ยอดหญิงสกุลเสิ่น 272.2-273.1

ตอนที่ 272-2 งานเลี้ยงในวัง

 

 


 


“เสด็จพี่ท่านมาแล้ว” นี่คือพระชายาสักท่านหนึ่ง เห็นองค์หญิงใหญ่เข้ามาเป็นคนแรก รีบกุลีกุจอเข้ามาใกล้สองก้าว ท่าทีกระตือรือค้นยิ่งนัก


 


 


พอนางเอ่ยปาก คนที่กำลังคุยกันอยู่สองสามคนต่างมองมา เสิ่นเวยเพ่งมองดีๆ แหะ ไม่ใชพระชายาก็คือพระชายาองค์ชาย ยังมีองค์หญิง ท่านหญิง ที่แท้กองนี้ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ล่ะ


 


 


“ทุกท่านมาเร็วดีนี่นา” องค์หญิงใหญ่ว่า แล้วชี้เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยที่ควรถวายบังคมก็ถวายบังคม ที่ควรคารวะก็คารวะต่อคนเหล่านี้


 


 


สำหรับคนส่วนใหญ่เสิ่นเวยล้วนคุ้นตามาก ก็มีที่ไม่คุ้นตาบ้าง นั่นล้วนเป็นคนที่ไม่ค่อยออกมาสมาคม ทว่าไม่ว่ารู้จักหรือไม่รู้จัก มารยาทท่วงท่าของเสิ่นเวยล้วนไม่มีที่ติ บนใบหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้มสามส่วน กุมกฎเกณฑ์ได้ดีมาก ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ต่างแอบพยักหน้าในใจ ใครๆ ก็บอกว่าท่านหญิงเจียฮุ่ยเป็นคนหยาบคาย ดูท่าทางคำเล่าลือไม่อาจเชื่อนะ


 


 


“ไยองค์หญิงใหญ่ถึงเข้ามาพร้อมเจียฮุ่ยเพคะ?” พระชายาท่านหนึ่งถามเหมือนไม่ตั้งใจ


 


 


องค์หญิงใหญ่เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ก็เพราะอาโย่วน่ะสิ เป็นห่วงว่าเจียฮุ่ยร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งแรก ไม่วางใจ อุตส่าห์ไหว้หวานให้ข้าดูแลนางหน่อย”


 


 


พระชายาท่านนั้นระบายยิ้ม ล้อเล่นว่า “อาโย่วนี่ช่างรักภรรยาจริงๆ”


 


 


องค์หญิงใหญ่เลิกคิ้ว ว่า “ภรรยาตนเองไม่รักได้หรือ? พระชายาหนิงไยต้องอิจฉาด้วย ทั่วทั้งเมืองหลวงมีใครไม่รู้ว่าเสด็จพี่หนิงปฏิบัติกับพี่สะใภ้เป็นที่หนึ่งในเชื้อพระวงศ์เชียวนะ?”


 


 


แล้วก็มีคนเห็นด้วยว่า “นั่นสิ นั่นสิ ท่านหญิงเจียฮุ่ยเป็นคนงามปานนี้ เป็นข้าก็ต้องวางไว้ในใจทั้งรักทั้งตามใจ พวกท่านว่าใช่หรือไม่”


 


 


เหล่าสตรีต่างอมยิ้มพยักหน้าตามๆ กัน


 


 


เสิ่นเวยหลุบตาฟังพวกนางส่งต่อกัน ไม่มีความคิดจะเอ่ยปากแม้แต่น้อย ไหนๆ องค์หญิงใหญ่ก็รับมือพวกนางได้สบาย นางก็มีความสุขที่ได้สงบคอยดูครึกครื้น


 


 


ในยามนี้เอง ท่านหญิงชิงหรุ่ยที่อยู่ข้างๆ กระตุกแขนเสื้อของเสิ่นเวย เสิ่นเวยมองไป ท่านหญิงชิงหรุ่ยชี้ไปข้างนอก เสิ่นเวยไม่ได้คิดมากก็พยักหน้า


 


 


ท่านหญิงชิงหรุ่ยจึงเดินเข้าไปพูดอะไรกับองค์หญิงใหญ่สองสามประโยค องค์หญิงใหญ่พยักหน้า ท่านหญิงชิงหรุ่ยจึงควงแขนของเสิ่นเวยอย่างดีใจว่า “ไป พี่สะใภ้ เราออกไปสูดอากาศข้างนอกกัน”


 


 


องค์หญิงใหญ่กำชับอีกประโยคหนึ่งว่า “อย่าไปไกลเกินไป พาพี่สะใภ้เจ้าเดินเล่นใกล้ๆ ก็พอ”


 


 


