ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 271-278
ตอนที่ 271 ให้เงินเธอ ไม่ต้องรู้สึกแย่
เหยียนหมิงซุ่นขมวดคิ้วแน่น เขายิ่งไม่พอใจเหอปี้อวิ๋นมากขึ้น หล่อนไม่ได้ถามอะไรแต่กลับขโมยไปเลย ถึงแม้จะเหมือนกับพ่อแม่หยิบของลูกไป แต่ถึงอย่างไรก็ต้องบอกกล่าวกันก่อนสิ อีกอย่างเมื่อคุณหยิบไปแล้ว ทำไมถึงต้องโยนของอย่างอื่นทิ้งไปด้วยล่ะ?
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!
สยงมู่มู่แย่งภาพวาดจากมืออู่เหมย หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วพูด “วาดภาพใช้ได้ พ่อแม่ของฉันต้องชอบแน่ๆ ไปกันได้ ฉันหิวจะแย่อยู่แล้ว”
อู่เหมยอยากจะแย่งภาพวาดคืน “ภาพวาดนี้เสียหายหมดแล้ว เดี๋ยวฉันค่อยวาดใหม่ทีหลัง อย่าให้ภาพนี้เลย”
“ยังจะวาดอะไรอีก ก็รับภาพที่วาดไว้ตั้งแต่ทีแรกสิถึงจะดี อย่าพูดไร้สาระมาก รีบไปได้แล้ว”
สยงมู่มู่เดินเร็วมาก เขาดึงประตูเปิดออกแล้วเดินออกไปเลย อู่เหมยยังวิ่งตามไม่ทัน เธอโกรธจนกัดฟันกรอดๆ ภาพนี้ถูกขยำจนเละเป็นผักดองแล้ว ถือออกไปจะไม่ขายขี้หน้าแย่หรือ!
เหยียนหมิงซุ่นตีหน้าผากเธอ เขากระซิบที่ข้างหูเธอเบาๆ “ ไม่ต้องห่วง สยงมู่มู่เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร อาทิตย์หน้าพี่ค่อยพาเธอไปซื้อกำไลเงิน เออใช่ ของของเธอหมิงซูรับของไปแล้ว กล่องเครื่องสำอางได้แค่สองร้อยหยวนเอง แต่ขวดยานัตถุ์ยังได้เงินมาบ้างเพราะเป็นของมือชื่อเสียง จึงขายได้เจ็ดร้อย หมิงซูเขาเก็บไว้เอง นี่แปดร้อยหยวนเธอเก็บเงินไว้ให้ดีนะ ค่าเปลี่ยนกุญแจสิบหยวน
อู่เหมยหัวเราะทั้งน้ำตาทันที ไม่มีสิ่งใดที่จะปลอบประโลมความเสียใจได้ดีไปกว่าเงินอีกแล้ว เธอรับเงินมา และห่อเก็บไว้เป็นอย่างดี มอบให้ฉิวฉิว ที่พอได้เห็นเงินก็ตาเป็นประกาย แล้ววิ่งหายวับออกไป
“ฉิวฉิวซ่อนของเก่งมาก เงินของฉันครั้งที่แล้วก็เป็นฉิวฉิวเอาไปซ่อน” อู่เหมยพูดอย่างภาคภูมิใจ อยู่ต่อหน้าเหยียนหมิงซุ่นเธอไม่ค่อยรู้สึกกังวล เธอเชื่อในบุคลิกของผู้นำระดับสูงในอนาคตคนนี้อย่างที่สุด
เหยียนหมิงซุ่นดวงตาเป็นประกาย และไม่รู้สึกแปลกใจ แม้กระทั่งของมีค่าฉิวฉิวยังสามารถหาเจอ ก็ไม่แปลกที่จะสามารถซ่อนสิ่งของได้ ในที่สุดก็ได้เห็นอู่เหมยมีสีหน้ายิ้มแย้ม เขาก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาไม่น้อย เห็นยายตัวดียิ้มออกมายังไงก็ดูดีกว่า
“ทำอย่างนี้ก็ดี แต่ยังไงก็บอกให้ฉิวฉิวระวังตัวด้วย อย่าให้ใครเห็นล่ะ” เหยียนหมิงซุ่นกำชับ กระรอกขาวนั้นไม่ค่อยจะมีให้เห็น ถ้าปล่อยให้คนที่มีเจตนาไม่ดีเห็นเข้า ฉิวฉิวจะเป็นอันตรายมาก
“อื้อ ฉิวฉิวบอกว่า เขาเก่งมาก บอกด้วยว่าฉันไม่ต้องกังวล”
อู่เหมยกับเหยียนหมิงซุ่นเดินไปพลางคุยเล่นไปพลาง เธอพูดเยอะกับคนที่ไม่เคยพูดด้วยอย่างไม่รู้ตัว เหยียนหมิงซุ่นฟังอย่างเงียบๆ ระหว่างนั้นก็ตอบบ้างสองสามครั้ง บรรยากาศเข้ากันดีมาก บรรดาครอบครัวที่ทำกับข้าวอยู่บนระเบียง มองดูเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาคู่นี้ ต่างก็ยิ้มอย่างรู้ใจออกมาพร้อมกัน
เมื่อก่อนทำไมถึงดูไม่ออกว่ายายเหมยเหมยเหมาะสมกับเจ้าเด็กผู้ชายตระกูลเหยียนล่ะ?
เหมาะสมกว่าเจ้าเด็กผู้ชายตระกูลสยงตั้งเยอะ ตระกูลสยงหน้าตาดี แต่เดินไปกับเหมยเหมย เหมือนกับเดินกับพี่สาวน้องสาว เดินกับเจ้าเด็กผู้ชายตระกูลเหยียนอย่างนี้ยังดูดีกว่า
พวกเขาเพิ่งจะขึ้นไป กับข้าวร้อนๆ หลายจานวางอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว กุ้งนาง ปูขนนึ่งแดงก่ำ ซี่โครงหมูน้ำแดง เป็นต้น พ่อสยงยังคงยุ่งอยู่ในครัว ดูแล้วยังมีกับข้าวอีกเยอะ
“พ่อสยงคะ ให้หนูทำกับข้าวเถอะค่ะ คุณกับแม่บุญธรรมไปดื่มเหล้ากันเถอะค่ะ”
อู่เหมยไม่ได้เรียกเขาว่าพ่อบุญธรรม ซึ่งคำว่า ‘รุ่นหลัง’ คำนี้ ทำให้บางคนก่อเรื่องยุ่งเหยิง ถ้าเรียกว่าพ่อบุญธรรม เธอไม่สามารถข้ามผ่านอุปสรรคในใจของเธอได้ อย่างน้อยที่สุดก็เรียกว่าพ่อสยง จ้าวอิงหนานสองสามีภรรยาก็ไม่ได้สนใจ เธอจะเรียกอะไรก็ได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือคือความจริงใจ
อู่เหมยกึ่งผลักกึ่งดึงสองคนนี้ออกไปด้านนอก ไม่มีของขวัญแล้ว ก็ปล่อยให้เธอทำกับข้าวสองสามอย่างแสดงความกตัญญูเถอะ เหยียนหมิงซุ่นเสนอตัวเป็นผู้ช่วยอยู่ในครัว เขาไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า แล้วก็ไม่ชอบดมกลิ่นเหล้า อยู่ในครัวเขาสบายใจกว่าอยู่ข้างนอก
…………………………………………………………………….
