ยอดหญิงสกุลเสิ่น 270.1-272.1

ตอนที่ 270-1 เรื่องอื้อฉาว

 

เรื่องอื้อฉาวเรื่องนี้อยู่ในความคาดหมายของเสิ่นเวย ก็คือเรื่องที่ท่านอ๋องจิ้นเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกถูกพระชายาอ๋องจิ้นรู้เข้าน่ะสิ อย่างไรเสียความลับก็ไม่มีในโลก เพียงแต่ไม่คิดว่าจะปูดออกมายามนี้เท่านั้น


 


 


ที่ตลกร้ายที่สุดคือเรื่องนี้ยังเป็นบุตรคนที่สี่ของท่านอ๋องจิ้นสวีฉ่างหลุดปากออกมาต่อหน้าเสด็จแม่ของเขา สวีฉ่างรู้ได้อย่างไรว่าบิดาของเขาเลี้ยงผู้หญิงอยู่ข้างนอกนะ? เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็เพราะความบังเอิญ


 


 


สวีฉ่างก็คือคนสำมะเลเทเมาที่อยู่ตามกองบุปผาในหอคณิกา คบหาสหายเสเพลกลุ่มใหญ่ สหายของเขาย่อมเป็นคนประเภทเดียวกับเขาทั้งนั้น ในนั้นเขาสนิทกับชีเว่ยที่สุด อย่าเห็นว่าชีเว่ยเกลียดสวีโย่วเข้ากระดูกดำ ทว่าไม่กระทบความสัมพันธ์อันดีของเขาและสวีฉ่างเลยสักนิด


 


 


ระยะนี้ชีเว่ยถูกตาต้องใจหญิงสาวนางหนึ่งที่อาศัยอยู่ตรอกใบหลิว บอกว่าเป็นหญิงที่พ่อค้าจากต่างถิ่นเลี้ยงไว้ข้างนอก หน้าตาสวยอย่างไรอย่างไร ยิ่งกว่านั้นพ่อค้าต่างถิ่นปีหนึ่งอยู่เพียงสองเดือน บัดนี้ท้ายปี พ่อค้าต่างถิ่นนั่นกลับบ้านไปฉลองปีใหม่นานแล้ว ชีเว่ยจึงคิดจะฉวยโอกาสเอาคนมาเป็นของตน


 


 


เขาโอ้อวดรูปโฉมของหญิงสาวนางนั้นต่อหน้าสวีฉ่างเสียจนอย่างกับเป็นางฟ้านางสวรรค์ ราวกับฉางเอ๋อในวังจันทราอย่างไรอย่างนั้น พูดจนสวีฉ่างใจคันคะเยอตามไปด้วย จึงปีนกำแพงไปเกี้ยวพาราสีเป็นเพื่อนชีเว่ยอย่างมีน้ำใจยิ่งนัก


 


 


เจ้าสองคนนี้ดื่มไปเล็กน้อย โต๋เต๋ๆ ไปถึงตรอกใบหลิว ใช้แรงของวัวเก้าตัวกับเสืออีกสองตัวมารวมกันถึงปีนขึ้นกำแพงบ้านของหญิงสาวนางนั้นได้ เพิ่งโผล่หน้าออกไป สวีฉ่างก็ตกใจสะดุ้งเฮือกตกจากข้างบนลงมา สร่างเมาไปกว่าครึ่งทันที แล้วก็ไม่ทันได้สนใจความเจ็บปวดลากชีเว่ยแล้วก็เผ่นแนบ


 


 


ชีเว่ยนั่นยังไม่เข้าใจสถานการณ์เลย “เป็นอันใดหรือ? เป็นอันใดหรือ? เจ้าวิ่งหาอะไร?” ชีเว่ยหายใจหอบแฮ่กๆ พลางพูดอย่างไม่พอใจยิ่งนัก


 


 


สวีฉ่างก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน มือหนึ่งพยุงกำแพง มือหนึ่งกดหน้าอก แล้วหอบหายใจแรง ครึ่งค่อนวันถึงทุเลาขึ้น


 


 


“เจ้าก็ไม่สืบให้แน่ชัดก็ลากข้ามา เจ้าเกือบทำให้ข้าตายแล้วรู้หรือไม่?” สวีฉ่างถลึงตาใส่ชีเว่ยปราดหนึ่ง ถึงบัดนี้เขายังกลัวไม่หายเลยนะ


 


 


“ไยข้าถึงทำให้เจ้าตายล่ะ? เมื่อครู่เจ้าเห็นใครล่ะ? หรือว่านั่นไม่ใช่ผู้หญิงที่พ่อค้าต่างถิ่นเลี้ยงไว้ข้างนอก?” ชีเว่ยถาม เมื่อครู่เขายังเห็นอะไรไม่ชัดทั้งนั้นก็ถูกสวีฉ่างกระชากลงมาแล้ว


 


 


“พ่อค้าต่างถิ่นผายลมสิ นั่นมันบิดาข้า” สวีฉ่างระเบิดคำหยาบออกมา เมื่อครู่เขาเห็นเสด็จพ่อของเขากำลังอุ้มนางหนูนั่นยืนอยู่ในลานบ้าน นางหนูนั่นสองมือกอดคอของเสด็จพ่อเขาไว้ ปากยังเรียกท่านพ่อ ท่านพ่ออย่างร่าเริง


 


 


“อะไรนะ? ท่านลุงอ๋องจิ้น?” ชีเว่ยตกใจจนปากยัดไข่ไก่เข้าไปได้ทั้งใบ “ไม่คิดว่าจะเป็นผู้หญิงที่เสด็จพ่อเจ้าเลี้ยงไว้ข้างนอก!” ชีเว่ยรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดมาก


 


 


“มิเช่นนั้นข้าวิ่งอะไรล่ะ?” สวีฉ่างพูดอย่างไม่สบอารมณ์ หากถูกเสด็จพ่อจับได้จะเป็นผลดีกับเขาหรือ? ส่วนเสด็จพ่อเขาเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอก นั่นเรื่องไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น ผู้ชายนี่นา โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์เช่นเสด็จพ่อเขาเช่นนี้ เลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกสักคนจะเป็นไรไป?


 


 


ชีเว่ยหลังจากตกตะลึงผ่านไปก็หัวเราะร่าฮ่าๆ ว่า “นี่มันน้ำเชี่ยวชนปะทะวังพญามังกรจริงๆ แหะ ไม่คิดว่าท่านลุงอ๋องจิ้นก็เป็นคนร่วมอุดมการณ์เดียวกันหรือเนี่ย!” เขายักคิ้วหลิ่วตาให้สวีฉ่าง “ในเมื่อเรือนหลังนั้นเป็นของท่านลุงอ๋องจิ้น เช่นนั้นข้าก็ไปหาคนสวยที่อื่นดีกว่า จุ๊ๆๆ!” สีหน้ายังผิดหวังมากอย่างคาดไม่ถึง


 


 


สวีฉ่างก็ไม่ได้คิดจะบอกความลับกับเสด็จแม่ของเขาหรอกนะ เขารู้สึกจริงๆ ว่าผู้ชายเที่ยวหอคณิกาเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกเป็นเรื่องปกติ และก็เพราะสวีฉ่างพบความลับเรื่องนี้ของเสด็จพ่อเขาเข้า เขาถึงรู้สึกว่าเขาและเสด็จพ่อเป็นพวกเดียวกัน มองเสด็จพ่อเขาแล้วรู้สึกใกล้ชิดกันเหลือเกิน


 


 


เป็นเพราะพระชายาอ๋องจิ้นเห็นสวีฉ่างแต่งงานแล้วยังออกข้างนอกเป็นเรื่องไม่สมควรจริงๆ จึงสั่งสอนเขาไปสองสามประโยค สวีฉ่างปากไวชั่วขณะหลุดปากออกมาว่า “เสด็จแม่ ลูกเพียงแต่รักสนุกนิดหน่อย ไม่ได้ทำเรื่องผิดกฎหมายเสียหน่อย ข้างกายชายมีสาวงามรู้ใจสองสามคนจะเป็นไรไป? เสด็จพ่อยังเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกเลย ลูกเที่ยวหอคณิกาหน่อยจะเป็นไรไป?”


 


 


พอพระชายาอ๋องจิ้นได้ยินเรื่องนี้เข้าก็หายนะแล้ว บีบให้บุตรชายสารภาพทันที สวีฉ่างถูกบีบจนช่วยไม่ได้ ได้แต่พูดเรื่องที่เขารู้ออกมาจนหมด รวมทั้งผู้หญิงข้างนอกนั่นชื่ออะไร อายุเท่าไร อาศัยอยู่ที่ไหน แม้แต่เรื่องที่นางให้กำเนิดบุตรสาวเล็กๆ สองคนให้เสด็จพ่อเขาก็พูดออกมาจนหมด


 


 


พระชายาอ๋องจิ้นทรุดลงทันที มือสั่นเทา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ไม่คิดว่าท่านอ๋องจิ้นจะปิดบังนางเลี้ยงผู้หญิงอยู่ข้างนอก อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรสาวสองคน นางกลับไม่ระแคะระคายอะไรเลยแม้แต่น้อย นี่หมายความว่าอะไรล่ะ? ความเชื่อใจและรักเดียวใจเดียวในหลายปีมานี้เป็นเรื่องตลกชัดๆ ในใจพระชายาอ๋องจิ้นเศร้าโศกและอ้างว้างเหลือจะกล่าว ที่มีมากกว่าความเศร้าและอ้างว้างคือความโกรธแค้น


 


 


“เด็กๆ เด็กๆ ยายซือเจ้าพาคนไปตรอกใบหลิวมัดนางชั่วช้านั่นมาให้ข้า ข้าจะดูเสียหน่อยว่างามหยาดฟ้ามาดินปานใดถึงทำให้ท่านอ๋องลุ่มหลงไม่ลืมหูลืมตาถึงเพียงนี้” พระชายาอ๋องจิ้นกัดฟันออกคำสั่ง


 


 


สวีฉ่างเห็นว่าก่อเรื่องใหญ่แล้ว งงเป็นไก่ตาแตกทันที หากให้เสด็จพ่อรู้ว่าเขาทำความลับรั่วไหล เช่นนั้นเขายังอยู่ดีได้อีกหรือ? ฉวยโอกาสที่ไม่มีคนสนใจ สวีฉ่างเผ่นพรวดไปแล้ว รีบไปหาเสด็จพ่อของเขาแล้ว


 


 


และก็ให้บังเอิญนัก ท่านอ๋องจิ้นที่ปกติอยู่ในจวนเป็นประจำวันนี้กลับไม่อยู่ สวีฉ่างพาเด็กรับใช้หาอยู่ครึ่งค่อนวันถึงหาเขาพบ รอถึงยามที่ท่านอ๋องจิ้นรุดมาถึงเรือนที่ตรอกใบหลิว ข้างในก็เละตุ้มเป๊ะไปหมด ม่านเอ๋อร์ผู้หญิงที่เลี้ยงไว้และบุตรสาวตัวน้อยสองคนล้วนไม่อยู่ คนรับใช้ไม่กี่คนล้มหัวร้างข้างแตกอยู่บนพื้น


 


 


ท่านอ๋องจิ้นทั้งโกรธทั้งตกใจ ไม่ต้องถามเขาก็รู้ว่าเป็นฝีมือใคร เขากระทืบเท้าหันหลังแล้วก็พุ่งกลับจวนอ๋องจิ้น สวีฉ่างที่ตามอยู่ข้างหลังมองดูสภาพน่าอนาถในลานบ้านแล้ว ใจทั้งดวงเย็นชืดหมดแล้ว เสด็จแม่เอ๊ย ไยท่านจึงลงมือโหดเช่นนี้นะ? ทีนี้ท่านแหย่จนเสด็จพ่อโกรธแล้วนะ!


