ท่านเทพมาแล้ว 275-286
บทที่ 275 ก่อเรื่องแล้ว!
โดย
Ink Stone_Romance
เซียนเต่านอกลานสนครวญแบกไม้ขนไก่งีบหลับ เขาไม่เหมือนกับเซียนเต่าทั่วไป ชอบยืดขายาว ใช้กระดองเต่าเป็นหมอนอิง แหงนหน้าพิงกำแพง หันหน้าผึ่งแดดอย่างสบายอารมณ์อยู่ที่ระเบียงทางเดิน
ลู่ยาเดินมาถึงหน้าป่าไผ่นอกหน้าต่าง กระตุ้นใช้พลังฤทธิ์อีกครั้ง พริบตาเดียวป่าไผ่นั้นกลายเป็นไผ่สามปล้อง!
“ไผ่หกสัมผัส!”
จื่อจิ้งชี้ไปที่เขาก่อนตะโกนขึ้นมา
เซียนเต่าที่ระเบียงทางเดินตกใจตื่น ไม้กวาดใต้แขนยาวตั้งขึ้นมา ดวงตาลุ่มลึกคู่หนึ่งพลันกะพริบ จื่อจิ้งกำลังจะลากลู่ยาวิ่งหนีไป ต้นไผ่เต็มภูเขาพลันหายไปทั้งหมด!
เมื่อพวกเขามองดูรอบกาย ตรงหน้าไหนเลยจะยังมีลานบ้านกำแพงล้อมรอบ? เซียนเต่าขายาวนั้นหายตัวไปแล้ว ชายคาไม่มีให้เห็นอีก ร่างคนก็ล้วนหายไป ทั้งหุบเขาตอนนี้เหมือนกับไม่เคยมีคนอยู่มาก่อน หลงเหลือเพียงต้นไม้ผืนหญ้าแต่แรกเริ่มเท่านั้น! พริบตาเดียวกลับไม่เหลือร่องรอยแม้เศษเสี้ยว พวกเขาถอยจากไปแบบนี้!
“จุ่นถี!”
ลู่ยาโคจรพลังปราณตะโกนเรียกไปทุกทิศ รอบด้านเงียบสงัดเหมือนยามค่ำคืน ในรัศมีพันลี้ไม่มีแม้เงาคน
“ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน เขาตกใจหนีไปแล้ว!” จื่อจิ้งต่อว่าเขา
ลู่ยาถลึงตาใส่ จากนั้นมองบนภูเขาอีก แล้วพลันหันไปขี่เมฆ
จื่อจิ้งตามหลังเขามาพร้อมกล่าว “ท่านจะไปไหน? พาข้าไปด้วย!”
ลู่ยาฟาดสายฟ้าลงไปสายหนึ่ง เบื้องหลังตามมาด้วยเสียงสบถด่าชุดใหญ่
กลับมาถึงสวรรค์ มู่จิ่วยังไม่กลับจากหน่วย คนในบ้านล้วนไม่อยู่
ลู่ยาตรงเข้าเรือน รินชาดื่มไปสองถ้วย ก่อนหวนนึกถึงเรื่องเมื่อสักครู่ ในสับสนวุ่นวายไม่หยุดราวกับทะเลคลั่ง คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ของมู่จิ่วคือจุ่นถี ที่แท้จุ่นถีหายตัวหลายหมื่นปี ไปสั่งสอนศิษย์อยู่ที่ซีหนิว มู่จิ่วเป็นศิษย์ของจุ่นถี มิใช่ว่าเขากลายเป็นอาจารย์อาของมู่จิ่วหรือ?
ช่างมันเถอะ สำคัญคือเขาทำให้จุ่นถีตกใจหนีไปแล้ว อีกทั้งเขายังพาลูกศิษย์หลานศิษย์หนีไปด้วย คราวนี้มู่จิ่วจะกลับไปไหน? หากนางรู้ว่าเขาทำให้อาจารย์ของนางตกใจหนีไปแล้ว นางจะถลกหนังเขาหรือไม่?
เป็นความผิดของเจ้ากระดิ่งสมควรตายนั่น!
แต่เดิมเขาเพียงคิดไปสำรวจและแอบสืบฐานะของอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลับก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ จากนี้ไปเกรงว่านางจะเอาเรื่องเขาไม่หยุด
คิดถึงตรงนี้เขารีบขัดสมาธินั่งลงไป กระตุ้นค่ายกลวิญญาณ คลุมแหสวรรค์ตาข่ายพสุธา ตามหาร่องรอยของจุ่นถี
แต่ตามหาทั้งเก้าทวีปสี่ทะเล กลับไร้ร่องรอย!
…จริงสิ เขาลืมไปว่าเขาไปหงชางแรกๆ หลายครั้งก็ไม่ค้นพบเลยว่าหลิวหยางคือจุ่นถี หลิวหยางซ่อนตัวได้หลายปีขนาดนี้แต่ไม่เคยมีคนจับได้มาก่อน ต้องสำเร็จวิชาอำพรางกายนานแล้วแน่
แรกเริ่มนั้นถึงแม้เริ่มฝึกบำเพ็ญเกือบจะพร้อมกัน แต่เขาเป็นศิษย์สายตรงของปฐมวิญญาณ เป็นต้นกำเนิดของพลังสายเสวียนหมิง มีวิถีเต๋าของอาจารย์คุ้มครอง ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งลึกซึ้งกว้างไกล เป็นเรื่องปกติที่จะเก่งกว่าจุ่นถีมาก คิดไม่ถึงว่าหลายปีนี้จุ่นถีกลับมุ่งมั่นตั้งใจเช่นนี้ บนผืนฟ้าใต้พิภพแม้แต่เขากับหุนคุนก็ถูกหลอก มิน่ามู่จิ่วพูดถึงหลิวหยางถึงได้ชมไม่ขาดปาก
ปีนั้นยามเขากับเจียอิ่นเต้าเหรินร่วมกันก่อตั้งลัทธิประจิมก็เป็นเทพชั้นสูงแล้ว หลายปีนี้เร้นกายไม่โผล่หน้า คิดดูแล้วคงยิ่งก้าวหน้าขึ้น
พูดแบบนี้ เกรงว่าคราวก่อนเขาไปหงชาง หลิวหยางก็คงพบเขาแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถสืบหาเรื่องชาติก่อนของมู่จิ่วได้
ลู่ยาลูบหน้า บรรยายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจุ่นถีต้องแอบซ่อนตัวจากพวกเขา โทษว่าปีนั้นพวกเขาไม่ช่วยปกป้องลัทธิประจิมหรือ?
หรือเป็นเพราะยังฝังใจเรื่องที่แพ้เจียอิ่นเต้าเหรินในสงครามครั้งนั้น?
หรือว่ากำลังวางแผนร้ายอะไรอยู่…ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้
เดิมทีก่อนไปหงชาง ลู่ยาสงสัยว่าเขามีแผนการอื่นหรือไม่จริง แต่อย่างไรมู่จิ่วก็ฝึกบำเพ็ญมาได้สองพันปีแล้วกลับขาดบุญกุศล แบบนั้นภายในสองพันปีนี้ทำไมเขาไม่ให้นางลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์? ทำไมไม่ให้นางไปกำราบมารกำจัดปีศาจ?
แต่ตอนที่ลู่ยาพบว่าหลิวหยางอาจเป็นจุ่นถี ความสงสัยนี้พลันมลายหายไปทันที เพราะหากเขามีแผนอื่นจริง ครั้งก่อนหลังจากเจอลู่ยาขึ้นภูเขา เขาต้องหายไปแล้ว คงไม่รอจนถึงตอนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
จุ่นถีต้องไม่อยากให้พวกเขาหาตัวพบ
…จบกันแล้วตอนนี้ หลบซ่อนครั้งนี้ ไม่รู้ผ่านไปกี่หมื่นปีเขาถึงจะโผล่หน้าออกมาอีก มู่จิ่วคงไม่ถึงขนาดไม่กลับไปเยี่ยมที่ภูเขาหลายหมื่นปีหรอกกระมัง?
“อาจารย์ ข้าจะไปซื้อผักกับเสี่ยวซิง ท่านอยากกินปลาหรือไม่ขอรับ?”
รุ่ยเจี๋ยยืดตัวเข้ามาถาม
เขามองท้องฟ้าคราหนึ่ง ก่อนตอบ “ข้าไปกับเจ้าดีกว่า”
นางใกล้กลับมาแล้ว เขารู้สึกใจฝ่อ ออกไปเดินสักหน่อยค่อยกลับมาว่ากัน
หลายวันมานี้มู่จิ่วยุ่งอยู่กับงานเลี้ยงลูกท้อ ไหนเลยจะมีกำลังเหลือมาสนใจว่าเขาไปไหน?
หลิวจวิ้นเป็นผู้บัญชาการกองอารักขาสั่งการทหารดูแลงานเลี้ยงลูกท้อ การงานที่ผ่านมือทุกวันไม่ต่ำกว่าร้อยเรื่อง หน้าที่ของมู่จิ่วคือแบ่งประเภทและจัดการงานเหล่านี้ แบ่งตามระดับความสำคัญและความเร่งด่วนแล้วจึงรายงานแก่เขาหรือเลื่อนไปก่อน เทียบเท่ากับเป็นเลขานุการติดตามตัว
ดีที่หลายวันนี้นางประสานงานกับกองต่างๆ จนคุ้นเคย รู้ว่าเมื่อบันทึกมาถึงมือแล้วควรทำอย่างไรกับมัน
แน่นอน ตอนหลิวจวิ้นยุ่งอารมณ์ก็ร้ายไปด้วย คำด่าทอก็ได้ยินไม่น้อย แต่หากเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา มีใครไม่เคยได้รับการอบรมว่ากล่าวบ้างเล่า?
นางไม่ถูกด่าทอก็เป็นเรื่องหาได้ยากมากแล้ว
หลังจากเลิกงานกลับบ้าน ทุกวันเหนื่อยจนต้องเอนกายพักผ่อนถึงสามารถกินข้าวได้
แต่ช่วงนี้ลู่ยาเอาใจใส่อย่างมาก ทั้งรินชาส่งน้ำ ขาดเพียงไม่ได้บิดผ้าเช็ดหน้าทุบนวดขาให้ ดูแลปรนนิบัตินางราวกับราชา ทำให้นางเกือบเกิดข้อกังขาว่าเขาอาจนอกใจ หากไม่ใช่คิดได้ว่าหลายวันนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอกแต่อย่างใด นางคงต้องคุยกับเขาจริงๆ แล้ว
ในที่สุดงานเลี้ยงลูกท้อก็ใกล้เข้ามาถึง ภายใต้การกำกับบัญชาอย่างคล่องแคล่วของหลิวจวิ้น งานของหน่วยอารักขาเตรียมพร้อมไว้อย่างดีแล้ว
ก่อนหน้างานเลี้ยงหนึ่งวันมู่จิ่วก็ลาดตระเวนตามปกติ ช่วงเช้าลาดตระเวนหนึ่งรอบ สนทนากับองค์หญิงรองเหมยอิงที่ริมสระหยกอยู่ชั่วครู่หนึ่ง นางเห็นว่าสายแล้ว จึงปัดๆ เสื้อเตรียมกลับบ้านกินข้าว
เดินมาได้ครึ่งทางพลันนึกได้ว่าลืมของทิ้งไว้ที่ห้องทำงาน จึงได้แต่หมุนตัวกลับไป ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อมาถึงประตูลาน กลับเห็นเด็กน้อยเกล้าผมจุกที่สูงเพียงครึ่งตัวนาง เกาะกรอบประตูพลางยืดหัวเข้าไปสืบเสาะข้างใน
มู่จิ่วสงสัย ไม่รู้เซียนเด็กบ้านไหนมาส่งข่าว จึงร้องทักออกไป “เจ้ามาหาใครหรือ?”
เซียนเด็กผู้นั้นได้ยินก็พลันหมุนตัวมา มองนางหัวจรดเท้า ก่อนยิ้มตาหยีเอ่ยทักทายนาง “เจ้าคือกัวมู่จิ่ว?”
มู่จิ่วตะลึงงัน คิดว่าเด็กซนมาจากไหน เรียกชื่อเต็มยศแต่แรกพบหน้านี่เหมาะสมแล้วหรือ? ดีร้ายนางก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ แม้แต่เซียนหญิงรับใช้ประจำกายหวังมู่ยังไม่เคยเรียกนางแบบนี้เลย
แต่นางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเด็กซุกซน ก้าวเข้าไปในห้องพลางเอ่ย “เจ้ามาทำอะไร? ตอนนี้เป็นเวลาพัก หากต้องการทำธุระก็ให้มาแต่เช้า ผู้ปกครองบ้านเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
จื่อจิ้งตามเข้ามา มองไปรอบๆ ก่อนพูด “ไม่ได้บอกข้า”
มู่จิ่วเข้ามาในห้องแล้วเก็บของไป จากนั้นจึงถาม “เจ้ามาทำธุระอะไร?”
………………………………………………………
บทที่ 276 เป็นลูกชายเจ้า
โดย
Ink Stone_Romance
จื่อจิ้งไม่ได้ตอบนาง จนกระทั่งสำรวจทั้งนอกและในหน่วยหมดแล้ว จึงค่อยกล่าวคำ “เจ้าจะกลับบ้านกินข้าวหรือ ข้าก็หิวแล้วเหมือนกัน เจ้าพาข้ากลับบ้านด้วยได้หรือไม่?”
“พาเจ้ากลับบ้าน?”
มู่จิ่วรู้สึกว่าเด็กคงนี้คงจะสติไม่สมประกอบ ทำไมเพิ่งพบก็จะตามนางกลับบ้านแล้วล่ะ?
ศิษย์สำนักไหนสอนสั่งมา? ช่างล้มเหลวเกินไปแล้ว!
“พ่อแม่เจ้าล่ะ?” นางถาม
“พ่อแม่ข้าไม่อยู่บ้าน” จื่อจิ้งตอบ ก่อนกะพริบตามองนาง “ข้ากินไม่เยอะ มื้อหนึ่งข้าวสองชามก็พอแล้ว และไม่เลือกกินด้วย แน่นอนว่าหากมีเนื้อกินย่อมดีที่สุด หากเจ้าขาดแคลนจนไม่มีข้าวกิน กินโจ๊กก็ได้ ข้าพับผ้าห่มหวีผมสวมเสื้อผ้าเองเป็น ข้าที่เลี้ยงง่ายขนาดนี้ ไปอยู่บ้านเจ้าสักระยะดีหรือไม่?”
มู่จิ่วมองเขาที่พูดอย่างคล่องแคล่วราวกับเตรียมตัวมาก่อนแล้ว ยิ่งไม่กล้าไปยุ่งกับเขา “ไม่ดี! ข้าเกรงว่าอีกเดี๋ยวจะมีคนไปฟ้องว่าข้าค้าเด็ก!”
จื่อจิ้งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนพูด “แบบนั้นข้าไปกินข้าวกลางวันที่บ้านเจ้าสักมื้อได้หรือไม่? เจ้าเป็นผู้บัญชาการในทัพทหารสวรรค์ เป็นหัวเสินที่ใกล้จะขึ้นเป็นเซียน แม้แต่เด็กหิวโหยที่ต้องการข้าวสักมื้อคงไม่อาจปฏิเสธได้ลงคอหรอกนะ?”
เขารู้กระทั่งเรื่องที่นางเป็นหัวเสิน?
และยังยกฐานะผู้บัญชาการในทัพทหารสวรรค์มากดดันนาง?
มู่จิ่วมองเจ้าตังเมนี่อย่างลุ่มลึก เอ่ยว่า “เจ้าบอกก่อนว่าเจ้าคือใคร!”
“ข้าหรือ” จื่อจิ้งชี้หน้าตนเอง กลอกตาไปมาสองรอบก่อนบอก “ข้าชื่อจื่อจิ้ง เป็นลูกชายของลู่ยา”
ลูกชายของลู่ยา!
มู่จิ่วนิ่งอึ้งอยู่นานถึงได้คืนสติกลับมา ลู่ยามีลูกแล้ว?!
“เจ้าอย่าพูดมั่ว! เขาไม่เคยแต่งงานมาก่อน จะมีลูกโตขนาดเจ้าได้ที่ไหน!” นางยื่นหน้าเข้าไปต่อว่าเขา
“จะไม่มีได้อย่างไร?” จื่อจิ้งเงยหน้ามองนาง “เขาแก่ขนาดนั้นแล้ว ตอนที่บนโลกยังไม่มีมนุษย์ก็มีเขาแล้ว เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้แต่งงาน? คำที่เขาพูดเจ้าก็เชื่อด้วย? หากข้าไม่ใช่ลูกชายเขา ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่บ้านเจ้า? เขาละทิ้งข้า ตอนนี้ข้าจึงมาให้เขาเลี้ยงดู!”
มู่จิ่วตกตะลึง!
คำพูดของเด็กคนนี้ นางไม่มีหนทางโต้เถียง!
เขากลับพูดถึงลู่ยากับนางและยังมาหานางอีก หากเขาโกหกจะกล้ากลับไปกับนางหรือ?
ลู่ยาเจ้าคนนั้น เขามีลูกชายแล้ว กลับยังบอกว่าตนเป็นชายบริสุทธิ์!
…ไม่ไม่ไม่ นางไม่อาจฟังความจากเด็กนี้ข้างเดียว หากเขาสร้างเรื่องล่ะ?
นางต้องให้พวกเขาทั้งสองเผชิญหน้ากัน!
นางกวาดตามองจื่อจิ้งแล้วเอ่ย “เจ้าตามข้ามา!”
จื่อจิ้งเดินตามไปอย่างว่าง่าย
ลู่ยากำลังอาบแดด ประตูลานพลันเปิดดังปัง มู่จิ่วพุ่งเข้ามา ทำหน้าตึงจนมาถึงตรงหน้าเขา “ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานนานแล้ว? ลูกชายเจ้าก็โตแล้ว?”
ลู่ยาเหมือนเจอฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ชันตัวขึ้นมาพูด “ใครพูด? ใครมันสร้างเรื่อง?”
“เด็กนั่นมาหาถึงหน้าประตูแล้ว!” มู่จิ่วหน้าทะมึนเคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นจื่อจิ้งที่ด้านหลัง “เจ้าดูเอาเอง!”
ลู่ยาจับจ้อง ความโกรธปะทุขึ้นมา พุ่งเข้าหาจื่อจิ้งอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
จื่อจิ้งหนีไม่ทัน ปกคอเสื้อด้านหลังถูกคว้ายกขึ้นกลางอากาศ!
“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่แท้ข้าเคยให้กำเนิดกระดิ่งออกมา!” ลู่ยากัดฟัน บีบมือแน่นขึ้นหมายทำให้จื่อจิ้งกลายเป็นผุยผง คิดไม่ถึงว่าจะหาญกล้ากุเรื่องว่าเป็นลูกชายเขา? เกรงว่าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
“ช้าก่อน!” จื่อจิ้งดีดดิ้นอยู่กลางอากาศ เสียงแผ่วเบาลอยเข้ากระทบหูเขา “หากท่านกล้าทำลายข้า ข้าจะพูดเรื่องที่ท่านไปหงชางแล้วทำให้จุ่นถีตกใจหนีไป!”