ตอนที่ 272 แสดงฝีมือให้ชมเล็กน้อย
ตอนแรกเหยียนหมิงซุ่นคิดจะเป็นคนลงมือทำอาหาร เพราะดูแล้วอู่เหมยไม่เหมือนคนทำกับข้าวเป็นจริงๆ มือเล็กๆ ขาวบอบบางนั้นจะถือมีดหั่นผักไหวหรือ?
ทว่า…
อู่เหมยล้างผัก หั่นผักอย่างคล่องแคล่วมาก ดูแล้วยังคล่องแคล่วกว่ากว่าผู้ใหญ่ ยายตัวดีกำลังซอยมันฝรั่งเสียงดังฉับๆ เห็นเพียงมีดแลบแสงแวววับ มันฝรั่งซอยที่ทั้งหนาและบางปะปนกันวางกองอยู่บนเขียงแล้ว ฝีมือการหั่นนี้ไม่ใช่วัน สองวันก็สามารถฝึกได้สำเร็จ
ห้องครัวของครอบครัวสยงมีรสนิยมมาก ทั้งเตาแก๊ส พัดลมระบายอากาศ เตาอบ หม้อหุงข้าวก็มีครบหมด ทั้งยังมีวัตถุดิบสำหรับอาหารจานใหญ่มากมาย ทั้งปลาจวดตัวใหญ่เอย เป็ดเอย เป็ดก็น่าจะเป็นเป็ดสดใหม่ หนึ่งตัวหนักกิโลกว่าๆ เธอสับเป็นชิ้นๆ เตรียมทำเป็ดเมาเบียร์ เมื่อตะกี้เธอเหลือบเห็นที่ห้องรับแขกบ้านสยงมีเบียร์หนึ่งลัง
“พี่หมิงซุ่นคะ พี่ช่วยไปหยิบเบียร์ขวดหนึ่งมาให้ฉันได้ไหม?”
อู่เหมยเอาเนื้อเป็ดลงไปลวกในน้ำเดือด ขิง กระเทียม พริกที่ทอดเสร็จอยู่ในน้ำมันรอเป็นเครื่องปรุงรส เอาเนื้อเป็ดที่สะเด็ดน้ำผัดคลุกเคล้าไปมา รอเหยียนหมิงซุ่นหยิบเบียร์เข้ามา ก็จะเทเบียร์ลงไปหมดขวด ได้พอดีกับเนื้อเป็ด
“อาหารของเหมยเหมยแปลกใหม่มากเลยนะ เธอคิดเองเหรอ?” เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกสนใจมาก หรือว่าเมื่อก่อนเคยเห็นคนทำอาหารเนื้อเป็ดอย่างนี้ ก็ไม่รู้วาจะอร่อยหรือไม่อร่อย
อู่เหมยไม่กล้าเข้าข้างตัวเอง ยิ้มแล้วกล่าว “อันนี้ฉันเคยเห็นคนอื่นทำ รสชาติอร่อยเป็นพิเศษ พี่หมิงซุ่นชิมดูก็จะรู้”
บนเตานึ่งเปิดไฟอ่อนๆ ไว้อบเป็ดเมาเบียร์ อีกเตาอู่เหมยก็ใช้ผัดกับข้าวอย่างอื่น เธอตั้งใจแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ เพราะหากภาพลักษณ์ของอู่เยวี่ยคือผลการเรียนดี เช่นนั้นแล้วเธอก็สร้างภาพลักษณ์ดีๆ บ้างก็ได้ ฝีมือในการทำอาหารก็คงจะถือว่าใช้ได้นะ!
ทำเมนูปลากระรอกยุ่งยากเกินไป อีกอย่างเปลืองน้ำมันด้วย อู่เหมยจึงตัดสินใจทำปลาจวดผัดซอสแดง ปลาจวดที่พ่อสยงเตรียมไว้ทั้งสดทั้งตัวโต ราคาต้องแพงแน่นอน ปลาตากจนแห้งแล้ว อู่เหมยทอดปลาทั้งสองด้านจนเหลืองอย่างคล่องแคล่ว เธอใส่เครื่องปรุงเรียบร้อย เติมน้ำพอดีตัวปลา ปิดฝาหม้อเพื่อต้มให้สุก คราวนี้เธอก็เริ่มหั่นผักอย่างอื่นอีก เอาแนวคิดของฮั่วหลัวเกิง[1] มาใช้ในครัวให้ได้มากที่สุด
เหยียนหมิงซุ่นเดิมทียังอยากจะช่วยออกแรง แต่กลับพบว่ายายตัวดีไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเขาเสียด้วยซ้ำ เธอสามารถทำทุกอย่างได้คนเดียว ทำเป็นลำดับขั้นตอน ไม่มีความสับสนเลยสักนิด
เขาลูบจมูกไปมา อดกลั้นหัวเราะไม่ไหว อู่เหมยที่นิ่งเงียบในครัว ทำให้เขาหลงนิดหน่อย เหมือนว่ามีผู้หญิงที่สวยงามคนหนึ่งในความทรงจำ กำลังทำงานหนักอยู่ในครัวเพื่อเตรียมอาหารให้กับผู้ชายของเธอ
เหยียนหมิงซุ่นพยายามนึกย้อนถึงเรื่องในอดีตที่เลือนลางยิ่งกว่าอากาศบนยอดเขาเอเวอเรสต์ ถึงที่สุดแล้วเพราะว่าเขาเด็กเกินไป จำได้แค่ภาพเงาที่รู้สึกมีความสนิทเท่านั้น ที่ค่อยๆ ทับกับภาพรูปร่างเล็กของอู่เหมยอย่างไม่คาดคิด
“คุณแม่…”
เหยียนหมิงซุ่นเกือบเรียกออกมา
เขาสติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว สะบัดหัวด้วยความหงุดหงิด ใบหน้าหล่อเหลาร้อนผ่าวราวกับไฟ โชคดีที่เขาเรียกสติกลับมาทัน ไม่อย่างนั้นก็คงจะปล่อยไก่แน่
เรียกยายตัวดีที่อายุสิบสองว่าแม่ คงน่าขบขันที่สุดในโลก
“พี่หมิงซุ่นคะ พี่ร้อนเหรอคะ? พี่รีบออกไปกินข้าวสิคะ ในครัวร้อนอบอ้าวจะตาย” อู่เหมยคิดว่าเหยียนหมิงซุ่นร้อน จึงดันเขาออกไป เหยียนหมิงซุ่นก็อายที่จะอยู่ในครัวกับอู่เหมย ก็เลยถือโอกาสออกไป
เขายอมที่จะดมกลิ่นเบียร์บนโต๊ะอาหาร แต่ก็จะไม่ยอมอยู่ในครัวแคบๆ กับอู่เหมยอีก เขารู้สึกอึดอัดเกินไป
ตอนที่ออกไป มือเขาก็ประคองจานเป็ดเมาเบียร์ออกไปด้วย กลิ่นหอมโชยเตะจมูก สีสันของเนื้อเป็ดก็น่ากิน สีและกลิ่นเข้ากัน หอมหวนชวนกิน รสชาติคงไม่แย่เท่าไร
“วันนี้พวกเรามีลาภปากแล้ว นี่เป็นเมนูใหม่ที่เหมยเหมยทำครับ” เหยียนหมิงพูดด้วยรอยยิ้ม
…………………………………………………..
