กระบี่จงมา 272.1-275.2

 บทที่ 272.1 แม่นางหนิง ขอโทษนะ

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันไม่รอให้หนิงเหยาพูดจบก็เอ่ยขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนว่าแม่นางหนิงเจ้ารอสักครู่ จากนั้นเฉินผิงอันก็หันหน้ากลับไป ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาแล้วแอบดื่มเหล้า


หนิงเหยาไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย


หรือว่าเจ้าหมอนี่แอบไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อตน? ยกตัวอย่างเช่นระหว่างที่เดินทางจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาจนถึงภูเขาห้อยหัวติดหนี้บานเบอะ โดยลงในบัญชีของนางหนิงเหยา?


หรือยกตัวอย่างเช่นเขาทำตำราหมัดเขย่าขุนเขาเล่มนั้นหายไปตั้งนานแล้ว ฝึกกระบวนท่าหมัดแค่ไม่กี่พันครั้งก็รู้สึกว่าไม่มีอนาคต ตอนนี้เลยสะพายกล่องกระบี่ เริ่มฝึกกระบี่แล้ว สุดท้ายกลายเป็นว่าทั้งหมัดทั้งกระบี่ต่างก็ไม่ได้เรื่องทั้งคู่?


หรือว่าตอนที่เฉินผิงอันท่องอยู่ในยุทธภพเป็นคนโง่ที่มีโชคของคนโง่ รอบกายมีสตรีรู้ใจที่โง่งมห้อมล้อมกลุ่มใหญ่ ตอนนี้กำลังรอคอยเขาอยู่ที่โรงเตี๊ยม?


หนิงเหยาคิดไปเหนือใต้ออกตก สารพัดจะคิด


มีเพียงเรื่องเดียวที่นางไม่ได้คิดถึงคือเฉินผิงอันทำกระบี่เล่มที่หร่วนฉงหลอมให้หาย


นี่จะเป็นไปได้อย่างไร ต่อให้ผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ ผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว เขาจะต้องเอากระบี่มาส่งแน่ๆ


ดื่มเหล้าแล้ว เฉินผิงอันก็พลันลุกขึ้นยืน เดินลงบันไดมาเผชิญหน้ากับหนิงเหยา ด้านหลังหนิงเหยาก็คือหอจิ้งเจี้ยนแห่งนั้น ราวกับว่านางคือศูนย์รวมจิตวิญญาณนับหมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงของจูอวี๋และโยวหวง ตอนนั้นที่เฉินผิงอันนั่งยองอยู่มุมกำแพง เขาคิดเรื่องราวอะไรมากมายให้วุ่นวายไปหมด ยกตัวอย่างเช่นบทกลอนในหนังสือที่มีประโยคหนึ่งเอ่ยว่า ‘ปักดอกจูอวี๋เต็มหัว ขาดข้าเพียงคนเดียว’ ‘นั่งเดียวดายในป่าไผ่มืดครึ้มเงียบสงบ’ (ป่าไผ่มืดครึ้มตรงกับชื่อกระบี่โยวหวง) นึกถึงอาเหลียงและตัวอักษรเหมิ่ง นึกถึงตัวอักษรแกะสลักที่มีประวัติยาวนานยิ่งกว่าเช่นคำว่าเหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ) เฉินผิงอันยังถึงขั้นนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่คนทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้งเป็นครั้งแรก ซึ่งไม่ใช่ภาพที่เขานั่งเซ่ออยู่บนขั้นบันไดของภูเขาห้อยหัวแล้วเจอนางอย่างแน่นอน


หนิงเหยานั่งอยู่บนขั้นบันไดอย่างคนใจเย็น นางเอนตัวไปข้างหลัง เท้าข้อศอกลงบนขั้นบันไดที่อยู่สูงกว่าอย่างเกียจคร้าน หรี่ดวงตาทั้งคู่ลง คิ้วสองข้างที่เป็นเหมือนดาบแคบยิ่งขยายยาวชวนให้คนใจสั่น


พอเห็นภาพนี้ เฉินผิงอันกลับพูดไม่ออกสักคำ หันหน้ากลับไปดื่มเหล้าอีกครั้ง


เฉินผิงอันกำลังจะเปิดปากพูด


จู่ๆ หนิงเหยาก็เลิกคิ้ว นั่งตัวตรง เอ่ยถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้ากลายเป็นผีขี้เหล้าตั้งแต่เมื่อไหร่?!”


คำพูดที่กว่าจะปลุกระดมความกล้าได้มากเพียงพอ คำพูดที่ไต่ขึ้นมาที่ปากอย่างยากลำบากราวกับปีนขึ้นเขาถูกกลืนกลับลงท้องไปด้วยความตกใจ แต่ละคำเป็นเหมือนร่างที่ร่วงหล่นไปจากหน้าผา กระดูกกระแทกแตกย่อยยับ


เฉินผิงอันถอนหายใจอย่างเศร้าอาลัย นั่งยองลงไปบนพื้น ยกสองมือเกาหัวไม่พูดไม่จา


หนิงเหยาลุกขึ้นยืน พูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนว่าเจ้าจะตัวสูงขึ้นนะ?”


เฉินผิงอันลุกพรวดขึ้นยืน ยื่นมือไปขวางไม่ให้หนิงเหยาเดินลงมาจากบันได “แม่นางหนิง เจ้ารอข้าพูดประโยคนี้ให้จบก่อน!”


เด็กหนุ่มแหงนหน้าขึ้นสูง ยืดอกตั้ง กำน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้แน่น สายตาจ้องมองไปยังแม่นางที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนนั้น


หนิงเหยากะพริบตาปริบๆ คล้ายเดาไม่ออกว่าเฉินผิงอันคิดจะทำอะไรกันแน่


เฉินผิงอันกล่าว “แม่นางหนิง…”


เขารีบส่ายหน้า เปลี่ยนคำเรียกขานเสียใหม่ว่า “หนิงเหยา ข้าชอบเจ้า”


หนิงเหยานั่งกลับลงไปบนขั้นบันได “แน่จริงเจ้าก็พูดดังๆ สิ”


เฉินผิงอันจึงแผดเสียงตะโกนไปว่า “หนิงเหยา! ข้าชอบเจ้า!”


หนิงเหยาถาม “เจ้าเป็นใคร?”


เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ไม่มีความสำรวมระมัดระวังตนอีก พูดอย่างห้าวหาญว่า “เฉินผิงอันแห่งหลงเฉวียนต้าหลี!”


แม้เฉินผิงอันเองก็รู้ว่า หลังส่งมอบกระบี่ให้แม่นางหนิงแล้ว ได้อยู่ด้วยกันอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดควรไปเห็นบ้านเกิดที่แม่นางหนิงเติบโตมา รวมถึงทำความรู้จักกับสหายของนางที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถึงเวลานั้นค่อยตัดสินใจว่าจะพูดมันออกไปดีหรือไม่ นั่นถึงจะเป็นวิธีการที่มั่นคงที่สุด ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือหนิงเหยาไม่ชอบเขา แต่ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นเพื่อนกันได้


ทว่าเฉินผิงอันไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้น


หนิงเหยาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง นางถามเฉินผิงอันด้วยสีหน้าประหลาด “ชอบคนคนหนึ่งแล้วร้ายกาจมากนักหรือ?”


เฉินผิงอันมึนงง ไม่รู้เลยว่าควรจะตอบนางอย่างไร


เฉินผิงอันอดตำหนิอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งของแคว้นซูสุ่ยกับอาจารย์ของผู้เฒ่าพายเรือบนเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้ คนหนึ่งปากอีกา อีกคนเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมถ่ายทอดประสบการณ์ในยุทธภพให้


หนิงเหยาลงบันไดมาด้วยก้าวเดียว พอหยุดอยู่หน้าเฉินผิงอันแล้วก็ยื่นฝ่ามือออกมา “เอามา”


เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที คลายเชือกออก ปลดกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลัง ดึงกระบี่ยาวเล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นผู้หลอมออกมายื่นส่งให้แม่นางที่อยู่ตรงหน้า


พอรับกระบี่ยาวมาแล้ว หนิงเหยาก็ไม่ได้ชักกระบี่ออกจากฝักเพื่อตรวจสอบความคมของมัน เพียงแขวนไว้ตรงเอวฝั่งขวาแล้วเดินตรงไปข้างหน้า สวนไหล่กับเฉินผิงอันไปทั้งอย่างนั้น


พอเฉินผิงอันหันขวับไปมองก็เห็นแค่ว่านางชูมือขึ้นโบกเบาๆ เป็นการอำลา


ริมฝีปากของเฉินผิงอันสั่นระริก แต่กลับพูดอะไรไม่ออก เพราะความกล้าหาญทั้งหมดล้วนถูกใช้กับประโยคนั้นไปหมดแล้ว


เขาเหม่อมองนางอยู่เนิ่นนาน ไม่ยอมถอนสายตากลับ ไม่ยอมหันหน้ากลับมา


นางยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล เรือนร่างค่อยๆ หายไปท่ามกลางม่านราตรี


เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา เดินไปยังบันไดตรงตำแหน่งที่ตัวเองนั่งก่อนหน้านี้ แล้วเริ่มพร่ำพูดถึงถ้อยคำที่ก่อนหน้านี้ไม่ทันพูดมันออกไป


แม่นางหนิง เจ้าสบายดีไหม?


แม่นางหนิง ข้าออกจากบ้านคราวนี้ได้พบเจอเรื่องที่น่าสนใจมากมาย เล่าให้เจ้าฟังดีไหม?


แม่นางหนิง เจ้าต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ตอนนั้นที่ข้ารับปากเจ้าว่าจะฝึกหมัดให้ครบหนึ่งล้านครั้ง ตอนนี้เหลือแค่สองหมื่นครั้งแล้ว


แม่นางหนิง เจ้ารู้หรือไม่ ตอนนั้นที่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง พอเจ้ายิ้ม ข้าจะต้องรู้สึกทุกครั้งว่าตัวเองคือคนที่มีเงินมากที่สุดในโลก


หนิงเหยา ข้าได้เจอกับอาเหลียง แต่อาจารย์ฉีไม่อยู่แล้ว


หนิงเหยา ข้าเคยไปที่แคว้นหวงถิง ต้าสุย แคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ย นครมังกรเฒ่า ไปมาหลายสถานที่ ได้พบเจอแม่นางมากมาย แต่พวกนางล้วนไม่งดงามเหมือนเจ้า


แม่นางหนิง เมื่อก่อนเจ้าถามข้าว่าชอบเจ้าหรือไม่ ข้าบอกว่าไม่ชอบ ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้อารมณ์เสีย แต่ตอนนี้ข้าชอบเจ้ามากถึงขนาดนี้แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ ขอโทษนะ


แม่นางหนิง ได้พบเจ้า ข้าดีใจมาก


……


บนลานกว้างหยกขาวตีนภูเขาเดียวดาย นักพรตน้อยที่สวมกวานหางปลาไว้บนศีรษะนั่งเปิดหนังสืออยู่บนเบาะต่ออีกครั้ง หลายวันมานี้คือวันถือศีลกินเจที่สำคัญของใต้หล้ามืดสลัว แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาห้อยหัวไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป็นคนของใต้หล้าไพศาล ดังนั้นประตูบานใหญ่ที่ทะลุไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่บานนี้ต้องรอยามจื่อของวันมะรืนถึงจะเปิดใหม่อีกครั้ง หาไม่แล้วที่นี่ย่อมเป็นหนึ่งในแถบที่คึกคักที่สุดของภูเขาห้อยหัว


เพราะที่นี่มีแต่คนผ่าน ไม่มีของผ่าน


ศูนย์กลางการขนส่งที่แท้จริงอยู่กึ่งกลางภูเขาห้อยหัว


ท่าเรือแปดแห่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งรวมถึงศาลาจัวฟ่างและหอซ่างเซียงต่างก็มีทางลาดเอียงสายใหญ่ที่โยงไปถึงกึ่งกลางภูเขา ในอดีตด้วยเรื่องที่ว่าจำเป็นต้องเจาะผนังภูเขาเพื่อสร้างท่าเรือใหญ่ไว้กลางภูเขา จำเป็นต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งใต้หล้ามืดสลัวหรือไม่ ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนเคยทะเลาะกันมาก่อน เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวคิดว่าเพื่อแนวโน้มของสถานการณ์ส่วนใหญ่แล้ว เหตุใดภูเขาห้อยหัวต้องปล่อยให้เงินค่าควันธูปมากมายขนาดนั้นเสียเปล่าไปโดยไม่รู้จักไขว่คว้ามา?


นักพรตน้อยที่นอกจากจะมีสถานะเป็นคนเฝ้าประตูแล้ว ยังเป็นคนสำคัญอันดับสองของภูเขาห้อยหัวด้วยกลับรู้สึกว่าการขุดดินก่อสร้างบนภูเขาห้อยหัว ขอแค่เกี่ยวพันกับตัวของตราประทับภูเขา ต่อให้จะแค่เสี้ยวเดียวก็ถือเป็นการไม่เคารพต่อท่านอาจารย์แล้ว


ตอนนั้นคนทั้งสองทะเลาะกัน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ถึงกับลงไม้ลงมือกันเพราะเหตุนี้ หลังจบเรื่องต่างคนต่างไปจุดธูปสามดอกบนหอซ่างเซียง ทำเอาอาจารย์เจ้าลัทธิที่ปกติพำนักอยู่ฟ้านอกฟ้าตกใจ อาจารย์กลับไปที่หอป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวก่อน จากนั้นจึงร่างโองการด้วยตัวเองหนึ่งฉบับ สองศิษย์พี่ศิษย์น้องถึงยอมหยุดลงได้ แต่นับจากนั้นมา ด้วยความโมโห นักพรตเด็กที่เดิมทีกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือไม่แพ้ศิษย์พี่ก็ไม่สนใจกิจธุระของภูเขาห้อยหัวอีกเลย เขาโยนงานทั้งหมดให้เทียนจวินใหญ่ ส่วนตัวเองก็มานั่งเฝ้าอยู่บนเบาะรองนั่งตรงนี้


บุรุษกอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้ามักจะหลับตลอดช่วงเวลากลางวัน แต่พอถึงกลางคืนกลับตื่นคืนสติแจ่มชัด ดวงตาของเขาสว่างดุจแสงจันทร์กระจ่าง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มกระตือรือร้น มองซ้ายทีมองขวาทีเหมือนกำลังรอใครอยู่


รอแล้วรอเล่า แต่คนที่รอก็ยังไม่มาสักที เขาจึงเริ่มหงุดหงิด กระโดดลงจากเสาผูกม้า (ซวนหม่าจวง เสาหินแกะสลักของจีน มีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม บ้านคนมีฐานะในสมัยโบราณเอาไว้ใช้ผูกม้า วัวเพื่อแสดงถึงความร่ำรวย และยังมีความหมายถึงการสยบความชั่วร้ายปกป้องบ้านเรือน ภายหลังกลายมาเป็นเหมือนเสาประดับ) เดินอ้อมประตูใหญ่ที่เหมือนกระจกมานั่งยองอยู่ข้างกายนักพรตน้อย ข้างหูได้ยินเพียงเสียงเปิดหน้าหนังสือที่เนิบช้าของอีกฝ่าย


เดิมทีช่วงนี้อารมณ์ของนักพรตน้อยก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นนักพรตเต๋าสายของเทียนจวินใหญ่ แต่กลับสนิทสนมกับลู่เฉินหนึ่งในสามเจ้าลัทธิ พอเห็นกะเทยแซ่ลู่ผู้นั้นก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ และคำพูดคำจาที่วางโตของกะเทยนั่นก็ยิ่งทำให้เขารำคาญ เรื่องที่ศิษย์พี่เทียนจวินใหญ่แพ้คนอื่นในการต่อสู้ก็ยิ่งทำให้เขาโมโห


เหตุใดใต้หล้าถึงมีเรื่องที่ทำให้คนหงุดหงิดใจมากมายขนาดนี้?


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ป๋ายอวี้จิง ตอนที่ยังไม่ถูกลู่เฉินเจ้าลัทธิน้อยหลอกมาที่ภูเขาห้อยหัวกลับไม่มีเรื่องน่ารำคาญใจมากมายขนาดนี้ ทุกวันเดินเล่นอยู่บนราวระเบียงเป็นเพื่อนเจ้าลัทธิลู่ รอให้อาจารย์กลับจากฟ้านอกฟ้ามาพักผ่อนที่ป๋ายอวี้จิง บางครั้งโชคดียังได้เจอกับท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้ง ท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าเป็นคนที่ยุ่งมาก น้อยครั้งที่จะมาปรากฏตัวที่ป๋ายอวี้จิง หากไม่ไปท่องเที่ยวยังพื้นที่ลับไม่รู้ชื่อ ช่วยทำให้โชคชะตาของบางแห่งมั่นคง สร้างถ้ำสวรรค์สำหรับผู้ฝึกตน ก็มนสิการมรรคาอยู่ที่ถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา แน่นอนว่าท่านผู้เฒ่ามรรคาจารย์เต๋าไม่จำเป็นต้องทำความเข้าใจเพื่อให้บรรลุมรรคาอีกแล้ว ตามคำอธิบายของท่านอาจารย์ คำว่ามนสิการนี้ก็แค่คอยมองจุลมรรคาของคนอื่นเท่านั้น


นักพรตน้อยทนชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “ก็แค่แม่นางน้อยคนหนึ่งไม่ใช่หรือ มีอะไรให้น่าดูกัน”


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ตอบด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นคนที่มีความผิดติดตัว ถูกลงโทษให้มาอยู่ที่นี่ นานๆ ทีจะมีความสนใจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้”


นักพรตน้อยปิดหนังสือ ยิ้มกว้าง “โอ้ ห่างแค่บานประตูกั้น ตัวอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ยังได้ครอบครองเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตเซียน ความสนใจเล็กๆ น้อยๆ? น้อยแค่ไหน?”


ชายฉกรรจ์วัยกลางคนส่ายหน้าถอนหายใจ “คุยกับคนแบบเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ”


บทที่ 272.2 แม่นางหนิง ขอโทษนะ

โดย

ProjectZyphon

ชายฉกรรจ์เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “ยังคงเป็นคู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพวกเราที่เข้ากันได้ดียิ่งกว่าเรา ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เริ่มเดิมพันเล็กๆ กันแล้วหรอกหรือ”


ประโยคนี้ถึงได้ทำให้นักพรตน้อยสนใจขึ้นมาได้บ้าง “เดิมพันอะไร?”


ชายฉกรรจ์กอดดาบถามหยั่งเชิง “แบ่งให้ข้านั่งบนเบาะสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”


นักพรตน้อยไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเย็นตอบ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”


ชายฉกรรจ์ไม่ตื๊ออีก พูดต่อไปว่า “เหล่าเหยาที่อยู่ข้างๆ เดิมพันกับนักพรตหญิงพกดาบคนนั้นว่า ก่อนฟ้าจะสาง ตอนที่แม่นางน้อยกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะกลับไปคนเดียวหรือว่าสองคน”


นักพรตเด็กถาม “แล้วทำไมไม่เดิมพันว่าจะไม่ได้กลับไปเลยสักคนล่ะ?”


ชายฉกรรจ์อุ้มดาบส่ายหน้า มองไปยังทิศไกล “นางต้องกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่”


นักพรตน้อยถาม “เพราะเกียรติของสองแซ่อย่างหนิงและเหยา?”


