ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 270-277
ตอนที่ 270 สู้รบขั้นเด็ดขาด (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อืม! ถ้าไม่มีเหตุที่คาดไม่ถึงล่ะก็ ข้ามีความมั่นใจในความสำเร็จแปดถึงเก้าส่วน ดังนั้นข้าถึงพูดว่านี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายของนิกายในแคว้นต้าเสวียน ถ้าพวกเจ้ายอมไปจากแคว้นต้าเสวียนล่ะก็ ยังคงสามารถรักษากำลังส่วนใหญ่ไว้ได้ แม้ว่าต้องไปอยู่แคว้นอื่นๆ ก็คิดว่าคงมีที่สำหรับตั้งรากฐาน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็ใจเต้นขึ้นมา นางจ้องมองผู้อาวุโสอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออกมาอย่างน่าสะพรึงกลัว
“ข้าเป็นนิกายในเผ่ามนุษย์ ถ้าไม่สามารถปกป้องผู้คนในแคว้นได้ นิกายทั้งห้าของพวกข้าจะมีหน้าอยู่ในอวิ๋นชวนได้อย่างไร ศึกในครั้งนี้ ถ้านิกายทั้งห้าของพวกข้าไม่ถูกทำลาย ก็เป็นเผ่าทั้งสามของพวกเจ้าที่ต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก!”
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างอดไม่ได้ ผ่านไปสักครู่ถึงได้ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“แม้ข้าจะรู้คำตอบของสหายแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทั้งสองคงต้องใช้หอกดาบตัดสินว่า แคว้นต้าแสวียนจะตกเป็นของใครแล้วล่ะ”
พอผู้อาวุโสกล่าวจบ ก็ไม่กล่าวอะไรต่ออีกเลย พอสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเขาก็ล่องลอยออกไปด้านหลัง
เหลิ่งเยวี่ยซือไท่จ้องมองผู้อาสุโสชุดคลุมสีม่วงจนเขากลับไปถึงค่ายกองกำลังแล้ว นางถึงค่อยหมุนตัวพุ่งกลับไปยังฝั่งมนุษย์
ไม่นาน กองกำลังทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเคลื่อนไหว
เสียงกลองทองคำดังมาจากฝั่งมนุษย์ ทันใดนั้นเสียงร่ายคาถาก็ดังขึ้นมาเป็นระลอกๆ ม่านแสงหลากสีปรากฏออกมา ปกคลุมผู้คนทั้งหมดไว้
แตรสัญญาณดังขึ้นจากทางเผ่าเจ้าสมุทร น้ำทะเลโหมกระหน่ำม้วนตัวขึ้นด้านบน และเกาะติดตามตัวเผ่าเจ้าสมุทรแต่ละคน จนกลายเป็นม่านวารีสีฟ้า
ด้วยระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกัน จำนวนชั้นของม่านวารีที่ปกคลุมตัวก็แตกต่างกันไปด้วย
ผู้ที่มีการฝึกฝนระดับต่ำ มีม่านวารีแค่ชั้นสองชั้นเท่านั้น
ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูง กลับมีม่านวารีมากถึงสี่ห้าชั้น ราวกับว่าร่างของพวกเขาถูกแสงวารีสีฟ้าห่อหุ้มไว้
ทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรแสดงวิชาออกมาได้รวดเร็วกว่ามนุษย์มาก
พอม่านวารีก่อตัวเป็นเกราะป้องกัน กลุ่มแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากพื้นผิวน้ำ และก่อตัวเป็นมือยักษ์สีฟ้าจำนวนมาก จากนั้นก็บดขยี้ไปยังด้านหน้า
ขณะเดียวกันอสูรสมุทรจำนวนมากก็อ้าปากออกมา ทันใดนั้นศรวารีขนาดเล็ก และเสาวารีขนาดใหญ่ก็โจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง
มีเสียงดังโครมครามตรงหน้าฝั่งมนุษย์ แสงอันรุ่งโรจน์ และไอน้ำจำนวนมากระเบิดตัวเหนือม่านแสง ทำให้เกราะป้องกันนี้สั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด
ม่านแสงที่มีพลังป้องกันอ่อนแอ แตกกระจายออกมาในทันที ศิษย์ที่อยู่ด้านในถูกโจมตีด้วยวิชาต่างๆ
ขณะนั้นเอง ภายใต้การคำรามอย่างโมโหของอาจารย์จิตวิญญาณฝั่งมนุษย์ พลันมีคนฝั่งนิกายจันทราสวรรค์พุ่งขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจการโจมตีนี้ และพอพวกเขายกมือพร้อมกัน กระบี่ก็พุ่งออกไปรวมกัน หลังจากก่อเกิดเป็นแสงกระบี่ สายรุ้งอันครั่นคร้ามที่ยาวสิบกว่าจั้งก็พุ่งออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียวก็มาถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร และวนเป็นเกลียวอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ว่าจะเป็นอสูรสมุทรที่มีเนื้อหนังมังสาอแข็งแกร่ง หรือว่าคนเผ่าเจ้าสมุทรที่สวมเกราะวารีอยู่ พอถูกคลื่นแสงกระบี่สั่นสะเทือน ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นสายฝนโลหิตสาดกระจายไปทั่ว
พริบตาเดียวก็มีอสูรสมุทร และเผ่าเจ้าสมุทรเกือบร้อยเสียชีวิตภายใต้แสงกระบี่นี้
“รนหาที่ตาย!”
ผู้แข็งแกร่งบนเกาะแห่งหนึ่งเห็นเช่นนี้ ก็ตะคอกออกมาด้วยความโมโห จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือข้างเดียว
ทันใดนั้น น้ำทะเลด้านล่างก็แยกตัวออก มือยักษ์เกล็ดสีเขียวที่มีขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ พุ่งออกมา และคว้าเอาแสงกระบี่ไว้ในมือก่อนที่จะบีบมันจนแตกละเอียด จากนั้นมันก็กลับคืนเป็นกระบินสิบกว่าเล่มร่วงหล่นลงไป
ทันใดนั้นอาจารย์จิตวิญญาณนิกายจันทราสวรรค์สิบคนที่กระตุ้นกระบี่บินอยู่ต่างก็กระอักเลือดออกมา
ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีของเผ่าเจ้าสมุทรในครั้งนี้ ทำให้พวกเขาต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ขณะนี้ พลันมีหมอกโลหิตพวยพุ่งรวมตัวกันอยู่เหนือตำหนักสีเลือดของมนุษย์ จากนั้นมันก็ก่อตัวเป็นดาบโลหิตยักษ์ที่ยาวเจ็ดสิบถึงแปดสิบจั้ง และฟันลงด้านหน้า
“ฟู่!”
แสงคมดาบสีเลือดม้วนตัวไปโจมตีกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร
มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา และพออสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้นสัมผัสกับหมอกโลหิตเหล่านี้ เนื้อหนังของมันก็ค่อยๆ ละลายออกมา และเสียชีวิตทันที
“วิชาดาบโลหิต! สหายเซวี่ยหลิง เจ้าคิดว่าเผ่าเจ้าสมุทรเราไม่มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือ?”
พอกล่าวจบก็มีเงาร่างสีเงินพุ่งขึ้นจากเกาะบางแห่งของเผ่าเจ้าสมุทร จากนั้นเขาก็ตบฝ่ามือมายังฝั่งมนุษย์หนึ่งที
ทันใดนั้นคลื่นอากาศสั่นสะเทือนขึ้นมา มือยักษ์สีเงินที่ดูราวกับยอดเขาตบลงมาทางเผ่ามนุษย์อย่างโหดเหี้ยม
ขณะเดียวกัน ก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งพุ่งออกจากยอดเขาดำของเผ่ามนุษย์ พอแสงสีแดงดำม้วนตัว ลำแสงสีแดงก็ถูกพ่นออกมา มันกระพริบแค่ทีเดียว ก็พุ่งใส่เงาร่างของมือยักษ์สีเงิน
“ตู๊ม!”
มือยักษ์สีเงินถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงอันคุโชน จากนั้นก็กระพริบหายไป
“ชื่อหยาง ที่แท้ก็เป็นเจ้า พอดีเลย ศึกในครั้งก่อนข้ากับเจ้ายังสู้กันไม่สมอกสมใจเลย วันนี้จะได้แลกมือกันอีกครั้งแล้ว” ผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาด้วยความโมโห
“ฮึ! ถ้าได้ต่อสู้กับสหายหยินเหยียนล่ะก็ ทำไมข้าชื่อหยางจะไม่ตอบรับ ตามข้ามาเถอะ!” มีเสียงเยือกเย็นของผู้ชายดังมาจากยอดเขาดำ จากนั้นแสงเพลิงก็ปรากฏออกมา ลูกแสงกลมๆ สีแดงดำพุ่งออกไปยังขอบฟ้าอีกด้าน
ผู้แข็งแกร่งของเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งอันน่าครั่นคร้ามก่อนตามออกไป
“สหายต่ง ถ้าพวกเราทั้งสองฝ่ายไม่อยากให้การแลกมือของเราส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ล่ะก็ ให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ ออกไปจากที่นี่ให้หมด แล้วพวกเราไปแลกมือที่สนามรบอื่นดีไหม?” เสียงเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดังมาจากเมืองไม้ดำ
“ฮ่าๆ! ข้ากำลังคิดเช่นนี้พอดี” เงาร่างหนึ่งพุ่งขึ้นจากเกาะบางแห่ง เขาคือผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงที่กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ภายใต้สถาณการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่ามนุษย์หรือเผ่าเจ้าสมุทร ต่างก็ทะยานขึ้นฟ้าไปติดๆ และกลายป็นแสงต่างๆ ก่อนจะพุ่งไปยังทิศทางบางแห่งที่อยู่ไกลออกไป
พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าฝ่ายตรงข้ามจะแอบซ่อนผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ เพื่อฆ่าล้างสังหารในฝั่งนี้ เพราะว่าสนามรบที่พวกเขาเลือกอยู่จากที่นี่ไม่ค่อยไกลมากนัก เพียงแค่ได้รับข่าวก็จะรีบกลับมาทันเวลาพอดี
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างพวกเขาแล้ว ถ้าสามารถก่อกวนหรือสังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้คนหนึ่งล่ะก็ จะดูเหนือกว่าการสังหารศิษย์ที่มีการฝึกฝนระดับต่ำในสนามรบหลายเท่ามากนัก
ดังนั้น หลังจากผู้ฝึกฝนระดับผลึกของทั้งสองนิกายจากไปแล้ว ผู้ที่สามารถบัญชาการเผ่ามนุษย์ได้ย่อมเป็นประมุขของแต่ละนิกาย และทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายที่เป็นรองแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกนั่นเอง
พริบตาที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของทั้งสองฝ่ายหายไปตรงขอบฟ้า ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายต่างก็ปล่อยท่าไม้ตายออกมา
ทางด้านหุบเขาเก้าช่อง ศิษย์แต่ละคนต่างก็โยนลูกกลมๆ หลากสีออกไป จากนั้นก็มีเสียงกลไกลดังขึ้นก่อนที่มันจะกลายเป็นหุ่นอสูรแบบต่างๆ
มันพุ่งไปยังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทรอย่างเหี้ยมหาญ
ขณะเดียวกัน หุ่นมนุษย์บนคูเมืองไม้ดำก็มีแสงเปล่งประกายออกมา และค่อยๆ จัดเป็นกองกำลังก่อนทะยานขึ้นฟ้าไปยังด้านหน้า
พวกมันพุ่งไปยังไม่ทันถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร ก็ร่วมมือกับหุ่นอสูรในก่อนหน้านั้นปล่อยลูกศรออกไปจำนวนมาก
มีเสียงดังขึ้นจากเมืองไม้ดำ กำแพงฝั่งที่เผชิญหน้ากับเผ่าเจ้าสมุทรแตกออกเป็นรูดำๆ เป็นจำนวนมาก และท่อน้ำสีเงินขนาดเท่าอ่างน้ำก็ยื่นออกมา
มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น
ลูกอัสนียักษ์จำนวนมากถูกยิงออกจากท่อ และพุ่งไปยังเผ่าเจ้าสมุทร พื้นที่ที่มันตกใส่มีสายฟ้าวนเป็นเกลียว
มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นท่ามกลางหมอกโลหิตที่อยู่บริเวณตำหนักสีเลือด ค้างคาวยักษ์สีเลือดจำนวนมากบินออกมา
พวกมันแต่ละตัวต่างก็ยาวชุ่นกว่าๆ มีทั้งหมดราวๆ สี่ห้าร้อยตัว พวกมันทั้งฝูงพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
มีเพียงทางด้านนิกายปีศาจที่นับว่าเคลื่อนไหวช้าสุด แต่หลังจากประมุขนิกายแผดเสียงออกคำสั่ง ศิษย์แต่ละแถวก็ควักยันต์ออกมาแล้วโยนไปในอากาศ จากนั้นก็เริ่มทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง
ยันต์เหล่านี้พลิ้วไหวตามลม และระเบิดตัวออกมามาเป็นไอหยินสีดำปกคลุมไปทั่วฟ้า
พริบตาเดียวกองกำลังของนิกายปีศาจก็จมอยู่ในไอหยิน
แต่ครู่ต่อมา เสียงคำรามที่ทำให้รู้สึกขนลุกก็ดังมาจากไอหยิน ค่ายกลแสงสีเขียวดูแปลกประหลาดปรากฏออกมาจากใจกลางหมอกดำ
“เพล้ง!”
กรงเล็บยักษ์สีดำยื่นออกจากค่ายกลแสง จากนั้นแขนสีดำก็ปรากฏออกมา และปีศาจยักษ์ไร้หัวที่สูงเจ็ดแปดจั้งก็ค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากค่ายกลแสง
แม้ปีศาจตนนี้จะไร้หัว แต่บนตัวเต็มไปด้วยเกราะเกล็ดสีดำ ขณะเดียวกันแขนและขาของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมสีดำ มีแผงขนสีเขียวยาวเรียงอยู่ตรงหลัง
พริบตาที่ปีศาจไร้หัวตนนี้ปรากฏตัว มันก็กางแขนทั้งสองขึ้นฟ้า เสียงคำรามในก่อนหน้าดังออกจากร่างของมัน
ขณะเดียวกัน บนเกาะยักษ์แห่งหนึ่งในเขตพื้นที่ทะเลของแผ่นดินอวิ๋นชวน ตรงกลางค่ายกลที่มีชั้นจำกัดหลายชั้นปิดผนึกอยู่ หัวอัปลักษณ์ที่มีเขาสองเขาค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา ทำให้ค่ายกลเปล่งประกายตามจังหวะการสั่นไหวของมัน
คนเผ่าเจ้าสมุทรหลายคนที่รับผิดชอบควบคุมค่ายกลเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขารีบหยิบยันต์หลากสีออกมาเป็นปึกๆ และแปะลงบนหัวปีศาจตนนี้
เมื่อชั้นจำกัดแต่ละชั้นเปล่งแสงออกมา หัวปีศาจก็ค่อยๆ สงบลงอย่างน่าประหลาดใจ
และสนามรบตรงชายแดนแคว้นต้าเสวียน ได้บังเกิดฉากที่สั่นสะเทือนใจขึ้น
ขณะที่ปีศาจยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมานั้น ไอหยินรอบด้านก็พวยพุ่งเข้าหามัน พริบตาเดียวก็เกาะตัวเป็นกระบองยักษ์สีดำยาวสิบกว่าจั้ง
“ไป!”
