กระบี่จงมา 269.2-270.1
บทที่ 269.2 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันกลับมาที่เรือนเล็กกุยม่าย หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่โอสถทองยืนอยู่ในลานบ้าน ส่งยิ้มต้อนรับ
เดิมทีเฉินผิงอันเคยเป็นฝ่ายไปหาหม่าจื้อที่พักรักษาตัวอยู่ถึงเรือนพัก สอบถามว่าเมื่อไหร่ถึงจะสามารถฝึกกระบี่ได้อีกครั้ง สามวันต่อมา เรือนเล็กกุยม่ายก็กลับคืนสู่สภาพปกติอย่างที่เคยเป็นเมื่อแรกเริ่มสุด หม่าจื้อช่วยฝึกกระบี่ให้เฉินผิงอัน จินซู่รับผิดชอบส่งอาหารสามมื้อในหนึ่งวัน บางครั้งกุ้ยฮูหยินก็จะมาที่เรือนเล็ก นางไม่ได้รบกวนคนทั้งสอง แค่นั่งเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง อย่างมากสุดก็แค่ชงชาให้คนทั้งสองดื่มหนึ่งกาแล้วจากไป
ช่วงระยะเวลาระหว่างนี้เฉินผิงอันเอายันต์แผ่นที่มีผีงามโครงกระดูกพักผิงอยู่ออกมา กุ้ยฮูหยินนำมาถือไว้ในมือ เพียงไม่นานผีสาวชุดขาวก็ถูก ‘สะบัด’ ออกมา ครั้งแรกที่ได้กลับมาเห็นแสงอาทิตย์อีกครั้ง ผีสาวชุดขาวที่เคยแสดงพลังอำนาจดุร้ายในศาลเทพอภิบาลเมืองแคว้นไฉ่อีผู้นี้ก็เห็นกุ้ยฮูหยินที่เป็นก่อกำเนิดคนหนึ่ง คนพายเรือเฒ่าเซียนพสุธาที่ขอบเขตถดถอยไปยังโอสถทองคนหนึ่ง หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง และยังรวมไปถึงศัตรูอย่างเฉินผิงอันอีกคนหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะผีสาวตายไปแล้ว เกรงว่าจิตวิญญาณคงแหลกสลายไปอีกครั้ง
สุดท้ายภายใต้ความช่วยเหลือของกุ้ยฮูหยิน ‘อริยะจำลอง’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ผีงามโครงกระดูกก็เอ่ยคำสาบานอย่างจริงจังว่าจะจงรักภักดีต่อเฉินผิงอันเป็นเวลาหกสิบปี ค่าตอบแทนก็คือนางสามารถออกจากยันต์ที่ไม่มีปราณวิญญาณราดรดจึงทำให้ดวงจิตของนางค่อยๆ ไหลรินหายไปทีละน้อยแผ่นนั้น เข้าไป ‘พักอาศัย’ อยู่ในกล่องกระบี่ไม้ไหวแทน
เพราะในประวัติความเป็นมาของต้นไหวโบราณก็มีคำกล่าวว่า ‘เรือนไหว’ อยู่แล้ว ไม่เพียงแต่พวกภูตไม้ที่ชื่นชอบต้นไหวที่มีอายุนับพันปีขึ้นไป วิญญาณผีและวัตถุหยินก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ค่ำคืนหนึ่งก่อนที่จะขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ทางช้างเผือกเปล่งประกายระยิบระยับ จู่ๆ ผู้เฒ่าพายเรือก็มาหาเฉินผิงอัน พาเขาไปยังท่าเรือที่อยู่ตรงตีนภูเขาเกาะกุ้ยฮวา รอจนเฉินผิงอันไปถึงที่นั่นถึงได้สังเกตเห็นว่าตรงท่าเรือมีเจียวหลงเยาว์วัยตัวหนึ่งปีนขึ้นมา มันเอาศีรษะวางพาดไว้บนชายฝั่ง ร่างกายส่วนใหญ่จมอยู่ในน้ำทะเล สายตาที่มันมองเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้และซาบซึ้งใจอย่างไร้เดียงสา
คนพายเรือเฒ่านั่งยองริมท่าเรือ จุ๊ปากพูด “เจ้าเด็กที่น่าสงสารตัวนี้ หากเป็นมนุษย์เราก็คงอายุประมาณหกเจ็ดขวบกระมัง ตอนนั้นกุ้ยฮูหยินไม่อยากทำให้เจ้าตัวน้อยที่เป็นผู้บริสุทธิ์ลำบากใจ จึงเก็บไว้แค่ข้องราชามังกร ปล่อยตัวมันไป คิดไม่ถึงว่าดูเหมือนมันจะไม่มีบ้านให้กลับ จึงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวามา แต่ก็ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้เกินไปนัก ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ทั้งคืน ว่ายวนเวียนอยู่รอบเกาะกุ้ยฮวาไม่ยอมไปไหน ตอนนี้พวกเราขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวน้อยคงรู้ว่าหากยังขยับไปข้างหน้าต่อย่อมต้องตายสถานเดียว คราวนี้แม้แต่ตอนกลางวันก็ยังร้องไห้งอแง หากไม่เป็นเพราะกุ้ยฮูหยินสงสารมัน จึงช่วยอำพรางลมปราณให้กับมัน เกรงว่าคงถูกพวกผู้ฝึกลมปราณที่เคียดแค้นถลกหนังดึงเส้นเอ็นของมันออกมานานแล้ว”
สุดท้ายคนพายเรือเฒ่าพูดยิ้มๆ ว่า “เฉินผิงอัน ดูเหมือนมันตั้งใจจะมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะมาตอบแทนบุญคุณหรือมาแก้แค้น แม้ว่ามันจะอายุยังน้อย ทว่าพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงมีนิสัยเลือดเย็นเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เกิด เรื่องนี้จึงพูดได้ยาก”
เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไร แค่หยิบหินดีงูธรรมดาก้อนหนึ่งมาโยนให้เจียวน้อย มันกลืนลงไปตามสัญชาตญาณ สีหน้าคล้ายจะเลื่อนลอยเล็กน้อย
เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยให้มันกลับไป
เจียวน้อยบิดตัวกลับเข้าไปในมหาสมุทร แค่ร้องคร่ำครวญเบาๆ ถึงกระนั้นก็ยังไม่อยากขยับออกห่างจากน่านน้ำทะเลของเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันคิดแล้วก็ขว้างหินดีงูธรรมดากำใหญ่ไปกลางทะเล
เจียวน้อยว่ายน้ำไปอย่างบ้าคลั่งจนเกิดคลื่นลูกยักษ์โถมตัว ไล่กลืนหินดีงูแต่ละก้อนที่สำหรับมันแล้วเป็นเหมือนอาหารเลิศรส
สุดท้ายเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือพูดกับมันว่า “วันหน้าจงตั้งใจฝึกตนให้ดี วันนี้เจ้าได้รับบุญคุณจากข้า หากยังชอบทำร้ายผู้คนเหมือนเจียวเฒ่าตัวนั้น ข้าจะต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว”
เจียวหลงกลับมาหยุดอยู่ข้างท่าเรืออีกครั้ง ชูศีรษะขึ้นสูงเหนือท่าเรือ เบิกตากว้างคล้ายต้องการจดจำใบหน้าของเฉินผิงอันไว้ให้แม่น
ครู่หนึ่งต่อมา มันถึงทิ้งตัวไปด้านหลัง กลับคืนสู่ทะเลกว้างอีกครั้ง
คนพายเรือเฒ่าผ่านมรสุมมาอย่างโชกโชนแล้ว จึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “เจ้ามีเจตนาดีจึงผูกบุญสัมพันธ์ครั้งนี้ แต่เรื่องราวบนโลกยากจะคาดการณ์ ไม่แน่เสมอไปว่าทำดีแล้วจะได้ดีตอบแทน”
สีหน้าของเฉินผิงอันเฉยเมย มองไปยังผิวน้ำทะเลที่แสงดาวส่องประกายระยิบระยับเหมือนเศษเงินเศษทอง เอ่ยเบาๆ ว่า “หากเป็นกรรมสัมพันธ์ก็สะบั้นมันด้วยกระบี่เดียว”
ตอนนั้นคนพายเรือเฒ่านึกถึงอาจารย์ผู้มีพระคุณของตนที่ไม่รู้จะหายตัวไปอีกกี่ร้อยปี และยังมีตำราสีทองที่เซียนทิ้งไว้ในโลกมนุษย์ซึ่งเฉินผิงอันนำมามอบให้เขา จึงไม่ทันได้สังเกตสีหน้าของเฉินผิงอัน
……
สำนักศึกษาซานหยาต้าสุย
ปีนั้นเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ออกเดินทางจากต้าหลีมาด้วยกันมาถึงภูเขาตงซานลูกนี้ ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันอย่างในวันวานอีกแล้ว
หลี่ไหวได้รู้จักเพื่อนใหม่สองคน คนหนึ่งคือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงที่ขี้ขลาดมาก อีกคนหนึ่งคือเด็กซุกซนตระกูลยากจนที่ใจกล้าเทียมฟ้า คนทั้งสองต่างก็อายุมากกว่าหลี่ไหวเล็กน้อย เด็กสามคนเล่นด้วยกันอย่างบ้าคลั่งทั้งวัน สนุกสนานกันอย่างเต็มคราบ
หลินโส่วอีตอนนี้ตั้งใจมานะฝึกตน อ่านตำราทุกเล่มจนครบถ้วน ไปๆ มาๆ อยู่ระหว่างห้องหนังสือ หอพักและห้องเรียน โดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่
อวี๋ลู่สนิทกับเกาเซวียนองค์ชายต้าสุยอย่างมากจนกลายมาเป็นเพื่อนรักกัน ยิ่งนานวันเกาเซวียนก็ยิ่งชอบมาตกปลาเป็นเพื่อนอวี๋ลู่ที่สำนักศึกษา
ส่วนเซี่ยเซี่ยที่นอกจากจะไปฟังอาจารย์สอนในห้องเรียนแล้ว ทุกวันมักจะเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน ทำหน้าที่เป็นสาวใช้ให้กับชุยตงซานด้วยความยินดี
หลังจากคราวก่อนที่หลี่เป่าผิงอ่านจดหมายที่อาจารย์อาน้อยส่งมาให้ ภายหลังเป็นช่วงระยะเวลายาวนานมากที่แม่นางน้อยเหมือนจะซึมไป
วันนี้นางโดดเรียนอีกแล้ว นางปีนขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่บนยอดเขาของภูเขาตงซานอย่างว่องไวเหมือนแมวป่าตัวน้อยที่คล่องแคล่วปราดเปรียว นางนั่งอยู่บนกิ่งไม้ เอนหลังพิงลำต้น ตรงคอยังคงแขวนแผ่นป้ายไม้ที่สลักคำว่าผู้นำแห่งยุทธภพแผ่นนั้น ภายหลังนางรู้สึกว่ายังไม่น่าเกรงขามมากพอจึงสลักคำว่า ‘ผู้ออกคำสั่งแก่กลุ่มวีรบุรุษ’ เพิ่มเข้าไปอีก หลังจากนั้นพอได้เริ่มแล้วก็หยุดตัวเองไม่ได้ แผ่นไม้เล็กๆ ถูกนางสลักถ้อยคำห้าวเหิมเปี่ยมกลิ่นอายในยุทธภพไว้เต็มไปหมด ส่วนใหญ่ล้วนคัดลอกมาจากหนังสือนิยาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคทำนองว่า ‘เจ็บใจก็แต่นับจากนี้ไปชีวิตนี้คงไร้ศัตรูทัดทาน’ เป็นต้น
เด็กหนุ่มชุดขาวหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ข้างกัน ร่างของเขาโยกขึ้นลงน้อยๆ ไปตามกิ่งไม้ ถามยิ้มๆ ว่า “เป็นอะไรไป โกรธหรือ?”