“ข้าได้เล่าเรื่องนี้ให้เซิ่งจุนรองฟังแล้ว เขาส่งข้ามาบอกท่าน ให้ท่านตามหาศิษย์พี่จุ่นถีให้พบค่อยกลับไปหาเขา! ไม่อย่างนั้นแล้วไม่อนุญาตให้กลับ! ตอนนี้หากท่านทำลายข้า เซิ่งจุนรองก็จะมาหาท่านด้วยตนเอง แล้วท่านจะถูกเปิดโปงเหมือนกัน! ท่านอย่าเข้าใจไปว่าเซิ่งจุนรองกลัวท่านจริง ปกติแล้วเขาเพียงแค่ยอมท่านเท่านั้น! หากท่านไร้เหตุผลจริง ดูซิว่าเขาจะจัดการหรือไม่? ปล่อยข้าไป อย่างน้อยข้าก็ยังช่วยท่านปกปิดได้!”
ลู่ยาหน้าเขียวคล้ำ มือที่จับอีกฝ่ายอยู่สั่นแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็บีบมือแน่นเข้าอีก จื่อจิ้งจึงตะโกนเสียงแหลมออกมา “กัวมู่จิ่ว อาจารย์ของเจ้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เขากลับร่วงลงไปที่พื้นดังตุบ
ลู่ยาหลุบตามองเขา ใบหน้าเย็นชาราวกับหากตัดไปสักส่วนจะหลุดออกมาเป็นก้อนน้ำแข็ง
“เจ้าทำกับลูกเจ้าแบบนี้หรือ?”
มู่จิ่วกอดอกมองพวกเขาทั้งสอง ทั้งไม่ได้สนับสนุนการวิวาทและไม่ได้ยื่นมือเข้าไปห้าม แต่หรี่ตามองพวกเขา แน่นอนว่านางดูออกว่าจื่อจิ้งไม่ใช่ลูกชายของลู่ยา แต่เมื่อครู่ชัดเจนว่าเขาอยากจะทุบตีเด็กคนนี้ให้แหลกไป ทำไมพริบตาเดียวกลับเปลี่ยนใจแล้ว? สองคนนี้ต้องมีลับลมคมใน และสักแปดส่วนต้องไม่ใช่เรื่องดี!
“เขาไม่ใช่ลูกชายข้า แต่เป็นหลานข้า!” ลู่ยาถลึงตาใส่จื่อจิ้งด้วยใบหน้าเย็นชา จากนั้นปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงเพื่ออธิบายกับมู่จิ่ว “เขาเป็นเพียงแค่กระดิ่งของศิษย์พี่ข้าเท่านั้น! เจ้าอย่าถูกเขาหลอกเด็ดขาด เด็กเวรนี่เป็นบรรพบุรุษของเทพหายนะ ใครพบเข้าล้วนต้องโชคร้าย! เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าจะเตะเขาออกจากสวรรค์!”
เขาพูดพลางยกเท้าเหยียบพื้นเตรียมก้าวมา
จื่อจิ้งรีบไปซ่อนหลังมู่จิ่ว “ถึงแม้ข้าเคยล่วงเกินท่าน ท่านก็ไม่อาจทำแบบนี้กับข้า! ข้าเพียงทำให้ท่านโดนคำสาปอย่างไม่ได้ตั้งใจเท่านั้นมิใช่หรือ? ความแค้นใหญ่หลวงปานใด ก่อนหน้านี้ท่านก็เกือบเผาข้าจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้วที่วังชิงเสวียนนี่? ข้ายังเป็นเพียงเด็กน้อยเท่านั้น แต่ท่านเป็นเทพชั้นสูง คิดเล็กคิดน้อยผูกใจเจ็บเอาคืนแบบนี้เหมาะสมแล้วหรือ? ยังคู่ควรจะเป็นเทพผู้รักษาวิถีฟ้างั้นหรือ?!”
“เจ้าเคยล่วงเกินเขา?” มู่จิ่วหันหน้าไปถามเขา
“ไม่ผิด!” จื่อจิ้งเล่าเรื่องลู่ยาทำเขาแตกและโดนคำสาปที่ติดอยู่บนร่างเขาได้อย่างไร “จะพูดอย่างไรก็เป็นเขาที่ทำข้าก่อนมิใช่หรือ? ครั้งก่อนเขาเกือบเผาข้าเป็นเถ้าถ่าน บุญคุณความแค้นควรหักล้างกันได้แล้ว แต่ตอนนี้เขาคิดจะเตะข้าออกไป! เซิ่งจุนรองส่งข้ามาจับตาดูเขา เขากลับจะถีบส่งข้า!”
“จับตาดู?” มู่จิ่วหรี่ตาลงอีก “เจ้าต้องการจับตาดูอะไรเขา?”
จื่อจิ้งมองลู่ยา สายตาของลู่ยาส่องประกายดุร้าย
“พูดสิ!” มู่จิ่วจิ้มเขา
เขากระแอมก่อนพูด “เซิ่งจุนรองได้ยินว่าเขาพักอยู่ที่สวรรค์ กลัวเขาก่อเรื่อง จึงให้ข้ามาเฝ้าเขา”
มู่จิ่วมองเขา จากนั้นมองลู่ยา “จริงหรือ?”
เขาพูดถึงขั้นนี้แล้ว ลู่ยายังจะพูดอะไรได้อีก?
“จริง” เขาถลึงตาใส่จื่อจิ้ง
ในเมื่อจื่อจิ้งไม่กลัวตายอยากอยู่ต่อไป แบบนั้นมีหรือลู่ยาจะกลัวไม่มีโอกาสฆ่าเขา?
ข้าลู่ยาจะทำให้เขารู้ว่าอะไรเรียกว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
มู่จิ่วได้ฟังว่าเขารับคำสั่งของหุนคุนมาจับตาดูลู่ยา ก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
แต่เดิมนางไม่คิดให้เด็กคนนี้อยู่ต่อ ตอนนี้ในเมื่อเขาบอกแล้วว่าหุนคุนส่งมา และลู่ยาก็ยืนยันอีกเสียง จะไล่ออกไปได้อย่างไร?
นั่นเป็นเทพที่ตำแหน่งสูงกว่าลู่ยาอีกนะ!
นางล่วงเกินไม่ไหว
เสี่ยวซิงได้ยินข่าวนี้กลับวางเฉย อย่างไรนางก็เคยชินกับการมีคนมาที่บ้านแล้ว และเพราะนางไม่รู้ว่าจื่อจิ้งมีนิสัยอย่างไร รู้เพียงว่าเขาเป็นเด็กคนหนึ่ง บวกกับเป็นคนที่หุนคุนส่งมา จึงดูแลต้อนรับอย่างดีตามมารยาท ถึงตอนเที่ยงยังผัดกับข้าวเพิ่มอีกสองอย่างเป็นพิเศษ แล้วยังเติมน้ำแกงให้เขา
……………………………………………………
บทที่ 277 ดึงดูดใจเกินไป
โดย
Ink Stone_Romance
รุ่ยเจี๋ยกลับเบิกบานใจยิ่งนัก เพราะในที่สุดเขาก็มีเพื่อน แต่ลู่ยาไม่ยินยอมให้เขาเล่นกับจื่อจิ้ง เขาจึงทำได้เพียงเชื่อฟัง
ตลอดเวลาที่กินข้าว ลู่ยาสีหน้าทะมึนตลอดเวลา จื่อจิ้งทำราวกับไม่มีเขาอยู่ เมื่อรู้จักทุกคนแล้วยังพูดคุยเรื่องชิงชิวกับรุ่ยเจี๋ย
เสี่ยวซิงถามมู่จิ่วหลังมื้ออาหาร “ให้เขาพักที่ไหนดีล่ะ?”
ไม่อาจให้พักเรือนของอาฝูได้
มู่จิ่วใคร่ครวญ ก่อนพูดกับซ่างกวนสุ่น “ให้เขาไปพักกับเจ้า?”
“ไม่ได้! ข้าไม่ชอบอยู่กับผู้อื่น!” ซ่างกวนสุ่นเก็บชามตะเกียบเดินเข้าเรือนไป
นางทำได้เพียงไปถามรุ่ยเจี๋ย รุ่ยเจี๋ยยังไม่ทันตอบ ลู่ยากลับชิงตอบก่อน “ระเบียงทางเดินในลานบ้าน หรือว่าวางกระดิ่งอันหนึ่งไว้ไม่ได้?”
จื่อจิ้งอยากต่อต้าน แต่ลู่ยาส่งสายตาคมกริบไปให้ เขาจึงอดกลั้นไว้
ลู่ยาไม่ให้รุ่ยเจี๋ยเข้าใกล้เขา เด็กนั่นเลวเกินไป และรุ่ยเจี๋ยก็ว่าง่ายเกินไป ใครจะรู้ จื่อจิ้งอาจวางหลุมพรางไว้ให้เขาก็เป็นได้?
มู่จิ่วโบกมือ “แบบนั้นข้าก็จนปัญญา เจ้าจัดการเองเถิด”
อย่างไรเด็กนี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร และไม่ใช่นางที่เชิญเขามา ในเมื่อลู่ยาไม่ยินยอม บุญคุณความแค้นของพวกเขาก็มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะจัดการกันเองได้ แต่นางก็สงสัยอย่างมาก เป็นไปได้อย่างไรที่ลู่ยาจะจัดการกระดิ่งอันหนึ่งไม่ได้? ถึงแม้หุนคุนส่งมาจับตามอง แต่เขามหาเทพลู่ก็ไม่เหมือนคนที่ยอมทนให้ใครรังแกได้เลย!
นางยังรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองมีลับลมคมในกัน รอลู่ยากลับห้องแล้วจึงเดินเข้าไปถามด้วยตนเอง แต่เขาปากแข็งตอบเพียงว่าไม่มี ไม่ว่านางใช้ไม้แข็งไม้อ่อนหลอกล่ออย่างไรเขาก็ตอบว่าไม่มี จนสุดท้ายแม้แต่นางเองก็รู้สึกว่าตนเองไม่เข้าใจอยู่บ้าง
จื่อจิ้งโกรธจนจมูกงอ เขาเห็นชัดเจนว่าด้านในยังมีห้องว่างที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว! แต่เป็นตายลู่ยาก็ไม่ยอมให้เขาเข้าไป ทั้งยังสร้างเขตพลังไว้ จึงจนปัญญา อีกอย่างเขาสามารถรอดภายใต้เงื้อมมือลู่ยาคนระยำนั่นมาได้ก็ไม่ง่ายแล้ว ส่วนเรื่องไม่มีห้องอยู่ก็อดทนไป อย่างไรตอนอยู่ที่วังจิตกระจ่างเขาก็นอนบนชั้นไม้
แน่นอน ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องทรมานตนเองแบบนี้ แต่ทุกครั้งเมื่อนึกถึงว่าเจ้าคนระยำนี่เกือบเผาเขาจนมอดไหม้ความโกรธนี้ก็ไม่อาจดับลงได้ แต่เดิมทำได้เพียงซ่อนความโกรธไว้ ไม่รู้ว่าจะลงกับเขาอย่างไร ไหนเลยจะรู้ว่ากลับเจออีกฝ่ายที่ภูเขาหงชางอย่างไม่คาดฝัน ทำให้เขาเชื่อจริงๆ ว่าแม้แต่ปฐมวิญญาณยังสนับสนุนให้เขาดัดนิสัยเจ้าคนเลวนี่!
ไม่ง่ายนักที่เขาจะได้โอกาสเอาคืน หากเขาไม่ใช้ประโยชน์ให้ดีจะชดเชยให้ตนเองได้อย่างไร?
หากว่าทำอะไรลู่ยาไม่ได้ ก็ต้องลอยหน้าลอยตาอยู่ต่อหน้าไปทุกวัน ขัดหูขัดตาไปทั้งวัน!
จื่อจิ้งสะกดกลั้นอารมณ์โกรธ ลากเขตพลังไว้ที่ระเบียงทางเดิน
เสี่ยวซิงยังนับว่าใจดี ให้ผ้าห่มกับหมอนเขา ยังบอกเขาอีกว่าน้ำชาตั้งไว้ตรงไหน ทำให้เขาตัดสินใจว่าภายภาคหน้าจะปฏิบัติต่อปีศาจกระต่ายนี่ให้ดีหน่อย
การมาของจื่อจิ้งในช่วงนี้ยังไม่ได้กระทบอะไรกับการใช้ชีวิตของมู่จิ่ว เพราะนางยุ่งมาก อีกอย่างวันถัดไปก็มีงานเลี้ยงลูกท้อ นางเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับเชิญ ยังรู้สึกว่าได้รับเกียรติอย่างมาก ระดับความสำคัญของเรื่องนี้ทำให้นางไม่สนใจเรื่องอื่น
ดังนั้นตกกลางคืนนางจึงเริ่มเตรียมตัว ในเมื่อต้องไปงานเลี้ยง แน่นอนว่าต้องแต่งตัวให้งดงาม นางไม่อาจสวมชุดราชการไปได้ ก่อนอื่นจึงเลือกเสื้อสีเขียวอ่อนสดใสออกมาตัวหนึ่ง จับคู่กับกำไลหยกเขียว จากนั้นประดับดอกไม้จากผ้าไหมสีเหลืองขนห่านสองดอก คล้องต่างหูหยกคู่หนึ่งก็พอใช้ได้แล้ว เมื่อสวมเสร็จส่องหน้ากระจก เสี่ยวซิงปรบมือชื่นชมทันที
ตัวนางเองจะพูดอย่างไรดี ถึงแม้เทียบไม่ได้กับความงามหยาดเยิ้มของเซียนหญิงส่วนใหญ่ แต่อย่างน้อยก็นับว่าไม่เลว
นางหมุนอยู่หน้ากระจกอย่างยินดี ไม่ได้แต่งตัวแบบนี้นานแล้ว! ลู่ยากลับกอดอกพิงกรอบประตู พูดอย่างหึงหวงเต็มทน “แต่งสีเขียวขนาดนี้ยังประดับดอกไม้เหลืองอีก ดูไปแล้วทำไมเหมือนปีศาจแตงกวาที่ส่วนหัวมีหนามเหลือง!” ตั้งใจแต่งตัวขนาดนี้ ไม่ได้เพื่อให้เขาดูเสียหน่อย
มู่จิ่วหันหน้ากลับไปถลึงตาใส่ “เจ้าสิเป็นปีศาจฟักเขียว!” รสนิยมของนางแย่ขนาดนั้นเลย?
ลู่ยาเข้ามาใกล้ “ปีศาจฟักเขียวคู่กับปีศาจแตงกวา นี่สิถึงเป็นคู่แท้”
มู่จิ่วมองเขาตาขวาง คร้านจะสนใจเขา แต่เมื่อมองกระจกอีกครั้งก็รู้สึกประหลาด เมื่อครู่ยังรู้สึกว่าแต่งตัวได้ไม่เลวอยู่ แต่เขาพูดแบบนี้ใส่ ก็พลันรู้สึกว่าเหมือนแตงกวาอย่างที่ว่าเล็กน้อย ดังนั้นจึงเอาดอกไม้ประดับสีเหลืองออก เปลี่ยนเป็นสีม่วง ดูไปแล้วก็ไม่เลวเหมือนกัน
“นี่เป็นปีศาจมะเขือ เจ้าไม่รู้หรือว่าดอกของมะเขือเป็นสีม่วง?”
นางไม่รู้ว่าเขารู้ แต่ก่อนเขาไปเดินเล่นที่สวนของหุนคุนบ่อย
มู่จิ่วชักฉุน ทำได้เพียงเปลี่ยนมาปักปิ่นทองสองอันเสียเลย
“เด็กสาววัยเยาว์สวมสีทองใส่สีเงิน บ้านนอก…”
มู่จิ่วพุ่งเข้าไปคว้าคอเขา “เจ้าลองบ่นอีกสิ!”
ลู่ยาจึงปิดปากอย่างเชื่อฟัง
มู่จิ่วถลึงตาใส่เขาก่อนคลายมือออก ครุ่นคิดก่อนเข้าไปเปลี่ยนเป็นเสื้อสีขาว เสื้อขาวจับคู่กับเครื่องประดับใดก็เหมาะสม ตอนนี้เขาคงไม่มีทางบ่นมั่วซั่วได้อีกกระมัง?
ลู่ยายิ่งทนดูต่อไปไม่ได้ พลังฤทธิ์ของนางเดิมก็สะอาดบริสุทธิ์ ยิ่งสวมเสื้อสีขาวยิ่งขับเน้นคุณสมบัตินั้นออกมา
เซียนหนุ่มเหล่านั้นส่วนใหญ่มองงานนี้เป็นงานดูตัว แต่งตัวไปแบบนี้ยิ่งหนักกว่า?
“หวังหมู่ดีร้ายก็เป็นราชินีสวรรค์ เจ้าแต่งกายเรียบง่ายไปจะเหมาะสมหรือ? อย่างไรก็ต้องเคารพนางหน่อย”
มีใครบอกหรือว่าไปร่วมงานเลี้ยงห้ามแต่งกายเรียบง่าย?
มู่จิ่วมีโทสะลุกโชน กำลังจะเอาเรื่องเขา เขากลับพลันเสกเสื้อเขียวกระโปรงเขียวมาให้นาง “ข้าคิดว่าแต่งตัวเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนัก”
มู่จิ่วหยิบมาดู ก่อนรีบยัดเสื้อใส่อกเขาอย่างแรง “เจ้าใส่เองเถอะ!”
กลับเอาเสื้อที่เหล่าป้าๆ ใส่มาให้นาง เขาเสียสติไปแล้วหรือ?
ลู่ยาถูกผลักออกไปอย่างเย็นชา
หลังจากออกมากำลังจะเคาะประตู แสงโคมด้านในกลับดับลง
เขาเพียงแค่ออกความเห็นไม่กี่ประโยค แม้แต่คำวิจารณ์ยังไม่ให้เขาพูดเลย นางช่างกล้านัก!
แต่คิดดูแล้วเขายังไม่พอใจ เซียนหนุ่มเยอะขนาดนั้น และแต่ละคนท่าทางเป็นผู้เป็นคน นางแต่งตัวดึงดูดสายตาขนาดนี้ ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงแบบนี้ ไม่แน่ว่าอาจดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก ตอนนี้เขาแต่งงานกับนางไม่ได้ นางที่เป็นหัวเสินกลับสามารถแต่งงานกับคนที่บำเพ็ญเป็นเซียนเหมือนกัน หากเรื่องนี้เกิดขึ้น…
เขาไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่
ดังนั้นหลังจากใคร่ครวญแล้ว เขาจึงไปสะกิดจื่อจิ้งที่ระเบียงทางเดิน “เจ้าไปส่งข่าวที่วังหลิงเซียวให้ข้า!”
มู่จิ่วไม่สนใจลู่ยา เช้าวันถัดมาสุดท้ายก็สวมเสื้อสีขาวนั่น จากนั้นประดับปิ่นไม้ดำสองอัน แต่งหน้าบางๆ ออกไป ถึงแม้นางไม่คิดว่าตนเองจะสามารถดึงดูดมวลหมู่ภมรได้ แต่อย่างไรนางก็เป็นคนมีคู่หมั้นแล้ว ควรต้องใส่ใจความรู้สึกของคู่หมั้น จะเอาชนะคะคานกันก็ไม่ดีเท่าไหร่นัก?