ประมุขนิกายปีศาจที่อยู่บนเรือยักษ์ตรงด้านหลัง ถือป้ายคำสั่งสีดำอยู่อันหนึ่ง พอเขาเห็นฉากนี้ ก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ป้ายไปสั่งปีศาจยักษ์
ปีศาจยักษ์ไร้หัวตนนี้ คือราชาปีศาจของนิกายปีศาจที่หายไปหลายปี ภายใต้การกระตุ้นของป้ายคำสั่ง มันก็ถือกระบองยักษ์สาวเท้าไปด้านหน้าทันที
……………………………………….
ตอนที่ 271 สู้รบขั้นเด็ดขาด (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ร่างของราชาปีศาจขยายขึ้นหนึ่งเท่าในทุกๆ ย่างก้าว พอมันก้าวเท้า “ตึงๆ!” เพียงไม่กี่ก้าว ร่างของมันก็มีขนาดใหญ่หลายสิบจั้ง กระบองยักษ์ในมือก็ขยายใหญ่ร้อยจั้ง มือทั้งสองที่จับกระบองฟาดออกไปด้านหน้า
“ตู๊ม!”
เงากระบองสีเทาจางๆ ยาวสิบกว่าลี้โผล่ขึ้นบนอากาศเหนือเผ่าเจ้าสมุทร และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ก่อนหล่นลงด้านล่าง น้ำทะเลด้านล่างแยกออกจากกันด้วยพลังไร้รูป คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกเงากระบองตัดออกเป็นสองส่วน
หลังจากพื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา ก็บังเกิดร่องน้ำขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
เผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้นล้มตายเป็นจำนวนมาก
อานุภาพกระบองของราชาปีศาจแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
ในขณะที่ราชาปีศาจไร้หัวของนิกายปีศาจปรากฏตัวนั้น ก็มีแสงสีดำแดงม้วนตัวออกจากยอดเขาดำของนิกายวาตอัคคี จากนั้นก็รวมตัวเป็นวิหคยักษ์สีแดง และสีดำที่ลำตัวยาวสามสิบกว่าจั้ง วิหคยักษ์ทั้งสองบินพุ่งออกไปพร้อมเสียงร้องแหลม
ภายใต้การกระพือปีกของวิหคตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดเป็นคมวายุจำนวนมากฟาดฟันออกไปด้านหน้า
ส่วนอีกตัวก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟขนาดเท่าศีรษะออกไปอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากหุ่นจำนวนมากที่อยู่บนเมืองไม้ดำของหุบเขาเก้าช่องออกไปจนหมด มันก็เปลี่ยนรูปร่างท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม จนกลายเป็นหุ่นมนุษย์ที่สูงหลายร้อยจั้ง แขนใหญ่ยักษ์ค้ำฟ้าทั้งสองชี้ไปด้านหน้า ลำแสงสีขาวน้ำนมจำนวนมากพุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร
ส่วนบรรดาศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ ภายใต้การกระตุ้นของอาจารย์จิตวิญญาณ พวกเขาต่างก็พากันตั้งค่ายกลกระบี่ที่มีขนาดแตกต่างกัน เพื่อรวมพลังกระตุ้นแสงกระบี่ต่างๆ ที่ยาวหลายจั้ง ก่อนฟาดฟันออกไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ภายใต้การกระตุ้นของศิษย์นิกายหยวนหมัวและอีกสองนิกาย พวกเขาเรียกหน้าปีศาจยักษ์สีเขียวมันขลับ และผีเสื้อหลากสีที่สูงสิบกว่าจั้งออกมาหนึ่งตัว
ตัวหนึ่งอ้าปากพ่นวายุปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ส่วนอีกตัวก็กระพือปีกทั้งสองตามแรงลม ก่อให้เกิดเป็นผงระยิบระยับจำนวนมากล่องลอยออกไป
ม่านวารี และเลือดเนื้อของเผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรที่ถูกม้วนเข้าไปในวายุปีศาจ ต่างก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ สลายไป พริบตาตาเดียวศพแห้งๆ ก็หล่นลงจากอากาศ
และเผ่าเจ้าสมุทรที่สัมผัสโดนผงระยิบระยับ ก็หน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายก็สั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด จากนั้นเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกจากหูจมูก และเผาไหม้ตนเองจนเสียชีวิต
ขณะที่ทางมนุษย์พยายามใช้ทุกวิถีทางโจมตีนั้น ทางฝั่งเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่ยอมน้อยหน้า!
ท่ามกลางเสียงร่ายคาถา เผ่าเจ้าสมุทรรวบรวมน้ำทะเลจำนวนมากจนกลายเป็นยักษ์สีฟ้าห้าหัวที่สูงหลายร้อยจั้ง แม้ว่าจะมีมือเท้าทั้งสี่ครบ แต่ใบหน้าสีฟ้ากลับราบเรียบ ไม่มีอวัยวะใดๆ เลยแม้แต่น้อย และมือทั้งสองก็กำกระบี่ยักษ์ยาวร้อยจั้งที่กลายร่างมาจากน้ำทะเล
พอมนุษย์วารียักษ์ปรากฏตัวออกมา สองหัวก็หันไปปะทะกับราชาปีศาจ อีกหัวก็โจมตีไปยังหุ่นที่กลายร่างมาจากเมืองไม้ดำนั้น อีกสองหัวที่เหลือก็รับมือกับค้างคาวโลหิตกับหุ่นอสูรที่เฮโลเข้ามา
อสูรสมุทรสิบกว่าตนที่มีรูปร่างน่าตกใจ ก็พุ่งออกจากกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร เพื่อโจมตีม่านแสงของมนุษย์
สำหรับอสูรสมุทรตนอื่นๆ ส่วนหนึ่งปะทะเข้าใส่หุ่นอสูร อีกส่วนหนึ่งก็ตามติดอสูรยักษ์ตนอื่นๆ เพื่อโจมตีม่านแสงที่ปกคลุมมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง
ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากเมฆดำที่อยู่เหนือเผ่าเจ้าสมุทร ปลาวาฬสีขาวที่ลำตัวยาวสามสิบจั้ง จำนวนสิบกว่าตัวก็พุ่งออกจากในนั้น รอบด้านเต็มไปด้วยพื้นที่น้ำทะเลขนาดใหญ่ร้อยหมู่ลอยวนอยู่
ท่ามกลางน้ำทะเล มีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
ในขณะที่ผู้ฝึกฝนระดับสูงของมนุษย์กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีเสียง “ซ่าๆ!” ดังมาจากน้ำทะเลกลางอากาศ จากนั้นมัจฉาบินสีเงินก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก
แต่ละตัวมีขนาดใหญ่ไม่เกินนิ้วโป้ง แต่กลับมีปีกตรงหลัง มีเขี้ยวแหลมคมเต็มปาก พริบตาเดียวมันก็กระจายไปทั่วท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงที่ปกป้องมนุษย์ ราชาปีศาจ หุ่นขนาดใหญ่เล็ก ค้างคาวโลหิต และหน้าปีศาจ ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของมัน
ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกขนลุกขนพองจนถึงขีดสุด
ขณะนั้นเอง ทางฝั่งมนุษย์ก็มีคนออกคำสั่งขึ้นมา จากนั้นม่านแสงที่ปกคลุมศิษย์แถวหน้าก็สลายไป ผู้คนทั้งหมดส่งเสียงตะโกนแล้วพากันขี่เมฆพุ่งออกไปด้านหน้า
พอเสียงสัญญาณดังขึ้น เผ่าเจ้าสมุทรตรงหน้าก็พุ่งออกไปด้านหน้าด้วยเช่นกัน
พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายต่างก็รบกันนัวเนีย
……
ณ โพรงใต้ดิน หลิ่วหมิงได้ลืมตาขึ้นมานานแล้ว และนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ก็เช่นกัน
เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรค้นพบ แม้พวกเขาทั้งห้าจะอยู่ภายในชั้นจำกัด แต่ก็ไม่กล้าส่งพลังจิตออกไปนอกโพรงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะจินตนาการถึงการรบอย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่ายได้
ศึกใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ตาม เกรงว่าจะต้องได้รับการบาดเจ็บ และสูญเสียไม่น้อย ซึ่งไม่อาจฟื้นคืนภายในระยะเวลาร้อยปีได้
ด้วยเหตุนี้ บวกกับภาระหนักอึ้งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ทำให้บรรยากาศในโพรงดินเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
แม้หญิงสาวชุดเขียวที่หัวเราะด้วยความสนุกสนานอยู่ตลอด ก็สำรวมในการพูดและหัวเราะมากขึ้น
“ศิษย์พี่โม่ เปิดศึกมานานขนาดนี้ คงได้เวลาพอสมควรแล้วล่ะ!” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นนั่งขัดสมาธิได้ครู่หนึ่ง ก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์น้องอวิ๋นอย่าได้ใจร้อนไป! พอถึงเวลาที่พวกเราต้องลงมือจริงๆ จะมีคนส่งสัญญาณมาเอง” หญิงสาวชุดเขียวกล่าวอย่างสงบ
พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้
ด้วยลักษณะนิสัยของเขา การนั่งอย่างสงบเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทรมาณเป็นอย่างมาก มันยากที่จะอดทนได้
ในขณะที่เขาคิดจะพูดอะไรออกมาอีกนั้น พลันมีเสียงหวีดยาวที่แฝงไปด้วยความโมโหดังขึ้นจากบนพื้น มันดังเข้ามาในโพรงด้านล่างจนทำให้พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจน
จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งที่ให้คนรู้สึกหวาดกลัวก็กวาดผ่านเหนือโพรง แต่พอเจอกับชั้นจำกัดที่ปกคลุมโพรง ก็กวาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่ค้นพบผู้ที่อยู่ในโพรงแม้แต่คนเดียว
“ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทร!” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นหลุดปากออกมา
คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
และพลังจิตอันแข็งแกร่งยังคงกวาดดูพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังหาใครบางคนอยู่
ทำให้พวกเขาทั้งห้ารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา
เสียงหวีดยาวหยุดชะงักในฉับพลัน พลังจิตอันแข็งแกร่งถอนกลับไปราวกับน้ำไหลทะลัก เสียงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟดังมาจากเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร
“ไอ้มนุษย์ชั่วช้า! พวกเจ้ากล้าสังหารคนของข้าอย่างโหดเหี้ยม ข้าจะถลกหนังดึงเอ็นพวกเจ้า ถึงจะสมกับสมญานามผู้ปกป้องเผ่าของข้า!”
พอกล่าวจบ กลิ่นไออันน่ากลัวอย่างสุดขีดก็พุ่งออกจากเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร และพุ่งออกไปไกลๆ ด้วยระดับความเร็วที่ยากจะบรรยายได้ พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา
ดูเหมือนว่าเสียงนี้ จะเป็นน้ำเสียงผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรที่ลงมือกับเขาในวันนั้น
คงไม่บังเอิญถึงขนาดที่ว่า ผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่เฝ้าเมืองในวันนี้คือคนผู้นี้หรอกนะ!
ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาคงต้องเรียกกำลังวังชากลับมาเป็นอย่างมากแล้ว
ในขณะที่หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลนั้น ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็ได้ยินเสียงอันน่าตกใจที่ดังมาจากด้านนอก จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ
“เป็นคนของพวกเราอีกสองกลุ่ม ดูท่าพวกเขาคงลงมือสำเร็จแล้ว”
“รออีกหน่อย! ให้ผู้อาวุโสระดับผลึกของพวกเขาออกไปไกลกว่านี้อีกหน่อย มิเช่นนั้นด้วยระดับความเร็วของเขา สามารถใช้เวลาในการกลับมาแค่ชั่วครู่เท่านั้น” ชายหนุ่มผมขาวมองดูแผ่นค่ายกลสีเงินในมือแล้วกล่าวอย่างสงบ
หญิงชุดเขียวพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็ได้แต่พยักหน้าติดต่อกัน
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แผ่นค่ายกลสีเงินในมือชายหนุ่มผมขาวก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ และปล่อยอักขระสีทองเล็กๆ ออกมาแถวหนึ่ง
“เอาล่ะ! ออกเดินทางได้! จำไว้ มีเวลาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น พอถึงเวลาไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ พวกเราก็ต้องถอนตัวไปจากเมืองลอยน้ำทันที!” เซวี่ยเฟิงตะคอกออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือก และตกปากรับคำกลับไป
จากนั้นคนทั้งห้าก็ขึ้นไปจากโพรงใต้ดิน
หลิ่วหมิงเพียงแค่กวาดสายตามองไปยังเมืองลอยน้ำ ก็มองเห็นควันดำที่พุ่งขึ้นจากกำแพงเมืองด้านหนึ่ง และผนังส่วนหนึ่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยของการถูกโจมตี ขณะเดียวกันผิวน้ำบริเวณนั้นก็มีศพลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ในนั้นมีทั้งเผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทร โลหิตสดๆ สาดไปทั่วพื้นผิวน้ำ
“ดูท่าคนอีกสองกลุ่มในก่อนหน้านี้คงลงมือไม่เบา! พวกข้าสองคนจะช่วยคุ้มครองพวกเจ้า พวกเจ้าลงมือเถอะ!” เซวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยประกายตาที่เยือกเย็น
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป
หลิ่วหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อควักกล่องหยกสีดำที่สูงฉื่อกว่าๆ ออกมา บนนั้นมียันต์ปิดผนึกอยู่เป็นจำนวนมาก
จางซิ่วเหนียงหยิบธงค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และโยนออกไปรอบด้าน จากนั้นค่ายกลแปลกประหลาดก็ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงที่เปล่งประกาย
นางก้าวเข้าไปในค่ายกลทันที และนั่งขัดสมาธิลงไป
แต่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นลูกกลมๆ สีเลือดที่มีลวดลายสีทองปกคลุมอยู่ก็ถูกโยนออกมา
ชายหนุ่มเอานิ้วแตะหน้าผาก ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ลูกกลมๆ
“ฟู่!” โลหิตบริสุทธิ์ระเบิดออกมา และกลายเป็นไอหมอกจมหายเข้าไปในลูกกลมๆ
ลูกกลมๆ ที่เดิมทีดูไร้ชีวิต ก็มีอักขระสีทองเปล่งประกายออกมาบนพื้นผิว และเปล่งลำแสงอันน่าตกใจออกมา
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นทำท่ามือชี้ไปทางลูกกลมๆ อย่างบ้าคลั่ง
พอมีเสียงแตกหักดังออกมา ลูกกลมๆ สีเลือดก็พร่ามัวกลายเป็นหุ่นวานรสีทองที่สูงสองจั้ง
แต่หุ่นตัวนี้แตกต่างจากหุ่นวานรยักษ์ที่หลิ่วหมิงเคยพบเห็น มันไม่เพียงแต่มีผิวหนังกับขนสีทองที่ดูหนาๆ เท่านั้น ระหว่างคิ้วยังมีดวงตาโลหิตที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และยังเปล่งแสงเย็นสะท้านอันน่าตกใจออกมา ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
มีเพียงแค่ข้อต่อจุดสำคัญที่เป็นเหล็กสีดำกลมๆ ที่พอจะทำให้คนมองลักษณะเฉพาะของมันออกได้
พอชายหนุ่มแซ่อวิ๋นปล่อยวานรสีทองออกมา ก็กัดนิ้วตัวเองทันที และใช้โลหิตบริสุทธิ์เขียนอักขระไว้ระหว่างคิ้ว
ฉากอันน่าแปลกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
อักขระที่อยู่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นหมุนติ้วๆ จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นดวงตาปีศาจ นอกจากจะดูแข็งกระด้างไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนเหมือนกับดวงตาโลหิตที่อยู่ระหว่างคิ้วของวานรสีทองไม่มีผิด
……………………………………….
