ยอดหญิงสกุลเสิ่น 274.2-275.2
ตอนที่ 274-2 ไพร่ซูหย่วนจือ
อำมาตย์ฝางมองดูเงาหลังที่ห่างออกไปช้าๆ ของบุตรชายคนโต ปากอ้าแล้วอ้าอีกสุดท้ายก็ไม่ได้เรียกออกเสียง ยามนี้ความรู้สึกในใจเขาร้อยแปดพันเก้า เสียใจภายหลังจนอยากตาย หากว่า หากว่ารู้ว่าบุตรชายคนรองคนที่สามและคนที่สี่ไร้สามารถถึงเพียงนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ทอดทิ้งบุตรชายคนโตนี่เด็ดขาด
ยามที่ซูหย่วนจือกลับถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง ศิษย์หญิงของเขาเสิ่นเวยได้จัดงานเลี้ยงรอฉลองให้เขาแล้ว มองความห่วงใยในตาของศิษย์หญิง ซูหย่วนจือรู้สึกอบอุ่นในใจ นึกถึงบุตรสาวตัวน้อยที่เสียชีวิตเมื่อนานมาแล้วขึ้นมาอีก
“ท่านหญิง ต่อไปตาเฒ่าต้องรบกวนท่านแล้วนะ” ท่านซูแย้มยิ้มอันอบอุ่นแล้วกอบมือใส่เสิ่นเวย
เสิ่นเวยย่นจมูก พูดอย่างตั้งใจมากว่า “เราคุยกันไว้นานแล้วมิใช่หรือ? บ้านปลายชีวิตท่านข้าจะเลี้ยงท่านเอง”
ท่านซูอดตาแดงไม่ได้ รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งเข้มขึ้นว่า “ดี”
ศิษย์หญิงคนนี้ช่างเหมือนบุตรสาวตัวน้อยของเขาจริงๆ เลย มีตาโตที่สุกใสเหมือนกัน จิตใจดีเหมือนกัน
เพราะเรื่องผู้ลี้ภัย ปีใหม่ทั้งทีสวีโย่วก็ไม่ได้ว่าง ทุกวันออกแต่เช้ากลับแต่มืด แม้เขาไม่ได้บอกเสิ่นเวย ทว่าเสิ่นเวยก็เดาได้ว่าเขาสืบอะไรอยู่
อันว่าผู้ลี้ภัย ก็เป็นเพียงชาวนาที่ไม่มีข้าวกินมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ในมือถืออาวุธก็เป็นเพียงแค่จอบและมีดผ่าฟืนเท่านั้น พวกเขาทำลายประตูเมืองเข้าเมืองหลวงมาได้อย่างไร? ในนี้ไม่มีเงื่อนงำ เสิ่นเวยไม่เชื่อหรอก แน่นอนฮ่องเต้ยงเซวียนยิ่งไม่เชื่อใหญ่ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าใครเปิดประตูสะดวกให้ผู้ลี้ภัย? ใครทรยศเขา?
ปีนี้เป็นปีการสอบขุนนาง เมื่อพ้นเดือนอ้ายในเมืองหลวงก็ยิ่งครึกครื้นขึ้นมา ผู้เข้าสอบจากทุกที่มารวมตัวกันที่เมืองหลวงตามๆ กัน ล้างหมอกควันที่มาจากผู้ลี้ภัยจนหมด
ผู้คุมสอบในการสอบฤดูใบไม้ผลิครั้งนี้กำหนดได้แล้ว คือท่านซ่างซูจากฝ่ายพิธีการถังจิ้น นี่ทำให้ฝ่านรัชทายาทกระหยิ่มยิ้มย่อง ไม่ใช่อะไร ถังจิ้นผู้นี้เคยสอนหนังสือให้รัชทายาทมาก่อน นับได้ว่าเป็นคนของรัชทายาทกระมัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผู้เข้าสอบบในฤดูกาลนี้ก็ต้องกลายเป็นคนของรัชทายาทั้งหมด เขาจะไม่ดีใจได้อย่างไรกัน?
องค์รัชทายาทตั้งแต่ที่ยืนยันข่าวนี้ก็สุขสมหวังได้ใจ เวลาเดิมศีรษะก็เชิดสูงขึ้นสามส่วนอย่างไม่รู้ตัว ต่อให้เห็นคู่ปรับเสด็จพี่รองของเขาก็ไม่รังเกียจดังเดิมแล้ว เขารู้สึกว่าเสด็จพ่อเขาทำอะไรยังคงเหมาะสมมาก ยังคงเห็นความสำคัญในตัวรัชทายาทคนนี้มากทีเดียว
ฝ่ายรัชทายาทดีใจแล้ว ด้านองค์ชายรองย่อมเสียดาย วิ่งเต้นดูว่าจะเอาตำแหน่งรองผู้คุมสอบมาได้หรือไม่ อย่างน้อยก็ยังสามารถแย่งบุคลากรมาได้บ้างอย่างไรล่ะ มีเพียงมหาเสนาบดีฉินที่ไม่กระโตกกระตาก ท่าทางสุขุมใจเย็น
การสังสรรค์ของเสิ่นเส้าจวิ้นก็มากขึ้นมา วันนี้งานโคลงกลอน พรุ่งนี้งานต่อบทเพลง ยุ่งอย่างมีความสุขยิ่งนัก
วันนี้พลบค่ำ เขากลับจากร่วมงานโคลงกลอน กลับถูกหวังหลานเอ๋อร์ที่เคยช่วยไว้ขวางทางไว้ว่า “คุณชายเสิ่น ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ” นางคุกเข่าวิงวอนกับพื้น
เสิ่นเส้าจวิ้นตกใจแทบกระโดด “มะ แม่นางหวังนี่เจ้าทำอะไร? รีบลุกขึ้นมาเร็ว”
หวังหลานเอ๋อร์คนนั้นกลับเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ลุกขึ้น วิงวอนอย่างทุกข์ทนว่า “คุณชายเสิ่น ได้โปรดช่วยข้าน้อยด้วยเถอะ เรือนที่ข้าน้อยอยู่มีอันธพาลคนหนึ่ง บังคับให้ข้าน้อยแต่งงานกับเขา ข้าน้อยไม่ยินยอมนี่นา คุณชายเสิ่น ข้าน้อยแม่ลูกไม่มีญาติมิตรในเมืองหลวง จึงได้แต่มาขอร้องท่าน ท่านก็เห็นแก่ที่ข้าน้อยแม่ลูกน่าสงสาร ยื่นมือช่วยข้าน้อยด้วยเถอะเจ้าค่ะ ข้าน้อยโขกศีรษะให้ท่านแล้ว”
หวังหลานเอ๋อร์แหงนใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาว่า “คุณชายเสิ่น ท่านเป็นคนดี ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว ขอร้องท่านแล้ว” นางร้องไห้สะอึกสะอื้น ใบหน้าเศร้าโศก
เสิ่นเส้าจวิ้นลำบากใจจริงๆ เขาเห็นใจหวังหลานเอ๋อร์มากก็จริง ทว่าเขาเป็นเพียงผู้เข้าสอบ ไม่ใช่ขุนนางเสียหน่อย จะยุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไรกันล่ะ?