เสี่ยวซิงสงสารนาง “เจ้าดูเจ้าสิ ตั้งแต่เจ้ามีเขา ตอนนี้แม้แต่เรื่องเสื้อผ้าก็ไม่มีอิสระแล้ว”
มู่จิ่วตอบกลับอย่างสงบ “แบบนี้ก็ดีมากแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เซียนจริงๆ เจียมเนื้อเจียมตัวไว้หน่อยเป็นดี”
เสี่ยวซิงมองค้อนนาง ก่อนเดินจากไป
มู่จิ่วไม่เห็นการเคลื่อนไหวในห้องลู่ยา จึงออกเดินทางไป
…………………………………………………………
บทที่ 278 บุคคลผู้ยิ่งใหญ่
โดย
Ink Stone_Romance
งานอารักขาของวันนี้เตรียมการไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ในความเป็นจริงแขกทั้งหมดที่มายังสวรรค์ล้วนเป็นมือดีในการวิวาท พูดโดยทั่วไปก็ไม่น่ามีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วเพียงดูแลเรื่องภายในของตนเองไม่ให้มีเรื่องวุ่นวายอะไร งานอารักขานี้ก็นับว่าสำเร็จแล้ว
หลิวจวิ้นเคยมาร่วมงานเลี้ยงลูกท้อหลายครั้งแล้ว มั่นใจว่าจะจัดการงานได้เรียบร้อย วันนี้ก็มีเวลาว่างเข้าไปกินลูกท้อและเดินเล่นเช่นกัน
มู่จิ่วเป็นผู้ติดตามเขา ย่อมต้องเดินตามเขา
ดังนั้นนางจึงมุ่งตรงไปยังที่พำนักเซียนของเขา หลิวจวิ้นแต่งตัวเสร็จแล้ว ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบ เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ ปักขอบสีเงินไว้ที่ริมผ้า ปล่อยผมลงมา สวมครอบศีรษะทรงสูงสีเดียวกับเสื้อ ดูไปแล้วทั้งสง่างามและน่าเกรงขาม เทียบกับเขาในเวลาปกติแล้วหล่อเหลากว่าไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
แต่มู่จิ่วมองเขาแล้วมองเขาอีก ก่อนมองตัวเองแล้วมองตัวเองอีก จากนั้นเอ่ยว่า “ท่านดูสิ พวกเราคนหนึ่งชุดดำคนหนึ่งชุดขาว อีกสักครู่เข้าไปในงานผู้คนคงไม่คิดว่าเราเป็นยมทูตขาวดำหรอกนะเจ้าคะ?”
หลิวจวิ้นไม่สบอารมณ์ “ใครใช้ให้เจ้าสวมสีขาว!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้ง เขาก็ไม่ได้บอกนางว่าจะใส่ชุดดำสักหน่อย! จะโทษนางได้อย่างไร?
“ยังยืนนิ่งทำอะไรอีก? เจ้าอยากเข้างานเป็นคนสุดท้ายหรือ?”
หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง
มู่จิ่วรีบตาม เดินทางไปวังหลิงเซียวกับเขา
เพราะระยะทางสั้นมาก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้พาหนะ และไม่จำเป็นต้องขี่อาชาสวรรค์ เดินเท้าไม่นานก็ถึงด้านนอกวังหลิงเซียวแล้ว
เมื่อมองไปบนถนนล้วนเต็มไปด้วยเทพเซียนจากหลากทิศ โดยทั่วไปแล้วมู่จิ่วไม่รู้จัก แต่หลิวจวิ้นกลับเหมือนกับรู้จักมักคุ้นไปเสียทุกคน บ้างก็หยุดฝีเท้าทักทาย หรือไม่ว่างเข้าไปทักทายก็พยักหน้ารับ โดยเฉพาะราชามังกรสี่ทะเล ตอนเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาหาแต่ไกล
เรื่องตระกูลอ๋าวทำให้หลิวจวิ้นแนะนำมู่จิ่วกับอ๋าวก่วงเสียยิ่งใหญ่ อ๋าวก่วงชายชราผู้ทระนงตัวกลับปฏิบัติต่อนางอย่างเกรงอกเกรงใจยิ่ง ดูแล้วอ๋าวเชินคงไม่ได้พูดถึงนางในด้านเสียหายต่อหน้าพ่อเขา
เข้าไปภายในจากปราการเซียนหน้าประตูวัง คนด้านในยิ่งมีมากกว่า!
งานเลี้ยงลูกท้อจัดอยู่ที่สระหยก เพื่อไม่ให้รบกวนการจัดการงานราชการที่ตำหนักด้านหน้า ก่อนหน้านี้หลายปี สระหยกจึงสร้างประตูแยกออกมาบานหนึ่ง ใช้สำหรับรับแขกโดยเฉพาะ วันนี้ประตูที่ทุกคนเดินเข้ามาก็คือประตูนี้
อาณาบริเวณของสระหยกใหญ่ราวหลายหมื่นมู่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นน้ำทั้งหมด มีภูเขามีพื้นราบ ยังมีลำธารสะพานน้อย หอคอยและศาลาริมน้ำ อีกทั้งเสียงดนตรีสูงๆ ต่ำๆ ที่ไม่รู้มาจากไหน ลอยมาแผ่วๆ ราวกับห่างไปหมื่นลี้ แต่เสียงกลับได้ยินชัดเจน วิหคแดงกับชิงหลวนบางครั้งปรากฏตัวบางครั้งหายไป สัตว์วิเศษสัตว์ประหลาดจำนวนมากจนไม่อาจนับได้ เป็นสวนป่าอันหรูหราในแดนเซียนอย่างแท้จริง
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ เหล่าเทพเซียนคงยังมาไม่หมด
เก้าอี้โต๊ะที่ตั้งไว้แต่ละที่ยังไม่มีคน กลับมีเพียงกลุ่มสองสามคนพูดคุยเรื่องวันวาน หวังหมู่ที่แต่งกายอย่างประณีตกำลังเข้าร่วมงานกับองค์หญิงทั้งสาม แต่สีหน้ากลับดูเคร่งเครียดนัก และยังมองไปทางประตูบ่อยครั้ง ทั้งวันนี้แม้แต่อวี้ตี้ยังมีท่าทางตึงเครียด จัดมงกุฎไม่หยุด ลูบรอบยับบนแขนเสื้อไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง
มองไปทางองค์หญิงทั้งสามและองค์ชายทั้งสอง แต่ละคนมีท่าทางไม่กล้าเลินเล่อ
นี่ช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก วันนี้มิใช่งานแต่งของคนในครอบครัวเสียหน่อย เหตุใดพวกเขาต้องจริงจังถึงเพียงนี้?
มู่จิ่วขึ้นไปทำความเคารพอย่างงุนงง หวังหมู่รีบเรียกนางเข้ามาพูด “อีกสักครู่เจ้าไปอยู่ที่ที่คนน้อย ประเดี๋ยวจะมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่มา เจ้ายังไม่เป็นเซียน หากเจ้าเข้าใกล้หรือชนเข้า ต่อไปย่อมไม่มีโอกาสสำเร็จเป็นเซียนแล้ว!” จากนั้นพึมพำบ่นตนเอง “ข้านี่ก็จริงๆ ให้เจ้ามาทำอะไร! ดูพลังบำเพ็ญอันน้อยนิดของเจ้าสิ”
มู่จิ่วได้ยินก็ตกใจ ไม่รู้ว่าวันนี้ยังต้องเจอเรื่องใหญ่หาได้ยากขนาดนี้!
ไม่รู้ว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่จากไหน?
นางรีบไปบอกหลิวจวิ้น จากนั้นยืนนิ่งอยู่ใต้กิ่งไม้ที่มีคนน้อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทำลายหนทางฝึกบำเพ็ญ
รอไปสักครู่ก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหว ได้ยินเซียนหญิงรอบกายพูดคุย จึงเดินเข้าไปถาม “สอบถามสักหน่อย เซียนหญิงรู้หรือไม่ว่าวันนี้มีเทพผู้ยิ่งใหญ่ท่านไหนมาหรือเจ้าคะ?”
เหล่าเซียนหญิงมองหน้ากัน “ไม่ได้ยินมาก่อนนะ”
มู่จิ่วตกตะลึง พวกนางกลับไม่รู้?
นางจึงสอบถามเซียนชายอีกสองคน ก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
ลึกลับขนาดนี้เชียว?
หวังหมู่คงไม่หลอกลวงกระมัง?
มู่จิ่วหยิบหมีโหวเถา (กีวี) จากบนโต๊ะมาปอกเปลือกกิน ท่าทางเคร่งเครียดเมื่อครู่ค่อยๆ หายไป
แต่เพิ่งกินไปได้ครึ่งผล พลันมีเสียงดนตรีดังเข้ามาใกล้ จากนั้นก็มีเสียงนกหงส์ร้องตามมา เมฆห้าสีที่แต่เดิมลอยอยู่ในอากาศพลันถูกไอมงคลปัดเป่าออกไป…ไม่สิ ควรจะบอกว่าก้มหน้าคำนับต่อหน้ามัน เมฆห้าสีที่กระจายออกไปล้อมรอบไอมงคลผืนใหญ่ไร้แรงคุกคามไว้!
จากนั้นหงส์ทองห้าสีสิบสองตัวเข้ามาก่อน ตามด้วยเซียนหญิงรับใช้ถือพัดอีกสองแถว
ทั้งยังมีผู้รับใช้ในวังสวมเสื้อนักพรตสีเดียวกัน แบกอาวุธน่าเกรงขามและแข็งแกร่งแต่ละอย่างตามมา เบื้องหลังไปอีกหามเกี้ยวหยกหน้าหลังยาวประมาณเจ็ดแปดจั้ง ซ้ายขวากว้างราวสามสี่จั้ง แต่เกี้ยวหยกที่เกรียงไกรขนาดนี้ ขนาดที่นั่งที่คนนั่งได้จริงนั้นกว้างไม่เกินหกฉื่อ ยาวจั้งกว่า ด้านหน้าและด้านหลังของเกี้ยวมีม่านโปร่งแสงแขวนอยู่ ถึงแม้มองเห็นใบหน้าไม่ชัด แต่ด้านในมีคนหนึ่งนั่งอยู่!
เป็นบุคคลที่วางตัวสบายๆ และแม้ห่างออกไปหลายร้อยลี้ก็ยังทำให้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน!
ความจริงมู่จิ่วยังห่างจากขบวนนี้อีกสิบกว่าลี้ แต่นางกลับรู้สึกราวกับว่าคนด้านในเกี้ยวกำลังมองนาง และกองอารักขาที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้เห็นแล้วรู้สึกว่าคุ้นตาอยู่หลายส่วน…
“คารวะขบวนของเซิ่งจุนสี่!”
กำลังครุ่นคิดว่าเป็นใคร ทันใดนั้นเทพเซียนทั้งสระหยกก็คุกเข่าลงไป
มู่จิ่วถือหมีโหวเถาครึ่งผลนั้นด้วยความสับสน!
ลู่ยามาแล้ว!
เขากลับเตรียมขบวนใหญ่ขนาดนี้มาเชียว?
เขาจะมาร่วมงานแต่ไม่บอกนางสักคำ!
นางมิใช่มาร่วมงานเพื่อเปิดหูเปิดตาเท่านั้นหรือ หึงก็ส่วนหึง เขาจำเป็นต้องควบคุมนางขนาดนี้เลย?
นางนิ่งอึ้งไม่สำคัญ แต่เทพเซียนทั้งบริเวณล้วนคุกเข่าลง มีเพียงนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น โดดเด่นสะดุดตาเกินไปแล้ว!
อวี้ตี้ หวังหมู่ และเหม่ยอิง รวมทั้งหลิวจวิ้นร้อนรนจนเหงื่อตกแล้ว! บนฟ้าใต้พิภพมีใครไม่รู้บ้างว่าบนสวรรค์อันสูงส่งมีท่านเทพองค์นี้ที่ไม่สมควรมีเรื่องด้วยที่สุด? เด็กสาวนี้กลับไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรในเวลานี้ หรือว่านางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!
“กัวมู่จิ่ว! ยังไม่คุกเข่าลงมาอีก!”
หลิวจวิ้นไม่คำนึงถึงอะไรแล้ว เคลื่อนตัวเหมือนปูเข้าไปขวางตรงหน้านางทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่ ก่อนแยกเขี้ยวยิงฟันเรียกนาง
มู่จิ่วอึดอัดใจ เจ้าคนนั้นบนเกี้ยวนั่น เมื่อคืนวานยังโดนนางบีบคออยู่เลย ตอนนี้พวกเขาให้นางคุกเข่าให้เขา? แต่ก็ไม่อาจไม่คุกเข่า นางยืนเป็นเสาอยู่แบบนี้ หรือว่าอยากให้คนอื่นรู้ว่านางกับคนที่ตั้งใจมาวางก้ามมีสัมพันธ์ฉันชายหญิงกัน? เช่นนั้นต้องตกหลุมที่คนระยำนั่นวางไว้แน่ อยากให้ทุกคนรู้เรื่อง แล้วหลังจากนี้นางจะปฏิบัติงานที่หน่วยอย่างไร? จะสะสมบุญกุศลอย่างไร?
ดังนั้นนางจึงร้องเสียงดัง “เซิ่งจุนโปรดอภัย” จากนั้นคุกเข่าลงไป หมอบกราบ จริงใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ใจของหวังหมู่นับได้ว่าสงบลง
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองเกี้ยวหยกที่สงบนิ่งไม่ขยับกลางอากาศ ใจที่เพิ่งสงบลงก็เต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง นางกล่าว “ถึงแม้กัวมู่จิ่วยังไม่สำเร็จเป็นเซียน แต่นางสร้างผลงานให้กับทัพทหารสวรรค์มาก เพราะไม่รู้ว่าวันนี้เซิ่งจุนสละเวลามา จึงให้นางออกมาเปิดหูเปิดตา หากมีสิ่งใดล่วงเกินท่าน ขอให้เห็นแก่คุณงามความดีของนาง ละเว้นนางด้วยเถิด”
…………………………………………………
บทที่ 279 แมวเฒ่าติดสัด
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยาสะบัดพัดในเกี้ยวหยก มองไปยังเงาร่างขาวที่หมอบอยู่บนพื้น โบกพัดอยู่นานค่อยส่งเสียง ‘อืม’ ใช้ปากที่สามารถสังหารคนทั้งเป็นได้ค่อยๆ กล่าว “แต่อย่างไรก็ไม่อาจไม่ลงโทษได้มิใช่หรือ?”
หวังหมู่สำลัก
ลู่ยาใช้พัดแหวกม่านออก ยกริมฝีปากมองบางคนที่หมอบอยู่บนพื้นอย่างหวาดกลัว ก่อนพูดอีก “ในเมื่อไม่เชื่อฟัง แบบนั้นก็ลงโทษให้นางเข้ามารับใช้ใกล้ชิดข้า”
เข้าไปรับใช้ใกล้ชิด? แบบนั้นนางจะไปเดินดูรอบๆ อย่างไร?
มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมาทันที แต่เมื่อเงยได้ครึ่งเดียว กลับถูกหลิวจวิ้นดันกลับลงไป
ภายใต้การกดดันจากหลายฝ่าย เรื่องราวก็กำหนดไปแบบนี้
สระหยกที่เมื่อครู่เงียบราวกับไม่มีคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที หวังหมู่เตรียมที่นั่งพิเศษไว้ให้ลู่ยาแล้ว จากนั้นเทพเซียนที่มีตำแหน่งทั้งหลายล้วนถูกส่งขึ้นไปรับแขก มู่จิ่วถูกส่งไปหน้าเกี้ยวเพื่อรับใช้ลู่ยา ลู่ยารอจนงิ้วร้องจบ ถึงค่อยยกมือขึ้นเดินออกมาจากม่านที่เซียนหญิงรับใช้แหวกออกให้
เทพเซียนส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าเงยหน้า มีเพียงอวี้ตี้ หวังหมู่ และไท่ซ่างเหล่าจวินที่ได้ข่าวก็เร่งรุดตามมาขึ้นไปพินอบพิเทา ครั้นไท่ซ่างเหล่าจวินเห็นมู่จิ่วที่อยู่เบื้องหน้าก็พลันตกตะลึง แต่เขาหลุบสายตาไปอย่างรวดเร็ว ปีก่อนเพราะเรื่องของหลีหัง มู่จิ่วไปยังวังโตวลวี่ ครั้งนั้นถึงแม้เปลี่ยนร่างเป็นเซียนเด็ก แต่รูปร่างหน้าตายังคงเดิม ไท่ซ่างเหล่าจวินมากกว่าครึ่งคงจำนางได้
แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรสำคัญ อันที่จริงตอนนั้นนางก็ใช้ฐานะของเซียนเด็กติดตามลู่ยา
ถึงตอนนี้มู่จิ่วก็ไม่มีอะไรจะเสียมากกว่านี้แล้ว เทพอาวุโสเช่นเขายังไม่ใส่ใจเรื่องนี้ นางจะกลัวทำไม?
ยกขบวนอย่างยิ่งใหญ่ไปยังศาลาน้ำกลางสระหยก ตัวเรือนของศาลาน้ำลอยอยู่เหนือสระหยก ไม่มีระเบียงทางเดินเชื่อมต่อ หากต้องการเข้าไปต้องอาศัยวิชาขี่เมฆเท่านั้น จึงกลายเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เหล่าเซียนจะแสดงฝีมือข้ามทะเลเฉกเช่นแปดเซียน ท้องฟ้าผืนพิภพสงบสุขเช่นนี้ ปกติก็ไม่มีโอกาสให้แสดงความสามารถกัน
ศาลาน้ำที่ลู่ยาอยู่เปิดโล่งทุกด้านพอดี รอจนเขานั่งลง รอบสระหยกก็เริ่มมีเทพเซียนใช้ท่าทางต่างๆ บินเข้ามา ตอนแรกมีหนึ่งหรือสองคน มู่จิ่วก็ไม่รู้จักชื่อ สรุปคือร่อนลงมาอย่างมั่นคงแม้แต่เสื้อยังไม่ขยับ ดูแล้วพลังบำเพ็ญลึกล้ำเกินหยั่ง เมื่อมาอีกคนก็เช่นเดียวกัน แต่ยังใช้มือเดียวเท้าคางเอนกายบินเข้ามา
แต่ละคนมีหลากหลายรูปแบบ เหมือนกับเดินพรมแดงก็ไม่ปาน อวี้ตี้และภรรยาไว้หน้าให้มาก บางครั้งก็บอกดี บางครั้งก็ร้องเยี่ยม ลู่ยากลับนั่งนิ่งไม่ขยับอยู่ที่นั่งแขกด้านซ้าย
ขณะเดียวกันเพราะเหตุการณ์พลิกผันเมื่อครู่ ก็มีคนจำนวนมากรู้ว่าวันนี้มีคนโชคร้ายเพิ่มมาหนึ่งคน กลับกล้าเสียมารยาทต่อหน้าลู่ยา ดังนั้นสายตาจึงกวาดมาทางมู่จิ่ว มู่จิ่วก็ไม่อาจขยับตัว ทำได้เพียงให้พวกเขามอง แต่สายตาของพวกเขาเพิ่งมาได้ครึ่งทาง ก็ถูกสายตาเย็นเยียบของลู่ยาขวางไว้
เขามาครั้งนี้ไม่เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกคนเกี้ยวพาราสี ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมให้มองมาก
เดิมทีหลิวจวิ้นไม่คิดยุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายนี้ แต่กังวลว่ามู่จิ่วจะก่อเรื่องโง่ๆ ก่อกวนลู่ยาอีก ดังนั้นจึงขยับเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว แต่การเข้าใกล้ครั้งนี้ทำให้เห็นลู่ยาที่นั่งขัดสมาธิลอยชายอยู่บนตำแหน่งสำคัญที่สุด หัวใจกลับเต้นจนแทบออกมาจากอก!