ตอนที่ 272 สู้รบขั้นเด็ดขาด (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายหนุ่มตะคอกเสียงต่ำออกมา มือข้างหนึ่งชี้ไปทางวานรสีทอง
ร่างวานรสีทองเกิดการเคลื่อนไหว และก้าวยาวๆ เข้ามา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกระโจนเข้าใส่วานรสีทอง ร่างของเขาพร่ามัวและจมหายเข้าไปในนั้น
วานรสีทองที่ดูแข็งกระด้างกลับมีแสงเปล่งประกายขึ้นในดวงตา ตอนนี้มันดูปราดเปรียวเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ! ศิษย์น้องหลิ่ว ศิษย์พี่จาง ข้าควบคุมหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อไปก่อนนะ”
พอกล่าวจบ วานรสีทองก็กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้น ก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังเมืองลอยน้ำ
“หุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อ!”
ข้าได้ยินมานานแล้วว่า ในสมัยบรรพกาล หุบเขาเก้าช่องเคยได้หุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อจากแดนลึกลับแห่งหนึ่ง กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นวานรสามตาตัวนี้! จากชื่อเสียงของวานรสามตาในสมัยบรรพกาล ต่อให้มันจะแสดงพลังของมันแค่หนึ่งถึงสองในสิบส่วน ก็เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเลย” เซวี่ยเฟิงแสดงสีหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นฉากนี้
“แต่ตามบันทึกกล่าวว่า ถ้าจะควบคุมร่างหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อที่ปรับแต่งมาจากอสูรจิตวิญญาณ โดยทั่วไปไม่อาจใช้วิธีการควบคุมหุ่นมาควบคุมได้ เกรงว่าศิษย์น้องอวิ๋นคงมีสายโลหิตเดียวกับหุ่นจิตวิญญาณเลือดเนื้อ ถึงเข้าไปในร่างมันได้อย่างราบรื่น” หญิงชุดเขียวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีโลหิตของภูตอยู่ในร่าง เพื่อให้กำเนิดลูกหลานที่แข็งแกร่งของมนุษย์เราในสมัยบรรพกาล จึงมีการเกี่ยวดองกับคนต่างเผ่าถ่ายทอดทายาทมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนนี้เกรงว่าเผ่ามนุษย์เราต่างก็มีพลังของสายเลือดต่างเผ่าแฝงอยู่หนึ่งถึงสองเผ่า มิเช่นนั้นไหนเลยจะให้กำเนิดร่างจิตวิญญาณที่มีคุณสมบัติพิเศษเช่นนี้ได้อย่างไร แต่สายโลหิตวานรสามตาของในร่างของศิษย์น้องอวิ๋นคงจะเจือจางเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปสามารถมองข้ามไปได้เลย แต่เอามาใช้กระตุ้นหุ่นจิตวิญญาณตัวนี้กลับเหมาะสมเลยทีเดียว ด้วยสายโลหิตวานรสามตาที่หาได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่าหุบเขาเก้าช่องใช้ความพยายามไปตั้งเท่าไหร่ ถึงหาศิษย์น้องอวิ๋นเจอ” ชายหนุ่มผมขาวค่อยๆ กล่าวออกมา
หญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็ดึงยันต์ที่ติดอยู่บนกล่องหยกออก และโยนออกไปด้านหน้าก่อนที่จะทำท่ามือด้วยมือเดียวและชี้ออกไป
ทันใดนั้นมีเสียงดังหวึ่งๆ ขึ้นมา ฝากล่องเปิดออก เผยให้เห็นโครงกระดูกขนาดเล็กที่สูงฉื่อกว่าๆ ลำตัวเต็มไปด้วยอักขระสีเงิน และมีสภาพไม่สมบูรณ์ ซึ่งขาดแขนไปข้างหนึ่ง
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ป้ายคำสั่งสีขาวก็ปรากฏในมือ เขาค่อยๆ โบกไปทางโครงกระดูก ขณะเดียวก็ตะโกนคำว่า “เร็ว!” ออกมา
“ฟู่!”
อักขระสีดำบนแผ่นป้ายเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ไอสีดำพวยพุ่งออกจากพื้นผิวของโครงกระดูก พริบตาเดียวโครงกระดูกก็จมอยู่ในนั้น
หลิ่วหมิงตาเป็นประกายเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาขยับตัวพุ่งเข้าไปในไอดำ
ครู่เดียว ก็มีเสียงคำรามออกจากไอดำ จากนั้นไอดำก็พากันม้วนตัวกระจายไปรอบทิศทาง
แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้น!
พอไอดำสัมผัสโดนขอบค่ายกลของจางซิ่วเหนียง ก็ถูกม่านแสงสีขาวต้านทานไว้
หญิงสาวขุดเขียวและชายหนุ่มชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็ถอยออกไปด้วยความแปลกใจ
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ เขาเพียงแต่ใช้แผ่นป้ายกระตุ้นอยู่ท่ามกลางไอดำไม่หยุด
“ตู๊ม!”
เท้ากระดูกยักษ์สีขาวขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก้าวออกจากไอดำ ขณะเดียวกันโครงกระดูกขนาดมหึมาที่สูงสามสิบกว่าจั้ง ก็ปรากฏตัวขาดๆ หายๆ ภายใต้แสงสีเงินที่เปล่งประกาย
หลิ่วหมิงเหยียบอยู่บนไหล่ของโครงกระดูกยักษ์ และตะโกนคำว่า “ไป!” ออกมา
ทันใดนั้น ไอดำบริเวณนั้นก็พวยพุ่งรวมตัวเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ห่อหุ้มโครงกระดูกกับหลิ่วหมิงไว้ ก่อนที่จะพาทะยานขึ้นฟ้าเหาะไปยังเมืองลอยน้ำ
เวลานี้ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นที่ออกนำไปก่อน ก็มาถึงขอบเมืองลอยน้ำ หุ่นจิตวิญญาณวานรสีทองที่ควบคุมอยู่ก็กลายเป็นอสูรขนาดมหึมาที่มีขนาดใหญ่ร้อยกว่าจั้ง และปลดปล่อยอานุภาพอันเกรียงไกรโจมตีอสูรสมุทรชนิดต่างๆ
พริบตาเดียวก็มาถึงเมืองลอยน้ำ
เผ่าเจ้าสมุทรที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองลอยน้ำเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นก็มีเสียงแจ้งเตือนออกมาเป็นระลอกๆ ขณะเดียวกันธนูยักษ์ที่ติดตั้งอยู่บนนั้นก็พุ่งยิงไปยังวานรสีทองราวกับสายฝนกระหน่ำ แต่พอมันเข้าใกล้วานรสีทองในระยะไม่กี่จั้ง ก็ถูกแสงสีทองดีดกระเด็นกลับอย่างง่ายดาย
อาวุธกับวิชาต่างๆ ที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้โจมตี ไม่สามารถทำอะไรแสงสีทองนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
พอวานรยักษ์สีทองชกหมัดใส่หัวอสูรสมุทรสองตนที่เหลืออยู่ในทะเลสาบแล้ว ร่างของมันก็มาอยู่บนอากาศเหนือเมืองลอยน้ำ และทุบหมัดใส่กำแพงเมืองส่วนหนึ่งอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ม่านแสงหลากสีเป็นชั้นๆ ปรากฏออกมาบนพื้นผิวของเมืองลอยน้ำเป็น เพื่อต้านทานการโจมตีของวานรสีทองตัวนี้
แต่ภายใต้การควบคุมวานรสีทองของชายหนุ่มแซ่อวิ๋น มันก็กระหน่ำโจมตีเมืองลอยน้ำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ม่านแสงชั้นจำกัดค่อยๆ สลายไปราวกับหิมะที่ละลายท่ามกลางแสงแดด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยักคิ้วขึ้นมา ดูท่าเขาคงไม่ต้องรีบเข้าไปช่วย ศิษย์พี่อวิ๋นคนเดียวก็สามารถทำลายชั้นจำกัดภายนอกจนหมดเกลี้ยงได้
ขณะนี้มีแสงเปล่งประกายตรงอากาศบริเวณด้านข้าง เงาร่างคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนไอดำที่โครงกระดูกยักษ์สร้างขึ้น
หลิ่วหมิงหันไปมองก็เห็นเป็น ‘ศิษย์พี่โม่’ นั่นเอง
“ศิษย์น้องหลิ่ว นี่คือปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกที่มีชื่อเสียงของนิกายเจ้าใช่ไหม? อิๆ! เจ้าไม่เหมือนกับศิษย์น้องอวิ๋น ถ้าเจ้าควบคุมปีศาจมนุษย์ตนนี้ล่ะก็ คงไม่สามารถทำการป้องกันได้ ให้ข้าคุ้มกันเจ้าสักครู่เถอะ!” หญิงสาวชุดเขียวหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนศิษย์พี่โม่แล้ว” หลิ่วหมิงคิดอย่างรวดเร็ว และพยักหน้ากล่าวอย่างสงบ
ด้วยระดับความเร็วอันน่าตกใจของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก พอพายุพัดกระหน่ำทีเดียว พวกเขาก็มาถึงด้านบนของเมืองลอยน้ำ พอหลิ่วหมิงเห็นชั้นจำกัดของเมืองลอยน้ำถูกวานรยักษ์สีทองทำลายจนเหลือแค่สองสามชั้น แผ่นป้ายกระดูกขาวในมือก็เปล่งแสงสีดำออกมา
พอปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกขยับแขน ฝ่ามือยักษ์ค้ำฟ้าก็ตบใส่เมืองลอยน้ำด้านล่าง นิ้วทั้งห้ามีเปลวเพลิงปีศาจสีดำพวยพุ่ง พลังมหาศาลพุ่งลงไปในฉับพลัน
“ตู๊ม!”
พอถูกวานรยักษ์สีทองกับปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกรวมพลังกันโจมตี เศษชั้นจำกัดที่ดูเหมือนอยู่ในช่วงวิกฤตก็แตกสลายไป
เผ่าเจ้าสมุทรหลายร้อยคนที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเห็นเช่นนี้ ก็ถอยออกไปด้วยความตกใจ แต่กลับสายไปเสียแล้ว
วานรยักษ์สีทองเปล่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดออกมา หลังจากปล่อยหมัดติดต่อกันออกไปอย่างรุนแรง แสงสีทองก็พุ่งยิงออกมา เผ่าเจ้าสมุทรที่สัมผัสโดนมันต่างก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นหมอกโลหิต
และไอดำบนร่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็ม้วนตัวออกไปทันที เผ่าเจ้าสมุทรที่สัมผัสโดนมันต่างก็ถูกแช่แข็งอยู่ที่เดิม
หญิงสาวชุดเขียวที่ยืนอยู่ข้างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกรู้สึกดีใจเมื่อเห็นเช่นนี้ และขณะที่กำลังเร่งให้หลิ่วหมิงแฉลบผ่านกำแพงเมืองไปโดยตรงนั้น พลันมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวมาจากใจกลางเมืองลอยน้ำ อาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรห้าหกคนพุ่งเข้ามาด้วยความโมโห ปีศาจอสูรระดับของเหลวที่มีกลิ่นไอไม่ธรรมดาตามติดมาด้านหลัง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
มิน่าผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นั้นถึงได้จากเมืองลอยน้ำไปง่ายดายเช่นนี้ ที่แท้ก็ยังมีคนเฝ้าอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก
แต่ด้วยพลังของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกกับวานรสามตาที่เข้าใกล้ระดับผลึก ย่อมไม่เกรงกลัวผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเหล่านี้
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายออกมา และคิดที่จะกระตุ้นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกให้ชิงโจมตีก่อน
แต่ขณะนั้นเองพลันมีเสียงดังกังวานมาจากด้านหลัง
สายรุ้งสีขาวแสบตาแฉลบผ่านระหว่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกกับวานรสามตาไป มันพุ่งเข้าใส่เผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรที่กำลังพุ่งเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงร้องอย่างกราดเกรี้ยวกับเสียงคำรามดังออกมา พริบตาเดียว สายรุ้งก็กลายเป็นวงแหวนแสงเย็นสะท้านม้วนตัวออกไป
ขณะที่แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายอีกครั้งนั้น ร่างของอาจารย์เผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรทั้งหมดก็ถูกตัดออกเป็นสองส่วน กลิ่นคาวเลือดเต็มไปทั่วท้องฟ้า
วงแหวนแสงหมุนติ้วๆ และหดตัวลง พอแสงสีขาวดับไป ก็ปรากฏภาพจางซิ่วเหนียงที่ยืนถือกระบี่อยู่บนอากาศเหนือศพเหล่านั้น
แม้ว่าตอนนี้นางจะมีใบหน้า และการแต่งกายเหมือนก่อนหน้านั้นไม่มีผิด แต่กลิ่นไอบนตัวเข้มข้นเป็นอย่างมาก ซึ่งมีระดับการฝึกฝนอยู่ในเขตแดนของเหลวขั้นปลาย
“ศิษย์พี่จาง นี่คือ……”
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นที่อยู่ในร่างวานรสามตาก็รู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง
“ข้าเพียงแค่ใช้สมบัติล้ำค่าที่ปรมาจารย์ให้ไว้ในปีนั้น ถึงทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน ทางที่ดีพวกเรารีบลงมือเถอะ!” จางซิ่วเหนียงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“แน่นอน! ว่าแต่มันเป็นสมบัติล้ำค่าแบบใดกัน ถึงได้ยกระดับการฝึกฝนได้ถึงสองขั้นอย่างรวดเร็ว? ช่างเหลือเชื่อจริงๆ! นิกายจันทราสวรรค์สมกับเป็นหนึ่งในแคว้นต้าเสวียนจริงๆ ซึ่งมีพลังล้ำลึกจนยากจะคาดเดาได้” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นที่อยู่ในร่างวานรสีทอง ยังคงร้องออกมาด้วยความตกใจ
“ศิษย์น้องอวิ๋นกล่าวเกินไปแล้ว พูดถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริง หุ่นจิตวิญญาณวานรสามตากับปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกของศิษย์น้องหลิ่ว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าข้าในตอนนี้เลย” จางซิ่งเหนียงหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดว่าไม่คิดที่จะตอบคำถามฝ่ายตรงข้าม
ขณะนี้ ชายหนุ่มผมขาวก็ตามมาถึงในที่สุด
ด้วยเหตุนี้ คนทั้งห้าก็คุยกันอีกเล็กน้อย จากนั้นก็มุ่งไปยังใจกลางเมืองลอยน้ำอย่างไม่รอรี
ระหว่างทาง ย่อมมีเผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรโจมตีเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวตัวตาย แต่ภายใต้การลงมือของคนทั้งสาม พริบตาเดียวก็สังหารจนหมดสิ้น โดยที่พวกมันไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงใจกลางเมืองลอยน้ำ และมองเห็นลานกว้างที่ถูกอักขระสีฟ้าจางๆ จำนวนมากโอบล้อมอยู่
พื้นที่รอบด้านของลานกว้าง มีรูปสลักของอสูรสมุทรสี่ตัวที่แตกต่างกันตั้งตระหง่านอยู่ แต่ละตัวล้วนมีขนาดสิบกว่าจั้ง
พวกมันมีสีขาวแวววาวไปทั่วร่าง แบ่งเป็นเต่ายักษ์ หมึก วาฬ กุ้งมังกรเป็นต้น
ใจกลางลานมีแท่นบูชาหยกสีขาวสูงสิบกว่าจั้งอยู่แท่นหนึ่ง โถกลมๆ ที่ดูไม่เข้าตาเลยแม้แต่น้อยวางอยู่ในอ่างสีเงินที่อยู่บนนั้น
“ลงมือเถอะ! นี่คือคือาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของเผ่าเจ้าสมุทรชิ้นนั้น!” พอหญิงสาวชุดเขียวมองเห็นโถสีดำบนแท่นบูชา นางก็กล่าวออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก วานรสีทองที่ควบคุมอยู่กระแทกเท้าข้างหนึ่งลงพื้น
“ฟู่!” ร่างขนาดมหึมากระโจนไปยังแท่นบูชาทันที
“ตู๊ม!”
