่านางจะให้กำเนิดหลานชายคนโตในสายโลหิตของจวนอ๋องได้ไม่ใช่ง่ายๆ แม้เด็กเกิดมาจะไม่ค่อยสมบูรณ์ ทว่ามีหมอหลวงคอยดูนางจึงไม่ได้ห่วงถึงปานนั้น ทว่าบัดนี้นางกลับรู้ว่าเด็กถูกพิษตั้งแต่อยู่ในครรภ์จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่ครบเดือน ยิ่งกว่านั้นสามียังถูกวางยาสิ้นทายาทอีก นางสิ้นหวังหมดแล้ว รู้สึกว่าฟ้าจะถล่มลงมา ชีวิตต่อจากนี้ยังมีความหวังอะไรอีก


 


 


“เรื่องอะไร เรื่องอะไรกัน! นางทำบาปเรื่องอะไรกรรมถึงมาตกลงที่บุตรชายข้า ท่านพี่ ข้าอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว นี่ไม่เท่ากับควักหัวใจข้าไปทั้งเป็นหรือ ให้ข้าตามไปให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!” นางก้มหน้าดูบุตรชายในอก ร้องไห้จนใจขาดดิ้น


 


 


สวีเหยียนสองมือกุมศีรษะ งงไปหมดแล้ว เขาไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว ทรัพย์สมบัติที่เขาชิงมาได้จะให้ใคร ให้ใคร ให้ใครเล่า พี่รองอย่างน้อยยังมีบุตรสาวสองคน เขามีอะไร บุตรชายเพียงคนเดียวยังรักษาไว้ไม่ได้ ยิ่งกว่านั้นเขายังต้องมองดูบุตรชายเพียงหนึ่งเดียวของเขาตายไปต่อหน้าต่อตา พอนึกถึงเรื่องนี้เขาก็เหมือนถูกลูกศรหมื่นดอกทะลวงใจ


 


 


“ร้อง ร้อง ร้องมีประโยชน์อะไร” สวีเหยียนลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำ ราวกับสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ “อุ้มเด็กลงไป เจ้าทำให้เขาตกใจแล้ว” สายตาของเขาตกลงบนใบหน้าที่อ่อนแอของเด็ก หน้าผากเล็กๆ จมูและปาก โดยเฉพาะปากและจมูกนั่น เหมือนปั้นออกมาจากพิมพ์เดียวกับเขาไม่มีผิด เขาอดขอบตาร้อนไม่ได้ น้ำตาเกือบไหลออกมา นี่คือบุตรชายของเขา บุตรชายของเขา!


 


 


แม่นมเข้ามาจะรับเด็กไป หูซื่อกลับกอดไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ลึกเข้าไปในดวงตามีแต่ความระแวง “นี่คือบุตรชายของข้า ข้าไม่ให้ใครทั้งนั้น”


 


 


แม่นมยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน มองไปที่สวีเหยียนอยางลำบากใจ


 


 


สวีเหยียนมองเด็กที่แบะปากร้องไห้อย่างหนัก ใจอ่อนขึ้นมาทันที “ให้แม่นมอุ้มลงไปเถอะ ให้หมอหลวงดูหน่อย ควรให้ยาแล้วใช่หรือไม่”


 


 


หูซื่อฟังแล้วตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีว่า “ใช่ หมอหลวง ท่านพี่ พิษที่เกอเอ๋อร์ของเราถูกเหมือนพี่ใหญ่มิใช่หรือ พี่ใหญ่ยังไม่เป็นไร เช่นนั้นเกอเอ๋อร์ของเราก็ต้องมีทางช่วยแน่นอน ท่านพี่ ท่านไปขอร้องฝ่าบาท เราก็ส่งเกอเอ๋อร์ขึ้นเขาไป ข้าไปโขกศีรษะให้หมอเทวดาเฒ่า ต่อให้เอาชีวิตข้าเข้าแลกก็ได้ ขอเพียงเขาสามารถช่วยชีวิตเกอเอ๋อร์เราได้” น้ำตาในตาของหูซื่อไหลไม่หยุด


 


 


สวีเหยียนกลับเบือนสายตาออก ทนดูดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวังของหูซื่อไม่ได้ “ได้ พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังขอร้องฝ่าบาท” ในใจเขากลับเข้าใจว่าต่อให้ขอร้องฝ่าบาทก็ไม่มีประโยชน์ เกอเอ๋อร์ถูกพิษลึกเกินไปแล้ว ต่อให้เป็นเทวดาจำแลงก็ช่วยไม่ได้แล้ว


 


 