เทพชั้นสูงท่านนี้เขารู้สึกคุ้นตานัก นี่มิใช่ลู่หยาคู่หมั้นของมู่จิ่วหรอกหรือ?!
เขากลายเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร?!
หลังจากตกใจสักครู่ เขาขยับเข้าไปใกล้อีกหลายจั้งโดยไม่รู้ตัว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตาลายดูผิด พอได้เห็นสายตาลู่ยาจับจ้องเหล่าเซียนที่มองมู่จิ่ว และมองท่าทางที่ไม่รู้จะทำอย่างไรของมู่จิ่วอีกที บวกกับพิจารณาใบหน้าของมหาเทพลู่ที่ประทับอยู่อย่างเด่นชัดในหัวของตน ลมหายใจที่สูดถึงใต้ลิ้นของเขาพลันเปลี่ยนเป็นความรู้สึกอยากตาย
คู่หมั้นของมู่จิ่วที่แท้คือลู่ยาเต้าจู่?!
ที่แท้ก็เป็นเขา!
กัวมู่จิ่วเจ้าเด็กสมควรตาย!
มิน่าล่ะ เขาถึงรู้สึกเสมอว่าลู่หยาผู้นี้มีอะไรเก็บซ่อนไว้ ที่แท้เบื้องหลังฐานะซ่านเซียนได้แอบซ่อนฐานะเทพที่สูงศักดิ์ขนาดนี้ไว้
เขายืนลูบหน้าอกอยู่ที่เดิม ถึงค่อยผ่อนลมหายใจช้าๆ ก่อนจากไปอย่างเงียบๆ
ลู่ยามองแผ่นหลังของเขา หยิบลูกท้อใส่เข้าไปในปากก่อนเคี้ยว หน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น
มู่จิ่วไม่เห็นหลิวจวิ้น นางยืนนิ่งกุมมืออยู่ตรงหน้าท้อง มองไปยังกลุ่มเซียนหลากหลาย เหนื่อยหน่ายยิ่งนัก
แต่เดิมนางสามารถเดินเที่ยวได้อย่างอิสระ มองเทพเซียนต่างๆ อย่างเลื่อมใส เพียงลู่ยามาทุกอย่างก็สลายไป คนผู้นี้ใจคับแคบกระทั่งถึงขั้นเปิดเผยฐานะเดิมเพื่อมาจับตามอง ให้ความสำคัญกับนางมากไปแล้วกระมัง ต่อให้นางเปลี่ยนตัวเองเป็นดอกไม้ประดับอยู่บนถนนใหญ่ ก็ไม่แน่ว่าต้องมีคนอยากเด็ดกลับไปนี่!
“อยากไปเที่ยวเล่นหรือไม่?”
กำลังลอบบ่นในใจ เสียงของเขาก็ดังเข้ามาในหู
นางหันหน้าไปมอง เขากำลังคุยกับไท่ซ่างเหล่าจวินราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
กำลังพูดคุยยังส่งเสียงมาหานางได้ เขาโรคจิตหรือ?
นางกระแอมไอ ตอบด้วยเสียงในลำคอ “อยาก”
“คิดได้ประเสริฐ” เขาตอบกลับมาโดยไม่คิดแม้แต่น้อย
มู่จิ่วเกือบสำลักตาย ในเมื่อไม่คิดจะปล่อยนางไป เขาจะถามทำไม? ปั่นหัวนางเล่นรึ?
มุมปากของลู่ยายกขึ้นเล็กน้อย ดูร้ายกาจมาก เขาก็ไม่มีเหตุผลแบบนี้ จะทำไม? จะกินเขาหรือ? เขาบอกนางไว้นานแล้วว่าเหล่าเซียนหนุ่มทั้งหลายส่วนใหญ่เป็นพวกบ้ากาม นางกลับไม่เชื่อ โชคดีที่เขามากักนางไว้ข้างกาย มิฉะนั้น ไม่แน่ว่าอาจถูกใครหลอกไปแล้ว
ดวงตามู่จิ่วเต็มไปด้วยความโมโห
“เรียนเซิ่งจุน ฝ่าบาท เหนียงเหนียง พระโพธิสัตว์ยูไลฝอจู่แห่งชมพูทวีปมาแล้ว!”
ผู้ดูแลเร่งรุดเข้ามารายงานจากนอกประตู
มู่จิ่วได้ยินก็กังวล ยืดคอมองออกไปข้างนอก ไม่รู้มีพระโพธิสัตว์ท่านใดมาบ้าง? กวนอิมที่บรรเทาทุกข์เข็ญมาหรือยัง?
ลู่ยาได้ยินว่ายูไลมาแล้ว เขาที่ตั้งใจมาเฝ้าภรรยาแต่แรกนั้น ใจกลับชะงักไปเล็กน้อย พลันนึกถึงจุ่นถีที่เขาทำให้ตกใจหนีไป เขาลูบถ้วยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยคำ “เจ้าลงไปเถอะ”
มู่จิ่วคิดว่าฟังผิด พวกอวี้ตี้หวังหมู่ก็มองมา
ลู่ยามองมู่จิ่ว “ลงไปเล่นเถอะ” จากนั้นเชิดริมฝีปาก “แต่อย่าไปไกล”
อวี้ตี้ตกใจจนขยี้ตา เขาเป็นคนมีประสบการณ์ ดูจากสีหน้าคำพูดของมหาเทพ…ทำไมเหมือนแมวเฒ่าในฤดูติดสัด?
หวังหมู่กลับตอบกลับได้เร็ว รีบผลักมู่จิ่วแล้วกล่าว “ยังไม่ขอบคุณความเมตตาของเซิ่งจุนอีก?”
มู่จิ่วลอบด่าทอลู่ยาในใจว่าปู่เจ้าเถอะ ปั่นหัวนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า?! จากนั้นคุกเข่าลงไปขอบคุณ แล้วออกไปอย่างเร็วราวกับทาน้ำมันไว้ใต้เท้า
พริบตาเดียว ยูไลฝอจู่นำเหล่าเซียนมาถึงศาลาน้ำ เหวินซูผู่เสียนและท่านอื่นๆ ล้วนมาถึงแล้ว ดูท่ายูไลนั้นฉลาดหลักแหลม มาได้ครึ่งทางก็รู้ว่าลู่ยาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงเข้ามาพบอาจารย์อาน้อยก่อน จากนั้นค่อยนำเหล่าพุทธะมากราบไหว้
หลังจากผ่านขั้นตอนอันน่าเบื่อหน่ายนี้ไป ลู่ยาจึงบอก “พวกเจ้าทุกคนตามอัธยาศัยเถิด”
อวี้ตี้กับหวังหมู่ก็ไม่กล้าขัด รีบเรียกให้ทุกคนแยกย้ายไป
ในที่สุดรอบข้างก็ปราศจากคน ลู่ยาทักทายเล็กน้อย พูดคุยเรื่องทั่วไปกับยูไล “ปีนั้นเจ้าขัดแย้งกับจุ่นถีเพราะเรื่องของลัทธิประจิม รู้หรือไม่ว่าทำไมถึงไม่เห็นเขาเลยหลังจากนั้น?”
………………………………………………………
บทที่ 280 สวัสดีหงอคง
โดย
Ink Stone_Romance
ปกติต่อหน้าผู้คน ยูไลจะตรงไปตรงมาและเคร่งขรึม แต่พูดคุยส่วนตัวกับคนใกล้ชิดยังคงผ่อนคลาย
แต่บางทีหลายปีมานี้อาจเป็นครั้งแรกที่มีคนถามคำถามเรื่องศิษย์ร่วมอาจารย์ ยูไลจึงเงียบ ก่อนเอ่ย “ศิษย์กับศิษย์พี่ถึงแม้ต่อสู้กัน แต่ไม่ถึงขั้นเคียดแค้นเอาชีวิต ศิษย์พี่จุ่นถีหัวแข็ง ข้าพนันกับเขา ผู้ใดชนะผู้นั้นเป็นผู้นำของลัทธิประจิม”
“เขามั่นใจในวิชาดูดวิญญาญของเขามาก ผลคือภายหลังข้าชนะเขาเพียงเล็กน้อย สุดท้ายก็หาเขาไม่เจอแล้ว เพราะเรื่องนี้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่กล้าไปพบหน้าอาจารย์ ข้าเดาว่าจุ่นถีต้องขัดเกลาวิชาดูดวิญญาณของเขาต่อแน่ วิชาเซียนนั้นร้ายกาจอย่างมาก ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะข้าได้เปรียบจากอำนาจพระพุทธ คงยังไม่แน่ว่าจะชนะ”
“วิชาดูดวิญญาณนั้นคือวิชากลืนดาวที่ก่อนหน้านั้นเขาใช้พลังฟ้าดินฝึกสำเร็จที่ภูเขาไท่หังใช่หรือไม่?” ลู่ยาถาม
“ใช่” ยูไลพยักหน้า “แต่ตอนอยู่ที่ภูเขาไท่หังเป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้น ภายหลังข้ากับศิษย์พี่ขี่เมฆไปยังตะวันตก เขาผ่านการตื่นรู้ทางวิญญาณหลายหน ดังนั้นจึงมีพละกำลังขึ้นมาก ตอนสงครามทงเทียนเจี้ยวจู่เขาเคยใช้วิชานี้ผนวกกับของวิเศษ แต่วิชาทั้งหมดของวิชาเซียนชุดนี้ อาจารย์อาคงไม่เคยเห็นมาก่อน”
วิชาเซียนต่อสู้เป็นวิชาที่มีพลังมาก ยามไม่มีสงครามมักไม่นำออกมาใช้ ไม่เคยเห็นมาก่อนจึงเป็นเรื่องปกติ
ลู่ยาพยักหน้า จิบเหล้าไม่ตอบคำ
ยูไลถามต่อ “อาจารย์อาถามเช่นนี้ มีความนัยอื่นหรือไม่?”
“ไม่มี” ลู่ยาวางถ้วยลง “เพียงเจอเจ้าจึงนึกถึงเขาขึ้นมา หลายปีมานี้ไม่เจอเขา ข้าก็คิดถึงอยู่บ้าง”
ยูไลครุ่นคิด “ข้าเพียงเคยได้ยินว่าปีนั้นเขาเคยอยู่ที่เขาฟางชุ่น”
ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่น้องแต่เดิมแน่นแฟ้นเพียงนั้น ภายหลังกลายเป็นแบบนี้จึงกระอักกระอ่วนยิ่ง แต่เรื่องทำนองนี้จะพูดอย่างไรดี ความคิดไม่เหมือนกัน ช้าเร็วย่อมต้องขัดแย้งกัน ถึงแม้เขาก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเขาสามารถควบคุมได้
“ข้าก็รู้ แต่” ลู่ยามองไปด้านหน้าไกลๆ “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเร้นกาย”
มู่จิ่วออกจากศาลาน้ำมาแล้ว ก็เหมือนนกบินออกจากกรง รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่มีคนมาก
งานเลี้ยงลูกท้อนี้เหมือนกับงานเลี้ยงใหญ่ของดาราโทรทัศน์ในชาติก่อน เทพเซียนมากมายที่แต่ก่อนเคยได้ยินเพียงชื่อล้วนมาปรากฏตัว เช่นปี้เสียหยวนจิน หลี่เทียนหวังผู้ครองเจดีย์ ไท่ป๋ายจินซิง มหาเทพตงเยวี่ย มหาเทพตงหัว หยางเจี่ยน (เทพเอ้อร์หลาง) ผู้มีรูปร่างโดดเด่นใบหน้าหล่อเหลา เด็กซนนาจาที่ถือหอกผูกผ้าแดงเท้าเหยียบกงล้อไฟ ยังมีกวนอิมแห่งทะเลใต้และอื่นๆ
ผู้คนกำลังจับกลุ่มกันสองคนบ้างสามคนบ้างพูดคุยเรื่องเก่าแก่ ไม่มีคนสังเกตเห็นนาง แต่สวรรค์สำหรับนางแล้วเป็นสถานที่คุ้นเคย ดังนั้นจึงเดินเล่นได้ไม่เบื่อ
กำลังจะข้ามสะพานไปด้านตรงข้ามดื่มเหล้าชั้นเลิศ พลันมีคนผู้หนึ่งมาขวางทางนาง “เจ้าเป็นใคร?”
คนผู้นี้สูงใหญ่บึกบึน รูปร่างเป็นทรงสามเหลี่ยมกลับหัวสมบูรณ์แบบ ผมรวบเป็นมวย สวมจีวร แต่จีวรของผู้อื่นล้วนพาดเฉียงอยู่บนร่าง ของเขากลับพันอยู่อย่างหยาบๆ ใต้อาภรณ์ปรากฏแผ่นอกและกล้ามเนื้อแปดส่วนรางๆ และผ้าด้านล่างก็พันอยู่ครึ่งหนึ่งที่รอบเอว เผยให้เห็นกางเกงสีดำส่วนหนึ่งและรองเท้าหนัง
มู่จิ่วสำรวจเขาจากบนลงล่างจนเสร็จ สุดท้ายมองหน้าเขา ใบหน้านี้ก็ดูดีไม่เหมือนใคร คิ้วดกตาโต คางคมกริบเหมือนใบมีด สิ่งที่คู่ควรให้กล่าวถึงที่สุดคือดวงตาคู่นั้นที่ทั้งโตและกระจ่าง ทำให้ดูไปแล้วเขาสดใสเหมือนดวงอาทิตย์ แต่น่าเสียดายก็แต่ดวงตากลับเป็นสีแดง…เหมือนกับดวงตากระต่าย
นางรู้สึกว่าน่าหัวเราะ “ท่านพระโพธิสัตว์ขวางทางข้าน้อย แต่กลับถามว่าข้าน้อยคือผู้ใด?”
คนผู้นี้กอดอก เหลือบมองต่ำดูนาง “ข้าคือซุนหงอคง”
ให้ตายเถอะ!
มู่จิ่วเกือบตกใจล้มลงไปแล้ว
เขาคือซุนหงอคง!
พุทธะพิชิตชัยซุนหงอคง!
นางรีบจับราวสะพานยืนตรง กลืนน้ำลายก่อนมองเขา วานรตัวนี้กลับก้มตัวลงมาจ้องนาง “เจ้าบำเพ็ญพลังสายเสวียนหลิง และเจ้าวิชาเรียนที่ซีหนิวใช่หรือไม่?”
ใช่แล้วอย่างไร? มู่จิ่วมองหน้าวานรที่อยู่ห่างจากนางเพียงฉื่อเดียว ไม่รู้เลยว่าควรตอบเขาอย่างไร
เทียบกับเทพอย่างอวี้ตี้และหวังหมู่แล้ว ในสายตาของมนุษย์ ซุนหงอคงถึงจะยิ่งเหมือนตำนานมากกว่า! สำคัญคือวานรตนนี้ได้รับการยอมรับจากผู้คนมาก ตำนานหลากหลายเกี่ยวกับเขาล้วนเคยปรากฏ รูปภาพและงานสลักของเขาละเอียดลออและหลากหลายจนเกินกว่าเทพเซียนผู้อื่น จะว่าเขาเป็นราชาที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งในโลกเซียนก็ไม่นับว่าเกินไป!
ตอนนี้ราชาวานรตนนี้กลับปรากฏตัวตรงหน้านาง และยังมองทะลุถึงภูมิหลังของนาง น่ากลัวเกินไปแล้ว!
“ใช่เจ้าค่ะ ใช่แล้วอย่างไรเจ้าคะ?” นางพยายามถามกลับไปอย่างสงบ
“อาจารย์ของเจ้าคือผูถีจู่ซือ?” ซุนหงอคงถามอีก
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ” พอพูดมากเข้า มู่จิ่วก็ไม่สั่นกลัวแล้ว นางเอ่ย “อาจารย์ของข้าเป็นเพียงจินเซียนอาศัยอยู่ที่ภูเขาหงชางเท่านั้น ถึงแม้เขาจะเก่งกาจมาก แต่ก็ไม่ใช่โพธิสัตว์ผูถีจู่ซืออาจารย์ของท่าน และภูเขาฟางชุ่นที่ท่านเคยอยู่พวกเราก็ไม่เคยไปมาก่อน”
อันที่จริงภูเขาฟางชุ่นห่างจากหงชางไม่ไกล ตอนนั้นนางกับหลิวหยางก็ผ่านไปทางนั้นหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยพานางขึ้นไปมาก่อน ตอนที่นางพูดถึงเรื่องที่ผูถีจู่ซือถ่ายทอดวิชาแปลงเจ็ดสิบสองร่างแก่ซุนหงอคงด้วย เขาก็นิ่งเฉยตลอด ไม่ถือโอกาสนี้ขยายความเรื่องนี้ให้นางฟัง และไม่เคยพูดถึงตำนานเรื่องพุทธะพิชิตชัย สรุปคือไม่ใส่ใจ
ดังนั้นนางจึงไม่คุ้นเคยกับกับชื่อภูเขานี้จริง
“ไม่ใช่?” ซุ่นหงอคงยืดตัวขึ้น มองนางอย่างเคลือบแคลง “เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของผูถีจู่ซือ ทำไมเจ้าถึงมีกลิ่นอายของเขาบนร่าง?” พูดจบเขาก็จับข้อมือมู่จิ่ว ถอดกำไลไม้บนข้อมือนางออก ดึงของวิเศษกลุ่มใหญ่ออกมา จากนั้นพลันตกตะลึง ร้องตะโกนว่า “อาจารย์!”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไปแล้ว!
ของวิเศษเหล่านี้ล้วนเป็นหลิวหยางให้มา เขาเรียกสิ่งของที่หลิวหยางให้มาว่าอาจารย์ได้อย่างไร?
นางลนลานเก็บของวิเศษทั้งหมดเข้าไปในกำไลไม้ มุมสายตาเหลือบไปเห็นหลิวจวิ้นที่เดินมาไม่ไกล จึงรีบกล่าว “ใต้เท้า ทางนี้เจ้าค่ะ!”
หลิวจวิ้นก็กำลังตามหานางอยู่ เจ้าเด็กสมควรตายนี่ซ่อนมหาเทพไว้ในบ้านแล้วหลอกเขาจนหัวหมุน เขาต้องถลกหนังนางให้ได้! ได้ยินเสียงนางเรียกก็รีบเข้าไปทันที เห็นซุนหงอคงปาดน้ำตาก็อดตกใจไม่ได้ รีบถาม “กัวมู่จิ่ว เจ้าทำอะไรกับท่านเทพซุน?”
มู่จิ่วเต็มไปด้วยความน้อยใจ นางจะทำอะไรเขาได้? ยกย่องนางเกินไปแล้วกระมัง!
ดีที่อารมณ์ของเขามาเร็วไปเร็ว เห็นหลิวจวิ้นเข้ามาก็รีบพูด “นางไม่ได้ล่วงเกินข้า” จากนั้นดึงขน หันหน้ามามอบให้มู่จิ่ว “ศิษย์น้องหญิง หากเจ้ากลับไปช่วยข้านำสิ่งนี้ให้อาจารย์ด้วย” พูดจบเขาก็ลูบหัวนาง ก่อนเดินไป
มู่จิ่วมองขนวานรในมือ ใกล้จะเป็นลมแล้ว!
หลิวจวิ้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง หลิวจวิ้นมองไปรอบๆ ลากนางไปใต้ต้นหลิว “กัวมู่จิ่ว เรื่องที่ลู่ยาเต้าจู่เป็นคู่หมั้นของเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?! เจ้าจงใจปั่นหัวข้าเล่นงั้นหรือ? ตอนแรกข้าเกือบไล่เขาออกจากสวรรค์แล้ว! เจ้าบอกข้ามา เจ้าจงใจใช่หรือไม่!”