“แม่นางหวังเจ้าลุกขึ้นมาพูดดีกว่า คุกเข่าเช่นนี้เหมือนอะไร? คนอื่นยังนึกว่าข้ารังแกเจ้าเสียอีก” ฟู่กุ้ยที่ตามอยู่ข้างหลังเห็นท่าทางของคุณชายบ้านเขา กังวลว่าคุณชายตนโรคใจอ่อนจะกำเริบอีก จึงรีบวิ่งขึ้นไปว่า “เรื่องนี้เจ้าขอร้องคุณชายข้ามีประโยชน์อะไร? คุณชายข้าเองยังพึ่งพาคนอื่นอยู่เลย เรื่องนี้เจ้าควรไปแจ้งทางการ”
“ใช่ๆๆ แม่นางหวังเจ้าลุกขึ้นมาพูดก่อน ฟู่กุ้ยพูดได้ถูกต้อง เขาหากบังคับเจ้า เจ้าก็ไปแจ้งทางการสิ ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ แผ่นดินสงบสุข ย่อมมีขุนนางออกหน้าแทนเจ้า “เสิ่นเส้าจวิ้นเห็นฟู่กุ้ยเข้ามาในที่สุดก็โล่งใจ เรื่องนี้ไม่ควรยุ่งจริงๆ ไม่ได้เป็นอะไรกัน จะยุ่งได้อย่างไร? หลังหลานเอ๋อร์เป็นหญิงสาวอายุกำลังสะพรั่ง น้องเวยเตือนเขาไว้นานแล้ว อย่ายุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ดีกว่า
หวังหลานเอ๋อร์กลับออกแรงส่ายหน้า ถลาเข้ามากอดขาสองข้างของเสิ่นเส้าจวิ้นไว้โดยพลัน “คุณชายเสิ่น ข้าน้อยแม่ลูกล้วนเป็นสตรีไม่รู้ความ รู้ที่ไหนว่าประตูใหญ่ของทางการเปิดไปทางไหน? ขอร้องท่านทำดีทำให้ถึงที่สุด ก็ช่วยข้าน้อยหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นข้าน้อยก็มีแต่ทางตายทางเดียวแล้ว ขอร้องล่ะ ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว”
“เจ้า นี่เจ้าทำอะไร? ปล่อย รีบปล่อย ชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน แม่นางหวังเจ้าทำเช่นนี้เหมือนอะไร?” เสิ่นเส้าจวิ้นตกใจหน้าถอดสี ดิ้นรนพลางจะถอยหลังไป ทว่าหวังหลานเอ๋อร์กอดขาเขาไว้แน่น วิงวอน ร่ำไห้ อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย ดึงให้คนผ่านไปมาไม่น้อยต่างหยุดเดินมุงดู
ฟู่กุ้ยก็ตกใจมาก ย่อตัวลงออกแรงแกะมือของหวังหลานเอ๋อร์ แล้วต่อว่าเสียงดังว่า “บอกแล้วว่าให้เจ้าไปแจ้งทางการมิใช่หรือ? เจ้าเกาะแกะคุณชายข้าทำอะไร? รีบปล่อยคุณชายข้านะ บอกแล้วว่าเรื่องของเจ้าคุณชายข้ายุ่งไม่ไหวหรอก เจ้าทำให้ผู้อื่นลำบากใจมิใช่หรือ?”
ฟู่กุ้ยดูถูกหวังหลานเอ๋อร์คนนี้จะตาย ระหว่างทางมาเมืองหลวงก็คิดจะเข้าหาคุณชาย บัดนี้ยังคิดจะเกาะแกะคุณชาย ถุย ก็ไม่ดูสารรูปตนเองเสียหน่อย สาวใช้ขั้นสองในจวนกั๋วกงยังมีเกียรติกว่านางเลย”
“คุณชาย เรารีบไปกันเถอะ” ฟู่กุ้ยเกาะมือของหวังหลานเอ๋อร์ออก ลากคุณชายบ้านเขาก็จะจากไป
เสิ่นเส้าจวิ้นมองหวังหลานเอ๋อร์ที่ล้มนั่งอยู่บนพื้น ในใจทนทำใจไม่ได้เล็กน้อย จึงถอนใจว่า “ฟู่กุ้ย เอาเงินให้นางสองตำลึง”
“คุณชาย” ฟู่กุ้ยเรียกอย่างไม่พอใจมาก แม้คุณชายอยู่ในจวนหย่งกั๋วกง ในจวนใจกว้าง ดูแลอาหารความเป็นอยู่เสื้อผ้าและพู่กันหมึกกระดาษ อีกทั้งยังให้เงินรายเดือนใช้ ทว่าสุดท้ายก็ไม่ใช่บ้านตนเอง คุณชายยังมีงานสังสรรค์มากปานนั้น แต่ละอย่างล้วนต้องคำนวณอย่างละเอียด ให้เจียดสองตำลึงออกมาให้คนไม่เกี่ยวข้องกันอีก ฟู่กุ้ยไม่ยินยอมมาก
“ให้เถอะ” เสิ่นเส้าจวิ้นว่า “แม่นางหวังเจ้าเอาเงินนี่เปลี่ยนที่อยู่ก่อนเถอะ” ที่เขาสามารถช่วยได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว
ฟู่กุ้ยได้แต่ล้วงเศษเงินออกมาสองตำลึง วางไว้ข้างเท้าหวังหลานเอ๋อร์อย่างเสียดายมาก “อ้าว รีบเอาแล้วไปเสีย อย่ามาเกาะแกะคุณชายข้าอีกนะ”
เสิ่นเส้าจวิ้นนายบ่าวสองคนรีบๆ จากไป เหลือเพียงหวังหลานเอ๋อร์ทรุดนั่งร้องไห้เศร้าโศกอยู่บนพื้น
คนเดินผ่านไปมาจับกลุ่มกันวิจารณ์ขึ้นมา
“แม่นางคนนี้ดูแล้วน่าสงสารจัง นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“จะเป็นอะไรไปได้? ก็ถูกคุณชายเศรษฐีทอดทิ้งมิใช่หรือ?”
“แม่นางนี่ก็โง่ ไม่หัดคิดดู คนเขาเป็นลูกหลานเศรษฐี จะแลหญิงสาวสามัญชนอย่างเจ้าหรือ? ตอนนี้มาเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว จื้ดๆ น่าสงสาร น่าสงสารจริงๆ”
“ฮึ ลูกหลานเศรษฐีพวกนั้นไม่มีดีสักคน ผิดเป็นครู แม่นาง อย่างไรเจ้าก็รีบกลับบ้านไปดีกว่า”
“คุณชายคนนั้นดูดีทีเดียว ของบ้านไหนน่ะ?”