ด้านฉินอิงอิงนั้นกำลังเถียงกันอย่างดุเดือด ยามเกิดเรื่องแม้นางไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุกลับได้ยินแล้ว เมื่อนึกถึงว่าสวีฉั่งด้วยลุ่มหลงในกิเลสตัณหาทำร่างกายพังไม่สามารถมีบุตรได้อีก นางก็แค้นจนสั่นไปทั้งตัว


 


 


นางเพิ่งแต่งเข้ามาเท่าไรเอง ยังไม่ถึงครึ่งปีเลย เพียงหนึ่งเดือนที่แต่งงานใหม่สวีฉั่งยังนับว่าว่าง่าย หลังจากนั้นร่างเดิมกลับปรากฏแล้ว ไม่เพียงไม่กลับจวนเป็นประจำ ต่อให้อยู่ในจวนสายตานั่นก็จ้องอยู่แต่ร่างสาวใช้สะสวย นางพาสาวใช้บ้านมารดามาสี่คน ถูกเขาเอาไปแล้วสามคน


 


 


นางโวยวายก็โวยวายแล้ว อาละวาดก็อาละวาดแล้ว สวีฉั่งภายนอกรับปากอย่างดี พอลับหลังก็ทำอะไรไม่สนใจใครอีกแ


 


 


ฉินอิงอิงกลับบ้านร้องไห้โอดครวญ มารดานางกลับกล่อมนางว่า “ผู้หญิงคนใดบ้างไม่เคยผ่านชีวิตเช่นนี้ แม้แต่บิดาเจ้าลุงใหญ่เจ้าก็มีอนุหลายคนมิใช่หรือ หน้าที่เร่งด่วนของเจ้าในยามนี้คือรีบให้กำเนิดบุตรชายในสายโลหิตสร้างจุดยืนให้มั่นคง ขอเพียงเจ้ามีบุตรชายเคียงกาย อนุคนไหนจะสามารถข้ามศีรษะเจ้าไปได้”


 


 


ออกเรือนก็ออกเรือนแล้ว ไม่ยอมรับชะตาแล้วจะทำอย่างไรได้ เพียงครึ่งปี หัวใจดวงนั้นของฉินอิงอิงก็เ**่ยวเฉาแล้ว นางตัดสินใจฟังคำพูดของมารดานาง รีบให้กำเนิดบุตรชายในสายโลหิตสักคน ทว่าไม่คิดว่าจะฟ้าผ่ากลางวัน สวีฉั่งถึงกับเสเพลจนร่างกายพัง ไม่สามารถมีบุตรได้อีกแล้ว! เช่นนั้นนางจะทำเช่นไรดี


 


 


นางโกรธจนทะเลาะกับสวีฉั่งยกใหญ่ สวีฉั่งท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย เหล่ตาเบ้ปาก “ไม่มีบุตรก็ไม่มีบุตร รับมาเลี้ยงก็ได้แล้วมิใช่หรือ เรื่องใหญ่เพียงใดกันเชียว” เขายังท่าทางเหมือนไม่ใส่ใจ


 


 


รับมาเลี้ยง รับมาเลี้ยงจะเทียบกับคลอดเองได้หรือ นางไม่ใช่ให้กำเนิดไม่ได้เสียหน่อย เรื่องอะไรต้องเลี้ยงลูกให้คนอื่นด้วย ฉินอิงอิงโกรธจนแทบบ้าแล้ว ร้องไห้โวยวายขึ้นมาทันที ร้องที่ตนชีวิตรันทด ไยต้องมาเจอเจ้าคนไม่เคยสนใจอะไรใดๆ ด้วยนะ สวีฉั่งถูกนางร้องจนรำคาญ สะบัดมือจากไปให้รู้แล้วรู้รอด


 


 


ฉินอิงอิงเห็นดังนั้นยิ่งเศร้าใจ นึกถึงว่าต่อไปจะไร้ที่พึ่งพิง รู้สึกว่าไม่มีทางรอดเลยแม้แต่น้อย


 


 


จู่ๆ นางก็ลุกขึ้นยืนโดยพลัน สั่งเสียงดังว่า “เก็บข้าวของ กลับจวนเสนาบดี!” หย่า นางจะหย่าแน่นอน! ชีวิตเช่นนี้อยู่ไม่ไหวแล้ว


 


 


ข่าวของบุตรชายในสายโลหิตสามคนที่เกิดจากจิ้นหวังเฟยยังคงลือออกไปแล้ว แม้ท่านจิ้นอ๋องโบยบ่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุกลุ่มหนึ่งจนตายในคราแรกและออกคำสั่งปิดปากด้วยตัวเองอีก แต่เรื่องนี้ยังคงลือออกไปจนได้


 


 


ข่าวที่น่าตื่นตะลึงนี่ทำให้ผู้คนตกใจจนตาค้าง สวรรค์ สิ้นทายาท นี่เป็นเรื่องทำร้ายคนเพียงใด! เมื่อรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวแล้ว ผู้คนก็หุบปากไปตามๆ กัน