ท่านหญิงชิงหรุ่ยขานรับเสียงหนึ่ง แล้วก็เดินออกไปนอกตำหนักพร้อมเสิ่นเวย


 


 


ยามนี้คนในตำหนักยิ่งมากขึ้นแล้ว เสิ่นเวยทอดสายตามองไป ล้วนเป็นผู้ที่มีอายุแล้ว อายุน้อยเช่นนางและท่านหญิงชิงหรุ่ยมีไม่มากจริงๆ คิดๆ ดูก็ใช่ ใครทนถึงเก้ามิ่งระดับหนึ่งระดับสองแล้วไม่มีอายุบ้าง? ก็พูดถึงบ้านฝ่ายนางเถอะ คนที่มีคุณสมบัติเข้าวังก็มีเพียงท่านย่าและท่านป้าใหญ่นางสองคน เช่นจวนอ๋องจิ้น ปีนี้คนที่มาก็มีเพียงฮูหยินซื่อจื่อนางอู๋เพียงผู้เดียว


 


 


เสิ่นเวยเดินถึงครึ่งทางก็เห็นท่านย่าและท่านป้าใหญ่นางแล้ว ย่อมต้องเข้าไปทักทายเป็นธรรมดา “ท่านย่า ท่านป่าใหญ่เจ้าคะ”


 


 


ไท่จวินเฒ่าเสิ่นและนางสวี่เห็นเสิ่นเวยก็ดีใจมาก “เวยเจี่ยเอ๋อร์นี่จะไปไหน?”


 


 


เสิ่นเวยตอบอย่างว่าง่ายว่า “หลานและท่านหญิงชิงหรุ่ยคิดจะออกไปเดินเล่น”


 


 


ฮูหยินสองสามท่านที่อยู่ข้างๆ ก็ชมเสิ่นเวยขึ้นมาตามๆ กันว่า “นี่ก็คือท่านหญิงเจียฮุ่ยบ้านพวกท่านสินะ? ช่างน่ารักจริงๆ เลย ดูกิริยาท่าทาง รูปโฉมนี่สิ จื้ดๆ เทียบทั่วทั้งเมืองหลวงก็ติดอันดับ”


 


 


นางสวี่ก็ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ท่าทางมีเกียรติไปด้วย “ก็นั่นน่ะสิ? พูดโดยไม่อาย เวยเจี่ยเอ๋อร์ของเราเป็นเด็กดีที่กตัญญูที่สุด ท่านปู่นางได้รับบาดเจ็บมิใช่หรือ? นางน่ะก็มาปรนนิบัติดูแลทุกวัน เอาใจใส่ยิ่งกว่าอาวุโสอย่างพวกเราเสียอีก”


 


 


ดังนั้นเหล่าฮูหยินเริ่มการชมประจบประแจงรอบใหม่ ใครใช้ให้บัดนี้จวนหย่งกั๋วกงเป็นที่ทรงโปรดปรานที่สุดล่ะ?


 


 


บัดนี้สายตาที่ไท่จวินเฒ่าเสิ่นมองเสิ่นเวยเมตตาอย่าบอกใคร “ไปเถอะ ไปเถอะ สาวๆ เช่นพวกเจ้าไม่ชอบพิธีรีตองที่สุด เพียงแต่ข้างนอกหนาว สูดอากาศแล้วก็รีบกลับมาเถอะ”


 


 


เสิ่นเวยรับคำเสียงใสแล้วก็เดินออกไปข้างนอกพร้อมท่านหญิงชิงหรุ่ย


 


 


“พี่สะใภ้ ออกจากตำหนักใหญ่แล้วเดินไปทางทิศใต้มีดอกเหมยอยู่หลายต้น บัดนี้ใกล้ผลิดอกแล้ว เราไปดูกันเถอะ” ท่านหญิงชิงหรุ่ยเสนอ


 


 


เสิ่นเวยย่อมเต็มใจเป็นธรรมดา


 


 


เดินอยู่ราวครึ่งเค่อ ก็เห็นดอกเหมยที่ท่านหญิงชิงหรุ่ยว่าแล้ว มีหลายต้นจริงๆ ด้วย หนึ่งสองสามสี่ห้า เสิ่นเวยนับดู มีทั้งหมดเจ็ดต้น เป็นดอกเหมยแดง ดอกเหมยสีชมพูบานอยู่บนกิ่ง แน่นขนัดไปหมด ช่างน่ารักยิ่งนัก


 


 


เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยชมอยู่ครู่หนึ่งแล้วยืนคุยกันใต้ต้นไม้ “ได้ยินว่าพี่รองท่านให้กำเนิดบุตรฝาแฝด ตั้งชื่อหรือยัง? หน้าตาเหมือนใคร?” ท่านหญิงชิงหรุ่ยถามด้วยสีหน้าสนใจ นางและเสิ่นซวงเป็นสหายสนิทกัน