“ข้ารู้ ข้ารู้ เขาเป็นคนของจวนหย่งกั๋วกง เป็นหลานของบ้านเก่าหย่งกั๋วกง ข้าเป็นคนส่งฟืนให้จวนหย่งกั๋วกง เคยเห็นเขาในจวนสองครั้ง”
“มิน่าล่ะ ที่แท้เป็นลูกหลานขุนนางหรือนี่ แยกย้าย แยกย้าย รีบแยกย้ายเถอะ ระวังหาเรื่องใส่ตัว”
คนเดินไปมาแยกย้ายกันไป ไม่มีใครสังเกตเห็นเกี้ยวหลังเล็กๆ ที่หยุดอยู่ข้างถนน ที่นั่งอยู่ในเกี้ยวก็คือคุณชายของจวนเฉิงเอินกง สหายสนิทของสวีฉ่าง เห็นเพียงเขาหน้าตาตื่นเต้น เหมือนเก็บสมบัติล้ำค่าได้อย่างไรอย่างนั้น
จวนหย่งกั๋วกง? นั่นมิใช่บ้านพ่อตาของผิงจวิ้นอ๋องหรือ? ฮึ ผิงจวิ้นอ๋อง คนแซ่สวี เจ้าล่วงเกินข้า เจ้าก็คอยดูแล้วกัน
ประชุมเช้าวันต่อมา ก็มีผู้ตรวจการกล่าวโทษว่าท่านราชครูเสิ่นให้ท้ายหลานชายทอดทิ้งสตรี นิสัยเลวร้าย
ตอนที่ 275-1 ใจดีส่งเดชทำให้คนตายได้
ผู้ตรวจการที่ร้องเรียนราชครูเสิ่นแซ่เสอ นิสัยเหมือนแซ่ของเขา ซื่อตรงจนไม่รู้จักงอ
เมื่อร้องเรียนออกไป ก็เกิดความโกลาหลไปทั้งท้องพระโรง ฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร สีหน้าสงบ ไม่พูดอะไรสักคำ ผู้ตรวจการเสอผู้นั้นยังพูดอย่างเดือดดาลอยู่ข้างล่าง ท่าทางเที่ยงตรงเป็นธรรม
สายตาที่เหล่าขุนนางมองไปที่เขาประหลาดนักแล ผู้ตรวจการเสอคนนี้อยากได้ชื่อเสียงจนบ้าไปแล้วหรือ ราชครูเสิ่นเป็นใคร นั่นคือขุนนางคนสำคัญคนสนิทของฝ่าบาท เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นหย่งกั๋วกงเพราะอารักขาฝ่าบาท ได้ยินว่าบัดนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี หมอหลวงสองท่านแห่งสำนักหมอหลวงยังอยู่ที่จวนหย่งกั๋วกงไม่กลับเลย ฝ่าบาทผ่านไปไม่พระราชทานรางวัลก็ส่งคนไปเยี่ยมแทบไม่เว้นวัน
บัดนี้เจ้าผู้ตรวจการเสอร้องเรียนราชครูเสิ่น โทษนั่นฟังแล้วก็รู้ว่าน้ำขุ่นๆ นี่มิใช่จี้ใจดำฝ่าบาทหรือ ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาทไม่อยากสนใจ ผู้ตรวจการเสอคนนี้แม้แต่สีหน้าคนก็ดูไม่เป็น ดูท่าทางตำแหน่งนี้จะอยู่ได้ไม่นานแล้ว
จวนหย่งกั๋วกงกลับไม่ได้ตื่นตระหนก ก่อนอื่นผู้ที่ฉงนใจคือรัชทายาท แม้ราชครูเสิ่นจะสอนเขาเพียงไม่กี่วัน ทว่าในนามก็เป็นท่านอาจารย์ของเขาอยู่ดี มีฐานะอาจารย์ศิษย์นี้อยู่ ราชครูก็คือพันธมิตรโดยปริยาย แม้ราชครูเสิ่นไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างเขา ทว่าขอเพียงเขาไม่เอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่งก็ถือได้ว่ายืนอยู่ข้างเขา อย่างไรเสียเขาก็คือรัชทายาที่เสด็จพ่อแต่งตั้ง เป็นตัวแทนของสายโลหิตอย่างถูกต้อง
บัดนี้กลับดี คนของเขาเพิ่งได้งานควบคุมการสอบฤดูใบไม้ผลิก็มีคนร้องเรียนราชครูเสิ่น นี่หมายความว่าอย่างไร ดูให้ดีๆ ผู้ตรวจการเสอที่สีหน้ามีคุณธรรมพูดจนน้ำลายกระเด็นผู้นั้นก็คือเขยในตระกูลของท่านตาเขามิใช่หรือ ท่านตาและท่านลุงตกลงทำบ้าอะไรอยู่ รัชทายากอยากรีบวิ่งกลับไปจวนเฉิงเอินกงถามเสียงดังสักคราจริงๆ
ไม่เพียงฝ่ายรัชทายากพบสถานการณ์นี้ ขุนนางที่ตาสว่างในท้องพระโรงต่างพบแล้ว ดังนั้นสายตาที่พวกเขามองไปที่รัชทายาทประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
อาจเพราะการร้องเรียนของผู้ตรวจการเสอสะเทือนเลื่อนลั่นเกินไปกระมัง ไม่ถึงครึ่งวันก็ลือไปทั่วเมืองหลวง ไม่กล่าวถึงถึงคดีของรัชทายาทและบ้านท่านตาของเขา ด้านจวนหย่งกั๋วกงนี้เสิ่นหงเหวินก็เรียกเสิ่นเซ่าจวิ้นเข้าไปถามเหตุการณ์ด้วยตนเอง เสิ่นเซ่าจวิ้นก็มิได้ปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด รวมทั้งเล่าว่าช่วยหวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกไว้อย่างไร เห็นพวกนางน่าสงสารพาเข้าเมืองหลวงมาตลอดทางอย่างไร และไหว้วานเสิ่นเวยไว้อย่างไร อีกทั้งยังมีเรื่องที่หวังหลานเอ๋อร์วิงวอนก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แม้แต่เรื่องที่เขาให้นางสองตำลึงก็พูด เพราะเรื่องนี้ทำให้ผู้ตรวจการร้องเรียนท่านปู่ ในใจเสิ่นเซ่าจวิ้นรู้สึกผิดเหลือเกิน