 


 


แม้ผ่านไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ทว่าตอนนั้นแต่ละเรื่องที่ออกจากจวนจิ้นอ๋องทุกคนยังจำได้ไม่ลืม ท่านจิ้นอ๋องผู้สูงศักดิ์เพื่อผู้หญิงคนหนึ่งถึงกับทิ้งอนาคต บีบจนภรรยาตัวตาย ตอนนั้นคนตั้งเท่าไรต่างดูถูก ตอนนั้นยามที่ต้วนซื่อจิ้นหวังเฟยคนก่อนเสีย เหล่าฮูหยินของจวนต่างๆ ก็แอบบ่นอยู่ในใจแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องดิ้นไม่หลุดจากซ่งซื่อแน่นอน ไม่คิดว่ายังคงเป็นฝีมือของท่านนั้นจริงๆ ด้วย


 


 


ไอหยา วางยาพิษไว้บนเสื้อผ้าของท่านจิ้นอ๋อง ซ่งซื่อคนนี้ช่างจิตใจอำมหิตเหลือเกิน! เมื่อทุกคนคิดเช่นนี้แล้ว ต่างรู้สึกขนลุกซู่


 


 


ผู้ปกครองของตระกูลใหญ่ที่มีความคิดทะลุปรุโปร่งพวกนั้นต่างเรียกลูกหลานในตระกูลเข้ามาตักเตือนว่า ‘เห็นหรือยัง หลังบ้านไม่สงบก็คือรากเหง้าของความโกลาหล ต้นห้องนอนได้ อนุก็มีได้ ทว่าจะหลงอนุจนดับภรรยาไม่ได้เด็ดขาด ต้องดูเรื่องในจวนจิ้นอ๋องเป็นบทเรียน บ่มเพาะศีลธรรมของตนดูแลบ้านช่องเรือนชานถึงปกครองใต้หล้าได้’ เหล่าลูกหลานล้วนแสดงว่าได้รับการสั่งสอนแล้ว


 


 


เหล่านายหญิงฉวยโอกาสจัดการอนุที่อยู่ไม่สุขไม่สงบเสงี่ยมพวกนั้น อนุพวกนั้นทุกข์จนพูดไม่ออกกลับไม่มีที่ให้ร้องทุกข์ นายไม่หนุนหลังแล้ว!


 


 


จิ้นหวังเฟยรออยู่หลายวันยังคงไม่เห็นเหล่าบุตรชายของนาง ก็ไม่รู้ว่านางคิดเช่นไร อารมณ์ร้อนขึ้นทุกวัน ไม่ขว้างของก็ด่าคน ทำจนแม่นมซือต้องปวดเศียรเวียนเกล้าตาม


 


 


“หวังเฟย ท่านระงับโทสะเถิด ท่านอ๋องกำลังโกรธอยู่ ท่านซื่อจื่อและคุณชายสามคุณชายสี่จะกล้ามาหรือเจ้าคะ” แม่นมซือเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน


 


 


ทว่าคืนนั้นจิ้นหวังเฟยเกิดเรื่องแล้ว ระหว่างที่แม่นมซือหลับอย่างสะลึมสะลือก็ได้ยินหวังเฟยเหมือนร้องเสียงหนึ่งว่า “ผีหลอก!” เสียงโหยหวนผิดปกติ รอถึงยามที่นางลงจากเตียงเข้ามาใกล้ ก็เห็นหวังเฟยนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้สติแล้ว บนใบหน้าเขียวซีดยังเห็นความหวาดหวั่นหลงเหลืออยู่


 


 


แม่นมซือตกตะลึงพรึงเพริด รีบร้อนเรียกคน เรียกอยู่ครึ่งค่อนวันถึงมีหญิงชรารับใช้ใช้แรงงานสองคนเข้ามาอย่างเอื่อยเฉื่อย เมื่อเห็นเหตุการณ์ ก็ลนลานทันทีเช่นกัน ท่านอ๋องบอกเพียงว่าเฝ้าเรือนไว้ให้ดี ไม่ได้บอกว่าให้เชิญหมอได้หรือไม่! นี่กลางค่ำกลางคืนดึกดื่น ประตูบานที่สองคล้องกุญแจตั้งนานแล้ว ท่านอ๋องก็พักผ่อนแต่หัวค่ำแล้วเช่นกัน ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี


 


 