[1] ฮั่วหลัวเกิง คือ นักปรัชญาชาวจีน เจ้าของวลีสุภาษิต “คนอื่นช่วยเรา เราจะจำชั่วชีวิต เราช่วยคนอื่น จงอย่างใส่ใจ”
ตอนที่ 273 เป็ดเมาเบียร์อร่อย
สยงมู่มู่คีบเนื้อเป็ดใส่เข้าปาก เพราะว่าเป็นเป็ดสด เนื้อจึงนุ่มเป็นพิเศษ รสชาติเบียร์และเครื่องปรุงซึมเข้าเนื้อ อร่อยที่สุด และมีความเผ็ดเล็กน้อย สยงมู่มู่เพิ่งจะกัดไปหนึ่งคำก็ตาเบิกโพลง กลืนเนื้อเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม แล้วคายกระดูกออกมา
“พ่อ เมนูเป็ดที่เหมยเหมยทำอร่อยกว่าของพ่ออีก แม่ แม่รีบมากินสิ รสชาติยอดเยี่ยมจริง ๆ ” สยงสยงมู่มู่ชมไม่ขาดปาก แล้วก็คีบเนื้อขึ้นมากินอีก
เจ้าอิงหนานกับพ่อสยงเดิมทียังกังวลว่า เหมยเหมยจะทำให้อาหารดี ๆ ของพวกเขาเสียหาย แต่พอพวกเขากินเนื้อไปเข้าไป ต่างก็ยกนิ้วโป้งให้ “ครูอู่ คุณนี่ช่างโชคดีจริง ๆ ฝีมือทำกับข้าวของเหมยเหมยอร่อยกว่าพ่อครัวของโรงแรมอีกนะ!”
แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะเตรียมใจไว้แล้วสำหรับฝีมือทำครัวของอู่เหมย แต่หลังจากที่กินเนื้อเป็ดแล้ว ยังสะดุ้งตกใจ พูดออกมาจากใจ เขาอยู่มาจนอายุสี่สิบปีแล้ว ยังไม่เคยกินเป็ดที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!
ใครบอกให้คุณนายอู่กับเหอปี้อวิ๋น ล้วนก็ไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับฝีมือการทำอาหารล่ะ จะว่าไปแล้วในตอนนั้นทุกครอบครัวต่างก็ขาดแคลนน้ำมัน ขาดแคลนเนื้อ ได้กินข้าวอิ่มก็เพียงพอแล้ว ใครจะไปจับผิดรสชาติของอาหารล่ะ?
เป็ดเมาเบียร์หม้อนี้ก็เอาชนะใจทุกคนได้ในฉับพลัน แม้กระทั่งผู้เฒ่าเหยียนก็กินอย่างเอร็ดอร่อย เขามีความประทับใจต่ออู่เหม่ยไม่น้อย ฝีมือการทำอาหารเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับเด็กผู้หญิง เหมือนกับแม่ของเหยียนหมิงซุ่นก็มีฝีมือการทำอาหารที่เก่ง ส่วนถานซูฟางอย่าได้พูดถึงเลย พูดอยู่คำเดียวว่าเป็นผู้หญิงยุคใหม่ แม้แต่หุงหาอาหารก็ยังทำไม่เป็นเลย ช่างน่าอดสู!
อู่เหมยก็ยกปลาจวดน้ำแดง มันฝรั่งเส้นผัดน้ำส้มสายชู ผัดวุ้นเส้นใส่หมูสับ ผัดเผ็ดหอย หมูเส้นผัดกระเทียมและพริก ผัดผักกับฟองเต้าหู้ มันฝรั่งแผ่น อบมะเขือยาวกับกระเทียม เป็นต้น อาหารแต่ละจานล้วนเป็นแสดงฝีมือที่เกินมาตรฐาน ต้องเกี่ยวข้องกับความสมบูรณ์ของครอบครัวสยงแน่นอน ถ้าไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่ตั้งใจทำอาหารออกมามากมายขนาดนี้
เหยียนหมิงซุ่นช่วยเธอยกอาหารออกมา อาหารเหล่านี้มีหลายอย่างที่เป็นเมนูใหม่ที่ทุกคนไม่เคยเห็น โดยเฉพาะผัดมันฝรั่งแผ่นและอบมะเขือยาวกับกระเทียม สยงมู่มู่กับเจ้าอิงหนานกินอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนใหญ่แล้วเป็นสองคนนี้ที่กินทั้งหมด
อู่เหมยยิ้มและกล่าว “แม่บุญธรรมคะ กับข้าวสองอย่างนี้ สามารถทำเป็นอาหารหลักได้นะคะ หนูใส่น้ำมันไม่เยอะ ถึงแม้แม่บุญธรรมจะกินหมดจานก็ไม่อ้วนค่ะ”
เจ้าอิงหนานได้ยินก็รู้สึกจิตใจเบิกบาน ผู้หญิงกลัวอะไรที่สุด?
ท้ายที่สุดเหลือแต่หมูติดมันเหรอ?
เธอไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน แต่เธอไม่ชอบความอ้วน หลายปีมานี้เธอมีแนวโน้มอ้วนอย่างเห็นได้ชัด เอวของเธอหนากว่าตอนที่เป็นสาวอย่างน้อยสองนิ้ว คำพูดอู่เหมย ติดอยู่ในใจของเธอแล้ว เธอรีบถาม “เหมยเหมย กับข้าวนี้ทำอย่างไร? รีบสอนพ่อสยงของเธอเร็ว ๆ”
“ง่ายมากค่ะ แผ่นมันฝรั่งที่หั่นเสร็จ ทาด้วยน้ำมัน แล้ว เอาเข้าเตาอบที่ระดับอุณภูมิสองร้อยองศา อบห้านาทีก็เสร็จเรียบร้อย มะเขือยาวก็เช่นกัน หั่นเป็นแผ่นใหญ่โดยเปลี่ยนขนาดมีด แล้วเอากระเทียม หมูสามชั้นจุ่มลงไปในซอส รอให้เครื่องปรุงเข้ากัน แล้วก็ทาลงบนมะเขือยาว แล้วก็ทาน้ำมันถั่วเหลือง อบที่ความร้อนสองร้อยองศา เป็นเวลาห้านาที พอเอาออกมาจากเตา ก็ใส่จานเป็นอันเสร็จเรียบร้อย
อู่เหมยแนะนำวิธีทำกับข้าวสองอย่างนี้อย่างง่ายๆ พ่อสยงฟังไปพยักหน้าตลอด แบบนี้ทั้งประหยัดเวลาทั้งประหยัดแรง ภรรยาก็ชอบกิน ต่อไปเขาต้องทำบ่อย ๆ
“เหมยเหมยเก่งจริง ๆ อายุยังน้อยแต่ทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่าง เหอปี้อวิ๋นเป็นคนสอนเธอเหรอ?” เจ้าอิงหนานจงใจถาม จริง ๆ แล้วรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ ถึงแม้วิธีใช้เตาอบจะไม่ซับซ้อน แต่ถ้าไม่มีคนสอน แต่หัดใช้เองก็ยังยากที่จะเข้าใจ ทำไมอู่เหมยครั้งแรกก็ใช้เป็นแล้ว?
อู่เหมยครุ่นคิดแล้วกล่าว “ตอนที่หนูเจ็ดขวบก็เริ่มทำกับข้าวแล้วค่ะ แล้วก็ยังดูรายการทำอาหารบ้าง ลองคิดเมนูเอง แล้วบ้านแม่บุญธรรมก็มีอุปกรณ์ครบพอดี หนูก็เลยลองดู!
