หมอดูยอดอัจฉริยะ 273-278

 ตอนที่ 273 ศิษย์นอกสำนัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนรู้ว่า แม่ของโจวเซี่ยวเทียนปีนี้เพิ่งจะอายุได้สี่สิบหกสี่สิบเจ็ดปี แต่ดูจากเส้นผมหงอกขาวและใบหน้าซีดเซียว แล้ว กลับดูเหมือนหญิงชราวัยหกสิบกว่าปีก็ไม่ปาน แสดงให้เห็นว่าความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวนั้นส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเธอเพียงใด


“แม่ครับ ผมช่วยประคองนะ ขั้นบันไดนี้มันสูง!” โจวเซี่ยวเทียนเป็นลูกกตัญญูโดยแท้ ย้ายสัมภาระไปแบกไว้บนหลัง แล้วยื่นมือไปประคองแม่เดินเข้าไปในเรือนสี่ประสาน


“พี่ชายคนนี้ พี่คอยประคองคุณป้า เดี๋ยวหนูช่วยถือของให้เองค่ะ”


หลังจากได้รับการเยียวยามาหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ สีหน้าของถังเสวียเสวี่ยก็ดูดีขึ้นมาก ร่างกายก็ดูสมบูรณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นโจวเซี่ยวเทียนหอบหิ้วสัมภาระพะรุงพะรัง จึงรีบเข้าไปช่วยเหลือ


โจวเซี่ยวเทียนไม่รู้ว่าถังเสวียเสวี่ยเป็นอะไรกับเยี่ยเทียน แล้วจะกล้าให้เธอช่วยถือของได้อย่างไรกัน จึงรีบโบกมือ ปฏิเสธ “ไม่ต้องๆ ครับ ผมไหวอยู่ ขอบคุณนะครับน้องสาว…”


“เซี่ยวเทียน เรา…พวกเรามาอยู่ที่ไหนกัน? ที่นี่…อากาศที่นี่ทำไมถึงได้สดชื่นขนาดนี้?”


ถึงแม้ตาของแม่ของโจวเซี่ยวเทียนจะมองไม่เห็น แต่ความรู้สึกของจมูกและผิวของกายยังเป็นปกติ เมื่อเข้ามาในลานบ้าน ก็สัมผัสได้ถึงความพิเศษของที่นี่ในทันที


“พี่…พี่เยี่ย นี่…นี่พี่ตั้งค่ายกลไว้หรือครับ?” ตอนแรกโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ทันสังเกต แต่เมื่อได้ยินแม่พูดอย่างนั้น จึงมองสำรวจไปรอบๆ และสีหน้าพลันตกตะลึงขึ้นมาทันที


ค่ายสำนักของตระกูลโจวในสมัยก่อนนั้นเชี่ยวชาญด้านศาสตร์ลี้ลับอย่างแท้จริง และในอดีตก็เป็นที่เลื่องชื่อในยุทธภพอยู่เหมือนกัน แม้ในปัจจุบันจะขาดการสืบทอดไปแล้ว แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ยังพอจะดูเป็นอยู่


“เอาน่า เข้าไปนั่งในเรือนก่อนแล้วค่อยพูดกัน คุณป้านั่งรถมาตั้งนาน คงจะเหนื่อยแล้วสินะครับ?”


เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วพาทั้งสองไปที่ห้องด้านข้างของเรือนหน้า พลางพูด “ที่เรือนหลังเก่านั่นเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว กำลังรอให้คุณป้ามาอยู่พอดีเลยล่ะ พักผ่อนอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ ผมจะไปโทรศัพท์บอกพ่อให้มาเจอกับเซี่ยวเทียนหน่อย!”


ในเมื่อจะมาเป็นคนงานในร้านของพ่อ ก็ต้องให้พ่อมาเจอตัวจริงก่อนว่าจะใช้ได้ไหม หลังจากเยี่ยเทียนรินน้ำให้ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว จึงเตรียมจะเดินออกไปโทรศัพท์


“เดี๋ยวก่อน เสี่ยว…เสี่ยวเยี่ย เธออายุมากกว่าเซี่ยวเทียนไปไม่กี่ปี คงไม่ถือสานะถ้าป้าจะเรียกชื่อเธอ?” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะเดินออกไป แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เรียกเขาไว้


เยี่ยเทียนหยุดฝีเท้าลง แล้วตอบว่า “เรียกผมว่าเยี่ยเทียนก็ได้ครับคุณป้า!”


“ดี อย่างนั้นป้าก็จะเรียกเธอว่าเยี่ยเทียนแล้วกัน” แม่ของโจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า แล้วหันหน้าขวับไปทันที พูดกับโจวเซี่ยวเทียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “เซี่ยวเทียน คุกเข่าลงไปเดี๋ยวนี้!”


โจวเซี่ยวทียนก็เชื่อฟังเป็นอย่างยิ่ง คุกเข่าทั้งสองข้างลงไปเสียงดัง “พรุก” ลงไปกับพื้นที่ปูด้วยอิฐเทาตรงหน้าเยี่ยเทียนโดยไม่พูดอะไรสักคำ


“อ้าว คุณป้า นี่…นี่จะทำอะไรกันครับเนี่ย? เซี่ยวเทียน ลุกขึ้น แกมาคุกเข่าให้ฉันทำไมเล่า?” เมื่อเยี่ยเทียนได้เห็นการกระทำแม่ของโจวเซี่ยวเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกประหลาดใจ รีบยื่นมือออกไปประคองโจวเซี่ยวเทียน


“เสี่ยวเยี่ย ไม่ต้องให้เขาลุกขึ้นมา ตระกูลโจวของพวกเราไม่มีลูกหลานนอกคอกแบบนี้!”


คำพูดของแม่โจวเซี่ยวเทียนทำให้โจวเซี่ยวเทียนส่งสายตาวิงวอนให้เยี่ยเทียน เขารู้ว่าถ้าแม่ไม่คลายโทสะ วันนี้ก็อย่าหวังว่าจะได้พ้นด่านนี้ไปเลย อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องรักษาดวงตาเลย เพราะเธออาจจะไม่รับเขาเป็นลูกชายเลยก็เป็นได้


“ความแตกแล้วหรือ?” เยี่ยเทียนอ้าปากพูดกับโจวเซี่ยวเทียนโดยที่ไม่ได้เปล่งเสียงออกมา โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า ด้วยสีหน้าที่ละอายใจ


ทั้งๆ ที่โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนกำชับเยี่ยเทียนว่าอย่าเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านแล้วถูกแม่ซักถาม โจวเซี่ยวเทียนผู้ไม่กล้าพูดโกหกมาตั้งแต่เด็ก จึงเล่าเรื่องที่เขาไปปล้นสุสานและได้รู้จักกับเยี่ยเทียนออกมาจนหมด


“ไปโทรหาพ่อของพี่ทีสิ!” พอเห็นโจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า เยี่ยเทียนก็ปวดหัวตุบขึ้นมาทันที แล้วรีบขยับปากบุ้ยใบ้ พลางทำท่าคุยโทรศัพท์บอกถังเสวียเสวี่ยที่กำลังยืนอึ้งอยู่ด้านข้าง


เยี่ยเทียนเป็นคนรุ่นเด็กกว่า จึงไม่สะดวกจะไปพูดตักเตือนแม่ของโจวเซี่ยวเทียน แต่เยี่ยตงผิงเป็นผู้ใหญ่ ถ้ามาถึงแล้ว ก็น่าจะช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เยี่ยเทียนให้ถังเสวียเสวี่ยไปโทรศัพท์หาพ่อของเขา


“คุณป้าครับ ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่? พื้นนี่มันแข็งนะครับ ให้เขาลุกขึ้นมาก่อนดีไหม?”


เยี่ยเทียนแสร้งทำท่าเป็นสับสน พลางโบกมือบอกให้ถังเสวียเสวี่ยออกไปโทรศัพท์ ถังเสวียเสวี่ยก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ฉลาดเอาการ จึงรีบผลุบออกไปทันที


“เสี่ยวเยี่ย เธอไม่ต้องปิดบังป้าหรอก ป้ารู้หมดแล้วละ ไอ้ลูกนอกคอกคนนี้มันถึงกับกล้าไปขโมยสุสาน ทำให้บรรพบุรุษต้องเสื่อมเสีย ป้าเองก็ไม่มีหน้าไปเจอกับพ่อของมันที่ปรภพแล้วละ!”


เดิมทีแม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นครูในโรงเรียน แต่หลังจากที่สายตาเริ่มไม่ดี ก็เปลี่ยนไปทำงานด้านการบริหารอยู่เบื้องหลังแทน และตอนนี้ถึงจะไม่ได้ไปทำงานแล้ว แต่ความคิดความอ่านของเธอก็ยังดีอยู่ พูดไปพูดมาแล้วก็น้ำตาไหล


“แม่ เป็นเพราะผมไม่ดีเอง แม่อย่าเศร้าไปเลยนะครับ!”


เมื่อเห็นแม่หลั่งน้ำตา โจวเซี่ยวเทียนก็ร้อนใจขึ้นมาทันที จึงคลานเข่าเข้าไปอยู่ตรงหน้าแม่ เขารู้ว่าสาเหตุที่แม่ตาบอด ไปนั้น ก็เป็นเพราะสาเหตุจากการหลั่งน้ำตาอยู่บ่อยๆ นั่นเอง


เสียงดัง “เพียะ!” ขึ้นเสียดหู คือแม่ของโจวเซี่ยวเทียนตบหน้าลูกชายไปหนึ่งฉาด “วิถีแห่งวิญญูชนนั้น พึงบำเพ็ญตน โดยสงบ พึงสร้างคุณธรรมโดยเคร่งครัด โจวเซี่ยวเทียน แล้วคุณธรรมของแกล่ะ? หายไปไหนหมดแล้ว? ท่องส่วนที่เหลือให้แม่ฟังเดี๋ยวนี้!”


เมื่อถูกแม่ตบหน้าไปหนึ่งฉาด โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นมา และได้แต่ท่องออกมาอย่างว่านอนสอนง่าย “ไร้ความสมถะย่อมมิอาจแสดงปณิธาน ไร้ความสงบย่อมมิอาจมองการณ์ไกล เลื่อนลอยย่อมมิอาจพากเพียร หุนหันย่อมมิอาจขัดเกลา วัยเคลื่อนไปตามกาล จิตคล้อยไปตามเวลา สุดท้ายย่อมเหี่ยวเฉาโรยรา หาประโยชน์ต่อโลกมิได้ อยู่เฝ้ากระท่อมโทรมตรมตรอมใจ แม้นสำนึกก็สายเกินการณ์!”


“แม่ของเขาก็เป็นคนมีการศึกษาเหมือนกันนะเนี่ย”


เมื่อได้ฟังส่วนที่โจวเซี่ยวเทียนท่องออกมา เยี่ยเทียนก็รู้ว่านั่นคือ ‘โอวาทสอนบุตร’ ที่จูกัดเหลียงหรือขงเบ้งเขียนขึ้น เมื่ออายุ ห้าสิบสี่ปีให้แก่จูเก่อจานผู้เป็นบุตรชายอายุแปดปี ต่อมาคนรุ่นหลังยึดถือเป็นคัมภีร์สำหรับอบรมบ่มนิสัยและสั่งสอนลูกหลาน


หลังจากโจวเซี่ยวเทียนท่องจบก็พูดขึ้นว่า “แม่ ผมสำนึกผิดแล้วครับ!”


“ถึงแม้ฉันจะไม่ใช่ตระกูลโจวของพวกแก แต่ก็อยู่กับพ่อแกมาสิบกว่าปีแล้ว จึงรู้ดีว่าตระกูลโจวยึดถือหลักการเป็นคนขนาดไหน ทำไมพอมาถึงรุ่นแกแล้วถึงได้กล้าไปทำเรื่องเลวร้ายอย่างขโมยสุสานแบบนี้นะ? แล้วแกยังจะไปสู้หน้าบรรพบุรุษแต่ ละโคตรของตระกูลโจวได้อยู่อีกหรือ?”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนอารมณ์รุนแรง ตอนที่ดุด่าลูกชายก็ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด จนเยี่ยเทียนได้ยินแล้วรู้สึกเครียดตามไปด้วย เขาไม่รู้ว่า ตัวเองควรจะดีใจไหมที่แม่ไม่ได้อยู่ด้วยมาตั้งแต่เล็ก เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะต้องโดนอย่างเจ้าหมอนี่หรือเปล่าก็ไม่รู้?


“คุณป้าครับ ใจเย็นๆ นะครับ เขาอายุยังน้อย แล้วก็ไม่รู้จักสังคมที่ไหนเลย เดินผิดไปก้าวเดียวก็ยังพอจะให้อภัยกันได้อยู่ ผมก็ให้เขามาทำงานที่ปักกิ่งนี่แล้วไงครับ ต่อไปเขาคงจะไม่กล้าทำเรื่องแบบนั้นอีกแล้วละ!”


ต่อให้แม่ของโจวเซี่ยวเทียนจะดุด่าลูกชายต่อหน้าตัวเองอย่างไร ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอยู่ดี พอเยี่ยเทียนคิดดูแล้ว จึงเอ่ยปากพูดไกล่เกลี่ยขึ้นมา


“เสี่ยวเยี่ย สมัยที่ตาของป้ายังมองเห็น ก็ยังพอจะควบคุมมันได้อยู่ แต่…แต่ตอนนี้ป้ามองไม่เห็นอะไรแล้ว ก็เลยกลัวว่ามันจะไปหัดทำเรื่องเลวๆ น่ะสิ!”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตา แล้วยื่นมือออกไปหาเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนจึงรีบยื่นมือออกไปจับไว้ แล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าครับ ดวงตาของคุณป้านี้ยังรักษาได้อยู่ ไม่ต้องกังวลหรอกครับ…”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนจับมือของเยี่ยเทียนแน่น “เสี่ยวเยี่ย ไอ้ลูกนอกคอกนี่มันเล่าให้ฟังแล้วละ เรื่องตาของป้าน่ะไม่ เป็นไรหรอก แต่ป้า…ป้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ”


“พูดมาเลยครับคุณป้า…” เยี่ยเทียนตอบ


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนลังเลไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เสี่ยวเยี่ย ได้ยินมาว่าเธอเป็นคนที่รู้ศาสตร์ลี้ลับ เหมือนกับพ่อของเซี่ยวเทียน ป้า…ป้าอยากให้เซี่ยวเทียนกราบเธอเป็นอาจารย์ วันหน้าจะได้ไม่เดินทางผิด ทำเรื่องไม่ดีแบบนั้นอีก!”