สุดท้ายพวกนางยังคงกลัวหวังเฟยเกิดเรื่อง ยังคงไปเรือนของคุณชายสามเชิญหมอหลวงมา หมอหลวงพอเห็นสภาพเช่นนั้นของจิ้นหวังเฟย ในใจก็เต้นแรงทีหนึ่ง เป็นไปตามคาด เมื่อได้ตรวจ จิ้นหวังเฟยนี่คือเป็นจ้งเฟิงแล้ว* ยิ่งกว่านั้นเพราะเสียเวลาไปจึงค่อนข้างสาหัสแล้ว สามารถรักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว คิดจะฟื้นตัวกลับมาพูดจาฉะฉานนั้นเป็นไปไม่ได้แล้ว


 


 


หลังจากข่าวจิ้นหวังเฟยจ้งเฟิงปากพูดไม่ได้ขาเดินไม่ได้ลือออกมาแล้ว มือที่ใส่เสื้อของซื่อจื่อสวีเยี่ยก็หยุดชะงัก พูดเสียงเรียบคำหนึ่งว่า “รู้แล้ว” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก ส่วนสวีเหยียนนั้นนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา สวีฉั่งสำมะเลเทเมาอยู่ในหอคณิกา ยังไม่รู้ว่ามารดาจ้งเฟิงเลย


 


 


ท่านจิ้นอ๋องได้ข่าวแล้วโบกมือด้วยสีหน้ารำคาญ ท่าทางเช่นนี้ดูเหมือนไม่อยากรับรู้เรื่องราวใดๆ ของจิ้นหวังเฟยทั้งสิ้น


 


 


 


 


 


*จ้งเฟิง ศาสตร์การแพทย์แผนจีน เรียกโรคหลอดเลือดสมองว่า “จ้ง” หมายถึง โรคที่มีอาการหน้ามืด ล้มลงหมดสติฉับพลัน ร่างกายครึ่งซีกอ่อนแรง ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน พูดติดขัด หรืออาจไม่มีอาการล้มลงหมดสติ แต่มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก จนถึงอาการ ปากเบี้ยว เห็นภาพซ้อน

 

 

 


ตอนที่ 278 รัชทายาทตกม้า

 

ระยะนี้ชีวิตของท่านจิ้นอ๋องไม่มีความสุขแม้แต่น้อย ถูกเสด็จพี่ของเขาเรียกไปตำหนิในวังยกหนึ่ง “เหลวไหล ชีวิตของเจ้าช่างเหลวไหล! ข้าไม่คาดหวังว่าเจ้าจะช่วยแบ่งเบาแทนข้า ทว่าเจ้าอย่าเหยียบเกียรติของราชวงศ์ไว้บนพื้นจะได้หรือไม่ เกียรติของข้า เกียรติของราชวงศ์ถูกเจ้าทำเสียหายหมดแล้ว”


 


 


สายตาของฮ่องเต้ยงเซวียนที่มองท่านจิ้นอ๋องช่างรังเกียจเหลือเกิน ราวกับมองดินโคลนบนรองเท้า


 


 


ท่านจิ้นอ๋องถูกเสด็จพี่ของเขาตำหนิจนชินมาตั้งนานแล้ว เมื่อก่อนเขาล้วนก้มหน้าก้มตา ท่าทางเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อนลวก มีเพียงครั้งนี้ที่เขาเกิดละอายใจ สีหน้ากระอักกระอ่วน


 


 


ตั้งแต่กลับจากวังท่านจิ้นอ๋องก็ขังตนไว้ในห้องหนังสือ ไม่มีหน้าออกจากบ้าน เขาคิดเรื่องมากมาย ใบหน้าของต้วนซื่อและซ่งซื่อสลับกันปรากฏขึ้นในสมองของเขา จากนั้นเขานึกถึงเสด็จพ่อของเขา


 


 


ครั้งนั้นเขาคุกเข่าอยู่นอกห้องทรงอักษรของเสด็จพ่อร้องขอให้ซ่งซื่อเข้าจวน สุดท้ายแม้เสด็จพ่อของเขาจะรับปาก กลับชี้หน้าเขาด่ายกใหญ่ “โง่เขลา เจ้ามันโง่เขลา ไยข้าถึงมีบุตรชายโง่เขลาเช่นเจ้า  ช้าเร็วเจ้าต้องเสียใจแน่” เสด็จพ่อโกรธเขาจนก่อนไปก็ไม่ยอมแลเขาสักที


 


 


บัดนี้คำทำนายเป็นจริง เขาเสียใจภายหลังแล้วมิใช่หรอ บุตรชายคนโตไม่สนิทกับเขา บัดนี้แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่ยอมเรียกแล้ว บุตรชายคนรองคนที่สามคนที่สี่ล้วนสิ้นทายาท อ้อจริงสิ เขายังมีบุตรชายอนุคนหนึ่ง ทว่าเขาไม่เคยถามไถ่ถึงเด็กคนนั้นมาก่อน ตั้งแต่ปีที่แล้วบุตรชายคนเล็กก็ตามบุตรชายคนโตเข้ากองปัญจทิศรักษานคร แม้แต่จวนอ๋องยังไม่ค่อยได้กลับ


 


 


จวนจิ้นอ๋องที่โอ่อ่ามีเพียงหลานสาวอายุน้อยสองคน ฮ่าๆๆ กรรมตามสนอง กรรมตามสนอง!