 


 


ยามที่ท่านอ๋องจิ้นรุดกลับมาถึงจวนอ๋องพระชายาอ๋องจิ้นกำลังลงทัณฑ์ม่านเอ๋อร์อยู่เลย ใบหน้าที่งามดุจบุปผาหยกงามถูกตบจนเหมือนหัวหมู บุตรสาวตัวน้อยตกใจจนร้องไห้กระจองอแง คนเล็กนั่นเพิ่งจะอายุสองสามเดือนเอง ถูกแม่นมกอดไว้แน่นๆ อยู่ในอก


 


 


“ก็เพียงแค่หน้าตายั่วยวนเหมือนนางจิ้งจอกไม่ใช่หรือ? วันนี้ข้าจะทำลายใบหน้าของเจ้าเสีย ดูสิเจ้าจะเอาอะไรยั่วยวนท่านอ๋อง” พระชายาอ๋องจิ้นใบหน้าแฝงความดุร้าย พอหันหน้าเห็นเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมอกแม่นม ในตายิ่งพ่นไฟโกรธอาฆาตแค้นออกมา “ก็มีความสามารถดีนี่นา แม้แต่สายพันธุ์ชั่วๆ นี่ก็คลอดออกมาถึงสองคน เห็นแล้วก็รำคาญ จงทุ่มให้ตายเสีย”


 


 


แล้วก็มียายเฒ่าทำงานหยาบเข้ามาแย่งเด็ก เลือดเนื้อเชื่อมใจ ม่านเอ๋อร์นั่นก็ไม่สนใจว่าตนถูกตบจนหน้ามืดวิงเวียนแล้ว ดิ้นรนขึ้นมาขัดขวาง “พระชายา พระชายา ขอร้องล่ะ ได้โปรดปล่อยลูกของข้าน้อยด้วยเถอะ นางยังเล็ก ยังไม่ครบสามเดือนเลยเจ้าค่ะ! ท่านโกรธก็ลงที่ข้าน้อยเถอะ ท่านจะตีจะฆ่าก็ได้ ขอได้โปรดให้ทางรอดกับเด็กด้วยเถอะเจ้าค่ะ! ข้าน้อยขอร้องท่านแล้ว ข้าโขกศีรษะให้ท่านแล้ว” นางวิงวอนอย่างทุกข์ทน


 


 


ม่านเอ๋อร์ศีรษะแตะพื้น โขกศีรษะดังโป๊กๆ ขึ้นมา เพียงครู่เดียวหน้าผากก็เต็มไปด้วยเลือด ไหลอาบหน้า เป็นที่น่าสยดสยอง


 


 


ในใจพระชายาอ๋องจิ้นรู้สึกสะใจแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “มัวไปทำอะไรอยู่ตั้งนาน? สายไปแล้ว! โยนเจ้าพันธุ์ชั่วช้าเล็กๆ นี่ออกไป”


 


 


แม่นมที่บอบบางไหนเลยจะสู้ยายเฒ่าบึกบึนได้ สุดท้ายเด็กยังคงถูกยายเฒ่านั่นแย่งไปไว้ในมือ นางยกเด็กขึ้นสูงกำลังจะทุ่มลงพื้น


 


 


“หยุดนะ!” พอดีท่านอ๋องจิ้นรุดมาถึง เขามองดูผ้าอ้อมที่ถูกยายเฒ่าทำงานหยาบนั่นยกขึ้นสูง แล้วตกใจจนวิญญาณแทบแตกซ่าน “รีบหยุดเดี๋ยวนี้”


 


 


ท่านอ๋องจิ้นวิ่งเข้าไปแย่งเด็กจากมือของยายเฒ่า กอดไว้แน่นๆ ที่หน้าอก แล้วมองดูม่านเอ๋อร์ที่เปื้อนเลือดไปทั้งตัวที่อยู่บนพื้นและบุตรสาวที่ร้องไห้จนหน้าแดงไปหมด ทั้งปวดใจ ทั้งโกรธ


 


 


ม่านเอ๋อร์นั่นพอเห็นท่านอ๋องจิ้นมาแล้ว ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิตก็ไม่ปาน นางร้องอย่างเศร้าโศกเสียงหนึ่งว่า “ท่านอ๋อง ช่วยบุตรสาวเราด้วย” แล้วร่างกายก็อ่อนยวบล้มลงบนตัวท่านอ๋องจิ้น ส่วนบุตรสาวที่โตหน่อยคนนั้นยิ่งถลาเข้ามากอดขาของท่านอ๋องจิ้นไว้ ร้องห่มร้องไห้ว่า “ท่านพ่อ ท่านพ่อ ข้ากลัว ข้ากลัว!” ร่างกายเล็กๆ สั่นไม่หยุด


 


 


ไฟโกรธของท่านอ๋องจิ้นยิ่งโชติช่วงขึ้น “นางซ่ง นางอสรพิษ!” ท่านอ๋องจิ้นชี้พระชายาอ๋องจิ้นด่า สั่นไปทั้งตัว ขาดเพียงนิดเดียว หากเขามาช้าไปครู่หนึ่ง บุตรสาวคนเล็กของเขาก็ไม่รอดแล้ว ก็จะถูกยายเฒ่าที่สมควรตายนี่ทุ่มตายแล้ว ท่านอ๋องจิ้นถีบยายเฒ่านั่นแรงๆ ทีหนึ่งว่า “เจ้าทาสรับใช้ที่สมควรตาย หมิ่นเบื้องสูง ลากออกไปโบยให้ตาย”


 


 


ยายเฒ่านั่นงงเป็นไก่ตาแตกทันที คุกเข่าลงดังตุ๊บ แล้วโขกศีรษะราวกับสับกระเทียมว่า “ท่านอ๋องไว้ชีวิตด้วย พระชายาช่วยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวทำตามคำสั่งของท่านนะเจ้าคะ!”


 


 


“ลากลงไป ลากลงไป หนวกหูเหลือเกิน” พระชายาอ๋องจิ้นกลับไม่สนใจนางเลยแม้แต่น้อย นางจ้องท่านอ๋องจิ้นเขม็ง บนใบหน้าแฝงด้วยความเศร้าโศกและน้อยใจว่า “ท่านอ๋องบอกว่าข้าเป็นนางอสรพิษ? ท่านอ๋องแอบเลี้ยงผู้หญิงอยู่ข้างนอกลับหลังข้ายังมีเหตุผลอีกหรือ? นั่นเป็นเพียงผู้หญิงไพร่คนหนึ่งเท่านั้น เหตุใดข้าจะสั่งสอนไม่ได้” พูดถึงท้ายสุดนางก็กัดฟันจนแทบแตก


 


 


คำพูดนี้ราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ ท่านอ๋องจิ้นโกรธยิ่งกว่าเดิม “ข้าเป็นถึงอ๋อง เลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกคนหนึ่งจะเป็นไรไป? เจ้าลืมคำพูดที่สั่งสอนสะใภ้โย่วเกอเอ๋อร์หมดแล้วหรือ? เจ้าเป็นคนบอกว่าผู้ชายก็ควรมีสามภรรยาสี่อนุมิใช่หรือ? ม่านเอ๋อร์ฐานะต่ำต้อยไม่ผิด ทว่าสองคนนี้ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ไม่คิดว่าเจ้าจะลงมือกับเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า เจ้าไม่ใช่นางอสรพิษแล้วเป็นอะไร?”


 


 


“ข้าเป็นนางอสรพิษ ข้าเป็นนางอสรพิษ ไม่คิดว่าท่านอ๋องจะบอกว่าข้าเป็นนางอสรพิษ! ฮ่าๆๆ!” จู่ๆ พระชายาอ๋องจิ้นก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา “ท่านอ๋องอย่าลืมเสียล่ะว่านางอสรพิษคนนี้คลอดบุตรชายสายตรงให้ท่านแล้วสามคน” บุตรชายสายตรงสามคน บวกกับตรากตรำมายี่สิบปี ไม่คิดว่าจะเทียบนางจิ้งจอกจอมยั่วยวนต่ำช้าที่เป็นโซ่วหม่ามาก่อนและเด็กหญิงกะโปโลสองคนไม่ได้ พระชายาอย่างนาง ภรรยาหลวงคนนี้เป็นไปยังมีความหมายอะไรอีก


 


 


“เจ้าอย่ามาพูดนั่นพูดนี่หน่อยเลย ข้าก็ให้เย่เกอเอ๋อร์รับตำแหน่งซื่อจื่อตามที่หวังแล้วมิใช่หรือ? เจ้ายังมีอะไรไม่พอใจอีก? ม่านเอ๋อร์คลอดบุตรสาวให้ข้าสองคนแล้ว ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ก็ฉวยโอกาสนี้ให้พวกนางแม่ลูกสามคนเข้าจวนเถอะ” ท่านอ๋องจิ้นเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด


 


 


“อย่าได้ฝันเลย! ข้าไม่ยอม นางคนนี้ยั่วจนท่านอ๋องหลงอนุดับภรรยา หากให้นางเข้าจวนแล้วข้ายังจะมีที่ยืนอยู่หรือ? ข้าไม่ยอมเด็ดขาด” พระชายาอ๋องจิ้นประสานตากับสายตาโกรธเกรี้ยวของท่านอ๋องจิ้น แล้วเอ่ยอย่างเฉียบขาด


 


 


“เจ้า เจ้ามันริษยา เจ้าไร้เมตตา” ท่านอ๋องจิ้นกล่าวโทษเสียงดังว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องให้เจ้ายินยอม จวนอ๋องจิ้นนี้ข้ายังเป็นคนตัดสินใจอยู่ เจ้ายอมก็ต้องยอม ไม่ยอมก็ต้องยอม ม่านเอ๋อร์เป็นผู้หญิงของข้านานแล้ว ประตูจวนอ๋องจิ้นนางเข้าแน่แล้ว”


 


 


“ท่านอ๋องท่านจะหลงอนุดับภรรยาจริงหรือ? ท่านไม่กลัวพู่กันของผู้ตรวจการหรืออย่างไร? ท่านไม่กลัวฝ่าบาททรงตำหนิหรืออย่างไร?” พระชายาอ๋องจิ้นขึ้นเสียงด้วยความโกรธ


 


 


ท่านอ๋องจิ้นได้ยินดังนั้นแววตาดุร้ายขึ้นมาทันทีว่า “นางซ่ง อย่าลืมว่าเจ้าเข้าประตูใหญ่จวนอ๋องจิ้นมาได้อย่างไร” ฮึ ข่มขู่เขา! นี่เขาดีกับนางเกินไปแล้ว ถึงขนาดทำให้นางไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำข่มขู่เขาขึ้นมา “ในฐานะพระชายา ดูแลเรือนด้านหลัง รับอนุให้ข้าผลิดอกออกผล คือหน้าที่ของเจ้า นางซ่งเจ้าจงเก็บกวาดเรือนหลังหนึ่งออกมาโดยเร็ว เลือกวันให้ม่านเอ๋อร์เข้าจวน บัดนี้ข้าจะพานางไปพักเรือนด้านนอกก่อน”


 


 


สายตาที่ท่านอ๋องจิ้นมองพระชายาอ๋องจิ้นช่างซับซ้อนเหลือเกิน ก็เช่นเดียวกับในใจเขา นางซ่งที่อยู่ในใจเขาเป็นคนงดงาม จิตใจดี บอบบางเสมอมา คนมากมาย รวมทั้งเสด็จพ่อเสด็จพี่ของเขาต่างบอกเขาว่านางซ่งเป็นคนมีเจ้าแผนการไม่ธรรมดา ทว่าเขาไม่เคยเชื่อมาก่อน มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่พะเน้าพะนอนางมาหลายปีปานนี้หรอก! ต่อให้บัดนี้นางไม่งดงามดังเดิม เขาก็รู้สึกว่านางเป็นคนใจอ่อน จึงให้ความเชื่อถือและให้เกียรตินางอย่างเพียงพอ


 


 


ทว่าในความเป็นจริงล่ะ? วันนี้หากไม่เห็นกับตา เขาอาจถูกหมกไว้ในกลองไปตลอดชีวิต แม้แต่กับเด็กทารกยังลงมือได้ นั่นต้องใจแข็งปานใดกัน? ฮ่าๆๆ ที่แท้เขาต่างหากคือคนที่ตาบอดคนนั้น!