หลังจากเข้าหน้าร้อน แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงก็เปลี่ยนมาเป็นแม่นางน้อยชุดตัวบางสีแดง นางกล่าวเสียงขุ่น “ ไม่ได้โกรธ”
ชุยตงซานถาม “รู้สึกว่าพวกหลี่ไหว หลินโส่วอีห่างเหินจากเจ้าไปทุกทีใช่หรือไม่?”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ห่างเหินจากข้าก็ไม่เห็นจะเป็นไร เพราะก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก ข้าก็ไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาอยู่แล้ว”
ชุยตงซานยิ้มอย่างเข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาจารย์ของข้าล่ะสิ?”
แม่นางน้อยมีนิสัยตรงไปตรงมาจึงพยักหน้ายอมรับอย่างเปิดเผย “อืม”
ชุยตงซานสอดมือสองข้างรองไว้ที่ท้ายทอย พูดเหมือนปลงอนิจจัง “ทุกคนล้วนต้องเติบโต พอโตขึ้นแล้วก็มักจะหยิบของใหม่ โยนของเก่าบางอย่างทิ้ง เก็บๆ ทิ้งๆ อยู่อย่างนี้ แปบเดียวก็แก่แล้ว”
แม่นางน้อยเดือดดาล “อาจารย์อาน้อย พวกเขาก็ตัดใจทิ้งได้อย่างนั้นหรือ?!”
ชุยตงซานหันหน้าไปมองแม่นางน้อยที่สีหน้าเกรี้ยวกราด ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีอะไรที่ต้องตัดใจหรือไม่ตัดใจเล่า อีกอย่างต่อให้อาจารย์ข้ารู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่มีทางโกรธ แล้วเจ้าจะโกรธทำไม ไม่มีความจำเป็น”
แม่นางน้อยยกสองมือกอดอก โมโหหนักกว่าเดิม
ชุยตงซานหันหน้ากลับไปมองยังทิศทางของเมืองหลวงต้าสุย “วันหน้าเจ้าอาจจะได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่ดีมากๆ เติบโตไปด้วยกันอย่างรู้ใจ แล้วจากนั้นสักวันหนึ่งเจ้าก็ต้องแต่งงาน เจ้าจะชอบสามีของเจ้ามากยิ่งกว่า หรือเจ้าอาจจะได้พบเจออาจารย์ที่ดีกว่าฉีจิ้งชุน แล้ววันหนึ่งก็รู้สึกว่าความรู้ของอาจารย์ฉีไม่ได้ยิ่งใหญ่ที่สุด และในอนาคตเจ้าก็อาจจะเจอกับ…เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดี หรืออาจถึงขั้นดีกว่าอาจารย์อาน้อยของเจ้า แล้วเจ้าก็จะค้นพบว่าความกลัดกลุ้มเอย ความทุกข์ใจในเวลานี้เอย ก็มีเพียงแค่นี้เอง ถึงเวลานั้นดื่มเหล้าแค่อึกสองอึก มันก็จะหายไปพร้อมกับเหล้าที่ไหลลงท้องแล้ว…”
ชุยตงซานหันขวับกลับมา เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เป่าผิงน้อย เจ้าถึงขนาดไม่ตอบโต้ข้า หากเจ้ายังไม่พูดอะไรอีก ข้าจะพูดต่อไม่ออกแล้วนะ!”
แม่นางน้อยย่นดวงหน้าเล็กๆ ที่งดงาม “ข้ากำลังยุ่งอยู่กับการเสียใจนะ!”
ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ ทิ้งตัวไปข้างหลังแล้วพลิกตัวหันข้างนอนเอนลงบนกิ่งไม้เล็กบาง เขาใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ สายตาจ้องนิ่งไปที่แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายสีแดง
สักวันหนึ่งเมื่อแม่นางน้อยเริ่มตัวสูงขึ้น ใบหน้าเล็กๆ กลมๆ จะซูบลง ปลายคางแหลมเล็ก ดวงตายังคงคลอประกายน้ำ ทั้งใสสะอาดทั้งเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา และอาจยังสวมชุดสีแดง ควบม้าอยู่ในยุทธภพ ดื่มสุราอยู่ท่ามกลางแม่น้ำและภูเขา บางทีอาจจะได้พบเจอเรื่องราวที่ทำให้ดีใจ หรือพบกับคนที่ทำให้เสียใจกระมัง?