 


 


ท่านจิ้นอ๋องแหงนหน้าหัวเราะร่า หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมา ปากพึมพำว่า “เสด็จพ่อ เสด็จพ่อ ลูกผิดไปแล้ว ลูกทรมานเหลือเกิน!”


 


 


ในเมืองหลวงราชโองการพระราชทานสมรสจากฝ่าบาทก่อให้เกิดความโกลาหลขึ้น ฝ่าบาทจะรับจอหงวนคนใหม่เซี่ยหมิงผู่เป็นราชบุตรเขยขององค์หญิงสาม!


 


 


ก่อนหน้านี้เหล่าขุนนางที่กระโดดโลดเต้นคิดจะดึงจอหงวนเซี่ยเข้าบ้านตนต่างเสียดายตามกัน ทว่านอกจากยอมแพ้แล้วพวกเขายังมีวิธีใดอีกเล่า ขุนนางคนใดกล้าแย่งบุตรเขยกับฝ่าบาท นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ


 


 


ระยะนี้รัชทายาทกำลังสุขสมหวัง สอบครั้งนี้ผู้ใต้บังคับบัญชาเขามีคนเก่งเพิ่มมาจำนวนหนึ่ง แม้แต่จอหงวนที่เสด็จพ่อทรงชื่นชมก็ยืนอยู่ฝ่ายเขา กลายเป็นน้องเขยของเขา ใครไม่รู้บ้างว่าโหรวเฟยเหนียงเหนียงฟังเพียงคำสั่งเสด็จแม่เขาเท่านั้น


 


 


เมื่อรัชทายาทดีใจ แม้แต่สุขภาพก็ดีขึ้นมาก อากาศของต้นฤดูใบไม้ผลิยังหนาวอยู่บ้าง การไอของรัชทายาทกลับไม่กำเริบเลยสักครั้ง นี่เรียกว่าคนเจอเรื่องมงคลแล้วกระปรี้กระเปร่าจริง ๆ!


 


 


ทว่าสุขถึงที่สุดย่อมเกิดทุกข์ ก่อนหน้านี้วันหนึ่งรัชทายาทยังลำพองอยู่เลย วันนี้ก็ลือกันว่าเขาตกม้า ระหว่างทางที่กลับจากไปล่าสัตว์นอกเมืองม้าเกิดตกใจ องครักษ์ช่วยไม่ทัน รัชทายาทตกจากหลังม้า พอดีท้ายทอยโขกเข้ากับก้อนหินข้างทาง หมดสติทันที


 


 


เหล่าขุนนางตื่นตระหนก ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงกริ้ว “สืบ สืบให้ถึงที่สุด! เหตุใดอยู่ดีๆ ม้าถึงตกใจ ยังมี ใครยุยงรัชทายาทออกไปล่าสัตว์นอกเมือง” สุขภาพของรัชทายาทแม้อ่อนแอไปบ้าง ทว่าก็ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก แม้เทียบองค์ชายรองที่เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนูไม่ได้ ทว่าก็ไม่ถึงกับตกจากหลังม้า


 


 


เพราะฝีมืออันเฉียบขาดของฮ่องเต้ยงเซวียน เรื่องได้เบาะแสอย่างรวดเร็ว ไม่มีคนยุยงรัชทายาทออกไปล่าสัตว์นอกเมืองหรอก หากแต่เป็นรัชทายาทเองที่ดื้อรั้นจะไป ขุนนางใต้บัญชาตำหนักบูรพายังเตือนแล้วรอบหนึ่ง น่าเสียดายที่เตือนไม่ฟัง


 


 


ม้าตัวที่รัชทายาทขี่กลับตรวจเจอความผิดปกติ ม้าตัวนั้นถูกป้อนยาชนิดหนึ่งที่ทำให้คลุ้มคลั่ง ยาชนิดนี้ตั้งแต่ป้อนจนถึงออกอาการใช้เวลาประมาณสองชั่วยาม ดูแล้วคนที่บงการอยู่เบื้องหลังคำนวณได้แม่นยำยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นคนข้างกายรัชทายาทก็ใช้ไม่ได้ยิ่งนัก!