 


 


พระชายาอ๋องจิ้นโกรธจัด “ท่านอ๋อง ท่าน ท่าน…” เสียงเรียกที่โหยหวนเสียงหนึ่งออกจากปากพระชายาอ๋องจิ้น แล้วนางก็ล้มหงายหลังไปทั้งตัว


 


 


“พระชายา พระชายา”


 


 


“พระชายาท่านเป็นอะไรไป?”


 


 


“แย่แล้ว พระชายาหมดสติไปแล้ว”


 


 


“พระชายาฟื้นสิเจ้าคะ!”


 


 


เหล่าสาวใช้ยายเฒ่าร้องอย่างตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก ทว่าท่านอ๋องจิ้นไม่แม้แต่จะหยุดฝีเท้าสักก้าว เดินออกข้างนอกไปราวกับไม่ได้ยิน

 

 

 


ตอนที่ 270-2 เรื่องอื้อฉาว

 

 


 


 


สวีฉ่างที่หดศีรษะหลบอยู่ข้างนอกฟังเสียงทะเลาะของเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเขาแล้ว ขนหัวลุก ในใจเอาแต่พึมพำว่า ‘เสด็จแม่เอ๊ย ท่านก็ก้มศีรษะหน่อยสิ ก็แค่ผู้หญิงที่เลี้ยงอยู่ข้างนอกมิใช่หรือ?’ 


 


 


เข้าบ้านก็เข้าบ้านสิ ก็เพียงแค่ของเล่นที่ทำให้เสด็จพ่อดีใจเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่งเท่านั้น เรื่องใหญ่ปานใดกันเชียว? คุกคามไม่ถึงตำแหน่งของท่านเสียหน่อย ท่านจะงัดข้อกับเสด็จพ่อไปไย! อย่างไรเสด็จพ่อก็เป็นคนตัดสินใจของจวนอ๋องจิ้น ท่านเป็นท่านย่าแล้ว ยังชิงรักหักสวาทกับของเล่นอีก มิใช่ลดค่าตนเองหรอกหรือ? 


 


 


หาท่านเห็นพวกนางแม่ลูกสามคนเกะกะลูกตาจริงๆ ให้พวกนางเข้าจวนมาก่อน ท่านค่อยเล่นงานช้าๆ ก็ได้แล้วมิใช่หรือ? จำเป็นต้องร้องจะฆ่าจะแกงกับเสด็จพ่อยามนี้หรือ? นี่มิใช่ผลักเสด็จพ่อออกโต้งๆ หรือ? สวีฉ่างร้อนใจแทนเสด็จแม่ของเขาอยู่ข้างนอก 


 


 


แน่นอนคำพูดพวกนี้เขากล้าแต่แอบบ่นในใจ จะให้เขาพูดต่อหน้าเสด็จแม่เขาเขาก็ไม่กล้าเช่นกัน แน่นอนเขาก็ไม่กล้าไปเกลี้ยกล่อมเสด็จพ่อเขา ไม่เห็นเสด็จพ่อเขาโกรธจนเป็นเช่นนั้นแล้วหรือ? ยิ่งไม่กล้าเสนอหน้าเข้าไปใหญ่ อย่างไรเสียว่าไปแล้วเรื่องนี้เขาก็เป็นคนก่อขึ้น เขากลัวเสด็จพ่อสั่งสอนเขาน่ะสิ! 


 


 


รอถึงยามที่ได้ยินว่าเสด็จแม่เขาหมดสติ สวีฉ่างไม่ทันได้สนใจอย่างอื่นอีกแล้ว เดินสองก้าวก็บุกเข้าห้องไป “เสด็จแม่ เสด็จแม่ท่านไม่เป็นไรน่ะ? ท่านรีบฟื้นเร็ว! อย่าขู่ลูกสิ! หมอ รีบไปเรือนพี่สะใภ้สามเชิญหมอหลวงมา” 


 


 


สวีฉ่างออกแรงอุ้มพระชายาอ๋องจิ้นขึ้นมา เดินเข้าห้องด้านในวางลงบนเตียง คนทั้งคนคุกเข่าอยู่หน้าเตียง จ้องพระชายาอ๋องจิ้นที่หลับตาสนิทด้วยสีหน้าร้อนรน ในใจเหมือนตีกลอง เสด็จแม่ท่านอย่าเป็นอะไรไปเชียวนะ! 


 


 


“หมอหลวงล่ะ? ไยหมอหลวงยังไม่มา? ไป ไป รีบไปดูหน่อย!” เวลาผ่านไปเพียงครึ่งเค่อ สวีฉ่างก็รู้สึกนานเหมือนหนึ่งชั่วยาม จึงหมดความอดทนขึ้นมา 


 


 


“ฉ่างเกอเอ๋อร์!” เสียงที่อ่อนแอเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหู 


 


 


“เสด็จแม่ท่านฟื้นแล้ว!” สวีฉ่างถลาไปหน้าเตียงอีกด้วยความประหลาดใจ มองพระชายาอ๋องจิ้นที่ลืมตาขึ้น แล้วใบหน้ามีแต่ความดีใจ “เสด็จแม่ท่านทำลูกตกใจเกือบตาย” 


 


 


พระชายาอ๋องจิ้นเห็นมีแต่บุตรชายคนเล็กเฝ้าอยู่หน้าเตียงนาง ส่วนผู้ชายที่ให้สัญญาว่าจะดีกับนางตลอดชีวิตกลับไม่อยู่ ความรู้สึกน้อยใจอดเอ่อขึ้นในใจไม่ได้ “ฉ่างเกอเอ๋อร์ เสด็จพ่อเจ้า เสด็จพ่อเจ้า…” นางสะอื้นจนพูดไม่ออก น้ำตาสองสายไหลลงอาบแก้ม 


 


 


สวีฉ่างเห็นดังนั้นรีบช่วยนางเช็ดน้ำตาพัลวัน แล้วปลอบใจว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผ่านไปสองวันเสด็จพ่อหายโกรธก็ดีแล้ว! เสด็จแม่ท่านก็เหลือเกิน เสด็จพ่อชอบผู้หญิงคนนั้น ท่านก็ให้นางเข้าบ้านก็หมดเรื่อง ที่นางให้กำเนิดก็เป็นนางหนูอีก เกะกะท่านตรงไหนล่ะ? ท่านมักพูดว่าผู้ชายล้วนมีสามภรรยาสี่อนุมิใช่หรือ? ไยท่านกลับเลอะเลือนขึ้นมาเองล่ะ? ยามนี้เสด็จพ่อกำลังเลือดขึ้นหน้า ท่านรีบเก็บกวาดเรือนออกมาหลังหนึ่ง รับผู้หญิงคนนั้นเข้ามา เสด็จพ่อก็หายโกรธแล้ว!” เขาออกความคิดให้เสด็จแม่ตนเองขึ้นมา 


 


 


สวีฉ่างยังไม่สู้ไม่ปลอบใจดีกว่า พระชายาอ๋องจิ้นได้ยินคำปลอบใจของเขาแล้วแทบอยากจะหมดสติไปอีกครั้ง นางรู้สึกเพียงว่าแม้แต่บุตรชายคนเล็กก็ไม่ยืนอยู่ข้างนางแล้ว จึงอดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้ ร้องไห้ฮือๆ ขึ้นมา 


 


 


“เสด็จแม่ ท่าน ท่านเป็นอะไรไป?” สวีฉ่างเห็นดังนั้นยิ่งทำอะไรไม่ถูกแล้ว 


 


 


เสิ่นเวยฟังเหอฮวาเล่าอย่างเป็นตุเป็นตะ แล้วตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว 


 


 


“แค่ก นี่บ่าวก็ฟังจือเอ๋อร์พูดมาเช่นกัน หากยามนั้นบ่าวอยู่ที่นั่นก็ดีน่ะสิ” เหอฮวาเสียดายอย่างหาใดเปรียบมิได้ 


 


 


จือเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสาวใช้ชั้นสามในเรือนของพระชายาอ๋องจิ้น เพราะเคยได้รับบุณคุณจากเหอฮวา จึงนานๆ ทีก็มาหาเหอฮวาคุยเล่น 


 


 


“อ้อ ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนั้นล่ะ? พระชายาอนุญาตนางเข้าจวนหรือไม่?” เสิ่นเวยถามเหอฮวา 


 


 


“ไม่เจ้าค่ะ ยังพักอยู่เรือนด้านนอกเลยเจ้าค่ะ ได้ยินว่าพระชายาล้มป่วย ป่วยค่อนข้างหนักทีเดียว ลงจากเตียงไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” เหอฮวาเบ้ปาก ป่วยตายสิดี ยังเพ้อฝันจะควบคุมกดขี่ท่านหญิงบ้านนาง ถุย! กรรมตามสนองแล้วไหมล่ะ? 


 


 


สาวใช้ข้างกายเสิ่นเวยทั้งหมดล้วนมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น ฮึ ยามนั้นคิดแต่จะยัดคนใส่ข้างกายจวิ้นอ๋องเรา คอยทำให้ท่านหญิงเราไม่สบายใจ บัดนี้ในที่สุดท่านก็ได้ลิ้มรสชาติแล้วสินะ? ยามนั้นท่านพูดได้น่าฟังกว่าร้องเพลงอีกอะไรในฐานะนายหญิงก็ต้องมีคุณธรรมใจกว้าง อะไรรับอนุผลิดอกออกผลให้พวกท่านอ๋องเป็นหน้าที่ของนายหญิง อะไรนายหญิงไม่สามารถหึงหวงริษยาได้… ฮึ บัดนี้ไยท่านไม่รับผู้หญิงข้างนอกของท่านอ๋องเข้าจวนล่ะ? 


 


 


สวีโย่วเลิกงานกลับมา เสิ่นเวยก็เขยิบเข้าไปแล้ว “ท่านได้ยินเรื่องนั้นแล้วหรือยัง?” 


 


 


“เรื่องอะไร?” สวีโย่วเงยหน้ามองเสิ่นเวย ไม่ค่อยแน่ใจว่าที่นางถามคือเรื่องใด? 


 


 


“เรื่องในจวนที่เสด็จพ่อท่านเลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกน่ะสิ” เสิ่นเวยพลางเคี้ยวผลไม้พลางใช้คางชี้ไปที่ทิศทางของจวนอ๋องจิ้น 


 


 


สวีโย่วพยักหน้าว่า “ได้ยินแล้ว เป็นอะไรหรือ?” ข่าวของสวีโย่วต้องเร็วกว่าเสิ่นเวยสักหน่อย แม้เวลาที่เขาอยู่ในจวนอ๋องแต่ละปีไม่นาน ทว่าอย่างไรเสียก็อยู่มายี่สิบกว่าปีแล้ว ในมืออย่างไรก็มีคนจำนวนหนึ่ง 


 


 


ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้เขารู้มานานแล้วว่าช้าเร็วต้องปูดออกมาสักวัน จึงสั่งคนคอยจับตาดูไว้ตลอดเวลา อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเสด็จพ่อเขาย้ายผู้หญิงที่ชื่อม่านเอ๋อร์นั่นมาสามที่แล้ว ตั้งแต่ตรอกอวี๋ซู่ในตอนแรก มาถึงตรอกใบหลิวที่สุดท้ายนี่ เรียกได้ว่ากระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรงแล้ว เสด็จพ่อเขาก็นับว่าครุ่นคิดอย่างหนักแล้ว ทว่าแล้วอย่างไรล่ะ? ก็ยังถูกพระชายาอ๋องจิ้นรู้เข้าจนได้มิใช่หรือ? 