 


 


พูดถึงเด็กที่เหมือนกันเปี๊ยบสองคนนั้น มุมปากของเสิ่นเวยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นเช่นกัน “ตั้งแล้ว สวี่ซ่างซูเป็นคนตั้งชื่อจริง รุ่นของพวกเขาใช้คำว่าเจ๋อ คนหนึ่งชื่อเจ๋ออัน คนหนึ่งชื่อเจ๋อคัง ทว่าบัดนี้ล้วนเรียกชื่อเล่นของพวกเขา ‘ต้าเป่าเอ้อร์เป่า’ ส่วนหน้าตา ข้าดูแล้วเหมือนพี่รองมากว่าสักหน่อย มีเฉพาะหน้าผากและจมูกเหมือนพี่เขยรอง”


 


 


“จริงหรือ? ท่านพูดจนในใจข้าคันตะเยอหมดแล้ว ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้ข้าเป็นหวัด จะไปเยี่ยมนางก็ไม่ได้” ท่านหญิงชิงหรุ่ยเอ่ยอย่างอารมณ์เสียเล็กน้อย


 


 


เสิ่นเวยรีบปลอบใจนางว่า “จะเป็นไรไปล่ะ ยังมีงานเลี้ยงร้อยวันมิใช่หรือ? รอยามที่เด็กสองคนจัดงานเลี้ยงร้อยวันท่านไปดูก็เหมือนกัน ยามนั้นเด็กก็โตขึ้นสักหน่อยแล้ว เห็นได้ชัดขึ้นว่าเหมือนใคร”


 


 


“ใช่ๆๆ พี่สะใภ้พูดได้ถูกต้อง เมื่อข้านึกถึงเด็กน้อยสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบก็รู้สึกสนุก พี่รองท่านมีบุญจริงๆ” ท่านหญิงชิงหรุ่ยหน้าบานเป็นกระด้ง ต่างกันโดยสิ้นเชิงกับภาพลักษณ์สูงส่งเย็นชายามที่เสิ่นเวยพบนางครั้งแรก ทำให้เสิ่นเวยรู้สึกสะท้อนใจมากอย่างไร้สาเหตุ


 


 


ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ ก็มีขันทีน้อยคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “คารวะท่านหญิงทั้งสอง งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว องค์หญิงใหญ่เชิญทั้งสองท่านรีบเข้าไปขอรับ”


 


 


เสิ่นเวยและท่านหญิงชิงหรุ่ยรีบรุดกลับตำหนักใหญ่ เพิ่งนั่งลงข้างกายองค์หญิงใหญ่เสร็จ ก็ได้ยินเสียงประกาศแหลมๆ ของขันทีว่า “ฝ่าบาทเสด็จ”


 


 


ทุกคนย่อมต้องลุกขึ้นรับเสด็จทันที


 


 


“ตามสบาย” ฮ่องเต้ยงเซวียนก้าวอย่างมั่นคงไปที่เก้าอี้มังกร ด้านหลังเขาตามด้วยฮองเฮา เหยียนกุ้ยเฟยและฉินซู่เฟยพระชายาอื่นๆ


 


 


รอฮ่องเต้ยงเซวียนประทับแล้ว ทุกคนถึงนั่งกลับเข้าที่นั่งของตนช้าๆ


 


 


ตำหนักใหญ่ใหญ่นัก แบ่งเป็นสองข้าง ข้างหนึ่งคือสตรี ข้างหนึ่งคือขุนนางบู๋นและบู๊ ประจันหน้ากัน แยกออกอย่างชัดเจน ทว่าเสิ่นเวยเพียงปราดเดียวก็เห็นคุณชายใหญ่บ้านนางแล้ว แม้มีผู้ใส่ชุดระดับจวิ้นอ๋องหลายคน ทว่าใครให้คุณชายใหญ่บ้านนางหน้าตาดีที่สุดล่ะ อยู่ในหมู่ตาเฒ่านั้นคุณชายใหญ่บ้านนางสะดุดตาที่สุด


 


 


หลังจากฮ่องเต้ยงเซวียนสรุปคำพูดอย่างฮึกเหิมแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มอย่างเป็นทางการ นางกำนัลขันทียกอาหารและสุราเลิศรสเข้ามา เสียงเครื่องดนตรีดังขึ้น นางรำก็เริ่มร่ายรำแล้ว


 


 