พอเสิ่นหงเหวินได้ยินเรื่องที่หลานในตระกูลคนนี้พูดตรงกับที่เขาสืบมาได้ ไม่เพียงไม่พาลโกรธเขา ตรงกันข้ามกลับปลอบใจเขาว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จวนของเราฝ่าบาทโปรดปรานเกินไป เป็นที่สะดุดตาผู้อื่น ต่อให้ไม่มีเรื่องของเจ้าพวกเขาก็สามารถหาเรื่องอื่นมาได้ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดอะไร ทบทวนการเรียนให้สบายใจ เตรียมการสอบฤดูใบไม้ผลิให้ดี พยายามให้ชื่อขึ้นกระดานทองคำให้ได้”
จวนหย่งกั๋วกงไม่เอามาใส่ใจ เรื่องนี้โทษเสิ่นเซ่าจวิ้นไม่ได้จริงๆ เพราะเขาทำดีช่วยเหลือผู้อื่น จะโทษก็ต้องโทษผู้ตรวจการเสอที่กลัวว่าใต้หล้าจะวุ่นวายไม่พอ แม้แต่เหตุการณ์ยังไม่สืบให้แน่ชัดร้องเรียนสุ่มสี่สุ่มห้าก็เพื่อสร้างชื่อเสียงมิใช่หรือ
ทว่าเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับพบความกลัดกลุ้มที่ไม่เคยพบมาก่อน เมื่อก่อนเพราะเขาเป็นหลานของหย่งกั๋วกง ออกไปสังสรรค์ข้างนอกทุกคนล้วนให้ความสำคัญแก่เขา พี่เสิ่นอย่างนั้นพี่เสิ่นอย่างนี้ ท่าทีสนิทสนมเหลือเกิน
ตั้งแต่ที่มีเรื่องร้องเรียนออกมา เสิ่นเซ่าจวิ้นก็พบว่าท่าทีของสหายก่อนหน้านี้ที่มีต่อเขาเปลี่ยนไป โกรธด่าว่าเขานิสัยชั่วร้ายไม่มีค่าควรแก่การคบหาก็มี เพิกเฉยแบบไม่ร้อนไม่หนาวก็มี ล้อเลียนเขาว่าดวงนารีไม่เลวก็มี ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีคนยอมฟัง อีกทั้งยังทำท่าทางเหมือนเข้าใจตบไหล่เขาปลอบใจว่า “เข้าใจ เข้าใจ บุรุษไม่เจ้าชู้ก็เสียทีที่เกิดเป็นชาย ฮ่าๆ!”
นี่ทำให้เสิ่นเซ่าจวิ้นท้อแท้เหลือคณา หลังจากนั้นไม่กี่ครั้งก็ไม่ออกไปร่วมงานสังสรรค์ของบัณฑิตอีก ทว่าอยู่อ่านตำราในจวนก็อ่านไม่เข้าหัว เขารู้สึกอัดอั้นตันใจจากก้นบึ้งของหัวใจ เห็นชัดว่าเขาช่วยเหลือคนอื่น ทว่าบัดนี้ใครๆ ต่างบอกว่าเขาเจ้าชู้บ้ากามทอดทิ้งสตรี แม้เขาความรู้ไม่มาก กลับรู้ว่าหากมีชื่อเสียงเช่นนี้ติดตัวต่อให้เขามีชื่อขึ้นกระดานทองคำในการสอบฤดูใบไม้ผลิก็ไม่มีอนาคตอยู่ดี
ในเวลานี้เอง เสิ่นหู่โถวมาเชิญเขาแล้วว่า “ท่านอาเซ่าจวิ้น ท่านอาเวยเชิญท่านไปจวนจวิ้นอ๋องสักคราน่ะ”
เสิ่นเซ่าจวิ้นตามหู่โถวมาถึงจวนผิงจวิ้นอ๋อง เสิ่นเวยเปิดอกถามเขาว่า “ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น บัดนี้รสชาติเป็นเช่นไร”
คำพูดง่ายๆ ประโยคหนึ่งก็ทำให้เขาละอายใจจนคิดจะหาซอกบนพื้นมุดเข้าไป “น้องเวย พี่ละอายใจนัก!” เสียใจที่ไม่ฟังที่เสิ่นเวยพูด ไปให้ไกลจากหวังหลานเอ๋อร์นั่น มิเช่นนั้นจะมีเรื่องกลุ้มใจตามมา
เสิ่นเวยกลับไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจจนเกินไป หากแต่พูดว่า “ครั้งก่อนข้าก็เตือนสติท่านแล้ว ท่านไม่ใส่ใจ บัดนี้รู้ความร้ายกาจแล้วสิ ไม่ว่าความจริงคืออะไร ทว่าปากหลายคนย่อมสามารถละลายทองได้* เรื่องเท็จพูดร้อยรอบก็กลายเป็นจริงแล้ว ขุนนางมากมายตกม้าตายก็เพราะเหตุนี้”
เสิ่นเซ่าจวิ้นตั้งใจฟังเอ่ยว่า “ขอน้องเวยสอนข้าด้วย!” เขาคำนับเสิ่นเวยอย่างหนักหน่วงทีหนึ่ง
เสิ่นเวยพยักหน้าในใจ สามารถฟังการเตือนของผู้อื่นได้ ยังถือว่ามีทางช่วย
“ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นเชิญนั่งเร็วๆ ฟังน้องอธิบายให้ท่านฟัง” เสิ่นเวยว่า “เรื่องนี้ว่าไปแล้วจะโทษญาติผู้พี่ทั้งหมดก็ไม่ได้ ญาติผู้พี่เติบโตที่ชนบท ย่อมไม่เคยเห็นปากหวานก้นเปรี้ยวในวงการขุนนาง คนชนบทมีน้ำใจ ญาติผู้พี่ย่อมไม่เข้าใจความคิดที่ต่ำช้าของคนเยี่ยงหวังหลานเอ๋อร์เป็นธรรมดา”
“เราเริ่มพูดจากหวังหลานเอ๋อร์ผู้นี้ก่อนเถอะ แม่ลูกคู่นี้ข้าเคยเห็นครั้งหนึ่ง มารดาเป็นคนซื่อเจียมเนื้อเจียมตัวดีอยู่หรอก พอข้าบอกให้พวกนางอยู่ทำงานในจวนจวิ้นอ๋อง นางก็มีสีหน้าปีติ ดูออกว่านางอยากอยู่ที่นี่ยิ่งนัก หวังหลานเอ๋อร์กลับไม่เต็มใจ แม้ข้ออ้างที่หาก็นับว่าสมเหตุสมผล ทว่ายังคงปิดบังความจริงที่นางมักใหญ่ใฝ่สูงไม่ได้ นางพูดแต่ว่าจะตอบแทนบุญคุณ จะเป็นสาวใช้ปรนนิบัติรับใช้ท่านข้างกาย ที่จริงก็แค่วางแผนจะเป็นอนุเท่านั้น”