ชายฉกรรจ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน


นักพรตน้อยดวงตาเป็นประกาย โบกชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ หลังจากท่องสองชื่อซึ่งเป็นภาษาบุรพแจกันสมบัติทวีปอยู่ในใจ ยันต์สีเขียวสองแผ่นก็วาดเสร็จในเวลาเดียวกันแล้วพุ่งวับหายไป


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำลายยันต์สองแผ่นที่บางเบายิ่งกว่าควันเขียวให้แตกสลาย กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่สมควรฟังอย่าฟัง”


ยันต์สองแผ่นนั้น แผ่นหนึ่งคือยันต์ฟ้าดินตอบรับ อีกแผ่นคือยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้า ฝ่ายแรกสามารถพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่สถานที่ใดมีการพูดคุยเกี่ยวกับถ้อยคำที่คนวาดยันต์ท่องลงไป ยันต์แผ่นนี้ก็จะเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันทึกบทสนทนาเอาไว้ได้ ส่วนฝ่ายหลังยันต์ไล้ใบหน้าสามารถตามหาบุคคลที่ถูกวาดภาพไว้บนยันต์และส่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาได้


ยันต์ทั้งสองชนิดมีระดับขั้นสูงมาก แล้วก็วาดสำเร็จได้ยากมากด้วย แต่หากเป็นบนภูเขาจะถือเป็นซี่โครงไก่สำหรับสายยันต์ลัทธิเต๋า เพราะยันต์ตอบรับก็ดี ยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้าก็ช่าง เมื่อเจอกับสถานที่ที่มีตราผนึกเวทอาคมและสถานที่ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็จะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นไปชนเข้ากับจวนใหญ่ที่มีเทพทวารบาลเฝ้าพิทักษ์ ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง สุสานไร้ญาติ เป็นต้น


ต่อให้วัสดุในการเขียนยันต์จะดีแค่ไหน แต่แรงสะท้อนกลับจะรุนแรงมาก ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป พอผู้ฝึกลมปราณสังเกตเห็น ย่อมถูกมองเป็นการท้าทาย เมื่อไล่ตามเบาะแสมาก็ง่ายที่จะเจอกับคนวาดยันต์ สุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง


ดังนั้นยันต์สองแผ่นนี้จึงเหมาะสมให้เอาไปใช้ตรวจสอบความจริงจากสถานที่ที่ ‘ไร้อาคม’ เท่านั้น


แต่ว่านักพรตน้อยคิดจะควบคุมยันต์สองแผ่นในถิ่นของตัวเองย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น


น่าเสียดายก็แต่ถูกเซียนกระบี่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นดีดนิ้วทำลายทิ้งไปแล้ว


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถาม “จะเดิมพันหรือไม่?”


นักพรตน้อยหมดความสนใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ล่ะ ผีพนันอย่างเจ้านิสัยการเล่นพนันย่ำแย่จนติดสามอันดับแรกของภูเขาห้อยหัวได้เลย ข้าเดิมพันกับเจ้า หากแพ้ ข้าต้องมอบของให้กับเจ้า แต่หากชนะ ก็ไม่มีทางได้ของมาแน่ เดิมพันอะไรกัน ไม่เด็ดขาด”


ชายฉกรรจ์สีหน้าหดหู่ “ชีวิตนี้ข้าไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ขนาดเป็นผีพนันก็ยังอยู่อันดับหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ”


นักพรตน้อยนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหัวเราะฮ่าๆ “อย่างเจ้าน่ะถือว่าดีแล้ว ลองมองกระบี่ผุๆ สองเล่มที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยนแล้วหันกลับมามองตัวเองดูสิ ผู้คนจากที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาล ใครบ้างที่ไม่เคารพนอบน้อมต่อเจ้า? ในสายตาของพวกเขา เซียนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้า ต่อให้ผายลมก็ยังหอม”


ชายฉกรรจ์กอดดาบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าการที่ข้าได้มาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่ ไม่ควรมีอะไรให้ไม่พอใจสินะ”


นักพรตเด็กวางตำราลง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า


ชายฉกรรจ์พึมพำว่า “สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว จากบ้านไปหนึ่งร้อยปี บ้านเกิดก็คงเปลี่ยนเป็นมาตุภูมิแล้ว สำหรับผู้ฝึกลมปราณ หนึ่งพันปีก็ถือว่าใช่ แล้วนักโทษลี้ภัยพลัดถิ่นที่จากบ้านมานานเกินหมื่นปีอย่างพวกเราล่ะ?”


นักพรตน้อยไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้


เพราะตอบยากเกินไป


……


ฝั่งของภูเขาห้อยหัวคือยามดึกฟ้ามืดมิด อีกฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่กลับเป็นช่วงกลางวันที่แสงแดดส่องเจิดจ้า


มีคนสองคนนั่งเฝ้าประตูอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัว


ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเสื้อเทาคนหนึ่งกำลังหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างโจ่งแจ้ง ข้างกายมีนักพรตหญิงวัยกลางคนพกดาบอาคมคนหนึ่งยืนอยู่


นักพรตหญิงขมวดคิ้วถาม “แม่หนูหนิงไปที่ภูเขาห้อยหัวโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ถึงเวลานั้นหากเทียนจวินใหญ่ซักถามขึ้นมา ข้าคงต้องตอบไปตามตรง”


ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “พูดไปตามความจริงได้เลย ข้ารับผิดชอบเอง”


ห่างไปไกลมีเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา พวกเขาต่างก็เป็นลูกรักซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่


แม้ว่าพวกเขาจะมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่กันแทบทุกคน เรียกได้ว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ ทว่าในศึกใหญ่ช่วงที่ผ่านมา ระยะเวลาไม่ถึงสามปี เด็กกลุ่มนี้ก็ออกรบกันไปแล้วถึงสามครั้ง และเพื่อนก็น้อยลงไปสองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่มีฉายาว่าตั๊กแตนน้อย เขาตายในสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมือง อีกคนหนึ่งฝึกประสบการณ์สำเร็จจึงกลับไปยังสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพกกระบี่ยาวสองเล่มตรงเอว เล่มหนึ่งมีฝักชื่อว่าคัมภีร์ อีกเล่มหนึ่งไร้ฝัก ชื่อว่าลายเมฆ


เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มมาตั้งแต่เกิด แต่กลับมีปราณสังหารเข้มข้นที่สุด ตรงเอวพกกระบี่สายฟ้าม่วง


เด็กสาวแขนเดียวคนหนึ่งสะพายกระบี่สยบขุนเขาที่ใหญ่เกินตัวไปมาก


เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมหน้าตาอัปลักษณ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบากพกกระบี่นงคราญ


ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเห็นพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ (เป็นคำด่า สมัยโบราณคำว่ากระต่ายใช้ด่าผู้หญิงที่สำส่อน ลูกกระต่ายจึงเป็นคำด่าว่าลูกไม่มีพ่อ) แล้วก็ชักสีหน้า หลอมกระบี่ของตนต่อไป


กลับเป็นนักพรตหญิงดาบอาคมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่คลี่ยิ้มทักทายเด็กทุกคนอย่างจริงใจ


เรียกคนเหล่านี้เป็นเด็ก ก็แค่เพราะดูจากส่วนสูงและอายุของพวกเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทุกคนต่างก็มีอนาคตยาวไกล ระดับความสูงของความสำเร็จในอนาคตแทบจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่มองเห็น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงแล้วลงจากหัวกำแพงไปยังสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารในแต่ละครั้งมาด้วยตัวเองก็ยิ่งชนะใจและได้รับความเคารพที่มากพอจากผู้คน


อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าเจ้าแซ่อะไรก็ล้วนต้องลงสนามรบ


แน่นอนว่าก็มีความแตกต่างในบางเรื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับตบะและขอบเขตของอาจารย์กระบี่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่บ้านยากจน ได้แต่ยอมรับอาจารย์กระบี่ที่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่จัดหาให้แต่โดยดี ส่วนพวกลูกหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ซึ่งลงสนามรบตั้งแต่อายุน้อย ข้างกายย่อมต้องมีคนติดตามอย่างลับๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้ารับใช้มีฝีมือที่ยังไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบชั่วคราว ทว่าเว้นเสียจากจะตกอยู่ในอันตรายที่ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางลงมือช่วยเหลือง่ายๆ เด็ดขาด


ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินทางแถบทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกแทรกซึมไปด้วยปราณกระบี่ที่สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากโบราณมาจวบจนปัจจุบัน


ทว่าทั่วทุกอณูพื้นที่ทางทิศใต้กลับอาบโชกไปด้วยเลือดของบรรพบุรุษ


คนกลุ่มนี้มีนิสัยแตกต่างกันออกไป เด็กอ้วนตอแยอยู่กับนักพรตหญิงดาบอาคม พูดจาต่ำช้าหยาบโลนเลียนแบบคนบางคน ผลกลับถูกนักพรตหญิงจากภูเขาห้อยหัวตอกกลับจนใบ้กิน เด็กสาวแขนเดียวพยายามเพ่งตาจ้องมองวิธีการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เด็กหนุ่มหล่อเหลาทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนเด็กหนุ่มตัวดำกลับเหม่อมองไปยังประตูใหญ่บานนั้นอย่างทึ่มทื่อ ห่างแค่เพียงเอื้อมมือก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว อีกอย่างที่นั่น ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็มีแค่ดวงเดียว ทัศนียภาพของที่นั่น ภูเขาเขียวน้ำใส เด็กหนุ่มไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าแบบไหนคือภูเขาเขียวน้ำใส


เด็กหนุ่มหล่อเหลาใช้ฝ่ามือของมือสองข้างตบไปที่ด้ามกระบี่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะหงุดหงิดงุ่นง่าน บ่นไปด้วยว่า “หากได้เจอไอ้หมอนั่น ข้ากลัวว่าจะอดไม่ไหวชักกระบี่ฟันออกไป ถึงเวลานั้นเจ้าต้องห้ามข้าด้วยนะ”


เด็กหนุ่มตัวอ้วนหัวเราะหึหึ “ห้ามเหิ้มอะไรกัน ฟันให้ตายไปเลย ถึงเวลานั้นพอเจ้าถูกหนิงเหยาสับเป็นเนื้อบด ขาดคนขวางหูขวางตาไปทีเดียวถึงสองคน ก็ไม่เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ วางใจเถอะ กระบี่สองเล่มอย่างคัมภีร์และลายเมฆ ข้าจะช่วยเก็บรักษาให้เอง”


เอ่ยหยอกล้อไปแล้ว เด็กหนุ่มตัวอ้วนก็พูดอย่างจนใจเล็กน้อย “เรื่องเกี่ยวกับไอ้หมอนั่น หนิงเหยาไม่ยอมพูดอะไรมาก พูดซ้ำไปซ้ำมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น คนโง่จากถ้ำสวรรค์หลีจู คนดีเกินเหตุ คนเห็นแก่เงิน…ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า หากให้เลือก ก็ยังเป็นเจ้าหนอนหนังสือจากสถานศึกษาที่น่าชื่นชอบมากกว่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรเขาก็เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรามาหลายครั้ง แถมยังเคยช่วยต่งถ่านดำหนึ่งครั้ง ถือว่าพอจะคู่ควรกับหนิงเหยาได้อย่างถูไถ”


เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ถลึงตาใส่เจ้าอ้วนอย่างดุดัน


ฝ่ายหลังมีหรือจะกลัว ชม้อยชม้ายชายตากลับคืน


เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถามขึ้น “พวกเราคิดมากกันไปเองหรือเปล่า ด้วยนิสัยอย่างหนิงเหยา ชั่วชีวิตนี้จะชอบใครได้หรือ?”


เด็กสาวแขนเดียวครุ่นคิดอย่างตั้งใจ นางที่พูดน้อยราวกับว่าคำพูดมีค่าดุจทองคำให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ยาก!”


……


ครึ่งคืนหลังของภูเขาห้อยหัว เด็กสาวองอาจที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มพกกระบี่คู่ไว้ที่เอวมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กับตีนเขาภูเขาเดียวดาย นางเดินตรงไปที่กระจกโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่และนักพรตเด็ก


พริบตาเดียวนางก็เดินออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของกระจก ดวงอาทิตย์ร้อนแรงสาดแสงกลางอากาศ นางเงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ


ส่วนคนรุ่นเดียวกับเด็กสาว เหล่าสหายที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสในตัวนาง แต่ละคนที่หยาบกระด้างกลับรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกว่าวันนี้ที่หนิงเหยากลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงคนเดียว อากาศไม่เลวเลยจริงๆ


เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มแซ่ต่งที่ตัวดำเหมือนถ่านก็หันหน้ามาเรียก “พี่หญิงหนิง?”


หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที สาวเท้าก้าวเร็วๆ เดินไปให้ทันพวกเขา


แล้วก็เดินเลยพวกเขาไป


คนสี่คนที่พูดคุยหัวเราะสนุกสนานจึงพากันเงียบเสียงลง


……


นอกหอจิ้งเจี้ยนภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน คิดว่าจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย


หลังจากที่เขาลุกขึ้นยืนก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไกลมีคู่ชายหญิงวัยกลางคนลักษณะเหมือนสามีภรรยาเดินมา พวกเขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่สง่างาม หน้าตาธรรมดา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เพียงแค่มองเขาแวบเดียวก็หันไปมองหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ด้านหลัง


เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ไม่ได้ยกขึ้นดื่มพักใหญ่ไว้ตรงเอว เตรียมจะจากไป


สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเรามาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าที่นี่ใหญ่มาก มีอะไรที่ต้องระวังหรือไม่?”


เฉินผิงอันหยุดเท้า ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าพาพวกท่านเข้าไปเดินดูดีไหม?”


ชายหญิงหันมายิ้มให้แก่กันแล้วพยักหน้ารับพร้อมกัน “ดีสิ”


บทที่ 273.1 เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ

โดย

ProjectZyphon

อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ยากนักกว่าจะเจอคนที่พูดภาษาทางการบุรพแจกันสมบัติทวีปได้ เพียงแต่ว่าเดินทางมาไกลขนาดนี้ เขารู้หลักการที่ว่าไม่ถามชื่อของพระ ไม่ถามอายุของนักพรตแล้ว เมื่อเจอกับคนแปลกหน้า ละลาบละล้วงถามอีกฝ่ายว่าแซ่อะไรมาจากไหนก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก


เฉินผิงอันจึงพาคู่สามีภรรยาเดินเข้าไปในหอจิ้งเจี้ยน บอกเล่าในสิ่งที่จินซู่เล่าให้เขาฟังแก่คนทั้งสองไปรอบหนึ่ง อีกทั้งเฉินผิงอันยังเป็นคนความจำดีมาตั้งแต่เด็ก ของเลียนแบบกระบี่เซียนและภาพวาดเซียนกระบี่ที่อยู่ในแต่ละห้อง ขอแค่ตั้งใจจดจำ เฉินผิงอันก็จะสามารถบอกชื่อแซ่ ชื่อกระบี่และประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ให้คู่สามีภรรยาฟังได้ทันที


พาคู่สามีภรรยาเดินชมหอจิ้งเจี้ยนแล้วเฉินผิงอันก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา คิดว่าในเมื่อส่งมอบกระบี่ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวให้นานอีกสักหน่อย ไล่จดบันทึกเซียนกระบี่และกระบี่เซียนบางส่วนในหอจิ้งเจี้ยนที่ต้องตาเอาไว้ วันหน้าพอกลับไปถึงเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ว่างงานหรือรู้สึกเบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถเอามาพลิกเปิดดู ก็เหมือนยามที่แสงอาทิตย์สาดส่องมายังไม้ไผ่แผ่นเล็กที่บันทึกคำกลอนงดงามและหลักการในโลกมนุษย์ ต่อให้เฉินผิงอันเห็นไกลๆ ก็ยังรู้สึกสบายใจมากเป็นพิเศษ ความอบอุ่นนั้นราวกับว่าแสงแดดไม่ได้ส่องลงบนไม้ไผ่แผ่นเล็กและตัวอักษร แต่ส่องลงบนหัวใจของเขาเอง


ตอนที่คัดลอกสำเนาสามารถฝึกตัวอักษรได้พอดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าพวกพู่กัน หมึกและกระดาษที่ภูเขาห้อยหัวจะแพงมากหรือไม่


สตรีแต่งงานแล้วที่ยังสาวคนนั้นพูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าความจำดีมาก”


เฉินผิงอันหยุดความคิดทั้งหมดลง หันไปส่งยิ้มกว้างให้อีกฝ่าย ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ บนภูเขาไม่นับเป็นอะไรได้ คิดดูแล้วฮูหยินท่านนี้คงแค่ชวนคุยอย่างมีมารยาทเท่านั้น


คราวนี้เฉินผิงอันดูถูกตัวเองเกินไปแล้วจริงๆ เพราะสามีภรรยาที่สายตาดีเยี่ยมคู่นี้แน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าทุกครั้งที่เฉินผิงอันมองไปยังของเลียนแบบกระบี่เซียนเล่มใดเล่มหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ นี่เรียกว่าตายังมองไม่เห็น แต่จิตกลับไปถึงก่อนแล้ว นี่คือคอขวดที่เลื่องลือจุดหนึ่งของเซียนกระบี่ เป็นตัวตัดสินระดับความสูงในท้ายที่สุดของเซียนกระบี่ ว่าจะกลายเป็นเซียนกระบี่น้อยที่ถูกกระบี่บินกักขังเจตจำนงเดิม หรือจะเป็นเซียนกระบี่บนมหามรรคาที่สามารถควบคุมปณิธานกระบี่ได้นับพันนับหมื่น


เดินผ่านห้องต่างๆ มาเกินครึ่งแล้ว แต่เฉินผิงอันก็ยังคงติดตามคู่สามีภรรยาชมแต่ละห้องอย่างละเอียดโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อันที่จริงพอเล่าประวัติคร่าวๆ ของหอจิ้งเจี้ยนไปแล้ว หลังจากนั้นก็แค่อาศัยความสนใจไปเลือกชมเซียนกระบี่หรือกระบี่มีชื่อเสียงที่ตัวเองชื่นชมเท่านั้น ทว่าสตรีแต่งงานแล้วยังคอยหันมาชวนเฉินผิงอันคุยอยู่เป็นระยะ เฉินผิงอันจึงติดตามพวกเขาไปเรื่อยๆ


ตั้งแต่ต้นจนจบ บุรุษผู้นั้นไม่ได้พูดอะไรมากนัก แต่จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะไปรอพวกเจ้าข้างหน้า”


สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ ไม่ได้คิดอะไรมาก หันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันต่ออีกครั้ง แม้ว่าเฉินผิงอันจะมาที่หอจิ้งเจี้ยนแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงนานนับพันปีซึ่งมีรูปวาดแปะอยู่บนผนังเหล่านี้แล้ว อันที่จริงเขาก็แทบจะไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่เลย กลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วผู้ซึ่งมาเยือนที่นี่ด้วยความเลื่อมใสที่พูดจ้อไม่หยุด เล่าเรื่องราวอันเป็นตำนานของเซียนกระบี่หลายท่าน ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกแซ่ต่งอะไรนั่น บอกว่าการที่กระบี่พกของเขามีชื่อว่า ‘สามอสุภ’ นั้น ไม่ใช่เพราะเขาศรัทธาในลัทธิเต๋า (สามอสุภในลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่าในร่างกายมนุษย์มีสามผีที่ทำให้มนุษย์เกิดความปรารถนาในการกระทำชั่ว) แต่เป็นเพราะเขาเคยบุกเดี่ยวเข้าไปยังใจกลางของโลกเผ่าปีศาจ สังหารปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนไปสามตน (อสุภแปลได้ว่าซากศพ สามอสุภจึงหมายความว่าสามศพ) ด้วยเหตุนี้ตระกูลต่งจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ภายหลังเจ้าประมุขตระกูลต่งแทบทุกรุ่นต่างก็ต้องเคยสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบ หรือไม่ก็ขอบเขตเซียนด้วยมือตัวเองมาก่อน…