ชุยตงซานถอนหายใจ
เขากลุ้มใจเล็กน้อย
หากมีวันหนึ่งแม่นางที่ดีขนาดนี้ชื่นชอบอาจารย์ของเขาเข้าจริงๆ แบบนั้นคงน่ากลุ้มใจอย่างมาก
แต่หากมีวันหนึ่ง นางไม่ชอบอาจารย์ของเขามากที่สุดอีกแล้ว บางทีอาจจะยิ่งน่าเสียดายมากกว่า
ชุยตงซานเบี่ยงตัวนอนหงาย ยกขาไขว่ห้าง เริ่มหลับตานอน
เรื่องการพบกันอย่างผิวเผินและเรื่องใจคนห่างเหินนั้น ต่อให้ชุยตงซานในเวลานี้จะอยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม ทว่าถึงอย่างไรอุปสรรคและประสบการณ์ทั้งหลายก็ล้วนสั่งสมอยู่ในใจ เทียบกับราชครูชุยฉานแล้วก็ไม่ได้น้อยไปกว่ากันเลย
มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้บอกแม่นางน้อย
เขาชุยตงซาน รวมไปถึงชุยฉานผู้เฒ่า จั่วโย่ว เหมาเสี่ยวตง หรือแม้แต่ฉีจิ้งชุนเอง ปีนั้นล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกป้องของซิ่วไฉเฒ่า ค่อยๆ เติบโตมาด้วยกัน ทว่าถึงท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็หวังว่าจะได้เดินออกจากร่มเงานั้น พอเดินออกมาแล้ว กลับกลายเป็นว่าดียิ่งกว่าเดิม เดินออกมาไม่ได้ ใจคนก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไป
แม่นางชุดแดงที่อยู่ไม่ห่างเก็บป้ายไม้ ควักเอาม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากสาบเสื้ออย่างระมัดระวัง ในภาพมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ กำลังส่งยิ้มมาให้นาง
แม่นางน้อยเลิกกลุ้มทันที นางค่อยๆ คลี่ยิ้ม เอ่ยอย่างมีความสุขว่า “อาจารย์อาน้อยที่ดื่มเหล้าเป็นแล้วเท่ห์มากจริงๆ รอข้าโตกว่านี้จะต้องให้อาจารย์อาน้อยพาข้าท่องไปในยุทธภพด้วยกัน!”
แม่นางน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งลิงโลด หันหน้ามาตะโกนถามเสียงดัง “ชุยตงซาน ดื่มเหล้ายากหรือไม่?”
ชุยตงซานปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เจ้าห้ามดื่มเหล้า!”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างโมโห “ทำไม?!”
ชุยตงซานบ่นอย่างไม่พอใจ “อาจารย์ตัดใจด่าเจ้าไม่ลงแม้แต่ครึ่งคำ แต่กลับตัดใจตีข้าจนตายได้!”
หลี่เป่าผิงถอนหายใจหนึ่งที ส่ายศีรษะกล่าวด้วยน้ำเสียงเวทนา “น่าสงสารจริงๆ”
ชุยตงซานชำเลืองตามองแม่นางน้อยที่คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “เสี่ยวเป่าผิงเอ๋ย วันหน้าเวลาเจ้าปลอบใจคนอื่น รบกวนช่วยเก็บใบหน้ายิ้มสมน้ำหน้าคนอื่นไปด้วยนะ”
หลี่เป่าผิงทำมือเป็นท่าถือตราประทับ
ชุยตงซานถอนหายใจอย่างเศร้าสลด พึมพำเบาๆ ว่า “ทำดีไม่ได้ดี”
……
ระหว่างภูเขาห้อยหัวกับน้ำทะเลกว้างใหญ่มี ‘ทางน้ำ’ หลายเส้นที่ลักษณะคล้ายน้ำคล้ายเมฆลอยอยู่กลางอากาศ เพื่อสะดวกให้เรือทุกลำจอดเทียบท่า เรือจำนวนมากที่สามารถทะยานลมจำเป็นต้องลดระดับลงมาถึงพื้นผิวน้ำทะเลก่อน ไม่สามารถขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวได้โดยตรง
เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าเรือที่อยู่เบื้องล่างทางน้ำสายหนึ่งชั่วขณะ แค่ส่งมอบตำราสีชาดที่ลักษณะคล้ายหนังสือผ่านทางพอเป็นพิธี ไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางที่ราคาสูงเทียมฟ้า จากนั้นก็เริ่มขับเอียงไปบนทางน้ำที่มุ่งหน้าเข้าหาภูเขาห้อยหัว
ในรัศมีหนึ่งร้อยลี้รอบภูเขาห้อยหัวมีเพียงภูเขาลูกนี้ลูกเดียวที่ตั้งตระหง่านอยู่ในโลก เรียกได้ว่าอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล
มีนักพรตเต๋าร่างสูงใหญ่ลักษณะเหมือนชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผา ด้านหลังคือนักพรตเต๋าร่างผอมแห้งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเทพเซียน ในมือถือไม้ปัดฝุ่นที่แต่ละเส้นเป็นสีทองสลับสีเงิน ล้วนเป็นหนวดของเจียวหลง นักพรตเฒ่าถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ ต้องการให้ศิษย์ลงมือทำลายเกาะกุ้ยฮวาให้ย่อยยับหรือไม่?”