บอกตรงๆ งานเลี้ยงในวังน่าเบื่อจริงๆ เสิ่นเวยเขี่ยสองสามทีอย่างขี้เกียจแล้วก็หมดความสนใจ อากาศหนาวมาก ต่อให้อาหารเลิศรสเพียงใดเมื่อเย็นสนิทแล้วก็เสียรสชาติเช่นกัน โชคดีที่นางกินในจวนมาแล้ว มิเช่นนั้นต้องทนหิวแน่นอน


 


 


ไม่อยากกินอาหาร เช่นนั้นก็ชื่นชมการร้องรำเถอะ ดูแรกๆ ยังดี ทว่าดูไปดูไปเสิ่นเวยก็หมดสนุกแล้ว ไปๆ มากๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ท่านั้นแหละ ราวกับรำไทเก๊กเนิบๆ อย่างไรอย่างนั้น น่าเบื่อเหลือเกิน


 


 


การร้องรำก็ดึงความสนใจของเสิ่นเวยขึ้นมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ดูคนในตำหนักใหญ่เถอะ ดูคุณชายใหญ่บ้านนางที่สง่างามผึ่งผายราวกับต้นไม้ล้างตาก่อน จากนั้นถึงมีความกล้าดูตาเฒ่ายายเฒ่ากลุ่มนั้น


 


 


เมื่อดูเช่นนี้เสิ่นเวยก็พบว่าอาหารด้านหน้าทุกคนแทบจะไม่ได้แตะต้อง ไม่ก็ชื่นชมการร้องรำทำเพลง ไม่ก็คุยเสียงเบากับผู้ที่นั่งซ้ายขวาหรือใกล้เคียง มองไป มองไป สายตาของเสิ่นเวยก็หันไปถึงบนตัวฮ่องเต้ยงเซวียน


 


 


เห็นเพียงฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่ข้างบน มุมปากอมยิ้มมองลงมาที่ผู้คน นานๆ ทีก็เอียงตัวพูดกับสนมที่นั่งอยู่ข้างๆ สักสองสามประโยค ก็ไม่รู้ว่าฉินซู่เฟยผู้นั้นพูดอะไร ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนหัวเราะร่า


 


 


เสิ่นเวยมองอยู่เงียบๆ ในยามนี้เอง มีขันทีน้อยผู้หนึ่งรีบเดินเข้ามาแล้วก้มลงพูดอะไรเบาๆ ที่ข้างหูของจางเฉวียน แล้วก็เห็นสีหน้าจางเฉวียนเปลี่ยนไปในทันใด ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งพูดเสียงเบาสองสามประโยคกับฮ่องเต้ยงเซวียน เสิ่นเวยสังเกตว่าสีหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นธรรมชาติไปชั่วพริบตาหนึ่ง ใจของนางก็ตึกตักตามทีหนึ่ง นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่?”


 


 


เสิ่นเวยดึงสายตากลับมา ขมวดคิ้วคิดๆ แล้ว หรือว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จะเกิดเรื่องอะไรได้นะ? เจ้านายที่มีหน้ามีตาล้วนอยู่ที่นี่กันหมดนะ น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง ฮ่องเต้ยงเซวียนยังนั่งอย่างสูงส่งอยู่นั่นมิใช่หรือ?


 


 


ในระหว่างที่เสิ่นเวยคิดเหลวไหลอยู่นั่นเอง เสียงของฮ่องเต้ยงเซวียนก็ดังขึ้นมาว่า “ขุนนางที่รักทุกท่านกินดื่มให้สนุก ข้าขอตัวก่อน” ทุกคนลุกขึ้นส่งเสด็จฝ่าบาทอีก


 


 


เมื่อหันหน้าไป เสิ่นเวยพบด้วยความตะลึงว่าที่นั่งขององค์หญิงใหญ่ว่างเปล่า “เสด็จอาล่ะ?” นางถามท่านหญิงชิงหรุ่ยเสียงเบาทีหนึ่ง


 


 


“ไปเปลี่ยนชุดแล้วกระมัง” ท่านหญิงชิงหรุ่ยตอบกว่า


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก กลับใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวขึ้นมา เพราะนางพบว่าไม่เพียงองค์หญิงใหญ่ไม่อยู่ แม้แต่คุณชายใหญ่บ้านนางก็ไม่อยู่เช่นกัน เพียงแค่พริบตาเดียว นางก็มองไม่เห็นคุณชายใหญ่บ้านนางแล้ว เป็นความบังเอิญ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ?