 


 


“ได้ยินว่าพระชายาป่วยหนักเชียว หรือไม่พวกเราไปปรนนิบัติกัน?” เสิ่นเวยขยิบตาถามสวีโย่ว 


 


 


สวีโย่วหัวเราะขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าอยากไปซ้ำเติมหัวเราะเยาะล่ะสิ!” นางหนูนี่จะไปปรนนิบัติพระชายา? ถ้าเป็นเช่นนั้นคาดว่าพระอาทิตย์น่าจะขึ้นทางทิศตะวันตก “เวยเวยช่วงนี้ว่างมากหรือ?” ไม่หรอกกระมัง นางหนูนี่กลับบ้านมารดาอย่างสนุกสนานมากมิใช่หรือ? วันๆ ขลุกอยู่แต่กับท่านปู่นางจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น ก็ไม่รู้ว่าซุบซิบเรื่องไม่ดีอะไรกันอยู่ 


 


 


“ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ? คนเขากตัญญูมากรู้หรือไม่!” เสิ่นเวยพูดอย่างไม่พอใจ นางกตัญญูมากรู้ไหม นับตั้งแต่ที่ท่านปู่นางกลับจวนรักษาตัว นางแทบจะกลับไปป้อนยาป้อนข้าว รินน้ำชาเทน้ำอ่านตำราไม่เว้นวัน จะไปหาคนกตัญญูเช่นนี้ได้ที่ไหน? ไม่เห็นท่านย่าที่แต่ก่อนไม่ชอบนางบัดนี้ก็มีไมตรีจิตต่อนางแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ยังค้นเครื่องประดับชุดหนึ่งมอบให้นาง 


 


 


สวีโย่วกระตุกมุมปาก กลับไม่ได้แย้งคำพูดของนาง เพียงว่า “มีเวลาว่างเช่นนั้นเวยเวยเจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้าดีกว่า ตัวเองลองนับดูว่าเฉยเมยกับข้ามานานเพียงใดแล้ว?” จวนอ๋องบัดนี้โกลาหลไปหมด อย่างไรพวกเขาก็อย่าไปหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า จะได้ไม่ต้องเรื่องตลกไม่ได้ดูกลับโดนหางเลขเข้าไปด้วย ยิ่งกว่านั้นในจวนนั่นก็ไม่ได้ส่งคนมาส่งข่าวเสียหน่อย ใครจะไปรู้ว่าพระชายาป่วยล่ะ? แกล้งทำเป็นไม่รู้ก็แล้วกัน! ใครอยากจะปรนนิบัตินางกัน? 


 


 


เสิ่นเวยเบ้ปาก ชำเลืองสวีโย่วปราดหนึ่ง จากนั้นยิ้มอย่างเสน่ห์เหลือร้ายว่า “เฉยเมย? ที่ไหนกันล่ะ! ดูใบหน้านี่สิ หล่อเหลาเอาการเชียว เอ๊าะๆ เลย! ต่อให้พี่สาวเฉยเมยต่อตัวเองก็เฉยเมยต่อคุณชายใหญ่ท่านไม่ได้หรอก!” พูดพลางก็ทับลงไปทั้งตัว มือหนึ่งลูบหน้าของสวีโย่ว มือหนึ่งยื่นไปที่สาบเสื้อของเขา ระยะนี้ เสิ่นเวยที่ความรู้กว้างไกลฝึกเรื่องเช่นนี้จนเป็นผู้ชำนาญมานานแล้ว 


 


 


คนเขาส่งหนังสือท้าดวลมาถึงหน้าบ้านแล้ว สวีโย่วยังรออะไรล่ะ? ย่อมอุ้มภรรยาขึ้นแล้วอย่างนี้อย่างนั้นขึ้นมา 


 


 


เทียบกับความปรองดองของสวีโย่เสิ่นเวย ทางจวนอ๋องจิ้นช่างปกคลุมไปด้วยเมฆดำจริงๆ เลย! 

 

 

 


ตอนที่ 271-1 อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่น

 

 


 


พระชายาอ๋องจิ้นล้มป่วยแล้วจริงๆ นอนอยู่บนเตียงไม่กินไม่ดื่ม เริ่มแรกไม่ยอมกินดื่ม ต่อมาหลังจากพวกบุตรชายและสะใภ้คุกเข่าขอร้อง ในที่สุดก็ยอมกินอะไรบ้างแล้ว ทว่ากลับกินเท่าไรอาเจียนเท่านั้น ต่อให้ดื่มน้ำแกงใสสองคำก็อาเจียนออกมาจนหมดได้ เหมือนอาการแพ้ครรภ์อย่างไรอย่างนั้น ทว่าหมอหลวงจับชีพจรดูนานแล้ว นางไม่ได้ตั้งครรภ์เลย


 


 


เพียงสองวัน พระชายาอ๋องจิ้นก็อิดโรยจนถอดรูป


 


 


อย่างไรก็เป็นมารดาแท้ๆ นางอู๋ นางหูและฉินอิ่งอิ่งในฐานะลูกสะใภ้อาจแสดงออกพอเป็นพิธี ทว่าสวีเย่ สวีเหยียนและสวีฉ่างในฐานะบุตรชายแท้ๆ ก็ร้อนใจอย่างไม่มีอะไรเทียบได้แล้ว โดยเฉพาะสวีฉ่าง เรื่องเกิดขึ้นเพราะเขา หากทำให้มารดาแท้ๆ เสียชีวิต ชาตินี้เขาจะไม่มีวันสงบสุขน่ะสิ


 


 


ดังนั้นเขาก็ไม่ออกไปสำมะเลเทเมาแล้ว วันๆ เฝ้าอยู่หน้าเสด็จแม่ ทำให้สวีเย่และสวีเหยียนในฐานะพี่ชายปลาบปลื้มยิ่งนัก รู้สึกว่าเจ้าน้องชายคนเล็กสุดที่ไม่สนใจอะไรใดๆ เลยในที่สุดก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว


 


 


“ท่านอ๋อง ซื่อจื่อยังคุกเข่าอยู่ข้างนอกเลยนะขอรับ” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนชะโงกมองหิมะที่ตกหนักข้างนอก แล้วเตือนอย่างระมัดระวัง


 


 


ท่านอ๋องจิ้นฮึเสียงเย็นทีหนึ่ง เอ่ยด้วยหน้าไร้ความรู้สึกว่า “เขาชอบคุกเข่าก็ให้เขาคุกเข่าไป ไม่ใช่ข้าไม่ให้เขาลุกขึ้นเสียหน่อย” สำหรับจุดประสงค์การมาของบุตรชายคนรองเขารู้ชัดเจนดี ก็ไม่พ้นขอร้องให้เสด็จแม่ของเขาเท่านั้น ทว่าครั้งนี้เขาแข็งใจจะบ่มนิสัยนาง มิเช่นนั้นไม่ขึ้นไปพลิกฟ้าหรือ?


 


 


เจ้านายโกรธ คนเป็นบ่าวไพร่ก็ลำบากใจ เกลี้ยกล่อมเถอะ ก็ทำให้เจ้านายรำคาญ ไม่เกลี้ยกล่อมเถอะ หากเกิดเรื่องอย่างไรก็ต้องบ่าวไพร่ที่รับเคราะห์แทน ลังเลครู่หนึ่ง พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนพูดต่อว่า “ท่านอ๋อง ข้างนอกหิมะตกหนักนะขอรับ ซื่อจื่อมาตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ก็คุกเข่ามาครึ่งวันแล้ว หากคุกเข่าจนเป็นอะไรไป คนปวดใจก็คือท่านอ๋องท่านไม่ใช่หรือขอรับ?”


 


 


ท่านอ๋องจิ้นมองหิมะที่โปรยปรายข้างนอกปราดหนึ่ง ดวงตาฉายแววกังวลขึ้นแวบหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไร


 


 


พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเห็นมีทางแล้ว พยายามต่อไปว่า “ข้างนอกหนาวมากจริงๆ หรือไม่ท่านก็ให้ซื่อจื่อมาคุกเข่าในห้อง?”


 


 


ท่านอ๋องจิ้นเหลือบมองเม็ดหิมะที่ถูกลมแรงพัดกระจาย สุดท้ายความเป็นห่วงบุตรชายยังคงเหนือกว่า “ไปเรียกซื่อจื่อขึ้นมาเถอะ หรือว่ายังต้องให้บิดาเขาไปเชิญเขาด้วยตนเอง?” ในคำพูดเต็มไปด้วยความรังเกียจ


 


 


พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนรีบวิ่งออกไปอย่างดีใจ กางร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่งบังไว้เหนือศีรษะสวีเย่ว่า “ท่านซื่อจื่อ ท่านรีบขึ้นมาเถอะ ท่านอ๋องเรียกท่านเข้าห้องน่ะขอรับ”


 


 


เขามองดูชั้นหิมะหนาๆ ที่ตกอยู่บนตัวสวีเย่ อีกทั้งเกล็ดน้ำแข็งบนผมและคิ้ว แล้วความกังวลลอยขึ้นใบหน้าว่า “ท่านซื่อจื่อไยท่านถึงโง่เช่นนี้? ต่อให้ท่านจะคุกเข่า ก็ควรไปที่เฉลียงนั่น ข้างนอกนี่ทั้งลมทั้งหิมะ หนาวจนล้มป่วยจะทำเช่นไรล่ะขอรับ?” พลางช่วยปัดหิมะบนตัวเขามือไม้วุ่นวายไปหมด


 


 


สวีเย่เงยหน้าเผยรอยยิ้มซาบซึ้งให้พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียน กลับอดตัวสั่นระริกไม่ได้ หนาว มารดาเจ้าช่างหนาวจริงๆ เขารู้สึกว่าตนหนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว


 


 


พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนเห็นดังนั้น รีบพยุงเขาไว้ว่า “ท่านซื่อจื่อท่านช้าหน่อย บ่าวพยุงท่านขึ้นมาขอรับ” ไอยาโย ตัวท่านซื่อจื่อเย็นยังกับแท่งน้ำแข็งก็ไม่ปาน


 


 


สองขาของสวีเย่ไม่มีความรู้สึกไปนานแล้ว แม้มีพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนคอยพยุงไว้ เขาก็ยังสะดุดอยู่ดี เกือบพาพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนล้มไปด้วยกัน


 


 


“ยังไม่รีบเข้ามาช่วย แต่ละคนมัวยืนเซ่อทำอะไรอยู่นั่น? ตาไม่มีแววเลย” พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนตะคอกใส่เด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ที่เฉลียง


 


 


แล้วก็มีเด็กรับใช้สองคนรีบวิ่งเข้ามาทันที ทั้งสามคนร่วมแรงร่วมใจกันถึงพยุงสวีเย่ที่หนาวจนแข็งไปถึงเฉลียง ทั้งปัดหิมะทั้งนวดขา วุ่นวายอยู่พักใหญ่ สวีเย่กรอกน้ำขิงไปสองชามใหญ่ถึงรู้สึกว่าหน้าอกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย


 


 


สวีเย่รู้สึกร่างกายดีขึ้นเล็กน้อยก็ไปพบบิดาเขาแล้ว เมื่อเข้าประตูก็คุกเข่าลงแต่โดยดี หลุบหน้าลงต่ำ และไม่ส่งเสียง


 


 


ท่านอ๋องจิ้นมองดูบุตรชายที่ฝากความหวังไว้ที่ตนรักที่สุด ในใจสับสนยิ่งนัก เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่เจ้าจะทำอะไร? ไม่ไปเข้าเวรที่ที่ทำการ มาสร้างความไม่สบายใจอะไรให้บิดาเจ้าที่นี่?”