……………………………………………
บทที่ 281 มีความลับ
โดย
Ink Stone_Romance
หูของมู่จิ่วเกือบดับเพราะเขา นางถอนหายใจ “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะ เรื่องนี้ข้าก็เพิ่งรู้ภายหลัง”
มาถึงตอนนี้แล้ว นางปกปิดต่อไปไม่ได้อีก ทำได้เพียงเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟัง
“เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ อย่างไรข้าก็ไม่ได้จงใจปกปิดท่าน ท่านตะโกนจนข้าหูดับไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลิวจวิ้นอดกลั้นอยู่นานค่อยคืนสติ ก่อนพึมพำ “ข้าว่าแล้วว่าทำไมเจ้าถึงทำคดีได้เก่งกาจขนาดนี้ สืบหาได้อย่างแม่นยำ ที่แท้มีเขาคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังนี่เอง” พูดดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาเหมือนกลับคืนสู่สภาพปกติ เหลือบมองมู่จิ่วก่อนเอ่ย “แบบนั้นพวกเจ้าวางแผนไว้อย่างไร? อยู่ๆ เขาปรากฏตัววันนี้ก็เพื่อมาจับตาดูเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
“ก็ไม่ใช่หรอกเจ้าค่ะ…” มู่จิ่วอึกอัก “เขาเพียงมาดูๆ เท่านั้น”
หลิวจวิ้นเหลือบมองนางอีก ก่อนมองไปด้านสระหยกแล้วกัดฟัน เอ่ยว่า “เจ้าเด็กสมควรตาย ตอนนี้เจ้าสร้างความกดดันให้ข้าอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้ข้ากลัวจนกระทั่งนอนก็นอนไม่หลับแล้ว!” มีเทพผู้ยิ่งใหญ่เพียงนี้อยู่ที่ข้างศาลของเขา ภายหลังหากเขาก้าวพลาดทำผิด ฟ้าก็ช่วยเขาไม่ได้
“ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” มู่จิ่วยื่นหน้าเข้าไป “ท่านทำเหมือนไม่รู้เรื่องก็ได้แล้วมิใช่หรือ? ลู่ยาพูดด้วยง่ายนัก”
“นั่นก็เพราะเป็นเจ้าหรอก!” หลิวจวิ้นไม่สบอารมณ์
ไม่เห็นสายตาเขาตอนเฝ้าปกป้องนางเมื่อครู่หรือ? ทำเหมือนกับเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านิสัยลู่ยาเป็นอย่างไร!
ด้านข้างมีเทพเซียนมาทักทายหลิวจวิ้น
มู่จิ่วเห็นเขายุ่งจึงแยกตัวออกมา
แต่ก็ไม่มีอารมณ์เดินเล่นอีกแล้ว คำพูดนั้นของซุนหงอคงยังทำให้อารมณ์ของนางไม่สงบ รู้สึกว่าขนเส้นนั้นวางไว้ที่ไหนก็ไม่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้นลู่ยาอยู่ที่นี่ เหล่าเซียนก็ระวังเนื้อระวังตัวกันมาก เพื่อไม่ให้ลู่ยานึกอยากกวาดตามองพวกตน ดังนั้นนางจึงไปลาหวังหมู่ ส่งสายตาให้ลู่ยาจากที่ไกลๆ แล้วออกจากสวรรค์ไป
ลู่ยาออกหน้ามานานขนาดนี้ ย่อมต้องรู้สึกพอนานแล้ว จึงลุกขึ้นกล่าวลาเหล่าเซียน ก่อนขึ้นเกี้ยวลาจากไป
ตอนมู่จิ่วกลับถึงบ้าน จื่อจิ้งกำลังกินน้ำแกงเม็ดบัวกับรุ่ยเจี๋ยอยู่ข้างโต๊ะ ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างออกรสชาติ พอเห็นนางกลับมา จื่อจิ้งก็เข้าไปตรงหน้านางทันที “มีคู่หมั้นที่แข็งแกร่งขนาดนั้นตามไปงานเลี้ยงลูกท้อ ดูยิ่งใหญ่มีอำนาจมากใช่หรือไม่? มีคนมากมายคุกเข่าต่อหน้าเจ้าหรือเปล่า?”
เขาไม่พูดเรื่องนี้ยังดี เมื่อพูดขึ้นมามู่จิ่วก็หน้าตึง ค้อมเอวลง “พูดแบบนี้แสดงว่าเจ้ารู้เรื่องนี้?”
“แน่นอน!” จื่อจิ้งกอดชามพูด “เมื่อคืนข้ายังแปลงร่างเป็นเซียนเด็กไปหาหวังหมู่ที่วังหลิงเซียวเลย”
พูดเรื่องนี้ขึ้นมาก็เหนื่อยหน่ายยิ่งนัก เขานอนอยู่ที่ระเบียงทางเดินก็ช่างเถอะ นอนไปได้ครึ่งคืนยังถูกลู่ยาปลุกมาทำงาน! ทำเอาเขาเกือบกระโดดขึ้นมาด่าทอมารดา…ยังดีที่ไม่ได้ทำ มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าตอนนี้เขาคงไม่อยู่บนสวรรค์แล้ว
คิดถึงตรงนี้ใจของเขายังมีโทสะ แทบอยากจะกินเม็ดบัวเข้าไปอีกหลายๆ คำ
มู่จิ่วมองเขาตาขวาง แม้มีเรื่องในใจก็คร้านจะถกเถียงกับเขา เดินผ่านเขากลับห้องไปอย่างหงุดหงิด
กลับมาถึงห้องก็หยิบของวิเศษในกำไลออกมาเป็นอันดับแรก มองไปแต่ละชิ้นเห็นเพียงทุกที่มีเพียงร่องรอยของหลิวหยาง ไหนเลยจะมีร่องรอยของผูถีจู่ซือ?
แต่ซุนหงอคงทำไมยืนยันว่านางเป็นศิษย์ของผูถีจู่ซือ? นางไม่เคยไปภูเขาฟางชุ่น ย่อมต้องไม่อาจมีวาสนาเซียนกับเขา คนที่สั่งสอนนางมาตลอดคือหลิวหยาง อย่างมากก็มีกลิ่นอายของลู่ยาเพิ่มมาด้วย แต่เขากลับไม่พูดถึงคนอื่นเลย ทำไมต้องเจาะจงบอกว่าเป็นกลิ่นอายของผูถีจู่ซือ? หรือว่าหลิวหยางเป็นศิษย์ของผูถีจู่ซือ?
คิดอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ
ขณะกำลังสับสน เสียงของลู่ยาดังขึ้นมาข้างหู “ทำไมไม่รอข้า?”
มู่จิ่วเหลือบมอง “มิใช่ว่าเจ้ากำลังวางก้ามนั่งอยู่บนเกี้ยวหรือ? ยังต้องให้ข้ารอทำไม?”
ลู่ยายิ้มตาหยีดึงนางมากอดไว้บนตัก จากนั้นเอามือทั้งสองหนุนท้ายทอย เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนบนตั่ง เอ่ยว่า “เซียนชายเหล่านั้นยามเห็นเซียนหญิงล้วนแสดงออกถึงความปรารถนา ข้าไม่ไว้ใจเรื่องเจ้า กลัวเจ้าโดนเอาเปรียบ”
มู่จิ่วส่งเสียงเหอะขึ้นจมูก เก็บของวิเศษทุกชิ้นกลับไปในกำไลไม้ก่อนกล่าว “ข้าเจอซุนหงอคงแล้ว”
ลู่ยาชะงัก
“เขาบอกว่าข้าเป็นศิษย์น้องหญิงของเขา บอกว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของผูถีจู่ซือ” มู่จิ่วหันไปมองลู่ยา “เจ้าว่าน่าขันหรือไม่? อาจารย์ของข้าจะไปเป็นผูถีจู่ซือได้อย่างไรเล่า? เขาเป็นเพียงจินเซียนเท่านั้น ถึงแม้ข้ารู้สึกว่าเขาเก่งกาจมาก แต่ก็ไม่เก่งกาจเท่าผูถีจุ่นซือแน่นอน ใช่หรือไม่? วานรเนตรเพลิงผู้นี้จำคนผิดได้อย่างไร?”
ลู่ยาพลันรู้สึกว่านางบนตักเขาหนักเหมือนขุนเขา เขาอุ้มนางกลับไปนั่งท่าเดิม ก่อนถาม “เขายังพูดอะไรกับเจ้าอีก?”
“ไม่มีแล้ว” มู่จิ่วตอบ “หรือยังไม่น่าตื่นตกใจมากพอ?”
ลู่ยาหลบสายตานาง ลูบคางยืนขึ้นมา “ก็ยังดี”
ในความเป็นจริง จากคำพูดของยูไล พลังของจุ่นถีในเวลานี้เทียบกับตอนเป็นผูถีแล้วยิ่งก้าวหน้าล้ำลึกกว่า จุ่นถีและเจียอินเป็นวิญญาณที่มีมาแต่เดิม สามารถบำเพ็ญพลังได้อย่างไร้ขีดจำกัด เขาไม่สงสัยเกี่ยวกับพลังที่แท้จริงของจุ่นถี แต่เขาคิดไม่ถึงว่ามู่จิ่วจะได้เจอซุนหงอคง และยังได้รู้เรื่องที่หลิวหยางคือผูถีจู่ซือจากปากของซุนหงอคง
เมื่อเป็นแบบนี้ ก้าวต่อไปของนางต้องอยากกลับหงชางไปพิสูจน์แน่ เขาควรจะหลีกเลี่ยงอย่างไรดี?
ตอนนี้จะไปหาหลิวหยางจากไหนกัน?
“อีกสองวันมีเวลาว่าง ข้าต้องกลับไปดูหน่อย”
ขณะกำลังกังวล มู่จิ่วก็พูดขึ้นมาเอง
ลู่ยาตระหนกเล็กน้อย รีบเอ่ย “ไม่นานก่อนนี้เพิ่งกลับไปเอง ตอนนี้กลับไปอีกจะไม่เป็นการดีนัก อาจารย์จะคิดได้ว่าเจ้าไม่ตั้งใจ”
“ไม่เป็นไร ข้าถามคำถามเขาไม่กี่ข้อก็กลับแล้ว ใช้เวลาไม่นาน” มู่จิ่วกล่าว
ลู่ยาโน้มน้าวอีก “ถึงเป็นแค่การกลับไปเยี่ยมเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็รบกวนเหล่าศิษย์พี่ศิษย์หลาน แบบนี้ไม่ดียิ่งนัก”
“เช่นนั้นข้าจะไม่บอกพวกเขา แอบเข้าไปในห้องอาจารย์”
ลู่ยาจนปัญญา พูดกับนางต่อไปไม่ไหวแล้ว
มู่จิ่วยังไม่รู้ความลับเล็กๆ น้อยๆ ของเขา ทว่าคำพูดของซุนหงอคงเปิดประเด็นความคิดของนางอยู่บ้าง
อย่างเช่นก่อนนางขึ้นมาสวรรค์ หลิวหยางไปถามสาเหตุที่นางสำเร็จเป็นเซียนไม่ได้ เขารู้จักปี้เสียหยวนจิน และตอนให้ตาข่ายสวรรค์แก่นางยังจงใจพูดเรื่องของจุ่นถีเต้าเหรินกับลัทธิประจิม…หลังจากที่ซุนหงอคงสำเร็จเป็นพุทธะ ในตำนานก่อนที่ซุนหงอคงจะเดินทางไปชมพูทวีปได้กราบผูถีจู่ซือเป็นอาจารย์ ซึ่งก็คือจุ่นถีเต้าเหรินนี่เอง
เพราะเรื่องนี้นางก็เคยถามหลิวหยางมาก่อน เขากลับเลี่ยงไม่ตอบ ตอนนั้นนางไม่คิดอะไร
ตอนนี้กลับรู้สึกว่าน่าสงสัยมาก เพราะคิดย้อนกลับไปหลิวหยางแทบไม่เคยตอบตรงๆ เกี่ยวกับเรื่องของจุ่นถีและผูถีเลย นอกเสียจากเขาจะเริ่มต้นเล่าเอง เช่นตอนเอาตาข่ายสวรรค์ให้นาง
และเมื่อพูดถึงตาข่ายสวรรค์ก็มีจุดสำคัญอย่างยิ่งอีก
ตอนที่หลิวหยางพูดถึงความเป็นมาของตาข่ายสวรรค์ เล่าว่ามันสร้างมาจากจิตต้นกำเนิดของจุ่นถีเต้าเหริน ตอนนั้นนางยังสงสัยว่าจิตต้นกำเนิดที่สำคัญขนาดนี้จะนำออกมาทำของวิเศษทำไม เขากลับตอบอย่างคลุมเครือว่าจุ่นถีพัฒนาเลื่อนขั้นแล้ว และยามนั้นนางกลับไม่เคยคิดว่า ทำไมหลิวหยางที่ไม่เกี่ยวข้องกับจุ่นถีเลยถึงรู้เกี่ยวกับตาข่ายสวรรค์มากขนาดนั้น!
………………………………………………………
บทที่ 282 ใครชนข้า?
โดย
Ink Stone_Romance
ครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้หลายรอบ นางก็มั่นใจได้ว่าอย่างน้อยฐานะของหลิวหยางมีข้อสงสัย
ส่วนเรื่องที่เขาคือผูถีหรือจุ่นถีหรือไม่นั้น นางไม่กล้าคิด เพราะหากเป็นจุ่นถี ลู่ยาจะกลายเป็นอาจารย์อาของนาง…เขาที่บอกเสมอว่าเป็นคู่หมั้นของนาง ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าจุ่นถี นางต้องเรียกขานเขาว่าท่านบรรพบุรุษอย่างนอบน้อม มิฉะนั้นจะให้จุ่นถีเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
นี่มันช่าง…
สรุปคือยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าต้องสืบหาให้กระจ่างแจ้ง
แต่น่าเสียดายหลายวันนี้ยังยุ่งอยู่ นางไม่อาจปลีกตัวไปได้
“ใช่แล้ว หลิวจวิ้นรู้ฐานะของเจ้าแล้ว” คิดถึงเรื่องหน้าที่การงานก็อดนึกถึงหลิวจวิ้นไม่ได้ นางหันหน้าไปเอ่ยกับเขาที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “เมื่อครู่เขาต่อว่าข้าไปรอบหนึ่ง ข้าเดาว่าครั้งต่อไปเขาเจอเจ้าคงหลบหน้าเดินหนีไป”
หลิวจวิ้นผู้นั้นแท้จริงเป็นคนดีนัก แต่ไม่รู้ว่าลู่ยาคิดเห็นอย่างไรต่อเขา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ลู่ยาไปหาเรื่องเขา นางบอกลู่ยาล่วงหน้าก่อนจะดีกว่า
“รู้แล้ว” ลู่ยาตอบอย่างกลัดกลุ้ม
ตอนนี้เขาปวดหัวกับเรื่องที่คนรวมทั้งเรือนทั้งหมดหายไปจากหงชาง ไหนเลยจะมีใจสนผู้อื่น
มู่จิ่วเดินเข้าไปตีหน้าเขาเบาๆ ก่อนกลับไปเปลี่ยนเสื้อ
งานเลี้ยงลูกท้อจัดทั้งหมดสามวัน หมายความว่าทัพทหารสวรรค์ต้องเฝ้าอยู่ที่นอกสระหยกเป็นเวลาสามวันเช่นกัน
สองวันที่เหลือมู่จิ่วไม่สนใจจะเข้าร่วมแล้ว ถึงแม้ได้ยินว่าข้างในยังมีการร่ายรำทำเพลง และยังมีเหล่าเทพเซียนทั้งหลายแสดงอิทธิฤทธิ์วิชา
หลิวจวิ้นก็ไม่ได้ไปอีก แต่เดิมเขาเพียงแค่ไปรายงานตัวและพูดคุยกับสหายเก่าจำนวนหนึ่ง เมื่อทักทายกันเสร็จย่อมต้องกลับไปปฏิบัติงาน
ดังนั้นหลายวันนี้จึงพามู่จิ่วเดินลาดตระเวนไปทั่ว
ตอนแรกที่พบว่าลู่หยาก็คือลู่ยา เขาทั้งสับสนหวาดกลัวและตื่นตกใจอย่างยิ่ง ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนกลางคืนกลับไปครุ่นคิดดีๆ แต่ก่อนลู่ยาก็ไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรกับเขา ต่อไปเพียงทำเป็นไม่รู้อย่างที่มู่จิ่วบอกก็พอ คิดดูแล้วก็ไม่มีอุปสรรคอะไร
สงบใจได้เช่นนี้แล้ว เมื่อครุ่นคิดอีกที ลู่ยาที่มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่อยู่ในสวรรค์ชั้นสูง กลับยินยอมซ่อนชื่อเสียงเรียงนามมาอยู่กับเจ้าหน้าที่สวรรค์ตัวเล็กๆ ผู้ใต้บังคับบัญชาเขาอย่างเต็มใจ ก็อดบังเกิดความรู้สึกประทับใจไม่ได้ กลางดึกเขาลุกขึ้นหยิบปิ่นหยกขาวออกมา ตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นานในค่ำคืนนั้น
วันถัดมามู่จิ่วพบว่ารอบดวงตาของเขาดำคล้ำ เข้าใจไปว่าโต้รุ่งในงานเลี้ยง จึงให้เขากลับไปพักผ่อนอย่างเอาใจใส่ เรื่องการลาดตระเวนนางผลัดกันไปกับสหายร่วมงานก็ได้ แต่กลับถูกเขาทำตาขวางใส่ มลายความมีน้ำใจดีของนางจนสิ้น
ตอนบ่ายหวังหมู่ส่งเซียนหญิงรับใช้มาเรียกนางเข้าวัง เทียบกับความยุ่งวุ่นวายในวันแรก วันนี้สบายขึ้นมากแล้ว หวังหมู่รอนางเข้ามาค่อยจิ้มหน้าผากนางก่อนด่าทอ “เจ้าช่างโง่เขลาเบาปัญญานัก ข้าให้ระมัดระวังเจ้ากลับไม่เชื่อฟัง เมื่อวานดีเลย เจอเซิ่งจุนเข้าจังๆ เลยล่ะสิ? ปกติเห็นเจ้าพึ่งพาได้ ทำไมเวลาสำคัญถึงได้ก่อเรื่องให้ข้า!”
หวังหมู่นึกถึงภาพอันน่าหวาดหวั่นเมื่อวาน ใจก็ยังคงเต้นรัว คนผู้นั้นแห่งวังชิงเสวียนเป็นเจ้านายที่หัวแข็ง ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ท่าทางแบบมู่จิ่วเมื่อวาน ไม่ต้องพูดถึงขั้นตีนางตายกับที่ หากทำลายหนทางเซียนของนาง ทำให้นางกลับร่างเดิมก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแม้แต่น้อย พลังบำเพ็ญสองพันปีสำหรับคนแบบพวกเขาไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับนางแล้ว นั่นไม่ง่ายเลย!