เสิ่นเซ่าจวิ้นเบิกตาโพรงด้วยความตกตะลึงว่า “เป็นอนุ ไม่ได้หรอก ข้าไม่มีทางรับอนุเด็ดขาด” อนุ นั่นเป็นของที่บ้านคนมีเงินถึงนิยมมีกัน หนุ่มยากจนที่เติบโตในชนบทเช่นเขาจะรับอนุได้อย่างไรกัน อย่าว่าแต่เลี้ยงไม่ไหว ต่อให้เลี้ยงไหว หากท่านปู่รู้เข้าจะไม่หักขาเขาหรือ ยามที่มาท่านปู่ก็เตือนเขาแล้ว บอกว่าภรรยาเขาคลอดบุตรชายให้เขาแล้ว หากเขาอยู่ข้างนอกเกิดคิดนอกลู่นอกทางไม่รักดี เช่นนั้นก็อย่าโทษเขาที่ไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ปู่หลานกันเลย
เสิ่นเวยเห็นท่าทางตกใจกลัวเหลือคณาของเขาแล้ว หัวเราะอย่างไม่เกรงใจว่า “ไยจึงไม่ได้ หวังหลานเอ๋อร์คนนั้นเห็นว่าตนอายุน้อยหน้าตาสะสวย จึงมีความคิดเช่นนี้ พวกนางแม่ลูกพอออกจากประตูของจวนผิงจวิ้นอ๋อง ข้าก็ใช้คนตามพวกนางแล้ว เรือนที่พวกนางอยู่นั้นมีเด็กหนุ่มชื่อต้าหู่คนหนึ่ง เป็นคนซื่ออีกทั้งยังขยันทำงาน ซ้ำยังมีฝีมือทำขนมแป้งทอด ต้องตาหวังหลานเอ๋อร์เข้า วันๆ ช่วยพวกนางแม่ลูกทำงานหนักเช่นพวกหาบน้ำผ่าฟืน หวังหลานเอ๋อร์หากแต่งงานกับเขาก็เป็นเนื้อคู่ที่สมบูรณ์พร้อมมิใช่หรือ แต่ไม่ว่าอย่างไรหวังหลานเอ๋อร์ก็ไม่เห็นเขาในสายตา เพราะรู้สึกว่าต้าหู่คนนั้นไม่มีอำนาจไม่สามารถมอบชีวิตมั่งคั่งให้นางได้มิใช่หรือ”
เสิ่นเวยยกถ้วยชาขึ้นจิบสองอึก แล้วพูดต่อว่า “ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านร่ำเรียนมาตั้งแต่เด็ก เข้าใจความคิดของผู้หญิงประเภทหวังหลานเอ๋อร์ที่ไหน เกรงว่าตั้งแต่ที่ท่านช่วยพวกนางแม่ลูกที่อำเภออินหู นางก็เกิดความคิดนี้ขึ้นแล้วกระมัง มิเช่นนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เหตุใดนางต้องตามท่านเข้าเมืองหลวงด้วย เป็นบ่าวอยู่จวนผิงจวิ้นอ๋องไม่ได้ ไปเป็นสาวใช้ข้างกายท่านก็พอใจแล้ว นี่มิใช่ขัดแย้งกันเองหรือ”
มีเสิ่นเวยอธิบายเช่นนี้ เสิ่นเซ่าจวิ้นรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตากว่าความรู้ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมาของเขาเสียอีก หวังหลานเอ๋อร์ที่ดูน่าสงสารบอบเบาไม่คิดว่าจะมีโฉมหน้าน่ารังเกียจปานนั้น น่ากลัว น่ากลัวเหลือเกิน
“พูดเรื่องหวังหลานเอ๋อร์จบแล้ว เรามาพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ที่จริงครั้งนั้นที่ท่านพบหวังหลานเอ๋อร์ที่เขตเมืองตะวันตกก็ตกอยู่ในสายตาของผู้อื่นแล้ว ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านก็อย่าพูดว่าท่านเป็นเพียงผู้เข้าสอบยากจนจากชนบท มีอะไรให้คนวางอุบาย ทว่าท่านอย่าลืมนะ ท่านแซ่เสิ่น เป็นหลานของราชครูเสิ่นหย่งกั๋วกง ท่านอาศัยอยู่ในจวนหย่งกั๋วกง หนึ่งรุ่งล้วนรุ่ง หนึ่งร่วงล้วนร่วงไปพร้อมจวนหย่งกั๋วกง พวกเขาหาข้อผิดพลาดของจวนหย่งกั๋วกงไม่ได้ ย่อมคิดจะวางแผนจากตัวท่าน ออกความคิดให้หวังหลานเอ๋อร์ คนที่ออกอุบายเรื่องนี้ก็คิดเช่นนี้แหละ”
เสิ่นเซ่าจวิ้นอดเสียวสันหลังไม่ได้ว่า “นะ…น้องเวย!” เขารู้สึกหวาดผวา
เสิ่นเวยทำราวกับไม่เห็นสีหน้าซีดเผือดของเขาอย่างไรอย่างนั้น พูดต่อว่า “เห็นหรือยัง นี่ก็คือวงการการเมือง คนที่เถรตรงเกินไปใจอ่อนเกินไปตายยังไม่รู้ว่าตายอย่างไร ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้น ท่านร่ำเรียนสอบขุนนางเพื่ออะไร ก็เพื่อเป็นขุนนางที่มีโอกาสแสดงอุดมการณ์และความทะเยอทะยานมิใช่หรือ ทว่าท่านดูสิ ราชสำนักแวดวงขุนนางไม่ได้ดีงามเช่นที่ท่านคิดหรอก เผลอเพียงเล็กน้อยก็ตกลงสู่เหวลึกหมื่นจั้ง ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นท่านเตรียมตัวดีหรือยัง หากยัง น้องขอชี้แนะว่าหลังจากสอบติดในการสอบฤดูใบไม้ผลิไม่หาที่ว่าการโปร่งใสอยู่ก็กลับบ้านเกิดไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือให้รู้แล้วรู้รอดไป หากท่านเตรียมตัวไว้ดีแล้ว เช่นนั้นน้องยังคงต้องเตือนท่านอยู่ดี ก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ ต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงลงมือปฏิบัติ คิดดูก่อนว่านี่ใช่แผนนางนกต่อแผนสาวงามของผู้อื่นหรือไม่ เป็นอุบายของใครหรือไม่ คิดให้กระจ่างแล้วค่อยตัดสินใจ”