 


 


ดีที่ไม่นานนักองค์หญิงใหญ่ก็กลับมาแล้ว ทว่าสวีโย่วกลับไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก เสิ่ยเวยคิดๆ ดูแล้ว ตัดสินใจออกไปหา เพิ่งลุกขึ้นก็ถูกองค์หญิงใหญ่ดึงมือไว้ เสิ่นเวยหันมองกลับมา องค์หญิงใหญ่ส่ายหน้าใส่นางเบาแทบไม่เห็น เสิ่นเวยจึงได้แต่นั่งกลับลงไปใหม่ ในใจแน่ใจแล้วว่านี่ต้องเกิดเรื่องแล้วจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่เรื่องเล็กด้วย

 

 

 


ตอนที่ 273-1 เรื่องเกิดกะทันหัน

 

เกิดเรื่องจริงๆ เสิ่นเวยเห็นข้างล่างเริ่มโกลาหลขึ้น มีคนที่ออกไปเปลี่ยนชุดก่อนหน้านี้กลับมาบอกว่าเห็นแสงไฟในเขตรอบวังหลวง คนไม่น้อยต่างตื่นตระหนกขึ้นมา พวกนางอยู่ในวังก็ปลอดภัยดีอยู่หรอกนะ ทว่าใครไม่มีครอบครัวล่ะ? พวกนางแม้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าแสงไฟหลายที่ปานนั้นไม่เหมือนเพลิงลุกไหม้ธรรมดา จะไม่กังวลได้หรือ?


 


 


เสิ่นเวยก็อยากรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงใช้สายตาถามองค์หญิงใหญ่ว่า “เสด็จอา?”


 


 


องค์หญิงใหญ่ก็รู้ว่าปิดต่อไปไม่ได้แล้ว นางอ้าปาก หลุดออกมาสามคำอย่างไร้เสียง “ผู้ลี้ภัย”


 


 


เสิ่นเวยเลิกคิ้วขึ้น ก็เป็นไปได้ ฤดูหนาวปีนี้ภัยพิบัติจากหิมะ ไม่รู้หนาวตายไปเท่าไร ชาวบ้านเพื่อหาทางรอด ก็เป็นไปได้ว่ายอมเสี่ยงเพราะเข้าตาจน เพียงแต่เลือกบุกเข้าเมืองหลวงในคืนสิ้นปีนี่ ผู้ลี้ภัยที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัวจะมีสมองเพียงนี้? อย่าเพราะมีคนฉวยโอกาสปล้นสะดมแล้วกัน?


 


 


มองดูเหล่าฮูหยินเก้ามิ่งที่ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกพุ่งออกนอกตำหนัก องค์หญิงใหญ่ตะคอกเสียงเข้มว่า “เป็นเพียงผู้ลี้ภัยเท่านั้น ทุกท่านตื่นตระหนกเช่นนี้ทำอะไร? กองกำลังห้าทิศและกองกำลงรักษาเมืองออกปฏิบัติการแล้ว เชื่อว่าจลาจลจะถูกปราบปรามในไม่ช้า ทุกท่านกลับมานั่งอย่างสงบในตำหนักให้หมด หากมีใครใช้คำพูดยุยงผู้คนอีก ข้าจะประหารอย่างไม่ละเว้น”


 


 


องค์หญิงใหญ่ยืนอยู่กลางตำหนัก ท่วงท่าสง่างาม บุคลิกน่าเกรงขาม สะกดเก้ามิ่งทั้งหมดไว้ทันที ต่างกลับไปที่ที่นั่งตนตามๆ กัน ในใจต่อให้กังวลเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งขององค์หญิงใหญ่


 


 


ฮองเฮาที่อยู่เบื้องบนถึงได้สติกลับมาว่า “ถูก ถูก ทุกท่านจงฟังองค์หญิงใหญ่ เพียงแค่ผู้ลี้ภัย มีอะไรน่ากลัว?”


 


 


เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นมุมปากอดกระตุกทีหนึ่งไม่ได้ ในใจเกิดความดูถูก ทุกท่านจงฟังองค์หญิงใหญ่ แล้วจะเอาฮองเฮาเช่นท่านไปทำอะไร?


 


 


องค์หญิงใหญ่สอดส่องสายตา กวาดไปทางเหล่าขุนนางอย่างเฉียบขาด เสียงละมุนและเยือยเย็นมีพลัง “ใต้เท้าทุกท่านล้วนเป็นขุนนางที่เป็นที่ไว้วางใจ ควรทำเช่นไรคงไม่ต้องให้ข้าพูดอีกกระมัง?”