แม้ดวงตาของแม่โจวเซี่ยวเทียนจะมองไม่เห็น แต่ในใจกลับรู้ดียิ่งกว่าใครว่า ที่เยี่ยเทียนยื่นมือเข้าช่วยเหลือลูกชายนั้น อาจเป็นเพราะความเมตตาเพียงชั่วขณะ ดังนั้นหากทั้งสองฝ่ายไม่มีเหตุอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกัน ไม่แน่ต่อไปลูกชายอาจจะไปทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรอีกก็เป็นได้


“เรื่องนี้…ไม่ได้หรอกครับคุณป้า ธรรมเนียมของพวกเราสองสำนักไม่เหมือนกัน วิชายุทธกับศาสตร์ลี้ลับที่ศึกษาก็ เป็นคนละอย่างกัน ทำแบบนั้นไม่เหมาะหรอกครับ!”


พอได้ยินแม่ของโจวเซี่ยวเทียนพูดอย่างนั้น เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที เรื่องนี้เขาก็เคยปฏิเสธโจวเซี่ยวเทียนไป ตั้งนานแล้ว ทำไมยังโดนยกขึ้นมาพูดอีกล่ะเนี่ย?


“เสี่ยวเยี่ย ป้าเคยได้ยินพ่อของเซี่ยวเทียนบอกว่า ศาสตร์ของตระกูลโจวขาดการสืบทอดมานานแล้ว วิชาต่างๆ ที่เซี่ยวเทียนใช้เป็นนี่น่ะ บางอย่างป้าก็แค่อาศัยความทรงจำท่องให้มันฟังโดยที่ไม่ได้เข้าใจความหมายเลย เธอจะถือเสียว่าตระกูลโจวสูญสิ้นไปแล้วก็ได้นะ ได้ไหมล่ะ?!”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนมีสีหน้าวิงวอน ตั้งแต่สามีถึงแก่กรรมไป เธอก็เลี้ยงดูลูกชายด้วยตัวคนเดียวจนเติบใหญ่ หลายปีที่ผ่านมานี้ยังไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากบ้านเดิมของตัวเองเลยสักครั้ง แต่เพื่ออนาคตของลูกชายแล้ว เธอกลับยอม พูดแบบนี้กับเยี่ยเทียน


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนเคยได้ยินสามีกับพ่อสามีคุยเรื่องเกี่ยวกับวงการศาสตร์ลี้ลับอยู่เหมือนกัน เธอจึงรู้ว่าตามธรรมเนียมในยุทธภพนั้น นอกจากพ่อกับลูกแล้ว ความสัมพันธ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดก็คือระหว่างอาจารย์กับศิษย์นี่เอง ดังนั้นมีแต่ต้องให้ลูกชายกราบเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์ เธอถึงจะวางใจได้อย่างแท้จริง


“คุณป้า มัน…มันไม่เหมาะจริงๆ นะครับ ผมกับเซี่ยวเทียนอายุก็ไม่ได้ห่างกันมาก ถ้าเป็นเพื่อนกันละก็ได้อยู่ แต่ถ้าให้เป็นอาจารย์กับศิษย์นี่ มัน…มันไม่ได้หรอกครับ!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้ารัวๆ ถ้าว่ากันตามเหตุผลแล้ว คุณสมบัติของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้แย่อะไร สามารถผ่านเกณฑ์การรับศิษย์ของสำนักเสื้อป่านได้อยู่ แต่เขาอายุมากเกินไป เลยอายุที่ควรจะฝึกวิชายุทธของสำนักไปนานแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมาศึกษาวิชาของสำนักเสื้อป่าน


“เสี่ยวเยี่ย ป้า…ป้าถือวิสาสะเกินไปเองแหละ ขอโทษที่รบกวนนะ เซี่ยวเทียน พวกเราไปกันเถอะ!”


ที่เยี่ยเทียนคาดไม่ถึงก็คือ แม่ของโจวเซี่ยวเทียนถึงกับลุกขึ้นมา และเรียกลูกชายให้กลับกันเดี๋ยวนั้นเลย ทำให้เขารู้ สึกลำบากใจขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่าเธอจะมีนิสัยแกร่งกร้าวขนาดนี้


เยี่ยเทียนฝืนยิ้มพลางรั้งตัวแม่ของโจวเซี่ยวเทียนไว้ “โธ่ คุณป้า ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วยล่ะครับ ถ้าผมกับเซี่ยวเทียน เป็นเพื่อนกัน ผมก็จะช่วยดูเขาให้เหมือนกันนั่นแหละ!”


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้า “มันไม่เหมือนกันหรอก ป้ารู้ว่ามันเป็นเด็กกตัญญู ถ้ามันกราบเธอเป็นอาจารย์แล้ว ก็จะเชื่อฟังเธอทุกเรื่อง ถ้าไม่อย่างนั้นป้าก็กลัวว่าวันหลังเธอจะคุมมันไม่อยู่น่ะสิ!”


“นี่…นี่มันเหตุผลแบบไหนกันล่ะเนี่ย?”


เยี่ยเทียนถูกแม่ของโจวเซี่ยวเทียนโต้กลับจนชักจะพูดไม่ออก เมื่อเห็นเธอลุกขึ้นมาและกำลังจะเดินออกไปแล้ว ก็รีบพูดขึ้นว่า “คุณป้าครับ เอาอย่างนี้ไหม ให้เซี่ยวเทียนมาเป็นศิษย์นอกสำนักของผมก็แล้วกัน เขาไม่เหมาะจะเรียนศาสตร์ลับของสำนักผมจริงๆ แต่บางอย่างผมก็ยังพอจะสอนให้เขาได้อยู่”


ในสมัยโบราณ ศิษย์สายตรงจะเป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของอาจารย์ โดยอาจารย์จะถ่ายทอดทักษะทั้งหมดที่ตัวเองมีอยู่ให้แก่ศิษย์ ส่วนศิษย์นอกสำนักนั้นก็คือการเป็นศิษย์แต่เพียงในนาม หมายความว่าอาจารย์ยอมให้ติดตามแล้วและจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาบางอย่างให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น


แต่นี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการดูหมิ่นต่อโจวเซี่ยวเทียนเลย เพราะตอนที่เยี่ยเทียนไปกราบอาจารย์สมัยอายุห้าขวบนั้น ก็ได้เป็นศิษย์นอกสำนักของหลี่ซั่นหยวนเช่นกัน เมื่ออายุครบสิบปี ท่านถึงจะรับเขาเข้าสู่สำนักอย่างเป็นทางการ



ตอนที่ 274 รับศิษย์

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ยังไม่คำนับอาจารย์อีก?”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ทำให้แม่ของโจวเซี่ยวเทียนชะงักฝีเท้าลง เธอรู้ว่าทำอย่างนี้ออกจะเกินไปหน่อย ในเมื่อเยี่ยเทียน ยอมรับลูกชายของเธอเป็นศิษย์ในนามแล้ว ก็แสดงว่าเขาได้ยอมถอยให้เธอมากแล้ว


แม่ของโจวเซี่ยวเทียนไม่มีทางเลือก แต่โบราณมาความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์นั้น เปรียบดั่งสายสัมพันธ์พ่อลูก เมื่อเยี่ยเทียนกับลูกชายเป็นศิษย์อาจารย์กัน เธอจึงรับปากจะอยู่ที่นี่ต่อ


“อาจารย์ โปรดรับการคารวะจากเซี่ยวเทียนด้วย!”


โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้ขัดข้องใจอันใดที่จะขอเป็นศิษย์ของเยี่ยเทียน ตั้งแต่ตอนไปขุดสุสานที่ฉู่หยางเขาก็อยากจะเป็น ศิษย์เยี่ยเทียนแล้ว เพียงแต่เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วยเท่านั้น


“ได้สิ ลำดับขั้นสูงขึ้นแล้วนะ!”


เยี่ยเทียนส่ายศีรษะแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เยี่ยเทียนนั่งอยู่กลางห้องโถงรับการคำนับสามครั้งจากโจวเซี่ยวเทียน ถึงจะเป็นแค่ลูกศิษย์ในนาม แต่พิธีรีตรองนั้นจะขาดไม่ได้


หลังจากโจวเซี่ยวเทียนคำนับเสร็จ เยี่ยเทียนยังไม่ได้บอกให้เขาลุกขึ้น แล้วให้โอวาทว่า “เซี่ยวเทียน สำนักเสื้อป่าน ของเราไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมาก ขอแค่ไม่ทรยศอาจารย์ ไม่ทำลายบรรพชน ไม่หลงไปในกิเลสกามคุณ ไม่โลภโมโทสันต์ เข้าใจไหม?”


“อาจารย์ ผมเข้าใจแล้ว ต่อไปถ้าผมละเมิดกฎสำนัก ขอให้อาจารย์ลงโทษได้เลยครับ!” โจวเซี่ยวเทียนรับปากเสียงดัง


“นี่ เยี่ยเทียน แกทำอะไรของแก?”


เยี่ยเทียนกำลังจะให้โอวาทต่อ แต่เสียงของเยี่ยตงผิงดังแทรกขึ้นมาจากหน้าประตู “แกให้เขาคุกเข่าอยู่ที่พื้นทำไมกัน? เจ้าหนุ่ม รีบลุกขึ้นสิ!”


“อาจารย์ปู่!” โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนฉลาด รีบหันหลังกลับไปคำนับเยี่ยตงผิง ถึงอย่างไรเป็นผู้อาวุโสเหมือนกัน จะทำไปก็ไม่เสียหาย


“อะ…อะไรนะ? อาจารย์ปู่?”


เยี่ยตงผิงถูกโจวเซี่ยวเทียนโขกศีรษะคำนับจึงงงไปหมด มองไปที่ลูกชายแล้วถามว่า “เยี่ยเทียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


“พ่อ ผมรับโจวเซี่ยวเทียนเป็นศิษย์เพียงแต่ในนาม ต่อไปพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว…”


เยี่ยเทียนอธิบายให้พ่อฟัง แล้วจึงขมวดคิ้วแน่นหันไปถามโจวเซี่ยวเทียนว่า “แต่ว่าเซี่ยวเทียน ไม่ต้องเรียกอาจารย์ปู่หรอก นายเรียกลุงเยี่ยก็พอ พ่อของฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้น!”


โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “อาจารย์ จะเสียมารยาทไม่ได้ ฐานะกับอายุมันไม่เกี่ยวกัน”


“เหลวไหล งั้นจะให้ฉันเรียกคุณน้าว่ายังไง?” เยี่ยเทียนตัดบทโจวเซี่ยวเทียนอย่างรำคาญ “เพิ่งจะกราบอาจารย์เสร็จก็ไม่เชื่อฟังอาจารย์แล้วใช่ไหม?”


ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเยี่ยเทียน แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็พูดต่อ “เสี่ยวเยี่ย เรียกฉันว่าพี่สาวแล้วกัน ฉันรู้ว่าเธอยอมรับเขาเป็นศิษย์ก็ลำบากใจแล้ว ถือซะว่าเราสองคนแม่ลูกมารบกวนเธอแล้วกัน!”


“นี่…นี่มันอะไรกันครับ?” เยี่ยเทียนยิ้มขมขื่น จะให้เขาเรียกป้าอายุราวห้าสิบหกสิบปีว่าพี่สาว เขาเรียกไม่ได้จริงๆ


“คุณป้า เอาอย่างนี้ ผมว่าเราแยกแยะกันให้ถูกต้องดีกว่า ผมรับเซี่ยวเทียนเป็นศิษย์แต่ในนาม และผมเรียกคุณว่า คุณป้าก็แล้วกัน ถ้าคุณป้าไม่เห็นด้วย งั้นผมก็ไม่รับศิษย์แล้ว!” เยี่ยเทียนหาทางออก


“อย่างนั้นก็ได้ พี่เยี่ย รบกวนพวกคุณแล้วนะคะ ” หลังจากแม่ของโจวเซี่ยวเทียนได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เธอจึงไม่ดื้อดึงต่อไป แต่กลับหันไปพูดกับเยี่ยตงผิง


“ไม่รบกวน ไม่รบกวน…”


เยี่ยตงผิงรีบโบกมือ แล้วหันไปบอกลูกชายว่า “เยี่ยเทียน ให้เซี่ยวเทียนกับแม่ไปอยู่ที่บ้านหลังเก่าเถอะ ห้องหับก็ได้จัดเตรียมไว้ให้หลายวันแล้ว”


“ได้ครับ!”


เยี่ยเทียนพยักหน้า แล้วพูดกับเซี่ยวเทียนว่า “ต่อไปนายติดตามพ่อของฉัน อย่าได้ทำผิดคิดชั่วเป็นอันขาด รู้ไหม?”


“อาจารย์ วางใจเถอะ ผมจะเชื่อฟังอาจารย์ปู่เป็นอย่างดี!”


“ลุงเยี่ย!” ทั้งเยี่ยเทียนและเยี่ยตงผิงต่างรีบแก้คำเรียกของโจวเซี่ยวเทียน


บ้านเก่าของเยี่ยเทียนมีคนพักอาศัยอยู่สามครอบครัว แต่ก็ยังโล่งอยู่ดี การเข้าไปอยู่ของสองแม่ลูกตระกูลโจว จึงทำให้บ้านหลังนี้ยิ่งครึกครื้นขึ้นมาอีก คืนนั้นครอบครัวของลู่เชินก็ได้มาทานข้าวที่บ้านเหมือนกัน


แต่สำหรับครอบครัวของป้ารองของพวกเขา เยี่ยเทียนสองพ่อลูกกลับปิดบังเรื่องที่โจวเซี่ยวเทียนเคยเป็นโจรขุดสุสานมาก่อน ถึงอย่างไรลู่เชินก็เป็นตำรวจ ถ้าหากรู้เข้าคงยากที่เกิดเรื่องยุ่งยากไม่สบายใจ


หลังจากจัดการเรื่องที่พักให้โจวเซี่ยวเทียนแม่ลูกแล้ว วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนจึงพาแม่ของโจวเซี่ยวเทียนไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลจักษุแพทย์ที่ลู่เชินแนะนำให้ เพราะสนิทคุ้นเคยกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลนั้น


โบราณว่าไว้ กับคนคุ้นเคยติดต่ออะไรก็ง่าย หลังจากตรวจดวงตาเสร็จแล้ว แพทย์หัวหน้าเวรจึงแจ้งว่า ถ้าหากมีเยื่อบุตาที่เข้ากันได้ จะรีบแจ้งพวกเยี่ยเทียนก่อนเป็นคนแรกเพื่อให้มาผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อบุตาทันที


เยี่ยเทียนย่อมรู้ดีถึงธรรมเนียมในสังคมดีอยู่ ก่อนออกจากโรงพยาบาล เขาได้ยัดอั่งเปาสองพันหยวนให้กับหัวหน้าแพทย์เวรท่านนั้น


เนื่องจากแม่ของโจวเซี่ยวเทียนมีภาวะเครียดและวิตกกังวลเรื้อรัง ทั้งร่างกายและจิตใจจึงไม่แข็งแรง เยี่ยเทียนจึงให้เธอไปค้างที่เรือนสี่ประสานของเขาทุกๆ สองวัน แล้วยังนำยาอาหารบำรุงต่างๆ ให้เธอรับประทานอีกด้วย


ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็ติดตามเยี่ยตงผิงไปทำงานอย่างเป็นทางการ เยี่ยตงผิงกลับมาบ้านชมไม่หยุดปากทุกวัน


โจวเซี่ยวเทียนทั้งคล่องแคล่วทั้งฉลาดทันคน ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ เขาสามารถทำงานในร้านได้หมด มีครั้งหนึ่งเยี่ยตงผิงกับหลิวเหวยอันต่างก็ไม่อยู่ร้าน เขายังขายแป้นเทียนสำริดสมัยก่อนยุคฉินอันหนึ่งออกไปในราคาห้าหมื่นหยวน


……


“พี่เยี่ยเทียน พี่ชิงหย่า พวกเราไปกันได้รึยัง?”