 


 


สวีเย่เงยหน้าขึ้นว่า “เสด็จพ่อ เสด็จแม่แม้มีส่วนผิด ขอให้ท่านเห็นแต่ลูกและน้องรองน้องสามโปรดไว้หน้านางด้วยเถอะ เสด็จแม่แต่งง่านกับท่านมายี่สิบกว่าปี ไม่มีความดีก็มีความชอบนะขอรับ ท่านก็ให้อภัยเสด็จแม่สักครั้งเถอะ เสด็จแม่ป่วยหนักมาก ลูก ลูกเป็นห่วงจริงๆ ขอรับ”


 


 


ท่านอ๋องจิ้นมองดูความเศร้าโศกบนหน้าบุตรชาย แล้วถอนใจยาวๆ ว่า “เย่เกอเอ๋อร์ ครั้งนี้เสด็จแม่เจ้าทำเกินไปแล้ว ไม่ใช่เสด็จพ่อใจยักษ์ แต่ช่าง…” ต่อหน้าบุตรชายเขาพูดต่อไปไม่ได้อีก


 


 


สวีเย่ก็เป็นผู้ชาย ย่อมรู้ความหมายในคำพูดของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อแอบเสด็จแม่เลี้ยงผู้หญิงไว้ข้างนอกไม่เหมาะสมก็จริง ทว่าเสด็จแม่จะฆ่าจะแกงกันเช่นนี้ แม้แต่เด็กคนหนึ่งก็ไม่ละเว้นก็เกินไปแล้วเช่นกัน และก็ทำให้เสด็จพ่อเสียหน้าเหลือเกิน


 


 


“เสด็จพ่อ ลูกเข้าใจ ทางด้านเสด็จแม่ลูกจะคอยเกลี้ยกล่อม ท่านผู้ใหญ่ใจกว้าง ก็อย่าถือสาเสด็จแม่เลย” สวีเย่ขอร้องอย่างขมขื่น


 


 


ต่อหน้าบุตรชายที่ให้ความสำคัญที่สุดคนนี้ ท่านอ๋องจิ้นจะพูดอะไรได้ล่ะ? จะขอเลิกภรรยาเพราะเรื่องนี้ก็ไม่ได้ ก็ได้แต่ต่างคนต่างถอยก้าวหนึ่ง


 


 


สุดท้ายผู้หญิงที่ชื่อม่านเอ๋อร์คนนั้นยังคงเข้าจวนอ๋องจิ้น เดิมทีด้วยนางให้กำเนิดบุตรสาวสองคน สามารถให้ตำแหน่งฮูหยินได้ ทว่าบัดนี้เป็นได้แค่อนุ พระชายาอ๋องจิ้นให้คนเก็บกวานเรือนเล็กออกมาหลังหนึ่ง โยนแม่ลูกสามคนนี้เข้าไป สิ่งที่รอคอยพวกนางอยู่ยังไม่รู้คือโชคชะตาเช่นไรเลย


 


 


วันแต่งงานเสิ่นเชียนหิมะยังคงตกหนักไม่หยด แต่นี่ไม่มีผลกระทบต่อบรรยากาศอันเป็นมงคลนี้แต่อย่างใด หิมะขาวโพลนขับกับผ้าไหมสีแดงเต็มจวน ขับกับชุดมงคลสีแดงสดบนตัวเจ้าบ่าว ยิ่งเจิดจรัสโดดเด่น


 


 


จวนหย่งกั๋วกงกำลังเป็นที่โปรดปราน เสิ่นเชียนในฐานะหลานคนโตสายตรงของที่จวน เขาแต่งงานแม้แต่ฝ่าบาทก็ประทานรางวัลให้ จวนและตระกูลต่างๆ ทั่วเมืองหลวงตาไม่ได้บอด สูงถึงขุนนางใหญ่อ๋องและกง ลงล่างถึงขุนนางเล็กๆ ชั้นหกชั้นเจ็ดต่างฝ่าพายุหิมะมากันหมด


 


 


แม้แต่มหาเสนาบดีฉินที่ไม่ค่อยออกจากบ้านก็มาร่วมงานด้วย เสิ่นหงเหวินตกตะลึงเพราะไม่คาดว่าจะได้รับการโปรดปรานไปต้อนรับเขาจากประตูใหญ่ด้วยตนเอง “ท่านมหาเสนาบดีสามารถเจียดเวลามาได้ ช่างเป็นเกียรติของจวนข้าจริงๆ ท่านมหาเสนาบดีรีบเชิญข้างใน” เขาทำท่าเชิญอย่างเอาใจ


 


 


มหาเสนาบดีฉินยิ้มช้าๆ สายตาที่มองเสิ่นหงเหวินช่างสนิทชิดเชื้อเหลือเกินว่า “ยินดีด้วย ยินดีด้วย วันนี้เป็นวันมงคงของคุณชาย ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านโหวเสิ่น ณ ที่นี่แล้ว คุณชายเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ อายุน้อยๆ ก็ตั้งมั่นรักษาเขตแดนหนึ่ง ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ท่านโหวเสิ่นสอนบุตรได้ดี”


 


 


“เช่นกัน เช่นกัน นี่ล้วนเป็นพระเมตตาของฝ่าบาท” เสิ่นหงเหวินกอบหมัดตอบว่า “คุณชายใหญ่ของท่านมหาเสนาบดีฉินก็โดดเด่นเหนือคนมิใช่หรือ? เทียบกันแล้วลูกข้าเป็นเพียงนักรบคนหนึ่ง มหาเสนาบดีฉินสิถึงเป็นฝ่ายสอนบุตรได้ดีที่แท้จริง” ปากแม้ถ่อมตัวอยู่ บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


มหาเสนาบดีฉินหัวเราะฮ่าๆ อีก ล้อเล่นว่า “ข้าว่าเราก็อย่ายอกันเองเช่นนี้เลยนะ?” เสิ่นหงเหวินจึงหัวเราะตาม


 


 


ทั้งสองคนพลางพูดพลางเดินเข้าจวน ยามที่เห็นเรือนที่แขวนโคมแดงสองอันบนประตูเรือนหลังหนึ่งลิบๆ มหาเสนาบดีฉินดูเหมือนพูดตามสบายว่า “นั่นก็คือเรือนของท่านราชครูสินะ? อ้อถูกแล้ว วันนี้เป็นวันแต่งงานของซื่อจื่อ ท่านราชครูคงดีใจมากกระมัง? ว่าไปแล้วข้าก็ไม่เห็นท่านราชครูมานานมากแล้ว ไม่สู้ยามนี้ขอไปคารวะสักหน่อย” เขาหยุดฝีเท้า มองเสิ่นหงเหวิน แววตาแฝงด้วยคำถาม


 


 


เสิ่นหงเหวินกลับสีหน้าลำบากใจพร้อมถูมือไปมาว่า “บอกตามตรง บิดาข้าแม้อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก กลับยังต้องการพักฟื้นอย่างเงียบๆ โดยเฉพาะฤดูหนาวปีนี้ผิดปกติเช่นนี้ หมอหลวงบอกแล้วว่าต้องระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นเพื่อไม่เป็นการรบกวนบิดาพักฟื้น แม้แต่ข้าที่เป็นบุตรชายก็ไม่กล้าไปรบกวนบ่อยๆ ข้าละอายใจต่อการร้องขอของท่านมหาเสนาบดีฉินจริงๆ”


 


 


ท่านมหาเสนาบดีฉินดวงตาแวววับทีหนึ่ง จากนั้นยิ้มอีกว่า “เป็นเรื่องธรรมดาของคน เป็นเรื่องธรรมดาของคนน่ะ อย่างไรก็ตามท่านราชครูรักษาอาการบาดเจ็บก็สำคัญที่สุด ในเมื่อหมอหลวงก็พูดแล้ว วันนี้ข้าก็ไม่ไปรบกวนท่านราชครูพักฟื้นแล้ว รอเขาหายแล้วข้าค่อยมาเยี่ยมเยียน” ราวกับที่พูดก่อนหน้านี้เพียงแค่พูดไปอย่างนั้นเอง


 


 


เสิ่นหงเหวินเหมือนยกภูเขาออกจากอก สีหน้าซาบซึ้ง แล้วทำท่าเชิญอีกครั้งว่า “โปรดอภัยด้วย โปรดอภัยด้วย ท่านมหาเสนาบดีฉินรีบเชิญข้างใน”


 


 


มหาเสนาบดีฉินยกเท้าเดินเข้าข้างในต่อ แล้วหันหน้าอย่างไม่ตั้งใจ ดูเหมือนเห็นประตูเรือนที่แขวนโคมแดงไว้มีเงาคนแวบผ่านไป


 


 


เสิ่นเชียนแต่งงาน พวกกูไหน่ไหน่ที่ออกเรือนไปอย่างเสิ่นเวยนี้ย่อมต้องกลับมาด้วย ทว่าเสิ่นซวงน้องสาวแท้ๆ ของเสิ่นเชียนกลับไม่มา ครรภ์นี้ของนางใกล้ถึงกำหนดคลอดแล้ว เดิมทีท้องแฝดก็คลอดล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่รู้ว่านางจะออกอาการเมื่อไร บวกกับอากาศเลวร้ายปานนี้ ท่านป้าใหญ่ตระกูลสวี่แทบจะอยากจ้องนางไม่วางตา กล้าปล่อยนางออกจากบ้านที่ไหน? แม้แต่นางสวี่มารดาแท้ๆ ของนางก็พูดไว้แต่เนิ่นๆ แล้วว่า ห้ามนางมา ให้นางอยู่บ้านอย่างสงบ


 


 


เสิ่นเวยคุยเป็นเพื่อนสมาชิกผู้หญิงในครอบครัวที่สนิทกัน เหอหลินหลินและหยวนเหมียนเหมียนเกี่ยวแขนนางคนละข้าง ดีใจอย่าบอกใครเชียว


 


 


“ท่านพี่ ท่านพี่ รอหิมะหยุดแล้วเราไปปั้นตุ๊กตาหิมะกันเถอะ” หยวนเหมียนเหมียนที่ร่าเริงดึงเสิ่นเวย นางมาด้วยกันกับนางสวี่น้อยพี่สะใภ้เล็กของนาง


 


 


เหอหลินหลินก็ตาเป็นประกายเห็นด้วยว่า “ดีเลย ดีเลย พี่สี่ ถึงเวลาพวกเราปั้นตัวใหญ่ๆ นะ ใหญ่ขนาดนี้เลย” นางกางแขนทำท่า ในตาเต็มไปด้วยความระริก เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนกับยามที่พบนางครั้งแรกที่จวนเหอเลย


 


 


เสิ่นหย่าที่ดูพวกนางหยอกล้อเล่นกันอยู่ข้างๆ เอ็ดว่า “หลินเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าน่ะ มาวุ่นวายกับญาติผู้พี่เจ้าอีกแล้ว เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ยังชอบเล่นเหมือนเด็กเล็กเช่นนี้ ดูสิญาติผู้พี่เจ้าจะหัวเราะเจ้าหรือไม่?”


 


 


นี่ก็เป็นเรื่องที่เสิ่นหย่ากลัดกลุ้ม ผ่านปีใหม่ไปหลินเจี่ยเอ๋อร์ก็สิบสี่ปีแล้ว ทว่าเรื่องแต่งงานยังไม่มีวี่แววเลยแม้แต่น้อย นางเป็นหญิงหย่าร้าง ไม่สามารถออกไปสมาคมได้ มารดาใหญ่ก็ไม่ชอบหน้านาง บิดาแท้ๆ ก็เป็นผู้ชายนอก อีกทั้งได้รับบาดเจ็บ คนที่สามารถพึ่งพิงได้ก็มีแต่พี่สะใภ้ใหญ่และหลานสาวเวยเจี่ยเอ๋อร์แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ยุ่งอยู่กับงานแต่งงานของเชียนเกอเอ๋อร์ นางจึงเกรงใจที่จะพูด นางเตรียมลองพูดกับหลานสาวก่อน ไม่ขอฐานะชาติตระกูล ลูกหลานก้าวหน้าด้วยตนเอง นิสัยดีก็เพียงพอแล้ว ขอเพียงหลินเจี่ยเอ๋อร์มีที่พึ่งพิงที่ดีได้ ก็ถือว่าสมหวังในชาตินี้แล้ว

 

 

 


ตอนที่ 271-2 อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่น

 

 


 


เหอหลินหลินจู๋ปาก ไม่ได้พูดอะไร ที่จริงปกตินางสุขุมทีเดียว เพียงแต่ไม่ได้เจอญาติผู้พี่สี่นานมากแล้วนางถึงลืมตัวไปชั่วขณะ เสิ่นเวยมาบ่อยๆ ก็จริง ทว่าก็เพียงแต่มาแล้วก็ตรงไปเรือนของท่านปู่นางเลย มาเรือนด้านหลังกลับไม่มาก


 


 


เสิ่นเวยเห็นแม่นางน้อยสองคนล้วนอารมณ์ไม่ค่อยดี จึงยิ้มพูดว่า “ท่านอา ท่านก็อย่าห้ามญาติผู้น้องนักเลย เด็กผู้หญิงนี่นา ชอบหัวเราะชอบเล่นถึงจะน่ารัก” และพูดกับเหอหลินหลินและหยวนเหมียนเหมียนอีกว่า “รอหิมะหยุดแล้ว พี่สาวพาพวกเจ้าไปเล่นที่จวนผิงจวิ้นอ๋องสักสองสามวัน ถึงเวลาอยากปั้นตุ๊กตาหิมะตัวใหญ่เพียงใดก็ได้”