 


 


รอถึงยามที่ฮ่องเต้ยงเซวียนรุดมาถึงตำหนักบูรพา ขันทีที่รับผิดชอบเลี้ยงม้าของรัชทายาทตัวนั้นก็ฆ่าตัวตายหนีโทษแล้ว คนที่ตามรัชทายาทออกนอกเมืองล้วนถูกจับกุมแยกกันสอบสวน


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนเข้าตำหนักใหญ่ของตำหนักบูรพา ฮองเฮาและพระชายารัชทายาทกำลังร่ำไห้ “ถวายบังคมฝ่าบาท!” ฮองเฮาฝืนทนความเศร้าโศกถวายบังคมฮ่องเต้ยงเซวียน นางมีรัชทายาทเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว นี่เป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลชีของนาง! มองดูรัชทายาทที่ใบหน้าซีดเซียวนอนอยู่ตรงนั้น ใจนางแทบแหลกสลาย


 


 


“จื่อถงลุกขึ้นเถิด” ฮ่องเต้ยงเซวียนพูดเสียงอ่อนโยน จากนั้นถามหมอหลวงว่า “สภาพของรัชทายาทเป็นเช่นไร เมื่อไรจะฟื้น”


 


 


หมอหลวงที่อยู่เวรในสำนักหมอหลวงล้วนมาจนหมด ย่วนพ่าน*รีบเข้ามากราบทูลว่า “กราบทูลฝ่าบาท บาดแผลที่อื่นบนตัวองค์รัชทายาทล้วนไม่ร้ายแรง มีเฉพาะส่วนศีรษะ” พูดถึงตรงนี้เขาหยุดทีหนึ่ง “กระหม่อมใช้เข็มทองตรวจดูแล้ว ส่วนศีรษะของรัชทายาทมีโลหิตก้อนหนึ่ง หากไม่กำจัดโลหิตก้อนนี้ รัชทายาทก็ไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


“เช่นนั้นยังรออะไรอีก ยังไม่รีบกำจัดเลือดก้อนนั้นให้รัชทายาทอีก” ฮองเฮาร้อนรนจนทนไม่ไหว รัชทายาทนอนอยู่เช่นนี้ นางใจกระสับกระส่ายจริงๆ!


 


 


ย่วนพ่านกลับสีหน้าลำบากใจ หมอหลวงคนอื่นต่างก็หลุบหน้าต่ำลง


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นดังนั้นจึงถามว่า “มีอะไรผิดปกติใช่หรือไม่”


 


 


ย่วนพ่านลังเลครู่หนึ่ง กล่าวราวกับยอมสละตน “กลาบทูลฝ่าบาท กระหม่อมไร้สามารถ! ก้อนโลหิตที่ส่วนศีรษะของรัชทายาทได้แต่รอให้สลายไปเอง กระหม่อมทั้งหลายไม่กล้าลงมือโดยพลการ” พูดจบเขาก็คุกเข่าลงไปอีก นั่นเป็นส่วนศีรษะนะ หากผิดพลาดเพียงเล็กน้อยรัชทายาทต้องตายทันที รัชทายาทตายแล้ว ทั้งสำนักหมอหลวงล้วนต้องศีรษะหลุดตาม


 


 


หมอหลวงคนอื่นก็ว่าตามกัน “พวกกระหม่อมไร้สามารถ ขอฝ่าบาทลงโทษด้วย!” แต่ละคนยิ่งหลุบศีรษะต่ำลงไปอีก ในใจเต้นรัว


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนยังไม่ทันพูด ฮองเฮากลับกริ้วก่อนแล้วว่า “ไร้สามารถ หากรักษารัชทายาทไม่ได้ ข้าต้องเด็ดศีรษะพวกเจ้าแน่” จากนั้นคุกเข่าเสียงดังตุบลงข้างเท้าฮ่องเต้ยงเซวียนว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันมีบุตรชายคนนี้เพียงคนเดียว ฝ่าบาทต้องช่วยเขานะเพคะ!”


 


 


เหล่าหมอหลวงเพียงแต่คุกเข่าโขกศีรษะว่า “ขอฝ่าบาท ฮ่องเฮาโปรดลงโทษ!” แต่ละคนในใจรันทด เพียงแต่ขอให้ฝ่าบาทสามารถลงโทษเบาหน่อยเนื่องจากเห็นแก่กฎหมายไม่ลงโทษคนหมู่มาก


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนสีหน้าเรียบเฉย พยุงฮองเฮาขึ้นมาก่อนว่า “จื่อถงวางใจได้ รัชทายาทเป็นบุตรชายของข้า ข้าเป็นบุตรมังกร บุตรชายของข้าก็คือบุตรมังกร เขาต้องไม่เป็นไรแน่นอน เจ้าก็เหนื่อยมานานแล้ว ที่นี่มีพระชายารัชทายาทอยู่ เจ้ากลับไปพักสักครู่เถอะ”


 


 


ฮองเฮากลับส่ายหน้าว่า “หม่อมฉันไม่เหนื่อย ต่อให้หม่อมฉันกลับไปก็ไม่อาจวางใจได้ หม่อมฉันจะเฝ้ารัชทายาทอยู่ที่นี่ ฝ่าบาท หม่อมฉันแทบอยากเป็นแทนรัชทายาทเพคะ!” คำพูดนี้กลับเป็นความจริง นางยอมให้คนที่บาดเจ็บเป็นนางเสียดีกว่า โดยที่ไม่ใช่รัชทายาทของนาง!