เสิ่นเซ่าจวิ้นครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปครึ่งค่อนวันถึงได้สติกลับมา ลุกขึ้นโค้งคำนับอย่างหนักหน่วงให้เสิ่นเวยอีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “น้องเวย พี่ได้รับคำสอนแล้ว พี่ขอบคุณเจ้ามากที่ชี้แนะ เจ้าวางใจได้ ความผิดเช่นนี้พี่จะไม่ทำผิดอีก”
เสิ่นเวยปลาบปลื้มยิ่งนัก “ไม่มีอะไรดีไปกว่ารู้ผิดแล้วแก้ เพียงแค่เรื่องนี้ ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ชนะคนมากมายแล้ว” รับคำสอนอย่างไรก็ดีกว่าไม่รับคำสอน คิดดูแล้ว เสิ่นเวยจึงกล่าวต่อ “ในโลกนี้ แต่ไหนแต่ไรคนประจบสอพลอมีมาก ส่งถ่านให้กลางหิมะมีน้อย ต่อให้ข้าไม่พูด ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ประสบกับตัวมาก่อนแล้วกระมัง มองนิสัยของพวกเขาให้กระจ่าง นับแต่นี้ไป จนกระทั่งการสอบฤดูใบไม้ผลิ ญาติผู้พี่เซ่าจวิ้นก็ไม่จำเป็นต้องออกไปสังสรรค์แล้ว อยู่ในจวนตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบเถอะ”
“พี่ละอายใจนัก!” เสิ่นเซ่าจวิ้นถอนใจยาวเสียงหนึ่ง ใบหน้าซาบซึ้งด้วยความจริงใจกล่าวว่า “พี่ฟังน้องเวยทุกอย่าง” อย่างไรเสียท่านปู่ก็มีประสบการณ์ บอกเขาว่ามีอะไรก็ให้น้องเวยช่วยตัดสินใจ
เสิ่นเวยยิ้ม ไม่ได้พูดถึงเบื้องหลังของการร้องเรียนครั้งนี้ว่ามีกองกำลังแทรกแซงหลายฝ่าย ใช่แล้ว คนที่ไปหาหวังหลานเอ๋อร์เป็นคนแรกมีความเกี่ยวพันอย่างซับซ้อนกับจวนมหาเสนาบดีฉิน ส่วนผู้ตรวจการเสอและตระกูลชีบ้านท่านตาของรัชทายาทมีความสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด เรื่องพวกนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นไม่จำเป็นต้องรู้ เขาเพียงแค่รู้ว่าราชสำนักหยั่งยาก ใจคนหยั่งถึงก็เพียงพอแล้ว
อย่าว่าแต่หลังจากเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไปก็ปิดประตูเรียนอย่างหนัก ทางด้านรัชทายาทก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ผู้ตรวจการเสอออกหน้าเพราะได้รับคำสั่งจากชีเว่ย สองคนนี้คนหนึ่งอยากได้ชื่อเสียง คนหนึ่งอยากแก้แค้น ก็เข้าขากันได้พอดีมิใช่หรือ
อย่าว่าแต่รัชทายาทโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แม้แต่บิดาและปู่ชีเว่ยก็โกรธจนจมูกเบี้ยวหมดแล้ว จับชีเว่ยมากดลงบนม้านั่งแล้วตีอย่างรุนแรงยกหนึ่ง
สุดท้ายยังคงเป็นเฉิงเอินกงที่ชั่วร้าย “ไปสืบดูว่าเหตุใดวันนั้นเว่ยเอ๋อร์ถึงเดินถนนเส้นนั้นพอดี” เขารู้จักหลานชายคนนี้ดีนักแล รู้ว่าเขาก็คือสากกะเบือไร้สมอง เขาสงสัยว่านี่คือแผนที่ผู้อื่นวางไว้ ใช้หลานชายเขาเป็นหอก
หลังจากวิธีการอันเฉียบขาด ยังถูกเขาสืบได้เรื่องออกมาจริงๆ ที่แท้วันนั้นชีเว่ยเดินถนนเส้นนั้นได้เพราะเด็กรับใช้ข้างกายคนหนึ่งบอกว่าตระกูลจินที่ตรอกเม่าเอ๋อร์มีสองสาวพี่น้องฝาแฝดมาใหม่คู่หนึ่ง ดึงดูดจนชีเว่ยใจคันคะเยอ จึงคิดจะไปดูหน่อย ส่วนถนนเส้นนั้นเป็นทางที่จำเป็นต้องผ่านไปตระกูลจิน
ตอนที่ 275-2 ใจดีส่งเดชทำให้คนตายได้
เฉิงเอินกงใช้คนโบยจนเด็กรับใช้คนนั้นหนังปริเนื้อแตก ในที่สุดเด็กรับใช้ก็สารภาพ บอกว่ามีคนให้เงินเขาให้เขาพูดเช่นนั้น สืบไปสืบมา ก็สืบไปถึงตัวคนเปิดร้านขายของจิปาถะชื่อหลิวเอ้อร์ ต่อมาสืบหลิวเอ้อร์คนนี้อีก เขามีญาติผู้พี่ทำงานอยู่จวนเสนบดีฉิน
สืบถึงตรงนี้เฉิงเอินกงก็รามือแล้ว เรื่องราวความจริงเป็นเช่นไรก็ปรากฏชัดเจนแล้วมิใช่หรือ เขายื่นหลักฐานที่สืบได้เบื้องหน้ารัชทายาท ขอขมาไม่หยุดว่า “รัชทายาท เพราะข้าไม่ได้ดูเจ้าทรพีนั่นให้ดีแท้ๆ เป็นเหตุให้เขาตกหลุมพรางผู้อื่น ข้าไร้สามารถจริงๆ!”