เจ้าอิงหนานถูกอวย ยิ่งสบายอกสบายใจ หน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า สวยยิ่งกว่าเวลาปกติ เธอตีหน้าผากเหมยเหมยเบาๆหลายครั้ง ยิ้มแล้วกล่าว “ฉันเก็บของมีค่าได้จริง ๆ ครูอู่ ฉันขอคารวะคุณหนึ่งแก้ว ขอบคุณที่เลี้ยงดูลูกสาวมาอย่างดี”
………………………………………………………..
ตอนที่ 274 การทำอาหารที่ดี พิชิตใจทุกคนได้
เจ้าอิงหนานดื่มหมดแก้วอย่างสำราญใจ อู่เจิ้งซือก็เริ่มเวียนหัวนิดหน่อย เขารู้สึกมึน ๆ หัว เจ้าอิงหนานชวนดื่ม เขาก็ดื่มหมดแก้วโดยไม่ลังเลสักนิด เหยียนหมิงซุ่นช่วยพวกเขารินเหล้า แน่นอนว่าไม่ลืมที่จะรินให้ปู่ของเขาเอง ท่านผู้เฒ่าก็เป็นคนคอแข็งคนหนึ่ง มีคุณย่าหยางดูแลบ้านอยู่ ตอนนี้เป็นอิสระ และมีทั้งเหล้าดี ๆ อาหารดี ๆ จะอดทนได้ที่ไหน?
ท่านผู้เฒ่าเหยียนมองอู่เหมยอย่างอ่อนโยน มองเธอจนเธอรู้สึกอึดอัด เธอจึงก้มหน้ากินอาหาร เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วรู้สึกขำ เขาจึงคีบน่องเป็ดให้อู่เหมย เขาเก็บเอาไว้ให้เธอตั้งนานแล้ว ยายเด็กนี่ยุ่งตลอดทั้งค่ำ ต้องตอบแทนเธอสักหน่อย
“ขอบคุณค่ะ พี่หมิงซุ่น” อู่เหมยกล่าวขอบคุณเสียงเบา
ท่านผู้เฒ่าเหยียนเห็นปฏิสัมพันธ์ของหลานคนโตกับอู่เหมย เขาตาปรือ ไม่ค่อยมีสติเพราะเมาเหล้า ในสายตาเขาที่เป็นคนแก่ เห็นสองคนนี้เหมือนกับภาพวาด งดงามอย่างยิ่ง ท่านผู้เฒ่าทนไม่ไหวก็ดื่มเหล้าไปอีกครึ่งแก้ว เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมา
ลักษณะหน้าตาและฝีมือการทำอาหารยายตัวดีของตระกูลอู่ล้วนอยู่ในระดับท็อป ผลการเรียนไม่สำคัญ ผู้หญิงไม่มีความสามารถแต่มีคุณธรรม เรียนหนังสือมากก็มีความทะเยอทะยานแล้วมีอะไรดี เป็นครั้งแรกที่หมิงซุ่นสนิทกับผู้หญิงขนาดนี้
เดิมทีเขายังรู้สึกว่าอู่เหมยขี้ระแวงไปหน่อย แต่ตอนนี้มาคิด ๆ ดู ก็ไม่เป็นไร ความรู้สึกของหลานชายสำคัญที่สุด อนึ่งหากขี้ระแวงน้อยไป ต่อไปจะสู้ถานซูฟางไม่ได้!
อู่เหมยเอาชนะใจท่านผู้เฒ่าเหยียนด้วยฝีมือการทำอาหาร สายตาของท่านผู้เฒ่าเหยีวนที่มองไปยังอู่เหมยนั้นยิ่งอ่อนโยน เขามองจนอู่เหมยขนลุก เธอขยับเข้าไปใกล้เหยียนหมิงซุ่นโดยไม่รู้ตัว เหยียนหมิงซุ่นหันไปมองปู่ของตัวเอง ยังคิดว่าปู่ไม่ชอบอู่เหมย รีบคีบเนื้อเป็ดมากิน เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของปู่
อู่เจิ้งซือกินจนปากมัน และหน้าตาสว่างสดใส การชมเชยของสามีและภรรยาเจ้าอิงหนานทำให้เขาภูมิใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการชมเชยของท่านผู้เฒ่าเหยียน ยิ่งเป็นเพราะว่าเมื่อสองวันก่อนอู่เยวี่ยสอบพลาดจึงทำให้เขาอับอาย ตอนนี้เขาเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้อีกครั้ง และความรักของพ่อที่มีต่ออู่เหม่ยก็มากยิ่งขึ้น
“เหมยเหมยกินกระเพาะเป็ดสิ ลูกชอบกินที่สุด” อู่เจิ้งซือคีบกระเพาะเป็ดให้อู่เหมย น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษ นี่เป็นการปฏิบัติที่อู่เยวี่ยเคยได้รับ แต่อารมณ์ของอู่เหมยสงบมาก
เมื่อก่อนเธอรู้สึกอิจฉาอู่เยวี่ยมากที่ได้รับความรัก เอ็นดูของอู่เจิ้งซือ เธอเคยคิดฝันไว้ว่าคงมีสักวันหนึ่งที่ตัวเองจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แต่ตอนนี้เธอไม่ได้คิดแล้ว เพราะว่าเธอไม่ต้องการมันแล้ว
ความรักของอู่เจิ้งซือมีผลประโยชน์มากเกินไป แต่ยังไม่บริสุทธิ์เท่าความรักของเหอปี้อวิ๋น การรักคน คนหนึ่ง ไม่สนใจว่าจะหอมหรือเหม็น รักเธออย่างไม่ลืมหูลืมตา เช่น เหมือนกับเหอปี้อวิ๋นที่รู้สึกต่ออู่เยวี่ย แต่ไม่เหมือนอู่เจิ้งซือ ตอนที่หอมหวานก็ดีไปหมดทุกอย่าง แต่พอเหม็นแล้ว ก็เบื่อหน่ายเหลือเกิน ความรักเช่นนี้ เธอไม่ต้องการ
แต่เธอกลับไม่ปฏิเสธ แต่อู่เจิ้งซือที่เห็นแก่ตัวและเห็นแก่ผลประโยชน์นั้นเป็นอาวุธที่ยอดเยี่ยมสำหรับเธอไว้ใช้จัดการอู่เยวี่ย!
“ครูอู่ ครูเหอเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมอย่างนี้ คิดว่าฝีมือทำอาหารของอู่เยวี่ยต้องเยี่ยมกว่านี้อีก? คุณนี่ช่างโชคดีจริงๆ!” เจ้าอิงหนานจงใจพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของอู่เจิ้งซือค่อย ๆ หายไป กล่าวด้วยสีหน้าเหยเก “ครูเจ้าก็ชมเกินไปแล้ว แต่เด็ก ๆ ส่งเสียงเอะอะวุ่นวายไปทั่วก็เท่านั้นเอง จะเรียกว่ามีฝีมือทำอาหารได้อย่างไร”
อู่เยวี่ยทำกับข้าวเป็นหรือไม่เป็น เขารู้ดีที่สุด ทอดไข่ดาวยังทำไม่เป็น จะมีฝีมือทำกับข้าวอะไร?