พริบตาที่วานรสามตาประชิดขอบลานกว้าง มันก็ถูกม่านแสงสีฟ้าชั้นหนึ่งต้านทานไว้ได้ และภายใต้ชนอย่างรุนแรง ทำให้มันกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
วานรยักษ์ร่นถอยไปสิบกว่าก้าว ถึงส่ายหัวและตั้งหลักได้
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา
……………………………………….
ตอนที่ 273 สู้รบขั้นเด็ดขาด (4)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็กระทืบเท้าใส่ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก ทันใดนั้นโครงกระดูกยักษ์ก็คำรามออกมา มันอ้าปากพ่นลำแสงสีดำโจมตีม่านแสงทันที
ม่านแสงสีฟ้าส่งเสียงดังโครมครามและพร่ามัวในฉับพลัน ผนังด้านนอกเว้าเข้าไปในพริบตา แต่ไม่ว่าลำแสงจะเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งเท่าใดก็ตาม ก็ยังไม่มีรอยแตกร้าวเลยแม้แต่น้อย
เมื่อลำแสงจากปากปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกดับไป ม่านแสงสีฟ้าก็คืนรูปร่างเป็นปกติดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ขณะนั้นเอง จางซิ่วเหนียงที่อยู่ด้านข้างกลับโยนกระบี่ยาวไปกลางอากาศ ขณะเดียวกันกลิ่นอันน่าตกใจก็พุ่งขึ้นฟ้า มือทั้งสองทำท่ามือชี้ไปทางกระบี่อย่างรวดเร็ว
“ฟู่!”
กระบี่ยาวหิมะขาวพร่ามัวกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นคมมีดยักษ์ใหญ่สิบจั้งก่อนฟันลงมา
“ฉับ!”
พอแสงเย็นสะท้านตกใส่ม่านแสงสีฟ้า มันก็สั่นไหวอย่างรุนแรง พื้นผิวของมันแตกร้าวเป็นรอย
จางซิ่วเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ยักคิ้ว และรีบกระตุ้นเคล็ดวิชากระบี่ทันที
กระบี่ยักษ์กลายเป็นเงากระบี่ฟันลงไปอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงและชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจมาก พวกเขาทั้งสองต่างก็กระตุ้นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกกับวานรสามตาช่วยอีกแรง
แม้ม่านแสงนี้จะมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แต่ไหนเลยจะสามารถต้านทานพลังการโจมตีของทั้งสามได้
ครู่เดียว มันก็กลายเป็นจุดสีฟ้าแตกกระจายหายไป
พวกหลิ่วหมิงทั้งสามต่างก็พุ่งเข้าไปในลานกว้างทันที
ขณะนี้ หญิงสาวชุดเขียวกับชายหนุ่มผมขาว กำลังรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรที่บุกเข้ามาอย่างไม่คิดชีวิต
คนหนึ่งถือดาบที่กลายเป็นคมโลหิต อีกคนกระตุ้นมุกกลมๆ แวววาวทั้งสามให้กลายเป็นแสงลูกกลมๆ สีเขียว
ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นไม่ถูกแสงโลหิตฟันออกเป็นสองส่วน ก็ถูกมุกสีเขียวพุ่งทะลุหน้าอก ไม่มีใครสามารถต้านทานการโจมตีนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าพลังของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
พอพวกหลิ่วหมิงทั้งสามเข้าไปในลานกว้าง และเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็อยู่ห่างจากแท่นบูชาไม่ค่อยไกลแล้ว
แต่ขณะนั้นเอง ทั้งสามกลับรู้สึกว่าพื้นดินที่แข็งแกร่งอ่อนตัวลงในฉับพลัน ลานกว้างกลายเป็นน้ำทะเลซัดสาดท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย
ขณะเดียวกัน รูปสลักอสูรสมุทรทั้งสี่ที่อยู่รอบด้านก็เปล่งแสงสีฟ้าออกมา
พวกมันสั่นหัวกระดิกหางท่ามกลางเสียงดึงหวึ่งๆ และภายใต้การเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งของอักขระบนพื้นผิว พวกมันก็ขยายใหญ่เกือบร้อยจั้ง และกระโจนเข้าหาพวกเขาทั้งสาม
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นในร่างวานรยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็คำรามออกมาด้วยความโมโห และพุ่งไปยังปลาหมึกหนวดแปดเส้นทันที พอแสงสีทองเปล่งประกายออกมา อสูรขนาดมหึมาทั้งสองก็ปะทะเข้าด้วยกัน
หนวดปลาหมึกทั้งแปดโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็ทุบกำปั้นทั้งสองลงไปอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งสองล้วนมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ชั่วเวลาเดียวก็ต่อสู้กันพัลวัน
วาฬยักษ์เพียงแค่ส่ายหางอย่างรุนแรง ทันใดนั้นคลื่นยักษ์ก็โหมกระหน่ำขึ้นมา และม้วนมาทางหลิ่วหมิง
เต่ายักษ์ก็หดหัวหดขาเข้าไปในกระดองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็ดีดตัวพุ่งมาหาหลิ่วหมิง
ส่วนมังกรแกะสลักนั้น เห็นได้ว่าเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุด
มันเพียงแค่อ้าปาก ก็มีคมวายุจำนวนมากพุ่งมาหาจางซิ่วเหนียง ขณะเดียวกันพอมันเคลื่อนไหวก็มีพายุบ้าระห่ำบังเกิดขึ้น พอมีเสียงดังกังวานออกมา มันก็แยกเขี้ยวยิงฟันพุ่งเข้าหาหญิงนิกายจันทราสวรรค์ตามคมวายุมาติดๆ
ภายใต้สถานการณ์ที่ระดับการฝึกฝนของจางซิ่วเหนียงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก นางย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย พอนางสะบัดกระบี่ยาวหิมะขาว เงากระบี่ก็ฟันไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง
ในขณะเดียวกัน อสูรสี่ตัวกับคนสามคนก็แบ่งการต่อสู้ออกเป็นสามกลุ่ม และต่อสู้กันอย่างดุเดือด
หลิ่วหมิงเผชิญกับอสูรยักษ์ตรงหน้าสองตัว ย่อมไม่มีเวลาสนใจคนอื่น เขาได้แต่กระตุ้นป้ายกระดูกอย่างสุดชีวิต ขณะเดียวกันมืออีกข้างก็แปะยันต์จำนวนมากไว้บนตัว ม่านแสงหลากสีเปล่งประกายออกมา
ขณะเดียวกันปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกหัวเราะแปลกประหลาดออกมา ไอดำบนร่างก็พวยพุ่งไปรวมกันตรงหน้า กลายเป็นโล่สีดำขนาดใหญ่ เพื่อต้านทานคลื่นยักษ์ที่โจมตีเข้ามา
คลื่นยักษ์ทั้งหมดพุ่งชนโล่ราวกับชนก้อนหินขนาดใหญ่
วาฬยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็บิดตัวเพื่อสร้างคลื่นยักษ์ทำการโจมตีต่อ
แต่ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกกลับย่อตัวลง มือที่แผ่ไอเย็นสะท้านจุ่มลงในน้ำทะเลด้านล่าง
ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
พอได้ยินเสียงดัง “ซ่าๆ!”
น้ำทะเลบริเวณรอบๆ วาฬยักษ์ก็กลายเป็นสีดำทันที น้ำแข็งเย็นสะท้านเกาะตัวขึ้นมา พริบตาเดียวมันก็ห่อหุ้มอสูรตัวนี้ไว้
วาฬยักษ์ไม่ทันระวังตัว จึงถูกน้ำแข็งเกาะผนึกไว้
ขณะนั้นเอง เต่ายักษ์ก็พุ่งมาด้านหน้าปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกราวกับว่ามันเป็นภูเขาลูกเล็ก และชนใส่โล่สีดำด้วยเสียงอันดัง “ตู๊ม!”
โล่ที่ดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก พลันสั่นกระเพื่อมขึ้นมา พอมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” มันก็ค่อยๆ แตกร้าวออกมา
เมื่อไม่มีสิ่งใดต้านทาน เต่ายักษ์ก็พุ่งตัวเข้าใส่ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกทันที
“เพล้ง!” “เพล้ง!”
แขนปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกพร่ามัวไปคว้าขอบกระดองหนาๆ ของเต่ายักษ์ไว้ได้ ขณะเดียวกัน มันก็คำรามเสียงและชูร่างของเต่ายักษ์ขึ้นมา
ครั้งนี้ เต่ายักษ์รีบยื่นหัวยื่นขาออกจากกระดองด้วยความตกใจ และดิ้นรนอยู่ไม่หยุด
แต่ขณะนี้ วาฬยักษ์ที่ถูกน้ำแข็งสีดำปิดผนึกไว้ ก็มีแสงสีฟ้าหมุนอยู่รอบตัว จนดูเหมือนว่าน้ำแข็งที่ห่อหุ้มไว้จะแตกออกมา
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าดุร้าย และโบกป้ายกระดูกในมือไปยังวาฬยักษ์ทันที
ขณะนั้น ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็คิดจะโยนเต่ายักษ์ใส่วาฬยักษ์ที่ถูกน้ำแข็งปิดผนึกอยู่ในฉับพลัน
พอพายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้น เต่ายักษ์ก็กลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งยิงออกไป
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น!
ร่างของเต่ายักษ์ปะทะใส่วาฬยักษ์อย่างรุนแรง
อสูรสมุทรตนนี้ร้องออกมาอย่างเวทนา และระเบิดตัวกลายเป็นแสงสีฟ้า น้ำแข็งที่เกาะผิวอยู่ก็แตกกระเด็นออกไป
แต่เต่ายักษ์ได้หดหัวหดขาเข้ากระดองตั้งแต่แรกแล้ว แม้ว่าจะหกคะเมนตีลังกาจนหน้ามืดตาลาย และไม่สามารถตั้งหลักได้ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
แต่หลิ่วหมิงกลับเลิกคิ้ว และส่งพลังเวทย์ไปยังป้ายคำสั่งในมือ อักขระสีดำเปล่งประกายออกมา และพุ่งเข้าร่างของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก
ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกคำรามด้วยเสียงอันดัง เท้าทั้งสองสาวไปตามผิวน้ำ แม้จะดูเหมือนเชื่องช้า แต่ความจริงแล้วเร็วมาก พอมันมาถึงหน้าเต่ายักษ์ เปลวเพลิงสีดำอันคุโชนก็ลุกไหม้บนแขนของมัน
“ฟู่!”
นิ้วทั้งห้าของโครงกระดูกแนบชิดติดกัน จากนั้นก็แทงทะลุร่างเต่ายักษ์ราวกับเป็นคมมีด กระดองที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่สามารถทำการต้านทานใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย
“ตู๊ม!”
เปลวเพลิงปีศาจสีดำลุกไหม้ออกจากตัวเต่ายักษ์ ทำให้มันร้องออกมาอย่างเวทนา จากนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นเศษหิน
ขณะนี้ หลิ่วหมิงมีสีหน้าซีดขาวเป็นอย่างมาก ป้ายกระดูกในมือกลายเป็นสีดำ และดูไร้แสง
ประจักษ์ชัดว่าการกระตุ้นปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกให้ทำการโจมตีในเมื่อครู่ ทำให้เขาสูญเสียงพลังไปไม่ใช่น้อย
เขาหยิบโอสถสีแดงที่มีกลิ่นหอมเตะจมูกออกมาทาน จากนั้นถึงค่อยมองออกไปทางด้านอื่น
สายรุ้งสีขาวหมุนรอบตัวมังกรตนนั้นอย่างรวดเร็ว และบดขยี้มันจนกลายเป็นผุยผง และร่วงหล่นลงไป
จากนั้นสายรุ้งสีขาวก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ พอแสงดับลงร่างของจางซิ่วเหนียงก็ปรากฏออกมา
อีกด้านหนึ่ง วานรสามตาได้คำรามเสียงออกมา มันกำลังฉีกหมึกตัวนั้นออกเป็นสองส่วน หลังจากโยนลงในน้ำแล้ว มันก็กลายเป็นก้อนหินจมลงไปใต้น้ำ
“รีบไปเอาอาวุธจิตวิญญาณ!”
พอหญิงชุดเขียวที่ยุ่งอยู่กับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่ เห็นสถานการณ์ทางฝั่งนี้ ก็รีบกล่าวออกมาด้วยความดีใจ
จางซิ่วเหนียงได้ยินเช่นนี้ ก็กลายร่างเป็นแสงสีขาวพุ่งไปยังแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว
ขณะที่แสงสีขาวม้วนตัวมาถึง และจางซิ่วเหนียงกำลังจะยื่นมือคว้าโถสีดำกลมๆ นั้น
กลับมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน!
“ฟู่!”