นักพรตสูงใหญ่ตอบยิ้มๆ “ยินดีแข่งขันก็ต้องรู้จักยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้ในการต่อสู้แค่ไม่กี่ครั้ง มีอะไรน่าอายกัน ข้าไม่ใช่อาจารย์ปู่ของเจ้าสักหน่อยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ใครตลอดชีวิต”
ระหว่างที่เทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้กำลังสนทนา
ใต้หล้ามืดสลัว
มีนักพรตคนหนึ่งถูกคนผู้หนึ่งต่อยจากฟ้านอกฟ้าเข้ามายังโลกมนุษย์ที่อยู่เบื้องใต้ใต้หล้ามืดสลัว
บทที่ 270.1 ข้ามีเรื่องเล็กที่ใหญ่เท่าเครื่องตวงข้าว
โดย
ProjectZyphon
ยืนอยู่ตรงปากท่าเรือตีนเขาเกาะกุ้ยฮวา เฉินผิงอันก้าวออกไปเบาๆ หนึ่งก้าวก็เหยียบลงบนภูเขาห้อยหัว
น้ากุ้ยได้บอกกับเฉินผิงอันก่อนแล้วว่าวินาทีที่เกาะกุ้ยฮวาจอดเทียบท่าก็คือช่วงเวลที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุดของเรือข้ามฟาก จะปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดกับสินค้าที่บรรทุกมาจากแจกันสมบัติทวีป กุรุทวีปและใบถงทวีปไม่ได้เด็ดขาด หาไม่แล้วชื่อเสียงโด่งดังของตระกูลฟ่านในนครมังกรเฒ่าก็จะเสียหายย่อยยับ ดังนั้นนาง คนพายเรือเฒ่าและหม่าจื้อสามคนจึงจำเป็นต้องจับตามองการส่งมอบสินค้าทุกชิ้นกับตาของตัวเอง ไม่สามารถพาเขาไปที่โรงเตี๊ยมในภูเขาห้อยหัวได้ เดิมทีน้ากุ้ยคิดจะให้จินซู่พาเฉินผิงอันไปเข้าพักยังโรงเตี๊ยมที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเกาะกุ้ยฮวา แต่เฉินผิงอันกลับปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม เป็นเหตุให้จินซู่ไม่พอใจอยู่ในใจนิดๆ ภูเขาห้อยหัวแห่งนี้มีความมหัศจรรย์อยู่เต็มไปหมด ต่อให้เป็นคนที่มีประสบการณ์การท่องเที่ยวมามากแค่ไหนก็ยังอดรู้สึกแปลกใหม่ไม่ได้
ผลกลับกลายเป็นว่าแม่นางกุ้ยฮวาที่กำลังอัดอั้นตันใจเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ยิ้มกว้างให้ตน คล้ายมองแผนการเล็กๆ ของนางออก จินซู่ถลึงตาใส่อย่างดุดัน เด็กหนุ่มโบกมือบอกลาเทพเซียนทั้งสามท่านอย่างกุ้ยฮูหยิน คนพายเรือผู้เฒ่า แล้วหมุนตัววิ่งเร็วๆ ไปยังท่าเรือคล้ายไม่กล้าประสานสายตากับจินซู่ มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่หนีห่างไปไกล จินซู่หลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่
เฉินผิงอันที่เดินเบียดเสียดอยู่ท่ามกลางกระแสผู้คนสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง
ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
การเดินทางผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ใช่ว่าสามารถทำได้ตลอดเวลา นอกจากป้ายผ่านด่านที่เป็นแผ่นไม้สีเขียวซึ่งใช้ในการเข้าไปยังภูเขาห้อยหัวแล้ว ยังจำเป็นต้องผ่านด่านร้อยกว่าคนของเกาะกุ้ยฮวาเพื่อรับป้ายหยกมาอีกหนึ่งแผ่น ขณะเดียวกันก็จะได้รับการแจ้งเตือนว่ายามจื่อ (23.00-01.00) ของอีกสามวันให้หลังพวกเขาจะผ่านด่าน หนึ่งก้านธูปต่อมาก็จะถึงกลุ่มต่อไป หากใครเลยเวลาก็จะไม่รอ
เฉินผิงอันเดินลงจากเรือ ตรงเอวห้อยป้ายที่สลักอักษรคำว่า ‘หยา’ (涯 ขอบ/ฝั่ง เช่นขอบหน้าผา) ไว้แค่คำเดียว กุ้ยฮูหยินบอกกับเขาว่าทัศนียภาพแห่งต่างๆ บนภูเขาห้อยหัวมีเอกลักษณ์แตกต่างกันไป ร้านรวงตั้งเรียงราย ฉวยโอกาสมีเวลาว่างสามวันนี้เดินดูให้มากหน่อย หากเจอสิ่งของหรือสมบัติอาคมที่ถูกใจ ในมือมีเงินไม่พอสามารถขอยืมจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมได้ หากต่ำกว่าสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช เถ้าแก่โรงเตี๊ยมสามารถตอบรับ อีกทั้งจะบันทึกลงในบัญชีของเกาะกุ้ยฮวาตามกฎดั้งเดิม
ท่าเรือที่อยู่ริมหน้าผาแห่งนี้มีชื่อว่าท่าเรือจัวฟ่าง (จับและปล่อย) บริเวณใกล้กับท่าเทียบเรือมีศาลาโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอยู่หลังหนึ่ง แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ศาลาจัวฟ่าง’ เอาไว้ เขียนขึ้นด้วยลายมือของอดีตเจ้าลัทธิเต๋าสายหนึ่ง
บนภูเขาห้อยหัวมีสิ่งปลูกสร้างอยู่เก้าแห่ง ถือเป็นของลัทธิเต๋าที่อยู่ในฟ้าดินแห่งนี้ ที่ดินของหอเรือนสูงและร้านค้าแห่งอื่นๆ ล้วนถูกขายให้กับแขกจากแปดทิศนานแล้ว แปดแห่งที่ได้แก่ศาลาจัวฟ่าง หอจิ้งเจี้ยน หอซ่างเซียง หอเหลยเจ๋อ เรือนหลิงจือ โถงฝ่าอิ้น ห้องซือเตา หน้าผาหมีลู่ ต่างก็ตั้งตระหง่านอยู่ในแปดทิศทางของภูเขาห้อยหัว บวกกับยอดเขาเดียวดายตรงใจกลางจึงรวมเป็นพื้นที่ทั้งหมดเก้าแห่ง
เมื่อเปรียบเทียบกับภูเขาห้อยหัวที่กินรัศมีร้อยลี้กว่า ระบบเต๋าสายนี้ของลูกศิษย์เต๋าเหล่าเอ้อร์ ไม่ว่าจะเป็นขนาดเล็กใหญ่ของพื้นที่ หรือจำนวนศิษย์ลูกศิษย์หลาน เมื่อมาอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวก็ไม่ถือว่าเกินจริงเลยสักนิด
“คุณชายเฉิน คุณชายเฉิน”