ถังเสวียเสวี่ยยืนอยู่หน้าประตูเรือนด้านหลัง ตะโกนเข้าไปในห้องของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่มีเรื่องด่วนอะไรถังเสวียเสวี่ยจะไม่เข้ามาในพื้นที่ของเยี่ยเทียนเด็ดขาด


แต่วันนี้เยี่ยเทียนบอกว่าจะไปซื้อรถสักคัน และรับปากว่าจะพาเธอไปด้วย เด็กสาวจึงแต่งตัวแต่เช้ามายืนรออย่างอึดอัดอยู่ในลานนี้เป็นครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว


“เป็นเพราะเธอเลย ฉันสภาพนี้จะออกไปได้ยังไง?”


อวี๋ชิงหย่าผลักเยี่ยเทียนอย่างโมโห รีบวิ่งไปส่องกระจกแล้วก็ร้องออกมาอย่างตกใจ เพราะความแดงบนใบหน้าของเธอบ่งบอกถึงความเร่าร้อนที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่


“ฮิๆ ทาแป้งนิดหน่อยก็ได้แล้ว ฉันว่านะชิงหย่า เดี๋ยวซื้อรถเสร็จตอนเย็นเธอก็ไม่ต้องกลับแล้ว?”


เยี่ยเทียนอดไม่ได้คว้าเอวคอดกิ่วของอวี๋ชิงหย่าไว้ ช่วงนี้เขาแน่ใจแล้วว่าการช่วยแก้ดวงของอวี๋ชิงหย่าสำเร็จไปได้ด้วยดี ในอนาคตถ้าเกิดเยี่ยเทียนไปทำเรื่องผิดกฎสวรรค์ขึ้นอีก เคราะห์กรรมจะได้ไม่ต้องตกไปถึงเธอคนนี้ด้วย


“ฝันไปเถอะ ฉันจะกลับมหาลัยฯ แล้ว!”


อวี๋ชิงหย่ากลอกตาใส่เยี่ยเทียน เมื่อเห็นใบหน้าสุดแสนจะผิดหวังของเขาเข้าก็ใจอ่อน “วันนี้ต้องกลับจริงๆ แล้วเดี๋ยว…ฉันมาใหม่วันเสาร์อาทิตย์ดีไหม?”


“ได้ สัญญาแล้วนะ แล้วฉันจะไปรับเธอวันหยุดนะ!”


เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดของอวี๋ชิงหย่าแล้วจึงดีใจขึ้นมาทันที แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นต่อ “ให้ตายเถอะ ยังอีกตั้งห้าวันแหน่ะ กว่าจะถึงวันหยุด!”


“ดูเธอสิ เอาเถอะ อย่าให้เสวียเสวี่ยรอนานเลย พวกเราออกไปกันเถอะ” อวี๋ชิงหย่าหัวเราะพลางแตะจมูกเยี่ยเทียน เบาๆ หลังจากแต่งหน้านิดหน่อยแล้วจึงเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเยี่ยเทียน


“พี่ชิงหย่า พี่สวยจังเลย สวยกว่าดาราดังในหนังฮ่องกงอีกนะ!” ถังเสวียเสวี่ยเห็นทั้งสองคนเดินออกมา ก็รีบวิ่งตรงไป เกี่ยวแขนอวี๋ชิงหย่า พลางชมเอาอกเอาใจ


“อะแฮ่ม พี่เยี่ยไม่หล่อเหรอ?”


เยี่ยเทียนกระแอมเตือนอยู่ข้างๆ เด็กสาวคนนี้รู้ทันว่าควรจะเอาใจใคร ตั้งแต่ตอนนั้นที่ยอมให้อวี๋ชิงหย่า ถังเสวียเสวี่ย ก็ยิ่งประจบประแจงเข้าหาเธอมากขึ้น


“พี่หล่ออยู่แล้ว จตุรเทพทั้งสี่ยังไม่หล่อเท่าพี่เลย!”


ถังเสวียเสวี่ยฉีกยิ้มควงแขนเยี่ยเทียนไปด้วย “พี่เยี่ยเทียน พี่จะซื้อรถแบบไหนเหรอ? คุณปู่ของหนูมีรถหลายคัน บอกคุณปู่ของหนูเอาให้พี่สักคันดีไหมคะ?”


“รถของคุณปู่เธอก็ของของคุณปู่สิ พี่มีเงิน ทำไมต้องไปขอเขาเล่า?”


เยี่ยเทียนเบ้ปาก แต่พอนึกได้ว่าเงินที่ตัวเองหามาได้นั้น ก็มาจากเหล่าถังนี่เอง เยี่ยเทียนเสียงอ่อยลงโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสีหน้าผิดหวังของถังเสวียเสวี่ยแล้ว เขาจึงรูดจมูกของเธอทีหนึ่งและพูดปลอบว่า “ไปกันเถอะ ตัวเองซื้อรถขับเองสบายใจกว่าเยอะ!”


เมื่อสัปดาห์ก่อน เยี่ยเทียนไปทานอาหารกับครอบครัวป้ารอง แล้วจึงบ่นว่าตัวเองอยากเรียนขับรถ จึงถามพี่ชายว่าพอมีหนทางไหนที่ทำให้เขาได้เรียนเร็วๆ บ้าง


ใครจะรู้ตอนนั้นลู่เชินตบหน้าอกแล้วบอกว่า ไม่ต้องไปหาที่เรียนหรอก แต่จะช่วยจ่ายเงินซื้อใบขับขี่ให้เขา ในปี1998 นั้นกฎหมายยังไม่เคร่งครัดมาก พอผ่านไปแค่หนึ่งสัปดาห์ ลู่เชินก็นำใบขับขี่มาส่งให้เยี่ยเทียนถึงมือ


แต่มีใบขับขี่กลับไม่มีรถ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากขับซานตาน่าคันเก่าของพ่อ จึงคิดไปคิดมาอยากจะซื้อรถสักคัน ถึงอย่างไรเขาก็อาศัยอยู่ในซอย ถ้าออกไปเรียกแท็กซี่ก็กินเวลาสี่ห้านาที จึงไม่ค่อยสะดวกจริงๆ


“จีจี…จีจี!” ตอนที่ทุกคนกำลังเดินมาถึงประตูบ้าน เหมาโถวไม่รู้โผล่มาจากไหน กระโดดเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของถังเสวียเสวี่ย อย่างกับจะขอติดตามเยี่ยเทียนไปด้วย


“อยู่เฝ้าบ้านไป อย่ามัวแต่คิดเที่ยว!” เยี่ยเทียนคว้าเหมาโถวเอาไว้ แล้วโยนกลับลงไปในลานบ้าน


เจ้าตัวนี้มักจะก่อเรื่องอยู่สมอ คราวก่อนที่เยี่ยเทียนไปออกกำลังกายตอนเช้าในสวนสาธารณะ จู่ๆ เจ้าตัวแสบก็ใช้อุ้งเท้าเปิดกรงได้ และแอบไปขโมยกินนกในกรงที่ผู้สูงอายุนำออกมาแขวนไว้บนต้นไม้ในสวน


พอได้ยินผู้สูงอายุในสวนสาธารณะบ่นกันว่าช่วงนี้มีงูแอบมากินนกในกรง เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ จึงไปซื้อกรงใหม่มาอันหนึ่ง แล้วขังเหมาโถวไว้อยู่หลายวัน มันถึงได้เชื่อฟังมากขึ้น


“พี่คะ เหมาโถวมันน่าสงสารนะ!” ถังเสวียเสวี่ยทนดูท่าทางยื่นหัวไปมาของเหมาโถวไม่ได้


“นั่นมันแกล้งทำ เธออย่าได้สงสารมันเชียว!”


เยี่ยเทียนปิดประตูบานใหญ่ตามหลัง แต่ตอนที่เขาเดินพ้นเขตพลังมังกรที่ครอบคลุมเรือนสี่ประสานไว้ โทรศัพท์ที่อยู่ที่ตัวก็ดังขึ้นมา


“ลุงเว่ย? ไม่ได้เจอลุงครึ่งเดือนแล้ว สบายดีนะครับ?”


เยี่ยเทียนควักโทรศัพท์ออกมา ที่แท้เว่ยหงจวินก็โทรมาจึงรีบรับสาย แต่พอได้ฟังเสียงตามสายของเว่ยหงจวินแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ค่อยๆ จางหายไป


“ชิงหย่า เสวียเสวี่ย คือ…เรื่องรถน่ะเอาไว้ก่อนนะ ลุงเว่ยมีธุระกับฉัน”


หลังจากวางสายแล้ว เยี่ยเทียนมองดูชิงหย่ากับเสวียเสวี่ยด้วยสายตาขอโทษ ถ้าเป็นคนอื่นเยี่ยเทียนคงไม่สนใจ แต่เว่ยหงจวินมีเรื่องเดือดร้อนโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือ ไม่ว่าอย่างไรเยี่ยเทียนก็ต้องไปช่วย



ตอนที่ 275 เหตุแห่งความพินาศ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ครั้งหน้าค่อยไปกับพวกเราก็ได้ เรื่องของลุงเว่ยร้ายแรงมากใช่ไหม?”


พักหลังมานี้เยี่ยเทียนค่อนข้างว่างงาน เลยมีเวลาอยู่กับอวี๋ชิงหย่ามากขึ้น เมื่อรู้ว่าเยี่ยเทียนมีธุระ เธอก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับกลายเป็นถังเสวียเสวี่ยที่เป็นฝ่ายไม่พอใจ เบ้ปากงอนใหญ่


ท่าทางของถังเสวียเสวี่ยทำให้เยี่ยเทียนหัวเราะออกมา “เสวียเสวี่ย ให้พี่ชิงหย่าไปเดินช้อปปิ้งกับเธอแล้วกัน แต่จะนานมากไม่ได้นะ ตอนเที่ยงก็ต้องกลับบ้านแล้ว”


“ขอบคุณค่ะพี่เยี่ยเทียน!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน ถังเสวียเสวี่ยตื่นเต้นดีใจทันที เมื่อก่อนเธอสุขภาพอ่อนแอออกไปไหนมาไหนไม่ค่อยได้ ตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูดีแล้วจึงสนใจใคร่รู้ต่อโลกภายนอกมากขึ้น


อีกทั้งช่วงนี้คุณปู่มีธุระต้องกลับไปฮ่องกงสองสามวัน ไม่มีใครคอยควบคุมเธอ ถังเสวียเสวี่ยจึงเหมือนกับแกะที่ถูกปล่อยอย่างอิสระ วันๆ อยากจะตามเยี่ยเทียนออกไปเที่ยวอย่างเดียว


“พ่อ เซี่ยวเทียน สองคนมากันได้ยังไง? วันนี้งานที่ร้านว่างเหรอ?”


ในตรอกซอกซอยไม่มีรถแท็กซี่ ตอนที่พวกเยี่ยเทียนกับอวี๋ชิงหย่ากำลังเดินออกจากซอย ก็พบกับเยี่ยตงผิงและโจวเซี่ยวเทียน


เยี่ยตงผิงหัวเราะพูด “เมื่อวานเซี่ยวเทียนกลับไปที่เขาถังซานมา เอาเนื้อลาติดมือกลับมาด้วย เขาบอกว่าแกชอบกิน เลยตั้งใจเอามาให้ทำไมเหรอ พวกเธอจะออกไปข้างนอก?”


“ลุงเว่ยป่วยเข้าโรงพยาบาล อยากให้ผมไปเยี่ยมหน่อย เนื้อลาเอาไว้ในรถพ่อก่อน พ่อครับ พ่อช่วยไปส่งชิงหย่ากับ เสวียเสวี่ยไปที่ห้างสรรพสินค้าแถวซีตานได้ไหมครับ เซี่ยวเทียน วันนี้นายไปกับฉัน!”


ตั้งแต่รับศิษย์คนนี้มา เยี่ยเทียนมักจะได้ยินพ่อของเขายกยอลูกศิษย์คนนี้เสมอพอทราบว่าโจวเซี่ยวเทียนกลับไปเขา ถังซานยังนึกถึงตัวเองอุตส่าห์นำเนื้อลากลับมาฝาก เยี่ยเทียนจึงอดรู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่ได้


“เด็กบ้า ทำไมชอบแย่งเอาคนของพ่อไปเสียทุกที? เอาเถอะ เดี๋ยวฝากพ่อทักทายเหล่าเว่ยด้วยนะ…” เยี่ยตงผิงได้แต่ส่ายหน้า วันนี้ร้านที่ตลาดพานเจียหยวนคงต้องให้หลิวเหวยอันเฝ้าร้านคนเดียวซะแล้ว


พอส่งอวี๋ชิงหย่ากับถังเสวียเสวี่ยขึ้นรถออดี้คันใหม่ของพ่อเสร็จ เยี่ยเทียนก็รีบวิ่งไปเรียกรถแท็กซี่ แล้วให้บึ่งตรงไปส่งที่โรงพยาบาลอันติ้งเหมินที่ใกล้กับสวนสาธารณะตี้ถาน


“เซี่ยวเทียน ได้ยินพ่อว่านายพูดเก่งนักนี่ ทำไมถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?”


ถ้าไม่ได้ฟังเยี่ยตงผิงพูด เยี่ยเทียนก็คงไม่เชื่อว่าโจวเซี่ยวเทียนจะสามารถใช้วาทศิลป์ในการตะล่อมขายของไปได้ ในราคาห้าหกหมื่นหยวน


ต้องรู้ก่อนว่า ตอนที่เยี่ยเทียนรู้จักเขาครั้งแรก เจ้าหนุ่มคนนี้พูดคำห้วนๆ สั้นๆ แต่ภายในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย


โจวเซี่ยวเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “อาจารย์ ผม…ผมอยากให้แม่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แล้วก็…แล้วก็ไม่อยากให้อาจารย์ขายหน้าครับ!”