มู่จิ่วถูกจิ้มหน้าผากจนจะทะลุแล้ว รู้ว่าหวังหมู่เป็นห่วงนาง จึงไม่กล้าเถียง รอจนนางด่าจบค่อยเข้าไปนวดไหล่ให้ “คำสอนของเหนียงเหนียงข้าน้อยจดจำไว้แล้วเจ้าค่ะ คราวต่อไปไม่กล้าทำผิดแบบนี้อีกแล้ว หากทำผิดอีก เหนียงเหนียงก็เตะข้าน้อยออกไปเลย”
หวังหมู่ถลึงตาใส่นางพลางร้องเหอะ ก่อนถอนหายใจ ไม่สนนางอีก
พูดตามจริง หวังหมู่ในใจมู่จิ่วไม่ต่างกับน้าที่กลับมารวมญาติในชาติก่อน ถึงแม้จะปากร้ายก็เข้าอกเข้าใจจิตใจคนและเรื่องราวอย่างกระจ่าง แต่ใจกลับอ่อนยวบยาบ เจ้าทำผิดอะไร นางสามารถด่าทอจนเจ้าอยากร้องไห้ แต่หากเจ้าเสียใจ นางก็ทำใจไม่ได้เช่นกัน
บางคนไม่ชอบอยู่กับคนแบบนี้ แต่ก็มีบางคนที่รู้สึกว่าคนจำพวกนี้อบอุ่น
มูจิ่วนับเป็นคนแบบหลัง เพราะนางมักรู้สึกเสมอว่าโลกนี้คนที่จิตใจดีมีอยู่มากกว่า
ทำงานเช่นนี้ไปหลายวัน วันนี้เทพเซียนแต่ละทิศทยอยแยกย้ายกลับไป มู่จิ่วก็วางแผนไปลาพักงานกับหลิวจวิ้นเพื่อกลับภูเขาหงชาง
ตอนบ่ายถอนการเฝ้าระวังรอบนอกสวรรค์ อวี้ตี้ยึดตามกฎปีก่อน ตบรางวัลแก่ทัพทหารสวรรค์และค่ายบัญชาการแต่ละระดับ มู่จิ่วกอดลูกท้อหลายลูก ยังมียาบำรุงหลินจือและอื่นๆ กลับบ้านไปพร้อมตะวันตกดิน เพิ่งเลี้ยวเข้าตรอกตรงประตูลานบ้าน ทันใดนั้นก็มีลมรุนแรงพัดมาที่ด้านหลัง จากนั้นเนื้อก้อนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนนางจนล้มลงไปบนพื้นหินหยก!
“ใครไม่ดูตาม้าตาเรือ?!”
มู่จิ่วมองลูกท้อที่กลิ้งกระจายไปทั่ว อดมีโทสะไม่ได้ ยังไม่ทันลุกขึ้นมา ตรงหน้าปรากฏเงาขาววูบวาบ ก้อนเนื้อนั้นพลันพุ่งเข้ามาร้องหงิงๆ คลอเคลียหน้านาง
“อาฝู?!”
มู่จิ่วพลันตื่นเต้นจนชาไปทั้งตัว! ก้อนเนื้อสีขาวตรงหน้าเป็นสีขาวหิมะทั้งร่าง แขนซ้ายยังใส่ปลอกแขนสีแดงและทองที่แสดงถึงความเป็นลูกหลานราชา หัวกลมเนื้อแน่นขนฟู ดวงตาสีฟ้าหม่นเคลือบไปด้วยประกายน้ำ กอดคอนางร้องหงิงๆ ไม่หยุด นี่ไม่ใช่อาฝูแล้วจะเป็นใคร?!
นางเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำลาย ลุกขึ้นมาจากพื้นประคองหัวเขาไว้ “เป็นเจ้าจริงๆ! อาฝู เจ้ากลับมาแล้ว?!”
อาฝูเข้าไปใกล้นางก่อนนั่งบนพื้น ก้มหัวมาเลียใบหน้านาง
เสี่ยวซิงฝึกวิชาทุกวันหนึ่งชั่วยามเหมือนปกติ จากนั้นออกมาเตรียมมื้อเย็น เจอจื่อจิ้งที่ระเบียงทางเดิน กำลังโอ้อวดว่าเคยฆ่าปีศาจกระต่ายพลังบำเพ็ญพันปีสามสิบตัวตายในครั้งเดียวกับรุ่ยเจี๋ย จึงถือโอกาสส่งตะกร้าถั่วลันเตาให้เขาปอก จากนั้นลากซ่างกวนสุ่นไปแปลงผักเพื่อดูว่าคืนนี้จะกินอะไร
เดินไปเดินมาซ่างก่วนสุ่นก็หยุด ยังไม่ทันให้นางได้เปิดปากถาม เขาก็ยืนตรงขึ้นมาอย่างตื่นตัว “อาฝูกลับมาแล้ว!”
เสี่ยวซิงเกาหู เข้าใจไปว่าฟังผิด ตอนนี้เองเสียงคำรามที่น่าเกรงขามของเสือก็ลอยเข้ามาจากประตูลานบ้าน! จากนั้นค่อยเป็นเสียงอันตื่นเต้นยินดีของมู่จิ่ว “เสี่ยวซิง! รุ่ยเจี๋ย! อาฝูกลับมาแล้ว!”
คนทั้งลานบ้านล้วนออกมา เสี่ยงซิงพุ่งออกไปราวกับลูกธนู อาฝูก็เห็นนางแล้ว เขาพุ่งเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เสือแข็งแกร่งกับกระต่ายน่ารักกอดกันอย่างอบอุ่น!
ซ่างกวนสุ่นล้อมเข้ามา ร้องเสียงเหมือนเป็ดอย่างยินดี
รุ่ยเจี๋ยพุ่งเข้าไปกอดเอวอวบๆ ของอาฝู “เจ้ากลับมาแล้ว! ข้าคิดถึงเจ้า! เจ้าไม่อยู่แล้วน่าเบื่อยิ่งนัก!”
อาฝูปล่อยเสี่ยวซิงก่อนเลียนาง เสียงหงิงๆ ยิ่งดังออกมา
จื่อจิ้งเดินเข้ามาถาม “เขาเป็นใครเนี่ย?”
มู่จิ่วไม่สนใจเขา รีบปรึกษาเรื่องซื้อเนื้อกับเสี่ยวซิงทันที
ยังเป็นซ่างกวนสุ่นที่มีน้ำใจตอบไป “นี่คืออาฝู หลานราชาของอาณาจักรโหย่วเจียง”
“อาณาจักรโหย่วเจียง?” จื่อจิ้งล้อมเข้ามาดูอาฝู
ลู่ยาเดินออกมากล่าว “อาฝู ทำไมเจ้ากลับมาคนเดียว? พ่อแม่เจ้าล่ะ?”
……………………………………
บทที่ 283 บรรพชนเทพหายนะ
โดย
Ink Stone_Romance
อาฝูได้ยินเสียงเขาก็พลันกระโดดลงพื้น อุ้งเท้าทั้งสี่หมอบทำความเคารพอย่างเป็นทางการ แต่เขาพูดไม่เป็น คำถามของลู่ยาเขาก็ตอบไม่ได้ เพียงใช้อุ้งเท้าที่ใส่ปลอกแขนนั้นแตะมือลู่ยา
ลู่ยาประคองอุ้งเท้าข้างนั้นไว้ ลูบด้านในของปลอกแขน หยิบจดหมายที่ติดอยู่ออกมา
“เขียนอะไรไว้?” มู่จิ่วเดินมา นางก็กังวลยิ่งนักว่าตอนนี้โหย่วเจียงเป็นอย่างไรบ้าง
“โหย่วเจียงทำสงครามกับหนานเซียง เซวียนหยวนฮุ่ยใช้อำนาจควบคุมโหย่วซยง ตอนนี้ทำลายโหย่วซยง และส่งทหารจำนวนมากเข้าประชิดโหย่วเจียง” ลู่ยาขมวดคิ้วพูด “ตอนนี้สถานการณ์ของโหย่วเจียงวิกฤต ซื่ออินถูกเซวียนหหยวนฮุ่ยจับตัวไปในสนามรบ เหลียงจีสวมเกราะเข้าสู่สนามรบเพื่อช่วยเขา รบกันสามครั้งพ่ายแพ้กลับมา นางส่งอาฝูมาบอกข่าว!”
มู่จิ่วตื่นตกใจทันที “หนักหนาถึงเพียงนี้?”
ถึงแม้ตอนที่พวกเขากลับไปก็คาดเดาได้แล้วว่าเซวียนหยวนฮุ่ยคงไม่อยู่อย่างสงบแน่ แต่คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ ขนาดนี้เขาจะยึดครองโหย่วซยงได้แล้ว นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องที่เขาเข้าสู่หนทางสายมาร แต่ยังเป็นปัญหาเรื่องการดำรงอยู่ของชนเผ่าต่างๆ ในถิ่นทุรกันดารทางเหนือทั้งหมด
“เซวียนหยวนฮุ่ยทำไมถึงได้เก่งกาจขึ้นขนาดนี้?” นางถาม
“ข้าเดาว่าวิญญาณร้ายหลอมเสร็จแล้ว” ลู่ยาเก็บจดหมายไปก่อนตอบ
“วิญญาณร้ายนั่นหลอมเสร็จแล้วจะร้ายกาจขนาดนี้เลยหรือ?” มู่จิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง วันนั้นเขาบอกไม่ใช่หรือว่าหากใช้เพียงวิญญาณร้ายและวิญญาณเทพก็จะไม่มีปัญหาอะไรมากมาย?
“ไม่นับว่าร้ายกาจ” ลู่ยาบอก “เป็นเพียงวิญญาณของภพหนึ่ง ช่วยทำสงครามไม่เป็นปัญหา แต่นอกจากนี้แล้ว เซวียนหยวนฮุ่ยอาจใช้วิญญาณร้ายนี้เพิ่มพลัง และฝึกวิชาที่ยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีก เช่นประเภทค่ายกลพันมารที่เหมาะในการหลอมวิญญาณมืด”
“ค่ายกลพันมาร?”
“มันคือค่ายกลสงครามของสกุลเสินหนงที่เมื่อก่อนชือโหยวใช้กับสกุลเซวียนหยวน โหดร้ายยิ่งนัก ทั้งรวดเร็วและรุนแรง สามารถใช้ค่ายกลนี้กวาดล้างอาณาจักรโหย่วซยงได้ภายในสามวันโดยไม่มีปัญหา” ตอนนี้จื่อจิ้งไพล่มือเงยหน้า เอ่ยแทรกขึ้นมา “เหล่าคนประสบการณ์น้อยอย่างพวกเจ้าไม่เคยได้ยินมาก่อนย่อมไม่แปลก”
“เด็กน้อย เจ้าหาว่าใครประสบการณ์น้อย?!”
ซ่างกวนสุ่นในตอนนั้นก็เป็นเด็กวัยรุ่นถือดีที่แข็งแกร่งแล้ว คำพูดโอ้อวดประเภทนี้ขัดหูยิ่งนัก เขาเหยียบเท้าข้างหนึ่งบนขอบม้าหินก่อนพูด “เจ้าดูให้ชัด รุ่ยเจี๋ย อาฝู และยังมีข้า พวกเราทั้งสามเป็นเผ่าเทพ หากไม่นับพวกเขาทั้งสอง ข้าคนเดียวเปลี่ยนร่างเป็นคนมานานหลายปีแล้ว เจ้าดูสิ ความสูงเท่าเม็ดถั่วอย่างเจ้ายังกล้ามาพูดเรื่องประสบการณ์กับข้า?”
จื่อจิ้งถอยไปสองก้าวพลางชี้หน้าเขา “เป็นคนอย่างน้อยก็ควรมีความเคารพขั้นพื้นฐานแก่ผู้อื่น ไม่ให้เจ้าพูดเรื่องส่วนสูง!”
“เอาละ เอาละ” มู่จิ่วห้ามทัพ “ทะเลาะอะไรกัน? เรากำลังพูดเรื่องจริงจังอยู่!” จากนั้นพูดกับลู่ยา “ในเมื่อเรื่องเร่งด่วนขนาดนี้ แบบนั้นพวกเรารีบไปกันเถอะ! หากสายไปไม่แน่ว่าซื่ออินอาจจะแย่!”
ไม่ง่ายนักกว่าอาฝูจะพบเจอพ่อแม่ นางไม่อยากให้เขากลายเป็นเด็กกำพร้า
อีกอย่าง ดูจากรูปการณ์ตอนนี้ สถานการณ์ทางเหนือเข้าขั้นวิกฤต
ลู่ยาพยักหน้า “เจ้าเก็บของเสียหน่อย พวกเราออกเดินทางทันที” กล่าวจบก็หันหลับมาจับจื่อจิ้งไว้กลางอากาศ “เจ้าก็เตรียมตัวด้วย!”
“ให้ข้าไปทำอะไร?!” จื่อจิ้งชี้จมูกตัวเอง “ถิ่นทุรกันดารทางเหนือไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย!”
ลู่ยายิ้มเยาะ “เรื่องสำคัญอย่างการทำสงครามเช่นนี้ ไม่พาบรรพชนของเทพหายนะอย่างเจ้าไป คงจะหมดสนุกมาก!”
พูดจบก็โยนเขาลงแล้วกลับห้องไป
จื่อจิ้งกุมก้นลุกขึ้นมา ชี้แผ่นหลังเขาพร้อมด่าทอเสียงดัง
มู่จิ่วยักไหล่ก่อนกลับห้องไปเช่นกัน
อาฝูไม่ได้กลับมานาน คิดไม่ถึงว่ามาเพราะเรื่องสำคัญแบบนี้ ทุกคนยังไม่ทันได้รำลึกความหลังก็ต้องเตรียมตัวเดินทาง
มู่จิ่วก็ไม่มีอะไรต้องเตรียมตัว กลับห้องหยิบของที่ใช้ประจำสองสามชิ้นค่อยออกมา เห็นรุ่ยเจี๋ยกับเสี่ยวซิงดูอาฝูกินเนื้ออยู่ที่ระเบียงทางเดิน จึงเรียกซ่างกวนสุ่นมา “เจ้าช่วยข้าไปแจ้งหลิวจวิ้นที่หน่วยสักหน่อย บอกว่าข้าไปทำธุระที่ถิ่นทุรกันดารทางเหนือเล็กน้อย พวกเราเพียงไปดู จะรีบกลับมา ให้เขาอนุญาตลาพักที”
ความจริงถึงนางไม่ส่งซ่างกวนสุ่นไปก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่ ในเมื่อหลิวจวิ้นรู้แล้วว่าลู่หยาคือลู่ยา ย่อมไม่หลับหูหลับตาเตะนางออกจากทัพทหารสวรรค์ แต่อย่างไรนางก็เป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ เข้ามาแล้วต้องทำตามกฎ และหลิวจวิ้นก็ผ่อนปรนให้แก่นางมากแล้ว อย่างที่ ‘บรรพชนเทพหายนะ’ กล่าวไว้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีความเคารพขั้นพื้นฐานต่อผู้อื่น
รอจนอาฝูกินเนื้ออิ่ม ลู่ยาก็ออกมา เขาลากจื่อจิ้งขึ้นมาบนเมฆ ก่อนออกเดินทางไปยังดินแดนทุรกันดารทางเหนือ
จื่อจิ้งก่นด่าสาปแช่งไปตลอดทาง อย่างไรลู่ยาก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่สนใจเขา
มู่จิ่วกอดอาฝูนั่งบนเมฆ กังวลเรื่องพวกซื่ออินแทนเขา ไม่มีอารมณ์สนใจจื่อจิ้งเหมือนกัน
ไม่นานจึงเห็นภูเขาจิตอสุนีบาต ผ่านไปอีกสักพักก็ข้ามแผ่นดินทุรกันดารไปหลายร้อยลี้ เข้าสู่แผ่นดินเขียวขจี ทิวเขาหมู่บ้าน ทุ่งนาแปลงผัก จากนั้นก็เป็นตัวเมือง ความมีชีวิตชีวาแต่ละอย่างปรากฏออกมา
ไกลออกไปอีกหน่อยเห็นกองทัพทหารกองใหญ่ นายพลเทพทหารเทพปิดล้อมประตูเมืองอย่างมิดชิด เหนือประตูเมืองก็เต็มไปด้วยทหารกล้า
เมื่อเห็นเสือขาวที่รวมตัวอยู่บนภูเขา มู่จิ่วจึงรู้ว่าถึงอาณาจักรโหย่วเจียงแล้ว
ไม่ผิดจากที่คาด เมฆร่อนต่ำลง อาฝูยืดขาหน้าลุกขึ้น ไม่เพียงสีหน้าที่เปลี่ยนไปกระวนกระวาย แต่แววตาก็ร้อนรน
ในที่สุดจื่อจิ้งก็หยุดก่นด่าสาปแช่ง
เมฆมุ่งตรงไปเมืองหลวงของโหย่วเจียง เมืองหลวงคือเมืองอิ่งที่ตั้งอยู่บนเนื้อที่ส่วนเหนือทั้งหมดกลางอาณาจักรโหย่วเจียง ไฟสงครามยังเข้ามาไม่ถึงเมืองชั้นใน ประชาชนในเมืองนับได้ว่ายังอยู่อย่างสงบสุข บนถนนหญิงสาวจูงมือเด็กน้อยต่อราคาสินค้ากับผู้ขาย พ่อค้าทั้งหลายพิงกรอบประตูเจรจาการค้า เหล่านักเรียนเพิ่งออกมาจากโรงเรียน กระโดดโลดเต้นพูดเล่นอย่างมีความสุขราวกับนกน้อย
แต่เมื่อมีนายพลทหารขี่อาชาผ่านไป ทั้งถนนพลันสงบเงียบลงทันที กระทั่งคนและอาชาหายไปจากปากถนน บทสนทนาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที แต่ไม่ว่าชีวิตจะปกติเพียงใด สงครามที่ประชิดเมืองอยู่นี้ยังทำให้ผู้คนหดหู่
หลังจากเข้าเมืองหลวงแล้ว อาฝูพุ่งไปยังวังหลวงเพื่อแจ้งข่าวก่อน รอจนพวกลู่ยามาถึงกำแพงวัง ประตูวังก็เปิดออกแล้ว กลุ่มชายหญิงที่สวมเสื้อดำปักดิ้นคุกเข่ารอต้อนรับอยู่ที่ชั้นนอกประตูวังนานแล้ว สองข้างประตูวังมีแถวเป่ากลองยาวทอดมาจากด้านในวังถึงข้างนอกวัง ริ้วขบวนดูยิ่งใหญ่นัก
ลู่ยาลงไปที่พื้น เสียงอวยพรดังมาไม่ขาดสาย
มู่จิ่วมองสังเกตไปท่ามกลางหมู่คน เห็นเพียงจอนผมทั้งสองข้างของคนผู้หนึ่งด้านหน้าขาวเล็กน้อย หญิงที่มาด้วยกันถึงวัยกลางคนแล้ว ถึงแม้ไม่มีผมขาว แต่ริ้วรอยความกังวลระหว่างคิ้วชัดเจน ดูออกไม่ยากว่าคือราชาไท่ชีและราชินีของอาณาจักรโหย่วเจียง
และสองคนที่ขนาบข้างพวกเขาคงเป็นญาติในราชวงศ์ สวมเสื้อเกราะ กระบี่ที่ข้างเอวยังมีเลือดหยด บนแก้มทั้งสองข้างยังมีรอยเลือดอยู่
หญิงที่อยู่ข้างราชินีงดงาม รูปร่างหน้าตาอ่อนแรง แต่เกราะบนร่างทำให้นางดูองอาจขึ้นหลายส่วน คนผู้นี้คือเหลียงจี
เมื่อเทียบกับตอนที่หนีพ้นเงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ยมาได้ เหลียงจียิ่งดูซูบเซียวมากขึ้น และความเกรี้ยวกราดในดวงตานั้นก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
………………………………………………
บทที่ 284 อันตราย เจ้ารับ!