มีคนร้องตะโกนเรียกเฉินผิงอันจากด้านหลังด้วยน้ำเสียงร้อนใจ เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง คือเด็กหนุ่มชุดเขียวที่แนะนำตัวว่าชื่อหลิวโยวโจว ฝ่ายหลังวิ่งเหยาะๆ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดรัวราวกับเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ ถามคำถามติดๆ กัน “คุณชายเฉิน เจ้าพักอยู่ที่ไหนในภูเขาห้อยหัว? มีสถานที่ที่นัดหมายไว้แล้วหรือไม่? หากไม่มีไปกับข้าไหม? ตระกูลข้ามีบ้านพักอยู่ที่นี่แห่งหนึ่ง อยู่ติดกับสถานที่ที่เรียกว่าหอจิ้งเจี้ยน ว่ากันว่าบ้านพักหลังนั้นใหญ่มาก ข้าอยากขอบคุณเจ้ามาโดยตลอด เจ้ามอบโอกาสให้ข้าหน่อยดีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “ไม่ต้องหรอก ทางเกาะกุ้ยฮวาจัดการไว้ให้ข้าเรียบร้อยแล้ว ข้าจะไปพักที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย”
เด็กหนุ่มที่มาจากธวัลทวีปผู้นั้นมีสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ยังไม่ยอมถอดใจง่ายๆ “แบบนี้เองหรือ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าขอไปเล่นกับเจ้าบ้างได้ไหม? ข้าเพิ่งมาภูเขาห้อยหัวเป็นครั้งแรก อยากจะเที่ยวเล่นให้สำราญสักหน่อย พวกเราไปเที่ยวด้วยกัน?”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง
หญิงชรากล่าวอย่างจนใจ “คุณชาย รู้จักกันเพียงผิวเผินท่านก็กระตือรือร้นถึงเพียงนี้ มันไม่สมเหตุสมผลเลย อย่าว่าแต่คุณชายเฉินที่ไม่กล้าตอบรับเลย ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าก็ไม่มีทางตอบรับ”
เฉินผิงอันยิ้มให้โดยที่ไม่เอ่ยอะไร
เด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าหม่นหมอง “ก็ได้ คุณชายเฉิน ข้าพักอยู่ที่จวนหยวนโหรว หากเจ้าว่าง ไม่มีอะไรทำก็มาหาข้าได้ บอกว่ามาหาหลิวโยวโจว เป็นเพื่อนของข้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”
เฉินผิงอันกับหลิวโยวโจว รวมถึงหญิงชราต่างก็หันหน้าไปพร้อมกัน พบว่ามี ‘หญิงสาว’ หน้าตางดงามชวนให้คนใจสั่นไหวคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้กับพวกเขาสามคน ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
บนใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราเต็มไปด้วยรอยยิ้มเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยวที่เจอกับฤดูใบไม้ผลิ นางเอ่ยถามอย่างเป็นมิตรว่า “เซียนซือน้อยท่านนี้ มีอะไรที่ลำบากใจหรือไม่?”
แต่เขาไม่สนใจหญิงชรา เอาแต่จ้องมองเฉินผิงอัน ร้องทักหนึ่งทีก่อนพูดว่า “ข้าขอยืมเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญได้หรือไม่? เดี๋ยวคราวหน้าข้าจะคืนให้เจ้าสามเหรียญห้าเหรียญ”
เฉินผิงอันส่งเหรียญเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญไปให้เขา คนผู้นั้นรับมาแล้วจากไปด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มหลิวโยวโจวถามเบาๆ “คุณชายเฉิน เพื่อนเจ้าหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่รู้จักหรอก”
หลิวโยวโจวกล่าวอย่างตกตะลึง “แล้วเจ้าก็ยังให้คนเขายืมเงิน? เจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีงดงามในใต้หล้านี้ล้วนหลอกลวงคนเก่งมากที่สุด คุณชายเฉิน ข้าขอปากมากสักคำ เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ ต่อให้น้อยแค่ไหน แต่เจ้าก็ไม่ควรท่องอยู่ในยุทธภพด้วยวิธีการเช่นนี้หรอกนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง บอกลาแล้วจากไป
หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชยังบอกว่าน้อยอีกหรือ? แถมยังพูดว่าสตรีที่งดงาม?
หญิงชราหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “นายน้อย ท่านมองไม่ออกหรือว่าแม่นางหน้าตาสวยคนนั้น แท้จริงแล้วคือบุรุษคนหนึ่งน่ะ?”
หลิวโยวโจวอึ้งงันเป็นไก่ไม้ พูดเบาๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้าแค่แอบชำเลืองตามองใบหน้าและหุ่นของแม่นางคนนั้น ไม่กล้ามองมาก”
หญิงชราได้แต่แย้งไปว่า “คุณชาย เขาไม่ใช่แม่นาง”
หลิวโยวโจวโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก้าวยาวๆ เดินไปข้างหน้า “หน้าตาดีขนาดนั้น ข้าจะถือว่าเขาเป็นแม่นางก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย แต่ติดตามกระแสฝูงชนเดินไปยังศาลาจัวฟ่างที่อยู่ใกล้เคียง
รอจนเฉินผิงอันขยับเข้าไปใกล้ศาลาหลังเล็กที่เนืองแน่นไปด้วยผู้คน เขาก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่าศาลาแห่งนี้จะไม่สมกับชื่อ ตัวศาลาเล็กมาก เทียบกับศาลาภูเขาและแม่น้ำที่บ้านอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งของแคว้นไฉ่อียังไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้านนอกและด้านในศาลามีคนยืนอออยู่ไม่น้อยกว่าร้อยคน เฉินผิงอันเขย่งปลายเท้าพยายามมองเข้าไปในศาลาเล็กซึ่งเป็นเรื่องยากยิ่งกว่าสนด้ายกับเข็มแล้วคิดว่าจะไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยโดยตรง
เฉินผิงอันเพิ่งจะเตรียมขยับตัวเดินจากไป ด้านหลังก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาพร้อมกับใบหน้าอ่อนหวานของเขา “ไม่เข้าไปหยุดพักในศาลาสักครู่รึ?”
เขายืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอัน เฉินผิงอันหันไปยิ้มให้ “เบียดเสียดกันเกินไป ไม่กล้าไป กลัวว่าจะออกมาไม่ได้”
เขาชี้ไปยังสตรีสามคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลข้างหน้าซึ่งดูเหมือนว่าพวกนางกำลังลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ แล้วยิ้มบางๆ พูดว่า “เจ้าแค่ตามข้ามาก็พอ ถือซะว่าเป็นดอกเบี้ยของเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญที่ข้าใช้คืนให้เจ้าก่อน”
เฉินผิงอันมึนงงไปหมด
เขาชี้ไปที่ลูกกระเดือกของตัวเองแล้วคลี่ยิ้มประหลาด เฉินผิงอันจึงถามหยั่งเชิงว่า “เวทอำพรางตา?”
“เอากาเหล้าของเจ้ามาให้ข้ายืมก่อน วางใจเถอะ น้ำเต้าผุๆ ใบนี้ยังไม่เข้าตาข้าหรอก น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนั้นของข้าถือเป็นบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้เลย แค่ไม่กล้าเอาออกมาก็เท่านั้น” เขาผงกศีรษะให้เฉินผิงอันเล็กน้อย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดึงเอาเจียงหูที่อยู่ตรงเอวของเฉินผิงอันออกไป เดินเร็วๆ ไปหาสตรีสาวสามคนที่หน้าตาอยู่ในระดับดีเยี่ยมพลางเงยหน้าดื่มเหล้าไปด้วย เป็นเหตุให้ความงดงามล่มบ้านล่มเมืองของสตรีปรากฏขึ้นบนร่างของเขาพร้อมๆ กับกลิ่นอายห้าวหาญแกล้วกล้าของบุรุษ
จากนั้นครู่หนึ่งต่อมาคนผู้นั้นก็ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มบุปผา เขากวักมือให้เฉินผิงอัน เฉินผิงอันจึงได้แต่เดินไปหา คนผู้นั้นอธิบายด้วยภาษาที่เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจหนึ่งคำรบ แล้วค่อยใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปมาอธิบายให้เฉินผิงอันฟังอีกที ที่แท้สตรีทั้งสามคนคือลูกศิษย์ของสำนักในนาตยทวีป จับกลุ่มกันมาหาประสบการณ์ต่างถิ่น จำเป็นต้องสังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตประตูมังกรในทะเลตัวหนึ่งจึงจะถือว่าฝึกประสบการณ์สำเร็จ จุดหมายปลายทางก็คือภูเขาห้อยหัวแห่งนี้ หลังจากนี้จะต้องเดินทางกลับสำนักที่ทักษินาตยทวีป
จากนั้นเขาก็คล้องแขนเฉินผิงอันโดยที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธแล้วลากเขาบุกไปยังศาลาจัวฟ่างพร้อมกับเทพธิดาทั้งสามท่านจากนาตยทวีป
สำหรับศาลาจัวฟ่างแห่งนี้ ระบบสืบทอดดั้งเดิมของลัทธิเต๋าในใต้หล้ามืดสลัวเล่าลือกันว่า หลังจากลูกศิษย์คนรองของมรรคาจารย์เต๋า ‘ผู้ไร้เทียมทานตัวจริง’ ที่เป็นหนึ่งในสามเจ้าลัทธิทิ้งตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดแห่งนี้ไว้ ก็ได้เดินทางมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเอง ตอนนั้นมีปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสองขั้นสูงสุดตนหนึ่งที่ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดข้ามผ่านตราผนึกมากมายของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาถึงภูเขาห้อยหัวอย่างเงียบเชียบ ผลคือคนแรกที่เขาได้พบหน้าก็คือเจ้าลัทธิท่านนั้น ตอนนั้นแถบภูเขาห้อยหัวคือสถานที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้ เดิมทีปีศาจใหญ่นึกว่าจะเป็นดั่งนกที่โบยบินสู่ฟ้าสูงจากที่แห่งนี้ได้อย่างอิสระเสรี เมื่อเจอกับนักพรตคนนั้น แน่นอนว่าย่อมพูดจาไม่เกรงกลัว บอกว่าจะกินเขาลงไปในคำเดียว ส่วนผลลัพธ์นั้น ไม่จำเป็นต้องคาดเดา ถูกเจ้าลัทธิเต๋าผู้นั้นตบด้วยหนึ่งฝ่ามืออาการร่อแร่ใกล้ตาย เพียงแต่ว่าสุดท้ายไม่รู้เรื่องวงในเป็นอย่างไร นักพรตเฒ่าที่ถูกขนานนามว่าต่อสู้ได้เก่งกาจที่สุดในใต้หล้าทั้งสี่แห่งถึงโยนปีศาจใหญ่ตนนั้นกลับไปยังทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ภายหลังนักพรตเต๋าก็สร้างศาลาแห่งนี้ขึ้นมาในภูเขาห้อยหัวเพื่อแสดงให้เห็นถึงเวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าของเจ้าลัทธิท่านนั้น