 


 


“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดีเหลือเกิน” แม่นางน้อยสองคนตบมือโห่ร้องอย่างประหลาดใจ


 


 


ดูจนเสิ่นหย่าอดถลึงตาใส่บุตรสาวปราดหนึ่งไม่ได้ ส่วนนางสวี่น้อยนั้นนั่งอยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้มเบาๆ สายตาที่มองไปที่น้องสามีอ่อนโยนเหลือเกิน นางซาบซึ้งในบุณคุณยิ่งนัก เดิมทีนางยอมรับชะตาแล้ว ไม่คิดว่ายังสามารถได้บุพเพที่ดีเช่นนี้มา สามีหนุ่มแน่นมีอนาคต ปฏิบัติต่อนางทั้งละเอียดอ่อนและให้เกียรติ ผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวท่านปู่ก็เป็นคนเมตตา เริ่มตั้งแต่ที่นางเข้าบ้านก็มอบสิทธิ์การดูแลบ้านให้นาง น้องสามีไร้เดียงสาร่าเริง เคารพนางเหมือนพี่สาวแท้ๆ เป็นคนต้องรู้จักพอสำนึกบุญคุณ ต่อให้ยากเพียงใดเหนื่อยเพียงไหน นางล้วนมีความกล้าแบกไว้ เปิดฉากใหม่เพื่อจวนแม่ทัพใหญ่หยวน


 


 


“เจ้าสาวเข้าบ้านแล้ว” ไม่รู้ใครตะโกนขึ้นประโยคหนึ่ง


 


 


หยวนเหมียนเหมียนและเหอหลินหลินลุกขึ้นยืนทันที “ถึงไหนแล้ว? ถึงไหนแล้ว? ท่านพี่ พวกเราไปดูเจ้าสาวเถอะ” ท่าทางเหมือนรีบร้อนทนไม่ไหว


 


 


เสิ่นเวยส่ายหน้าว่า “พวกเจ้าสองคนไปเถอะ ข้านั่งเป็นเพื่อนท่านอาหน่อย” เจ้าสาวช้าเร็วก็ต้องได้เจอ ข้างนอกคนเยอะปานนั้น ทั้งลมทั้งหิมะอีก นางเป็นบุตรสาวที่แต่งออก อีกทั้งยังเป็นถึงท่านหญิง อย่างไรก็อย่าเบียดดีกว่า


 


 


“เช่นนั้นเอาเถอะ พวกเราไปก่อนแล้ว เดี๋ยวกลับมาบอกท่านว่าเจ้าสาวสวยหรือไม่” หยวนเหมียนเหมียนและเหอหลินหลินต่างเป็นเด็กสาวที่นิสัยดีมาก เวลาครู่เดียวแค่นี้ก็สนิทกันแล้ว สองคนจูงมือกันพาสาวใช้วิ่งออกไปแล้ว


 


 


“ยัยเด็กกะเปิ๊บกะป๊าบคนนี้นี่” เสิ่นหย่าหัวเราะด่าไปประโยคหนึ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความจำใจ นางเป็นหญิงหย่าร้าง ชื่อเสียงไม่สู้ดี เรื่องมงคลเช่นนี้นางย่อมไม่ดาหน้าเข้าไปอยู่แล้ว จะได้ไม่แหย่ให้คนรังเกียจ เดิมทีนางไม่อยากแม้แต่จะออกจากเรือน บุตรสาวและหลานสาวลากนางออกมาจนได้


 


 


รอคนในห้องหอแยกกันไปจนพอประมาณแล้ว เสิ่นเวยและพี่สามของนางเสิ่นอิงข้ามไปด้วยกัน เจ้าสาวนางฉางหน้าตาย่อมไม่เลวอยู่แล้ว แววตากระจ่างใส ดูก็รู้ว่าเป็นคนสุขุมมีความคิด เสิ่นเวยแอบพยักหน้าอยู่ในใจ รู้สึกว่าภรรยาของลูกผู้พี่ใหญ่คนนี้นับว่าแต่งถูกแล้ว


 


 


หลานคนโตสายตรงแต่งงาน ราชครูเสิ่นในฐานะท่านปู่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา นี่ทำให้แขกเหรื่อสงสัยยิ่งนัก และก็คาดเดากันไปต่างๆ นานาเป็นการส่วนตัวขึ้นมา ยิ่งแน่นใจว่าราชครูเสิ่นอาการบาดเจ็บสาหัส มิเช่นนั้นไม่มีทางแม้แต่งานแต่งงานของหลานคนโตสายตรงก็ไม่โผล่มา


 


 


มหาเสนาบดีฉินกลับถึงจวนก็รีบให้คนไปเชิญที่ปรึกษามา “ท่านมหาเสนาบดี ได้พบหน้าท่านราชครูเสิ่นหรือไม่?” เยิ่นหงซูมาอย่างรีบร้อน


 


 


มหาเสนาบดีส่ายศีรษะ พร้อมพูดด้วยความเสียดายว่า “ไม่ได้พบ ราชครูเสิ่นไม่ได้โผล่มาเลย”


 


 


“ไม่โผล่มา?” เยิ่นหงซูประหลาดใจเล็กน้อย แม้แต่พิธีแต่งงานของหลานคนโตสายตรงก็ไม่ปรากฏตัว นี่ก็น่าคิดแล้ว “ดูแล้วราชครูเสิ่นบาดเจ็บไม่เบาเลยนะ” เขาขมวดคิ้วครุ่นคิด “ราชครูเสิ่นบาดเจ็บครั้งนี้ก็พักฟื้นมาสองเดือนแล้วสินะ” เขาเงยหน้ามองไปที่มหาเสนาบดีฉิน สายตาสุกใส


 


 


มหาเสนาบดีฉินพยักหน้า ว่า “ข้าลองหยั่งเชิงเสิ่นหงเหวินทีหนึ่ง สีหน้าเขาแม้ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ กลับก็ไม่มีความกังวล เยี่ยนซานฉวยโอกาสออกไปเดินเล่น กลับพบว่าเรือนของราชครูเสิ่นถูกล้อมอย่างแน่นหนา เข้าใกล้เพียงเล็กน้อยก็จะมีคนเข้ามาไล่ บอกว่าห้ามรบกวนความสงบของราชครูเสิ่น”


 


 


ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของมหาเสนาบดีฉินมาตลอดพูดว่า “ใช่ ข้าน้อยสังเกตเห็นว่ารอบๆ เรือนนั่นซ่อนยอดฝีมือไว้ไม่ต่ำกว่าสิบกว่าคน”


 


 


“เทียบกับเจ้าแล้วเป็นเช่นไร?” มหาเสนาบดีฉินและเยิ่นหงซูมองไปที่เยี่ยนซานพร้อมกัน


 


 


เยี่ยนซานครุ่นคิดครู่หนึ่งถึงพูด “ไม่ด้อยกว่า ข้าน้อยไม่มั่นใจว่าจะเอาตัวรอดโดยไม่บาดเจ็บได้”


 


 


นี่ช่างยุ่งยากจริงๆ เลย เยี่ยนซานเป็นคนข้างกายเขาที่นับว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว เฉพาะในเรือนของราชครูเสิ่นอย่างน้อยก็มียอดฝีมือสิบกว่าคนที่ไม่ด้อยกว่าเขา กองกำลังของจวนหย่งกั๋วกงแข็งแกร่งเช่นนี้แล้วหรือ? หรือว่ายอดฝีมือพวกนี้ฝ่าบาทเป็นคนส่งไป? เช่นนั้นเจตนาของฝ่าบาทคืออะไรกันนะ?


 


 


ชั่วขณะหนึ่ง มหาเสนาบดีฉินเข้าสู่การครุ่นคิด


 


 


ในยามที่มหาเสนาบดีฉินคิดไม่ตกนั่นเอง มีบ่าวคนหนึ่งหน้าตาลนลานเข้ามาว่า “ทะ ท่านมหาเสนาบดี” เขาอ้าปากแล้วอ้าปากอีก กลับไม่ได้หลุดออกมาสักประโยค


 


 


ท่านมหาเสนาบดีฉินดูปุ๊บ ที่แท้บ่าวคนนี้คือพ่อบ้านในเรือนของบุตรชายคนเล็ก ทันใดนั้นก็ปวดศีรษะขึ้นมาว่า “ว่ามาเถอะ เจ้าลูกทรพีนั่นทำเรื่องดีๆ อะไรไว้อีก”


 


 


“คุณชายเล็กทะ ทำสาวใช้ตายอีกแล้วขอรับ” พ่อบ้านหน้าเสียริมฝีปากสั่นว่า


 


 


“อีกแล้ว?” ท่านมหาเสนาบดีฉินจับคำได้อย่างเฉียบขาดทันที สองตาเหมือนไฟลุก จ้องไปที่พ่อบ้าน


 


 


พ่อบ้านนั่นสั่นหนักกว่าเดิมว่า “ระ เรียนท่านมหาเสนาบดี นะ นี่เป็นคนที่เจ็ดในเดือนนี้แล้วขอรับ” เขาอกสั่นขวัญแขวน เมื่อนึกถึงสาวใช้ที่ถูกหามออกไปทั้งตัวไม่มีเนื้อดีสักที่ เขาก็เสียวสันหลัง คุณชายเล็กลงมือโหดจริงๆ เลย


 


 


“คนที่เจ็ด? นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? พูดมาเร็ว” ท่านมหาเสนาบดีฉินเบิกตาโตโดยพลัน เอ่ยด้วยความโกรธว่า “พวกเจ้าก็ปล่อยให้เขาทำเช่นนี้หรือ? เช่นนั้นเอาบ่าวอย่างพวกเจ้าไว้มีประโยชน์อะไร?”


 


 


พ่อบ้านตกใจคุกเข่าตึ้งลงบนพื้นว่า “ท่านมหาเสนาบดี ปรักปรำบ่าวแล้ว บ่าวก็ห้ามแล้ว ก็ขวางแล้ว ทว่าคุณชายเล็กไม่ฟังนี่ขอรับ” เขาเป็นบ่าวยังตัดสินใจแทนเจ้านายได้ด้วยหรือ? เขาเล่าความเป็นมาของเรื่องอย่างติดอ่าง


 


 


ที่แท้หลังจากฉินมู่หรานกลับถึงจวนมหาเสนาบดีแล้วเพราะมีหมอดียาดีคอยเลี้ยง ขาที่หักก็ต่อติดแล้ว นอกจากนอนอัมพาตอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น อย่างอื่นก็กลับไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป


 


 


ทว่าฉินมู่หรานเสเพลจนชิน ให้เขานอนอยู่บนเตียงไม่ขยับเช่นนี้ แทบจะบีบเขาจนเป็นบ้า ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าชาตินี้ยืนไม่ได้แล้ว นิสัยของเขาก็ค่อยๆ รุนแรงขึ้น สาวใช้เด็กรับใช้ที่ปรนนิบัติไม่ระวังเพียงเล็กน้อยถ้าไม่ถูกตีก็ถูกด่า เอาปิ่นปักผมแหลมๆ จิ้มตัว ยังไม่อนุญาตให้หลบอีก


 


 


เด็กรับใช้ยังดีหน่อย อย่างมากก็แค่เจ็บตัว เอายาทาพักฟื้นสักระยะก็หาย


 


 


ที่น่าสงสารคือสาวใช้พวกนั้น โดยเฉพาะสาวใช้ที่หน้าตาสะสวย ฉินมู่หรานเป็นคนมักมากในกาม อายุสิบสองก็เปิบบริสุทธิ์แล้ว ผู้หญิงที่เคยนอนด้วยนับก็นับไม่หมด บัดนี้เขานอนอัมพาตอยู่บนเตียงขยับไม่ได้ จึงทรมานสาวใช้หาความสุข จิตใจเขาบิดเบี้ยววิปริต ชอบดูความเจ็บปวดที่แสดงออกบนใบหน้าของสาวใช้ที่สุด ชอบฟังเสียงร้องอย่างอนาถของสาวใช้ที่สุด สาวใช้ร้องได้ยิ่งโศกเศร้าเขาก็ยิ่งตื่นเต้น


 


 


แต่ก่อน สาวใช้ในเรือนของฉินมู่หรานแย่งกันเข้าหาเขา เพื่อแย่งความโปรดปรานแล้วต่างคนต่างวางอุบายใส่ร้ายกัน บัดนี้แต่ละคนล้วนอยากไปให้ห่างๆ ฉินมู่หรานแทบไม่ทัน คนที่ถูกระบุชื่อกลัวจนตัวสั่นงันงก


 


 


ต้องรู้ว่า ปรนนิบัติคุณชายเล็กครั้งหนึ่งก็หายไปครึ่งชีวิต พวกที่ร่างกายอ่อนแอหน่อย ทนไม่ไหวก็ขาดใจแล้ว ยามที่หามออกมาพวกนางล้วนเห็นกับตา ไม่มีเนื้อหนังดีๆ สักชิ้น ตรงนั้นที่ช่วงตัวล่างยิ่งเละไม่เป็นชิ้นดี


 


 


“ท่านมหาเสนาบดี บ่าวไม่ได้ความ บ่าวห้ามคุณชายเล็กไม่อยู่ขอรับ” พ่อบ้านร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล เขาไม่อยากอยู่ในเรือนคุณชายเล็กแม้แต่ชั่วขณะ ต่อให้เป็นบ่าวธรรมดาก็ได้ ทว่าคำพูดนี้เขากล้วพูดกับเจ้านายหรือไม่ล่ะ?”