ความจริงโจวเซี่ยวเทียนตอนเด็กนั้นมีนิสัยร่าเริงสดใส แต่ตั้งแต่ที่พ่อของเขาจากไป ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้นิสัยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนไม่ค่อยพูด


แต่พอได้เปิดใจกับเยี่ยเทียนแล้ว ความทุกข์หดหู่ในใจที่เก็บมาสิบกว่าปีของโจวเซี่ยวเทียนได้ถูกระบายออกไป อุปนิสัยจึงเปลี่ยนกลับมาดีขึ้นอย่างช้าๆ บวกกับได้รับโอกาสจากเยี่ยเทียนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ โจวเซี่ยวเทียน ยิ่งรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น


พอได้ยินประโยคนี้ของโจวเซี่ยวเทียน ทำให้เยี่ยเทียนอึ้งไป เพราะเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายจริงใจทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ


เมื่อนึกถึงการกระทำของแม่โจวเซี่วเทียนในวันนั้น ทำให้เยี่ยเทียนแอบทอดถอนใจไม่หยุด เพื่อลูกของตัวเองแล้ว คนเป็นแม่ยอมทำทุกอย่างได้ และโจวเซี่ยวเทียนเองก็มีจิตใจดี ถือว่าการรับศิษย์นอกสำนักครั้งนี้รับได้ถูกคนจริงๆ


บรรยากาศในรถเงียบลง คนขับรถแอบสังเกตคนทั้งสองคนจากกระจกมองหลัง เขาไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มสองคนนี้อายุไล่เลี่ยกัน แต่ทำไมถึงเรียกแทนกันว่าศิษย์อาจารย์?


โรงพยาบาลอันติ้งเหมินอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเยี่ยเทียนมาก ซึ่งอยู่ใกล้กับยงเหอกงหรือวัดลามะกับสวนสาธารณะตี้ถาน ใช้เวลาไม่นาน รถแท็กซี่ก็มาหยุดอยู่หน้าประตูของโรงพยาบาล


พอลงจากรถแล้วโจวเซี่ยวเทียนก็ถามว่า “อาจารย์ พวกเราจะเยี่ยมคนไข้ใช่ไหมครับ? ต้องซื้อของเยี่ยมอะไรไหม?”


“เหอะ นายไม่เตือนฉันเกือบลืมสนิท นายรอฉันแป๊บหนึ่ง”


หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงตบศีรษะนิดหน่อย เพราะมัวแต่คิดว่า สนิทสนมกับเว่ยหงจวินมาก จึงลืมมารยาทพื้นฐานไปเลย เขาจึงให้โจวเซี่ยวเทียนรออยู่ที่หน้าประตู ส่วนตัวเองก็ไปซื้อกระเช้าผลไม้มากระเช้าหนึ่ง


“ลุงเว่ย ผมมาถึงแล้ว ตึก B ห้อง 302ใช่ไหม? ผมจะรีบไป!” หลังจากถามเว่ยหงจวินทางโทรศัพท์เรียบร้อย เยี่ยเทียนก็พาโจวเซี่ยวเทียนไปถึงห้องคนไข้ที่เว่ยหงจวินพักอยู่


ห้องคนไข้ที่เว่ยหงจวินพักนั้นเป็นห้องเดี่ยว เยี่ยเทียนมองผ่านหน้าต่างเข้าไปก็เห็นเว่ยหรงหรงอยู่ด้านใน จึงเคาะประตูแล้วเดินเข้าไป


“เยี่ยเทียน นายมาแล้วเหรอ?” เว่ยหรงหรงเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งสองบวมแดงเหมือนดวงไฟก็ไม่ปาน แสดงว่าเพิ่งจะร้องไห้ไป


“นี่…นี่มันเกิดรื่องอะไรกัน? ลุงเว่ย ลุงบอกว่าป่วยไม่ใช่เหรอ?” มองดูศีรษะของเว่ยหงจวินที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลที่เหมือนกับมัมมี่โผล่ให้เห็นเพียงดวงตาทั้งสองข้าง เยี่ยเทียนหรี่ตาสงสัย


ในโทรศัพท์เว่ยหงจวินบอกว่าเขาป่วย จึงให้เยี่ยเทียนมาเยี่ยม แต่สภาพของเว่ยหงจวินที่อยู่ตรงหน้าไม่เหมือนกับเจ็บป่วยตรงไหน? แต่ต้องถูกคนทำร้ายแน่นอน แล้วยังลงมือหนักเสียด้วย โดยถูกทำร้ายที่ศีรษะและลำตัวช่วงบนเป็นหลัก


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะรู้จักคนในปักกิ่งไม่น้อย แต่คนที่เขายอมรับเป็นเพื่อนจริงๆ นั้นมีแค่เฉินสี่ฉวนกับเว่ยหงจวินสองคน เท่านั้น ตอนนี้เห็นเว่ยหงจวินถูกทำร้ายอาการสาหัส ไฟโทสะในใจจึงเดือดพล่าน


“เยี่ยเทียนมาแล้วเหรอ?”


พอได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงคนไข้จึงดิ้นจะลุกขึ้นนั่ง พลางชี้ไปที่เก้าอี้ด้านข้าง “เยี่ยเทียน นั่งสิ มานั่งตรงนี้ เจ้าหนุ่มคนนี้เป็นใคร?”


“เขาเป็นลูกศิษย์คนใหม่ของผม ชื่อโจวเซี่ยวเทียน” หลังจากเยี่ยเทียนแนะนำโจวเซี่ยวเทียนให้เว่ยหงจวินรู้จักแล้ว จึงถามต่อว่า “ลุงเว่ย เกิดอะไรขึ้น ลุงช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อย”


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะสามารถทำนายโชคชะตาล่วงหน้าและยังสามารถดูโหงวเฮ้งถึงโชคดีหรือร้าย แต่เขาก็ต้องใช้วิชาอาคมในการแสดงการทำนาย โดยปกติเขาจะไม่ทำนายให้ใครส่งเดช ไม่อย่างนั้นคงจะเหนื่อยตาย


อีกอย่างช่วงหลังนี้เว่ยหงจวินก็งานยุ่ง เยี่ยเทียนจึงไม่ได้เจอเขาเลย ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าได้เกิดเคราะห์ภัยกับเว่ยหงจวิน


มีบางคนอาจจะพูดว่า แล้วนายเห็นเว่ยหงจวินเมื่อสองสามเดือนก่อนหน้านั้น ทำไมตอนนั้นถึงมองไม่ออก?


ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุอย่างหนึ่ง โบราณว่าฮวงจุ้ยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุกสามสิบปี หมายความว่าไม่ว่าจะเป็นฮวงจุ้ยหรือโชคชะตาของมนุษย์ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


ปัจจัยจากโลกภายนอกนั้นมีอิทธิพลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้ว่าจะด้วยความสามารถของเยี่ยเทียน แต่ก็ไม่สามารถระบุชัดเจนได้ว่าใครจะพบเจอกับเรื่องราวแบบไหนได้เมื่อไรบ้าง


“เอ่อคือ หรงหรง ลูกลองไปดูสิว่าของของเสี่ยวสวีซื้อมารึยัง?” เว่ยหงจวินมองดูลูกสาวอย่างลังเล เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้เว่ยหรงหรงได้ยินบทสนทนาของเขากับเยี่ยเทียน


“เอ๋ เยี่ยเทียน นายมาแล้วเหรอ?” เสียงของเว่ยหงจวินยังไม่ทันขาดคำ ประตูห้องคนไข้ก็ถูกคนเปิดออก สวีเจิ้นหนานถือกระติกน้ำร้อนเดินเข้ามาข้างหลังของเขายังมีหวังกงคนคุ้นเคยของเยี่ยเทียนเดินตามเข้ามาด้วย


ใบหน้าของหวังกงปรากฎรอยเขียวช้ำ เห็นได้ชัดว่าได้ไปร่วมวงโดนตะลุมบอนกับเถ้าแก่มา เพียงแต่เว่ยหงจวินอา การหนักกว่าเท่านั้นเอง


พอเห็นสวีเจิ้นหนานเดินเข้ามา เว่ยหงจวินจึงส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เขาแล้วพูดว่า “เสี่ยวสวี ขอบใจมากนะ เอาของวางไว้ตรงนี้แหละ นายกับหรงหรงออกไปเดินเล่นเถอะ”


“ได้ครับ หรงหรง พวกเราออกไปหาอะไรกินข้างนอกกันเถอะ มีเยี่ยเทียนอยู่เป็นเพื่อนลุงเว่ยก็พอแล้ว”


ตั้งแต่ได้พบกับเว่ยหงจวิน เขาไม่เคยเห็นสวีเจิ้นหนานหน้าตาระรื่นได้ขนาดนี้ สวีเจิ้นหนานจึงรีบชักชวนเว่ยหรงหรง ออกจากห้องคนไข้ทันที


“ลุงเว่ย นอนลงก่อน ให้หวังกงเป็นคนเล่าเรื่องก็แล้วกัน”


เมื่อเห็นท่าทางหมดแรงของเว่ยหงจวิน เยี่ยเทียนจึงประคองเขาให้นอนลงไป และดูจากบาดแผลฉกรรจ์ของเว่ยหงจวิน น่าจะบาดเจ็บลึกถึงชั้นกระดูกกับเส้นเอ็น ในเวลาสามถึงห้าเดือนก็อย่าคิดว่าจะรักษาอาการให้หายได้


“ได้ หวังกง นาย…นายเล่าให้เสี่ยวเยี่ยฟังเถอะ!”


เว่ยหงจวินยิ้มอย่างขมขื่น เขาเป็นคนทำอะไรระมัดระวังมาตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่เยี่ยเทียนได้เตือนเขา งานนอกกฎหมายทั้งหลายอย่าได้เฉียดเข้าไปใกล้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้


“เยี่ยเทียน เรื่องนี้ต้องเริ่มจากที่พวกเราไปรับงานก่อสร้างนั้นมา…”


ใบหน้าของหวังกงก็ถูกชกไม่เบา ขณะที่พูดก็จะกระทบไปถึงแผล ทำให้ปากกระตุกอยู่ตลอด แต่ก็ยังสามารถเล่าเรื่องราวทั้งหมดจนจบอย่างชัดเจน


ที่แท้สองสามเดือนก่อนบริษัทของเว่ยหงจวินรับงานปรับปรุงซ่อมแซมบ้านเก่าแถวเขตตงเฉิง เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่ เว่ยหงจวินจึงใช้กำลังความสามารถทั้งหมดทุ่มเทให้กับงานนี้


ปกติคนที่อาศัยในเมืองพอจะทราบว่า ปัญหาใหญ่สุดคือของการปรับปรุงซ่อมแซมเมืองเก่าที่ต้องพบเจอ ก็คือปัญหาของการย้ายบ้านของครอบครัวเก่ามีชื่อว่า “บ้านตะปูหรือติงจื่อหู้” ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงซ่อมแซมเมืองเก่า


หลังจากรัฐบาลใช้วิธีสรรหาบริษัทรับเหมาเข้ามาทำการก่อสร้าง พวกเขาก็ไม่สนใจปัญหา “บ้านตะปูหรือติงจื่อหู้” อีกและให้บริษัทรับเหมาจัดการด้วยตัวเอง


สิ่งที่เรียกว่าบ้านตะปูหรือติงจื่อหู้นั้น ก็คือบ้านที่ไม่สนใจว่าค่าย้ายบ้านจะมีราคาเท่าไรก็ยืนกรานที่จะไม่ย้ายบ้านเด็ดขาด และบริษัทรับเหมาก็เพื่อทำกำไร ปกติก็จะไม่ยอมเพิ่มค่าขนย้ายให้


แต่ถ้าปัญหาไม่จบ ก็จะไม่สามารถดำเนินงานต่อได้ ทำให้ความเสียหายของบริษัทรับเหมายิ่งหนักขึ้น เพราะฉะนั้นจึงเกิดธุรกิจแบบใหม่ นั้นก็คือบริษัทรับจ้างรื้อถอนและขนย้ายบ้าน


และเพื่อตัดปัญหา หลังจากบริษัทรับเหมามากมายรับงานก่อสร้างแล้ว ก็จะมอบปัญหาที่ยุ่งยากให้แก่บริษัทรับจ้างรื้อถอนและย้ายบ้านให้จัดการแทน


บริษัทรับจ้างรื้อถอนและย้ายบ้านในยุคปี 90 นัั้น ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือพวกอันธพาลกับพวกว่างงานที่รวมตัวกันเป็นแก๊งเพื่อรับเงินจากค่ารื้อถอนขนย้ายบ้าน คนพวกนี้จะยอมทำทุกวิถีทางโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น


การตัดน้ำตัดไฟถือเป็นวิธีเบาะๆ หนักหน่อยก็ปล่อยสุนัข ปล่อยงู ไม่อย่างนั้นก็อาศัยคืนเดือนมืด แอบเข้าไปในหมู่บ้านเหมือนผีก็ไม่ปาน และทำการควบคุมและแบกคนที่กำลังนอนหลับสนิทออกมาจากในบ้าน แล้วก็ทำลายบ้านของพวกเขาให้ราบเป็นหน้ากลองภายในชั่วพริบตา


ยังมีวิธีที่ต่ำทรามกว่านั้น คือไม่เล่นไม้นี้แล้วบุกเข้าไปใน “บ้านตะปู” แล้วใช้ค้อนใหญ่ไล่ทุบข้าวของในบ้านเป็นการสั่งสอน


ตอนแรกเว่ยหงจวินเคยคิดจะใช้คนพวกนี้ไปจัดการปัญหาการย้ายบ้าน แต่หลังจากได้ฟังคำเตือนของเยี่ยเทียนแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจ จึงเกิดต้นเหตุของเรื่องร้ายเหล่านี้



ตอนที่ 276 คิดบัญชี

โดย

Ink Stone_Fantasy

เว่ยหงจวินเป็นคนทำมาค้าขายและไม่ใช่คนดี เขาเองก็อยากใช้เงินลงทุนน้อยที่สุดเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด แต่หลังจากที่ได้ยินเยี่ยเทียนขอให้เขาช่วยเหลือผู้คน ไม่ทำเรื่องเลวร้ายแล้ว เว่ยหงจวินก็ไม่ไปหาบริษัทรื้อถอนพวกนั้นอีก