โชคดีที่วันนี้ไม่ให้อู่เยวี่ยมา ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะปล่อยไก่แย่เลย อู่เจิ้งซืออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขาไม่ได้ตระหนักว่าลูกสาวคนโตที่ทำให้เขาภูมิใจจนหาที่เปรียบมิได้ในอดีต ตอนนี้จะมีความสัมพันธ์กับ ‘ความขายหน้า’ ได้
จ้าวหยิงหนานไม่พูดอะไรมาก เมื่อถึงจุดนั้น อู่เจิ้งซือจะครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งได้เองว่าลูกสาวทั้งสองคน คนไหนจะเป็นของมีค่า คนไหนเป็นของปลอมกันแน่ ขอเพียงไม่โง่เขลาจนเกินไป ก็ยังสามารถเข้าใจแจ่มแจ้งได้อยู่ดี
กินข้าวได้ครึ่งหนึ่ง สยงมู่มู่กรอกตาไปมา แล้วก็ล้วงเอาภาพวาดที่ยับยู่ยี่นั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้เจ้าอิงหนานด้วยความยิ้มแย้ม “พ่อ แม่ ครับ นี่เป็นของขวัญที่เหมยเหมยมอบให้พวกท่านครับ !”
……………………………………………………………..
ตอนที่ 275 เปิดเผยของขวัญที่ถูกขโมย
เจ้าอิงหนานเคยเรียนวาดรูปตอนเด็ก ๆ แต่เธอไม่รักสิ่งนี้ เรียนไม่ถึงครึ่งปีก็เลิกเรียน จึงเปลี่ยนมาเรียนเปียโน เธอยังคงมีสายตาเฉียบคม เพียงแค่มองปราดเดียวก็ดูออกถึงแปลกใหม่ของภาพวาดนี้ ถึงแม้การใช้ดินสอยังอ่อนหัด ทว่าแนวความคิดใหม่และจิตวิญญาณที่อยู่ในนั้นกลับเต็มไปด้วยความล้ำค่า จิตรกรบางคนวาดมาหลายสิบปี ก็ยังวาดภาพที่มีจิตวิญญาณออกมาไม่ได้เลย!
“นี่คือภาพวาดที่เหมยเหมยวาด? อุ๊ยตาย ลูกสาวบุญธรรมของฉัน ทำไมถึงสุดยอดอย่างนี้?”
เจ้าอิงหนานกอดอู่เหมยและหอมหลายฟอด ดูออกว่าเธอมีความสุขกับอู่เหมยจริง ๆ พ่อสยงก็มีสีหน้าเช่นนั้นเหมือนกัน ยิ่งมองอู่เหมยด้วยสายตาที่ทึ่ง ตอนแรกคิดว่าที่สยงมู่มู่พูดว่าอู่เหมยมีพรสวรรค์ในการวาดรูปเป็นเรื่องสนุก แต่ดูแล้วตอนนี้ เขามองคนไม่ออกจริง ๆ
แต่พรสวรรค์ของอู่เหมยไม่ธรรมดาเลยนะ!
“แม่บุญธรรม ภาพวาดนี้เสียหายแล้ว หนูค่อยวาดให้ใหม่นะ?”
อู่เหมยอายมาก ภาพวาดยับยู่ยี่จนเป็นผักเหี่ยว ดูยังไงก็รู้สึกไม่สบายตา
เจ้าอิงหนานสังเกตเห็นความเสียหายของภาพอยู่แล้ว เธอกำลังรอให้อู่เหมยพูดขึ้นมาเอง เธอก็เลยถือโอกาสถามว่า เกิดอะไรขึ้น สยงมู่มู่แย่งพูดก่อน พูดออกมาหมดทั้งเรื่องสร้อยข้อมือเงินโดนขโมย และเรื่องภาพวาดที่ถูกทำลาย เขาปิดบังเรื่องฉิวฉิวไว้ พูดเพียงว่าพวกเขาไปหาเจอเองที่ด้านล่าง
“มิน่า พวกเธอไปหยิบเหล้านานขนาดนี้ แต่มันน่าแปลกจริง ๆ ใครจะขโมยเครื่องประดับเงินที่ไร้ค่า?” เจ้าอิงหนานพูดกับตัวเอง แต่ในใจกลับยิ่งรู้สึกพอใจอู่เหมย
แต่ไม่พูดถึงเครื่องประดับเงินว่ามีค่าหรือไม่ มีแค่ความตั้งใจของยายตัวดีก็มีค่ายิ่งกว่าทองคำแล้ว และยังมีภาพวาดที่ทองพันตำลึงก็หาซื้อไม่ได้ แสดงถึงความจริงใจของอู่เหมยอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ท่านผู้เฒ่าเหยียนก็เอารับภาพวาดมาดูอย่างละเอียด ในหัวคิดตลอด แต่เห็นเขาพอใจกับภาพวาดนี้อย่างยิ่ง ยิ่งเพิ่มความชอบต่ออู่เหมยมากขึ้น เขาพูดกับอู่เจิ้งซือ “ภาพวาดนี้ของเหมยเหมยยอดเยี่ยม หากมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียงให้คำแนะนำสักหน่อย ไม่แน่ต่อไปอาจจะมีแกลอรี่เป็นของตัวเอง!”
ตัวท่านผู้เฒ่าเองก็เก่งเรื่องการวาดภาพและระบายสี คำพูดของเขามีน้ำหนักมากกว่าเจ้าอิงหนาน อู่เจิ้งซือประหลาดใจมาก แต่เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการเรียนวาดรูปของอู่เหมย มีแกลอรี่เป็นของตัวเองช่างล่อใจเขาจริง ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเขียนพู่กันหรือวาดภาพ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือคุณไม่มีสไตล์ของตัวเอง ซึ่งสามารถเลียนแบบผลงานของศิลปินที่มีชื่อเสียงในระยะแรก และสามารถเลียนแบบพวกเขามาเป็นเวลานาน แต่คุณต้องมีสไตล์ของตัวเอง มิเช่นนั้นก็จะแสดงความโดดเด่นออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงเก็บความยิ่งใหญ่เกรียงไกรเอาไว้
อู๋เหม่ยมีสไตล์ของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยซึ่งดีกว่าหลาย ๆ คน หากฝึกฝนดี ๆ การมีชื่อเสียงโด่งดังก็อาจเป็นไปได้!
หากเป็นเช่นนี้ เขายิ่งมีเกียรติมากยิ่งขึ้น!
แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะตื่นเต้น
แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกมา ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำ ของที่วางไว้ในบ้าน ปล่อยให้คนมาขโยไป นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“เหมยเหมย ลูกแน่ใจแล้วเหรอว่าของวางอยู่ในลิ้นชัก? อู่เจิ้งซือถาม
อู่เหมยพยักหน้าอย่างมั่นใจ สยงมู่มู่ก็ช่วยเสริม “ผมเห็นเหมยเหมยเอาของวาง พวกคุณดูนี่ นี่คือกำไลมือที่เหมยเหมยให้ผม สวยไหม?
เขาแกว่งข้อมือไปมา กำไลมือที่เปล่งประกาย ลายก็ลึกลับ ไม่นานก็ดึงดูดสายตาของเจ้าอิงหนาน เธอดึงมือลูกชายไว้ แล้วก็ถอดกำไลออกมา ใส่ลงมือของตัวเอง
“แม่ใส่สวยกว่าลูกใส่นะ แม่เอาแล้ว!” เจ้าอิงหนานแกว่งมือด้วยความพอใจ มันทันสมัยกว่าสร้อยทองที่เธอสวมใส่ชั่วคราวตั้งเยอะ”
“พ่อ ยังไม่ดูภรรยาของพ่ออีก จนกลายเป็นโจรแล้ว แม่ คืนให้ผมนะ ที่เหมยเหมยให้แม่ สวยกว่าของผมอีก แย่งของจากเด็ก แม่ไม่อายเหรอ!
สยงมู่มู่แย่งคืนหลายครั้งก็แย่งไม่ได้ จ้องแม่ของตัวเองด้วยความเจ็บแค้น
……………………………………………………………………..