รัชทายาทดูหลักฐานแล้ว ไฟโกรธในใจแทบจะเผาเรือนได้อยู่แล้ว มหาเสนบดีฉินตัวดี ทั้งราชสำนักต่างบอกว่าเจ้าเป็นมหาเสนาผู้เปี่ยมคุณธรรม ที่จริงเจ้าก็คือคนต่ำช้าไร้ยางอาย! ยังมีพี่รองตัวดีของข้านั่นอีก วันๆ แสร้งทำเป็นพี่ชายแสนดี ถุย อย่ามาทำให้ขยะแขยงหน่อยเลย
ดูสิ หางจิ้งจอกนี่โผล่มาแล้วอย่างไรล่ะ ยุยงความสัมพันธ์ของข้ากับราชครู ฮึ ช่างพยายามจริงๆ เลย
ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายรัชทายาทและฝ่ายองค์ชายรองเหน็บแนมกันในท้องพระโรงอย่างสะใจอย่าบอกใคร ไม่ต้องให้เสิ่นเวยลงมือ ก็มีคนจัดการหวังหลานเอ๋อร์และผู้ตรวจการเสอแล้ว
ไม่นาน หญิงสาวที่ร้องเรียนว่าถูกหลานชายของราชครูเสิ่นทอดทิ้งคนนั้นถูกเปิดโปงว่าเป็นคนหลงเงินทองลาภยศตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้น ทิ้งมารดาเฒ่าที่พึ่งพาอาศัยกันมาหนีตามกันไปกับพ่อค้าจากต่างถิ่นแล้ว ส่วนผู้ตรวจการเสอ ถูกรื้อหาความผิดพลาดปลดจากการเป็นขุนนางห้ามรับราชการอีกชั่วชีวิต
เรื่องตลกของการร้องเรียนก็ปิดฉากด้วยฟ้าร้องดัง ฝนตกปรอย**แล้ว
ที่จริงเสิ่นเวยคิดจะยืมเรื่องนี้สั่งสอนเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างลึกซึ้งเสียหน่อย ไม่คิดว่ายังนำไปสู่การเหน็บแนมกันและกันของรัชทายาทและองค์ชายรอง นี่เรียกได้ว่าเป็นความยินดีที่เหนือความคาดหมาย
พริบตาเดียวก็มาถึงวันสอบ ผู้เข้าสอบนับไม่ถ้วนพรั่งพรูเข้าสนามสอบตามๆ กัน เริ่มการสอบที่มีกำหนดเก้าวันของพวกเขา เก้าวันให้หลังชะตาชีวิตของพวกเขาจะต่างไปโดยสิ้นเชิง มีคนชื่อติดกระดานทองคำนับแต่นี้ก้าวขึ้นหนทางรับราชการเริ่มชีวิตที่สดใสเจิดจ้า มีคนสอบตกกลับบ้านเกิดอย่างเศร้าสลดสิ้นหวังไปทั้งชีวิต
เสิ่นเวยถือโอกาสส่งเสิ่นเซ่าจวิ้น พาฉาฮวาไปแอบดูเซี่ยหมิงผู่คราหนึ่ง
เซี่ยหมิงผู่ไม่ใช่เด็กหนุ่มอ่อนแอเมื่อสามปีก่อนนั้นอีกแล้ว ร่างเขาสูงขึ้นมากอย่างยิ่ง ใส่ชุดเขียว ใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยน ให้อารมณ์สุภาพบุรุษหลายส่วน เขายิ้มให้ทิศทางที่เสิ่นเวยและน้องสาวอยู่อย่างสดใส แล้วมุ่งหน้าสู่สนามรบของเขาโดยไม่หันกลับมามอง น้องพี่ เจ้าจงรอ วันที่เราจะได้แก้แค้นอยู่ไม่ไกลแล้ว คุณหนู ท่านวางใจได้ เสี่ยวผู่ยังคงเป็นเสี่ยวผู่คนนั้น จะไม่ทำผิดต่อการปลูกฝังของท่าน
ในรถม้า ฉาฮวาตื่นเต้นจนหน้าแดงหมดแล้วว่า “ท่านพี่ ท่านพี่” นางเรียกในใจว่า ท่านพี่ ในที่สุดข้าก็ได้พบท่านพี่แล้ว ท่านพี่ต้องสอบให้ดี ข้ารอท่านพี่อยู่ข้างกายคุณหนู รอท่านพี่ขึ้นชื่อกระดานทองคำพาข้ากลับบ้าน ท่านพี่ ท่านพี่… ในดวงตาของฉาฮวาพลันเอ่อเต็มไปด้วยน้ำตา
ในระหว่างการสอบ จวนจิ้นอ๋องเกิดเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเรื่องหนึ่ง
วันนี้เป็นวันหยุด อากาศก็ดีทีเดียว หายากที่สวีโย่วไม่ต้องเข้าเวร เขาจึงตัดสินใจพาเสิ่นเวยไปเดินเล่นนอกเมือง ข้าวของล้วนเตรียมเสร็จแล้ว เสิ่นเวยยังเปลี่ยนเป็นชุดสำหรับขี่ม้าพลันเห็นหลีฮวาพาสาวใช้หน้าไม่คุ้นคนหนึ่งวิ่งมาอย่างรีบร้อน สาวใช้คนนั้นพอเห็นสวีโย่วและเสิ่นเวยก็ถลาเข้ามา แผดเสียงตะโกนว่า “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ท่านอ๋องกับพระชายาจะโบยยายหรูตายเจ้าค่ะ”
ประโยคเดียวทำให้ทั้งสองต่างหน้าถอดสี เอ่ยถาม “อะไรนะ เฆี่ยนยายหรูตาย เพราะเหตุใด”
สาวใช้คนนั้นกลับสีหน้าร้อนรนเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ รีบไปช่วยคนเถอะเจ้าค่ะ ขืนสายจะไม่ทันการแล้ว บ่าวเคยได้รับบุญคุณจากยายหรู ไม่ง่ายเลยกว่าบ่าวจะแอบหนีออกมาได้เจ้าค่ะ”
สวีโย่วและเสิ่นเวยสบตากันปราดหนึ่ง ตะโกนเสียงดังว่า “เตรียมม้าเร็ว” สองคนไม่นั่งแม้แต่รถม้า พลิกตัวขึ้นม้าทะยานไปที่จวนจิ้นอ๋องทันที
ถึงหน้าประตูจวนจิ้นอ๋อง รอยยิ้มเอาใจบนใบหน้าบ่าวที่เฝ้าประตูเพิ่งแย้มได้ครึ่งเดียว ก็ถูกเถาฮวาและเย่ว์กุ้ยที่ตามมาโยนไปข้างๆ แล้ว ทั้งสองคนเปิดประตูกลางออกอย่างรวดเร็ว สวีโย่วและเสิ่นเวยเฆี่ยนม้าตะบึงเข้าไป
ยามที่ทั้งสองคนรุดมาถึงเรือนจิ้นหวังเฟย ยายหรูกำลังถูกกดอยู่บนม้านั่งโบยตีอยู่ กระบองไม้ที่ยกขึ้นสูงนั่นโบยลงบนตัวยายหรูทีละไม้ๆ ส่วนท่านจิ้นอ๋องสามีภรรยาปั้นหน้ามองดูอย่างเย็นชา
“หยุดเดี๋ยวนี้!” สวีโย่วแผดเสียงตะโกน ใบหน้าที่แต่ไหนแต่ไรเย็นชาถูกย้อมด้วยโทสะ ยามที่สายตาเขาเห็นคราบเลือดบนตัวยายหรู สายตาที่ส่งไปยังท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาแฝงด้วยความน่าสะพรึง
ความเกลียดชังที่ลึกเข้าไปในตาของบุตรชายคนโตทำให้ท่านจิ้นอ๋องอดสะดุ้งทีหนึ่งไม่ได้ หลังจากนั้นก็โมโหเดือดดาลเอ่ย “โบย โบยต่อเดี๋ยวนี้ ใครให้พวกเจ้าหยุด”
“ข้าจะดูว่าใครกล้า!” สวีโย่วจ้องท่านจิ้นอ๋อง พูดชัดถ้อยชัดคำ เขากระโดดขึ้นเตะ ถีบเด็กรับใช้ที่โบยอยู่ออกไปทันที เด็กรับใช้คนนั้นถูกเตะจนกลิ้งออกไปเหมือนก้อนกลม กระอักเลือดสองครไม่ขยับแล้ว
พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนวิ่งเข้าไปอย่างตัวสั่นงันงก ยื่นมือแตะที่ปลายจมูกของเขา แล้วสีหน้าซีดเผือดว่า “ทะ…ท่านอ๋อง ตายแล้ว” เขาพูดเสียงสั่น
“เจ้า เจ้าลูกทรพี!” ท่านจิ้นอ๋องมือสั่นด่าสวีโย่วอย่างโกรธเกรี้ยว
ทว่าสวีโยวเสมือนไม่ได้ยิน กวาดมองทุกคนที่อยู่ที่นี่อย่างเย็นชาว่า “ใครลองตามเข้ามาดู” เสียงเย็นเยียบประหนึ่งลอยขึ้นมาจากนรกอย่างไรอย่างนั้น
“ท่านหมอหลิ่ว รีบมาดูยายหรู” เสิ่นเวยย่อตัวลงกอดยายหรูบนพื้นเข้าอ้อมกอดตนเอง ไม่ถือสาว่าเลือดบนตัวนางจะเปื้อนเสื้อผ้าของนางแม้แต่น้อย
หมอหลิ่วที่เพิ่งรุดมาอย่างเหนื่อยหอบรีบวิ่งเหยาะๆ เข้าไป
ยายหรูลืมตาที่หลับสนิทขึ้น มองสวีโย่วและเสิ่นเวย บนใบหน้าที่ไม่มีสีเลือดนั้นเต็มไปด้วยความเมตตา “คุณชายใหญ่ ฮูหยินใหญ่ ไม่ต้องเปลืองใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวเกรงว่าจะไม่ไหวแล้ว” นางอยู่มานานกว่าคุณหนูตั้งหลายปีปานนั้น ถือว่าคุ้มแล้ว!