เนื่องจากเว่ยหงจวินเข้าใจวิธีการของบริษัทรื้อถอนพวกนั้นอย่างชัดเจน คนพวกนั้นล้วนไม่ใช่พุทธศาสนิกชนอะไร


นอกจากหากำไรจากค่ารื้อถอนแล้ว วิธีการหาเงินหลักๆ ของพวกเขา ยังบังคับให้พวกที่อยู่อาศัยพวกนั้นลงชื่อรับค่าชดเชยในการรื้อถอนในราคาต่ำมากจากแผนการรับเงินก้อนใหญ่


หากให้พูดเปรียบเทียบก็คือ รัฐบาลให้เงินค่าชดเชยหนึ่งล้าน พวกเขาอาจจะให้ผู้อยู่อาศัยเพียงแปดแสนหรือว่าน้อยกว่า ส่วนที่เหลือนั้นย่อมตกใส่กระเป๋าเงินของพวกเขาเองทั้งหมด


แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้อยู่อาศัยพวกนั้นย่อมไม่ยอมลงชื่อ แล้วการรื้อถอนอย่างบ้าระห่ำก็จึงเกิดขึ้น หลายปีมานี้ เมืองเก่าปรับปรุงตามโครงการมากมาย เนื่องจากเรื่องการรื้อถอนทำคนบ้านแตกสาแหรกขาดมีมาให้ได้ยินเป็นระยะ


ดังนั้นหลังจากผ่านการคิดทบทวน เว่ยหงจวินจึงตัดสินใจไม่จ้างบริษัทรื้อถอนข้างนอก และรับผิดชอบโดยบริษัทของตัวเองทั้งหมด


อย่างไรก็ได้ค่าชดเชยรื้อถอนมากหน่อย สำหรับพื้นฐานฐานะครอบครัวของเว่ยหงจวินยังนับว่าไม่เท่าไร แต่ยังสามารถประหยัดเงินจากส่วนนั้นหรืออาจจะมากกว่าจ้างบริษัทรื้อถอนมาเสียอีก เพียงแต่เพิ่มปริมาณงานกับความยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น


ถึงแม้ขณะอยู่ในขั้นตอนรื้อถอน และอาจมีบ้านตะปูที่รับมือยากอยู่บ้าง แต่ภายใต้การเพิ่มค่ารื้อถอนกับความอดทนของการพูดโน้มน้าว จึงทำให้การเผชิญหน้าการรื้อถอนเป็นไปอย่างราบรื่น


หลักสำคัญก็คือ ท่าทีของบริษัทเว่ยหงจวิน ทำให้ผู้คนที่ถูกย้ายบ้านพวกนั้นล้วนพึงพอใจ เรื่องฟ้องร้องดำเนินคดีอะไรพวกนั้นก็ไม่เกิดขึ้น จึงเท่ากับเป็นการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาล


วัฒนธรรมการรื้อถอนของเว่ยหงจวินทำให้เขาได้รับชื่อเสียงอย่างดี รัฐบาลให้ความชื่นชมต่อบริษัทของเขาหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งมีเจตนาจะมอบโครงการในอนาคตให้บริษัทของเว่ยหงจวินไปทำอีกด้วย


แต่เมื่อเป็นอย่างนั้น บริษัทที่อาศัยการรับจ้างรื้อถอนหากินก็จึงมีปัญหา บริษัทพวกนี้เดิมทีอาศัยค่าหัวคิวเงินชดเชย การรื้อถอนจึงรุ่งเรือง ตอนนี้ไม่มีคนไปหาพวกเขาให้ช่วยทำการรื้อถอน แล้วพวกเขาจะกินอะไรล่ะ? ดังนั้นความขัดแย้งจึงพุ่งตรงมายังเว่ยหงจวิน


คนที่สามารถจับธุรกิจรับจ้างรื้อถอนได้ เดิมทีล้วนเป็นหัวโจกเก่าชื่อดังแห่งปักกิ่งหรือไม่ก็นักเลงประจำถิ่น ที่เลี้ยงดูพวกว่างงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นแก๊งใหญ่ ชื่อเสียงดีงามด้านช่วยแบ่งเบาภาระให้รัฐบาล แก้ปัญหาการว่างงานของนักโทษแรงงานที่กลับใจให้มีงานทำอีกครั้ง


แต่ใครจะรู้ ว่าแก๊งนักโทษกลับใจที่ออกมานั้น ล้วนเป็นนักเลงหัวไม้ เหตุทุบทำลายใช้ปืน เรื่องปล่อยหมาซ่อนงู ระหว่างขั้นตอนรื้อถอนนั้น ส่วนใหญ่เป็นฝีมือของพวกเขาที่ทำออกมาทั้งสิ้น


แน่นอนว่า นักเลงพวกนั้นเปิดบริษัทรื้อถอนได้เงินมาแล้ว จึงมีวัฒนธรรมมากขึ้น หลายบริษัทได้ปรึกษากัน แล้วจึงตัดสินใจไปเจรจาพาทีกับเว่ยหงจวินก่อนแล้วค่อยใช้กำลัง


ดังนั้นเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนหลายรายในเขตตงเฉิงจึงมาหาเว่ยหงจวิน แต่ว่าคนหยาบคายก็คือคนหยาบคายอยู่วันยังค่ำ คนพวกนี้อ้าปากมาก็ข่มขู่เว่ยหงจวินว่าการรื้อถอนด้านล่างต้องให้พวกเขาทำ ไม่อย่างนั้นธุรกิจของเว่ยหงจวินจะดำเนินต่อไม่ได้


ถ้าหากคนพวกนี้เจรจากับเว่ยหงจวินดี ๆ สักหน่อย สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ตุกติกกับเงินชดเชยค่ารื้อถอน ไม่แน่ว่าเว่ยหงจวินอาจจะไม่ปฏิเสธ ให้งานรื้อถอนแก่พวกเขา แต่แย่ตรงที่ว่าเจ้าแก๊งพวกนี้ทำเกินเหตุเกินไป


เว่ยหงจวินนั้นตั้งตัวมาจากร้านอาหารเล็กๆ ในเรือนสี่ประสาน สถานที่ที่มีทั้งคนเลวและคนดีอยู่ร่วมกันแบบนั้นความสัมพันธ์ดำขาวไม่อาจแยกกันได้ชัดเจน ดังนั้นภายในช่วงแรกของเมืองปักกิ่ง เว่ยหงจวินจึงนับเป็นคนดังคนหนึ่ง


บวกกับธุรกิจของเว่ยหงจวินรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน รู้จักคนระดับสูงในสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายปีมานี้น้อยคนนักจะกล้าชักสีหน้าใส่เขา


ดังนั้นเมื่อถูกเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนพวกนั้นใช้คำพูดกดดัน เว่ยหงจวินเองจึงเปลี่ยนสีหน้าในทันควัน เรียกคนให้ขับไล่พวกเขาออกไป


เว่ยหงจวินเองก็ไม่เอาเรื่องนี้มาใส่ใจ ถึงอย่างไรหัวหน้าของสำนักงานเขตตงเฉิงกับรวมถึงคนอีกสองสามคนที่อยู่ในหน่วยงานรัฐบาลต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเขา เขาเองก็ไม่กลัวนักเลงพวกนั้นเข้ามาหาเรื่อง ประชาชนหาเรื่องกับข้าราชการ ถือว่าหาเรื่องตายชัดๆ


หลังจากนั้นหนึ่งถึงสองเดือน คนพวกนั้นก็ไม่กล้ามาหาเรื่องอีก งานที่เว่ยหงจวินต้องทำในแต่ละวันนั้นเยอะมาก จึงค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไปจากสมอง


แต่เว่ยหงจวินไม่เคยคิดมาก่อนว่า สมองของพวกนักเลงในปัจจุบันล้วนพัฒนาไปตามวันเวลา กระทั่งสหายเถ้าแก่ใหญ่ที่ร่วมกินนอนด้วยกันมากับเว่ยหงจวิน ก็ยังมีเล่ห์เหลี่ยมและวิธีการมากมาย


เวลาเที่ยงของเมื่อวานซืน เว่ยหงจวินได้รับรายงานจากหวังกง บอกว่ามีครอบครัวหนึ่งที่ตกลงย้ายบ้านกับบริษัทรื้อถอนเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ ดันกลับคำ หนำซ้ำยังฉีกข้อตกลงค่าชดเชยทิ้งตรงนั้น บอกว่าต้องการให้เถ้าแก่ของบริษัทไปคุยกับเขา


ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของบ้านที่จะถูกรื้อถอนนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก ตารางการก่อสร้างในสัปดาห์ถัดไปจะดำเนินการที่นั่น จึงจำเป็นต้องรื้อถอนทิ้งในทันที


หลังจากได้ยินการรายงานของหวังกงแล้ว เว่ยหงจวินจึงคิดว่าเจ้าบ้านหลังนั้นอยากเพิ่มราคา ตอนนั้นจึงไม่ได้ใส่ใจ เพราะว่าผู้อยู่อาศัยโดยรอบล้วนย้ายออกไปหมดแล้ว จึงตัดสินใจยอมถอยแล้วให้เงินมากหน่อยก็ไม่เป็นไร


คืนวันนั้นเว่ยหงจวินพาหวังกงกับพนักงานภายในบริษัทสองสามคนไปยังบ้านหลังนั้น แต่สิ่งที่เว่ยหงจวินไม่คาดคิดก็คือ เด็กหนุ่มที่ว่ากันว่าเป็นเจ้าของธุรกิจ อ้าปากมาก็เปิดราคาค่าชดเชยถึงสิบล้าน


ควรทราบว่า บ้านที่รอการรื้อถอนหลังนั้นเป็นบ้านสามห้องในเนื้อที่เพียงแปดสิบตารางเมตรเท่านั้น ตามราคาตลาดก็เพียงแค่สามสี่แสนเท่านั้นเอง จำนวนเงินสิบล้านมากพอจะซื้อได้หลายสิบหลัง


เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีความจริงใจ เว่ยหงจวินก็ไม่อยากคุยอีกต่อไป ใครจะรู้ว่าขณะที่พวกเขาเตรียมจะออกมานั้น จู่ๆ ก็มีคนจำนวนเจ็ดแปดคนพุ่งออกมา ในมือถือกระบองมีดพร้าจะมาฟาดฟันเว่ยหงจวิน


ดูเหมือนพวกเขาจะจำเว่ยหงจวินเพียงคนเดียว วิ่งเข้ามาจับตัวของหวังกงและคนอื่นๆ ไว้ แล้วซัดหน้าเข้าไปสองสามหมัด ซึ่งไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย แต่เถ้าแก่เว่ยกลับถูกทำร้ายหนัก


แต่คนพวกนี้ก็กะน้ำหนักมือได้เป็นอย่างดี กระบองตีลงบนข้อต่อของร่างกาย ส่วนมีดก็เพียงฟันแต่ไม่ได้แทง ถึงแม้จะทำร้ายจนเลือดไหลหายใจรวยริน แต่ก็ไม่ถึงแก่ชีวิต หลังจากส่งตัวไปแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาล เว่ยหงจวินก็รู้สึกตัวขึ้นมา


เว่ยหงจวินที่ไม่เคยถูกทรมานมาก่อนแน่นอนว่าไม่ยอมเลิกราแน่นอน คืนเมื่อวานซืนก็ปลุกระดมเครือข่ายทั้งหมดที่ตัวเองมี เตรียมการจับเจ้าบ้านหลังนั้น อย่างน้อยก็น่าจะโดนโทษจงใจประทุษร้ายผู้อื่นบ้างแหละน่า?


แต่สิ่งที่เว่ยหงจวินไม่คาดคิดก็คือ เจ้าบ้านคนนั้นไม่ต้องถูกจับกุมเลย เพราะเขาก็อยู่ในโรงพยาบาลเดียวกับเว่ยหงจวินเช่นกัน และบาดแผลบนตัวนั้น ก็สาหัสไม่น้อยไปกว่าเว่ยหงจวิน


อีกทั้งบันทึกของตำรวจเกี่ยวกับการกระทำของคนพวกนั้นแสดงให้เห็นว่า นี่คือเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเรื่องค่ารื้อถอนระหว่างเจ้าบ้านกับฝั่งรื้อถอน เจ้าบ้านคนนั้นที่ได้รับบาดเจ็บ ยืนกรานท่าเดียวว่าเว่ยหงจวินเป็นคนลงมือก่อน พวกพี่น้องของเขาเห็นว่าตกลงกันไม่ได้จึงสวนกลับ


เดิมทีด้วยเครือข่ายพวกนั้นของเว่ยหงจวิน ก็ได้จับกุมพวกนั้นที่ทำร้ายคนไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าวันถัดมา คนกลุ่มหนึ่งได้พาเจ้าบ้านที่ได้รับบาดเจ็บออกไปจากโรงพยาบาล เพื่อคุกเข่าฟ้องร้องต่อหน้าทางเข้าตึกรัฐบาล


ข้อหาที่ฟ้องร้องก็คือทำธุรกิจบังคับรื้อถอน ประทุษร้ายเป็นเหตุให้คนบาดเจ็บสาหัส แถมยังร่วมมือกับตำรวจจับกุมผู้บริสุทธิ์ จึงวอนขอรัฐบาลช่วยให้ความเป็นธรรมแก่พวกเขา


เมืองปักกิ่งเป็นเขตแดนแบบไหน? ก็คือเมืองหลวงของประเทศ จะเรื่องใหญ่เรื่องเล็กล้วนถูกดึงดูดความสนใจระดับนานาชาติ


คนพวกนี้ทำเรื่องให้วุ่นวายใหญ่โต เวลานั้นจึงทำให้หัวหน้าทั้งหลายต่างตบโต๊ะ ปล่อยพวกอันธพาลทั้งหลายกลับไป เครือข่ายของเว่ยหงจวินนั้นจึงไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง


แม้ว่าได้รับทุกข์ทรมานใหญ่หลวง เว่ยหงจวินก็ยังไม่เคยคิดไปถึงเถ้าแก่บริษัทรื้อถอนหลายรายที่เคยข่มขู่เขา แต่ว่าเมื่อวานนี้ เว่ยหงจวินได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง ในใจจึงพลันกระจ่างขึ้นมา


ที่แท้บ้านหลังนั้น เพิ่งจะถูกเด็กหนุ่มนั่นขายไปในเวลาไม่กี่เดือนก่อนหน้า โฉนดที่ดินเพิ่งจะทำเสร็จได้ไม่นาน อีกทั้งช่วงเวลาที่ซื้อบ้านยังตรงกันกับช่วงที่เว่ยหงจวินถูกข่มขู่พอดิบพอดี