 


 


ฮ่องเต้สะเทือนใจยิ่งนัก ตบมือของนางว่า “ในเมื่อเจ้าไม่วางใจก็อยู่ที่นี่เถอะ เหนื่อยแล้วก็พักสักครู่ อย่าฝืนทน อย่าให้รัชทายาทฟื้นมาแล้วเจ้ากลับล้มป่วยเสียเอง พระชายารัชทายาท ดูแลฮองเฮาให้ดี”


 


 


หลังจากปลอบใจฮองเฮาแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนถึงเบนสายตาไปที่เหล่าหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า “อาการของรัชทายาทยังต้องรบกวนทุกท่านลำบากหน่อย ขอเพียงช่วยให้รัชทายาทฟื้นได้ ข้ามีรางวัลให้อย่างงาม มิเช่นนั้น ฮึ!”


 


 


ความหมายของเสียงฮึคนที่อยู่ที่นี่ในใจล้วนเข้าใจดี “พวกกระหม่อมน้อมรับบัญชา” ภายใต้การนำของใต้เท้าย่วนพ่าน พวกหมอหลวงรับบัญชาตามๆ กัน ในใจกลับแอบร้องว่ารันทด ครั้งนี้เกรงว่าจะร้ายมากกว่าดีแล้ว


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนรับสั่งหมอหลวงเสร็จแล้วจึงออกจากตำหนักบูรพา และพบองค์ชายรองที่รีบเร่งรุดมาข้างนอก องค์ชายรองเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรนวา “เสด็จพ่อ รัชทายาทเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนกลับมองบุตรชายคนนี้ไม่พูด สายตาพินิจพิเคราะห์นั่นทำให้องค์ชายรองม่านตาหดโดยพลัน ในใจแอบร้องทุกข์ว่า ‘เสด็จพ่อสงสัยเขาอยู่! เสด็จพ่อจะไม่สงสัยเขาได้อย่างไร รัชทายาทเกิดเรื่องคนที่ได้รับประโยชน์ที่สุดก็คือเขามิใช่หรือ ทว่าเรื่องนี้เขาไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ! ได้ยินข่าวรัชทายาทตกม้าเขาก็ตกตะลึงมากเช่นกัน!’


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรมบนใบหน้าขององค์ชายรอง สีหน้าจึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “รัชทายาทยังไม่ฟื้น หมอหลวงกำลังรักษาอยู่ข้างใน เจ้าห่วงใยรัชทายาทข้าปลาบปลื้มมาก กลับไปเถอะ อย่าเข้าไปวุ่นวายหมอหลวงรักษาเลย”


 


 


“พ่ะย่ะค่ะ ลูกน้อมรับบัญชา” องค์ชายรองตอบอย่างนอบน้อม ตามหลังฮ่องเต้ยงเซวียนกลับไป


 


 


สามวันแล้ว ผ่านไปสามวันแล้ว รัชทายาทยังไม่ฟื้น เหล่าขุนนางต่างกระเ**้ยนกระหือรือขึ้นมา หากรัชทายาทเป็นอะไรไป เช่นนั้น…พวกเขาแอบคำนวณองค์ชายไม่กี่คนที่บรรลุนิติภาวะแล้วของฝ่าบาท ในใจล้วนมีแผนการของตน


 


 


ที่จริงคนตาสว่างต่างสามารถมองออก ในบรรดาองค์ชายทั้งหลายก็มีองค์ชายรองที่โดดเด่นที่สุด เจ้าตัวมีความสามารถ นิสัยก็ถ่อมตนมีมารยาท บ้านทางมารดายังมีอำนาจ มองดูองค์ชายใหญ่และองค์ชายสามอีก องค์ชายสามพิการ ถูกตัดออกตั้งนานแล้ว องค์ชายใหญ่ฐานะค่อนข้างมิอาจกล่าวถึง สามารถออกจากตำหนักโยวหมิงได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังริอ่านคิดตำแหน่งใหญ่อีก เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด


 


 


เมื่อเป็นเช่นนี้ ขอเพียงรัชทายาทมีอะไรไม่คาดคิด ตำแหน่งเบื้องบนนั้นต้องเป็นขององค์ชายรองแน่แล้ว เหล่าขุนนางที่ถนัดเสาะหาช่องทางแม้ภายนอกไม่กระโตกกระตาก กลับเริ่มเอาใจองค์ชายรองลับๆ แล้ว