ในเมื่อพูดถึงตระกูลต่ง สตรีแต่งงานแล้วจึงพาเฉินผิงอันไปดูของเลียนแบบกระบี่ที่ชื่อว่า ‘จู๋เชี่ย’ (หีบไม้ไผ่ใบเล็ก) ด้วยความกระตือรือร้น เจ้าของกระบี่คือบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลต่งที่ฟื้นฟูตระกูลที่กำลังตกต่ำให้กลับมาเจริญรุ่งเรือง ตอนนั้นเดิมทีควันธูปของตระกูลต่งเบาบางเต็มที เจ้าประมุขถูกปีศาจใหญ่ตนหนึ่งทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ความตาย ปราณกระบี่ในตระกูลเกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองที่อายุน้อยคนหนึ่งของตระกูลต่งก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว นำกระบี่ ‘สูงหนึ่งจั้ง’ ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเดินไปบนเส้นทางแห่งการสังหารปีศาจใหญ่ที่เหล่าบรรพบุรุษเคยเดินผ่านมาก่อน ภายใต้สถานการณ์ที่ทุกคนไม่เห็นดีเห็นงามด้วย สองร้อยปีให้หลัง ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ก็พาหนึ่งคนหนึ่งกระบี่กลับมากำแพงเมืองปราณกระบี่ และยังสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาใบหนึ่ง ด้านในบรรจุศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสามตนหนึ่ง และก่อนที่เขาจะขึ้นไปบนหัวกำแพง ก็ได้ใช้กระบี่สูงหนึ่งจั้งที่ใกล้จะหักพังเต็มทีเล่มนั้นสลักตัวอักษรต่งลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่


นับแต่นั้นมา กระบี่ที่คนผู้นี้หลอมขึ้นใหม่ก็มีชื่อว่าจู๋เชี่ย


และตระกูลต่งก็กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีน้ำหนักมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งแต่บัดนั้น


เมื่อได้พูดคุยกัน สตรีแต่งงานรู้ว่าเด็กหนุ่มแซ่เฉินก็ถามเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่าได้สังเกตกระบี่เล่มที่ชื่อว่า ‘เฟยไหลซาน’ (ภูเขาบินมา) บ้างหรือไม่


เฉินผิงอันยิ้มเขิน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เพราะว่าเจ้าของกระบี่เซียนที่มีชื่อประหลาดเล่มนี้ แซ่เฉิน ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษและจดจำได้อย่างชัดเจน อันที่จริงขอแค่มีเซียนกระบี่แซ่เฉิน เฉินผิงอันก็จะตั้งใจจดจำทั้งเซียนและกระบี่ที่พวกเขาพกติดตัว หากไม่เป็นเพราะไม่เคยเรียนวาดภาพมาก่อน อีกทั้งข้างกายยังไม่มีจิตรกรฝีมือเลิศล้ำอย่างบนเกาะกุ้ยฮวาให้ขอความรู้ เฉินผิงอันก็หวังว่าในช่วงเวลาต่อจากนี้จะสามารถพกพาเอาลักษณะท่าทางของ ‘เซียนกระบี่’ เหล่านี้กลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกันได้


หลังจากนั้นสตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มและเลือกเอาเรื่องราววีรกรรมอันห้าวเหิมของเซียนกระบี่แซ่เฉินสองสามคนที่เป็นคนรู้จักมาเล่าให้เฉินผิงอันฟัง


เมื่อมีคนตั้งใจใช้คำพูดมาบรรยาย ไม่ใช่แค่ยกคำไม่กี่ประโยคในบันทึกที่กระชับรัดกุม ถ้อยคำเย็นชามาเล่า เรื่องราวก็มักจะเต็มไปด้วยสีสันน่าสนใจเสมอ ราวกับมีป้ายอนุสรณ์ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำแห่งกาลเวลา มีต้นหลิ่วมากมายยืนต้นเรียงราย แค่คนรุ่นหลังมายืนอยู่ใต้ต้นไม้ก็สัมผัสได้ถึงร่มเงาของพวกมัน นอกร่มเงาคือลมมรสุมที่โถมกระหน่ำ แม่น้ำแห่งกาลเวลาพัดกรากไหลเชี่ยว


เฉินผิงอันที่เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีกแล้ว เวลานี้กลับอดไม่ไหวยกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง


แม่นางที่ตัวเองชอบไม่ชอบตน เป็นเรื่องที่น่าเสียใจมาก แต่ฟ้าไม่ได้ถล่มลงมา ควรจะมีชีวิตอย่างไรก็มีชีวิตอยู่ต่อไป


นี่คือเรื่องที่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ใคร่ครวญจนเข้าใจตอนที่กลับเข้ามาในหอจิ้งเจี้ยนอีกครั้ง


แต่ไม่ใช่ว่าพอรู้จักเซียนกระบี่ที่สง่างามหลายคนแล้ว เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเสียใจนี้เป็นเรื่องเล็กที่ไม่มีน้ำหนักอะไร


นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกแย่ยิ่งกว่าตอนที่ถูกทุบตีให้รู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วเสียอีก


ความรู้สึกเป็นทุกข์สองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน ฝ่ายแรกเมื่ออดทนให้ผ่านไปได้ มันก็ผ่านไป


แต่ความเสียใจอย่างหลัง ดูเหมือนว่าหนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี สิบปี ร้อยปี หรืออาจจะชั่วชีวิตก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่านมันไปได้


ที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอเฉินผิงอันคิดว่าหากในอนาคตมีวันหนึ่งที่ตนชอบผู้หญิงคนอื่น ดูเหมือนว่าจะยิ่งทำให้เขาเศร้าเข้าไปอีก


ในตำราบอกว่าดื่มเหล้าดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาถึงได้ตกใจกลัวจนไม่กล้าดื่มเหล้าอีก


ไม่ทันรู้ตัว จากตอนแรกที่เฉินผิงอันเป็นผู้นำทาง ถึงท้ายที่สุดกลับเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่ช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังแทนอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่คนทั้งสองไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสมแม้แต่น้อย


จากนั้นเฉินผิงอันก็เห็นว่าบุรุษคนนั้นยืนอยู่หน้าประตูห้องสุดท้าย หันมาส่งยิ้มให้ตนกับสตรีแต่งงานแล้ว


บุรุษไม่ชอบพูด ก่อนหน้านี้ตอนที่เดินชมหอจิ้งเจี้ยนด้วยกัน เขาทำเพียงแค่หันมามองประเมินเฉินผิงอันเป็นระยะเท่านั้น


เดินเข้าไปในห้องสุดท้าย เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชั้นวางกระบี่จูอวี๋และโยวหวง สตรีแต่งงานแล้วร้องอุทานอย่างตกตะลึง “ทำไมสองท่านนี้ถึงไม่มีภาพวาดล่ะ? ได้ยินมาว่าเจ้าของกระบี่จูอวี๋คือบุรุษที่หล่อเหลามากของกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ”


เฉินผิงอันเหงื่อตกเล็กน้อย แอบชำเลืองตามองบุรุษที่อยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง ขอให้เขาอย่าแสดงความหึงหวงออกมาเลย


คิดไม่ถึงว่าบุรุษจะยิ้มหน้าบานทันที “สตรีเจ้าของโยวหวงก็คือสาวงามที่หาได้ยากในใต้หล้าเหมือนกัน”


เฉินผิงอันรู้สึกไม่พอใจแทนสตรีแต่งงานแล้วขึ้นมาทันที ผู้หญิงก็ได้แค่พูดล้อเล่นไม่กี่ประโยค ยังจะทำอะไรได้? เจ้าเป็นผู้ชายควรจะใจกว้างสักหน่อย เหตุใดถึงได้ประชดประชันกันอย่างนี้?


สตรีแต่งงานแล้วมองค้อนบุรุษของตัวเอง หันไปพูดยิ้มๆ กับเฉินผิงอัน “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้าที่พาข้าเดินเที่ยวชมหอจิ้งเจี้ยน”


เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่เป็นไรๆ ตัวข้าเองชอบเดินเล่นที่นี่ อีกสองสามวันหลังจากนี้ก็ยังจะมาอีก”


บุรุษหรี่ตาลง “ได้ยินว่าในหอจิ้งเจี้ยนมีเด็กโง่คนหนึ่งชอบเช็ดคราบน้ำลายให้กับกระบี่สองเล่มและชั้นวางกระบี่ในห้องนี้ คงไม่ใช่เจ้าหรอกกระมัง?”


เฉินผิงอันไม่อยากให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน จึงแสร้งทำหน้ามึนงง โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ใช่ๆ ข้าจะโง่ขนาดนั้นได้ยังไง?”


สตรีแต่งงานแล้วแอบกระทืบหลังเท้าบุรุษหนึ่งที จากนั้นจึงหันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “พวกเราจะไปแล้ว เจ้าจะไปจากที่นี่พร้อมกันหรือไม่?”


จู่ๆ บุรุษก็ถามว่า “เห็นว่าเจ้าเป็นคนชอบดื่มเหล้า เจ้าอยากไปดื่มเหล้าไหม? ข้ารู้จักสถานที่ดีๆ ที่มีเหล้าดื่ม ของดีแถมยังราคาถูก หากไม่ใช่คนคุ้นเคยจะไม่เรียกซื้อ”


เฉินผิงอันส่ายหน้า


บุรุษพูดเสียงขุ่น “มีคนบอกว่าจะเลี้ยงเหล้า เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ อยู่ในภูเขาห้อยหัวยังกลัวว่าจะเจอคนชั่วอีกหรือ? อีกอย่างเจ้าคิดว่าพวกเราสองสามีภรรยาเหมือนคนที่อยากได้กระบี่ผุๆ หนึ่งเล่มและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่พังๆ ลูกหนึ่งของเจ้าจนตัวสั่นหรือไง?”


เฉินผิงอันกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย


บุรุษผู้นี้พูดตรงเกินไปแล้ว


บุรุษถูกสตรีแต่งงานแล้วกระทืบหลังเท้าอีกหนึ่งที ฝ่ายหลังบ่นพึมพำ “ใครกันที่บอกว่าเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด?”


บุรุษไม่กล้าเถียงภรรยาจึงหันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน


เฉินผิงอันจึงหันไปคลี่ยิ้มให้สตรีแต่งงานแล้ว


บุรุษยิ่งอารมณ์ขุ่น แต่กลับถูกสตรีแต่งงานแล้วลากให้เดินไปที่หน้าประตูเสียก่อน


คนทั้งสามจึงเดินออกจากหอจิ้งเจี้ยน ลงบันไดไปพร้อมกัน


บุรุษที่อดกลั้นมานานถามขึ้นว่า “ไม่ดื่มเหล้าจริงๆ รึ? เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวเป็นเหล้าที่ทั้งผีขี้เหล้าและเซียนสุราทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็อยากดื่ม ว่ากันว่าปีนั้นหลี่เซิ่งลัทธิขงจื๊อทิ้งวิธีหมักเหล้าสูตรเฉพาะไว้ด้วยตัวเอง ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบข้า”


เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่แวบหนึ่ง ด้านในเหลือเหล้าหมักกุ้ยฮวาอยู่อีกไม่มากแล้ว


บุรุษจุ๊ปากพูด “ไอ้หนู นิสัยพิรี้พิไรแบบนี้ของเจ้า เกรงว่าคงหาภรรยายาก”


มีดนี้แทงเข้ากลางใจของเฉินผิงอันเต็มๆ คิดในใจว่าก็เพราะข้าผู้อาวุโสไม่มัวพิรี้พิไรไงล่ะ ตอนนี้ถึงได้เป็นเหมือนวิญญาณเร่ร่อน ดึกดื่นค่อนคืนยังเตร่อยู่ในภูเขาห้อยหัว ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เดินเล่นชมทิวทัศน์อยู่ข้างกายแม่นางหนิงไปแล้ว!


เฉินผิงอันแค่นเสียงตอบ “ไม่ดื่มเหล้า! ไม่มีภรรยาก็ไม่มีภรรยาสิ!”


นี่ถือว่าเฉินผิงอันเกิดโทสะอย่างที่หาได้ยากแล้ว


ย้ายสายตาไปมองฮูหยินท่านนั้น สีหน้าของเฉินผิงอันดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก เขายกมือขึ้นกุมคารวะ “ฮูหยิน ไว้พบกันใหม่”


สตรียังสาวยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เหล้าดับทุกข์ของภูเขาห้อยหัวสมควรชิมจริงๆ ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบทั่วไป คิดจะชิมสักจอกก็ยังยาก พวกเราสนิทกับเถ้าแก่ของที่นั่นถึงได้เข้าไปดื่มเหล้าได้ หากเจ้าชอบดื่มเหล้าก็ไม่ควรพลาด อืม ต่อให้ไม่ชอบดื่ม ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรพลาดเหมือนกัน”


เฉินผิงอันเริ่มลังเล


บุรุษก็เริ่มพูดฟ้อง “เห็นไหม อิดๆ ออดๆ เจ้าชอบลงหรือไง? สรุปคือข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่”


เฉินผิงอันหน้าดำคล้ำ ในใจคิดว่าข้าผู้อาวุโสจะต้องให้เจ้ามาชอบไปทำไม


อันที่จริงคืนนี้เฉินผิงอันเหมือนคนขี้เมาที่ดื่มเหล้าจนเมามายแล้วยังไม่คืนสติ อารมณ์ไม่ใคร่จะดีเท่าไหร่นัก ถึงอย่างไรพระโพธิสัตว์ดินเผาก็มีโทสะได้


สตรีแต่งงานแล้วไม่สนใจบุรุษที่ใจแคบเหมือนไส้ไก่ ตบไหล่เด็กหนุ่มแล้วเอ่ยสัพยอกว่า “ไป ไปดื่มเหล้าด้วยกัน ข้าว่าเจ้าเหมือนคนมีเรื่องในใจ ถึงเวลาพอดื่มเหล้า เจ้าไม่ต้องสนใจว่าคนผู้นี้จะบ่นอะไร แค่ดื่มเหล้าของตัวเองไปก็พอ ฟ้าดินกว้างใหญ่ จอกเหล้าใหญ่ที่สุด ภูเขาสูงสายน้ำยาวไกล น้ำสุราลึกที่สุด”


เฉินผิงอันเกาหัวแล้วเดินไปข้างหน้ากับสตรีแต่งงานแล้ว


บุรุษเดินอยู่ด้านหลังคนทั้งสอง หันกลับไปมองหอจิ้งเจี้ยนแวบหนึ่งแล้วกระตุกมุมปาก


พอถูกคนผู้หนึ่งโยนออกมาจากหอจิ้งเจี้ยน นักพรตหญิงแห่งภูเขาห้อยหัวที่รับผิดชอบเฝ้าหอจิ้งเจี้ยนก็รีบมาที่ลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย ร้องไห้ตีโพยตีพายกับนักพรตน้อยที่กำลังเปิดหน้าหนังสือ ฟ้องการกระทำของบุรุษผู้นั้นกับอาจารย์ของตัวเอง นักพรตน้อยฟังคำพูดที่เกิดจากความแค้นเคืองของนักพรตหญิงอย่างไม่ใส่ใจจนจบก็ถามว่า “เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครสินะ?”


นักพรตหญิงขอบเขตโอสถทองส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย


นักพรตน้อยพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคนไม่รู้ก็คือไม่ผิด เจ้าไปเถอะ”


นักพรตหญิงยิ่งคลางแคลงใจ


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่นั่งอยู่บนเสาผูกม้าด้านหลังกล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น “ไม่เข้มงวดขัดเกลาลูกศิษย์ ถือเป็นความขี้เกียจของครูโดยแท้”


นักพรตน้อยกล่าวอย่างเดือดดาล “ผายลม นี่เป็นคำพูดระยำของลัทธิขงจื๊อ สายของข้าไม่เคยเลื่อมใสในคำพูดนี้! ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่การวางตัวและการฝึกตนไม่ใช่เรื่องของตัวเอง?!”


นักพรตหญิงตกใจตัวสั่นสะท้าน หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม หลุบตามองต่ำ ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย


บทที่ 273.2 เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ

โดย

ProjectZyphon

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ไม่เพียงแต่ไม่หยุดเมื่อถึงเวลาสมควร กลับกันยังราดน้ำมันลงบนกองไฟโดยการพูดกลั้วหัวเราะคิกคัก “มิน่าเล่าภาพเหมือนนายท่านมรรคาจารย์เต๋าของพวกเจ้าที่อยู่ในหอซ่างเซียงถึงได้แขวนไว้สูงขนาดนั้น ห่างจากสามเจ้าลัทธิอาจารย์ของพวกเจ้าไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้เลยทีเดียว”


นักพรตน้อยกระโดดผลุงขึ้นมา “เจ้าอยากมีเรื่องใช่ไหม?”


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หัวเราะฮ่าๆ “โชคดีที่เจ้าไม่ได้พูดว่า ‘เจ้าอยากรนหาที่ตาย’ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องวิจารณ์ว่าเจ้าพูดจาเหลวไหล ข้าคนนี้ข้อดีอย่างอื่นไม่มี แค่เป็นคนตรงไปตรงมาอย่างที่อาเหลียงพูด ดังนั้นเรื่องการประจบสอพลอและเปิดโปงข้อเสียของคนอื่น ขนาดอาเหลียงยังบอกว่าข้าอยู่ในอันดับต้นๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”


นักพรตน้อยโมโหจนกัดฟันกรอดๆ เอาสองมือไพล่หลัง เดินเป็นวงกลมอยู่บนเบาะพลางพึมพำเบาๆ “เจ้าคิดว่าเจ้าคืออาเหลียงของที่นี่? เจ้าคือผู้ลี้ภัยที่เกิดและเติบโตมาจากที่นั่น…หากไม่เป็นเพราะอาจารย์เคยเตือนให้ข้าทำตัวดีๆ กับคนอื่น วันนี้ข้าจะอัดให้เจ้าจำหน้าเดิมตัวเองไม่ได้ ไม่สนด้วยว่าเจ้าจะถูกฟ้าดินของที่แห่งนี้กดกำราบขอบเขตให้ถดถอยลงไปครึ่งหนึ่งหรือไม่ ชนะแบบไม่สมเกียรติแล้วอย่างไร อัดให้เจ้าไม่มีหน้าออกมาพบเจอคนตลอดหนึ่งปีต่างหากที่ถึงจะสาแก่ใจ อัดให้เจ้าเป็นเหมือนศิษย์พี่ที่อยู่ด้านบนภูเขาเดียวดายในปีนั้น…เกลียดขี้หน้าเจ้ามาหลายปีแล้ว…”


นักพรตหญิงที่เดิมทีหวังให้อาจารย์ช่วยหนุนหลัง กลับต้องมาเห็นอาจารย์เกิดโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนก็ให้รู้สึกเสียใจจนไส้เขียว ตนไม่ควรมาที่นี่เลย


โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์เปิดเผยความลับสวรรค์บางอย่างออกมาโดยไม่ทันระวัง นักพรตหญิงก็รู้สึกว่าวันเวลาในภูเขาห้อยหัวของตนคงดำเนินไปอย่างยากลำบากแล้ว


เทียนจวินอาจารย์ลุงที่พิทักษ์ใจกลางของภูเขาเดียวดายท่านนั้นอาจจะคร้านมาสนใจตน แต่ลูกศิษย์ใหญ่ของเขา เจียวหลงเจินจวินที่ถือแส้ปัดฝุ่นไว้ในมือ บุคคลทรงอิทธิพลลำดับสามของภูเขาห้อยหัวผู้นั้นมีชื่อเสียงเรื่องการเคารพอาจารย์และให้ความสำคัญกับมรรคามากที่สุด เขาจะต้องแอบเล่นงานสร้างความลำบากแก่นางอย่างลับๆ ไปจนชั่วฟ้าดินสลาย ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ …


นักพรตหญิงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา


เหตุใดตนต้องมาเจอกับอาจารย์ที่ไม่เคยปกป้องลูกศิษย์ของตัวเองท่านนี้ด้วยนะ


บนถนนนอกหอจิ้งเจี้ยน เฉินผิงอันที่ได้มาเดินเที่ยวหอจิ้งเจี้ยนกับคู่สามีภรรยาจนทั่วอย่างงงๆ ตอนนี้กำลังเดินตามคนทั้งสองไปดื่มเหล้าลืมทุกข์อะไรที่ร้านเหล้าแบบงงๆ ด้วย


บางครั้งเขาก็รู้สึกเลื่อนลอย บางครั้งก็คุยกับฮูหยินที่หันมาถาม เหมือนว่าจะผ่านไปนานมาก แต่ก็เหมือนว่าจะเป็นเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป คนทั้งสามก็มาถึงร้านสุราที่ยังไม่ปิดกิจการ แต่การค้าซบเซา ในร้านกลับไม่มีแขกเลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงลูกจ้างร้านเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ฟุบงีบหลับอยู่บนโต๊ะ กับตาเฒ่าอีกคนหนึ่งที่นั่งหยอกนกตัวหนึ่งในกรงอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน


เถ้าแก่เฒ่าชำเลืองตามาเห็นสองสามีภรรยา “แขกที่หาได้ยากๆ จำเป็นต้องเอาเหล้าออกมาแล้ว”


จากนั้นเขาก็ปรายตาไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสอง ขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง ไม่ได้พูดอะไร ดูเหมือนว่าเพราะเห็นแก่มิตรภาพถึงได้ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง


ผู้เฒ่าหันไปตวาดใส่ลูกจ้างจอมเกียจคร้านคนนั้น “สวี่เจี่ย! นอนๆๆ ทำไมเจ้าไม่นอนให้ตายไปเลยล่ะ! ลูกค้ามาแล้ว ไปยกเหล้ามาหนึ่งไห!”


เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าสวี่เจี่ยพลันสะดุ้งตื่น เช็ดคราบน้ำลาย ลุกขึ้นยืนอย่างไร้เรี่ยวแรง เดินหลังงอไปยกเหล้ามาหนึ่งไห วางไว้บนโต๊ะของคนทั้งสาม หาวพลางกล่าวว่า “ลูกค้าทั้งสามท่าน ดื่มช้าๆ กฎเดิม ที่ร้านไม่มีอาหารให้กิน”


สตรีแต่งงานแล้วผงกศีรษะตอบรับ จากนั้นก็คลี่ยิ้มให้เฉินผิงอันที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “มีหลวงจีนท่านหนึ่งที่ร้ายกาจมากเคยเดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ ดื่มเหล้าลืมทุกข์ไปแล้วก็เอ่ยชมไม่ขาดปาก เขากล่าวไว้ว่า ‘สิ่งที่ทำลายพระในใจของข้าได้ มีเพียงสุรานี้’”


ผู้เฒ่าที่เป็นเถ้าแก่พูดยิ้มๆ ว่า “ก็ใช่น่ะสิ หลวงจีนเฒ่าผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ เกรงว่าต่อให้อาเหลียงใช้กระบี่ฟันลงไปหลายครั้งก็คงไม่อาจทำลายฟ้าดินขนาดเล็กของลาหัวโล้นผู้นั้นได้”


อ้อมไปอ้อมมาก็คืออยากจะพูดว่าเหล้าของตัวเองร้ายกาจที่สุดในใต้หล้านั่นเอง


แต่เฉินผิงอันที่ได้ยินคนอื่นในภูเขาห้อยหัวพูดถึงอาเหลียง ลึกๆ ในใจเขากลับดีใจมาก


ดังนั้นครั้งนี้เขาจึงอยากจะดื่มเหล้าจริงๆ แล้ว


ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าดันตบโต๊ะดังปัง กล่าวอย่างมีโทสะ “แม่งเอ๊ย พูดถึงอาเหลียงทีไรก็โมโหทุกที! ติดเงินค่าเหล้าข้ายี่สิบกว่าไห ทั้งใต้หล้าก็มีแต่เขาคนเดียวเท่านั้น! ปีนั้นเฉินฉุนอันแห่งนาตยทวีป และยังมีเทพแห่งการต่อสู้หญิงคนที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเมื่อไม่นานมานี้ รวมไปถึงไอ้พวกตาแก่จากเมธีร้อยสำนักทั้งหลาย มีใครบ้างที่กล้าติดค้างเงินค่าเหล้าข้า?”


“พวกเรามาพูดถึงบัณฑิตคนนั้นของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ช่วงที่ตกต่ำที่สุด ยังไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตชมมหาสมุทรเล็กๆ ผู้นั้นน่ะ ดื่มเหล้าแต่งกลอนร้อยบท ดื่มเหล้าอะไร ก็เหล้าของข้านี่ไงล่ะ! แต่เขามาๆ ไปๆ สามครั้ง นับรวมกันแล้วยังติดเหล้าข้าไม่ถึงสี่ห้าไห แต่อาเหลียงนั่นเป็นคนก่อกรรมทำชั่ว ข้ากลับต้องกลายมาเป็นคนรับกรรมแทนเขา!”


สตรีแต่งงานแล้วหันมาขยิบตาให้เฉินผิงอัน ราวกับต้องการบอกว่าผู้เฒ่ามีนิสัยเป็นแบบนี้เอง ปล่อยให้เขาพูดไป เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจ


ลูกจ้างเด็กหนุ่มกล่าวอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “ตาเฒ่า ท่านอย่าพูดถึงอาเหลียงอีกได้ไหม เพื่อเขาแล้ว จนถึงวันนี้คุณหนูก็ยังไม่กลับมาภูเขาห้อยหัว ข้าคิดถึงคุณหนูจะตายอยู่แล้ว”


ผู้เฒ่าพลันลดระดับเสียงกลายเป็นพูดพึมพำว่า “ลูกสาวที่ใจดำแบบนั้น ปล่อยให้สร้างหายนะให้คนอื่นอยู่ข้างนอกนั่นแหละดีแล้ว”


พอเปิดไหเหล้า บุรุษก็รินเหล้าใส่ถ้วยขาวใบใหญ่สามใบ แล้วก็เป็นอย่างที่ฮูหยินพูดไว้จริงๆ ในชีวิตนี้เขาเกลียดคนที่คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้ามากที่สุด ถึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “หลังจากนี้อยากดื่มก็ดื่ม ไม่อยากดื่มก็เททิ้ง”


เฉินผิงอันจิบคำเล็กอย่างระมัดระวัง ไม่มีรสชาติอะไรมากนัก แค่แรงกว่าเหล้าหมักกุ้ยฮวาเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเผาดาบสะบั้นไส้ให้ขาดได้ เฉินผิงอันจิบคำเล็กติดๆ กันอีกสองคำ ทั้งลำคอและท้องล้วนไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงวางใจได้อย่างเต็มที่ คาดเดาเอาว่าเหล้าลืมทุกข์นี้คงมีความลี้ลับในด้านอื่น ไม่ใช่ด้านของรสชาติ


เหล้าหนึ่งไห หลังจากทุกคนดื่มกันไปคนละสองถ้วยใหญ่ก็เหลือแค่ติดก้นไหแล้ว


สตรีแต่งงานแล้วหันไปยิ้มมองเถ้าแก่วัยชรา ขอเหล้าเพิ่มอีกหนึ่งไห ผู้เฒ่าเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วส่งยิ้มอ่อนหวานมาให้ก็ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินไปหยิบมาด้วยตัวเอง เอาเหล้าสองไหวางลงบนโต๊ะเบาๆ “เหล้าทั้งสามไห ถือว่าข้าเลี้ยงพวกเจ้า ไม่คิดลงในบัญชี”


เฉินผิงอันดื่มจนหน้าตาแดงก่ำไปหมด ทว่าหัวสมองกลับโปร่งโล่งราวกับไม่มึนเมา ยิ่งไม่มีอาการของคนเมามาย แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงอาการเคลิ้มกรึ่มนิดๆ ของตัวเองอย่างชัดเจน


ดื่มเหล้าไปแล้วก็อยากพูดมากขึ้น


ก็เหมือนกับอาการเรอหลังดื่มเหล้าที่จะให้กลั้นเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างไรได้ปล่อยออกมาก็รู้สึกดีกว่า


ตอนแรกบุรุษเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มเหล้า บ้างก็มองออกไปนอกร้าน ใจลอยไปไกล


ส่วนสตรีแต่งงานแล้วดูเหมือนจะชอบคุยกับเฉินผิงอันมาก คุยตั้งแต่เรื่องบ้านเกิดของเฉินผิงอันจนมาถึงการเดินทางไกลสองครั้ง


ในเมื่อไม่ได้เมา เฉินผิงอันจึงเลือกเล่าเรื่องราวและบุคคลที่น่าสนใจให้นางฟัง


ภายหลังไม่รู้ว่าพูดไปถึงแม่นางคนนั้นได้อย่างไร


เฉินผิงอันที่เดิมทีตัดสินใจว่าดื่มเหล้าหมดสี่ชามจะคว่ำชามเลิกดื่มกลับรินเหล้าให้ตัวเองเงียบๆ อีกหนึ่งชาม แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เอากระบี่มาส่ง บอกแค่ว่าตัวเองมีธุระต้องออกจากบ้านเกิดมาที่ภูเขาห้อยหัว แล้วได้รู้จักกับแม่นางคนหนึ่งพอดี บ้านของนางอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ จากนั้นคนทั้งสองก็ได้พบกัน ง่ายดายเพียงเท่านี้


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เดินทางมาไกลมากเลยสิ?”


เฉินผิงอันถือถ้วยไว้ในมือ ครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่ไกลหรอก คิดแค่ว่าเดินก้าวหนึ่งก็ขยับใกล้ขึ้นอีกนิด แค่นี้ก็ไม่รู้สึกว่าไกลเท่าไหร่แล้ว”


บุรุษหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้จักกับแม่นางคนนั้นมานานแค่ไหน ไปมาหาสู่กันนานเท่าไหร่? ถึงได้พูดไม่หยุดปากว่าชอบนาง? เหลาะแหละเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”


เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะเถียงอย่างไร ได้แต่พูดอย่างอัดอั้นไม่พอใจ “จะชอบใคร ข้าบังคับตัวเองไม่ได้สักหน่อย เจ้าคิดว่าข้าเหลาะแหละก็คิดไปเถอะ ข้าบังคับเจ้าไม่ได้เหมือนกัน”


บุรุษร้องหึอยู่ในลำคอ คาดว่าประโยคนี้ของเฉินผิงอันคงแทงใจดำเขาเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเด็กหนุ่มพูดอย่างจริงใจมาก


เรื่องเล่าลือบนภูเขาไม่รู้จริงเท็จ


ดื่มเหล้าลืมทุกข์ก็คือคนจริงใจ


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยปลอบใจ “จากนั้นก็ถูกแม่นางคนนั้นปฏิเสธ? อย่าท้อแท้นะ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า ระหว่างคนบางคนถูกกำหนดมาแล้วว่าขอแค่ได้พบกัน ก็คือสิ่งที่ถูกต้อง หากยังได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นอะไรที่ดีที่สุด”


เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกอึกใหญ่ นัยน์ตาปรือปรอย แต่ดวงตาทั้งคู่กลับใสกระจ่างดุจธารน้ำที่มองเห็นถึงก้นบึ้ง ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ เสียใจ เสียดายหรือชื่นชอบล้วนไหลรินอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสะอาดบริสุทธิ์ เด็กหนุ่มส่ายหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ชอบคนคนหนึ่ง ควรต้องทำให้นางดีใจไม่ใช่หรือ หากคิดว่าชอบใครแล้วคนคนนั้นจะต้องยอมคบกับตัวเอง แบบนั้นจะเรียกว่าชอบได้หรือ?”


กล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม “แต่ถึงแม้ปากข้าจะพูดแบบนี้ อันที่จริงหัวใจข้ากลับเสียใจจะตายอยู่แล้ว ข้าอยากให้ทั้งภูเขาห้อยหัว ทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนรับรู้ว่าข้าชอบแม่นางคนนั้น จากนั้นข้าก็หวังว่าใต้หล้าแห่งนี้ จะมีแค่แม่นางคนนี้ที่ชอบข้า…”


กล่าวมาถึงท้ายที่สุด เฉินผิงอันเมาแล้วจริงๆ เป็นเหตุให้ลืมดื่มเหล้า วางศีรษะพาดโต๊ะ งึมงำไม่หยุด


เขาลืมด้วยว่าตัวเองโต้เถียงกับบุรุษอย่างไร ลืมว่าถึงขั้นลงไม้ลงมือกันด้วย


คล้ายฝันคล้ายไม่ฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น ดูเหมือนว่าด้วยความโมโห ขอบเขตของเขาได้ทะยานจากขั้นสี่ไปขั้นเจ็ดในรวดเดียว ไม่มีวาสนากับขอบเขตสี่ที่แข็งแกร่งที่สุดไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว และดูเหมือนว่าสตรีแต่งงานแล้วจะยังถามเขาว่า เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับบิดามารดาของแม่นางคนหนึ่ง แล้วต้องละทิ้งอนาคตของวิถีวรยุทธ์ตัวเองไป มันคุ้มแล้วหรือ? วันหน้าเจ้าจะยังกลายเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า เป็นเซียนกระบี่ใหญ่อีกได้อย่างไร?


คำตอบของเฉินผิงอันในตอนนั้นก็คือ “ชอบแม่นางคนหนึ่ง ไม่ใช่ดีแต่พูด หากวันนี้ข้าไม่ทำแบบนี้ สมมติว่าพวกท่านคือพ่อแม่ของหนิงเหยา แล้วพวกท่านคิดหรือว่าหากข้าเฉินผิงอันมีเงินแล้ว มีตบะที่สูงมาก ได้กลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่จริงๆ จะยอมเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อบุตรสาวของพวกท่านได้อีก? ไม่มีทางหรอก…ความชอบแบบนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถือเป็นความชอบที่แท้จริง นั่นเป็นการโกหกตั้งแต่แรกเริ่ม…”


ทั้งหมดนี้เฉินผิงอันจำไม่ได้แล้ว


เถ้าแก่วัยชราสีหน้าเป็นปกติ


เพราะเคยเห็นภาวะหลากหลายบนโลกมนุษย์มานับพันนับหมื่นปี


ลูกจ้างเด็กหนุ่มคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างๆ มองเหตุการณ์ด้วยความเพลิดเพลิน


สุดท้ายเฉินผิงอันที่เมาก็หมดสติไปอย่างสิ้นเชิง บุรุษมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง กระดกเหล้าขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าเด็กนี่อยู่ดี ทึ่มทื่อ โง่ เก็บกด ไม่สง่างามมากพอ ไม่ใจกว้าง พรสวรรค์ธรรมดา จิตใจแค่พอถูไถ นิสัยแค่มองก็รู้แล้วว่าดื้อด้าน วันหน้าหากทะเลาะกับลูกสาวเรา สุดท้ายแล้วไม่ว่าใครก็ไม่ยอมถอยสักก้าว จะทำอย่างไร? ด้วยนิสัยของลูกสาวเรา นางจะยอมรับผิดหรือ?”


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ยอมรับผิด? เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือว่าเกินครึ่งต้องเป็นลูกสาวเราที่ทำผิดก่อน? รู้ด้วยว่าเด็กหนุ่มต้องยอมลงให้นางทุกเรื่อง?”


บุรุษรู้สึกร้อนตัวเหมือนวัวสันหลังหวะจึงเงียบเสียงลงอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก


จู่ๆ สตรีแต่งงานแล้วก็ยิ้มบางๆ พูดว่า “นึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าเด็กคนนี้ไม่สง่างามมากพอ คือความสง่างามของปัญญาชนผู้มีความรู้แต่เปลือกนอก หรือความสง่างามของบุรุษที่ห้อตะบึงไปในกลุ่มบุปผาเล่า?”


คำพูดนี้แอบแฝงปราณสังหาร


บุรุษพลันเกิดความคิดที่ทำให้เลื่อมใสตัวเอง ยกถ้วยเหล้าขึ้นแล้วกล่าวอย่างองอาจว่า “คำว่าสง่างามที่ข้าพูด หมายถึงว่าควรสลักคำนี้ไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่!”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มกว้าง


บุรุษหัวเราะแห้งๆ หาทางลงให้กับตัวเองด้วยการเอ่ยว่า “อันที่จริงเจ้าเด็กโง่คนนี้ก็ดีมากเหมือนกัน ลูกสาวของพวกเราควรต้องหาคนแบบนี้จริงๆ”


สตรีแต่งงานแล้วยิ้มอย่างอบอุ่น มองไปนอกร้านแล้วพึมพำขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ “ขอโทษนะ”


บุรุษข้างกาย บุตรสาวหนิงเหยา กำแพงเมืองปราณกระบี่ และใต้หล้าไพศาล


นางล้วนขอโทษทั้งหมด


ทั้งบุรุษและสตรีต่างก็ร่ายเวทอำพรางตา เรื่องราวหลังจากที่เฉินผิงอันเมาหลับไปล้วนสลายหายไปดั่งกลุ่มควัน


แม่นางที่เฉินผิงอันชอบ เหมือนทั้งเขา และก็เหมือนทั้งนาง


บุรุษที่นั่งเคียงไหล่กับนางกุมมือของสตรีแต่งงานแล้วเบาๆ “พวกเราแค่ผิดต่อบุตรสาวเท่านั้น ไม่ผิดต่อใครทั้งสิ้น”


จู่ๆ บุรุษก็ยิ้มกว้างมองไปทางเฉินผิงอัน “ลูกสาวเราสายตาดีจริงๆ”


หญิงสาวพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม “เหมือนข้า”


ทันใดนั้นบุรุษก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย “ลูกสาวโง่คนนี้ พูดประโยคนั้นออกมา มันยากนักหรือไง?”


สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับ “ต้องยากมากอยู่แล้ว มีแม่นางคนไหนที่ชอบอีกฝ่ายแล้ว จะยังอยากให้เด็กหนุ่มที่ชอบตัวเองมาชอบแม่นางที่ต้องตายบนสนามรบกันล่ะ?”


บุรุษตบหน้าผาก “จะบ้าตาย! วกวนชะมัด!”


……


กำแพงเมืองปราณกระบี่ บนหินหน้าผาแท่นสังหารมังกร


นางนอนอยู่บนนั้น พูดเบาๆ ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าฟังข้านะ ข้าไม่ได้ไม่ชอบเจ้า”


บทที่ 274.1 หวงเหลียง ปราณกระบี่ยาว

โดย

ProjectZyphon

แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องเข้ามาในร้านเหล้า เถ้าแก่กำลังผิวปากหยอกนกในกรงตัวนั้น นกน้อยเย็นชาปานประหนึ่งเทพธิดาบนภูเขา แต่ผู้เฒ่ากลับยิ่งฮึกเหิม พยายามโอ้อวดฝีมือของตัวเองเต็มที่ เสียงผิวปากจึงยิ่งดังถี่กระชั้น


ลูกจ้างหนุ่มกำลังเก็บกวาดร้านอย่างขยันขันแข็ง โต๊ะที่เดิมทีก็ไม่มีฝุ่นเกาะอยู่แล้วยิ่งสะอาดเอี่ยมอ่อง บางครั้งยังเป่าลมใส่แล้วใช้ชายแขนเสื้อเช็ดอย่างละเอียด ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของความภาคภูมิใจอย่างเปี่ยมล้น


ราวกับว่าสำหรับเด็กหนุ่มขายเหล้าในภูเขาห้อยหัวคนนี้ การทำความสะอาดของทุกชิ้นในร้านก็คือความสุขสูงสุดในใต้หล้านี้


เฉินผิงอันที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะงัวเงียตื่นขึ้นมา ไม่ได้รู้สึกปวดหัวราวหัวจะแตกเหมือนคนที่ดื่มเหล้าอย่างหนัก แค่รู้สึกเลอะๆ เลือนๆ นั่งอยู่ที่เดิมอย่างมึนงง พยายามย้อนนึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น แต่กลับนึกไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว จำได้แค่ว่าตัวเองตอบรับสามีภรรยาคู่นั้นว่าจะมาดื่มเหล้าลืมทุกข์ที่แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบอยากดื่มก็ยังยากอะไรนั่น คู่สามีภรรยาคือใคร ตนคุยอะไรกับพวกเขา พวกเขาจากไปตอนไหน ล้วนลืมไปสิ้น


ทั้งๆ ที่เรียกว่าเหล้าลืมทุกข์ แต่สรุปแล้วมันทำให้ลืมอะไรกันแน่?