มิตรสหายพวกนั้นภายในรัฐบาลเคยบอกเว่ยหงจวินแล้ว ว่าเรื่องนี้มีผู้บังคับบัญชาตำแหน่งสูงกว่าเกี่ยวข้อง ทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็กเป็นดีที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างล้วนบาดเจ็บทั้งคู่ จึงให้ฝ่ายไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเจรจาหาข้อตกลงจะดีกว่า


เมื่อเข้าใจถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว เว่ยหงจวินเองก็อดรู้สึกหนาวเย็นในจิตใจขึ้นมาไม่ได้ คนพวกนี้คิดวางแผนนานขนาดนั้น และเริ่มวางกับดักเขาเมื่อเดือนกว่าๆ


อีกทั้งคนพวกนี้ยังใช้แผนทำร้ายตนเอง เพื่อไม่ให้เครือข่ายของเขาช่วยเหลืออะไรได้ จนเขาต้องเจ็บตัวฟรี แล้วก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย


เว่ยหงจวินเองก็ไม่ใช่คนไร้ความอดทน เพียงแต่เมื่อวานนี้เขาได้รับข่าวเพิ่ม ว่าเขตก่อสร้างหลายจุดที่กำลังดำเนินงานอยู่ถูกโจมตีโดยกลุ่มอันธพาล ถึงขั้นมีเจ้าหน้าที่ก่อสร้างหลายคนถูกทำร้ายด้วย


ตัวของเว่ยหงจวินก็ถูกทำร้าย บางทีเขาอาจยอมกล้ำกลืนฝืนทนความแค้นนี้ได้ แต่เมื่อเห็นได้ชัดว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการถอนรากถอนโคน ให้บริษัทของเขาไม่สามารถทำกิจการต่อไปได้ เว่ยหงจวินจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป


แต่ว่าตอนนี้จะคาดหวังกับคนของรัฐบาลไม่ได้ เว่ยหงจวินเองก็ไปหามิตรที่เป็นกลุ่มนักเลง คนพวกนั้นพอได้ยินว่าเป็นเรื่องวุ่นวายเกี่ยวกับบริษัทรื้อถอนในตงเฉิง ต่างก็ลนลานหาข้ออ้างว่าติดธุระแล้ววางสาย


พอคิดทบทวนไปมา ตอนนี้เว่ยหงจวินถึงได้โทรศัพท์หาเยี่ยเทียน ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเครือข่ายคนรู้จักของเยี่ยเทียนในปักกิ่งจะไม่มากเท่าตัวเอง แต่ไม่รู้ทำไมเว่ยหงจวินถึงเชื่อว่าเยี่ยเทียนจะสามารถจัดการปัญหานี้ได้


“ให้ตายสิ หรือคำพูดที่ว่าสวรรค์มิโปรดปรานผู้ใด แต่มักเห็นใจคนดี จะเป็นคำพูดไร้สาระไปแล้ว?”


หลังจากได้ยินหวังกงอธิบาย สีหน้าของเยี่ยเทียนก็พลันเขียวปัด นั่นเพราะเขาแนะนำให้เว่ยหงจวินให้ทำความดี ทำเรื่องไร้คุณธรรมให้น้อยลง หากจะว่าไปแล้ว จุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็มาจากตัวเยี่ยเทียนจะดีกว่า


แต่ว่านี่ก็เป็นเพราะเยี่ยเทียนไม่รู้ว่าภายในโครงการรื้อถอนมีเรื่องสกปรกพวกนั้น จุดประสงค์ที่เขาแนะนำเว่ยหงจวิน นั้นเป็นเจตนาดี แต่กลับเป็นการตัดทางทำมาหากินของคนอื่น


สุภาษิตว่าขวางทางหากินผู้อื่นก็เหมือนฆ่าพ่อแม่เขา คนพวกนั้นเป็นพวกใจดำอำมหิต จึงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ อย่างแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเป็นเพียงพ่อค้าทำธุรกิจ ต่อให้พวกข้าราชการระดับสูง คนพวกนั้นก็ย่อมมีแผนการเดินหมากดึงเขาให้ตกลงมาจากหลังม้า


“แหม เถ้าแก่เว่ย วันนี้ท่านสีหน้าไม่เลวนะ อย่างน้อยก็เป็นถึงเถ้าแก่ อยู่ห้องคนไข้ก็ต้องเป็นห้องเดี่ยว ส่วนพี่น้องของผมยังต้องอยู่ห้องรวมหกคนเลยนะ!”


ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้น ห้องคนไข้ก็ถูกคนถีบเปิดออกเสียงดัง “ปัง” เด็กหนุ่มย้อมผมทองสี่ห้าคนก็เดินเท้าเอวเข้ามา



ตอนที่ 277 คดีฆาตกรรม

โดย

Ink Stone_Fantasy

นับตั้งแต่ยุคปลายปี 80 ภาพยนตร์ฮ่องกงก็แพร่หลายไปทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ช่วงหนึ่งการสวมใส่เสื้อผ้าของตัวละครในภาพยนตร์ฮ่องกง ดูราวจะเป็นกังหันลมบอกกระแสแฟชั่นที่แพร่หลายในจีนแผ่นดินใหญ่เลยก็ว่าได้


ตัวอย่างเช่นพอโจวเหวินฟะในบทบาทของพี่เสี่ยวหม่าในเรื่อง “โหด เลว ดี” ได้ฉายออกไป ทันใดนั้นก็ทำให้ถนนสายใหญ่ของเมืองมากมายในจีนแผ่นดินใหญ่ เพียงชั่วข้ามคืนปรากฏว่ามีคนใส่เสื้อโค้ทสวมแว่นกันแดดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน แถมยังเด็กวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยที่จงใจใช้ก้นบุหรี่จี้เสื้อโค้ทจนเป็นรูสองสามรู


และในยุคปี 90 ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลต่อวัยรุ่นเหล่านี้มากที่สุดก็คือ กู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก


เนื่องจากการยกเลิกระบบทำงานแทนพ่อแม่ ปลายยุคปี 90 ในสังคมจึงมีวัยรุ่นว่างงานอยู่มากมาย


วัยรุ่นเหล่านี้กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อนพลุ่งพล่าน เมื่อถูกคนบางส่วนจงใจชี้นำทันใดก็จะเลียนแบบวีรบุรุษจากในภาพยนตร์พวกนั้น เชือดคอไก่เพื่อคำนับหัวหน้า แล้วก็ชอบย้อมสีผมตัวเองเป็นสีสันที่แปลกและแหวกแนว


หลังจากเห็นคนหนุ่มพวกนั้นแล้ว เว่ยหงจวินก็ตื่นตัวขึ้นมาทันใด เพราะว่าในนั้นมีสองคนที่ใช้มีดฟันเขา เขาใช้แขนสองข้างพยุงร่างลุกขึ้น ร้องตะโกนเสียงดัง “ใครใช้ให้พวกแกเข้ามา ออกไปให้หมด!”


เพียงแต่เว่ยหงจวินนั้นถูกพันไปทั้งตัวราวกับบ๊ะจ่าง เวลานี้จึงไม่มีแรงสยบอะไรให้พวกเขาหวาดกลัว เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นจึงไม่เห็นเขาสำคัญแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่เดินนำมาหัวเราะฮิๆ แล้วพูดว่า “เถ้าแก่เว่ย ลูกสาวของคุณล่ะครับ? เฮ้ ได้ยินว่ายังเป็นนักศึกษาอยู่ไม่ใช่เหรอ แถมหน้าตาก็สวยน่ารักเสียด้วย!”


“แก…ถ้าพวกแกกล้าแตะลูกสาวของฉันแม้แต่น้อย ต่อให้ธุรกิจฉันต้องพังพินาศก็จะกวาดล้างพวกแกให้หมด!”


เว่ยหรงหรงเปรียบดังเกล็ดมังกรซึ่งห้ามแตะต้องของเว่ยหงจวิน พอได้ยินคำพูดของพวกอันธพาลแล้ว เขาก็เกือบจะลงจากเตียงมาสู้ฟัดกับพวกเขา แต่กลับถูกเยี่ยเทียนกดไว้บนเตียง


“ลุงเว่ย ใจเย็นๆ ดูสิว่าพวกมันมาทำอะไร” ใบหน้าของเยี่ยเทียนแฝงไปด้วยรอยยิ้ม แต่หากสังเกตที่สายตาของเขาแล้ว จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ทำให้หนาวเย็นไปถึงกระดูก


“ต้องอย่างนั้นสิ เถ้าแก่เว่ย ปากบอกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่กลับไม่รู้จักมารยาทสักนิด จะดีหรือร้ายเราก็มาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของคุณนะ!” พอเห็นเยี่ยเทียนห้ามปรามเว่ยหงจวินเอาไว้ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างราบเรียบ “มีเรื่องอะไร เชิญพูด ลุงเว่ยร่างกายไม่แข็งแรง จำเป็นต้องพักผ่อน!”


“ไอ้หนู แกเป็นใครวะ? เชื่อไหมว่าลูกพี่อย่างข้าฟันเอ็งตายได้นะ?!” เด็กหนุ่มผมสีเหลืองมองเยี่ยเทียนอย่างเหยียดหยาม มือขวาเลิกเสื้อตรงเอวขึ้น มีมีดผ่าแตงโมเสียบอยู่ตรงช่วงเอวเขาอย่างเด่นชัด


“แกพูดกับใครว่าเป็นลูกพี่หา?”


เยี่ยเทียนยังไม่ได้พูด โจวเซี่ยวเทียนกลับไม่พอใจเสียแล้ว เขาเป็นลูกศิษย์ของเยี่ยเทียน หากหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้จะเป็นลูกพี่เยี่ยเทียน ก็เท่ากับว่าตัวเองได้อาจารย์ของอาจารย์เพิ่มมาอีกคนหรือ?


อีกอย่าง ถึงเห็นว่าพวกอันธพาลสี่ห้าคนพวกนี้ล้วนพกมีดมาด้วย แต่ฝีเท้าเลื่อนลอย ไม่มีวรยุทธ์ในตัวเลยแม้แต่น้อย โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ไม่ต้องให้อาจารย์ออกท่า ตัวเขาเองคนเดียวก็สามารถจัดการทั้งหมดได้แล้ว


“เฮ้ย ไอ้หนู หาเรื่องกันเรอะไง?”


หนุ่มผมสีเหลืองถลึงตา มือคว้าด้ามมีด เดินพุ่งไปยังโจวเซี่ยวเทียน หลายวันก่อนเขาเพิ่งจะฟันเว่ยหงจวินจนมีสภาพขนาดนี้โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไร ตอนนี้จึงยโสโอหังไม่เบา


“พอแล้ว พี่ชายทั้งหลาย มีธุระก็พูดออกมาเถอะ” เยี่ยเทียนก้าวออกมาขวางโดยยังคงน้ำเสียงเดิม กั้นกลางระหว่าง หนุ่มผมสีเหลืองกับโจวเซี่ยวเทียน


“ระยำเอ๊ย ไว้เดี๋ยวจะกลับมาจัดการแกไอ้หนู!” ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พอประสานตากับเยี่ยเทียนแล้ว ในใจหนุ่มผมสีเหลืองนั่นกลับสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ และล้มเลิกความคิดจะสั่งสอนโจวเซี่ยวเทียนโดยอัตโนมัติ


วันนี้หนุ่มผมสีเหลืองมาพร้อมกับภารกิจ จึงเดินมาอยู่ตรงหน้าเว่ยหงจวินในทันที ใช้มือลูบผ้าพันแผลบนศีรษะของเว่ยหงจวิน แล้วแสยะยิ้ม “เถ้าแก่เว่ย หัวหน้าของพวกเราบอกว่า หากคุณฉลาดล่ะก็ เอาเงินหนึ่งแสนมาเป็นค่าชดเชยสองสามโครงการก่อนหน้า นอกจากนี้ก็ให้ส่งโครงการรื้อถอนตัวถัดไปให้บริษัทของพวกเรา แล้วจะถือว่าเรื่องนี้หายกัน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หึๆ…”


จากความคิดของหัวหน้าหนุ่มผมสีเหลือง คราวนี้นับว่าเขาเอาชนะเว่ยหงจวินสำเร็จ จึงไม่กลัวว่าเขาจะไม่รับแผนการของตัวเอง ไม่อย่างนั้นตัวเองก็จะส่งคนไปก่อกวนที่เขตก่อสร้างทุกวัน เพื่อทำให้เว่ยหงจวินเสียหายมากยิ่งขึ้น


เถ้าแก่บริษัทรับรื้อถอนพวกนั้น ใช่ว่าจะไม่เคยคิดจะถอนรากถอนโคนเว่ยหงจวิน แต่ว่าพวกเขาเองก็รู้ถึงเบื้องหลังของ เว่ยหงจวินมาบ้าง ถ้าหากเล่นถึงขั้นตายกันไปข้าง จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขานัก


“พวกแก!” เว่ยหงจวินเกือบตาถลนออกมา เขาเคยถูกหยามเกียรติถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไร? จึงรู้สึกโกรธจัดเสียจนแทบหายใจไม่ทัน


เยี่ยเทียนตบหลังเว่ยหงจวินเบาๆ ช่วยให้เขาหายใจคล่องขึ้น พลางพูดว่า “ลุงเว่ย ไม่ต้องโมโหๆ ถูกคนพวกนี้ทำให้โมโหจนเสียสุขภาพ มันไม่คุ้มหรอกครับ!”


“ไอ้หนู เอ็งพูดอะไรวะ? อยากตายหรือไง?” หนุ่มผมสีเหลืองผลักตัวเยี่ยเทียนออก ทำท่าราวกับว่าพูดไม่เข้าหูแล้วจะดึงมีดออกมาฟันคน


“เหอะๆ เซี่ยวเทียน คนคนนี้นะ พูดจาด้วยเหตุผลกับเขา เขาก็ทำตัวพาลใส่นาย แล้วถ้านายทำตัวพาลใส่เขาล่ะ? เขาก็จะอ้างกฎหมายกับนาย พวกเราหาเรื่องพวกเขาไม่ได้หรอก!”


เมื่อถูกหนุ่มผมสีเหลืองผลักเล็กน้อย เยี่ยเทียนจึงยิ้มขึ้นมา แถมยังยิ้มอย่างมีความสุขมาก มือขวาที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง พลางช่วยปัดฝุ่นช่วงหน้าอกของหนุ่มปมสีเหลืองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แล้วพูดว่า “ลุงเว่ยจะพิจารณาที่แกพูดเมื่อครู่ พวกแกกลับไปก่อนเถอะ…”


เมื่อถูกเยี่ยเทียนสัมผัสร่างกายนิดหนึ่ง หนุ่มผมสีเหลืองจึงรู้สึกหนาวเย็นไปทั้งร่างอย่างไม่มีสาเหตุ จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใช้มีดชี้มาที่เยี่ยเทียนแล้วพูดว่า “ระยำเอ๊ย พวกแกห้ามเล่นตุกติกเด็ดขาด ตอนบ่ายฉันจะมาอีกที และต้องให้คำตอบฉัน!”