“ท่านยายอย่าเพิ่งพูด ให้ท่านหมอหลิ่วดูบาดแผลให้ท่านหน่อย วิชาแพทย์เขาเก่งกาจมาก ท่านต้องไม่เป็นไรแน่นอน” เสิ่นเวยปลอบใจเสียงเบา
สวีโย่วแม้ไม่ได้พูด ทว่าความห่วงใยที่ลึกเข้าไปในดวงตาก็มีความหมายเช่นนี้ ยายหรูจึงถอนใจ ยื่นแขนออกมาช้าๆ ว่า “คุณชายใหญ่ ท่านอย่าเสียใจ บ่าวอายุปูนนี้แล้ว อยู่ใช้ชีวิตคุ้มแล้ว คุณหนูอยู่ข้างล่างโดดเดี่ยวเดียวดายคนเดียว บ่าวก็ควรลงไปอยู่เป็นเพื่อนนางแล้ว” แก้แค้นได้แล้ว ในที่สุดนางก็วางใจไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูได้แล้ว
“ยายหรู!” สวีโย่วรู้สึกแสบจมูก เขากัดฟัน ฝืนทนไว้
ผ่านไปชั่วครู่ ท่านหมอหลิ่วเก็บมือกลับแล้วส่ายหน้าเบาๆ ต่อสวีโย่วและเสิ่นเวย เอ่ยว่า “จวิ้นจู่ ครั้งนี้ข้าน้อยจนปัญญาแล้วขอรับ” อวัยวะภายในเสียหายหมดแล้ว ต่อให้วิชาการแพทย์เขาดีเพียงใดก็ช่วยกลับมาไม่ได้แล้ว
“คิดหาวิธีอื่นไม่ได้หรือ” เสิ่นเวยถามอย่างไม่ตายใจ แม้นางและยายหรูผู้นี้จะอยู่ด้วยกันไม่มาก ทว่าสิ่งที่เห็นจากดวงตานางกลับมีเพียงความปรารถนาดี เสมือนผู้อาวุโสเมตตาท่านหนึ่ง
หมอหลิ่วส่ายหน้าถอนใจ ยายหรูจับมือของเสิ่นเวยไว้ ตบเบาๆ ทีหนึ่งว่า “เด็กดี เจตนาดีของท่านบ่าวรับไว้ด้วยใจแล้ว บ่าวไม่กลัวตาย ตายก็หลุดพ้นแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่บ่าวไม่วางใจก็คือคุณชายใหญ่ เขาไม่มีคนรักตั้งแต่เด็ก ช่างน่าสงสาร! บ่าวรู้ว่าท่านเป็นคนดี ต่อไปท่านต้องอยู่อย่างมีความสุขกับคุณชายใหญ่!”
ต่อให้คนหนังตาแข็งอย่างเสิ่นเวยก็อดตาแดงไม่ได้ว่า “ยายเสิ่นท่านวางใจได้ ข้าจะดูแลคุณชายใหญ่อย่างดี”
ยายหรูออกแรงพยักหน้าทีหนึ่ง ใบหน้านางเผยให้เห็นความปลาบปลื้ม ยิ้มแผ่วเบาที่มุมปาก กลับทำให้ในใจเสิ่นเวยและสวีโย่วเสียใจยิ่งขึ้น
สวีโย่วลุกพรวดขึ้นมา บีบคั้นว่า “เสด็จพ่อ หวังเฟย พวกท่านควรอธิบายต่อลูกใช่หรือไม่ ยายหรูทำผิดอนใด แม้แต่คนข้างกายเสด็จแม่คนสุดท้ายพวกท่านก็ไม่ยอมปล่อยเช่นนั้นหรือ”
“อธิบายหรือ พี่ใหญ่ต่างหากที่ควรอธิบายพวกเรา! พี่ใหญ่รู้หรือไม่ว่าบ่าวแก่สมควรตายผู้นี้ทำอะไรไว้” คนที่กระโดดขึ้นมาก่อนกลับเป็นซื่อจื่อสวีเยี่ย เส้นเอ็นที่ขมับเขาปูดนูน สีหน้าน่ากลัว เห็นสวีเหยียนก็เป็นเช่นเดียวกัน
ยามนี้จิ้นหวังเฟยเอ่ยปากแล้วว่า “คุณชายใหญ่เจ้าปกป้องบ่าวที่สมควรตายนี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางทำอะไรไว้ นางบังอาจวางยาทำให้พี่น้องเจ้าเป็นหมัน ทำให้พี่น้องเจ้ามีบุตรไม่ได้อีก บ่าวที่อำมหิตเช่นนี้สับเป็นหมื่นชิ้นก็ไม่เกินไป” จิ้นหวังเฟยกัดฟันเสียงดังกึกๆ สายตาที่ส่งไปที่ยายหรูราวกับเคลือบยาพิษไว้ก็ไม่ปาน
*ปากหลายคนย่อมสามารถละลายทองได้ หมายถึง เสียงปากของคนจำนวนมากที่พูดไปพูดมาย่อมสามารถทำให้ผิดกลายเป็นถูก ถูกกลายเป็นผิดได้
**ฟ้าร้องดัง ฝนตกปรอย เปรียบเทียบถึงการทำอะไรที่เกิดกระแสโด่งดังอย่างมาก แต่พอทำจริงกลับเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น