โดย
Ink Stone_Romance
“มีข่าวใหม่เกี่ยวกับองค์ชายซื่ออินหรือไม่?”
มู่จิ่วถามเหลียงจีตอนที่ลู่ยาพูดคุยกับพวกไท่ฉี่
เหลียงจีกัดฟันส่ายหน้า เดินไปยังธรณีประตูพลางตอบ “ถูกลักพาตัวไปเจ็ดแปดวันแล้ว โหย่งซยงก็ไม่คิดเลยว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะยกทัพมา ก่อนหน้านั้นซื่ออินไปส่งข่าวบอกโหย่วซยง พวกเขากลับทำเหมือนเรามีจุดประสงค์แอบแฝง จึงขับไล่ผู้ส่งสารออกมา เป้าหมายแรกของเซวียนหยวนฮุ่ยคือโหย่วซยง จากนั้นค่อยใช้โหย่วซยงเป็นทางผ่านโจมตีพวกเรา”
“ซื่ออินนำทัพออกรบด้วยตนเอง รบกันราวสามสิบกว่าวัน ปกป้องโหย่วเจียงอย่างมั่นคง แต่ไม่กี่วันก่อน พวกเขาพลันเปลี่ยนกระบวนทัพ กระบวนทัพนั้นพวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ซื่ออินไม่รู้ เพียงเข้าไปก็ถูกเซวียนหยวนฮุ่ยหลอก! ตอนนี้เป็นตายไม่อาจคาดเดาได้ ข้ารู้นิสัยของเซวียนหยวนฮุ่ย ดังนั้นจึงเข้าร่วมรบหลายครั้ง แต่ก็ทำอะไรเขาไมได้!”
“นี่ต้องเป็นค่ายกลพันมารแน่!”
มู่จิ่วยังไม่ทันตอบ จื่อจิ้งยื่นหน้าเข้ามา “ค่ายกลพันมารแรงมาแรงกลับ พวกเจ้าเอาชนะเขาไม่ได้หรอก!”
จื่อจิ้งเพิ่งพูดจบลู่ยาก็เคาะหัวเขาดังโป๊ก “ถึงได้เรียกเจ้ามารับเคราะห์แทนมิใช่หรือ?”
จื่อจิ้งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทุกเวลาล้วนอยากอยากให้เขาตายตกไปด้วยกัน
เหลียงจีตะลึงเล็กน้อย “ท่านนี้คือ?”
มู่จิ่วลากนางเข้าไปในห้อง “เมื่อครู่พูดว่ามารับเคราะห์แทนมิใช่หรือ?”
เมื่อเดินเข้ามาในตำหนักหลัก ราชาเสือขาวเร่งให้คนเข้ามารับใช้ วันนี้ลู่ยามิได้มาวางก้าม โบกมือให้พวกเขานั่งลง จากนั้นถามเรื่องสงครามตอนนี้
นายพลรุ่นเยาว์สวมเกราะสองคน คนหนึ่งคือต๋าเจาน้องชายของซื่ออิน อีกคนคือนายพลในอาณาจักรชื่ออวี๋เหิง สองคนนี้รับผิดชอบอารักขาเมืองหลวง คนที่เหลือไปรบประชิดชายแดน ส่วนเหลียงจีเพิ่งกลับมาจากสนามรบตอนเช้า หลังกลับมาก็ส่งอาฝูไปสวรรค์
ส่วนใหญ่สิ่งที่พวกเขาเล่าไม่ต่างจากที่เหลียงจีเล่ามากนัก แต่นายพลใหญ่อวี๋เหิงก็เพิ่งกลับมาจากแนวหน้าเมื่อวันก่อน เขาตามซื่ออินไปป้องกันตามแนวชายแดนอยู่นานนับเดือน เทียบกับเหลียงจีที่มีใจจดจ่อกับการช่วยคนรักแล้วย่อมรู้เรื่องราวความเป็นมามากกว่า
“ด้านเหนืออย่างสกุลหัวซวี สกุลเฉินเจียง แต่ละเผ่าล้วนเตรียมพร้อมรบไว้แล้ว แม้เซวียนหยวนฮุ่ยจะเก่งกาจ แต่คิดกำราบอาณาจักรมากมายถึงเพียงนี้ในพริบตาเดียวก็ยังไม่อาจทำได้ ตอนนี้แผนการรบของเขาคงต้องทำลายโหย่วเจียงของพวกเราก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากใช้วิชาปีศาจควบคุมพวกเราได้แล้วค่อยใช้มันส่งเผ่าเสือขาวไปตายแทนเขา”
“ก่อนองค์ชายหายไปเคยได้ข้อมูลกำลังทหารของพวกนั้นมา กำลังทหารจริงของเขามีเพียงห้าหมื่นนาย พวกเราเสือขาวมีถึงแปดหมื่นนาย ตามเหตุผลแล้วทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันขนาดนี้ ต้องไม่อาจถูกพวกเขาเข้าประชิดเมืองแน่ และพวกเราก็สามารถต้านไว้ได้สามสิบกว่าวันแล้ว”
“แต่เร็วๆ นี้ไม่รู้ว่าพวกเสือลายเหลืองใช้คาถาปีศาจอะไร แต่ละคนล้วนกล้าหาญดุดันชำนาญการต่อสู้ โต้ตอบรวดเร็วมาก ไม่พูดเกินจริงแม้แต่น้อย พวกเขาหนึ่งคนสามารถต้านทานพวกเราได้สามคน องค์ชายนำหอกกำราบมารไปก็สู้พวกเขาไม่ได้!”
ก่อนมู่จิ่วมาถึงได้รู้แล้วว่าค่ายกลพันมารที่มีวิญญาณร้ายควบคุมอยู่ร้ายกาจมาก จึงไม่ตกใจมากนัก
ลู่ยาพึมพำอยู่นาน หันหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือแล้วหยักนิ้วทำนาย ก่อนเอ่ย “ด้านตะวันออกเฉียงเหนือพลังหยินเข้มข้น มีผีวิญญาณเคลื่อนไหวอย่างมีรูปแบบ เซวียนหยวนฮุ่ยอาศัยวิญญาณร้ายสร้างค่ายกลพันมารจริงๆ ค่ายกลนี้รับมือยากมาก ยิ่งคนที่มีพลังบำเพ็ญลึกล้ำยิ่งเสียเปรียบ ดังนั้นซื่ออินถึงได้ตกหลุมพรางอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้วางใจได้”
ทุกคนได้ยินคำพูดนี้แล้วล้วนถอนหายใจโล่งอก แต่เงียบไปครู่ ราชาเสือขาวก็ถาม “ตอนเหลียงจีกลับมาไม่ได้บอกหรือว่าวิญญาณร้ายยังหลอมไม่เสร็จ? เขาทำสำเร็จได้อย่างไร?”
ลู่ยาตอบ “ข้าเดาว่าเซวียนหยวนฮุ่ยอาศัยวิญญาณร้ายสร้างค่ายกลพันมาร และคนที่อยู่เบื้องหลังเขาต่างหากที่มาเพื่อวิญญาณร้าย ตอนนี้วิญญาณร้ายและค่ายกลพันมารสร้างสำเร็จแล้ว สองคนนี้คงไม่ได้ติดต่อกันอีก ความทะเยอทะยานของเซวียนหยวนฮุ่ยคือปกครองทั้งเขตทุรกันดานทางเหนือ ตอนนี้คู่ต่อกรของพวกเจ้าคือเขา เรื่องอื่นไม่ต้องสนใจ”
ราชาเสือขาวพยักหน้ารับคำก่อนถามอีก “แบบนั้นไม่ทราบว่าค่ายกลพันมารนี้สามารถทำลายได้อย่างไร?”
ลู่ยาถอนหายใจ ยืนขึ้นแล้วตอบ “ค่ายกลพันมารสร้างขึ้นมาจากวิญญาณร้าย พลังหยินกลางค่ายกลเข้มข้นที่สุด ทำได้เพียงส่งคนที่พลังหยางเข้มข้นและบริสุทธิ์ที่สุดเข้าไป และคนผู้นี้วิชาต้องไม่แก่กล้ามากนัก หากวิชาแก่กล้าเกินไปจะเป็นการฆ่าตัวตาย ต่ำเกินไปก็เหมือนส่งแกะเข้าปากเสือ”
“พลังหยางเข้มข้นและบริสุทธิ์ที่สุด..” ราชาเสือขาวตะลึง
พลังหยางเข้มข้นและบริสุทธิ์ พูดตรงๆ คือเด็ก เด็กนั้นหาได้ไม่ยาก แต่ฝีมือไม่สูงไม่ต่ำเกินไปและยังต้องเข้าไปในค่ายกลนั้นได้อีก กลับหาได้ไม่ง่ายนัก
ลู่ยามองอาฝูก่อนเอ่ย “อาฝูเป็นลูกชายของซื่ออิน ตามเหตุผลแล้วควรไป”
“อาฝู?” มู่จิ่วตกใจ “เขายังเด็กขนาดนี้ จะไปได้อย่างไร?”
ราชาเสือขาวกับราชินีมีสีหน้ากังวล หลานรักคนนี้พวกเขาเพิ่งได้พบ ติดค้างความรักเขาไว้สามร้อยปี เวลานี้จะทนส่งเขาไปหาอันตรายได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น ซื่ออินก็อยู่ในเงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ยแล้ว หากยังสูญเสียอาฝูไปอีก แบบนั้นมันช่าง…
“ขอถามเซิ่งจุน ไม่ทราบว่ายังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่?” ราชาเสือขาวพูดอย่างสั่นกลัว
“ไม่มี” ลูยาประสานมือ ตอบอย่างเด็ดขาด “หากพวกเจ้าหวังดีกับเขา ครั้งนี้ต้องให้เขาไป”
“ใช่! สละชีพช่วยบิดา ถูกต้องตามครรลองฟ้าดิน!”
จื่อจิ้งโผล่หน้าเข้ามาพูดอีก
คราวนี้เป็นมู่จิ่วเคาะหัวเขาดังโป๊กแทน
ราชาเสือขาวได้ยินลู่ยาพูดเยี่ยงนี้จึงพยักหน้า มองไปทางเหลียงจี
เหลียงจีเม้มปากเดินออกมา ก่อนเอ่ย “ข้าจากบ้านไปห้าร้อยปี เลี้ยงลูกมาคนเดียว ทำให้ซื่ออินต้องวิ่งพล่านไปทั่วเพื่อช่วยข้า เรื่องนี้ข้าติดค้างเขา ตอนนี้ข้าไปไม่ได้ อย่างน้อยก็ควรเป็นเจ้าขาวน้อยไปช่วยพ่อเขาแทน ข้าไม่มีอะไรละทิ้งไม่ได้ หวังเพียงเจ้าขาวน้อยจะไม่ทำให้ราชาและราชินีผิดหวัง พาพ่อของเขากลับมาอย่างปลอดภัย!”
ราชินีหันหลังไปทั้งน้ำตาคลอ
ถึงแม้มู่จิ่วอาลัยอาวรณ์อย่างมาก แต่ลู่ยาต้องไม่ทำร้ายเขาแน่ ดังนั้นจึงนั่งยองลงไปตบๆ หัวออาฝู พูดกับเขาว่า “อาฝูช่างกล้าหาญ มีความสามารถนัก แต่ก่อนเคยช่วยข้าต่อสู้กับศัตรู ครั้งนี้ย่อมต้องพาพ่อกลับมาจากเงื้อมมือของเสือลายเหลืองได้ ใช่หรือไม่?”
อาฝูยกคางขึ้นดุนใบหน้านาง จากนั้นยกหางขึ้นหมอบลงกับพื้น ขยายขนาดตัวจนยาวจั้งกว่า แยกเขี้ยวกว้าง ส่งเสียงร้องของเสือ วิ่งวนอย่างรวดเร็วอยู่กลางอากาศสองรอบ ก่อนพุ่งออกไปไกลนอกประตูราวกับดาวตก!
เหลียงจีมองเขาที่ห่างกายไปไม่ถึงสองปี กลับถูกลู่ยาสั่งสอนมาได้เช่นนี้ กระบอกตาพลันร้อนผ่าวขึ้น
ลู่ยากลับหิ้วคอจื่อจิ้งขึ้นมา วาดคาถาลงไประหว่างคิ้วเขา จากนั้นยัดยันต์สองแผ่นให้เขาก่อนสั่ง “เจ้าตามอาฝูไป ช่วยเขาพาซื่ออินรัชทายาทของโหย่วเจียงกลับมา หากอาฝูเข้าไปในค่ายกลเมื่อใด เจ้าก็ตามหลังเขาเข้าไปแล้วเอายันต์สองแผ่นนี้แปะที่ทิศตะวันออกและตะวันตกด้านละแผ่น มีการต่อสู้ให้เขาสู้ มีอันตรายให้เจ้ารับ สรุปหน้าที่ของเจ้าคือไปปกป้องเขา”
“หากมีอะไรเกิดขึ้น ไม่ต้องถึงข้าลงมือ คาถาไฟสมาธิบนหน้าผากเจ้าจะช่วยข้าเผาเจ้าจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ดังนั้นแม้แต่โอกาสที่เจ้าจะเสียใจภายหลังก็ไม่มี”
……………………………………………
บทที่ 285 ความเก่งกาจของมหาเทพ
โดย
Ink Stone_Romance
จื่อจิ้งอาละวาดกลางอากาศ “เจ้าคนโหดเหี้ยมอำมหิต! เจ้าตั้งใจจะรังแกข้าอย่างไรกันแน่?”
“ข้าเป็นคนให้เจ้าติดตามข้ามาหรือ?” ลู่ยาเลิกคิ้ว น้ำเสียงเย็นเยียบราวกับลมหนาวพัดมา คิดรึว่าเขาทำอะไรจื่อจิ้งไม่ได้จริงๆ แค่จับจุดอ่อนเล็กๆ ของเขาได้มิใช่หรอกหรือ เท่านี้ก็คิดจะมาต่อกรกับเขาแล้ว ในเมื่อไม่กลัวตาย แบบนั้นก็ให้จื่อจิ้งตายเสียมากครั้งหน่อยแล้วกัน
จื่อจิ้งสำลักจนตาเหลือก แต่ก็ยังไม่ทันรอเขาพูดอออกมา ลู่ยาก็ขว้างเขาไปในทิศทางที่อาฝูลับตาไปราวกับก้อนดิน
“เจ้าคนสมควรตาย…จำไว้ก่อนเถอะ…”
เสียงด่าทอลอยมาตามลม ลู่ยาปัดๆ มือ เรียกราชาเสือขาวและคนอื่นที่อึ้งไปแล้ว “เข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะ”
ราชาเสือขาวรู้สึกตัว รีบพาพวกเขาเข้าไปในตำหนักชั้นใน
มีลู่ยามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่คอยดูแล ถึงแม้ความกังวลยังคงอยู่ แต่บรรยากาศในวังก็ดีขึ้นมาก
ราชาเสือขาวส่งองค์ชายรองต๋าเจาไปที่แนวหน้าเพื่อสืบข่าว ทุกหนึ่งเค่อต้องกลับมารายงาน ราชินีและเหลียงจีก็เฝ้าชะเง้อมองไม่หยุดที่หน้าประตูใหญ่ ถึงแม้อยากรู้ข่าวแต่ก็กลัวมีข่าวมาเหมือนกัน
ราชาเสือขาวจัดวังแห่งหนึ่งให้ลู่ยาและมู่จิ่วพักผ่อน ในวังมีสองชั้น มู่จิ่วอยู่ชั้นบน
แต่นางไหนเลยจะนั่งติดได้? เพิ่งขึ้นไปข้างบนเดินวนหนึ่งรอบก็ลงมาแล้ว
เมื่อลงมาแล้วก็เดินวนไปมา วังนี้สร้างได้แตกต่างจากวังของทิวเขาริ้วหยกและทะเลสาบน้ำแข็งมาก แต่เหมือนกับวังจิ้งจอกแห่งชิงชิวหลายส่วน ทว่ามิได้หรูหราฟุ่มเฟือยเท่า เทียบกับวังจิ้งจอกแล้วใหญ่โตโอ่อากว่า สวนในวังก็ไม่มีรูปสลักมากนัก มีต้นไม้มากมายที่มู่จิ่วไม่เคยเห็นมาก่อน ดูไปแล้วคงเป็นของที่บรรพชนทิ้งไว้
ตอนนี้ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วยาม ยังไม่เห็นมีข่าวที่มีประโยชน์มา นางกำลังจะออกไปข้างนอก เหลียงจีก็กลับเข้ามา “เจ้าขาวน้อยเข้าไปในค่ายกลแล้ว! ค่ายกลพันมารของพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหว!” นางหอบหายใจ แก้มซูบผอมทั้งสองข้างยามนี้ดูไปแล้วยิ่งขาวซีด สวมเสื้อเกราะอยู่บนกาย ดูไปแล้วบอบบางอย่างมาก
“พวกเราไปดูกันเถอะ!”
มู่จิ่วตบๆ มือนาง ร้องเรียกลู่ยา “พวกเราไปให้กำลังใจอาฝู!”
ลู่ยาจะปล่อยให้นางไปคนเดียวได้อย่างไร? พอพวกนางเริ่มก้าวออกประตูไป เขาก็ตามหลังไปทันที
ทิวทัศน์ภายใต้เมฆหมอกพร่าเลือน ไม่นานก็มาถึงด่านด้านเหนือที่รบราปะทะกัน
ทั้งสามหยุดบนป้อมประตูเมือง ถึงได้พบว่าราชาเสือขาวกับอวี๋เหิงตามมาแล้ว
เมื่อเห็นลู่ยามาถึง ราชาเสือขาวเอ่ย “ราวก่อนหน้านี้สองเค่อ เจ้าขาวน้อยเข้าไปในค่ายกลมารแล้ว เซียนรับใช้ที่มากับเซิ่งจุนก็ตามเข้าไปด้วย เซิ่งจุนคาดเดาได้แม่นยำ ค่ายกลนี้พลังหยินสูง หลังจากเจ้าขาวน้อยเข้าไปภายใน ค่ายกลมารของพวกเขามีท่าทีอ่อนกำลังลงทันที เพียงแต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าด้านในค่ายกลเป็นอย่างไร”
มู่จิ่วมองลอดรั้วไปไกลๆ เห็นเพียงนอกเมืองเป็นพื้นที่ขนาดราวห้าหกร้อยลี้เป็นที่ราบกับเนินเขาเตี้ยทั้งหมด ตอนนี้เนินเขาถูกครอบครองโดยทัพทหารของศัตรู ธงที่ปักตัวอักษรเซวียนหยวนสองตัวกับหัวเสือลายเหลืองหลายผืนกำลังโบกสะบัดไปตามลม เมฆดำบนฟ้าลดต่ำลงมา ลมหนาวพัดบนยอดเขาฝั่งตรงข้ามเป็นระลอก บางครั้งบางคราวกลิ่นคาวเลือดก็ลอยมาตามลม
มองเห็นบนพื้นที่นอกประตูเมืองซึ่งกว้างเกือบร้อยลี้ เป็นเงาดำของกลุ่มคน เงาคนและเงาเสือปะปนเข้าด้วยกัน ซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ชัดเจน เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร้รูปแบบ ลึกลับยิ่งนัก เสียงคำรามของเสือลอยมาบ่อยครั้ง ฟังไม่ออกแม้แต่น้อยว่าเสียงไหนคืออาฝู เสียงไหนคือเสือลายเหลือง แต่กลางค่ายกลกลับได้ยินเสียงกระดิ่งเล็กๆ ลอยแว่วมา นี่คงเป็นเสียงของจื่อจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงแม้ค่ายกลนี้ทำลายได้ยาก แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งสองยังไร้อุปสรรค”
ลู่ยาหยักนิ้วทำนาย คล้อยหลังจากที่เขาพูดคำนี้ พวกเขาก็สบายใจขึ้น
ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของเขาไม่กังวลเลย ราวกับแน่ใจแล้วว่าอาฝูต้องชนะ
ถึงแม้มู่จิ่วก็หวังให้เขาชนะเป็นที่สุด แต่อย่างไรเขาก็เป็นเสือน้อยที่นางเลี้ยงดูมาเกือบสองปี ปกติอย่างมากก็แบกนางเดินไปทั่ว ประมือกับคู่ต่อสู้รุ่นเล็กบ้าง เคยพบเจออันตรายเยี่ยงนี้เสียเมื่อไหร่? นางย่อมต้องกังวลเป็นธรรมดา
ผ่านไปแบบนี้สักครู่ ขบวนทหารนอกเมืองเริ่มเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว หากบอกว่าค่ายกลก่อนหน้านี้ถือว่าสงบนิ่งมั่นคง เช่นนั้นตอนนี้กลับเห็นได้ชัดว่าเสียกระบวน…
คล้อยหลังเสียงกระดิ่งแหลมสูงกลางอากาศ ด้านตะวันออกเฉียงใต้มีช่องโหว่เปิดออกมาก่อน จากนั้นตรงกลางค่ายกลพลันปรากฏลำแสงสีขาวออกมาหลายสาย ทันใดนั้นด้านตะวันออกและตะวันตกก็มียันต์วิเศษแผ่นใหญ่ลอยอยู่กลางอากาศ!