เยี่ยเทียนพยักหน้าหงึกๆ พลางพูด “วางใจได้ ฉันจะโน้มน้าวลุงเว่ยให้ พวกเราก็เป็นคนซื่อตรง ไหนเลยจะกล้าหาเรื่องกับพวกคุณล่ะ?”


“ถือว่าแกยังฉลาดอยู่บ้าง พี่น้องทั้งหลาย ไปกันเถอะ ไว้ตอนบ่ายค่อยกลับมา!”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยอมอ่อนข้อให้ หนุ่มผมสีเหลืองเหมือนกับได้ชัยชนะในสนามรบ บวกกับที่มาในวันนี้หัวหน้าได้สั่งไว้ว่า แค่ข่มขู่แต่ห้ามลงมือ ดังนั้นถือว่าเขาเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว


“เกรงว่าพรุ่งนี้จะมาไม่ได้แล้วน่ะสิ!”


เมื่อเห็นกลุ่มของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเดินออกไปจากห้องคนไข้ ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยเทียนก็พลันหายไป หลังจากเดินไปข้างหน้าเตียงเลื่อนผ้าม่านออก แล้วจึงพูดกับโจวเซี่ยวเทียน “ปิดประตู ลงกลอน ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามา!”


“ครับ อาจารย์!”


สีหน้าของเว่ยหงจวินเต็มไปด้วยความสงสัย ต่างจากโจวเซี่ยวเทียนที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อครู่ตอนที่เยี่ยเทียนวาดยันต์กลางอากาศ ได้ถูกเขาสังเกตเห็นอย่างชัดเจน


วิธีการเช่นนี้กระทั่งในตำนานวิชาลับแห่งยุทธภพ ก็ไม่พบว่ามีใครสามารถทำได้ โจวเซี่ยวเทียนนึกไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใช้ไม้นี้ ภาพลักษณ์ของท่านอาจารย์วัยเยาว์ได้เกิดความความเลื่อมใสขึ้นมาในใจของเขาไม่น้อย


“เยี่ยเทียน คน…คนพวกนั้นเมื่อครู่ คือคนที่ทำร้ายฉัน!”


เว่ยหงจวินอายุใกล้จะห้าสิบปีแล้ว ถูกเด็กๆ พวกนี้ทำร้าย ความอัดอั้นตันใจมีมากแค่ไหนไม่ต้องคิดเลย เมื่อเห็นเยี่ยเทียนมีใบหน้ายิ้มแย้มส่งคนพวกนั้นออกไป เมื่อครู่เขาเกือบจะข่มอารมณ์ไม่อยู่


“ลุงเว่ย ขอเชิญคุณลุงดูละครสนุกๆ ได้เลย นี่เป็นเพียงแค่ดอกเบี้ยเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ความอัปยศที่ลุงได้รับ เยี่ยเทียนจะทวงคืนมาให้ลุงอย่างครบถ้วนแน่นอน!”


เยี่ยเทียนหรี่ตาจดจ้องไปที่ทางออกฝั่งผู้ป่วยใน ถึงแม้จะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่บนร่างกลับแผ่รังสีสังหารไปทุกด้าน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครสามารถเรียกตัวเองว่าลูกพี่ต่อหน้าเขาแล้วยังอยู่รอดปลอดภัยได้


“ดูละคร?”


เว่ยหงจวินได้ยินเข้าก็ตกใจเล็กน้อย พลันหวนนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนงานประมูลเพื่อการกุศลครั้งนั้น แล้วจึงตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วจึงตบไปข้างเตียงพลางพูด “เยี่ยเทียน เร็วเข้า พยุงฉันไปที่ข้างหน้าต่าง!”


ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องจ้องลงมาที่ด้านล่าง จึงไม่สามารถแยกสมาธิได้ แล้วจึงพูดขึ้นมาโดยไม่เหลียวหลัง “เซี่ยวเทียน ช่วยขยับเตียงของลุงเว่ยขึ้น แล้วเข็นมาที่นี่!”


“ทราบแล้วครับ อาจารย์”


โจวเซี่ยวเทียนรีบขานรับ มือไม้ขยับเตียงของเว่ยหงจวินอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นจึงเข็นมาที่ริมหน้าต่าง จึงสามารถเห็นตรงหน้าประตูของผู้ป่วยในได้พอดี


“ออกมาแล้ว…” แววตาของเยี่ยเทียนพลันเยือกเย็น เพราะเขาเห็นเส้นผมอันเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าหนุ่มผมสีเหลือง


“ระเบิดซะ!”


นิ้วโป้ง นิ้วก้อยและนิ้วนางข้างขวาของเยี่ยเทียนพับงอ นิ้วกลางและนิ้วแนบเข้าหากันเป็นกระบี่ ส่ายไปมาโดยจ่อไปที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่อยู่ชั้นล่าง พลังพิฆาตที่มองไม่เห็นกลุ่มหนึ่งทะลวงอากาศไปไกลกว่ายี่สิบเมตร พุ่งตรงไปที่ตัวเด็กหนุ่มผมสีเหลือง


“ชิบหาย ทำไมถึงได้หนาวอย่างนี้? นี่มันจะเดือนเมษายนแล้วไม่ใช่เหรอ?”


หนุ่มผมสีเหลืองที่เพิ่งจะออกมาจากแผนกผู้ป่วยในตัวสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บอย่างรุนแรง จากนั้นความคิดก็พลันสับสน เขาพบว่าเรื่องที่เขาแอบคบพี่สะใภ้รองของพี่น้องในแก๊งถูกคนเปิดโปงแล้ว ทำให้พี่น้องทั้งหมดในแก๊งตามไล่ฆ่าเขา


พี่น้องที่เดิมสนิทสนมถึงขั้นใส่กางเกงตัวเดียวกันได้ เวลานี้กลับถือมีดพร้าฟาดฟันไปยังศีรษะของเขา หนุ่มผมสีเหลืองตะโกนร้องขึ้นมาเสียงดัง พลางดึงมีดพร้าขึ้นมาจากเอว


และเขายังพบว่าตัวเองเหมือนถูกเทพเจ้ากวนอูประทับร่าง เหวี่ยงฟาดฟันอย่างห้าวหาญเสียยิ่งกว่าใคร พี่น้องที่เคย เก่งกว่าเขาในอดีตล้วนถูกเขาฟันจนหนีหัวซุกหัวซุน สิ่งนี้ยิ่งกระตุ้นให้เขาฮึกเหิมยิ่งขึ้น ชูมีดไล่ฆ่าอย่างต่อเนื่อง


หนุ่มผมสีเหลืองจมดิ่งอยู่ในโลกประสาทของตัวเอง แต่ในสายตาของคนนอกที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นแตกต่างกัน เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนนักเลงหัวไม้คนนั้น เพิ่งจะเดินออกมาจากแผนกผู้ป่วยใน ทันใดนั้นก็ชักมีดออกมา แล้วฟาดฟันไปยังคน สองสามคนที่อยู่ข้างกายเขา


ภายใต้สถานการณ์ที่ขาดการระวังตัวอย่างสิ้นเชิง ในที่เกิดเหตุจึงมีคนถูกฟันเข้าที่คอสองคน กุมลำคอด้วยสีหน้า หวาดผวาแล้วล้มลงบนพื้นอย่างช้าๆ ฟองเลือดไหลทะลักออกจากปากไม่ขาดสาย


ส่วนอีกสองคนที่ตอบสนองไว ก็พุ่งเข้าไปจับมีดในมือของหนุ่มผมสีเหลืองเอาไว้ แต่ใครจะรู้ว่า เจ้าหนุ่มผมสีเหลืองกลับพลิกมือฟันกลับมาหนึ่งที มีดผ่าแตงโมสั่งทำพิเศษด้ามนั้นถึงกับตัดข้อมือคนขาดออกมา


เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เหลือจึงหวาดกลัวจนแทบเสียสติในทันที โดยไม่ใส่ใจพี่น้องที่นอนโอดครวญอยู่บนพื้น แล้วหันหน้าวิ่งหนีออกไปข้างนอก


แต่ดูเหมือนเจ้าหนุ่มผมสีเหลืองนั้นได้หมายหัวเขาเอาไว้แล้ว ไล่ตามติดไม่ยอมเลิกรา หลังจากที่วิ่งห่างออกไปได้ยี่สิบกว่าเมตร ก็สามารถตามไล่หลังคนนั้นทันในที่สุด แล้วฟาดมีดลงไปที่ด้านหลังของศีรษะ


ทางออกตึกผู้ป่วยในเกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นกะทันหัน ทำให้ผู้ป่วยและครอบครัวของผู้ป่วยล้วนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา โรงพยาบาลที่แต่เดิมเคยสงบสุข พลันมีเสียงร้องไห้กันยกใหญ่ ภาพนั้นราวกับมีบุคคลยิ่งใหญ่สักคนเสียชีวิตก็ไม่ปาน


“เยี่ย…เยี่ยเทียน นาย…นายทำรุนแรงเกินไปหรือเปล่า?”


ถึงแม้เว่ยหงจวินจะเกลียดคนพวกนั้นเข้ากระดูกดำ แต่เมื่อได้ดูฉากโชกเลือดนี้กับตาตัวเอง ก็อดหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจไม่ได้ เหงื่อเย็นเยียบไหลซึมลงมาตามกระดูกสันหลัง



ตอนที่ 278 ยิงสังหาร

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวินแล้ว เยี่ยเทียนจึงทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา แล้วพูดว่า “ลุงเว่ย พวกสองสามคนนี้มีหน้าตาอย่างพวกกบฏ สันคิ้วยุ่งเหยิงเหมือนหญ้า เวลาที่มองคนจะเผยสายตาแห่งความชั่วร้ายออกมา ไม่มีใครดีสักคน…


แค่ดูจากโหงวเฮ้งของพวกเขาเหล่านี้ ถึงแม้จะไม่มีเรื่องในวันนี้ แต่ภายในสามปีจุดจบของพวกเขาก็คือการกินลูกปืน และการส่งพวกเขาให้หลุดพ้นตอนนี้ ยังเป็นการหลีกเลี่ยงให้คนมากมายไม่ต้องได้รับความหายนะจากพวกเขาอีกด้วย!”


บางครั้งหรือบางทีเยี่ยเทียนจะเป็นคนใจอ่อน แต่สุดท้ายเขาก็ยังจำประโยคหนึ่งที่อาจารย์เคยสอนเขาได้อย่างขึ้นใจ นั่นก็คือขจัดความชั่วและทำความดีสร้างกุศล และเขาก็ได้ปฏิบัติตามประโยคนี้มาตลอด


การกระทำของเว่ยหงจวินเป็นเรื่องดีโดยแท้ แต่กลับได้รับความชั่วเป็นการตอบแทน เยี่ยเทียนเชื่อว่า ตามกฎธรรมชาติของสวรรค์ใครทำกรรมอะไรไว้ก็ย่อมได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อขึ้น และการที่ให้ตัวเองได้รู้เรื่องนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะ สวรรค์อยากจะยืมมือของตัวเองให้ช่วยลงโทษคนสองสามคนนี้ก็เป็นได้


ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกโจรขโมยขุดหลุมฝังศพที่เข้าใจเรื่องฮวงจุ้ยเพียงเล็กน้อยหรือนักเลงก่อกรรมทำชั่วที่อยู่ตรงหน้านี้ เยี่ยเทียนก็จะลงมือเด็ดขาดอย่างไร้ความปรานี และโจมตีถึงจุดตายโดยไม่มีจิตใจที่เวทนาสงสารแม้แต่นิดเดียว


แต่อย่างหัวหน้าฉีของสถานีโทรทัศน์รายการทีวี เยี่ยเทียนกลับทำให้เขาเสียชื่อเสียงย่อยยับ ไม่ได้ต้องการชีวิตของเขา และสาเหตุก็คือโทษของเขาไม่ถึงตาย อีกทั้งยังเป็นการฝืนหลักการปฏิบัติของวิชาฉีเหมิน


“แต่..แต่ว่า นี่…นี่คือการฆ่าคนนะ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว เว่ยหงจวินก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ตอนที่เขายังหนุ่มเขาก็เคยชกต่อยด้วยความกล้าหาญ และอย่างมากที่สุดก็แค่เอาขวดเหล้าทุบศีรษะคน แต่ไม่เคยเห็นสถานการณ์ที่คาวเลือดแบบนี้?


ก่อนหน้านั้นเยี่ยเทียนเคยแกล้งหัวหน้าฉี และในสายตาของเว่ยหงจวินก็รู้สึกว่าน่าขำ แต่ชีวิตของคนเป็นๆ สองสามคนที่ตายไปต่อหน้าต่อตา ถึงแม้เว่ยหงจวินจะเกลียดพวกวัยรุ่นสองสามคนนี้เข้ากระดูกดำก็ตาม แต่ในใจก็เกิดความรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมาเล็กน้อย


เวลานี้เว่ยหงจวินเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าโฉมหน้าภายนอกของเยี่ยเทียนที่หัวเราะคิกคักในยามปกตินั้น จะน่ากลัวมากเวลาโกรธ แล้วก็จะไม่ปรานีใคร อีกทั้งสายตาเย็นชาที่เผยออกมาจากดวงตาของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ก็เหมือนกับมองคนสองสามคนนั้นเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ เท่านั้น


ขณะเดียวกันเว่ยหงจวินก็รู้สึกดีใจอยู่ภายในใจ พลางคิดว่าโชคดีที่เยี่ยเทียนขอร้องตัวเองแล้วก็รับปากทันที และรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองคนอย่างระมัดระวังมาโดยตลอด มิฉะนั้นเขาก็คงไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเยี่ยเทียนแบบนี้


“ฆ่าคน? ใครฆ่าคนเหรอ?”