เฉินผิงอันกลับยิ่งรู้สึกทุกข์มากกว่าเก่า มักรู้สึกว่าในใจมีความเสียใจบางๆ ล้อมวน ปัดเป่าอย่างไรก็ไม่จางหาย


ก็เหมือนกับตอนที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสาง มีนกขมิ้นตัวหนึ่งบินมาเกาะหน้าต่างดินของบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เสียงจิ๊บๆๆ ของมันรบกวนการนอน ปลุกให้คนตื่น แต่กลับตัดใจไล่มันไปไม่ลง


เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้านก็เห็นหนุ่มลูกจ้างที่กำลังทำงานอย่างแข็งขันกับเถ้าแก่วัยชราที่กำลังว่างงาน


เฉินผิงอันจึงส่งเสียงหยั่งเชิง “คิดเงิน?”


เด็กหนุ่มที่กำลังนั่งยองเช็ดขาโต๊ะยิ้มกว้าง ไม่พูดอะไร


ผู้เฒ่าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าดื่มเหล้าไปทั้งหมดสี่ไห สามไหนั้นข้าเลี้ยงเอง ยังเหลืออีกไหหนึ่งที่เจ้าต้องจ่ายเงินจริงๆ”


เฉินผิงอันถาม “เป็นเงินเท่าไหร่?”


ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “เงิน? หากต้องจ่ายเงินซื้อเหล้าหวงเหลียงไหหนึ่งจริงๆ นั่นก็เป็นเงินที่ค่อนข้างมากนะ”


เด็กหนุ่มที่เถ้าแก่ชราเรียกว่าสวี่เจี่ยหัวเราะหึหึ “เมื่อคืนมีเด็กหนุ่มร่ำรวยจากธวัลทวีปมาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของร้านมานาน หวังจะซื้อเหล้าลืมทุกข์ไหหนึ่งกลับบ้าน เถ้าแก่ไม่อยากขายให้ บอกว่าไม่ใช่เรื่องของเงิน เด็กหนุ่มคนนั้นตอแยไม่เลิกรา ซักถามจะขอรู้ราคาให้ได้ พอรู้ราคาเข้าจริงๆ ก็ตกใจจนเซ่อไปเลย แถมยังนั่งเหม่ออยู่บนบันไดนอกร้านทั้งคืน คงเป็นเพราะยังไม่ยอมถอดใจกระมัง”


เฉินผิงอันถาม “หลิวโยวโจว?”


ผู้เฒ่าพยักหน้า “เจ้าเด็กนั่นแหละ ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวแห่งธวัลทวีป ถูกขนานนามให้เป็นกุมารมากสมบัติ ในวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งของเขามีสมบัติอาคมอยู่มากมาย เพราะสาเหตุจากจวนหยวนโหรว คนทั้งภูเขาห้อยหัวจึงรู้จักชื่อของคุณชายน้อยที่มีเงินคนนี้ มีครั้งหนึ่งเขาออกไปฝึกประสบการณ์กับสหายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คนที่ร่วมเดินทางไปด้วยกันมีเจ็ดคน ดันไปเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเข้า เจ้าหนูนี่เอาสมบัติอาคมด้านการโจมตีชั้นเยี่ยมออกมารวดเดียวเจ็ดชิ้น จากนั้นก็ทำตัวเองเป็นเหมือนเต่าที่หดหัวอยู่ในกระดอง ไม่พูดถึงยันต์ที่มีชื่อของอริยะ ลำพังเพียงแค่เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างก็สวมไปแล้วถึงสองตัว อีกเจ็ดคนที่เหลือถึงได้แข็งใจอาศัยสิ่งนี้สังหารวัตถุหยินเซียนพสุธาที่มีขอบเขตสูงกว่าพวกเขาถึงสองระดับจนตาย”


เห็นได้ชัดว่าในสายตาของเถ้าแก่เฒ่า เจ้าหนูคนนี้มีค่าให้เขาพูดถึงอยู่หลายคำ เขากล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เด็กที่น่าสนใจขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็เกือบจะอดใจไม่ไหว อยากจะเลี้ยงสุราหวงเหลียงเขาสักถ้วย”


เฉินผิงอันอับอายเล็กน้อย หลิวโยวโจวผู้นี้ต้องกลัวตายถึงขนาดไหนกัน


เขาอดรู้สึกกระวนกระวายไม่ได้ “ท่านผู้เฒ่า จะคิดบัญชีกันอย่างไร?”


ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ตอบว่า “ตอนนี้ยังคิดไม่ออกว่าจะคิดอย่างไร วันหน้าถ้าคิดออกแล้วค่อยไปหาเจ้า”


เฉินผิงอันใจตุ้มๆ ต่อมๆ ขึ้นมาทันควัน


ผู้เฒ่าจึงพูดยิ้มๆ ว่า “บางทีต่อให้เจ้าใช้ชีวิตชาตินี้หมดแล้ว ข้าก็ยังคิดไม่ออก ดังนั้นไม่ต้องกลัว”


เฉินผิงอันถึงคลายใจได้บ้างเล็กน้อย


เฉินผิงอันลุกขึ้นเตรียมจะออกไปจากร้าน ผู้เฒ่าถามว่า “ไอ้หนู เหล้าหวงเหลียงยังเหลืออีกเกือบครึ่งไห ไม่ดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยไปเล่า?”


เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าไหเหล้ามาแกว่ง ยังเหลืออีกเกือบครึ่งไหจริงๆ ด้วย จึงถามอย่างสงสัย “เอาไปด้วยไม่ได้หรือ?”


ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เอาไปด้วยก็ลืมทุกข์ไม่ได้แล้ว แบบนั้นยังเทียบกับเหล้าธรรมดาไม่ได้ด้วยซ้ำ สิ้นเปลืองของดีซะเปล่าๆ แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ทำเรื่องโง่แบบนี้เลย เหล้านี้มีความลี้ลับอยู่เล็กน้อย อันที่จริงสองสามีภรรยาเลี้ยงเหล้าเจ้าในเวลานี้ เดิมทีก็เป็นความสิ้นเปลืองอย่างใหญ่หลวงอยู่แล้ว เพราะยิ่งดื่มช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น เพียงแต่ว่าเรื่องราวบนโลกใบนี้ยากที่จะไขว่คว้าคำว่าดีที่สุดได้ ผ่านไปได้ก็ผ่านไป แค่ทำได้ดีก็พอแล้ว”


เฉินผิงอันจึงนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ถามอย่างใคร่รู้ “ไม่ได้เรียกว่าเหล้าลืมทุกข์หรอกหรือ? เหตุใดเถ้าแก่ถึงชอบเรียกว่าเหล้าหวงเหลียง?”


เด็กหนุ่มสวี่เจี่ยเบิกตากว้าง ทำสีหน้าเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ “เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่คือที่ไหน?”


เฉินผิงอันยิ่งสงสัยเข้าไปอีก “หรือว่าไม่ใช่ภูเขาห้อยหัว?”


สวี่เจี่ยยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะเคยได้ยินชื่อพื้นที่มงคลหวงเหลียงมาบ้างกระมัง?”


เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า


ผู้เฒ่าจึงช่วยไขข้อข้องใจให้เฉินผิงอัน “เจ้าไม่รู้ก็ไม่แปลก พื้นที่มงคลแห่งนี้เผชิญกับสภาพการณ์เดียวกับถ้ำสวรรค์หลีจูบ้านเกิดของเจ้า”


สวี่เจี่ยรีบโยนผ้าเช็ดโต๊ะทิ้งแล้วกล่าวอย่างเร่งร้อนว่า “เถ้าแก่ๆ เรื่องต่อจากนี้เดี๋ยวข้าเล่าเอง คุณหนูบอกว่าเวลาข้าเล่าเรื่องนี้เท่ห์มากเป็นพิเศษ”


ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “หากไม่เป็นเพราะลูกสาวข้าตาบอดก็เป็นเพราะนางดื่มเหล้าจนพูดส่งเดช เจ้าคิดว่าความเป็นไปได้ข้อไหนมากกว่ากัน?”


“คุณหนูเป็นคนดีจะตายไป!”


สวี่เจี่ยกระแอมหนึ่งครั้งให้ลำคอชุ่มชื้น กล่าวด้วยสีหน้าขึงขัง “ตอนนี้พื้นที่มงคลหวงเหลียงเหลือเพียงซากปรักหักพังเล็กน้อยเท่านั้น ในอดีตช่วงเวลาที่พื้นที่มงคลหวงเหลียงเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด คนบนโลกที่ไม่สมหวังมักจะต้องมาเยือนรอบหนึ่ง ครึกครื้นมากเลยล่ะ คนสวยทิวทัศน์สวย เหล้ารสเลิศฝันงดงาม ทั้งหมดนี้ล้วนมีในพื้นที่มงคลแห่งนี้ อีกทั้งรับรองว่าจะต้องสมดังใจปรารถนา นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่หาได้ยากยิ่ง มันสามารถส่องสะท้อนจิตแห่งมรรคาของคนคนหนึ่ง ผู้ฝึกลมปราณหลายคนที่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบห้าขอบเขตบนได้อย่างถูไถ แม้ตอนแรกจะโชคดีฝ่าทะลุขอบเขตไปได้ แต่อันที่จริงได้ใช้วิชาลับและวิชานอกรีตมากมายของเมธีร้อยสำนัก ดังนั้นจึงต้องมาที่ร้านในภูเขาห้อยหัว ดึงหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณออกมาก่อนเพื่อให้คงความมีสติเอาไว้ จากนั้นก็ดื่มเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไห จนกระทั่งจิตที่แท้จริงปรากฏ อาศัยโอกาสนี้มองไปยังภาพเหตุการณ์ทั้งหมด บ้างก็ค่อยๆ สืบสาวเหมือนสาวเส้นไหม บ้างก็ตรวจสอบรูรั่วอุดช่องโหว่…”


ขณะที่สวี่เจี่ยกำลังพูดอย่างติดลม ผู้เฒ่าก็กล่าวอย่างหมดความอดทนว่า “หยุดเลยๆ! ปฏิทินเหลืองเล่มหนึ่ง พลิกไปพลิกมาเดี๋ยวเจ้าก็พลิกจนมันเละเทะพอดี (ปฏิทินเหลืองในที่นี้คือเรื่องราวในอดีต เรื่องในประวัติศาสตร์ พลิกปฏิทินเหลืองจนเละจึงเปรียบเปรยว่าบิดเบือนประวัติศาสตร์) สรุปก็คือตอนนี้พื้นที่มงคลหวงเหลียงเหลือแค่ร้านพวกเราร้านเดียวแล้ว”


เฉินผิงอันรินเหล้าใส่ถ้วย มองซ้ายมองขวา เอาพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งมาคิดเชื่อมโยงกับร้านร้านหนึ่งไม่ได้เลยจริงๆ


อันที่จริงในแจกันสมบัติทวีปก็มีพื้นที่มงคลอยู่แห่งหนึ่ง พื้นที่มงคลชิงถาน อยู่ในครอบครองของสำนักโองการเทพซึ่งเป็นผู้ควบคุมลัทธิเต๋าของหนึ่งทวีป


ว่ากันว่าสกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีปก็ได้ครอบครองพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเหมือนกัน


เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วถามว่า “ท่านผู้เฒ่า เมื่อวานข้าคงไม่ได้เมาอาละวาดกระมัง? แล้วสามีภรรยาคู่นั้นล่ะ?”


ผู้เฒ่าถามกลับ “จำไม่ได้แล้วรึ?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า


ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ขนาดตัวเจ้าเองยังจำไม่ได้ ข้าที่เป็นคนนอกคนหนึ่งทำไมต้องจำด้วยล่ะ?”


เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ ได้แต่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ


ยังคงดื่มไม่รู้รสว่าดีหรือเลว


รู้แค่ว่าดื่มง่าย


ผู้เฒ่านึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงชี้ไปที่กำแพงฝั่งหนึ่ง พูดกับเฉินผิงอันว่า “เห็นกำแพงทางฝั่งนั้นหรือไม่ คนที่สามารถมานั่งดื่มเหล้าที่นี่ล้วนไปเขียนกลอน หรือเขียนประโยคอะไรไว้บนนั้นก็ได้”


สวี่เจี่ยพูดเหมือนคนแก่ “ดื่มเหล้าเข้าไปแล้ว คนประเภทหนึ่งเมาจนล้มคว่ำ ชีวิตครึ่งหลังจะเป็นหรือตายก็ล้วนเหมือนจมอยู่ในถังเหล้า จนกระทั่งตายก็ยังไม่คืนสติจากอาการเมามาย อีกประเภทหนึ่งคือคืนสติอย่างเต็มที่ มองชีวิตได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ยังไม่ทันใช้ชีวิตของชาติหนึ่งจบก็ลิ้มรสชาติของชีวิตได้หลายชาติแล้ว สิ่งที่คนสองประเภทนี้เขียนออกมา ข้ารู้สึกว่าน่าสนใจเป็นพิเศษ ลูกค้า เจ้าอยากจะลองดูหน่อยหรือไม่?”


ผู้เฒ่าโมโหจนกลายเป็นขำ “หยุดพูดเถอะ ฟังเจ้าแล้วข้าเสียวฟันจะแย่ อายุแค่นี้ วันๆ คิดแต่จะเลียนแบบอาเหลียง เจ้าไม่อายตัวเองบ้างหรือไง”


สวี่เจี่ยกล่าวอย่างมีเหตุมีผล “คุณหนูชอบอาเหลียงขนาดนั้น ข้าไม่เลียนแบบเขาแล้วจะให้เลียนแบบใคร?”


ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “ใครที่เรียนรู้จากข้า มีชีวิต ใครที่เป็นเหมือนข้า ตาย เจ้าเห็นผีขี้เหล้ามากมายขนาดนั้น ได้ยินถ้อยคำที่เกิดจากความเมามาก็เยอะ ยังไม่เข้าใจหลักการเล็กๆ ข้อนี้อีกหรือ?”


สวี่เจี่ยหัวเราะหึหึ “ข้าเรียนรู้จากอาเหลียง ไม่ได้เรียนรู้จากท่าน”


ผู้เฒ่าขว้างจอกเหล้าจอกหนึ่งใส่อีกฝ่าย “วันๆ ดีแต่จะเล่นลิ้นกับข้า!”


สวี่เจี่ยรับจอกเหล้ามาเบาๆ พอขว้างกลับไปให้ผู้เฒ่าแล้วก็รีบวิ่งเหยาะๆ เอาพู่กันด้ามหนึ่งไปส่งให้เฉินผิงอัน “ทิ้งข้อความไว้บนนั้นเป็นที่ระลึกหน่อยเถอะ”


บทที่ 274.2 หวงเหลียง ปราณกระบี่ยาว

โดย

ProjectZyphon

เฉินผิงอันวางถ้วยเหล้าลง กล่าวอย่างจนใจว่า “ข้าเขียนตัวอักษรไม่สวยเลยนะ”


สวี่เจี่ยกลอกตามองบน “จะแย่ยิ่งกว่าตัวอักษรยึกยือของอาเหลียงอีกหรือ? อีกอย่างต่อให้เป็นพวกคนที่มีฝีมือด้านการเขียนอักษรจีนเลื่องลือไปทั่วหล้าก็ยังถูกพวกที่อยู่วงการเดียวกันเรียกตัวอักษรของพวกเขาว่าคางคกถูกหินทับ งูตายห้อยอยู่บนกิ่งไม้ แม่ทัพบู๊ปักดอกไม้ หญิงชราสวมเสื้อเกราะอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”


เด็กหนุ่มพูดเบาๆ “ข้าจะบอกเจ้าตามตรง อักษรใดของใครก็ตามที่อยู่บนกำแพงนั้น ต่อให้ไม่ดีแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าตัวอักษรอาเหลียงก็ล้วนงดงามราวกับเซียนบนสวรรค์! ไม่เชื่อเจ้าก็ลองเดินไปดูเองสิ”


เฉินผิงอันยังไม่รับพู่กันมา แต่ลุกขึ้นเดินไปทางกำแพง มองไกลๆ เห็นเป็นแค่กำแพงสีขาว ไม่มีภาพวาดหรือตัวอักษรที่เขียนด้วยพู่กันอย่างงดงาม แต่พอเดินเข้าไปใกล้ ถึงได้สังเกตเห็นว่าบนกำแพงเขียนเต็มไปด้วยคำกลอน วลีและคำเตือน


มากมายละลานตา


มีลายมือของบางคนที่โดดเด่นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ เขียนเป็นคำกลอนด้วยลายมือหวัดหนึ่งบท กินพื้นที่เยอะมาก


ดุจดั่งกลุ่มบุปผาสีสันแพรวพราว หมู่มวลดอกไม้แข่งกันประชันความงาม ทว่ามีเพียงโฉมสะคราญหนึ่งเดียวที่ช่วงชิงความโดดเด่นไปหมด


แล้วก็มีลายมือที่ไม่เข้าพวกอยู่บางส่วน ที่สะดุดตาที่สุดคือตัวอักษรขนาดใหญ่บรรทัดหนึ่งที่บิดๆ เบี้ยวๆ ขนาดเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าน่าเกลียดจนแทบจะทนมองไม่ได้ เนื้อหาก็ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออก ‘พอคิดถึงว่ามีสตรีมากมายหลงใหลปักใจรักตัวข้า มโนธรรมในใจข้าก็เจ็บปวดแล้ว’ ประเด็นสำคัญคือช่วงท้ายของประโยคยังวาดหน้ายิ้มกับมือที่ยกนิ้วโป้งไว้ด้วย


ไม่ต้องสงสัยเลย นี่ต้องเป็นลายมือของอาเหลียงอย่างแน่นอน เพราะคนทั่วไปคงไม่มีหน้าจะเขียนประโยคแบบนี้


เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม หันหน้ากลับไปถาม “ท่านผู้เฒ่า ประโยคแบบนี้ก็เก็บไว้ด้วยหรือ?”


เด็กหนุ่มที่ถือพู่กันรออยู่ด้านข้างกล่าวอย่างกะปลกกะเปลี้ย “หนึ่งก็เพราะอาเหลียงหน้าด้านยืนกรานว่าถ้าลบหนึ่งตัวอักษร ก็เท่ากับว่าเขาคืนค่าเหล้าหนึ่งไห สองคือคุณหนูของข้าชอบประโยคนี้มากเป็นพิเศษ รู้สึกว่าอาเหลียงกำลังชื่นชมนาง คุณหนูของข้ายังใช้เหล้าหวงเหลียงหนึ่งไหไปแลกกับนิยายรักเล่มหนึ่งจากบรรพบุรุษสำนักผู้ประพันธ์โดยเฉพาะ หวังให้เขาช่วยเขียนเรื่องราวระหว่างนางกับอาเหลียง เป็นเรื่องแนว…เถ้าแก่ เรียกว่าแนวอะไรแล้วนะ?”


ผู้เฒ่าแค่นเสียงเย็น “แนวรันทดเศร้าโศก”


สวี่เจี่ยพยักหน้ารับ “ใช่ อันที่จริงตอนนั้นคุณหนูยังบอกบรรพบุรุษสำนักผู้ประพันธ์คนนั้นเป็นนัยว่า ยิ่งเขียนตรงและโจ่งแจ้งได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ภายหลังคาดว่าคนผู้นั้นคงเขียนไม่ออกจริงๆ จึงเขียนได้ค่อนข้างจะคลุมเครือ คุณหนูไม่พอใจมาก ออกจากบ้านไปคราวนี้ นางพูดเองว่าจะหนีตามผู้ชายไป และเรื่องหนึ่งที่นางจะทำคือไปหาเรื่องบรรพบุรุษท่านนั้น เพราะรังเกียจที่เขาแต่งเรื่องได้แย่มาก เป็นพวกนักต้มตุ๋นที่สร้างชื่อเสียงจอมปลอม จะต้องตำหนิเขาจนฟองน้ำลายกระเซ็นเต็มหน้าเขาให้ได้”


สายตาของเฉินผิงอันไล่มองไปทั่วกำแพงสูง สุดท้ายก้มหน้าลงต่ำ เขาเห็นตัวอักษรเล็กๆ อีกแถวหนึ่งตรงมุมเล็กๆ ตัวอักษรนั้นยังคงเป็นลายมือของอาเหลียง แต่ไม่สะดุดตาเท่าใดนัก


เสี่ยว ยุทธภพไม่มีอะไรดี มีแต่สุราที่พอใช้ได้


ตัวอักษรที่อยู่ด้านหลังคำว่า ‘เสี่ยว’ อาเหลียงถูจนกลายเป็นปื้นดำ


เฉินผิงอันถาม “เขียนอะไรก็ได้งั้นหรือ?”