ต่อมาเสือขาวขนาดจั้งกว่าพลันกระโดดขึ้นมากลางอากาศ กวาดไปทั้งสี่ทิศราวกับสายฟ้า พริบตาเดียวก็ได้ยินเพียงเสียงคำรามของเสือดังสะเทือนแก้วหูดุจถล่มภูเขาล่มทะเล เสือลายเหลืองจำนวนมากกระเจิดกระเจิงออกมาทุกทิศประหนึ่งน้ำที่แตกกระเซ็นเพราะหิน ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เลือดเนื้อลอยกระจายไปทั่ว พลังวิญญาณแตกซ่านไปทุกทิศ เศษร่างเสือทำให้สมรภูมิรบย้อมไปด้วยโลหิตและเนื้อ!
ตอนนี้ลมหนาวหายไปแล้ว แสงทองส่องทะลุรอยแยกเมฆดำบนฟ้า วิญญาณจำนวนมากส่งเสียงร้องภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง สุดท้ายกลายเป็นควันเขียวสายหนึ่งกลับคืนสู่ผืนดิน
“เซวียนหยวนฮุ่ยออกมาแล้ว!”
มู่จิ่วกำลังมองอย่างลุ้นระทึก ตอนนี้เหลียงจีที่จับราวรั้วแน่นกลับพลันจับจ้องบนภูเขาตรงข้าม ในดวงตาคู่งามระเบิดประกายไฟออกมา
มู่จิ่วจ้องมองกำลังทหารกองใหญ่ลงมาจากภูเขาราวคลื่นยักษ์ คนที่อยู่ท่ามกลางผู้ที่นำหน้ามาหลายคนสูงราวแปดฉื่อ นัยน์ตาขวาง รูปร่างเหมือนเจดีย์ดำ ควบอยู่บนแรดยาวสองจั้งตัวหนึ่ง เขากวัดแกว่งขวานคู่ ตะโกนสั่งการ จากนั้นนายพลสิบกว่าคนข้างกายก็นำเสือลายเหลืองหลายพันตัวมุ่งไปเสริมค่ายกลที่พังทลายลง!
“เซวียนหยวนฮุ่ย เจ้าคืนซื่ออินของข้ามา!”
มู่จิ่วยังไม่ทันได้สติ คล้อยหลังเสียงตะโกนเกรี้ยวกราด เหลียงจีระเบิดโทสะพลันกลายร่างเป็นเสือขาวพุ่งเข้าใกลางขบวน!
“เหลียงจี!”
“พระชายา!”
มู่จิ่วร้องตะโกน ขณะเดียวกันก็มีนายพลหลายคนถือกระบี่ขึ้นไปทันที แม้แต่ราชาเสือขาวก็ร้อนใจ อยากเข้าไปร่วมทัพเช่นเดียวกัน!
“ทำอย่างไรดี? พวกเขาจะเป็นอันตรายหรือไม่?” มู่จิ่วถามลู่ยาอย่างร้อนรน
ลู่ยาขมวดคิ้วตอบ “ค่ายกลนี้ทลายแล้ว เพียงพวกเขาสามารถควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยได้ ก็ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว”
มู่จิ่วกับราชาเสือขาวผ่อนคลายลง
นอกประตูเมืองตกเข้าสู่การการปะทะกัน อาฝูพุ่งเข้าฉีกศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นายพลเสือขาวหลายนายแยกซ้ายขวาเพื่อปกป้องเขา ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมฟาดฟันกับศัตรู แต่เหลียงจีกลับพุ่งเข้าหาเซวียนหยวนฮุ่ยโดยตรง! นางเป็นลูกหลานของนายพล ตั้งแต่เด็กฝึกฝนการรบ ฝึกฝนวิชาต่อสู้ขั้นสูงมานานแล้ว แต่คู่มือของนางคือเซวียนหยวนฮุ่ย ศึกครั้งนี้กลับลำบากนัก!
“ข้าไปช่วยเหลียงจีได้หรือไม่?” มู่จิ่วถามลู่ยา
ลู่ยาตอบ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”
มู่จิ่วจึงทำได้เพียงอดกลั้น เลือกมุมที่เหมาะกว่าเดิมแล้วมองการรบ ตอนนี้ในสนามรบมีการเปลี่ยนแปลงอีก ได้ยินเพียงเสียงเด็กกระจ่างชัดดังขั้นมากลางอากาศ “มารดามันเถอะ! สัตว์เดรัจฉานขนเหลืองหลายตัวก็กล้ามารังแกข้า! ไม่ให้พวกเจ้าได้รู้ถึงฤทธิ์เดชของข้า ก็นับว่ามาเสียเปล่าแล้ว!”
…………………………………………………………
บทที่ 286 ปู่เจ้าเถอะ!
โดย
Ink Stone_Romance
พูดจบ กระดิ่งสำริดใหญ่ดุจเนินเขาลอยขึ้นกลางอากาศ พลันได้ยินบทสวดเหมือนกับเสียงสวดมนต์แต่ไม่เหมือนเสียงสวดมนต์ ราวกับการบรรเลงดนตรีแต่ก็ไม่เหมือนเช่นเดียวกัน ดังก้องขึ้นมาอย่างประหลาดและกังวาน จากนั้นคนในรัศมีร้อยลี้ที่สัมผัสกระดิ่งสำริดนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะบรรยาย!
ตัวอย่างเช่นกระบี่เล่มหนึ่งแต่เดิมต้องแทงทะลุร่างของฝั่งตรงข้าม กลับโชคร้ายถูกคนด้านข้างจับมัดเท้าไว้! เห็นอยู่ว่าจะสามารถกัดคู่ประมือตายได้แล้ว แต่เพียงอ้าปากกลับถูกหินจากฟ้าไกลยัดเข้าไปในคอ! ทั้งที่ช่วยกันโจมตีทั้งหน้าหลังของศัตรูได้ แต่คิดไม่ถึงว่าศัตรูจะพลันเคลื่อนออกไป คนทั้งสองหน้าหลังแทงทะลุอกกันเอง…
เสือลายเหลืองหลายพันตัวล้วนล้มตาย ในสนามรบพลันปรากฎไอมงคลที่อยากจะบรรยาย! เพราะไม่จำเป็นต้องให้เผ่าเสือขาวลงมือ ลำพังเสือลายเหลืองเองก็ทำลายตัวเองสิ้นแล้ว…
“ไม่กลัวที่จะบอกเจ้า แม้แต่เจ้าของวังชิงเสวียนคนนั้น ปู่เจ้ายังเล่นงานมาแล้ว ข้าจะจัดการพวกเจ้าไม่ได้เชียวหรือ?!”
มู่จิ่วมองกระดิ่งที่หยิ่งยโสนั่นตาค้าง
สีหน้าของลู่ยากลับดำเหมือนก้นหม้อไปแล้ว
ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สติปัญญาและการเตรียมพร้อมรบของเผ่าเสือขาวนับได้ว่าสูงพอควร ถึงแม้พวกเขาก็ไม่เข้าใจว่าเรื่องพลิกเป็นดีถึงเพียงนี้ได้อย่างไร แต่โอกาสไม่อาจสูญเสีย เวลาไม่อาจหวนกลับ นายพลหลายคนส่งสัญญาณมือ นำทหารกล้าโจมตีกลับอย่างพร้อมเพรียงทันที
เซวียนหยวนฮุ่ยที่แต่เดิมถือขวานมองเหยียดและต่อสู้กับทหารบริวารเห็นสถานการณ์นี้ ก็รีบเร่งพลังวิญญาณ ร่ายวิชาโจมตีกลับ แต่ไม่มีประโยชน์ คำสาปของกระดิ่งหุนหยวน แม้แต่ลู่ยายังต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงแก้ได้ เขาเป็นเพียงแค่เสือลายเหลืองจะทำอะไรเขาได้เล่า?
“ถอยทัพ!”
เมื่อเห็นท่าทางไม่ดี เขารีบออกคำสั่งพลันขึ้นขี่งูแดงทะยานไปกลางอากาศทันที จากนั้นกลับทิศทาง ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว
“เจ้าคนเลว จะหนีไปไหน!?”
เหลียงจีบันดาลโทสะ พุ่งตัวไปทางที่เซวียนหยวนฮุ่ยหายไปทันที!
อาฝูเห็นแม่ไปแล้ว ย่อมต้องตามไปด้วย อวี๋เหิงนำนายพลสองนายและทหารหนึ่งกองตามไป พริบตาเดียวก็หายไปในป่า
“ตอนนี้พวกเราไปได้แล้ว!” ลู่ยาพูดกับมู่จิ่ว จากนั้นหยิบน้ำเต้ายาวประมาณฉื่อหนึ่งออกจากกระเป๋าข้างเอวแล้วส่งให้นาง “ซื่ออินคงได้รับบาดเจ็บแน่ หลังจากพวกเจ้าเจอเขาแล้ว ให้เอาเขาใส่ในน้ำเต้านี้ ข้างในยังมีดอกบัวทองอีกหนึ่ง สามารถสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยได้” เขาพูดพลางหยิบดอกบัวทองมีก้านขนาดสองชุ่นให้นาง “ตอนเห็นเขาเพียงต้องใช้พลังวิญญาณกระตุ้นมันก็พอ”
มู่จิ่วรับมาก่อนถาม “เจ้าไม่ไปหรือ?”
“ข้าก็ไป แต่หากข้าพลัดหลงกับเจ้า เจ้าก็ใช้สิ่งนี้ควบคุมเขาได้”
มู่จิ่วพยักหน้าเข้าใจ เก็บของก่อนเรียกเมฆออกมา
จื่อจิ้งเพิ่งเก็บกวาดผลงาน เช็ดเหงื่อเต็มหน้าผากกลับมา กำลังจะถามว่าพวกเขาไปไหน? กลับถูกลู่ยาจับโยนขึ้นไปบนเมฆ
“พวกเราไปสังหารเซวียนหยวนฮุ่ย! อีกครู่หนึ่งให้เจ้าอยู่กับอาจิ่ว หากเกิดเรื่องกับนางข้าจะเผาเจ้าทันที!”
“ปู่เจ้าเถอะ! ข้าเพิ่งสู้เสร็จกลับมา…”
ลู่ยาเร่งพลังวิญญาณทันที พริบตาเดียวเมฆใต้เท้าก็บินจากป้อมกำแพงเมืองไปไกลแล้ว
ตอนนี้มู่จิ่วได้ยินเสียงด่าทอตลอดทาง เพียงแต่นางใจเย็น ทำเหมือนยุงบินหึ่งๆ คิดอีกทีคาถาเมื่อครู่ของเขาเกือบทำลายศัตรูจนสิ้น ดังนั้นจึงยินดีอย่างมาก แม้แต่ความโกรธที่เหลืออยู่เล็กน้อยก็ยังหายไปแล้ว
เดินทางไม่นานก็ตามพวกเหลียงจีทัน เหลียงจีชี้ไปข้างหน้า “เดินทางไปอีกพันลี้จะเป็นที่ตั้งกองทัพของเซวียนหยวนฮุ่ย ซื่ออินต้องอยู่ที่นั่นแน่!”
มู่จิ่วรีบหยิบขลุ่ยล่าเซียนออกมาเป่าบทเพลงท่อนหนึ่ง เห็นด้านหน้าไม่ไกลมีเสียงสะท้อนกลับมา เสียงของเซวียนหยวนฮุ่ยลอยมาแผ่วๆ นางจึงบอก “ในเมื่อเป็นแบบนี้ เช่นนั้นพวกเราช่วยคนย่อมสำคัญกว่า เจ้าทิ้งคนไว้ให้ข้า พวกเราแยกกันไป ข้ากับจื่อจิ้งและอาฝูไปยั้งเซวียนหยวนฮุ่ยไว้ พวกเจ้าทั้งสามพาคนไปหาซื่ออิน!”
เหลียงจีไม่มีความเห็น รีบเรียกอวี๋เหิงมาก่อนออกคำสั่ง “เช่นนั้นก็ขอฝากเจ้าขาวน้อยกับเซิ่งจุนและแม่นางแล้ว!”
พูดจบก็จุมพิตหัวอาฝู ก่อนมุ่งไปอีกทาง เร่งความเร็วมุ่งไปยังหุบเขาด้านหน้า
มู่จิ่วรอจนเห็นพวกเขาหายไปในเมฆหมอกใต้หุบเขา ถึงได้รู้ว่าที่แท้ทัพหลวงของเซวียนหยวนฮุ่ยก็อยู่ในหุบเขานี้
อวี๋เหิงเคยตามซื่ออินไปตั้งทัพอยู่นอกเมืองเดือนกว่า คุ้นเคยกับสถานการณ์ของศัตรูและพื้นที่นั้นมาก เขาเอ่ย “นี่เป็นเขตของโหย่วซยง โหย่วซยงถูกหนานเซียงทำลายแล้ว เซวียนหยวนฮุ่ยจึงนำทหารมาตั้งทัพที่นี่ได้ ตอนหนานเซียงบุกโหย่วซยงพวกเราก็เคยส่งคนมาช่วย ราชาของโหย่วซยงเข้าใจว่าพวกเราถือโอกาสมาปล้นสะดม จึงด่าทอพวกเราต่อหน้า”
“จนสุดท้ายวังของพวกเขาถูกเซวียนหยวนฮุ่ยทำลายราบเป็นหน้ากลอง มีคนเล่าลือว่ายังพบจดหมายเตรียมขอความช่วยเหลือจากโหย่วเจียงในอกของราชาโหย่วซยง” พูดถึงตรงนี้เขาอดกัดฟันไม่ได้ “หากตอนนั้นเขาไม่ดื้อรั้นถึงเพียงนี้ อาณาจักรก็คงไม่สูญสิ้น ตอนนี้สกุลหัวซวีนับว่าได้บทเรียนแล้ว และเฝ้าระวังทางตะวันออกเฉียงเหนือของหนานเซียงไว้อย่างแน่นหนา แต่หากไม่กำจัดเซวียนหยวนฮุ่ยก็ยังคงเป็นภัยในภายหลัง”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็ถามจื่อจิ้ง “เมื่อครู่เจ้าได้ชนเซวียนหยวนฮุ่ยหรือไม่?”
“เขาอยู่ห่างจากข้าขนาดนั้น ข้าจะชนกับเขาได้อย่างไร?” จื่อจิ้งมองค้อนนาง เขาเพียงเก่งเรื่องสยบมารกำราบปีศาจ ไม่ได้มีกำลังต่อสู้เท่าไหร่นัก ลู่ยาโดนคำสาปของเขาเพราะไม่ได้ระวังตัว หนำซ้ำเซวียนหยวนฮุ่ยดุร้ายขนาดนั้น ถึงแม้เขาพุ่งเข้าไปก็ใช่ว่าจะชนได้
แต่คำพูดนี้ไม่อาจบอกนางได้ เพราะแบบนั้นมันช่างน่าขายหน้านัก
ทว่าเขาไม่พูดมู่จิ่วก็ดูออก หลายวันนี้ไม่รู้ว่าถูกลู่ยาหิ้วเป็นลูกเจี๊ยบไปกี่รอบ หากเขาสามารถรบได้ ดิ้นรนได้ จะไม่ดิ้นรนหรือ? ไม่แน่ว่ากระทั่งซ่างกวนสุ่นเขาก็สู้ไม่ได้ แต่คำสาปโชคร้ายของเขาใช้ได้มาก คิดถึงสารรูปของลู่ยาที่ถูกเขาจัดการจนหน้าดำผมยุ่งเหยิงในตอนแรกแล้ว ก็ไม่อาจดูแคลนพลังพิฆาตของคำสาปโชคร้ายนี้ได้โดยแท้
ระหว่างที่พูดคุยก็มาถึงหุบเขาแล้ว กลางหุบเขาเละเทะ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ จานชามเสบียง และสิ่งของอื่นๆ ตกกระจายไปทั่ว แต่กลับไม่มีเสียงการเคลื่อนไหว เมื่อดูผนังหิน ถ้ำหินขนาดใหญ่ไม่มีพลังวิญญาณหลงเหลืออยู่เช่นกัน “ดูเหมือนพวกมันจะแยกย้ายไปแล้ว” ลู่ยาหยักนิ้วทำนาย ก่อนพูด
กำลังคิดจะเดินไปดูข้างหน้า เห็นเพียงบนพื้นมีคนปรากฎตัว เป็นพวกเหลียงจีนั่นเอง
“เซวียนหยวนฮุ่ยล่ะ?” มู่จิ่วถาม
“กลับไปหนานเซียงแล้ว! ข้างบนมีกรงหิน ด้านในมีเลือดของเสือ ข้าตรวจสอบแล้ว เป็นที่ที่เคยขังซื่ออินไว้ไม่ผิดแน่!”ลมหายใจของเหลียงจีกระชั้น ในดวงตาปรากฏม่านน้ำ
“ยังรออะไรอีก? พวกเราไปหนานเซียง!”
ลู่ยาตัดสินใจอย่างไม่ลังเล ขี่เมฆนำไปก่อนทันที
หนานเซียงห่างจากที่นี่สองพันลี้ ใช้เวลาเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเซวียนหยวนฮุ่ยไปทางไหน ตลอดทางมาไม่เห็นร่องรอยของพวกเขาเลย! หากไม่ใช่เหลียงจีกับอาฝูรู้ถึงกลิ่นอายของซื่ออินได้ และลู่ยาก็มั่นใจว่าเขากลับไปยังวัง นางต้องเข้าใจว่าตามผิดทางแน่!
…………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น