 


 


เหล่าขุนนางอดใจสั่นไม่ได้ เทียบกับพวกผู้หญิง เหล่าขุนนางยิ่งรู้ถึงความร้ายกาจขององค์หญิงใหญ่ นี่ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาหรอกนะ อายุสิบกว่าปีก็นำทหารช่วยเสด็จพี่ชิงอำนาจ ความเด็ดขาดนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา ยามแรกๆ ที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ นางเป็นแขนขวาที่มีความสำคัญที่สุด สิบกว่าปีนี้แม้ฝึกฝนปฏิบัติตนขัดเกลาจิตใจไม่ถามราชกิจอีก ทว่าไม่มีใครกล้าดูถูกนาง การที่ฝ่าบาททิ้งนางไว้บัญชาการในตำหนัก ช่างหาถูกคนแล้วจริงๆ


 


 


เหล่าขุนนางต่างว่า “กระหม่อมทั้งหลายฟังคำสั่งองค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”


 


 


องค์หญิงใหญ่ถึงเก็บความเฉียบขาดในสายตาไป “รัชทายาท องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง พวกเจ้าในฐานะองค์ชาย ยิ่งต้องข่มอารมณ์ไว้ มหาเสนาบดีฉินอำมาตย์ฝางและซ่างซูทุกท่าน ปกติเสด็จพี่ให้ความสำคัญพวกท่านเป็นที่สุด วันนี้หวังว่าพวกท่านจะตรึงสถานการณ์ไว้ อย่าก่อให้เกิดความโกลาหลที่ไม่จำเป็นเด็ดขาด


 


 


ขุนนางที่ถูกขานชื่อรีบก้าวออกมาแสดงจุดยืน


 


 


องค์หญิงใหญ่กระดกมุมปาก ตบมือว่า “ร้องรำทำเพลง”


 


 


แล้วก็เห็นนางรำที่ใส่ผ้าบางกลุ่มหนึ่งเข้ามาจากตำหนักข้างตามๆ กัน ร่ายรำขึ้นตามเสียงดนตรี


 


 


องค์หญิงใหญ่ดูอย่างมีรสมีชาติ เสิ่นเวยก็ดูอย่างมีรสมมีชาติ ก็ไม่ใช่ว่านางชอบมากเพียงใดจริงๆ หรอกนะ ทว่าอย่างน้อยก็ต้องแสดงจุดยืนใช่หรือไม่ล่ะ? นางก็นั่งอยู่ข้างองค์หญิงใหญ่นี่แหละ หากแม้แต่นางก็ท่าทางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มิใช่กลายเป็นตัวถ่วงขององค์หญิงใหญ่หรอกหรือ? นางนำหน้าสนับสนุนองค์หญิงใหญ่ เหล่าฮูหยินเก้ามิ่งที่อยู่ข้างล่างเห็นแล้วก็จะได้สบายใจขึ้นสักหน่อยกระมัง


 


 


ไม่พูดถึงอย่างอื่น ท่าทางสุขุมใจเย็นเช่นนี้ของเสิ่นเวยไม่เพียงแต่องค์หญิงใหญ่แอบชมในใจ ต่อให้เป็นฮูหยินเก้ามิ่งที่อายุมากพวกนั้นมองแล้วก็แอบพูดว่าช่างน่าละอาย แม้แต่นางหนูอายุสิบกว่าปียังไม่กลัวไม่ลนลาน พวกนางอายุมากโขแล้วกลับไม่รู้อะไรควรไม่ควร จริงๆ เลย…


 


 


มองไปที่สมาชิกผู้หญิงสองท่านของจวนหย่งกั๋วกงอีก พวกนางเหมือนกับท่านหญิงเจียฮุ่ย กำลังหรี่ตาชื่นชมการร้องรำ ท่าทางเคลิบเคลิ้มเป็นหนักหนา โดยเฉพาะไท่จวินเฒ่าเสิ่น ศีรษะนั้นส่ายเบาๆ แทบไม่สังเกต ดูเหมือนกำลังให้จังหวะให้เข้ากับจังหวะดนตรีแน่ะ


 


 


แม้แต่ภรรยาของแม่ทัพก็กล้าหาญถึงเพียงนี้ ในฐานะภรรยาของขุนนางบุ๋นทั้งทีพวกนางจะให้ถูกเทียบลงไปได้อย่างไร? ดังนั้นสมาชิกหญิงทั้งหลายต่างกดความกังวลในใจไว้แล้วชื่นชมการร้องรำขึ้นมา ไม่ต้องสนว่าจริงหรือเท็จ ทว่าภายนอกก็สงบดี


 


 


พวกนางไม่รู้ว่าเสิ่นเวยไม่กังวลแม้แต่น้อยเลยจริงๆ อย่าว่าแต่ผู้ลี้ภัยเลย ต่อให้มีคนจับปลาในน้ำขุ่นจริงนางก็ไม่กลัว จวนผิงจวิ้นอ๋องมีท่านซูและโอวหยางน่านั่งบัญชาการอยู่ อีกทั้งยังเลี้ยงลูกหมาป่าไว้สี่ร้อยกว่าตัวนะ คิดจะบุกเข้าจวนผิงจวิ้นอ๋อง? ไม่ถูกพวกเขาฉีกเป็นชิ้นๆ สิแปลก