แสงสีฟ้าเปล่งประกายออกจากโถกลมๆ และชนใส่หน้าอกของจางซิ่วเหนียงทันที
นางทำเสียงฮึดฮัด และกระอักเลือดออกมา ร่างอรชรกระเด็นออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงอยู่ใกล้แถวนั้นพอดี พอเห็นเช่นนี้ ก็รีบกระโดดลงจากร่างปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกอย่างไม่ลังเล และรับร่างของจางซิ่วเหนียงที่กระเด็นมาได้พอดี
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
พอหลิ่วหมิงรับรู้ถึงพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ออกจากร่างของหญิงสาว แขนทั้งสองของเขาก็ร้อนขึ้นมา จากนั้นก็ร่นถอยไปสิบกว่าก้าว
เขาตะคอกออกมาด้วยความโมโห จากนั้นร่างของเขาถึงสามารถตั้งหลักได้
ขณะนี้ แสงสีฟ้าที่พุ่งออกจากโถกลมๆ ก็หมุนติ้วๆ อยู่เหนือแท่นบูชา และพร่ามัวหายไป
ครู่ต่อมา มีคลื่นก่อตัวขึ้นตรงหน้าวานรสามตาที่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นควบคุมอยู่ วงแหวนสีฟ้าที่โปร่งใสแวววาวปรากฏออกมามา มันพร่ามัวมาโจมตีหน้าอกของวานรสามตา โดยที่มันยังไม่ทันได้ตั้งตัว
ร่างวานรสามตาถูกโจมตีจนสั่นไหว และกระเด็นออกไป แต่ยังไม่ทันที่ร่างของมันจะหล่นถึงพื้น วงแหวนสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมา และชนใส่ร่างวานรยักษ์อีกครั้ง
ร่างวานรสีทองพุ่งกระเด็นขึ้นฟ้า!
วงแหวนสีฟ้าเปล่งประกายติดต่อกัน จากนั้นก็ทำลายแสงสีทองที่คุ้มกันอยู่จนสลายไป และโจมตีแขนขาทั้งสี่ของวานรสีทองทันที
แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนแขนขาทั้งสี่ของวานรสีทอง พอลำแสงดับลงร่างของมันก็หดตัวอย่างรวดเร็ว และกลับมามีขนาดสูงสองจั้งเท่าเดิม
……………………………………….
ตอนที่ 274 สู้รบขั้นเด็ดขาด (5)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะนี้ แสงสีฟ้าถึงพุ่งออกจากโถกลมๆ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็กลายเป็นหญิงสาวชุดคลุมหลากสีสัน
ดูเหมือนนางจะมีอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปี ดวงตาสุกใสเป็นประกาย ระหว่างคิ้วมีกลิ่นไอบางอย่างที่บอกไม่ถูก ราวกับว่าไม่ใช่คนในโลกมนุษย์ แก้มทั้งสองข้างมีอักขระสีทองจางๆ ติดอยู่ ทำให้นางดูลึกลับมากขึ้น
ประจักษ์ชัดว่าวงแหวนสีฟ้าเมื่อครู่คือสิ่งของของนางนั่นเอง นางลงมือโจมตีจางซิ่วเหนียงกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าพลังของนางล้ำลึกจนยากจะคาดเดาได้
พอได้เห็นฉากนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าผิดปกติออกมา
ขณะนี้ จางซิ่วเหนียงก็สลัดตัวออกจากอ้อมกอดของหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าแดงก่ำ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็จ้องมองหญิงชุดคลุมหลากสีด้วยแววตาเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่ยาวหิมะขาวออกมาอีกครั้ง
“ท่านคือใครกัน? คิดไม่ถึงว่าจะแอบซ่อนตัวอยู่ในอาวุธจิตวิญญาณเพื่อโจมตีพวกเรา นี่นับว่าเป็นความสามารถอย่างนั้นหรือ?” จางซิ่วเหนียงตะโกนถามออกไป
แต่หญิงสาวชุดหลากสีกลับกวาดตามองพวกหลิ่วหมิงอย่างไม่สะทกสะท้าน พอนางโบกมือกลางอากาศ วงแหวนสีฟ้าก็พุ่งกลับมา และค่อยๆ ตกลงบนมือนางอย่างมั่นคง จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ซุ่มโจมตีผู้น้อยอย่างพวกเจ้าน่ะหรือ! ช่างน่าขันเสียจริง ข้าแค่พักผ่อนอยู่ในนั้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ว่าเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามของอวิ๋นชวนช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ บาตรพลิกสมุทรแค่ใบเดียวก็ไม่อาจคุ้มครองไว้ได้ ดูท่า! ถ้าข้าไม่ลงมือเองคงจะไม่ได้”
พอกล่าวจบ ร่างของนางก็ลอยขึ้น และเดินมาทางหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียงอย่างไม่สะทกสะท้าน
ส่วนวานรสามตาที่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นควบคุมอยู่นั้น แม้จะยังดิ้นสลัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการอยู่ แต่ร่างของมันกลับอ่อนยวบยาบ กระดูกแต่ละชิ้นถูกโจมตีจนแตกละเอียด จนไม่สามารถลุกขึ้นมารับมือกับศัตรูได้
“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ามีท่าไม้ตายอะไรรีบงัดออกมาให้หมด ถ้าพวกเราไม่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ถอยไปได้ล่ะก็ เกรงว่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ฝั่งร่างของพวกเราแล้ว” จางซิ่วเหนียงเลิกคิ้วกล่าวกับหลิ่วหมิง จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่กระบี่ยาวในมือ หลังจากกวัดแกว่งเล็กน้อย กระบี่ยาวหิมะขาวก็กลายเป็นสีเลือด ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนร่างก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ราวกับว่านางเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบปล่อยพลังเวทย์ใส่ป้ายกระดูกขาวอย่างไม่รอรี จากนั้นก็สะบัดไปด้านหลังทันที
แผ่นป้ายพร่ามัวหายวับเข้าไปในร่างของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก
ครู่ต่อมา ปีศาจมนุษย์ก็เงยหน้าคำรามเสียงออกมา ไอดำบนร่างพวยพุ่งรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีดำที่สูงหลายจั้ง
มือทั้งสองของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกคว้าไปกลางอากาศ “ฟู่!” “ฟู่!” กระบี่ยักษ์สีดำยาวสิบกว่าจั้งก่อตัวขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกระตุ้น ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็พุ่งเข้าหาหญิงสาวชุดคลุมหลากสีตรงหน้าทันที ขณะเดียวกันกระบี่ยักษ์ในมือทั้งสอง ต่างก็ฟันปราณกระบี่อันน่ากลัวออกไป
แต่พริบตาที่ปราณกระบี่สีดำม้วนตัวออกไป ก็มีเปลวเพลิงสีดำจำนวนมากพุ่งออกจากในนั้น หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็พุ่งโจมตีหญิงสาวชุดคลุมหลากสี
ขณะนี้ จางซิ่วเหนียงก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา พริบตานั้นนางกับกระบี่ยาวในมือก็กลายร่างเป็นสายรุ้งสีเลือดอันน่าตกใจ และม้วนตัวเข้าหาหญิงสาวตรงหน้า
มันคือวิชาขี่กระบี่ ที่ต้องฝึกฝนถึงระดับขั้นกลางจึงจะผสานร่างกับกระบี่ได้
สำหรับกระบี่นี้ จางซิ่วเหนียงแทบจะปล่อยพลังออกไปทั้งหมด และภายใต้การเสริมแรงของโลหิตบริสุทธิ์ อานุภาพของมันก็ใกล้เคียงกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปแล้ว
ในขณะเดียวกัน วานรสามตาที่เหมือนว่าไม่สามารถกระดิกตัวได้ ก็พยายามสะบัดหัว ทันใดนั้นดวงตาโลหิตที่อยู่ระหว่างคิ้วก็ลืมขึ้นมา
บังเกิดเสียงดังขึ้น!
ลำแสงสีเลือดพุ่งออกจากดวงตาไปยังด้านหน้าหญิงสาวชุดคลุมหลากสีทันที และก็ไปถึงก่อนเปลวเพลิงสีดำกับสายรุ้งสีเลือดก้าวหนึ่ง
หญิงสาวที่เผชิญหน้ากับการรวมพลังโจมตีของทั้งสาม กลับไม่ท่าทีรีบร้อนเลยแม้แต่น้อย แต่นางกลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองหนีบวงแหวนสีฟ้าไว้ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
วงแหวนสีฟ้าขนาดใหญ่กระเพื่อมออกจากร่างของนาง ทุกที่วงแหวนพุ่งผ่านล้วนหยุดชะงักในฉับพลัน
ไม่ว่าจะเป็นลำแสงหรือเปลวเพลิงปีศาจ ล้วนถูกแสงสีฟ้ากวาดล้างจนค่อยๆ ดับไป
เปลวเพลิงสีดำที่ออกปากปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกฟันลงบนวงแหวน แต่พอแสงสีฟ้าม้วนตัวกลับ เปลวไฟสีดำบนร่างก็ดับไป ทำให้มันกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดเล็ก ที่มีสีฟ้าแวววาว
โครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ในน้ำแข็งไม่อาจกระดิกตัวได้อีก
และหลิ่วหมิงก็ขาดการติดต่อกับมันในพริบตา
พอสายรุ้งสีฟ้าที่กลายร่างมาจากจางซิ่วเหนียงสัมผัสโดนวงแหวนแสง มันก็จมเข้าไปในวงแหวนแสงครึ่งหนึ่งท่ามกลางเสียงดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นก็หยุดค้างอยู่อย่างนั้น โดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก
แต่จางซิ่วเหนียงยังคงพยายามกระตุ้นกระบี่ยาวในมืออย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นกลิ่นไอกระบี่อันน่าตกใจก็พุ่งออกจากร่างของนาง พอแสงสีเลือดเปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่งก็มีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” แสงสีฟ้าแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
สายรุ้งสีเลือดกระพริบแสงทีเดียว ก็สามารถทะลวงแสงสีฟ้าที่ต้านทานไว้ได้ จากนั้นก็ม้วนตัวพุ่งไปยังหญิงสาวชุดคลุมหลากสีตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ดวงตาของหญิงสาวชุดคลุมหลากสีเปล่งประกายเล็กน้อย นางเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเป็นครั้งแรก จากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อ ง้าวสั้นสามง่ามสีทองอร่ามปรากฏออกมา มันพร่ามัวไปฟันสายรุ้งอันน่าตกใจที่อยู่ตรงหน้า
ง้าวสามง่ามส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา แสงสีทองม้วนตัวออกไป
“ตู๊ม!” บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
พอสายรุ้งสีเลือดที่มีพลังแข็งแกร่งสัมผัสโดนแสงสีทอง ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นกลับไป มันกระพริบไม่กี่ทีก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
พอลำแสงดับไป จางซิ่วเหนียงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าซีดขาว
แม้ว่านางจะมีปณิธานหนักแน่นมาโดยตลอด แต่สายตาของนางที่มองไปยังหญิงสาวชุดคลุมหลากสีในตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยความหวาดผวา
“เคล็ดกระบี่ วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง! ไม่เลว! คิดไม่ถึงว่าอายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนเส้นทางกระบี่ได้ถึงขั้นนี้แล้ว น่าเสียดายที่พลังเวทย์ของเจ้าในตอนนี้ ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนของเจ้าเอง มิใช่เช่นคงมีโอกาสบีบให้ข้าล่าถอยได้” หญิงสาวชุดคลุมหลากสีจ้องมองจางซิ่วเหนียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเอ่ยปากออกมา
“รีบหนีไป! คนผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า หนีได้กี่คนก็หนีเท่านั้น!”
ชายหนุ่มผมขาวกับหญิงสาวชุดเขียวที่อยู่นอกลานกว้างเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มผมขาวก็ตะโกนออกไป
พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งมุดหายลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่สนใจเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่บริเวณนั้น
ส่วนอีกคนก็โบกยันต์ในมือ จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นจุดแสงสีเขียวและสลายไป
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาขยี้ยันต์สีทองที่ควักออกมาตั้งแต่แรกแล้ว จากนั้นแสงสีทองก็หมุนวนรอบตัวเขา ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นลูกแสงสีทองทะยานขึ้นฟ้าไป
ส่วนจางซิ่วเหนียงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่หลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหว ป้ายหยกที่อยู่บนเอวของนางก็แตกร้าวออกมา แสงสีขาวพุ่งออกจากในนั้น และม้วนตัวหญิงสาวพุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ขณะนี้ วานรสามตาก็คำรามออกมาด้วยเสียงอันดัง ร่างของมันระเบิดในพริบตา และหมอกโลหิตในนั้นก็พวยพุ่งรวมตัวเป็นแสงโลหิตก่อนพุ่งขึ้นด้านบน หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็หนีไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับพายุบ้าระห่ำ
พวกเขาทั้งสามเป็นศิษย์สำคัญที่สุดของแต่ละนิกาย และยังเสี่ยงอันตรายทำภารกิจนี้ แต่ละคนจึงย่อมมีวิธีการเอาตัวรอดที่เตรียมไว้แต่แรกแล้ว พอเห็นท่าไม่ดีจึงพากันแยกย้ายอย่างไม่ลังเล
แต่การที่พวกเขาหนีไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวขุดคลุมหลากสีตกตะลึงเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีฟ้าพุ่งไปยังทิศทางที่จางซิ่วเหนียงหนีไป
……
อึดใจเดียว หลิ่วหมิงก็หนีออกมาไกลร้อยกว่าลี้โดยไม่หันหน้ากลับมามองเลย จากนั้นพลังของยันต์ก็หมดไป แสงสีทองบนร่างเขากลายเป็นจุดแสง และสลายไป
เขาหยุดการเคลื่อนไหว และส่งพลังจิตกวาดมองไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว
พอเห็นว่าไม่มีเงาร่างของหญิงสาวชุดคลุมหลากสี เขาถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
หญิงสาวเผ่าเจ้าสมุทรที่ปรากฏตัวขึ้นมานี้ มีพลังแข็งแกร่งที่พบเจอได้น้อยมาก และสร้างความกดดันให้เขาเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายเขายังไม่รู้สึกเช่นนี้! หรือว่านางจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึก หรือนางจะเป็นอสูรที่มีการฝึกฝนอยู่ในระดับแก่นแท้ในตำนาน?
แต่ก็ดูเหมือนไม่น่าจะใช่!
หากอยู่ในระดับนี้จริงๆ เกรงว่าแค่นางกระดิกนิ้ว ก็สามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายราวกับมด
ได้ยินมาว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ โดยทั่วไปจะเรียกว่าขั้นแก่นเสมือน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกโดยทั่วไปสามารถเทียบได้ นางคงอยู่ในระดับนี้! แต่ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรมีผู้ฝึกฝนระดับนี้จริงๆ ล่ะก็ ใยต้องเก็บซ่อนไว้ด้วยเล่า? ถ้านางออกหน้าลงมือเอง แต่ละนิกายก็ไม่อาจต้านทานได้ และกองกำลังของมนุษย์ก็คงพ่ายแพ้ตั้งนานแล้ว
และปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตกอยู่ในมือของนางอย่างง่ายดายเช่นนี้ กลับไปเขาคงไม่รู้จะอธิบายกับประมุขนิกายปีศาจอย่างไรดี คิดๆ ดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก!