ตอนที่ 276 หลังบ้านไม่สงบสุข แผ่นดินจะสงบสุขได้อย่างไร
พ่อสยงยืนหยัดที่จะเข้าข้างภรรยา โดยไม่สนใจสายตาอันเศร้าสร้อยของลูกชายแม้แต่นิดเดียว ถึงแม้เขาจะคีบซี่โครงหมูเป็นการปลอบใจ ช้าเร็วลูกชายก็เป็นของผู้หญิงอื่น แต่ภรรยาเป็นของเขาตลอดชีวิต คนโง่เขลาต่างก็รู้ว่าต้องเลือกอย่างไร!
เจ้าอิงหนานได้ยินว่าเครื่องประดับเงินที่อู่เหมยเตรียมไว้ให้เธอสวยกว่านี้ แต่ก็รู้สึกเสียดาย เธอจึงกล่าวตำหนิ “พรุ่งนี้ฉันต้องไปแจ้งผู้อำนวยการ ความสงบเรียบร้อยของโรงเรียนนับวันยิ่งแย่ ของวางไว้ในบ้านก็หายได้”
สยงมู่มู่ทำเสียง ฮึ อย่างอารมณ์เสีย อ้าปากจะพูดว่าคนในบ้านเป็นขโมย อู่เหมยเอาข้อศอกกระทุ้งเขา เขาเจ็บจนเกือบจะแทบกลั้นโมโหไม่ไหว จ้องมองคนที่ทำให้เขาเจ็บด้วยสายตาดุร้าย อู่เหมยพูดเตือนเสียงกระซิบ “พ่อของฉันรักศักดิ์ศรีที่สุด เธออย่าพูดอย่างนี้ต่อหน้าเขา”
“ฮึ!”
สยงมู่มู่สะบัดหน้าหนี คลึงด้านหลังเอวด้วยหน้าตาบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด ดูแล้วยายตัวดีดูผอมและไม่แข็งแรง แต่พอได้ตีคน ก็เจ็บจริง ๆ
ไม่จำเป็นต้องสยงมู่มู่เตือน คนที่นั่งอยู่ต่างก็นึกถึงเรื่องนี้ เครื่องประดับเงินที่ไม่มีค่า แต่ตระกูลอู่อยู่ชั้นสอง หัวขโมยที่ไหนจะมาเสี่ยงขโมยเครื่องประดับเงินที่ราคาอันน้อยนิดนี้?
จะว่าไปแล้วตระกูลอู่มีคนอยู่บ้าน อยู่กันตั้งสองคนจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เห็นว่ามีหัวขโมย?
เห็นประจักษ์ชัดแจ้งว่าเรื่องนี้เป็นคนในบ้านทำ ถ้าไม่ใช่เหอปี้อวิ๋นก็เป็นอู่เยวี่ย แต่ว่าพวกเขาส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเหอปี้อวิ๋น และก็รู้สึกว่ามีเพียงผู้หญิงที่หยาบคายเท่านั้น จึงจะสามารถทำสิ่งนี้ได้!
อู่เจิ้งซือก็นึกถึงเรื่องนี้ สีหน้าเขาดูผิดปกติ บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที พ่อสยงก็เริ่มทำให้บรรยากาศคลี่คลายอีกครั้ง ยังดีที่กินข้าวเกือบจะเสร็จแล้ว ไม่นานงานเลี้ยงก็ต้องเลิกแล้ว
อาหารบนโต๊ะกินหมดแล้ว เหล้าเหลือเยอะ เจ้าอิงหนานให้สยงมู่ม่เอาเหล้าที่กินไม่หมดคืนตระกูลอู่ เธอไม่เอาเปรียบคนอื่น เหอปี้อวิ๋นผู้หญิงคนนี้จะได้ไม่พูดจาไร้สาระข้างนอก
ท่านผู้เฒ่าเหยียนดื่มเยอะไปหน่อย เหยียนหมิงซุ่นประคองเขาเดินไปอย่างช้า ๆ ท่านผู้เฒ่าเหยียนมองอู่เจิ้งซือที่อยู่ด้านข้าง เขาคันปาก อดไม่ได้จึงกล่าวว่า “เสี่ยวอู่ ดังคำกล่าวโบราณที่ว่า กวาดบ้านกวาดช่องไม่ได้ แผ่นดินจะสงบสุขได้อย่างไร? ก็เหมือนกับบ้านนี้ที่ไม่สงบสุข บางเรื่อง คุณก็ต้องจัดการนะ!
อู่เจิ้งซืออับอายจนหน้าแดงก่ำ แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจกับการชอบวุ่นวายของท่านผู้เฒ่า แต่เอือมระอากับเหอปี้อวิ๋น ตัวการที่ก่อกรรมทำชั่วหลายอย่างมากกว่า คิดเพียงว่าหลังจากกลับไปแล้วต้องอบรมสั่งสอนผู้หญิงคนนี้สักหน่อย
อู่เหมยไม่พูดอะไรมาโดยตลอด เธอกลับจิตใจเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง แค่อยากจะไปดูโชว์ที่ยอดเยี่ยมของเหอปี้อวิ๋นหลังจากกลับไปแล้ว อู่เจิ้งซือตาแดง ตั้งแต่แต่ไรมาไม่เคยเห็นเขาโกรธมากขนาดนี้ เหอปี้อวิ๋นซวยแล้ว !
สยงมู่มู่ วางขวดอู่เหลียงเย่ที่เหลือและหงหนี่เอ๋อร์หนึ่งไหลง หันไปหาอู่เหมยแล้วทำหน้าทะเล้น พูดไม่ออกเสียง : “พรุ่งนี้เช้าเล่าให้ฉันฟังด้วยนะ!”
อู่เหมยถมึงตาใส่เขา สยงมู่มู่หัวเราะคิกคัก หากเป็นไปได้ เขาอยากจะอยู่ต่อดูสด ๆ !
เหอปี้อวิ๋นเห็นว่าคืนเหล้ามาครึ่งเดียว รู้สึกดีใจนิดหน่อย แต่ก็ยังเสียดาย เหล้าเหมาไถที่ดีที่สุดหมดแล้ว เหล้าเหมาไถขวดหนึ่งราคาตั้งแปดหยวนกว่านะ!
“เหล่าอู่ คุณทำไมถึงได้ดื่มเยอะอย่างนี้? เจ้าอิงหนานก็เหลือเกิน ไม่ใช่เหล้าของบ้านตัวเองก็ไม่เสียดาย ดื่มจนหมดเกลี้ยง!
เหอปี้อวิ๋น ประคองอู่เจิ้งซือ เธอทนไม่ไหวจึงบ่นขึ้นมา เหล้าเหมาไถสองขวด อู่เหลียงเย่หนึ่งขวด บาดแผลทางใจที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นใหญ่จริง ๆ แม้กระทั่งก็ยังดูสีหน้าที่ผิดปกติของอู่เจิ้งซือไม่ออก
ทีแรกอู่เจิ้งซืออยากจะเรียกเหอปี้อวิ๋นไปที่ห้องนอนแล้วค่อยอบรมสั่งสอน แต่ความโมโหที่ข่มเอาไว้นั้น ก็ถูกเหอปี้อวิ๋นทำให้เดือดดาลขึ้นมาทันที เขาวิ่งไปข้างบนอย่างเร็ว บวกกับเหล้าที่ทำให้มีความกล้ามากขึ้น และยังมีคำพูดของท่านผู้เฒ่าเหยียน และสายตาเห็นอกเห็นใจของเจ้าอิงหนานพวกเขา กระตุ้นความโกรธอู่เจิ้งซือไม่หยุด
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 277 ตบสองฉาด
“เผียะ!”