 


 


สำหรับจวนหย่งกั๋วกงเสิ่นเวยก็ไม่ห่วง แม้ท่านปู่นางได้รับบาดเจ็บ ทว่าญาติผู้พี่ใหญ่เสิ่นเชียนกลับมาแล้วมิใช่หรือ? เสิ่นเชียนที่ล้มลุกคลุกคลานรอบหนึ่งที่ซีเจียงไม่ใช่เด็กเมื่อวานซืนมานานแล้ว มีเขาอยู่ ย่อมปกป้องจวนหย่งกั๋วกงได้


 


 


เพียงแต่คนในจวนท่านตาน้อยไปสักหน่อย ทว่าเสิ่นเวยก็ไม่ได้กังวลมากนัก จวนแม่ทัพใหญ่หยวนแม้คนไม่มาก ทว่าส่วนใหญ่เป็นทหารคนสนิทที่ถอยลงมาตามท่านตา ป้องกันตนเองยังไม่เป็นปัญหา ยิ่งกว่านั้นท่านซูเป็นคนกระทำการรอบคอบปานนั้น ต้องส่งคนไปหนุนแน่นอน


 


 


เทียบกับวังหลวงที่ยังนับว่าสงบ นอกวังหลวงเละเป็นโจ๊กแล้วจริงๆ ขบวนผู้ลี้ภัยนับพันคนวางเพลิงปล้นฆ่าไปทั่ว เลือกบ้านคนใหญ่โตลงมือโดยเฉพาะ


 


 


ผู้ลี้ภัยราวกับโจรก็ไม่ปาน โบกสะบัดดาบใหญ่กระบองเหล็ก ทุบเปิดประตูใหญ่ของบ้านคนใหญ่โตออก บุกเข้าไปเห็นคนก็ฟัน เห็นสมบัติเงินทองก็แย่ง ฟันเสร็จแย่งเสร็จแล้วยังวางเพลิง ทั้งเขตรอบวังหลวงตกอยู่ในทะเลเพลิงทันที มีแต่เสียงร้องอนาถทุกหย่อมหญ้า


 


 


ยามที่แสงไฟลุกโชนขึ้นท่านซูและโอวหยางน่าก็สังเกตเห็นความผิดปกติแล้ว ผู้ลี้ภัย? ผู้ลี้ภัยสามารถก่อความวุ่นวายใหญ่โตปานนี้หรือ? บ้านคนใหญ่โตจวนใครบ้างไม่ได้เลี้ยงองครักษ์ปกป้องเรือนไว้บ้าง เหตุใดถึงถูกพังประตูจวนได้ง่ายดายเพียงนั้น? เกรงว่าจะมีคนจับปลาในน้ำขุ่นฉวยโอกาสปล้นสะดมกำจัดคนที่เป็นปฏิปักษ์กับตนกระมัง


 


 


ท่านซูและโอวหยางน่าสบตากันปราดหนึ่ง ตัดสินใจทันทีว่า “เจ้าหนูโอวหยางเจ้านำทหารจวนรักษาในจวนไว้ให้ดี ข้าจะพาพวกไอ้หนูออกไปร่วมวงเสียหน่อย ท่านจวิ้นอ๋องของเราต้องยุ่งอยู่ข้างนอกเป็นแน่ ข้าจะไปช่วยเขาเสียหน่อย”


 


 


โอวหยางน่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า “อย่างไรท่านก็อยู่ในจวนเถอะ ข้างนอกให้เข้าไปดีกว่า” เขาคิดว่าท่านซูอย่างไรก็เป็นบัณฑิต หากหกล้มชนถูก ไม่รู้จะอธิบายกับท่านหญิงอย่างไรดีน่ะสิ


 


 


ท่านซูกลับยิ้มส่ายศีรษะว่า “ความปรารถนาดีของเจ้าข้ารับด้วยใจแล้ว วางใจได้ ข้าไม่ได้ไร้ประโยชน์เช่นที่เจ้าคิด เห็นคนหนุ่มเช่นพวกเจ้าแล้วนะ ข้าก็อดรู้สึกใจฮึกเหิมไม่ได้ แค่ก แขนขาแก่ๆ ก็ควรขยับๆ ได้แล้ว”


 


 


โอวหยางน่าเห็นท่านซูมุ่งมั่น ก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมอีก คิดครู่หนึ่งแล้วว่า “ทหารจวนแบ่งอีกสองร้อยให้ท่านนำไปด้วย ในจวนเหลือสักสามร้อยคนก็พอแล้ว”


 


 