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว สีหน้าเขาเปลี่ยนไปมา แต่พอฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ต้องส่ายหน้าทันที
เรื่องแบบนี้มอบให้ผู้อาวุโสระดับผลึกพิจารณาเองเถอะ! แม้เขาจะหนีออกมาไกลขนาดนี้ แต่ด้วยพลังอันน่ากลัวของนาง สถานที่แห่งนี้คงยังไม่ปลอดภัยมากนัก ทางที่ดีรีบกลับไปในเมืองจะดีกว่า
หลิ่วหมิงตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็หยิบโอสถมาทานหนึ่งเม็ด และกระตุ้นเมฆเทาใต้เท้าเพื่อมุ่งไปด้านหน้าต่อ
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแก่หง่อมของผู้ชายดังเข้ามา
“วิเศษไปเลย ช่างวิเศษจริงๆ! เจ้าเด็กมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันรวดเร็วเช่นนี้ คอยดูเถอะว่าครั้งนี้จะมีใครมาช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไหม!”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าด้านนั้นทันที สีหน้าเขาซีดขาวเป็นอย่างมาก
บนอากาศที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งสวมชุดคลุมสีม่วงกำลังจ้องมาด้วยสีหน้าดุร้าย
เขาคือผู้อาวุโสแซ่ลี่แห่งเผ่าเกล็ดเงินผู้นั้นนั่นเอง
……………………………………….
ตอนที่ 275 ตามล่าพันลี้
โดย
Ink Stone_Fantasy
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที เขาควักยันต์สีทองมาแปะตัว และพุ่งออกกด้านข้างท่ามกลางแสงสีทองที่ห่อหุ้มอีกครั้ง
นอกจากยันแสงทองที่ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมอบให้ผืนนั้นแล้ว ก่อนออกเดินทางประมุขนิกายปีศาจยังให้ยันต์แบบนี้กับเขาอีกสามผืน เพื่อที่จะได้ช่วยชีวิตในยามคับขัน
นี่เป็นที่พึ่งสำคัญที่เขาตอบรับภารกิจนี้
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ พอแสงสีฟ้าหมุนวนรอบตัว ร่างของเขาก็พุ่งตามไป
พริบตาเดียวทั้งสองก็อยู่ห่างกันร้อยกว่าลี้
ยันต์แสงทองเป็นยันต์ที่ใช้ในการหลบหนีที่พบเจอได้น้อยมาก พอแสดงออกมา ระดับความเร็วของมันก็พอที่จะหนีการตามล่าของศัตรูระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้
แม้ผู้อาวุโสแซ่ลี่จะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก แต่ก็ไม่ชำนาญวิชาการหลบหลีก วิชาที่ใช้ก็เป็นแค่วิชาหลบหลีกทั่วไปเท่านั้น ถ้าอยู่บนผิวทะเลล่ะก็ ย่อมมีผลลัพธ์ที่ไม่เลว แต่ตอนนี้มาอยู่บนอากาศที่ไม่มีน้ำแม้แต่หยดเดียว จึงเร็วกว่าอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แม้ว่าผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรจะกระตุ้นพลังทั้งหมด แต่ก็ยังอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงระยะหนึ่งอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เขายิ่งตามก็ยิ่งโมโห และอดคิดไม่ได้ว่าถ้าตามฝ่ายตรงข้ามทัน จะต้องทรมาณให้สาแก่ใจ
หลิ่วหมิงที่หนีอยู่ด้านหน้า ก็กระตุ้นอานุภาพของยันต์จนถึงขีดสุด พลังเวทย์ในร่างพุ่งขึ้นบนศีรษะ และหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง
เส้นทางที่เขาเลือกหลบหนีในก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ผู้อาวุโสแซ่ลี่จากไปแล้ว แต่ทำไมถึงมาเจอกับฝ่ายตรงข้ามได้ล่ะ!
เรื่องนี้ช่างเข้าใจได้ยากยิ่งนัก!
แม้ว่าในมือเขาจะยังมียันต์แสงทองอยู่อีกสองผืน แต่อย่างมากก็สามารถหนีห่างจากผู้อาวุโสแซ่ลี่แค่พันลี้เท่านั้น จากนั้นความเร็วก็จะกลับมาเป็นปกติ และระยะห่างแค่นี้ ไม่อาจทำให้เขากลับไปถึงเมืองยักษ์ได้
และระหว่างทางที่มา เขาได้ตรวจสอบพบว่าทิศทางที่จะไปนั้นเป็นพื้นที่ราบเรียบจนไม่อาจหลบหลีกและซ่อนตัวได้เลย แต่ถ้าเขาไปตามทิศทางนี้เรื่อยๆ คงมีโอกาสไม่น้อยที่จะเจอกับคนในนิกาย แต่ด้วยพลังของผู้ที่ไล่ล่ามานั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก เกรงว่าคนทั่วไปคงไม่อาจต้านทานเขาได้ นอกเสียจากว่าจะพบกับผู้อาวุโสระดับผลึกที่อยู่แถวนั้นพอดี
แต่โอกาสนี้มีไม่มากนัก!
อีกอย่างตอนนี้เขาเป็นห่วงผลแพ้ชนะของศึกระหว่างแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ด้านหน้า
ถ้าแต่ละนิกายชนะล่ะก็ ทุกอย่างคงง่ายขึ้น แต่ถ้าพ่ายแพ้ล่ะก็ เมืองยักษ์อาจถูกเผ่าเจ้าสมุทรยึดครองแล้วก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ถ้าเขาไปตามทิศทางนี้มีแต่จะรนหาที่ตายเท่านั้น
ในทางกลับกัน ถ้าตอนนี้เขาเลี้ยวหลบหนีไปทางอื่น และใช้พลังจากยันแสงทองทั้งสามจนหมดล่ะก็ คงสามารถเข้าไปในเทือกเขาบางแห่งตรงชายแดนแคว้นต้าเสวียนได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ทิศทางนั้นคงไม่มีผู้ฝึกฝนในนิกายปรากฏตัวอย่างแน่นอน เขาคงได้แต่รับมือกับการตามล่าของผู้แข็งแกร่งเผ่าเจ้าสมุทรเพียงผู้เดียวแล้ว
แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด จากแผนที่ที่เขาเคยดูก่อนหน้า กลุ่มเทือกเขาเหล่านั้นมีขนาดใหญ่มาก และยังทอดทะลุไปข้างในแคว้นต้าเสวียน เพียงแค่เขาหลบเข้าไปในเทือกเขา คงจะสามารถอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์หลบหนีการตามล่าได้
เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวในฉับพลัน แสงสีทองบนร่างเปล่งประกายออกมาทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปด้านข้าง
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ก็เลี้ยวตามไปอย่างไม่ลดละ
ขณะนี้หลิ่วหมิงโยนโอสถเข้าปากไปสองสามเม็ด มือทั้งคู่กำหินจิตวิญญาณก้อนหนึ่งไว้แน่น และพยายามสูดเอาพลังจากในนั้น
ผู้อาวุโสแซ่ลี่เห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอยู่ในใจ
ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งของเขา แค่มองก็รู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น ต่อให้จะทานโอสถและสูดเอาพลังจากหินจิตวิญญาณ ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน
เพราะยันต์หลบหนีอย่างยันต์แสงทองนี้ ยิ่งหนีเร็วก็ยิ่งสูญเสียพลังมาก
ในความคิดของเขา วิธีการหลบหนีของหลิ่วหมิง คงทำให้พลังเวทย์หมดไปภายในเวลาครึ่งเค่อ
ในสายตาเขาแล้ว ระดับการฝึกฝนของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ต้องหยิบยกขึ้นมาพูด
แต่พออึดใจเดียวที่หลิ่วหมิงบินอยู่ห่างสองร้อยกว่าลี้นั้น ระดับความเร็วของเขาก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดสีหน้าของผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จากการคาดเดาของเขา พอถึงเวลานี้พลังเวทย์ของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น คงจะหมดไปเจ็ดแปดส่วน และไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีกถึงจะถูกต้อง
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีทองบนร่างหลิ่วหมิงก็ดับไป ในที่สุดพลังของยันต์สีทองก็ถูกใช้จนหมดสิ้น
ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และขณะที่กำลังกระตุ้นพลังเวทย์เพื่อตามล่านั้น หลิ่วหมิงก็พลิกฝ่ามือแปะยันต์แสงทองบนตัวอีกผืนหนึ่ง และกลายร่างเป็นกลุ่มแสงพุ่งออกไปอีกครั้ง
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสรู้สึกหงุดหงิดจนตะโกนด่าออกมาอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขาไม่เหลือท่าทีของผู้อาวุโสระดับผลึกอีกเลย
สำหรับผู้อาวุโสระดับผลึกผู้นี้ มียันต์ระดับยันต์แสงทองแค่ไม่กี่ผืน ทั้งยังเป็นยันต์ธาตุน้ำ ไม่มียันต์ประเภทบินหลบหลีกเลย
ฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่อาจารย์จิตวิญญาณ แต่กลับนำยันต์แสงทองมาใช้ติดต่อกันสองสามครั้ง เช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกโมโหได้อย่างไร
แต่พอหลังครึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงขยี้ยันต์ผืนที่สองในแขนเสื้อ เพื่อให้แสงสีทองห่อหุ้มร่างเขาอีกครั้ง ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่คิดจะกร่นด่าออกมาอีก เขาได้แต่กระตุ้นแสงตามติดหลิ่วหมิงไป
แต่ดูจากสายตาเยือกเย็นที่จ้องมองหลิ่วหมิงอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะใช้พลังทั้งหมดตามล่าหลิ่วหมิงให้ได้
แน่นอนว่าเขารู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงทานโอสถวิเศษอะไรเข้าไป พลังเวทย์ถึงไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ที่รับรู้ได้ถึงพลังของผู้อาวุโสระดับผลึกที่ลดลง
โอสถที่เขาทานเมื่อครู่ เป็นแค่โอสถฟืนฟูพลังเวทย์ธรรมดาเท่านั้น ตามหลักแล้ว ต่อให้จะสูดเอาพลังจากหินจิตวิญญาณเพิ่มขึ้น ก็ไม่อาจรักษาระดับความเร็วได้นานขนาดนี้
แต่ด้วยข้อดีของพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์ ย่อมแสดงผลลัพธ์ที่ดีออกมาด้วย
ในขณะที่เขาบินอยู่นี้ ทะเลจิตวิญญาณของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูพลังเวทย์ที่สูญเสียไปตลอดเวลา
แม้ว่าจะฟื้นฟูได้ไม่มาก แต่พอสะสมนานเข้า ก็มีปริมาณที่น่าตกใจ
แม้หลิ่วหมิงจะรู้ว่า ถ้าพลังเวทย์บริสุทธิ์ การฟื้นฟูก็จะรวดเร็วขึ้นด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว จะมีผลลัพธ์ที่ชัดเจนเช่นนี้
โชคดีที่เขาบินหลบหลีกอย่างเดียว ถ้าทำการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลานานล่ะก็ พลังเวทย์คงฟื้นคืนไม่ทันกับที่สูญเสียไป
แต่ก็ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงถึงได้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย
เขาเรียกสติกลับมา และพักความคิดที่จะกระตุ้นพลังแฝงที่เตรียมไว้ชั่วคราว และกระตุ้นพลังของยันต์ให้กลายเป็นแสงสีทองก่อนพุ่งยิงออกไป
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม กลิ่นไอบนตัวหลิ่วหมิง ก็อ่อนลงกว่าตอนแรกเกือบครึ่งหนึ่ง
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็มีเงาของยอดเขาสีเขียวครึ้มทอดยาวติดต่อกันตรงพื้นที่กว้างโล่งขนาดใหญ่ตรงหน้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกลิงโลดขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงสีทองบนร่างเปล่งประกายเพิ่มมากขึ้น ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นสองส่วน และพุ่งไปยังเทือกเขาทันที
ผู้อาวุโสแซ่ลี่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นกลุ่มเทือกเขาตรงหน้า ตอนนี้เขาถึงเข้าใจว่าหลิ่วหมิงคิดจะทำอะไร
เขากัดฟัน และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาทันที จากนั้นก็กลายเป็นหมอกโลหิตแผ่กระจายออกไปตามลม
ผู้อาวุโสทะลุผ่านหมอกโลหิตไป จากนั้นร่างของเขาเต็มไปด้วยอักขระสีเลือดจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็มีปีกแสงสีเลือดงอกมาตรงหลังคู่หนึ่ง ร่างกายส่วนล่างกลายเป็นหางมัจฉาสีเงินในพริบตา
พอปีกแสงสีเลือดตรงหลังผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรกระพืออย่างรุนแรง ร่างของเขาก็พุ่งยิงออกไปราวกับฝนดาวตก ความเร็วก็เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านั้นเกือบครึ่งหนึ่ง และเริ่มเข้าใกล้หลิ่วหมิงมากขึ้น
วิชาที่ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้แสดงออกมา ย่อมเป็นเคล็ดวิชาที่ทำให้สูญเสียพลังเป็นอย่างมาก แม้จะทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น แต่ก็สูญเสียพลังไม่ใช่น้อย และยังมีผลกระทบในภายหลังอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นผู้อาวุโสจึงไม่เคยคิดจะใช้วิชานี้มาก่อน แต่พอเห็นหลิ่วหมิงจะหนีเข้าไปในเทือกเขา เขาจึงไม่สนใจอะไรอีกต่อไป
ปีกแสงสีเลือดบนหลังผู้อาวุโสกระพืออยู่ไม่หยุด ครู่เดียวก็อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่เกินสามสี่ลี้
เขามองร่างหลิ่วหมิงที่มองเห็นอย่างแจ่มชัด จากนั้นก็ตบฝ่ามือข้างหนึ่งผ่านอากาศไปหาหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
“ฟู่!”
พลังมหาศาลพุ่งผ่านอากาศไปหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และคิดจะหลบหลีกก็ไม่ทันการเสียแล้ว เขาทำได้แต่ส่งพลังเวทย์ไปตรงหลังอย่างรวดเร็ว
แสงสีน้ำเงินเปล่งประกายออกมา ปราณแกร่งพุ่งออกจากร่าง และรวมตัวเป็นม่านแสงหนาๆ ภายในพริบตา เพื่อบังหลังเขาไว้
ขณะนี้พลังมหาศาลได้พุ่งชนใส่ร่างของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง
“ตู๊ม!”
ม่านแสงที่กลายร่างมาจากปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดแตกกระจายกลายเป็นจุดๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกร้อนที่หลัง จากนั้นร่างของเขาก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป และอ้าปากกระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก
ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ครู่ต่อมากลับต้องกร่นด่าอีกครั้ง
แม้หลิ่วหมิงจะถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป แต่พอเขาบิดตัวก็สามารถยืนตั้งหลักอยู่กลางอากาศได้ และถือโอกาสใช้พลังมหาศาลเพิ่มความเร็วขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
เพราะการโจมตีเมื่อครู่เหนี่ยวรั้งความเร็วของผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรไม่ใช่น้อย เขาจึงได้แต่รีบกระพือปีกตามไปด้วยความเสียใจ
ขณะนี้ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัวสองสามที จากนั้นก็จมหายไปในเทือกเขา และลัดเลี้ยวตามเขาบริเวณนั้น ก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……………………………………….