สวี่เจี่ยยื่นพู่กันส่งให้พลางผงกศีรษะรับ “ได้หมด ขอแค่เขียนตรงตำแหน่งที่ว่าง ไม่ว่าจะเขียนอะไรก็ได้”


ลูกจ้างหนุ่มไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ลูกค้า แต่อย่าเขียนว่าใครมาเยือนที่นี่เลยนะ มันธรรมดาเกินไป ต่อให้เป็นประโยคที่ไร้ยางอายของอาเหลียงก็ยังดีกว่าคำว่ามาเยือนที่นี่”


เฉินผิงอันรับพู่กันมา แล้วจู่ๆ ก็วิ่งกลับไปที่โต๊ะ ยกเหล้าดื่มอึกใหญ่ถึงย้อนกลับมาที่กำแพงอีกครั้ง ย่อตัวลงนั่งยอง จรดพู่กันลงบนตำแหน่งเหนือปื้นดำหลังคำว่า ‘เสี่ยว’ แล้วเขียนตัวอักษรเล็กๆ คำว่าฉีลงไป


เสี่ยวฉี ยุทธภพไม่มีอะไรดี มีแต่สุราที่พอใช้ได้


ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “อันที่จริงตัวอักษรไม่มีชีวิตชีวาอะไร แค่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ แต่พอไปอยู่ข้างตัวอักษรของอาเหลียงกลับดูดีอย่างเห็นได้ชัด เจ้าทำแบบนี้เรียกว่าโกง ไม่ได้ ลองไปเขียนที่อื่นดูใหม่”


เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วก็เริ่มเลือกตำแหน่งที่ว่างเปล่า ทว่าแถบกลางของกำแพง โครงสร้างค่อนข้างแน่นหนา คิดจะสอดด้ายร้อยเข็มเบียดแทรกเข้าไปก็ได้เหมือนกัน แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าทำอย่างนั้นเป็นการไม่เคารพต่อคนที่เขียนไว้ก่อน อีกอย่างคนที่กล้าเขียนตรงกลางกำแพง ส่วนใหญ่ล้วนมีลายมือที่สวยมาก มีท่วงทำนองในการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เฉินผิงอันไม่กล้าเขียนตรงแถบนี้จริงๆ จึงพยายามมองไปยังตำแหน่งสูงหรือไม่ก็ตำแหน่งต่ำสองข้างฝั่ง สวี่เจี่ยออกเสียงเตือนพร้อมชี้มือไปยังตำแหน่งว่างสองแห่งที่มีพื้นที่กว้างพอสมควร แห่งหนึ่งอยู่บนสุดฝั่งขวา อีกแห่งหนึ่งอยู่ล่างสุดฝั่งซ้าย


เฉินผิงอันขยับเท้า นั่งยองตรงฝั่งซ้ายสุด สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วเขียนตัวอักษรลงไปสามคำ


ก่อนที่จะเขียน เขานึกถึงเซียนกระบี่และกระบี่เซียนมากมายที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยน


ดังนั้นตัวอักษรสามตัวที่เขาจรดพู่กันลงไปจึงเป็นคำว่า ปราณกระบี่ยาว


สวี่เจี่ยมองตัวอักษรทั้งสามที่ถูกต้องตามกรอบเป๊ะๆ ก็ให้เบื่อหน่าย เด็กหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ อย่างไม่ใคร่จะถูกใจ อดพึมพำเบาๆ ไม่ได้ว่า “แค่มองก็รู้ว่าเรียนหนังสือมาไม่มาก”


ผู้เฒ่าพยักหน้าพูดคล้อยตามลูกจ้างร้านอย่างที่หาได้ยาก “อีกอย่างก็คือยังดื่มเหล้าไม่มากพอ นี่ เจ้าหนุ่มต้าหลีแซ่เฉิน อย่าได้รีบร้อน หากดื่มเหล้าถ้วยใหญ่สักถ้วยจนสาแก่ใจแล้ว คิดจะเขียนความในใจสักประโยค ไม่ยากอย่างที่เจ้าคิดหรอก เลี้ยงเหล้าพวกเจ้าสามไห เขียนได้สามประโยค ยังเหลือโอกาสครั้งสุดท้าย”


เฉินผิงอันกลับยื่นพู่กันคืนสวี่เจี่ย ยิ้มพูดกับผู้เฒ่าว่า “ไม่เขียนแล้ว”


ผู้เฒ่าไม่ได้คิดอะไรมาก เซียนเมามายทิ้งผลงานที่งดงามเอาไว้ เดิมทีก็เป็นแค่เรื่องเล็กที่ช่วยเสริมสร้างความโชคดี ดั่งการปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรเท่านั้น ในเมื่อเด็กหนุ่มเขียนประโยคดีๆ ไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้เขาเองก็ไม่ใช่เซียนกระบี่ เถ้าแก่วัยชราย่อมไม่คิดจะทำให้ผู้อื่นลำบากใจอยู่แล้ว


เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ท่านผู้เฒ่า เหล้าครึ่งไหนี้เหลือไว้ก่อนได้ไหม? ข้าอยากจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่สักรอบ กลับมาค่อยมาดื่ม ได้หรือไม่?”


สวี่เจี่ยส่ายหน้าอย่างแรง “ร้านเหล้าของพวกเราไม่มีกฎแบบนี้ เหล้าหวงเหลียงหนึ่งไหเปิดจุกแล้วก็ต้องดื่มให้หมดรวดเดียว ไม่มีเหตุผลให้เดินออกจากร้านแล้วค่อยกลับมาดื่มใหม่อีกครั้ง”


ผู้เฒ่าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้า “ครั้งนี้ได้”


สวี่เจี่ยร้อนใจขึ้นมาครามครัน “ทำไมล่ะ?”


ผู้เฒ่าวางกรงนกไว้ข้างมือ ฟุบตัวลงบนโต๊ะคิดเงิน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าชอบคำกล่าวว่า ‘เหลือไว้’ (มีความหมายเหมือนให้เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าเหลือเฟือ มีเหลือกินเหลือใช้) เป็นมงคล น่ายินดี”


พอเฉินผิงอันเดินก้าวออกจากธรณีประตูร้าน เขากลับเดินเซไปวืดหนึ่ง ยืนได้มั่นคงแล้วหันหน้ากลับไปมอง ไหนเลยจะมีร้านเหล้า มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น


ในร้านเหล้าที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน ผู้เฒ่าเปิดกรงนก นกขมิ้นที่มีจงอยปากสีทองก็บินออกมา เพียงแต่ว่ายังไม่ทันรอให้มันขยับเข้าไปใกล้กำแพงที่มีตัวอักษรเพื่อตรวจสอบความสั้นยาวของโชคชะตาสายบู๊ของคนผู้หนึ่งอย่างคล่องแคล่วเหมือนที่เคยเป็น มันก็บินกลับมาหลบอยู่ในกรงอย่างรวดเร็วเสียก่อน ทำเอาสวี่เจี่ยที่มองอยู่อ้าปากค้าง ผู้เฒ่าคิดแล้วก็ถอนหายใจ “ช่างเถอะ แค่เด็กหนุ่มจากทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เป็นต้นกล้าที่มีวาสนาการแต่งงานแล้วจะอย่างไร ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่ร้อยปี จะตรวจสอบหรือไม่ ไม่สำคัญแล้ว”


สวี่เจี่ยถลึงตาดุดันใส่ตัวอักษรประโยคหนึ่งที่อยู่บนสุด คนส่วนใหญ่ล้วนเขียนเป็นแนวตั้งจากบนลงล่าง ช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมา หลังจากที่อาเหลียงเป็นคนริเริ่ม เมื่อไม่นานมานี้ก็มีแขกผู้หญิงคนหนึ่งเขียนตัวอักษรแนวนอนเป็นคนที่สอง อีกทั้งหลังเขียนเสร็จยังทำให้นกขมิ้นน้อยตกใจกระพือปีกบินขึ้นบินลงสะเปะสะปะ ผ่านไปเป็นครึ่งๆ วันก็ยังไม่หายดี ราวกับว่าป่วยหนักอย่างไรอย่างนั้น


สวี่เจี่ยอดตำหนิไม่ได้ “ต้องโทษที่เทพแห่งการต่อสู้หญิงผู้นั้นมีชะตาบู๊รุ่งโรจน์ พลังอำนาจน่ากลัวเกินไป!”


ผู้เฒ่าใช้สายตาแห่งความรักและเมตตามองไปยังนกขมิ้นน้อยที่น่าสงสารตัวนั้น พึมพำเบาๆ ว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”


ในโลกมีนกมหัศจรรย์อยู่คู่หนึ่ง สามารถจิกชะตาบุ๋นคาบชะตาบู๊


เล่าลือกันว่านกตัวผู้ถูกเจ้าลัทธิลู่ของลัทธิเต๋าสายหนึ่งจับไป ส่วนนกตัวเมียถูกเลี้ยงดูโดยบรรพบุรุษสำนักจ๋าเจีย


……


เฉินผิงอันเดินอยู่ในตรอกเล็กที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง


แม้ว่าการดื่มเหล้าครั้งนี้จะดื่มแบบเลอะๆ เลือนๆ แต่หลังจากดื่มเหล้าแล้วเดินออกมาจากร้าน เฉินผิงอันพลันเข้าใจเรื่องหนึ่งอย่างกระจ่างแจ้ง


เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่เหลืออยู่อีกไม่มาก ดื่มไปพูดงึมงำกับตัวเองไปด้วย


แม่นางหนิงคงไม่ชอบเจ้าจริงๆ แล้วล่ะ


หาไม่ตอนนั้นที่อยู่ถ้ำสวรรค์หลีจู นางบอกแล้วว่าจะมอบฝักกระบี่ให้เจ้า แล้วทำไมคราวนี้ถึงได้แกล้งทำเป็นลืมเรื่องนี้ไปล่ะ?


เฉินผิงอันเจ้ามันซวยจริงๆ นี่มันใช่เรื่องที่ว่าแม่นางหนิงชอบหรือไม่ชอบเจ้าเสียที่ไหน ต้องถามว่านางเกลียดหรือไม่เกลียดเจ้าต่างหาก


คิดมาถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็พยายามมองหาความสุขจากความทุกข์คล้ายต้องการปลอบใจตัวเอง เดินทางในยุทธภพคราวนี้นับว่าไม่เสียเที่ยว อย่างน้อยตัวเองก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว


แต่เขาก็ยังตัดสินใจว่าจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ดูสักครั้ง


เขาพร่ำบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าแค่จะไปดูตัวอักษรขนาดใหญ่ที่สลักไว้บนกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น


หาก ‘บังเอิญ’ เจอกับแม่นางบางคนในสถานที่ใดเวลาใด อย่างมากก็ยิ้มและทักทายนางอย่างใจกว้าง เพียงแต่ว่าตอนเปิดปากทักควรจะเอ่ยว่า ‘บังเอิญจัง’ หรือ ‘เจ้าก็อยู่นี่ด้วยหรือ’ เฉินผิงอันยังไม่แน่ใจว่าประโยคไหนเหมาะสมกว่ากัน


เฉินผิงอันตั้งใจคิดปัญหาข้อนี้มาก


เป็นเหตุให้สัมผัสไม่ได้สักนิดเลยว่าด้านหลังของตัวเองมีแม่นางคนหนึ่งที่ใกล้จะโมโหเขาจนตายอยู่แล้วเดินตามมา


นางสวมชุดยาวสีเขียวเข้ม


—–


บทที่ 275.1 เฉินเจอเฉินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

โดย

ProjectZyphon

ขณะที่นางทนไม่ไหวเตรียมจะถีบเฉินผิงอัน


เฉินผิงอันกลับหายวับไปท่ามกลางความว่างเปล่า


ราวกับว่าถูกใครกระชากลากเข้าไปในฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง


ทั้งสายตาและทั้งหัวใจของนางพลันวูบโหวง แต่จากนั้นก็เต็มไปด้วยโทสะเดือดดาล


ในวินาทีที่นางเตรียมจะชักกระบี่ออกมาฟันให้ฟ้าดินแห่งนั้นปริแตกหวังสืบเสาะร่องรอยอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม นางพลันหน้าแดงก่ำ ราวกับได้ยินเสียงบางอย่างจึงร้องอ้อรับหนึ่งที ก่อนจะแค่นเสียงหึเย็นชาใส่ตำแหน่งที่เฉินผิงอันหายตัวไป


จากนั้นนางก็พุ่งทะยานไปตลอดทาง มุ่งหน้าไปยังลานกว้างตรงตีนเขาเดียวดาย


เจอคนที่แม่งไม่สนใจกฎเกณฑ์ห่าเหวอะไรอีกครั้ง นักพรตน้อยโมโหแทบระเบิด ขว้างตำราในมือลงพื้นอย่างแรง ดีดตัวผลุงขึ้นมาจากเบาะนั่ง ด่ากราดเสียงดัง “นังเด็กนี่ เจ้าคิดว่าภูเขาห้อยหัวคือลานบ้านของเจ้าหรือไง?! นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป สามครั้งแล้วนะ สามครั้งแล้ว! ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชั่วชีวิตก็อาจจะไม่เคยมาเยือนที่นี่สักครั้ง เจ้ากลับดีนัก วันเดียวมาตั้งสองครั้งแล้ว!”


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่หาวหวอด “เจ้าแน่จริงก็เล่นงานนางเลยสิ”


นักพรตน้อยกล่าวอย่างโมโห “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้า? หากไม่เป็นเพราะข้าสงสารในชาติกำเนิดของนาง ป่านนี้ก็คงต่อยให้นาง…”


เด็กสาวผู้มีบุคลิกองอาจเดินเข้าไปในประตูใหญ่กระจกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเอนตัวมาข้างหลังเล็กน้อย หันหน้ามาพูดว่า “เจ้าจะมาสงสารข้าทำไม ข้าไม่ได้สนิทกับเจ้าสักหน่อย”


นักพรตน้อยรู้สึกว่าประโยคนี้ของแม่นางน้อยกล่าวได้ไร้เหตุผล แต่ก็เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่นิดๆ


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่บนเสาผูกม้าหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง


……


หน้าประตูร้านเหล้าในภูเขาห้อยหัวแห่งเดียวกัน หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมานอกร้าน เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ที่เงียบสงบ


แต่หลิวโยวโจวกลับนั่งอยู่ใต้ต้นไหวโบราณนอกกำแพงสูงของเรือนหลังหนึ่ง กำลังนับมดอย่างคนว่างงาน


ส่วนหญิงชราเซียนพสุธาก็คอยเฝ้าอยู่ด้านข้างเงียบๆ ไม่รบกวนอาการเหม่อลอยของนายน้อยตัวเอง


ขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาวเหมือนพุงปลา หลิวโยวโจวที่ดวงตาฉายประกายคมกล้าลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับหญิงชราเหมือนอยากโอ้อวดความรู้ของตน “ข้ามองจนเข้าใจแล้ว มดที่เติบโตอยู่ในภูเขาห้อยหัวไม่ได้แตกต่างจากมดที่เกิดในหมู่บ้านคนธรรมดาเลย”


หญิงชราเคยชินกับจินตนาการอันบรรเจิดของเด็กหนุ่มแล้วจึงยิ้มบางพยักหน้ารับเบาๆ


หลิวโยวโจวชำเลืองตามองไปยังต้นไหวโบราณด้วยความสนใจที่ไม่มากนัก “ไม่ซื้อแล้วๆ แพงเกินไป ข้าเสียดายเงินอั่งเปาที่ตัวเองสะสมมาตั้งนานหลายปีพวกนั้น”


หญิงชราโล่งอก นางกลัวจริงๆ ว่าด้วยความบุ่มบ่าม นายน้อยจะทุบหม้อข้าวขายเหล็กซื้อเหล้าลืมทุกข์หนึ่งไหมาจริงๆ ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางดื่มเหล้าหวงเหลียงนี้เข้าไปไม่มีความหมายมากนัก ต่อให้สกุลหลิวธวัลทวีปจะมีเงินมากแค่ไหน ก็ไม่ควรใช้เงินมือเติบถึงขนาดนี้ ถึงเวลานั้นนายน้อยไม่มีทางถูกลงโทษแน่นอน ไม่แน่ว่าเจ้าประมุขและเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายอาจจะยังกัดฟันเค้นรอยยิ้ม พูดชมเชยว่าไม่เสียแรงที่เจ้าเป็นลูกหลานสกุลหลิว ใจกว้างดุจแม่น้ำ จ่ายเงินตาไม่กะพริบก็ควรเป็นสิ่งที่ว่าที่เจ้าประมุขสกุลหลิวควรต้องมีไม่ใช่หรือ?


แต่นางกลับต้องโดนตำหนิอย่างเลี่ยงไม่ได้


ใช่ว่านางจะรู้สึกขุ่นเคืองเด็กหนุ่มด้วยสาเหตุนี้ แต่นางอยากให้เด็กหนุ่มได้ดียิ่งกว่านั้น เงินอั่งเปาตั้งมากมาย เอามาซื้ออาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งไม่ดีกว่าหรือ? จะต้องเอาไปซื้อเหล้าไหหนึ่งเพียงเพื่ออยากเอาชนะทำไม?


หลิวโยวโจวเดินย้อนกลับไปที่จวน แต่แล้วจู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ท่านยายหลิ่ว ท่านว่าท่านน้าหลิ่วกลับมาจากทุ่งราบน้ำแข็งทางเหนือสุดหรือยัง?”


ตอนที่เด็กหนุ่มพูดถึง ‘น้าหลิ่ว’ บนใบหน้าที่ยับย่นของหญิงชราเผยประกายแห่งความภาคภูมิใจออกมาในทันที “น่าจะกลับมาแล้ว หากโชคดี นังหนูนั่นก็น่าจะเลื่อนสู่ขั้นเก้าของขอบเขตวรยุทธ์แล้ว นายน้อย ตามข้อตกลง ถึงเวลานั้นสามารถบอกให้นางพาท่านไปหาประสบการณ์ที่ทุ่งน้ำแข็ง สังหารปีศาจใหญ่ได้”


ถึงอย่างไรหลิวโยวโจวก็ยังมีนิสัยเป็นเด็ก น้ำเสียงที่พูดจึงค่อนข้างเอาแต่ใจเหมือนเด็กน้อย “จะรีบเป็นขอบเขตเก้าเร็วอะไรขนาดนั้น ท่านพ่อข้าบอกว่าขอบเขตแปดที่แข็งแกร่งที่สุดบนวิถีวรยุทธ์ของน้าหลิ่วมีความหมายมาก ทำให้นางไม่ด้อยกว่าปรมาจารย์ขอบเขตสิบปลายทางที่อ่อนแอเลย บิดาข้าเลยพูดเกลี้ยกล่อมน้าหลิ่วตรงๆ บอกว่าหากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ก็อย่าฝ่าทะลุขอบเขตง่ายๆ”


หญิงชราพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “เจ้าประมุขย่อมต้องหวังดีอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก หากสามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้แล้ว แต่กลับระงับเอาไว้ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวแล้ว นี่กลับไม่ใช่เรื่องดี เกรงว่าคงจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดในการเลื่อนขอบเขตเหนือขอบเขตสิบขึ้นไป แน่นอนว่าหากเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาก็แล้วไปเถอะ เพราะว่าสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตสิบได้อย่างถูไถก็ถือว่าเป็นความเพ้อฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว แต่น้าหลิ่วของเจ้ากลับไม่ใช่แบบนั้น”


หลิวโยวโจวไม่เคยสนใจเรื่องอะไรที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาอยู่แล้ว กลับกันคือหันไปคิดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องที่สุดแทน เขาถอนหายใจกล่าวว่า “น้าหลิ่วก็จริงๆ เลย วันๆ เอาแต่พูดว่าผู้ชายดีๆ ในใต้หล้าไปตายที่ไหนกันหมด แถมยังชอบมาถามข้าว่าเจอผู้ชายดีๆ บ้างหรือไม่ ข้าเป็นผู้ชายตัวโตขนาดนี้จะตอบนางอย่างไร? แต่ท่านพ่อข้าแนะนำคนหนุ่มที่โดดเด่นของธวัลทวีปให้กับนางตั้งมากมาย ก็ไม่เห็นว่าน้าหลิ่วจะสนใจ น่าปวดหัวจริงๆ”


ความคิดของหลิวโยวโจวเหนือล้ำเกินคนธรรมดาไปไกล เขาถามคำถามที่ทำให้หญิงชรารู้สึกขบขับอีกครั้ง “หากมีวันหนึ่งกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจกลบทับกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวได้สำเร็จ จะทำอย่างไร? มดรังนั้นที่อยู่ใต้ต้นไม้เดินกันช้าขนาดนั้น ถึงเวลาคิดจะย้ายบ้านคงไม่ทันกาลกระมัง?”