 


 


มหาเสนาบดีฉินโกรธจนหน้าเขียว “ลูกเวร เจ้าลูกเวรคนนี้” ทำสาวใช้ตายไม่กี่คน มหาเสนาบดีฉินไม่ใส่ใจหรอก ทว่าหนึ่งเดือนก็ทำตายไปเจ็ดคน เวลานานเข้าจะไม่ถูกคนอื่นสังเกตเห็นหรือ? หากถูกผู้ตรวจการจับจุดอ่อนได้ แม้เขาไม่กลัว แต่ก็ยุ่งยากนี่นา นี่เวลาอะไรแล้ว เจ้าลูกเวรยังเอาแต่สร้างปัญหา? รู้แต่แรกตอนนั้นก็ไม่ควรพาเขากลับมา


 


 


“ไปบอกฮูหยิน ให้นางดูเจ้าลูกเวรนี่ไว้ให้ดี” มหาเสนาบดีฉินโกรธว่า ในใจไม่พอใจนางต่งขึ้นมา วันๆ ก็มีแต่เรื่องเล็กๆ ไม่เป็นเรื่อง เรื่องเป็นการเป็นงานที่ควรดูแลกลับดูแลไม่ดีสักเรื่อง


 


 


ส่วนนางต่งที่ถูกมหาเสนาบดีฉินรังเกียจยามนี้กำลังอยู่ในห้องของฉินมู่หราน นางมองของที่ถูกบุตรชายโยนเต็มพื้นปราดหนึ่ง แล้วโกรธด่าว่า “ตายหมดแล้วหรืออย่างไร? ไม่รู้จักเก็บกวาดหรือไร?”


 


 


สายใช้ที่เงียบกริบถึงตัวสั่นเทาเข้ามาเก็บกวาด


 


 


นางต่งนั่งอยู่ข้างเตียงบุตรชาย พูดเสียงอ่อนโยนว่า “หรานเกอเอ๋อร์ เจ้าโกรธอะไรอีก? เจ้าสุขภาพไม่ดี ต้องฟังคำพูดของหมอหลวง พักฟื้นเงียบๆ”


 


 


ฉินมู่หรานกลับไม่รับน้ำใจ สองมือทบเตียงอย่างแรงว่า “ตายเสียได้ก็ดี ตายเสียได้ก็ดี” สีหน้าอึมครึม


 


 


นางต่งตกใจสะดุ้ง รีบกอดบุตรชายไว้ว่า “หนานเกอเอ๋อร์นี่เจ้าจะทำอะไร? เจ้าอย่าทำแม่ตกใจนะ”


 


 


ฉินมู่หรานตะคอกเสียงดังว่า “อยู่ไปทำอะไร? บัดนี้ข้าก็คือของไร้ประโยชน์ แม้แต่บ่าวไพร่ก็ดูถูกข้า ข้าอยู่ไปยังมีความหมายอะไรอีก? ยังไม่สู้ตายให้หมดเรื่อง”


 


 


เดิมทีนางต่งที่คิดจะต่อว่าบุตรชายสักสองสามประโยคเพราะเรื่องที่บุตรชายทำสาวใช้ตายลืมจุดประสงค์ที่มาไว้ที่เก้าชั้นฟ้า กอดตัวบุตรชายไว้แน่นแล้วน้ำตาดั่งสายฝน “ลูกเอ๊ย ลูกเอ๊ย เจ้าใจเย็นหน่อย นี่เจ้ากำลังเฉือนใจแม่อยู่นะ”


 


 


ใช้แรงวัวเก้าตัวรวมกับเสืออีกสองตัว ทั้งปลอมประโลมทั้งให้สัญญา ในที่สุดก็ง้อบุตรชายเสร็จ ด้วยเหตุนี้ ยังรับปากจะส่งสาวใช้หน้าตาดีให้บุตรชายอีกสี่คน


 


 


นางต่งคิดว่า ‘หรานเกอเอ๋อร์ก็เป็นเช่นนี้แล้ว เล่นสาวใช้ไม่กี่คนก็ให้เล่นไปเถอะ อย่างไรก็ตามใจเขาเถอะ ก็เป็นเพียงพวกของเล่นชั้นต่ำเท่านั้น’

 

 

 


ตอนที่ 272-1 งานเลี้ยงในวัง

 

 


 


หลังจากงานแต่งงานของเสิ่นเชียนก็ควรฉลองปีใหม่แล้ว จวนต่างๆ เริ่มยุ่งตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน เพียงแต่ฤดูหนาวปีนี้หนาว หิมะก็มาก บรรยากาศรื่นเริงบนถนนก็สู้ปีก่อนๆ ไม่ได้ ทว่านี่ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ในจวนคนใหญ่คนโตต่างๆ ในเมืองหลวงยังคงตกแต่งอย่างสวยงาม บรรยากาศสนุกสนานรื่นเริง


 


 


สิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่นายหญิงของแต่ละบ้านยุ่งที่สุด ทว่าเสิ่นเวยกลับว่างเป็นพิเศษ นอกมีท่านซู ในมียายมั่ว นางก็มีความสุขที่เป็นคนสั่งการไม่ต้องรับผิดชอบ


 


 


ก่อนปีใหม่ เสิ่นซวงพี่รองของเสิ่นเวยคลอดแล้ว ใหกำเนิดเด็กชายคู่หนึ่ง เดิมทีหมอหลวงบอกว่าอีกสิบกว่าวันก็ใกล้แล้ว ไม่คิดว่าสองตัวนี้เหมือนจะเร่งให้มาให้ทันฉลองปีใหม่อย่างไรอย่างนั้น มาล่วงหน้าแล้ว


 


 


เสิ่นซวงตอนเช้ากินข้าวเช้าเสร็จ ให้สาวใช้พยุงยังเดินอยู่ในห้องหลายรอบ ยังไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเอาเสื้อเล็กๆ ที่พวกสาวใช้ทำออกมาดูรอบหนึ่ง กำลังพูดเล่นกันอยู่เลย ก็รู้สึกปวดท้อง จึงอดร้องว้ายออกมาไม่ได้ ทำพวกสาวใช้ตกใจแทบแย่ ต่างล้อมเข้ามาถามว่า “ฮูหยินน้อยท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ?”


 


 


อย่างไรก็ยายเฒ่าข้างกายนางมีประสบการณ์ ว่า “ฮูหยินน้อยจะคลอดแล้ว รีบไปเชิญฮูหยินและหมอตำแย” นางพลางพยุงเสิ่นซวงไว้ พลางใช้ให้สาวใช้เตรียมตัวให้พร้อมอย่างมีแบบแผน ต้มน้ำร้อน เตรียมผ้าสะอาดอะไรพวกนี้


 


 


นางโหลวมาเร็วมาก วิ่งจนแหบแฮ่กๆ “ไยถึงกำเริบแล้วนะ? บอกว่ายังมีอีกสิบกว่าวันมิใช่หรือ?” ข้างหลังนางยังมีหมอตำแยตามมาสองคน นี่เตรียมไว้ตั้งนานแล้ว อาศัยอยู่ในเรือนมาตลอด ใกล้สิ้นปียังไม่ปล่อยพวกนางกลับบ้านไป ก็เพราะกลัวเสิ่นซวงออกอาการแล้วหาคนไม่ได้ ดูสิ นี่ก็เจอเข้าแล้วอย่างไรล่ะ?”


 


 


หมอตำแยคนหนึ่งในนั้นจึงยิ้มว่า “ผู้หญิงคลอดบุตรมีใครตรงเวลาที่ไหน ฮูหยินน้อยอุ้มครรภ์ฝาแฝด คลอดก่อนกำหนดก็มีเหมือนกัน”


 


 


นางโหลวพยักหน้า กลั้นความลนลานในใจไว้ แล้วพยุงเสิ่นซวงเข้าห้องคลอดด้วยตนเอง ปลอมใจนางว่า “ซวงเจี่ยเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว ผู้หญิงล้วนต้องผ่านด่านนี้ เจ้าร่างกายแข็งแรง เลี้ยงครรภ์มาก็ดี ตำแหน่งครรภ์ก็ตรง ต้องคลอดออกมาได้อย่างราบรื่นแน่นอน แม่อยู่เป็นเพื่อนเจ้าในห้องนี่ เราไม่กลัวนะ” มอบสะใภ้ให้หมอตำแยแล้วนางจึงหลุบตาสวดมนต์อยู่ข้างๆ ขึ้นมา


 


 


บอกตรงๆ หากมารดาสามีสามารถเข้าห้องคลอดกับสะใภ้ได้ก็มีให้เห็นไม่มากแล้ว มารดาสามีส่วนใหญ่ก็เพียงแค่รออยู่ข้างนอกเท่านั้น ยังมีมารดาสามีส่วนน้อยมากที่ เพียงแค่มาดูปราดหนึ่งก็หันหลังกลับเรือนแล้ว


 


 


ก็ไม่รู้ว่าเป็นผลทางใจ หรือว่านางโหลวสวดมนต์ได้ผลจริงๆ ครรภ์นี้ของเสิ่นซวงยังนับว่าคลอดได้ราบรื่น หน้าหลังใช้เวลาสองชั่วยามกว่า แม้แต่หมอตำแยก็อวยพรตามๆ กัน บอกว่าฮูหยินน้อยดวงดี ไม่เคยเห็นใครคลอดฝาแฝดราบรื่นเท่านี้มาก่อน


 


 


นางโหลวอุ้มผ้าอ้อมเด็กสีแดงสองอันข้างละห่อ มองหลานรักสองคนที่ตะเบ็งร้องไห้ แล้วยิ้มจนตาหยีเป็นเส้น สั่งเสียงดังไม่หยุดว่า “ให้รางวัล ให้รางวัลอย่างงาม” ไม่เพียงแต่ให้รางวัลหมอตำแยอย่างงามบ่าวไพร่ทั้งจวน โดยเฉพาะพวกสาวใช้ยายเฒ่าที่ปรนนิบัติเสิ่นซวง มีส่วนกันทุกคน


 


 


นางสวี่ฮูหยินจงอู่โหวที่ได้รับข่าวมงคล ดีใจสวดว่าพระโพธิสัตว์คุ้มครองเป็นการใหญ่ แล้วสั่งให้บ่างไพร่เตรียมของขวัญทันที ไม่สนว่าเป็นยามบ่ายแล้ว ตรงไปจวนซ่างซูเยี่ยมบุตรสาวและหลานชายสองคนแล้ว


 


 


วันสี่ซานเสิ่นเวยในฐานะพี่น้องย่อมต้องไปอยู่แล้ว นางมองดูเด็กทารกสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ แล้วรู้สึกไม่น่าเชื่อ นางยื่นนิ้วจิ้มหน้าเล็กๆ ของทารกที่หลับสนิท นิ่มๆ อาจเพราะรู้สึกได้ ศีรษะของทารกน้อยนั่นขยับทีหนึ่ง อ้าปากเล็กๆ หาวทีหนึ่งแล้วนอนต่ออีก


 


 


เสิ่นเวยดูแล้วรู้สึกแปลกใหม่มาก กำลังคิดจะจิ้มอีก ก็ถูกเสิ่นอิงขวางไว้ว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังเล่นเป็นเด็กๆ อีก? อย่าทำให้ตัวเล็กตื่น”


 


 


เสิ่นเวยถึงหดมือกลับอย่างเคอะเขิน แล้วถามพี่รองนางว่า “ตั้งชื่อหรือยัง?”