ตอนที่ 276 มนุษย์เกราะทองคำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าปีกโลหิตของผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรจะทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมามาก แต่ด้วยวิชาที่แสดงอยู่ทำให้ไม่อาจบังคับได้ดังใจ สุดก็ตามหาร่องรอยหลิ่วหมิงไม่เจอ
แต่ผู้อาวุโสแซ่ลี่เป็นถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึก พอเจอสถานการณ์เช่นนี้ ก็หยุดอยู่เหนือยอดเขาลูกหนึ่ง และหัวเราะออกมา
“เจ้าเด็กน้อย คิดจริงๆ หรือว่าซ่อนตัวแล้วข้าจะหาเจ้าไม่พบ แม้ฝ่ามือเมื่อครู่จะเอาชีวิตเจ้าไม่ได้ แต่ก็ทำให้ร่างกายของเจ้ามีกลิ่นไอของข้าติดไปด้วย ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งของข้า สามารถหาเจ้าได้อย่างง่ายดาย!”
พอกล่าวจบ ผู้อาวุโสแซ่ลี่ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และเอานิ้วมือแตะหน้าผาก
“ฟู่!” พลังจิตอันแข็งแกร่งพุ่งออกจากร่างของผู้อาวุโส มันกลิ้งไปมาบนอากาศ และปกคลุมไปทั่วทิศ ไม่ว่าจะเป็นพื้นดินในป่า ล้วนถูกพลังจิตกวาดดูจนทั่ว
ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรมีท่าทีสงบราวกับคนตกปลาที่รอปลามาติดเบ็ด แต่พอใช้พลังจิตกวาดดูพื้นที่บริเวณนั้นเจ็ดแปดรอบ และไม่ค้นพบผลลัพธ์ใดๆ เขาก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา
จากการตรวจดูกลิ่นไอของตนเอง รับรู้ได้อย่างลางๆ ว่า หลิ่วหมิงอยู่ในพื้นที่บริเวณนี้อย่างแน่นอน แต่พอใช้พลังจิตตรวจสอบจริงๆ กลับไม่หาสามารถหาตำแหน่งที่แน่นอนได้
หลังจากคิดวกไปมาสองสามรอบ ก็เปลี่ยนท่ามือในฉับพลัน อักขระโลหิตบนร่างกับปีกแสงโลหิตตรงหลังค่อยๆ แตกกระจายเป็นจุดๆ จากนั้นก็กลายเป็นแมลงปีกแข็งสีเลือดที่มีขนาดเท่าเม็ดถั่ว
แมลงปีกแข็งสีเลือดเหล่านี้ มีรูปร่างโปร่งใสไปทั้งตัว แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง แต่พอมันส่งเสียงดังหวึ่งๆ ก็พุ่งยิงออกไปรอบทิศทาง
บ้างก็ทะลุผ่านต้นไม้ไป บ้างก็บินจมหายเข้าไปใต้ดิน บ้างก็จมหายเข้าไปในเขาลูกเล็กๆ
ส่วนผู้อาวุโสก็รีบนั่งขัดสมาธิกลางอากาศ หลับตาทั้งคู่ลงอย่างเงียบๆ และไม่กล่าวอะไรออกมาอีก
นี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะที่ผู้อาวุโสฝึกฝน!
แมลงปีกแข็งมหัศจรรย์เหล่านี้ ไม่มีพลังการโจมตีเลยแม้แต่น้อย และไม่อาจรับคำสั่งที่ซับซ้อนได้ แต่พอเชื่อมต่อกับจิต ของผู้อาวุโส พวกมันแต่ละตัวสามารถเป็นดวงตาให้เขาได้
แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีสถานที่บางแห่งที่สามารถตบตาเขาได้ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
……
แมลงปีกแข็งสิบกว่าตัวจมหายไปในไหล่เขาบางแห่ง และแยกตัวกันตามหาทั่วทิศ
บ้างก็บินเหนือยอดเขา บางก็ร่อนลงบนพื้น
แต่ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็ค้นพบถ้ำตามธรรมชาติ กับลำน้ำที่ซ่อนตัวอยู่ใต้พื้นดินลึก
แมลงปีกแข็งสีโลหิตเหล่านี้ ค้นหาในถ้ำและแม่น้ำอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ค้นพบหลิ่วหมิงแต่อย่างใด จากนั้นก็พากันบินไปยังพื้นที่แห่งอื่นๆ อย่างไม่ลังเล
และในลำน้ำที่ดูใสแจ๋วเป็นพิเศษ มีปลาสีขาวหลายตัวกำลังแหวกว่ายอยู่ในนั้น
ทันใดนั้นปลาเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ไปว่ายข้างหน้ากลับต้องกระเด็นกลับมา มันกับชนโดนอะไรบางอย่างจนมีวงน้ำเกิดขึ้นบนพื้นผิว แต่ครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ
ปลาเล็กๆ สะบัดหางใส่ตรงหน้าสองสามที จนเมื่อแน่ใจว่าไม่สามารถพุ่งผ่านไปได้ ก็ว่ายอ้อมผ่านสิ่งของนั้นไป
ขณะนี้ ถ้ามีคนสามารถมองทะลุได้ล่ะก็ จะพบว่าในลำน้ำตรงหน้า มีม่านวารีใสแจ๋วอยู่บนร่างหลิ่วหมิง ซึ่งมันเหมือนกับพื้นผิวของน้ำไม่มีผิด และมือทั้งสองของเขาก็ถือธงเล็กสีฟ้าที่สูงหลายชุ่นไว้หนึ่งอัน ด้านหน้าเขามีมุกสีดำที่ถูกหมอกวารีหนาๆ ปกคลุมอยู่
น้ำใสๆ ไหลออกจากธงเล็กสีฟ้าเข้าไปในม่านวารีอยู่ไม่หยุด
หมอกวารีหนาแน่นที่มุกสีดำแผ่ออกมาปกคลุมไปทั่วพื้นที่ในม่านวารี ทำให้ในนั้นดูมัวๆ ราวกับว่าเป็นละอองฝนเล็กๆ
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิ หลับตาทั้งคู่ และไม่มีการหายใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว
แต่พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าตรงหลังของเขามียันต์สีดำสองผืน ที่แปะตัดสลับกันอยู่ มันเปล่งแสงแวววาวปกคลุมอาการบาดเจ็บของเขาไว้
ผู้อาวุโสแซ่ลี่ควบคุมแมลงปีกแข็งให้ทำการค้นหาอยู่นานครึ่งชั่วยาม พอมีเสียงดังออกจากร่างของเขา อักขระสีเลือดที่เหลืออยู่ก็แตกกระจาย สีหน้าของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
เกือบจะในเวลาเดียวกัน แมลงปีกแข็งสีเลือดที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ก็ค่อยๆ ระเบิดตัวออกมา จนไม่เหลือแม้แต่ตัวเดียว
“ไม่คิดว่าจะสามารถหลบพลังจิตกับแมลงปีกแข็งจิตวิญญาณของข้าในเวลาเดียวกันได้! ดูท่าเจ้าเด็กมนุษย์นี่คงมีของวิเศษอะไรคุ้มกันตัวอยู่ ถึงได้หลบซ่อนได้ดีเช่นนี้ แต่ไม่เป็นไร! ข้ามีวิธีบีบเจ้าออกมาอยู่!” สีหน้าผู้อาวุโสแซ่ลี่เปลี่ยนไปมา และถอนหายใจก่อนกล่าวพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวทะยานขึ้นฟ้า และมาปรากฏตัวกลางอากาศที่สูงพันกว่าลี้ เขาสะบัดแขนเสื้อ และทุบฝ่ามือลงด้านล่าง
“ฟู่!”
เงาฝ่ามือสีเทาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นใต้ร่างผู้อาวุโส มันปล่อยสายฟ้าสีเงินฟาดฟันใส่ยอดเขาด้านล่าง
บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
ภายใต้แสงสายฟ้าที่หมุนเป็นเกลียว ทำให้ยอดเขาพังทลายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็แยกออกจากกัน และกวาดไปยังยอดเขาอีกลูกที่อยู่ใกล้ๆ
ยอดเขาลูกนี้ถูกกวาดจนพังทลายไปเกือบครึ่งหนึ่ง
ภายใต้การควบคุมฝ่ามือของผู้อาวุโส มันดูมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก ไม่นานยอดเขาที่อยู่บริเวณนั้นก็พังทลาย บนพื้นเต็มไปด้วยเศษหิน
ในระหว่างนี้ ผู้อาวุโสใช้พลังจิตปกคลุมพื้นที่บริเวณนี้ไว้ เพียงแค่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดใดๆ เกิดขึ้น ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
แต่เขาก็ยังไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ เลย!
“ดี! ดีมาก! ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังหาร่องรอยของเจ้าไม่พบ ดูท่าคงจะซ่อนตัวอยู่ในที่ที่ลึกลับกว่านี้”
ผู้อาวุโสเผ่าเจ้าสมุทรยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น หลังจากตรวจสอบดูด้านล่างอยู่ครู่หนึ่ง ก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อโดยฉับพลัน เขาหยิบธงค่ายกลสีฟ้าออกมาปึกหนึ่ง ดูผ่านๆ มันคล้ายกับธงวารีบริสุทธิ์ในมือหลิ่วหมิง แต่อักขระบนนั้นดูเรียบง่ายกว่าเล็กน้อย
ผู้อาวุโสขยับตัวหมุนวนขอบพื้นที่บริเวณนี้หนึ่งรอบ เพื่อโยนธงค่ายกลลงไป และพริบตาที่มันตกลงพื้นก็ค่อยๆ กลายเป็นธงสีฟ้าขนาดใหญ่ที่สูงสองจั้ง
ครู่เดียว ค่ายกลขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นมา และล้อมพื้นที่บริเวณนั้นไว้
จากนั้นผู้อาวุโสแซ่ลี่ก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่เหนือใจกลางค่ายกล และทำท่ามือด้วยมือเดียวพร้อมกับร่ายคาถาออกมา
บังเกิดเสียงดังโครมคราม!
ธงสีฟ้าเปล่งแสงสีฟ้าออกมา น้ำทะเลจำนวนมากทะลักออกจากในนั้น
แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ภายใต้การควบคุมของค่ายกล ทำให้น้ำทะเลทั้งหมดลอยต่ำๆ อยู่กลางอากาศ และไม่หยดลงพื้นแม้แต่หยดเดียว
ด้วยเหตุนี้ ไม่นานมันก็กลายเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ร้อยกว่าหมู่
ขณะนี้ ผู้อาวุโสกลางอากาศก็กระโดด “ตู๊ม!” ลงในทะเลสาบ
ครู่ต่อมา เงาร่างหางมัจฉายักษ์สีเงินจางๆ ก็กระแทกผิวน้ำอย่างรุนแรง จนทำให้ทะเลสาบดูมีชีวิตขึ้นมา!
น้ำทะเลทั้งหมดหมุนวนรอบหางปลาเร็วขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ ก่อนที่จะกลายเป็นเกลียวแหลมๆ ท่ามกลางเสียงดังแสบแก้วหู และเจาะลงพื้นด้านล่าง
พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา หินและดินถูกเกลียวน้ำทะเลขุดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ผู้อาวุโสแซ่ลี่คิดจะอาศัยพลังของค่ายกล พลิกพื้นที่บริเวณนี้ เพื่อไม่ให้หลิ่วหมิงมีที่หลบซ่อนได้อีก
แต่ขณะที่ผู้อาวุโสแซ่ลี่ควบคุมน้ำทะเลให้เจาะลึกลงไปได้หลายจั้งนั้น ก็พลันอุทาน “เอ๊ะ!” ออกมา เกลียวคลื่นน้ำทะเลหยุดลงในฉับพลัน และกลับมาเป็นทะเลสาบดังเดิม
จากนั้นผิวน้ำก็แยกออกจากกัน ผู้อาวุโสครึ่งมัจฉาว่ายออกมาจากในนั้นด้วยสีหน้าฉงน
เครื่องประดับรูปร่างคล้ายเปลือกหอยที่อยู่ตรงเอวส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและตบของสิ่งนี้ในฉับพลัน ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็พุ่งออกมา มันบิดตัวกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าพร่ามัวของชายผู้หนึ่ง
“ลี่คุน ไม่ว่าตอนนี้เจ้าจะอยู่ไหน ก็ให้รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ จำไว้ให้ดี นี่คือคำสั่งของท่านผู้อาวุโส เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะการละทิ้งหน้าที่ของเจ้า ทำให้ท่านผู้อาวุโสจำต้องชิงลงมือก่อน ตอนนี้ท่านไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้เจ้ากลับมาเฝ้าเมืองภายในเวลาสองชั่วยาม เฮ่อๆ! ถ้ามาไม่ทันเวลาล่ะก็ ข้าคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วล่ะ!” ใบหน้ากล่าวออกมารัวๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูโมโหเป็นอย่างมาก จากนั้นมันก็สลายไปท่ามกลางเสียงดัง “ฟู่!”
“อะไรนะ! ท่านผู้อาวุโสลงมือก่อนแล้ว หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะหนีท่านผู้อาวุโสมา ข้าว่าแล้วเชียว ทำไมถึงได้บังเอิญเช่นนี้ ครั้งนี้คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว!” พอผู้อาวุโสกล่าวจบสีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาฉายแววหวาดกลัวออกมา แต่พอกวาดสายตาดูพื้นที่ตรงด้านล่างแล้ว ก็มีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ต่อให้ไม่สามารถปลีกตัวได้ ข้าก็ต้องสังหารเจ้าเด็กนี่ และชิงไข่อสูรกลับไปให้ได้ แม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยราคาที่แพงก็ตาม” ผู้อาวุโสแซ่ลี่คิดไตร่ตรองไปมาอย่างรวดเร็ว และกล่าวกับตัวเองทันที
จากนั้นมือทั้งสองก็หยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีเงินจางๆ ออกมาจากอก บนนั้นมียันต์สีเหลืองที่ค่อนข้างเก่าแปะอยู่ผืนหนึ่ง
ผู้อาวุโสมองกล่องในมือ ตอนแรกก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็กัดฟันฉีกยันต์และเปิดฝาออกมา
แสงสีทองพุ่งออกจากกล่อง และหมุนติ้วๆ รวมตัวกันกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นมนุษย์เกราะทองคำที่มีพลังเป็นอย่างมาก
ดวงตาทั้งคู่ของมนุษย์เกราะทองคำปิดสนิท ใบหน้าคล้ายกับผู้อาวุโสแซ่ลี่ เพียงแต่ดูหนุ่มกว่ามาก ดูเหมือนจะเป็นชายฉกรรจ์อายุสามสิบกว่าๆ
……………………………………….