หญิงชราสีหน้าปราณีกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายน้อย กำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งตระหง่านไม่ล้มมากี่ปีแล้ว มีใต้หล้าแห่งนั้นกั้นขวางอยู่ ประมาณทุกๆ ร้อยปีเผ่าปีศาจจะต้องมีศึกนองเลือดครั้งใหญ่เกิดขึ้นหนึ่งครั้ง ตลอดหลายปีมานี้ เดรัจฉานป่าเถื่อนเหล่านั้นต้องทิ้งศพไว้ใต้กำแพงเมืองตั้งเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับไปมือเปล่าทุกครั้งไม่ใช่หรือ? ปีศาจใหญ่ที่พลังการต่อสู้น่าครั่นคร้ามบางส่วน อย่างมากสุดพวกมันก็ได้แค่ขึ้นมายืนบนหัวกำแพงเมืองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ต้องถูกเหล่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าขับไล่ออกไป”


หลิวโยวโจวร้องอ้อหนึ่งที แต่สุดท้ายก็ย้อนกลับไปที่ความคิดเดิมของตัวเองอย่างไม่อาจถอนตัวออกมาได้ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “จวนหยวนโหรวของพวกเรายังสู้รังมดไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะไม่สามารถย้ายไปไหนได้ ยังดีที่ธวัลทวีปอยู่ห่างจากภูเขาห้อยหัวไกลที่สุด เฮ้อ นาตยทวีปสิที่น่าสงสาร ถึงเวลานั้นควันดินปืนคงลอยไกลนับหมื่นลี้เลยกระมัง ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษสกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ท่านนั้นจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ สกัดกั้นเผ่าพันธ์ปีศาจที่มีมืดฟ้ามัวดินไว้ข้างนอกแผ่นดินได้หรือไม่”


หญิงชราหลุดหัวเราะขำกับอาการตีตนไปก่อนไข้ของนายน้อยตัวเอง “ใช่สิ ระหว่างธวัลทวีปของพวกเรากับภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ ไม่เพียงแต่มีนาตยทวีปกั้นขวาง ยังมีทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ต่อให้เอาอาณาเขตของอีกแปดทวีปมารวมกันก็ยังสู้ไม่ได้อยู่อีกด้วย นายน้อยจะต้องกังวลอะไร”


หลิวโยวโจวพึมพำ “ข้าไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของธวัลทวีปหรอก แค่รู้สึกว่าสงครามทำให้คนตายมากมาย เลยไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ จะดีจะชั่วนาตยทวีปก็ยังมีบุคคลอันดับหนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหย่าเซิ่งคอยบัญชาการณ์ แต่พวกเราต่างก็เคยไปเยือนอาคเนย์ใบถงทวีปมาแล้ว อีกเดี๋ยวยังจะไปที่ฝูเหยาทวีปด้วย ดูเหมือนว่าทั้งสองแห่งนั้นจะไม่มีใครที่ร้ายกาจมากพอจะเอาออกหน้าออกตาได้”


หญิงชรายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม “นายน้อย จะเอาทุกคนมาเปรียบเทียบกับบิดาของท่านไม่ได้หรอกนะ ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งที่สู้เจ้าประมุขของพวกเราไม่ได้ก็ไม่ร้ายกาจแล้วหรือ? คิดแบบนี้ไม่ได้หรอก”


คนที่มีเงินที่สุดของธวัลทวีป กับผู้ฝึกลมปราณที่แข็งแกร่งที่สุดของธวัลทวีป คือคนคนเดียวกัน


บิดาของหลิวโยวโจว


บุรุษคนนี้มีตบะสูงยิ่งกว่า และพลังการต่อสู้แข็งแกร่งยิ่งกว่าบรรพบุรุษคนใดๆ ในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลิว


จุดที่น่ากลัวที่สุดอยู่ที่ว่า ธวัลทวีปที่ผู้คนห้าวหาญ เหล่าเซียนซือชื่นชอบการต่อสู้กลับไม่เคยมีใครที่สามารถพิสูจน์ความสามารถในท้ายที่สุดของบุรุษผู้นี้ได้สำเร็จ


บุรุษผู้นี้มีประโยคหนึ่งที่เป็นที่นิยมของคนบนภูเขา ‘เรื่องที่สามารถใช้อาวุธเซียนและอาวุธกึ่งเซียนมาแก้ไขได้ ก็คงไม่ต้องใช้หมัดใช้เท้าแล้วกระมัง?’


หลิวโยวโจวคล้ายจะไม่พอใจบิดาของตัวเองเล็กน้อย “มีเมียมากขนาดนั้น ดีตรงไหนกัน”


ตีให้ตายหญิงชราก็ไม่กล้าวิจารณ์ข้อดีข้อเสียของเจ้าประมุขท่านนี้


เจ้าประมุขนิสัยดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากคนที่เป็นข้ารับใช้ไม่เข้าใจกฎระเบียบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ตระกูลหลิวครอบครองเทือกเขาที่มีเหมืองแร่หยกเงินเกล็ดหิมะไว้อย่างอยู่หมัด ต้นไม้ใหญ่เรียกลม แต่ละปีคนใช้ที่ต้องตายเพราะปากมีมากมาย ลูกหลานของสกุลหลิวแต่ละฝ่ายที่ตายอย่างเฉียบพลันก็มีไม่น้อย


เวลานี้หลิวโยวโจวสวมชุดไผ่เหลือง ‘เย็นสบาย’ สมบัติอาคมที่เคยเป็นของรักของกษัตริย์ราชวงศ์ใหญ่ชิ้นนี้ถูกขนานนามให้เป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก


ส่วน ‘หลบร้อน’ เสื้อไม้ไผ่อีกชิ้นหนึ่งที่สกุลหลิวธวัลทวีปหามาเข้าคู่กันได้นั้น ก็ได้รับการขนานนามให้เป็นพื้นที่มงคล


หลิวโยวโจวชอบเอาพวกมันมาผลัดกันสวม


สวมใส่สบาย แถมยังไม่ดูโอ้อวดตัว เพราะถ้าเป็นพวกชุดคลุมอาคมของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋าหรือเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างจะดูสะดุดตาเกินไป นี่ไม่เท่ากับเป็นการบอกให้คนอื่นรู้ว่าข้ามีเงินมากหรอกหรือ?


แม้ข้าจะมีเงิน แต่ข้าไม่ชอบพูด


อีกอย่างข้าหลิวโยวโจวก็ไม่ถือว่ามีเงินอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นทำไมเมื่อคืนถึงตัดใจซื้อเหล้าลืมทุกข์ไหหนึ่งไม่ได้เล่า?


หลิวโยวโจวถอนหายใจ “ท่านยายหลิ่ว ข้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้จริงๆ หรือ?”


น้ำเสียงของหญิงชรายืนกราน “นี่เป็นคำสั่งของเจ้าประมุข ห้ามท่านไปเด็ดขาด”


หลิวโยวโจวถามคำถามข้อหนึ่งที่ทิ่มแทงใจคนอย่างมาก “สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือนักโทษและผู้ลี้ภัย ความสัมพันธ์กับพวกเราที่อยู่ทางฝั่งนี้ไม่ได้ดีอย่างที่คิด เรื่องสกปรกในภูเขาห้อยหัวมีมากมาย พวกเขาต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับเผ่าปีศาจมานานขนาดนี้ จะไม่มีใครสักคนที่พอโมโหจัดแล้วคิดทรยศกำแพงเมืองปราณกระบี่ หันไปสวามิภักดิ์กับเผ่าปีศาจบ้างหรอกหรือ?”


หญิงชราคิดก่อนตอบว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าและยอดฝีมือของสามลัทธิจับตามองอยู่ น่าจะไม่มีทางเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่อะไรได้ แต่คิดดูแล้ว คนประเภทนี้ย่อมมีอยู่จริง เพียงแต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่อยากเอาเรื่องน่าอายในบ้านมาป่าวประกาศแก่คนนอก นายน้อย อันที่จริงท่านไม่จำเป็นต้องใส่ใจสถานการณ์ของทางฝั่งนั้นมากนัก ตามการรายงานของสายจวนหยวนโหรว เหล่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวของกำแพงเมืองปราณกระบี่รุ่นนี้มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังไม่ได้มีแค่หยิบมือ แต่มีมากเหมือนหน่อไม้ที่ผุดหลังฝนตก จนแทบจะเทียบเคียงกับกลุ่มเซียนกระบี่ของเมื่อสามพันปีก่อนได้เลย คนรุ่นนั้นร้ายกาจมากจริงๆ กำราบเสียจนเผ่าปีศาจไม่กล้าท้าทายกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงแปดร้อยปีเต็ม ตลอดชีวิตของเผ่าปีศาจหลายตนล้วนไม่เคยได้เห็นกำแพงเมือง ดังนั้นข้าคิดว่าในอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ภูเขาห้อยหัวจะอยู่ในยุคสันติสุขที่มีการค้ารุ่งเรือง”


เด็กหนุ่มพึมพำเบาๆ ด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “แต่เงินส่วนใหญ่ที่ตระกูลหลิวของพวกเราหามาได้ล้วนเป็นทรัพย์สินของคนตายนี่นา”


หญิงชราอยากจะเตือนเด็กหนุ่มว่าอยู่ในภูเขาห้อยหัวต้องระวังคำพูด แต่มองใบหน้าด้านข้างแล้วเห็นสีหน้าหม่นหมองของเด็กหนุ่มก็ตัดใจพูดไม่ลง


พ่อบ้านคนหนึ่งของจวนหยวนโหรวมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าคนทั้งสอง ข้างทางมีรถม้าจอดรออยู่สองคัน พ่อบ้านวัยชราพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย มีแขกสูงศักดิ์มาเยือนที่จวนขอรับ”


หลิวโยวโจวพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นรถม้าคันหนึ่ง


มาถึงจวนหยวนโหรว หลิวโยวโจวมองเห็นบุรุษท่าทางสุภาพและหญิงสาวร่างสูงใหญ่ บุรุษวัยกลางคนที่ทั่วกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรายืนชื่นชมภาพวาดหนึ่งที่แขวนไว้บนผนัง ส่วนหญิงสาวกำลังนั่งดื่มชา


ดูเหมือนบุรุษจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนอักษรภาพ เขาถึงเอ่ยชื่นชมว่า “คิดไม่ถึงเลยว่า ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ภาพนี้ต่างหากถึงเป็นของจริง ไม่เสียแรงที่มีทั้งพละกำลังและรูปแบบที่ถูกต้อง โดดเด่นเปิดเผย เพียงแค่ภาพดอกบัวนี้ ในเวลาห้าร้อยปีก็ไม่มีผลงานใดจะทัดเทียมได้แล้ว”


ระหว่างที่เดินทางมา ด้วยความรอบคอบ พ่อบ้านจึงไม่ได้บอกกับหลิวโยวโจวตามตรงว่าแขกที่มาคือใคร จนกระทั่งก้าวข้ามธรณีประตูใหญ่ของจวนหยวนโหรวมาแล้วถึงกระซิบบอกหลิวโยวโจวเบาๆ ว่าเป็นฮ่องเต้กับราชครูราชวงศ์ต้าตวนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


หลิวโยวโจวประสานมือคารวะ “หลิวโยวโจวคารวะฝ่าบาทและราชครู”


บุรุษหันหน้ากลับมาพูดกับเด็กหนุ่มยิ้มๆ “คราวนี้กว่าเหริน (คำเรียกแทนตัวของกษัตริย์ในสมัยโบราณ) อาศัยโอกาสที่ราชครูจำเป็นต้องยืมใช้บ่อสายฟ้าขนาดเล็กหลอมกระบี่ ถึงได้มีเวลาว่างแอบอู้งานมาสูดอากาศหายใจที่ภูเขาห้อยหัว เดิมทีไม่อยากจะรบกวนจวนหยวนโหรว เพียงแต่ได้ยินว่าคุณชายหลิวก็อยู่ที่ภูเขาห้อยหัวด้วย เลยคิดว่าถึงอย่างไรก็ควรมาขอชาดื่มสักถ้วย”


หลิวโยวโจวยกมือคารวะอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเกรงพระทัยเกินไปแล้ว”


ต้าตวนหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ที่ใหม่ที่สุดของใต้หล้าไพศาล


เขมือบกลืนอาณาเขตเกินครึ่งของราชวงศ์เดิมบางแห่ง ทุกวันนี้ต้าตวนใหม่จึงรอการฟื้นฟูจากความเสียหายทรุดโทรม ตามหลักแล้วทั้งฮ่องเต้และราชครูต่างก็ไม่ควรออกมาจากราชสำนัก


เพียงแต่ว่าเรื่องวงในเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งที่หลิวโยวโจวในเวลานี้ต้องไปคาดเดา ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดฮ่องเต้ต้าตวนถึงให้หน้าจวนหยวนโหรวขนาดนี้ หลิวโยวโจวกลับรู้อย่างชัดเจน การที่ต้าตวนสามารถเอาชนะราชวงศ์ไท่เสวียนอดีตหนึ่งในเก้าราชวงศ์ใหญ่ ศึกล่มแคว้นที่เกี่ยวพันกับกองกำลังจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งดำเนินมาเกือบสิบปี จนกระทั่งต้าตวนลากสกุลเซี่ยไท่เสวียนลงมาได้ ตระกูลหลิวแห่งธวัลทวีป หรือควรจะพูดอีกอย่างก็คือกระเป๋าเงินของบิดาเขา เป็นผู้ที่ลงแรงอย่างมาก


บทที่ 275.2 เฉินเจอเฉินที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

โดย

ProjectZyphon

หลังจากยืดเอวขึ้นตรงแล้ว หลิวโยวโจวก็หันไปคำนับราชครูสาวแห่งต้าตวนผู้นั้น “ข้าน้อยเลื่อมใสท่านราชครูมานานแล้ว”


อันที่จริงตระกูลหลิวคือหนึ่งในผู้มีพระคุณที่อยู่เบื้องหลังของราชวงศ์ต้าตวน หลิวโยวโจวที่มีฐานะเป็นว่าที่เจ้าประมุข ไม่จำเป็นต้องลดทอนคุณค่าของตัวเองถึงเพียงนี้


หญิงสาวคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก นางวางถ้วยชาลง “นิสัยแตกต่างจากบิดาเจ้ายิ่งนัก ดีมาก”


ฮ่องเต้ต้าตวนเหงื่อตกเล็กน้อย


นี่ถือว่าเป็นคำพูดที่ดีไหม?


หญิงสาวร่างสูงใหญ่ถามยิ้มๆ “เคยไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”


หลิวโยวโจวมาถึงพักหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้นั่ง เขาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่ตลอดเวลาส่ายหน้ากล่าวว่า “ยังไม่เคยไป บิดาไม่อนุญาตให้ข้าไปเพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน”


หญิงสาวคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนเดียวของข้า ตอนนี้กำลังฝึกประสบการณ์อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากคุณชายหลิวเต็มใจ ข้าสามารถเดินทางไปพร้อมเจ้าได้ รับรองว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น”


หญิงชรามองประสานสายตากับผู้ดูแลเฒ่าแห่งจวนหยวนโหรวด้วยความรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อย


ไม่ได้รู้สึกว่าราชครูต้าตวนกำลังคุยโว แต่นี่เกี่ยวพันไปถึงความต้องการของเจ้าประมุข พวกนางที่เป็นข้ารับใช้ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการ


ยังดีที่หลิวโยวโจวส่ายหน้าปฏิเสธอย่างละมุนละม่อมเสียก่อน “ไม่อาจละเมิดคำสั่งของบิดาได้ หวังว่าทานราชครูจะเข้าใจ”


หญิงสาวร่างสูงใหญ่พยักหน้ารับอย่างไม่ถือสา “อีกไม่นานลูกศิษย์ของข้าก็จะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวแล้ว ให้เขาไปฝึกประสบการณ์ที่ธวัลทวีปก็ดีเหมือนกัน หากคุณชายหลิวไม่ถือสาก็พาเขาไปด้วยกันได้”


สีหน้าของหลิวโยวโจวผ่อนคลายลง น้ำเสียงก็เบาสบายขึ้นเยอะมาก เขากล่าวยิ้มๆ ว่า “ยินดีอย่างยิ่ง!”


ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่กำลังเผชิญหน้าอยู่กับบุคคลอันดับที่ห้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง


เหมือนอย่างบิดาของเขาที่ไร้ศัตรูทัดเทียมมานานแล้วในธวัลทวีป แต่ตัวเขาเองก็ยังพูดว่าหากอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง อย่างมากสุดตนก็เป็นแค่บุคคลล่างๆ ของคนจำนวนสิบคนเท่านั้น


เห็นว่าหญิงสาวคนนั้นลุกขึ้นยืน ฮ่องเต้ต้าตวนจึงเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ว่า “ระยะเวลาแน่ชัดที่เขาจะออกจากภูเขาห้อยหัว หากทราบแล้วกว่าเหรินจะให้คนมาแจ้งจวนหยวนโหรวทันที ไม่ต้องไปส่ง เดี๋ยวพวกเราเดินออกไปกันเอง”


หนึ่งชายหนึ่งหญิงเดินออกจากจวนหยวนโหรว


หรือจะพูดให้ถูกคือหนึ่งหญิงหนึ่งชาย


เพราะไม่ว่าจะมองอย่างไร สตรีร่างสูงใหญ่ก็เหมือนเป็นฮ่องเต้ต้าตวน ส่วนบุรุษเป็นแค่ผู้ติดตามเท่านั้น


หลิวโยวโจวเพิ่งจะได้นั่ง เขากระตุกคอเสื้อของชุดไม้ไผ่เย็นสบายเบาๆ เพราะเหงื่อโซมเต็มกาย ชำเลืองตามองไปยัง ‘ภาพดอกบัวร่วงโรย’ ที่เป็นสมบัติพิทักษ์จวนหยวนโหรวซึ่งอยู่บนผนังชิ้นนั้นแวบหนึ่งแล้วหันไปสั่งความกับพ่อบ้านวัยชราว่า “เอาลงมาแล้วบรรจุให้ดี นำไปมอบให้กับฮ่องเต้ต้าตวน”


พ่อบ้านวัยชราทำสีหน้าลำบากใจ


หลิวโยวโจวยิ้มกว้าง “เชื่อข้าเถอะ”


พ่อบ้านวัยชราพยักหน้ารับเงียบๆ แล้วลงมือทำตามคำสั่ง


หลังจากที่พ่อบ้านวัยชราเอาภาพวาดโบราณภาพนั้นออกไปจากห้องโถงแล้ว มองผนังที่ว่างเปล่ากะทันหัน เขาก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านยายหลิ่ว ท่านคิดว่าภาพเด็กหนุ่มล่องเรือภาพนั้น ดีหรือไม่?”