 


 


ส่วนองค์ชายรองบัดนี้กลับกำลังถูกด่าทออยู่ตำหนักบูรพา


 


 


“ไสหัวไป เจ้าไสหัวออกไป ไม่ต้องมาเสแสร้ง อย่านึกว่าข้าไม่รู้ในใจเจ้าคิดอย่างไร ข้าจะบอกให้ เจ้าไม่มีทางสมหวังหรอก รัชทายาทของข้าต้องฟื้น ต้องดีขึ้นแน่นอน” ฮองเฮามององค์ชายรองอย่างโกรธเคือง อย่างไรนางก็เป็นมารดาของแผ่นดิน อย่างไรก็มีประสบการณ์ รัชทายาทเกิดเรื่อง ใครได้ประโยชน์ที่สุด ก็คือบุตรชายคนดีของซู่เฟยมิใช่หรือ ไม่แน่ที่รัชทายาทตกม้าก็เป็นฝีมือของเขา แล้วยังทำทีกลัดกลุ้มมาเยี่ยมที่ตำหนักบูรพาทุกวัน พังพอนอวยพรปีใหม่ให้ไก่** ไม่หวังดี!


 


 


“เสด็จแม่ ไยท่านถึงมองลูกเช่นนี้ ลูกเพียงแต่เป็นห่วงอาการบาดเจ็บของรัชทายาทเท่านั้น!” องค์ชายรองท่าทางเหมือนน้อยใจเต็มประดา “คำพูดบาดใจของเสด็จแม่ ลูกไม่กล้ารับจริงๆ!”


 


 


“ไม่กล้ารับก็ไสหัวไป เจ้าอย่ามาเสแสร้งอยู่นี่หน่อยเลย ออกไป ออกไป!” ฮองเฮาฮึเสียงเย็น แล้วแผดเสียงชี้ประตูตำหนัก


 


 


องค์ชายรองกำหมัดทีหนึ่ง พูดเสียงกังวานว่า “รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ เสด็จแม่ในใจท่านโศกเศร้า ลูกเข้าใจความรู้สึกของเสด็จแม่ เช่นนั้นลูกขอตัวก่อน พรุ่งนี้ลูกค่อยมาเยี่ยมใหม่” คารวะทีหนึ่งแล้วถอยออกจากตำหนัก


 


 


ฮองเฮาจ้องเงาหลังขององค์ชายรอง ลึกเข้าไปในดวงตาแวบแสงอำมหิต ยากจะเข้าใจ


 


 


การถกเถียงครั้งนี้ของตำหนักบูรพาลือไปถึงหูของฮ่องเต้ยงเซวียนอย่างรวดร็ว มือที่ตรวจเอกสารชะงักทีหนึ่ง “อ้อ” เสียงหนึ่งแล้วก็ไม่เอ่ยต่อ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดอีกประโยคหนึ่งว่า “ฮองเฮาเสียใจเกินไป องค์ชายรองช่างกตัญญู”


 


 


ฉินซู่เฟยกลับไม่มีการอบรมที่ดีเหมือนฮ่องเต้ยงเซวียน นางโกรธจนขว้างข้าวของ “ยัยแก่นั่น นางบังอาจย่ำยีบุตรชายข้าเช่นนี้” โมโหจะตายอยู่แล้ว โมโหจะตายแล้วจริงๆ


 


 


ย้อนกลับมาชี้บุตรชายด่าอีกว่า “เจ้าก็ด้วย คนเขาไม่พิศวาส เจ้ายังเข้าไปหาเรื่องโดนด่า ห้ามไป ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ห้ามเจ้าไปตำหนักบูรพาอีก”


 


 


องค์ชายรองกลับยิ้มว่า “เสด็จแม่วางใจได้ เสด็จแม่กำลังโกรธ ด่าสองคำไม่เจ็บไม่คัน ลูกทนได้” เขายังอยากให้ฮองเฮาด่าให้โหดกว่านี้แทบทนไม่ไหว จะได้ให้เสด็จพ่อและเหล่าขุนนางเห็นความกตัญญูรักพี่น้องของเขา


 


 


 


 


 


*ย่วนพ่าน คือ ตำแหน่งหนึ่งในกรมหมอหลวง


 


 


**พังพอนอวยพรปีใหม่ให้ไก่ หมายถึง การที่คนชั่วมามอบของบางสิ่งให้ เพราะมุ่งหวังสิ่งตอบแทนที่ล้ำค่ากว่า ในที่นี่เปรียบว่าพังพอนเอาของมาล่อไก่เพื่อที่จะกินไก่ตัวนั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)