ทหารรุ่นเยาว์รวบรวมเสร็จตั้งนานแล้ว แต่ละคนกุมอาวุธไว้แน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น รอเพียงท่านซูออกคำสั่งจะได้บุกออกจากประตูจวนทันที


 


 


โอวหยางน่ามองดูท่านซูที่ขึ้นม้ากระตุกเชือกอย่างคล่องแคล่ว ถึงตระหนักว่าที่แท้นี่ถึงเรียกว่าคนจริงไม่แสดงตนนี่เอง


 


 


ทหารรุ่นเยาว์เดิมก็เป็นคนไม่มีขื่อมีแปกลุ่มหนึ่งอยู่แล้ว บวกกับอุดอู้อยู่ในจวนหนักเข้าอีก เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋องก็เหมือนพยักฆ์ร้ายเข้าป่า ผู้ลี้ภัยที่เจอ พบหนึ่งคนดับหนึ่งคน พบหนึ่งทีมดับหนึ่งทีม พวกเขาแบ่งเป็นทีมย่อยหลายทีม ทีมละห้าสิบคน ไปมาอยู่ในถนนใหญ่ตรอกเล็กในเขตรอบวังหลวงอย่างรวดเร็ว มีบทบาทเหมือนสมาชิกทีมดับเพลิง ช่วยจวนต่างๆ ต่อต้านผู้ลี้ภัย เมื่อจัดการเสร็จสรรพก็รีบล่าถอยไปหนุนบ้านต่อไปทันที ก่อนไปยังทิ้งคำพูดไว้ประโยคหนึ่ง พวกเขาคือองครักษ์แห่งจวนผิงจวิ้นอ๋อง


 


 


ได้การแทรกแซงของทหารรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ สถานการณ์ในคืนนี้ดำเนินไปยังอีกทิศทางหนึ่งที่แปลกประหลาด รอถึงยามที่คนบางกลุ่มสังเกตถึงความผิดปกติ พวกเขาก็ถูกทหารรุ่นเยาว์ล้อมไว้แล้ว


 


 


ภายใต้แสงไฟสาดส่อง สวี่โย่วและท่านซูยืนเคียงไหล่กัน สวีโย่วมองกลุ่มคนที่ใส่ชุดดำซึ่งแตกต่างกับผู้ลี้ภัยโดยสิ้นเชิง แล้วทอดถอนใจว่า “ท่านซูไหวพริบเลิศล้ำวางกลยุทธ์ได้แยบยลจริงๆ เลย”


 


 


ท่านซูยิ้มช้าๆ ว่า “ท่านจวิ๋นอ๋องชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่เดาส่งเดชเท่านั้น ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาจริงๆ” ไม่คิดว่าจะมีคนฉวยโอกาสที่โกลาหลคิดร้ายต่อจวนหย่งกั๋วกงจริงๆ อ่ะไม่ ที่พวกเขาคิดร้ายน่าจะเป็นท่านราชครูกระมัง


 


 


เมื่อคนชุดดำเห็นสถานการณ์ ก็เข้าใจทันทีว่าคืนนี้อย่าคิดจะได้จบดีเลย สบตากันปราดหนึ่งแล้ว บุกออกข้างนอกอย่างใจตรงกัน


 


 


“จับตายให้หมด” สวีโย่วออกคำสั่งฆ่าอย่างสบายๆ


 


 


ทหารรุ่นเยาว์ย่อมไม่ใช่เล่นๆ แต่ละคนพุ่งตัวถลาไปดั่งเสือน้อย เดิมทีพวกเขาก็คนมากอยู่แล้ว อีกทั้งยังถนัดการร่วมมือกันอีก ยิ่งกว่านั้นคำสั่งของสวีโย่วคือจับตาย พวกเขาไม่มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย ทันใดนั้นก็ฆ่าคนคนชุดดำเลือดเนื้อกระเด็น


 


 


จะโทษว่าคนชุดดำเป็นไก่อ่อนก็ไม่ได้ สามารถถูกส่งมาคิดร้ายต่อราชครูเสิ่นจะอ่อนได้หรือ? ตรงกันข้ามพวกเขายังเจนจัดมาก อย่างน้อยเผชิญหน้ากับทหารรักษาพระองค์ก็มีกำลังสู้ได้ ทว่าพวกเขาดันโชคไม่ดี เจอกับทหารรุ่นเยาว์ที่นางมารเสิ่นเวยฝึกมา นี่คือคนที่ไม่เลือกวิธีการไม่มีขีดจำกัดล่างกลุ่มหนึ่ง เล่นเล่ห์ได้เล่นเล่ห์ วิธีลอบกัดโผล่มาไม่ขาดสาย อีกทั้งยังทำให้เจ้าป้องกันไม่ได้อีก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)