สีหน้าของหญิงชราเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น กำลังจะเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มว่าอย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์


หลิวโยวโจวกลับพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมาเสียก่อน “ไม่แขวนไว้ที่นี่ดีกว่า รอกลับไปถึงบ้าน ข้าจะเอาไปแขวนไว้ที่ห้องหนังสือของตัวเอง! ไปๆๆ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจะวาดด้วยตัวเองหนึ่งรูป! ท่านยายหลิ่ว รีบบอกให้ข้ารับใช้เตรียมหมึกและพู่กันไว้ให้ข้า!”


สีหน้าของหญิงชราแฝงแววครุ่นคิด


สาวใช้สี่คนของจวนหยวนโหรวหน้าตางดงามอ่อนหวานชวนให้คนหวั่นไหว สองคนในนั้นยังเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตถ้ำสถิต เมื่อพวกนางที่เต็มไปด้วยความคาดหวังเฝ้ามองนายน้อยที่ผู้คนพากันเล่าลือถึงทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดวาดภาพนั้นจนเสร็จ เหล่าสาวใช้ก็ต้องเปลืองแรงไม่น้อยถึงจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ นั่นยิ่งทำให้พวกนางดูน่าหลงใหลมากกว่าเก่า


หลิวโยวโจวค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเอง แม้จะวาดไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ความจริงใจกลับเต็มเปี่ยม


ภาพวาดของหลิวโยวโจวมีความคล้ายคลึงกับตัวอักษรของคนบางคนที่อยู่บนกำแพงของร้านแห่งหนึ่ง


น่าเสียดายก็แต่ตอนนั้นหลิวโยวโจวตัดใจซื้อเหล้าหวงเหลียงไหหนึ่งไม่ได้ หาไม่แล้วหากได้เห็นตัวอักษรยึกยือเหล่านั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้สึกเจ็บใจที่วีรบุรุษผู้เลื่อมใสกันและกันมาพบเจอกันช้าไปก็เป็นได้


……


ระหว่างฟ้าดินมีกำแพงแห่งหนึ่งที่สลักตัวอักษรใหญ่ทั้งหมดสิบแปดตัว


เต้าฝ่า (กถามรรค) เฮ่าหราน (ซื่อตรงและยิ่งใหญ่) ซีเทียน (แดนนิพพาน)


เจี้ยนชี่ฉางฉุน (ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน) เหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ)


ฉี เฉิน ต่ง เหมิ่ง


หลังจากศึกแห่งการเดิมพันที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งยอดฝีมือลำดับสูงสุดมาฝั่งละสิบสามท่าน เผ่าปีศาจทำลายข้อตกลง ไม่เพียงแต่ไม่ส่งมอบกระบี่ที่หลงเหลืออยู่ทั้งหมดที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้ทางทิศใต้ของกำแพงเมืองมาให้ กลับยังอับอายจนพานเป็นโกรธ พากันบุกโจมตีเข้ามาระลอกแล้วระลอกเล่า เพียงแต่เมื่อเทียบกับศึกเดิมพันที่ทุ่มสุดตัว ใช้ชีวิตแลกชีวิตอย่างครั้งก่อนหน้านี้แล้ว พละกำลังที่ใช้ในการโจมตีกำแพงเมืองสามครั้งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ปะติดปะต่อคราวนี้กลับด้อยกว่าหนึ่งระดับ ว่ากันว่าในเผ่าปีศาจมีปีศาจใหญ่หลายตนไม่คิดจะให้ความร่วมมือกับการโจมตีกำแพงเมืองครั้งนี้ ดังนั้นพวกเผ่าปีศาจจึงไม่มีมาดอันใหญ่โตโอหังเท่าใดนัก


ช่วงแรกเริ่มสุดกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม แค่มีตัวอักษรเพิ่มขึ้นมาสิบแปดตัวเท่านั้น


เนื่องจากกำแพงยาวแถบนี้เคยเป็นค่ายกลด่านใหญ่ที่อริยะสามลัทธิร่วมมือกันสร้างขึ้นมา เว้นเสียจากว่าจะถูกทำลายให้พังพินาศในรวดเดียว หาไม่แล้วเพียงไม่นานก็จะฟื้นตัวกลับคืนสภาพเดิม หากไม่เป็นเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นกำแพงเมืองที่สูงเท่าไหร่ หรือเป็นขุนเขาที่แข็งแกร่งแค่ไหนก็คงพังราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้ว เผชิญหน้ากับการจู่โจมอย่างดุดันและเต็มกำลังของเหล่าปีศาจใหญ่ที่มีฝีมือในระดับสูงสุด รวมไปถึงการออกกระบี่ที่เฉียบคมบนหัวกำแพงเมืองของเหล่าเซียนกระบี่แต่ละรุ่น ปราณกระบี่ที่ซัดกระจายไปทั่วทิศจึงทำลายตัวกำแพงด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้


กองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจที่ปักหลักห่างออกไปร้อยลี้มีจำนวนมากดุจฝูงมดที่เกาะกลุ่ม เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งหยุดการโจมตีไปได้หนึ่งเดือนกว่า


กำแพงเมืองปราณกระบี่จึงได้อยู่ท่ามกลางความสุขสงบอย่างที่หาได้ยาก


ลำพังเพียงทางเดินม้าบนหัวกำแพงก็กว้างถึงสิบลี้


มีผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่คนหนึ่งมาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนหัวกำแพง ลูกหลานของผู้เฒ่าไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ในเมืองทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ กลายเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดไม่กี่ตระกูลนานแล้ว แต่ผู้เฒ่าไม่เคยลงจากหัวกำแพง เขาเฝ้าอยู่ที่นี่มาปีแล้วปีเล่า ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด เขาไม่เคยอนุญาตให้ลูกหลานในตระกูลมาพบ กลับเป็นเด็กต่างแซ่บางคนที่เขายอมส่งยิ้มให้ในบางครั้ง


เซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่


ต่างกันแค่คำเดียว กลับต่างราวฟ้ากับเหว


และที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่กับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ต่างกันแค่คำเดียวก็ห่างชั้นกันไกลโขเช่นกัน


เพราะเซียนกระบี่คนหนึ่งที่คิดจะมีชีวิตรอดอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างยาวนาน ไม่ได้อาศัยแซ่ แต่อาศัยแค่พลังในการต่อสู้


ในฐานะของคนที่มีอายุมากที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้เฒ่าผ่านมาหลายฝนหลายหนาว และแน่นอนว่าเคยมีความเสียดายมาหลายครั้ง ความเสียดายครั้งล่าสุดนี้อาจถือว่าเป็นครั้งใหญ่ในชีวิตอันยาวนานของผู้เฒ่า ผู้เฒ่าเสียดายที่เพราะกฎข้อบังคับ ทำให้ตนไม่อาจลงสนามสู้รบ ถึงได้ทำให้เด็กรุ่นหลังคู่รักเทพเซียนคู่นั้นต้องตายอย่างไม่สมเกียรติ


ผู้เฒ่าเห็นพวกเขาสองคนเติบโตมาตั้งแต่เด็ก เติบใหญ่ปีแล้วปีเล่า ขอบเขตไต่ทะยานครั้งแล้วครั้งเล่า ต่างคนต่างกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ในท้ายที่สุด


ผู้เฒ่ารู้สึกว่าคนหนุ่มสาวที่เป็นเช่นนี้ต่างหาก ถึงจะทำให้ผู้คนมีความหวัง


ทำให้ผู้เฒ่ารู้สึกว่าโลกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ชั่วร้าย หนุ่มสาวยังมีคนดี


คืนนี้ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงเพียงลำพัง กระบี่พกที่นอกเหนือจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาหักไปเล่มแล้วเล่มเล่า สุดท้ายเขาจึงตัดสินใจไม่ใช้มันซะเลย


ผู้เฒ่าและเด็กๆ ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่รู้จักผู้เฒ่าที่ไม่รู้ว่ามีอายุอยู่มากี่ปีคนนี้ดี บวกกับที่ผู้เฒ่ามีนิสัยประหลาด จึงไม่มีใครอยากคบค้าสมาคมกับผู้เฒ่านานแล้ว


แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับมีเด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่งที่ทำหน้าหนาดึงดันมาสร้างกระท่อมเล็กๆ หลังหนึ่งอยู่ด้านหลังกระท่อมของผู้เฒ่า


ช่วงที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เผ่าปีศาจรุกรานกำแพงเมือง เด็กหนุ่มจะทำเพียงแค่เฝ้าผู้เฒ่าและกระท่อมของตัวเอง หาไม่แล้วเขาก็ไม่มีทางลงมือ


อันที่จริงก็ไม่มีใครตำหนิเด็กหนุ่มต่างถิ่น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตสี่คนหนึ่ง สามารถขึ้นมากินดื่มขับถ่ายอยู่บนหัวกำแพงเมืองได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว


ผู้เฒ่าที่กรอบตาลึกโบ๋ หน้าตอบโหนกแก้มสูงจมอยู่ในภวังค์ความคิด


หากไม่เป็นเพราะอยู่บนหัวกำแพง แต่ไปอยู่ในใต้หล้าไพศาลอย่างทางฝั่งของภูเขาห้อยหัว เกรงว่าใครก็ตามที่ได้เห็นผู้เฒ่าตัวเล็กผอมบางจนแทบไม่อาจต้านทานลมผู้นี้ก็คงไม่มีทางเชื่อว่า ผู้เฒ่าถูกคนเสเพลคนหนึ่งที่สามารถสลักคำว่าเหมิ่งไว้บนกำแพงเมืองเรียกว่า ‘เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า’


ชายหญิงคู่หนึ่งที่มีลักษณะเหมือนสามีภรรยามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผู้เฒ่า ผู้เฒ่าไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พวกเจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ยังต้องการให้ข้าทำอะไรอีกไหม? พูดมาได้เลย ขอแค่ไม่เกี่ยวข้องกับทิศทางการดำเนินไปของใต้หล้าทั้งสองแห่ง แค่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเจ้า จะถูกต้องตามกฎหรือไม่ ข้าก็ล้วนช่วยได้ อีกอย่างตอนนั้นที่ข้าฝืนเก็บดวงวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของพวกเจ้าเอาไว้ เดิมทีก็ถือเป็นการทำผิดกฎอยู่แล้ว แต่ตาเฒ่าสองคนนั้นก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเหมือนกันไม่ใช่หรือ”


บุรุษที่กุมมือสตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า “แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”


สตรีแต่งงานแล้วหันไปถลึงตาใส่บุรุษ ยิ้มพูดว่า “มี”


ผู้เฒ่าเค้นรอยยิ้มออกมาเสี้ยวหนึ่ง “พ่อตาแม่ยายได้เจอลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตางั้นรึ? อืม เป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรก็ดีกว่าได้พวกที่ไม่เป็นโล้เป็นพายมาเป็นเขย ว่ามาเถอะ จะให้ข้ามอบอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งให้เจ้าเด็กนั่น หรือจะให้ข้าสอนวิชากระบี่เขาด้วยตัวเอง?”


สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างลังเล “อาจจะยากกว่านั้นสักหน่อย”


ผู้เฒ่าผอมแห้งหันหน้ามาถาม “หมายความว่าไง?”


บุรุษกล่าวอย่างจนใจ “สะพานแห่งอมตะของเด็กคนนั้นถูกคนสะบั้นขาดไปแล้ว”


ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “ทำลายสะพานอมตะของคนอื่นคือสิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราเชี่ยวชาญที่สุด แต่หากจะให้สร้างสะพานแห่งความเป็นอมตะ นั่นน่ะยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์เสียอีก อีกอย่างถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หากเป็นสะพานแห่งอมตะที่คนอื่นช่วยสร้างขึ้น ในประวัติศาสตร์ไม่มีเซียนกระบี่ร้ายกาจคนใดที่สามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ ถึงอย่างไรการฝึกตนก็ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดหลักฟ้าดินอยู่แล้ว สะพานขาดแล้วค่อยซ่อมสะพานเพื่อฝึกตนก็ยิ่งถูกมหามรรคาเคียดแค้น มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกจับตามองไม่ปล่อย พวกเจ้าพิจารณาดีแล้วหรือ? ไม่กลัวว่าจะได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามรึ?”


กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ “ถึงอย่างไรคนอื่นเดินขึ้นฟ้าไม่ง่าย แต่ข้ากลับไม่ยาก”


สตรีแต่งงานแล้วลังเลตัดสินใจไม่ได้ นางเคยเถียงกับบุรุษเรื่องนี้มาก่อนแล้ว บุรุษรู้สึกว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่แน่เสมอไปว่าวิถีวรยุทธ์จะไม่ดี ในฐานะที่นางคือเซียนกระบี่ซึ่งเคยยืนอยู่บนยอดเขาและเห็นทัศนียภาพของมหามรรคามาก่อน ย่อมรู้ดีว่าภูเขาของวิถีวรยุทธ์ต่ำกว่าของพวกนางหนึ่งระดับ ในเมื่อนี่เป็นความจริง อีกทั้งยังมีที่มาและหลักฐาน ใช่ว่านางจะดูแคลนวิถีวรยุทธ์ของเด็กคนนั้น แต่การเดินบนเส้นทางสายขาดเส้นนี้ ความเป็นไปได้ที่จะเดินไปสู่จุดสูงสุดอาจยิ่งน้อยเข้าไปอีก มันน้อยมากจริงๆ อีกทั้งอะไรคือทางสายขาด? แล้วอะไรคือสะพานอมตะของผู้ฝึกลมปราณ?


ถึงเวลานั้นลูกสาวของพวกเขาจะทำอย่างไร?


บุรุษหันมาพูดกับนางด้วยรอยยิ้ม “ไม่งั้นเอาอย่างนี้ดีไหม? ให้เจ้าเด็กนั่นลองพยายามเอาเอง สุดท้ายเดินไปได้ถึงตรงไหนก็ให้เป็นเรื่องของเขาเถอะ”


สตรีแต่งงานแล้วยังไม่ยอมถอดใจ เอ่ยถามว่า “ไม่อย่างนั้นข้าขออาวุธเซียนชิ้นหนึ่งจากท่านปู่เฉิน ถือว่าเป็นสินเจ้าสาวของลูกสาวเรา?”


ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่ก็ล้วนเคยชินที่จะเรียกผู้เฒ่าว่าท่านปู่เฉิน มีเพียงคนสองคนที่เป็นข้อยกเว้น


แน่นอนว่าคนบางคนที่สวมงอบพกดาบไปจากที่แห่งนี้ก็เคยเป็นข้อยกเว้นเช่นกัน


บุรุษกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะได้ใช้อาวุธเซียนที่ยากจะกำราบหรือไม่ พูดแค่ว่าเขาเฉินผิงอันคือลูกผู้ชายคนหนึ่ง ไหนเลยจะอยากได้รับโชควาสนาที่คนอื่นโปรยทานมาให้แบบนี้…”


สตรีแต่งงานแล้วตัดบทเหตุผลใหญ่โตของบุรุษ “แต่เขายังเป็นแค่เด็กหนุ่มอยู่เลยนะ”


บุรุษไม่รู้จะเถียงนางอย่างไร


แม้ว่าผู้เฒ่าจะชอบสองสามีภรรยาคู่นี้มาก แต่ก็ไม่ชอบมาฟังพวกเขาเถียงกันเรื่องหยุมหยิม


เพียงแต่พอได้ยินชื่อของเด็กหนุ่ม ผู้เฒ่าก็หันหน้ามาถามอีกครั้ง “เด็กหนุ่มก็แซ่เฉิน?”


สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ท่านว่าบังเอิญหรือไม่ หลังจากเขาดื่มเหล้าหวงเหลียง ตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปบนกำแพงตามใจปรารถนาก็คือคำว่าปราณกระบี่ยาว”


ผู้เฒ่าหันมามองคู่สามีภรรยา


บุรุษโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “นี่ไม่ใช่แผนการของพวกเรา ทุกอย่างเกิดขึ้นตามธรรมชาติ”


สตรีแต่งงานแล้วก็พยักหน้ารับอย่างแรงด้วยสีหน้าจริงใจ


ด้วยกลัวว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ผู้คนเคารพเลื่อมใสจะเข้าใจผิดคิดว่าพวกเขากำลังเล่นงานเขา


หากผู้เฒ่าโมโหขึ้นมา


ผลลัพธ์…ยากเกินกว่าจะคาดการณ์ได้!


ผู้เฒ่ายื่นมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก


คว้าเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งจากภูเขาห้อยหัวที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลมาที่หัวกำแพงของใต้หล้าแห่งนี้


ปราณกระบี่และปณิธานกระบี่ที่กลบเกลื่อนไปทั่วฟ้าดิน ดำรงอยู่ทั่วทุกหนแห่ง ประหนึ่งน้ำทะเลที่ไหลซัดกรากเข้ามาในช่องโพรงลมปราณของเด็กหนุ่ม


จนเขาแทบจะหายใจไม่ออก


เหมือนปลาน้อยตัวหนึ่งที่เดิมทีแหวกว่ายอยู่ในลำธารสายเล็ก แล้วถูกคนโยนขึ้นมาบนฝั่ง แถมฝั่งที่ว่านั้นยังเป็นประเภทที่พื้นดินแห้งแตก แสงแดดแผดจ้า ดีดร่างดิ้นรนอยู่ไม่กี่ที ไอน้ำบนตัวที่เหลืออยู่อีกไม่มากก็หายไปไม่มีเหลือ


ผู้เฒ่ามองประเมินเด็กหนุ่มที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าเจ็บปวดแวบหนึ่งแล้วโบกมืออย่างไม่ใส่ใจอีกครั้ง ส่งเด็กหนุ่มกลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ภูเขาห้อยหัว ก่อนจะหันมาเอ่ยยิ้มๆ กับสองสามีภรรยาที่ไม่เข้าใจการกระทำของเขา “แบบนี้ก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่หรือ”


……


เฉินผิงอันร่างส่ายโงนเงน กว่าจะหยุดยืนนิ่งได้ไม่ใช่เรื่องง่าย


‘การเดินทางไกล’ ครั้งนี้ เฉินผิงอันลำบากเท่าไหร่ อันที่จริงผีสาวโครงกระดูกในแผ่นยันต์ที่ถูกเฉินผิงอันกำราบในแคว้นไฉ่อีซึ่งตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ในกล่องกระบี่กลับลำบากยิ่งกว่า เพราะร่างของนางแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง โชคดีที่เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ อีกทั้งใน ‘เรือนไหว’ ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติของกล่องกระบี่ก็มีปราณหยินที่เข้มข้นมาก จึงสามารถสกัดกั้นปราณกระบี่ส่วนใหญ่เอาไว้ได้


ตอนนั้นเฉินผิงอันที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศมองเห็นผู้เฒ่าร่างผอมแห้งคนหนึ่งและสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงกำแพงเมืองยาวเหยียดที่เห็นแค่แวบเดียว


ตรงลานกว้างตีนภูเขาเดียวดาย เด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงเอวพกกระบี่สองเล่มเดินออกมาจากผิวกระจก นางครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ชะลอฝีเท้า แม้ว่าสีหน้าจะยังไร้อารมณ์ แต่ก็ถือว่านางเป็นฝ่ายทักทายนักพรตน้อยที่อึ้งงันเป็นไก่ไม้ผู้นั้นก่อน “ครั้งนี้คุ้นเคยกับเจ้ามากกว่าครั้งก่อนนิดหนึ่งแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังไม่สนิทกันอยู่ดี”


นักพรตน้อยพึมพำ “ไร้ขื่อไร้แปขนาดนี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเจ้าไม่ดูแลบ้างเลยหรือไง?”


ชายฉกรรจ์กอดกระบี่แหงนหน้ามองท้องฟ้าราตรีที่มีดวงจันทร์แค่ดวงเดียวพลางพูดกับตัวเองเบาๆ “เพื่อพวกเจ้าแล้ว พวกเราตายกันไปมากมายขนาดนั้น ใต้หล้าไพศาลไม่เห็นดูแลบ้างล่ะ?”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)