เยี่ยเทียนมองเว่ยหงจวินเหมือนตัวเองถูกใส่ร้าย แล้วจึงพูดว่า “ลุงเว่ย ไม่ใช่ลุงกับผมฆ่าคนเสียหน่อย อีกอย่างเรื่องนี้ เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”


ความจริงการกระทำของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองนั้น ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกตกใจมาก เพราะประสิทธิผลของยันต์นั่น ไกลเกินกว่าที่เยี่ยเทียนคาดคิดเอาไว้


เมื่อครู่เยี่ยเทียนควบคุมช่องว่างระหว่างยันต์ด้วยความเร่งรีบ และความจริงแล้วประสิทธิผลของยันต์นั่นก็ไม่ได้ดีเท่าไร บวกกับเด็กหนุ่มผมสีเหลืองมีความคิดชั่วร้ายในใจ จึงทำให้มีพลังพิฆาตเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่เป็นเพียงการเผยจิตใจด้านมืดของเขาออกมาเท่านั้น


แต่จะว่าไปก็บังเอิญมาก เพราะสองสามวันที่ผ่านมาเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้เพิ่งจะดูภาพยนตร์เรื่องกู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก ทำให้ในหัวของเขาจึงเต็มไปด้วยเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่องนี้


บวกกับความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงของพวกเขาก็มีความสับสนและวุ่นวายมาก มักจะยุ่งกับบรรดาผู้หญิงที่อยู่ใน สังคมที่วุ่นวายอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงเท่านี้ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองยังเสพยาอีก จึงทำให้สมองที่ไม่ปกติเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมาบ่อยๆ


เมื่อวานเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ไม่รู้ว่าไปนอนกับผู้หญิงคนไหน ตอนนี้ในหัวจึงมีความสับสนมาก จากนั้นจึงผนวกเข้ากับเค้าโครงเรื่องในภาพยนตร์ทันที แล้วจึงคิดว่าตัวเองกลายเป็นเฉินห้าวหนานที่ไปจีบพี่สะใภ้รอง


และเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ยังแสดงบทบาทของหนานเกอผู้กล้าหาญในภาพยนตร์ต่อ เขาไล่ฟันคนที่ตาม “ไล่ฆ่า” เขาทั้งหมดสี่คนเพียงคนเดียว จากนั้นเขาจึงเผชิญหน้ากับคนสุดท้ายที่ล้มไปกองบนพื้นและฟันเขาอย่างไม่คิดชีวิต


แต่เยี่ยเทียนสามารถรุกร้ำเข้าไปในพลังหยินพิฆาตที่อยู่ในหัวของเขาได้ไม่มากนัก หลังจากที่ระบายอารมณ์ออกมา สักพักหนึ่ง เด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ล้มลงไปนั่งกับพื้น และสมองก็เริ่มได้สติขึ้นมาจากความเลอะเลือนอย่างช้าๆ


“ใครเป็นคนทำ? แม่งเอ้ยใครเป็นคนทำ?”


เมื่อเห็นพรรคพวกมีเลือดเนื้อที่เละอยู่ข้างกาย ทำให้ในหัวของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่เพิ่งได้สติพลันระเบิดในทันที มือของเขาถือมีดและกระโดดขึ้นมา เพียงแต่พรรคพวกที่นอนอยู่บนพื้นไม่มีลมหายใจแล้ว จึงไม่สามารถตอบคำถามเขาได้อีก


“ซาจี๋ มือของนายเป็นอะไร?” เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงพบว่าพี่น้องของเขาสองสามคนถูกฟัน ล้มลงไปกับพื้น จากนั้นเขาจึงถือมีดพร้อมกับวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว


ผู้ชายที่มีหน้าตาอัปลักษณ์คล้ายเฉินเสี่ยวชุน ตอนนี้ได้ตื่นขึ้นมาหลังจากที่หมดสติเพราะโดนตัดมือ เมื่อเห็นเด็กหนุ่ม ผมสีเหลืองวิ่งเข้ามาด้วยความโหดเหี้ยมน่ากลัว เขาจึงเหลือกดวงตาทั้งสองข้างขึ้นมา และสลบกลับไปอีกครั้ง


“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”


เมื่อเด็กหนุ่มผมสีเหลืองเห็นพรรคพวกตายสามคนบาดเจ็บหนึ่งคนนอนกองอยู่บนพื้น เดิมทีสมองของเขาที่ไม่ค่อยได้สติเป็นทุนเดิม ก็เริ่มสับสนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเขาจึงดึงผู้หญิงวัยกลางคนเอาไว้ และเอามีดจ่อไปที่คอของเธอ แล้วพูดคำรามเสียงดัง “บอกฉันมา ใครฆ่าพวกเขา ถ้าไม่พูดฉันจะฟันคอเธอ!”


ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนั้นตกใจแทบตาย เวลานี้ยังจะพูดอะไรได้อีก? ขณะที่เด็กหนุ่มผมสีเหลืองกำลังจะ “ฟันคอของเธอ” เหมือนดังคำข่มขู่ จู่ๆ ก็มีเสียงดังคำรามมาอยู่ข้างหูของเขา “หยุดเดี๋ยวนี้ ผมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ!”


และจากเสียงคำราม ก็ตามมาด้วยปากกระบอกปืนสีดำที่จ่อตรงมาที่เด็กหนุ่มผมสีเหลือง โดยคนสี่ห้าคนที่ใส่ชุด ตำรวจของสำนักสันติบาล กำลังล้อมรอบเด็กหนุ่มผมสีเหลืองไว้ตรงกลาง


สถานีตำรวจอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลอันติ้งเหมิน หลังจากได้รับแจ้งความว่ามีคนถือมีดทำร้ายร่างกายและฆ่าคนมากมายมาจากทางโรงพยาบาลแล้ว เจ้าหน้าที่ของสถานีตำรวจจึงออกปฏิบัติหน้าที่ทุกนาย และภายเวลาไม่ถึงห้านาที พวกเขาก็รุดมาถึงสถานที่เกิดเหตุแล้ว


สภาพที่น่าเวทนาของสถานที่เกิดเหตุ ทำให้ตำรวจสองสามนายรู้สึกสั่นสะท้าน เพราะในสี่คนนั้นมีสองคนที่ถูกตัดคอ และดูจากเลือดที่นองเต็มพื้น คาดว่าคงจะเสียชีวิตแล้ว ส่วนอีกคนที่นอนอยู่ไม่ไกลก็มีเลือดเต็มไปทั้งตัว จึงไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย


บนพื้นข้างตัวของเด็กหนุ่มผมสีเหลือง ยังมีฝ่ามือที่แตกหักออกจากข้อมืออยู่อีกคน เมื่อมองเห็นฝ่ามือนองไปด้วยเลือด จึงทำให้คนที่เห็นรู้สึกหนาวและสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว


“คุณตำรวจครับ พวก…พวกคุณมาพอดีเลย พี่น้องของผมถูกฆ่าฟันตายแล้ว พวกคุณช่วยจับตัวฆาตกรออกมาทีครับ ผมจะแก้แค้นให้พวกเขา!”


ตอนที่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสำนักงานสันติบาลสองสามคน เบ้าตาของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงแดงก่ำและมีน้ำตาคลอเบ้า เขาไม่เคยรู้สึกสนิทและเคารพตำรวจที่เขาเคยเรียกว่า “เถียวจื่อ (หมายถึงฉายาของตำรวจ)” อย่างนี้มาก่อนเลย


“คุณวางมีดลงก่อน!”


หัวหน้าสถานีตำรวจที่นำทีมมาเป็นตำรวจอาวุโสมากประสบการณ์ เขาจึงมองออกว่า สติสัมปชัญญะของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้เหมือนจะไม่ปกติ และดูจากรูปการณ์ของคดีก็ชัดเจนแล้วว่า เด็กหนุ่มผมสีเหลืองคนนี้ เป็นคนฆ่าและทำร้ายคนที่เหลืออีกสี่คน


แต่เวลานี้เด็กหนุ่มผมสีเหลืองยังคงตกอยู่ในห้วงสัจจะและความมีน้ำใจของเหล่าพี่น้องในภาพยนตร์อยู่เลย ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ได้ พวกคุณต้องช่วยผมหาตัวฆาตกรออกมา ผมจะฟันมันให้ตาย เพื่อแก้แค้นให้เหล่าพี่น้องของผม!”


ญาติของคนไข้ที่มามุงล้อมคนหนึ่งมีความกล้าหาญมาก เมื่อครู่เขามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับตาตัวเอง หลัง จากได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มผมเหลืองแล้ว จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ แล้วจึงพูดเสียงดัง “แก้แค้นอะไร ก็นายเป็นคนฟันพวก เขาตาย ถ้านายอยากแก้แค้นก็ฆ่าตัวเองให้ตายไปซะ!”


“ผม…ผมเป็นคนฆ่าพวกเขา?”


เด็กหนุ่มผมสีเหลืองได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงงัน จากนั้นจึงนึกถึงความฝันที่เลือนลางเมื่อครู่ขึ้นมา และรู้สึกว่าเมื่อครู่นี้ เหมือนตัวเองกำลังฆ่าฟันคนจริงๆ? แต่คนเหล่านั้นกำลังไล่ฆ่าตัวเองอยู่นะ


“ใช่ ต้องเป็นคนนั้นที่ฆ่าพี่น้องของเขาแน่นอน!”


คนอย่างเด็กหนุ่มผมสีเหลือง มักจะเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางเสมอ ไม่ช้าเขาจึงหาเป้าหมายเจอ แล้วจึงปล่อยผู้หญิงคนนั้นที่เขาจี้ตัวมา จากนั้นเขาจึงวาดมีดและพุ่งตัวเข้าไปหาผู้ชายที่เพิ่งพูดเมื่อครู่


“ปัง!ปัง!” ตอนที่เห็นเด็กหนุ่มผมสีเหลืองกำลังชูมีดที่อยู่ในมือ เสียงปืนที่ชัดและกังวานได้ดังขึ้นสองที


“เคร้ง!”  มีดที่ชูสูงขึ้นอยู่ในมือของเด็กหนุ่มผมสีเหลืองได้ตกลงไปบนพื้น ตามด้วยร่างกายของเขาที่พุ่งไปข้างหน้า และแหงนหน้าล้มลงไป


จนกระทั่งถึงวินาทีแห่งความตาย เด็กหนุ่มผมสีเหลืองจึงมีสติที่ชัดเจนกลับมา จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างจึงเบิกกว้าง อย่างนอนตายตาไม่หลับ และเต็มไปด้วยความสงสัยกับความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้


“เสี่ยวหวัง นายพาเสี่ยวหลีไปหาพยานมาให้ปากคำ เหล่าอู๋ นายเฝ้าที่เกิดเหตุเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาทำลายได้ หมอ หมอล่ะ รีบมาช่วยชีวิตคนที่เหลืออีกสองสามคน ดูสิว่ายังมีใครที่ยังช่วยชีวิตได้?!”


หลังจากหัวหน้าสถานีตำรวจเห็นโจรร้ายถูกยิงตายแล้ว เขาจึงรีบสั่งงานเสียงดังขึ้นมา


โดยทั่วไปแล้ว เวลาที่ต้องต่อสู้กับโจรที่โหดเหี้ยมอำมหิตแบบนี้ จะต้องเป็นหน้าที่ของตำรวจอาชญากรรมกับตำรวจพิเศษ และหัวหน้าสถานีคนนี้ก็ไม่รู้ว่าการยิงสังหารโจรในวันนี้ ถือว่าเป็นผลงานหรือความบกพร่องต่อหน้าที่กันแน่?


และโรงพยาบาลก็ไม่ได้ขาดหมออยู่แล้ว ภายใต้การสั่งการของหัวหน้าสถานีตำรวจ นอกจากเด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่ถูกยิงตายตรงช่องว่างระหว่างคิ้วกับหัวใจแล้ว คนอื่นอีกสามคนต่างก็ถูกนำส่งตัวไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว


เมื่อเห็นคนที่ข้อมือหักไม่ตาย เยี่ยเทียนจึงขมวดคิ้ว แล้วพูด “ลุงเว่ย เรื่องนี้เกรงว่าจะต้องสืบมาถึงตัวลุงแน่ ถึงตอนนั้นลุงแค่พูดไปตามความจริงก็พอ!”


เยี่ยเทียนรู้ว่า ตำรวจจะต้องซักถามจุดประสงค์ของคนสองสามคนที่มาโรงพยาบาลอยู่แล้ว และเมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาก็จะต้องมาสอบปากคำของลุงเว่ยแน่นอน


“อะไรนะ? พูดตามความจริง?”


เว่ยหงจวินที่กำลังเหม่อมองลงไปข้างล่างพอดี และต้องตกสะดุ้งใจเพราะคำพูดของเยี่ยเทียน แล้วจึงรีบพูดทันที “เยี่ย เทียน ลุง…ลุงพูดไม่ได้ อีกอย่าง ถ้าลุงพูดไปแล้วก็ไม่มีใครเชื่อไม่ใช่เหรอ?”


“ลุงเว่ย ลุงอย่าตื่นเต้นได้ไหมครับ? ผมให้ลุงพูดตามความจริง คือพูดถึงเจตนาที่มาของสองสามคนนี้ และพวกเขาก็ฆ่ากันเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”


เยี่ยเทียนได้ยินคำพูดของเว่ยหงจวินแล้วจะหัวเราะก็ไม่ได้จะร้องไห้ก็ไม่ออก เพราะปกติลุงเว่ยเป็นคนใจกล้าคนหนึ่ง แต่ทำไมจู่ๆ ถึงได้กลัวจนกลายเป็นอย่างนี้ไปได้?


แต่เยี่ยเทียนก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคดีฆาตกรรมกับตาตัวเอง โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับผู้ก่อคดีฆาตกรรมคนนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นก็คงรู้สึกระแวงไม่กล้าพูดเช่นกัน


“นายพูดถูกอยู่เหมือนกัน…”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เว่ยหงจวินก็เริ่มมีพลังกลับมา ไอ้หนุ่มผมสีเหลืองที่ถือมีดคนนั้น อย่างน้อยก็ต้องมีถึงสิบกว่าคนที่ได้เห็นกับตาตัวเอง และมันจะเกี่ยวอะไรกับพวกเขาล่ะ?


อีกทั้งเด็กหนุ่มผมสีเหลืองก็ตายแล้ว ถึงแม้จะมีความแปลกประหลาด แต่ตำรวจพวกนั้นก็คงไม่สาวมาถึงตัวของพวกเขาแน่นอน อย่างมากพวกเขาก็แค่มาสอบถามเพื่อเป็นพิธีเท่านั้น


“เยี่ยเทียน พวกนายกลับไปก่อน เผื่อตำรวจมาเห็นพวกนาย…”


“ลุงเว่ย พวกเรามาเยี่ยมลุงแล้วจะทำไม? พวกตำรวจก็ต้องมีเหตุผลสิ พวกเราไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังอำพราง ผมจะอยู่ที่นี่แหละ!”


เว่ยหงจวินยังพูดไม่ทันจบก็ถูกเยี่ยเทียนตัดบท และถ้าจะพูดถึงความสามารถในการคาดเดาจิตใจคน เว่ยหงจวินยังห่างจากเยี่ยเทียนมากนัก เมื่อคุณยิ่งหลบ ก็ยิ่งเป็นสาเหตุให้คนสงสัย


…………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)