ตอนที่ 277 การปรากฏตัวของหยวนหมัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เฒ่าลี่ ครั้งนี้เจ้าเจอปัญหาอะไร ถึงได้ปล่อยข้าออกมาอีกครั้ง ข้าจำได้ว่าที่ปล่อยข้าออกมาในครั้งก่อน เป็นเวลาเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว” ในที่สุดมนุษย์เกราะทองคำก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา แต่พอกวาดสายตามองดูผู้อาวุโสแซ่ลี่แล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“พูดให้น้อยๆ หน่อย ครั้งนี้คู่ต่อสู้อ่อนแอเป็นอย่างมาก มีระดับการฝึกฝนแค่เขตแดนของเหลวขั้นต้นเท่านั้น แต่ชำนาญวิชาการซ่อนตัวเป็นอย่างยิ่ง คงจะหลบซ่อนอยู่ใต้ดินบางแห่ง ตอนนี้ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ ไม่สามารถปลีกตัวได้ ถึงได้ปล่อยเจ้าออกมา ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ตาม จะต้องหาเจ้าเด็กนั่นให้เจอ และเอาไข่อสูรจิตวิญญาณมาให้ได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่ไม่ได้สนใจคำพูดยั่วยุของมนุษย์เกราะทองคำ เพียงแต่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเท่านั้น
“ได้! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่มีปัญหา แต่ตามกฎแล้ว ครั้งนี้เจ้าจะต้องถ่ายทอดพลังเวทย์ให้ข้าสองในสามถึงจะได้” มนุษย์เกราะทองคำกล่าวอย่างไม่ลังเล
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! จัดการแค่ผู้น้อยระดับของเหลวขั้นต้นเพียงคนเดียว ทำไมถึงต้องใช้พลังเวทย์มากถึงเพียงนี้ ข้าให้เจ้าได้มากสุดแค่ครึ่งหนึ่ง เพียงแค่ใช้อย่างระมัดระวัง ก็เพียงพอที่จะใช้ต่อสู้ในระยะเวลาหนึ่งได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เฮ่อๆ! เฒ่าลี่ เจ้าขี้เหนียวขึ้นทุกวันเลยนะ ได้! ครึ่งหนึ่งก็ครึ่งหนึ่ง แต่พอใช้งานข้าในครั้งนี้แล้ว คำสัญญาที่ข้าเคยให้ไว้ก็สำเร็จไปส่วนหนึ่ง และข้าก็อยู่ห่างจากอิสรภาพไม่ไกลแล้ว” มนุษย์เกราะทองคำหัวเราะและตกปากรับคำออกไป
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าตอนนั้นไม่มีข้าก็จะไม่มีเจ้าด้วยเช่นกัน ถ้าเจ้าไปจากข้าจริงๆ ล่ะก็ ใครก็ไม่อาจบอกได้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง” ผู้อาวุโสแซ่ลี้จ้องมองมนุษย์เกราะทองคำและขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็รอเกิดเรื่องขึ้นแล้วค่อยว่ากันเถอะ อย่างน้อยข้าก็คิดว่าความสัมพันธ์ของเราไม่ได้แน่นแฟ้นอย่างที่เจ้าคิด มิเช่นนั้น ในปีนั้นคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังจากโลหิตเพื่อควบคุมข้า” มนุษย์เกราะทองคำกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ฮึ! ถ้ารู้แต่แรกว่ายันต์ผ้าเหลืองที่ปรับแต่งผืนนั้นจะออกมาเป็นสภาพเช่นนี้ ข้าคงทำลายมันตั้งแต่แรกแล้ว และเจ้าเองก็จะไม่ได้ปรากฏออกมาด้วย!” ผู้อาวุโสทำเสียงฮึดฮัดออกมา
“เฒ่าลี่ เจ้านี่ปากไม่ตรงกับใจจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีข้า เจ้าคงต้องร้องขอชีวิตในตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจในสมัยก่อนแล้ว ไหนเลยจะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้ อีกอย่างถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง ตอนนี้ข้ากับเจ้าเป็นร่างเดียวกัน ถ้าทำลายข้า เจ้าก็จะสูญเสียพลังไปมาก แม้แต่อายุขัยก็โดนทำลายไปด้วย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะกล้าทำเช่นนี้จริงๆ! ในทางกลับกัน หากข้าทำตามสัญญาที่ให้ไว้ในตอนแรกเสร็จสิ้นแล้ว แต่เจ้ายังขัดขวางไม่ให้ข้าจากไปล่ะก็ ข้าจะยอมระเบิดตัวไปพร้อมกับเจ้า!” มนุษย์เกราะทองคำเหลือบตามองผู้อาวุโส และกล่าวอย่างไม่พอใจ
“คำสัญญาในตอนนั้นข้าย่อมจำได้ดี เพียงแค่เจ้าช่วยข้าไม่กี่ครั้ง ข้าย่อมคืนอิสระให้กับเจ้า เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะถ่ายทอดพลังเวทย์ให้เจ้าแล้วค่อยว่ากัน” ผู้อาวุโสกล่าวอย่างเย็นชา จากนั้นก็ทำท่ามืออย่างไม่ลังเล นิ้วมือนิ้วหนึ่งแตะลงตัวมนุษย์เกราะทองคำตรงหน้า
“ฟู่!”
พลังเวทย์พุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังร่างของมนุษย์เกราะทองคำอยู่ไม่หยุด
มนุษย์เกราะทองคำยกแขนทั้งสองขึ้นฟ้า กลิ่นไออันน่ากลัวเพิ่มขึ้นโดยฉับพลัน ขณะเดียวกันใบหน้าก็เต็มไปด้วยความหลงใหล
ในทางกลับกัน กลิ่นไอของผู้อาวุโสแซ่ลี่กลับลดลงไปอย่างมาก ใบหน้าเขาดูซีดขาวขึ้นมา
พอกลิ่นไอบนตัวของมนุษย์เกราะทองคำทะลุถึงระดับของเหลวขั้นปลาย ผู้อาวุโสถึงหยุดการปล่อยพลังเวทย์
“ความรู้สึกนี้แหละ! ความรู้สึกนี้เลย! ฮ่าๆ! น่าเสียดายที่ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเท่านั้น ถ้ากลายเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตำนานล่ะก็ พลังเวทย์แค่ครึ่งหนึ่งก็เพียงพอให้ข้าได้สัมผัสถึงความรู้สึกของเขตแดนนี้แล้ว” อักขระสีฟ้าจางๆ ปรากฏขึ้นบนร่างมนุษย์เกราะทองคำ พอเขาวางมือทั้งสองลงก็กุมมือกล่าวออกมา
“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้? เจ้าก็กล้าพูดเนอะ! เผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามในเขตอวิ๋นชวน ยังไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเลยแม้แต่คนเดียว เอาล่ะ! ทางนี้มอบให้เจ้าแล้ว เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด ข้าจะทิ้งธงค่ายกลทานตะวันวารีชุดนี้ไว้ให้ เพื่อกันไม่ให้เจ้าเด็กนั่นหนีไปได้ จำไว้ให้ดี จะต้องเอาไข่อสูรจิตวิญญาณในมือเจ้าเด็กนั่นมาให้ได้” ผู้อาวุโสแซ่ลี่กล่าวจบก็ไม่คิดจะยืดเยื้ออีกต่อไป เขาสะบัดหางมัจฉาจนกลายสภาพเป็นคนดังเดิม จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีฟ้าทะยานขึ้นฟ้าไป ครู่เดียวก็หายไปตรงขอบฟ้า
“ฮึ! กะอีแค่มนุษย์ระดับของเหลวขั้นต้น ก็ทำให้เจ้าไร้วิธีจัดการแล้ว เฒ่าลี่ ดูท่าเจ้าคงจะแก่แล้วจริงๆ ชาตินี้อย่าหวังได้เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้เลย แม้แต่แก่นเสมือนก็ไม่มีหวังหรอก ข้าจะมาแขวนคอตายบนต้นไม้แห้งอย่างเจ้าได้อย่างไร!” มนุษย์เกราะทองคำมองดูเงาร่างที่หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
จากนั้นก็กวาดสายตามองทะเลสาบสีฟ้าที่ลอยอยู่อย่างสงบ และหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขาโบกมือข้างหนึ่งไปในอากาศ
“ตู๊ม!”
ทะเลสาบอันกว้างใหญ่ปั่นป่วนขึ้นมาทันที และเป็นสายน้ำพุ่งไปรอบทิศทาง
พริบตาเดียว ตาข่ายยักษ์สีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งก็ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้
มนุษย์เกราะทองคำร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองประกบเข้าหากัน พอแยกออกจากกันอีกครั้งแสงสีทองก็ปรากฏออกมา มันหมุนติ้วๆ กลางอากาศ ทันใดนั้นหนามทองคำจำนวนมากพุ่งออกจากในนั้น แต่ละอันมีขนาดยาวไม่เกินชุ่นกว่าๆ และพุ่งยิงลงไปยังพื้นที่ขนาดหมู่กว่าๆ
มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ก่อให้เกิดรู้เล็กๆ บนพื้นเป็นจำนวนมาก
หนามทองคำเหล่านี้ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก มันจมลงไปบนพื้นอย่างง่ายดาย และยังหมุนวนไปมาอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันพุ่งแทงสิ่งของที่ต้องสงสัยในพื้นดินทั้งหมด
ชั่วเวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไป หนามทองคำก็ดูเหมือนจะแทงทะลุทุกพื้นที่ใต้ดินที่ลึกร้อยกว่าจั้ง!
มนุษย์เกราะทองคำเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นมา เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว หนามทองคำทั้งหมดก็พุ่งขึ้นจากพื้นราวกับสายฝนกระหน่ำ และก่อตัวเป็นกลุ่มแสงสีทอง จากนั้นก็มาปรากฏตัวกลางอากาศตรงเขตพื้นที่บริเวณข้างๆ
พอมีเสียงดังขึ้นมา ฉากแบบเดิมได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กลุ่มแสงสีทองระเบิดตัวออกมา หนามทองคำทั้งหมดพุ่งลงด้านล่างอีกครั้ง มันปกคลุมพื้นที่ขนาดหมู่กว่าๆ ไว้
และพื้นที่ใต้ดินที่อยู่ห่างที่จากที่นี่ไปสองร้อยจั้ง หลิ่วหมิงยังคงหลับตาสนิทอยู่ในม่านวารีที่อยู่ในลำธาร ประจักษ์ชัดว่าไม่รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเลย และก็ไม่รู้ว่าตนเองจะถูกค้นพบในเวลาไม่นาน
ขณะเดียวกัน ตรงสนามรบระหว่างมนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทร การสู้รบของทั้งสองก็มาถึงจุดสิ้นสุด
แม้ว่าหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ จะไม่สามารถแย่งอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้นมาได้ แต่ก็ทำลายลานค่ายกลที่ใช้เป็นตาค่ายกลแห่งนั้นแล้ว แม้ว่าในตอนหลังค่ายกลนี้จะถูกเผ่าเจ้าสมุทรในเมืองลอยน้ำฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ แต่ยังคงทำให้พลังของเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในสนามรบลดลงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ในระหว่างเวลานี้ทำให้มีคนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าหลังจากฟื้นฟูค่ายกลแล้ว พลังของเผ่าเจ้าสมุทรจะเพิ่มมากขึ้น แต่มันก็กินเวลามานาน ทำให้ตกเป็นเบี้ยล่างในตอนท้าย
แต่ในทางตรงกันข้าม บนสนามรบอีกแห่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงร้อยกว่าจั้ง ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเผ่ามนุษย์ก็มีทีท่าไม่ดีขึ้นมา
มีเสียงดังโครมครามติดต่อกันอยู่ไม่หยุด แสงลูกกลมๆ หลากสีขนาดใหญ่ระเบิดออกมาติดต่อกัน ขณะเดียวกันปราณกระบี่ และแสงดาบก็พุ่งบินเต็มฟ้า คลื่นเมฆอัคคีพุ่งขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเงาร่างคนเคลื่อนไหวกลางอากาศอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวเปรียบเสมือนเปลวไฟ และโจมตีใส่กันด้วยเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่น
แม้ว่าที่นี่จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเป็นพิเศษ แต่ก็เห็นสภาพการณ์ได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าทางด้านมนุษย์จะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายหยวนหมัว และอีกสองนิกายเข้าช่วย และมีจำนวนคนเท่ากับทางฝั่งเจ้าสมุทร แต่พอเผ่าเจ้าสมุทรใช้อาวุธลับหลากหลายชิ้น บวกกับครั้งก่อนที่ทางผู้ฝึกฝนระดับผลึกเผ่ามนุษย์เปิดเผยสมบัติของตนเอง ทำให้เผ่าเจ้าสมุทรใช้อาวุธควบคุมไว้ได้ ด้วยเหตุนี้สถานการณ์ทางฝั่งมนุษย์จึงแย่ลง
แต่เย่เทียนเหมยกลับใช้กระบี่บินสีเงินตรึงเผ่าเจ้าสมุทรระดับผลึกที่กลายร่างเป็นมนุษย์ครึ่งมัจฉาสามคนไว้ ด้วยเหตุนี้ฝั่งมนุษย์ถึงพอประคับประคองไว้ได้
……
พื้นที่ลุ่มต่ำที่ปกคลุมไปด้วยเศษหิน ซึ่งอยู่ห่างสนามรบทั้งสองพันกว่าลี้ หญิงสาวชุดหลากสีที่เคยโจมตีพวกหลิ่วหมิงในเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร กำลังยืนอยู่บนหินสีดำก้อนหนึ่ง นางแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่
ห่างจากหลังของนางไปหลายจั้ง มีฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าหน้าโต๊ะลอยอยู่บนอากาศ เงาร่างอรชรลอยอยู่ในนั้นอย่างเงียบๆ ดูจากใบหน้างดงามแล้ว นางก็คือจางซิ่วเหนียงนั่นเอง
แต่ตอนนี้ตาทั้งคู่ของนางหลับสนิท ดูเหมือนว่าจะยังสลบไสลอยู่
บนศีรษะของหญิงสาวชุดหลากสีกับอากาศบริเวณรอบๆ มีไอหมอกสีขาวเป็นเส้นๆ ลอยไปมา มันดูเล็กละเอียดและธรรมดามาก แต่ด้วยความที่มันมีจำนวนมาก จึงดูเหมือนว่าจะโอบล้อมนางไว้ในนั้น
“สหายผู้ใดล้อเล่นกับข้ากันแน่ คิดไม่ถึงว่าจะใช้ค่ายกลลี้ลับปิดล้อมข้าไว้ ข้าน้อยหมดความอดทนไปมากแล้ว ถ้ายังไม่ยอมปรากฏตัวล่ะก็ อย่าหาว่าข้าทำลายค่ายกลก็แล้วกัน” ชายหญิงชุดหลากสีกล่าวออกมา
“สหายใยต้องโมโหด้วยเล่า! ที่ข้าวางค่ายกลก็พื่อให้สหายอยู่ที่นี่สักพักเท่านั้น พอถึงเวลาข้าจะปล่อยสหายไปเอง!” น้ำเสียงราบเรียบของผู้ชายดังมาจากด้านนอก แต่เสียงนี้เคลื่อนไหวไปมาจนไม่อาจหาตำแหน่งที่แน่นอนได้
“ท่านคือสหายหยวนหมัวหรือ!” พอได้ยินเสียงของชายผู้นี้ หญิงสาวชุดหลากสีก็หรี่ตากล่าวออกมา
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น