อู่เหมยที่เพิ่งตักน้ำใส่กะละมังแล้วออกมาจากห้องน้ำ สะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังชัดเจน เธอหันหน้ามองไปทางที่มาของเสียงทันที กลับเห็นเหอปี้อวิ๋นปิดหน้าไว้ ดูเหมือนว่ายังตกตะลึงงงงัน
อู่เหมยใจเต้นตุบๆ รู้สึกเบิกบานใจ ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาอู่เจิ้งซือเป็นสุภาพบุรุษ แม้แต่คำพูดที่บาดหมางใจก็แทบจะไม่พูด แต่ตอนนี้กลับลงมือกับเหอปี้อวิ๋นและเสียงตบหน้ายังชัดแจ๋วอีก แสดงว่าเขาคงจะโมโหมาก
อุ๊ย! ทำไมไม่ตบอีกสักฉาดล่ะ?
ถ้าหากว่าได้ตบอู่เยวี่ยสักฉาดก็ยิ่งดี เธอประคองน้ำแอบอยู่ในมุมบ้าน เธอทำตัวเป็นมนุษย์นักส่องอย่างเงียบๆ เพื่อป้องกันไฟสงครามกระทบมาถึงเธอที่อยู่ตรงนี้
อู่เยวี่ยก็วิ่งออกมาจากห้องนอน ตกใจกับความเดือดดาลของอู่เจิ้งซือ มีความตกตะลึงเล็กน้อย จ้องมองพ่อแม่
ด้วยความงงงัน
ผ่านไปนานเหอปี้อวิ๋นจึงได้สติกลับคืนมา มองอู่เจิ้งซื้อด้วยความเคียดแค้น กัดฟันตะโกนเสียงทุ้ม “คุณตบฉัน? คุณมีสิทธิ์อะไรมาตบฉัน หา! อู่เจิ้งซือบอกฉันมานะ!”
เธอเหมือนกับคนบ้าคลั่ง ดึงอู่เจิ้งซือไว้ ทั้งข่วนทั้งกัด ขาก็เตะและถีบอยู่หลายครั้ง กำลังต่อสู้ก็มีมาก อู่เจิ้งซือเป็นปัญญาชนคนหนึ่ง จะเป็นคู่ต่อสู้ของหญิงปากปลาร้าได้ที่ไหน ผ่านไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาก็มีหลายจุดที่เลือดออก แล้วก็ปวดหนึบๆ ที่น่อง
“หญิงที่ปากปลาร้า ก็คือหญิงชนบทที่หยาบคาย ไม่มีเหตุผล!”
อู่เจิ้งซือโกรธจนพูดจาสับสน รู้สึกขยะแขยงเมื่อมองเหอปี้อวิ๋นที่ผมยุ่งกระเซอะกระเซิง รู้สึกเสียใจอยู่ในใจ ทำไมตอนแรกถึงได้ตาบอด ที่เห็นเงาของ ‘เธอ’ ในร่างนังปีศาจนี้?
“อู่เจิ้งซือ คุณมันใจร้าย ตอนแรกที่ขอฉันแต่งงาน คุณพูดด้วยคำพูดที่หวานไพเราะ แต่ตอนนี้กลับรังเกียจกันหาว่าฉันหยาบคาย? จิตใจที่ดีของคุณก็เอาให้หมามันกินเถอะ!” เหอปี้อวิ๋นตะโกนจนอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เสียงแหบแห้งไปหมด ใครจะไปเห็นแก่หน้าตาได้อีก?
อู่เจิ้งซือเป็นคนรักศักดิ์ศรีที่สุด พอเขาเห็นเหอปี้อวิ๋นตะโกนเสียงดัง ความเดือดดาลก็ยิ่งเพิ่มทวีขึ้น สุภาพบุรุษอะไร ผู้ชายที่ดีไม่สู้ผู้หญิงล้วนไร้สาระทั้งนั้น เขาง้างมือตบลงไปอย่างแรงอีกครั้ง
การตบครั้งนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก เหอปี้อวิ๋นโซเซ ถอยหลัง แล้วล้มลงกับพื้น ใบหน้าบวมเหมือนกับหมู เธอตะลึงงัน ร้องไห้ไม่หยุด
“แม่!”
อู่เยวี่ยรีบไปดูเหอปี้อวิ๋นด้วยความเป็นห่วง แม่เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังที่แข็งแกร่งที่สุด หากเหอปี้อวิ๋นเป็นอะไรไป วันข้างหน้าในอนาคตของเธอก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น สุดท้ายแล้วเธอกับเหอปี้อวิ๋น อย่างไรก็เป็นแม่ลูกที่มีจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน
เห็นเหอปี้อวิ๋นถูกทำร้ายอย่างน่าเวทนาอย่างนี้ อู่เยวี่ยรู้สึกไม่สบาย จึงตำหนิอู่เจิ้งซือ
“พ่อ ทำไมพ่อถึงตีแม่? พ่อพูดอยู่เสมอว่า เอาชนะใจคนด้วยคุณธรรมไม่ใช่เหรอ? ตัวเองกลับฝ่าฝืนได้อย่างไร?” อู่เยวี่ยถามพร้อมกับร้องไห้
อู่เจิ้งซือรู้สึกเสียใจจริงๆ หลังจากที่ตีไปแล้ว ฝ่ามือที่แสบร้อนได้ย้ำเตือนวีรกรรมที่เขาทำเมื่อสักครู่นี้ นึกไม่ถึงว่าเขาจะลงมือกับภรรยา?
อู่เยวี่ยพอมองก็รู้ว่าอู่เจิ้งซือรู้สึกเสียใจ เธอเหลือบตาไปมา แล้วหยิบกระจกขึ้นมา จากนั้นหันไปที่หน้าอู่เจิ้งซือแล้วกล่าว “พ่อ ให้หนูจะจัดการกับบาดแผลนี้นะ ถ้าไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้พ่อจะไปสอนได้อย่างไร”
ในกระจกมีรอยข่วนที่มีเลือดออกอยู่สามหรือสี่รอย ที่คางอีกรอย แก้มขวาสองรอยและที่คิ้วมีรอยเล็กๆ พอเห็นอย่างนี้ก็น่ากลัวแย่แล้ว ความเดือดดาลของอู่เจิ้งซือเกือบจะพุ่งออกมาจากจุดป๋ายฮุ่ย
หน้าตาของชายสำคัญที่สุด เขาคาดไม่ถึงว่าเหอปี้อวิ๋นจะไม่สนใจหน้าตาของเขาเลย ตีให้ตายก็สมควรแล้ว!
“เหอปี้อวิ๋น เธอสู้ผู้หญิงชนบทเหล่านั้นไม่ได้เลย ผู้หญิงชนบทก็ยังรู้เลยว่าขโมยเป็นเรื่องน่าอาย แต่เธอกลับขโมยแม้กระทั่งสิ่งของของลูก ไม่มีศีลธรรมเอาเสียเลย …ทำไมคุณถึงกลายเป็นแบบนี้?”
อู่เจิ้งซือตำหนิด้วยความเกลียดชังอย่างยิ่ง ความผิดหวังในแววตาทิ่มแทงหัวใจเหอปี้อวิ๋นครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเงยหน้ามองด้วยความประหลาดใจ “อู่เจิ้งซือ คุณพูดให้ มันดีๆ นะ ฉันขโมยอะไร?
……………………………………………………………….