 


 


เสิ่นซวงพิงอยู่ที่หัวเตียง ถอนสายตาที่จ้องบุตรชายสองคนกลับมา ยิ้มวา “ยังเลย เรียกเกอเอ๋อร์ใหญ่ เกอเอ๋อร์รองเช่นนี้ไปก่อน ชื่อท่านปู่กำลังคิดอยู่” เพราะเป็นลูกแฝด ในจวนเห็นความสำคัญเป็นพิเศษ สิทธิ์การตั้งชื่อจึงเป็นของสวี่ซ่างซูโดยตรง อย่าว่าแต่บิดาของเด็ก แม้แต่ท่านปู่ของเด็กก็หมดสิทธิ์


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า วางของขวัญที่ให้เด็กไว้ข้างผ้าอ้อมเบาๆ กำไลคอ กุญแจอายุยืน กำไลข้อมือ กำไลข้อเท้า ประณีตกะทัดรัด ที่สลักไว้ด้านบนล้วนเป็นลายมงคล เป็นทองคำทั้งหมด นอกจากนี้ยังให้เสื้อผ้าฝ้ายคนล่ะสองชุด แน่นอนเสิ่นเวยยังให้เงินหลานชายตัวน้อยสองคนคนละห้าร้อยตำลึงเป็นของขวัญแรกพบเป็นการส่วนตัว มือเติบเช่นนี้ก็ไม่มีใครแล้ว ต่อให้นางโหวรู้เข้าก็ได้แต่เดาะลิ้น


 


 


ทว่าที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจคือความเปลี่ยนแปลงของเสิ่นเสวี่ย ก่อนหน้านี้เสิ่นเชียนแต่งงาน เสิ่นเวยคุยเป็นเพื่อนอาหญิงและญาติผู้น้องครู่หนึ่งก็ไปเรือนของท่านปู่นางแล้ว เสิ่นเสวี่ยไปสายสักหน่อย ทั้งสองคนจึงไม่ได้พบหน้ากัน


 


 


ครั้งนี้เจอกันที่จวนซ่างซู เสิ่นเวยแทบจะตกตะลึงพรึงเพริด เพียงสั้นๆ ไม่กี่เดือนเสิ่นเสวี่ยก็เปลี่ยนสภาพไปโดยสิ้นเชิง คนทั้งคนผอมซูบมาก แก้มสองข้างตอบเข้าไป โหนกแก้มยกขึ้นสูง แต่งหน้าเข้มหนา ทั้งคนดูเฉียบคมและเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมอง ดูมืดมน พูดจาก็คลุมเครือประหลาด


 


 


เสิ่นเวยอดขมวดคิ้วไม่ได้ ศอกเสิ่นอิงที่อยู่ข้างๆ ว่า “นี่นางเป็นอะไรไป?” ระยะนี้พลังงานของนางล้วนทุ่มเทให้กับสวีโย่วและท่านปู่ ไม่ได้สนใจอย่างอื่นจริงๆ


 


 


เสิ่นอิงถอนใจทีหนึ่ง พูดข้างหูนางว่า “จะเป็นอะไรได้ล่ะ แท้งน่ะสิ”


 


 


เสิ่นเวยยิ่งประหลาดใจขึ้นว่า “เรื่องตั้งแต่เมื่อไร? ไยถึงไม่ได้ยินมาก่อน? แท้ง ข้างกายมีสาวใช้ยายเฒ่าตามเป็นพรวน ไยถึงยังแท้งได้?”


 


 


เสิ่นอิงมองเสิ่นเสวี่ยที่อยู่ไม่ไกลออกไปปราดหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความจำใจว่า “เรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว บ้านพวกนาง แค่ก คุณหนูญาติผู้น้องอะไรนั่นเป็นอนุให้น้องเขยห้ามิใช่หรือ?”


 


 


เพียงพูดประโยคเดียวเสิ่นเวยก็เข้าใจทันที ได้ยินท่านป้าใหญ่บอกว่าคุณหนูญาติผู้น้องที่ชื่อจ้าวเฟยเฟยคนนั้นไม่ใช่เล่นๆ นะ นางทำทุกวิถีทางจนได้เป็นอนุของเว่ยจิ่นอวี๋ ไม่มีทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวหรอกนะ เสิ่นเสวี่ยว่าไปแล้วก็คือคนกร่างในรัง อารมณ์ก็ร้าย จะเป็นคู่มือของจ้าวเฟยเฟยได้อย่างไรกัน? ดูสิ นี่เสียเปรียบแล้วมิใช่หรือ?


 


 


“เว่ยจิ่นอวี๋ล่ะ? จวนหย่งหนิงโหวไม่ให้คำอธิบายหรือ?” เสิ่นเวยแม้ไม่ดาหน้าเข้าไปออกหน้าแทนเสิ่นเสวี่ย ทว่าในใจอย่างไรก็ไม่พอใจอยู่บ้าง


 


 


“จะมีคำอธิบายอะไร? ได้ยินว่าเพราะน้องห้าสั่งสอนอนุแล้วหกล้มเองจนแท้ง ต่อให้ลงโทษ ก็เพียงแค่กักบริเวณ คัดบทสวดมนต์เท่านั้น ผ่านไปสามเดือนห้าเดือนก็ปล่อยออกมาแล้ว นั่นเป็นญาติผู้น้องแท้ๆ ของน้องเขยห้า จะฆ่าแกงกันจริงๆ ได้หรือ?” เสิ่นอิงน้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจและเย้ยหยันอย่างเข้มข้น


 


 


เสิ่นเวยเม้มปากแน่น ความประทับใจที่มีต่อเว่ยจิ่นอวี๋ในใจยิ่งแย่ลง เจ้าคนเช่นนี้ยังสอบตำแหน่งเจี่ยหยวนได้ สวรรค์ช่างตาบอดจริงๆ แม้แต่หลังบ้านตนเองยังจัดการไม่เรียบร้อยยังคิดจะเป็นขุนนาง? อย่าทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนเลย


 


 


เสิ่นเสวี่ยก็จริงๆ เลย เก่งนักมิใช่หรือ? เสียเปรียบถึงปานนี้ก็ยอมทั้งเช่นนี้แล้ว? เสิ่นเวยจะโมโหจนปวดตับเพราะนางหมดแล้ว นางไม่เห็นนางในสายตาคือเรื่องหนึ่ง ทว่าบนตัวพวกนางมีตราประทับเหมือนกัน ‘ธิดาตระกูลเสิ่น’ หากนางเจอเรื่องนี้ นางไม่สนหรอกนะว่าคุณหนูญาติผู้น้องหรือไม่น่ะ เล่นงานนางให้ตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต นี่ถึงเรียกว่ายุติธรรม ไหนๆ บ้านฝ่ายหญิงก็อิทธิพลล้นฟ้า จวนหย่งหนิงโหวกล้าหือหรือไม่?


 


 


ยังไม่สู้ไม่รู้เรื่องนี้ดีกว่า เสิ่นเวยขยะแขยงเหมือนกินแมลงวันก็ไม่ปาน หลังจากกลับจวนก็ลากคุณชายใหญ่บ้านนางข่มขู่อยู่ครึ่งค่อนวัน ในใจคิดเพียงอย่างเดียว ‘หากท่านกล้ามีอนุ ข้าก็จะหักขาท่าน’


 


 


สวีโย่วทั้งน่าขันทั้งจำใจ ได้แต่ใช้การกระทำมาอุดปากเล็กๆ ที่พูดไม่หยุดของนาง


 


 


พริบตาเดียวก็มาถึงวันสิ้นปี เสิ่นเวยและสวีโย่วล้วนต้องไปร่วมงานเลี้ยงในวัง บอกตรงๆ ใจจริงเสิ่นเวยไม่ค่อยอยากไป อากาศก็หนาว ยังต้องใส่ชุดเต็มยศของท่านหญิง ใส่เครื่องประดับที่หนักหน่วง ต้านลมทรมานไปถึงในวัง อาหารในวังก็ไม่ได้อร่อยกว่าในจวน ได้ยินว่ายังเย็นด้วย ไหนเลยจะสบายสู้ขลุกอยู่ในจวนได้?


 


 


เสิ่นเวยไม่เต็มใจไป ทว่าคนที่เต็มใจไปมีเยอะเชียวนะ สามารถมีคุณสมบัติไปร่วมงานเลี้ยงในวังไม่มีที่ระดับชั้นไม่พอ พวกที่ระดับชั้นต่ำไม่เป็นที่โปรดปราน อยากไปยังไม่ได้ไปเลยนะ สามารถไปร่วมงานเลี้ยงในวังได้นี่เป็นเกียรติอย่างสูงสุดเชียว ใช่เพราะข้าวมื้อนั้นกันที่ไหน?


 


 


ต่อให้เสิ่นเวยไม่เต็มใจอย่างไรก็ต้องไป นางแต่งตัวเต็มยศตามระดับชั้นแล้วก็พายายมั่วและหลีฮวาและสวีโย่วขึ้นรถม้าไปด้วยกัน พบกับองค์หญิงใหญ่ที่รออยู่ที่ประตูวัง


 


 


สวีโย่วเข้าไปเอ่ยว่า “เสด็จอา นางเสิ่นเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังครั้งแรก ไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ ท่านช่วยดูนางหน่อยขอรับ” ที่แท้สวีโย่วไหว้วานองค์หญิงใหญ่ดูแลเสิ่นเวยนั่นเอง


 


 


องค์หญิงใหญ่กวักมือเรียกเสิ่นเวย และพูดกับสวีโย่วว่า “อาโย่วเจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ ให้สะใภ้เจ้าอยู่กับข้า รับรองไม่มีผิดพลาด”


 


 


สวีโย่วหลังจากกราบขอบคุณแล้วก็กำชับเสิ่นเวยอีกว่า “เจ้าก็ตามอยู่ข้างกายเสด็จอาและญาติผู้น้อง รองานจบแล้วข้าไปรับเจ้า”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าแล้วขึ้นราชรถขององค์หญิงใหญ่ “รบกวนเสด็จอาแล้วเพคะ”


 


 


องค์หญิงใหญ่ยังไม่ทันได้พูด ท่านหญิงชิงหรุ่ยก็ค้องแขนของเสิ่นเวยไว้ว่า “ดูพี่สะใภ้เกรงใจเข้าสิ ข้ากำลังกลุ้มที่ไม่มีเพื่อนพอดีเลย”


 


 


องค์หญิงใหญ่ก็ว่า “คนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เจียฮุ่ยไม่จำเป็นต้องเกรงใจ”


 


 


ฐานะและอาวุโสขององค์หญิงใหญ่สูงมาก เสิ่นเวยตามอยู่หลังนางผ่านฉลุยมาตลอดทางถึงตำหนักใหญ่ที่รับรองแขก ในตำหนักใหญ่มีมังกรดิน ก็อบอุ่นมากทีเดียว เสิ่นเวยจึงแก้เสื้อคลุมขนจิ้งจอกที่คลุมอยู่ออก


 


 


พวกนางนับว่ามาไม่เช้า กลับก็ไม่นับว่าสาย ในตำหนักใหญ่มีสตรีที่มีเก้ามิ่งมาแล้วไม่น้อย เสิ่นเวยกวาดมองไป แทบจะไม่เห็นคนคุ้นเคย จึงตามองค์หญิงใหญ่เดินเข้าข้างในต่อ ระหว่างทางมีคนเข้ามาถวายบังคมองค์หญิงใหญ่ไม่น้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)