ตอนที่ 278 ต่อไปการล้างจานคืองานของอู่เยวี่ย
เหอปี้อวิ๋นพูดว่า เธอไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น ที่ว่าเธอหยิบของอู่เหมย ท่าทางของเธอดูเศร้าเสียใจมาก คล้ายกับว่าคับแค้นใจอย่างยิ่ง พูดเพียงว่าอู่เจิ้งซือใส่ร้ายเธอ
“อู่เจิ้งซือ คุณมีชู้รักอยู่ข้างนอกแล้วสินะ? จึงคิดหาวิธีที่จะจัดการฉัน ถึงแม้ว่าครอบครัวของฉันจะไม่ใช่ตระกูลที่ได้เรียนหนังมือมาหลายชั่วคนอะไร แต่ก็เป็นครอบครัวที่ไม่มีความด่างพร้อย ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่ก็สั่งสอนว่าต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันอยู่กินกับคุณมาสิบหกปีแล้ว ถึงแม้จะยากจน ฉันก็ไม่เคยไปเอาข้าวคนอื่น คุณมาใส่ร้ายป้ายสีฉันเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ครั้งถือว่านี้เหอปี้อวิ๋นพูดได้อย่างมีเหตุผล พลิกสถานการณ์ที่เสียเปรียบจนกลายเป็นได้เปรียบ เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นว่า ความผิดที่อู่เจิ้งซือกล่าวหานั้นไม่เป็นความจริง เธอพูดเพียงว่าเขานอกใจ เดิมทีอู่เจิ้งซือพูดไม่ค่อยเก่ง บวกกับหลังจากที่ดื่มเหล้าเข้าไป ก็เริ่มเวียนหัว คาดไม่ถึงว่าจะโดนเหอปี้อวิ๋นพูดจนเขาพูดไม่ออก ตะลึงงันตัวแข็งเหมือนกับไม้
เหอปี้อวิ๋นยิ่งได้ใจ แต่ความแสบร้อนที่ใบหน้าก็ทำให้เธออับอายขายหน้าและโกรธมาก แต่งงานกับอู่เจิ้งซือสิบหกปี สามีของเธอไม่เคยแตะแม้แต่ปลายนิ้วเธอ แต่ตอนนี้เพราะว่าต้องมีคนทำผิดถูกลงโทษ จึงได้ตบเธอสองฉาดต่อหน้าพวกลูกๆ อีก
“อู่เจิ้งซือ คุณมันใจดำ ฉันรับใช้คุณอย่างเหน็ดเหนื่อย ดูแลลูกๆ ถึงแม้จะไม่มีความดีความชอบก็ควรจะชื่นชมสิ คุณทำร้ายฉันได้อย่างไร? นี่คือการกระทำของตระกูลอู่ของพวกคุณหรือ? ฉันจะไปถามคุณพ่อคุณแม่ของเรา!”
เหอปี้อวิ๋นเห็นอู่เจิ้งซือตะลึงงัน แล้วยังเข้าใจว่าเขากลัวความผิด ก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เธอหมุนตัวจะเดินไปห้องประชาสัมพันธ์เพื่อโทรศัพท์ อู่เหมยรีบวิ่งไปล็อกประตู ตะโกนเสียงดัง “แม่ แม่ขีดข่วนหน้าของพ่อเหมือนกับผีอย่างนี้ พ่อของหนูเป็นครูตัวอย่างของจังหวัด แล้วพรุ่งนี้เขาจะไปสอนยังไง ขายขี้หน้าแย่!”
อู่เจิ้งซือใจหล่นวูบ มองหน้าเหอปี้อวิ๋นที่โอหังด้วยความรังเกียจ ทั้งหมดก็เป็นเพราะผู้หญิงปากปลาร้าคนนี้ ทำให้พรุ่งนี้เขาต้องถูกเพื่อนร่วมงานหัวเราะเยาะอีก เขาขมวดคิ้ว กล่าวเสียงเข้ม “คุณทำผิด คุณยังมีเหตุผลอีกเหรอ? อีกอย่างทำไมผมถึงตบคุณ คุณเองก็ลองคิดดูดีๆ ว่าช่วงนี้ทำเรื่องอะไรไว้ ผมขายขี้หน้าคนอื่นเขาหมดก็เพราะคุณ!”
เหอปี้อวิ๋นตกใจที่ถูกอู่เจิ้งซือระเบิดอารมณ์ใส่อย่างฉับพลัน เธอรู้ดีว่าช่วงนี้อู่เจิ้งซือไม่พอใจเธออย่างมาก เมื่อตะกี้ที่พูดอย่างนั้นเพื่อระงับท่าทางที่ดุดันของอู่เจิ้งซือไว้ก็เท่านั้นเอง เธอคิดว่าต้องมีคนเลวมาฟ้องก่อน
ทีแรกคิดว่าทำสำเร็จแล้ว แต่กลับพังเพราะคำพูดของยายตัวดีนี่ เหอปี้อวิ๋นจ้องเขม็งไปยังอู่เหมยด้วยความโกรธแค้น เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพราะยายตัวดีนี่ก่อขึ้น
“ยังไม่ไปล้างจีนอีก ผู้ใหญ่คุยกันแกจะมาพูดแทรกทำไม? วันๆ ดีแต่พูดให้ร้ายคนอื่น!”
เหอปี้อวิ๋นตำหนิด้วยน้ำเสียงที่เด็ดขาด ข่มความอดทนเอาไว้เพื่อจะไม่เอาไม้ขนไก่มาฟาดคน อาศัยรอให้ตอนที่อู่เจิ้งซือไม่อยู่บ้าน ต้องเล่นงานอู่เหมยเพื่อข่มความหยิ่งผยองของยายตัวดีนี่ให้มันไม่อยู่ในสายตาของเธอ
อู่เจิ้งซือพูดตำหนิ “ให้อู่เยวี่ยไปล้างจาน เหอปี้อวิ๋น เรื่องของคุณ ผมยังพูดไม่จบ คุณจะมาเบ่งอำนาจอะไร? ผมรู้ว่าตลอดทั้งวันคุณใช้เหมยเหมยทำงาน คุณสู้แม่เลี้ยงไม่ได้เลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้อู่เยวี่ยล้างจาน เธอเป็นพี่สาว ควรจะทำงานให้มากกว่านี้”
ดูเหมือนอู่เยวี่ยกำลังคิดอะไรบางอย่าง เธอรู้สึกประหลาดใจมาก พอได้ยินคำพูดของอู่เจิ้งซือ อู่เยวี่ยก็หน้าซีด เธอรู้สึกรันทดใจ ก็แค่สอบได้ไม่ดีครั้งเดียวเท่านั้นเอง พ่อก็ให้เธอล้างจานแล้ว ต่อไปไม่ใช่ต้องซักผ้าอีกเหรอ?
เหอปี้อวิ๋นรีบโวยวาย “เยวี่ยเยวี่ยต้องเรียนหนังสือ มีเวลาล้างจานที่ไหน? อู่เจิ้งซือ คุณไม่พอใจฉันก็มาลงที่ฉัน อย่าไปลงที่เยวี่ยเยวี่ย!”
อู่เจิ้งซือหัวเราะอย่างดูแคลน “หอบหนังสือทั้งวันก็ยังสอบไม่ได้ที่หนึ่ง เหมยเหมยทำงานบ้านทั้งวันก็ยังมีพัฒนา เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ อีกเรื่อง… เหอปี้อวิ๋น ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีก็อย่าไปลงที่เหมยเหมยอีกนะ!”
……………………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น