การเดินทางไปยังศาลาจัวฟ่างครั้งนี้ เฉินผิงอันเหนื่อยจนเหงื่อไหลมาตามกระดูกสันหลัง เพราะเทพธิดาทั้งสามคน รวมไปถึงเจ้าคนที่โฉมหน้างดงามเหนือไปกว่าพวกนางหนึ่งระดับผู้นั้นต่างก็เดินเบียดเสียดไหล่กับผู้คนที่อยู่ทั้งในและนอกศาลา บางคนก็ชนโดยไม่ได้ตั้งใจ บางคนกลับมีใจอยากจะแต๊ะอั๋ง เฉินผิงอันจึงได้แต่พยายามปกป้องพวกนางให้ได้มากที่สุด แถมยังต้องป้องกันตัวเองไม่ให้ล่วงเกินพวกนางด้วย คอยระมัดระวังในทุกฝีก้าว แน่นอนว่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจอย่างมาก ยังดีที่กฎข้อแรกของภูเขาห้อยหัวคือผู้ที่ทำร้ายคนอื่นมีโทษตาย ดังนั้นเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสี่จึงถือว่าทำหน้าที่ได้สำเร็จลุล่วง
หลังเดินออกมาจากศาลาจัวฟ่างได้สำเร็จแล้ว เฉินผิงอันสองคนก็แยกทางกับเทพธิดาทั้งสามคนนั้น พวกนางยังต้องการไปยังหน้าผาหมีลู่ซึ่งเป็นทัศนียภาพอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด
เฉินผิงอันรับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่กลับมาผูกไว้ที่เอว กล่าวอย่างระอาใจว่า “วันหน้าอย่าได้ทำเรื่องแบบนี้อีก”
เขากลอกตาค้อนใส่เฉินผิงอัน “น่าเบื่อ ข้าไปเที่ยวเล่นกับพวกพี่สาวเทพธิดาดีกว่า”
เฉินผิงอันรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก ครั้นจึงบอกลาจากไป
คนผู้นั้นชำเลืองตามองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่ห่างไปไกลพลางพึมพำกับตัวเอง “เป็นคนเอาจริงเอาจังเกินไปแล้ว แถมยังไม่เสแสร้งแกล้งทำด้วย หรือว่าเป็นนักปราชญ์น้อยของสำนักใด?”
บุรุษหล่อเหลาที่อยู่ด้านข้างพูดชวนคุย “คุณหนูท่านนี้ มาชมวิวคนเดียวล่ะสิ?”
เขาหัวเราะหึหึ “ล่ะสิกับปู่ทวดเจ้าเถอะ รู้ไหมว่าข้าผู้อาวุโสเคยเข้าหอโคมเขียวกับมารดาเจ้ามาแล้ว”
บุรุษท่าทางองอาจผู้นั้นรีบโบกมือห้ามไม่ให้ข้ารับใช้ข้างกายลงมือบุ่มบ่าม สุดท้ายคลี่ยิ้มสดใส ยกนิ้วโป้งให้ “นิสัยแบบนี้ของแม่นาง ข้าชอบนักล่ะ”
เขาไปจากศาลาจัวฟ่างทันที ระหว่างทางยังลังเลว่าควรจะไปที่หอจิ้งเจี้ยนหรือหอซ่างเซียงก่อนดี
บุรุษมองตามหญิงงามที่รัดสายเข็มขัดหลากสีไป ทอดถอนใจกล่าวว่า “มีเพียงบนภูเขาเท่านั้นถึงจะมีสตรีที่งามเพริศพริ้งได้ถึงเพียงนี้ การฝึกตนช่างดีจริงๆ สตรีล่างภูเขาที่ต่อให้เปลือกนอกจะโดดเด่นมากแค่ไหนก็มีช่วงเวลาที่น่าประทับใจคนสั้นๆ แค่สิบยี่สิบปีเท่านั้น”
ข้ารับใช้ข้างกายคนหนึ่งใช้ภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท ควรเสด็จไปที่หอเหลยเจ๋อได้แล้วพะยะค่ะ อย่าให้ท่านราชครูต้องรอนาน”
บุรุษอืมรับหนึ่งทีแล้วพูดยิ้มๆ ว่า “รีบไป”
จะเป็นบุรุษที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาทก็ดีหรือข้ารับใช้ก็ช่าง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีใครรู้สึกว่าการที่กษัตริย์องค์หนึ่งให้ราชครูคนหนึ่งรอคอยเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
คนทั้งกลุ่มจึงเดินทางไปยังหอเหลยเจ๋ออย่างรีบเร่ง
หอเหลยเจ๋อ (บ่อสายฟ้า) คือหอสูงที่มีบันไดเก้าสิบเก้าขั้น ลักษณะคล้ายถ้วยกานลู่ (อุปกรณ์ของลัทธิเต๋า เอาไว้ใช้ใส่น้ำมนต์) ขนาดใหญ่ยักษ์ใบหนึ่ง ด้านในมีสายฟ้าที่มีลักษณะเป็นของเหลวข้นหนืด
เล่าลือกันว่าเต๋าเหล่าเอ้อร์ร่ายเวทอภินิหารไร้เทียมทาน ‘วักน้ำหนึ่งกอบมือ’ จากบ่อสายฟ้าโบราณที่ไม่รู้อยู่ที่ใด ปัจจุบันมีแค่บันทึกไว้เป็นตัวอักษรเท่านั้นมาไว้ที่ภูเขาห้อยหัว ทุกครั้งที่เทียนจวินใหญ่หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาสังหารเทพเซียนหรือภูตผีที่ไม่เคารพกฎได้ ก็ล้วนเอาวิญญาณของพวกเขามากักขังไว้ที่นี่
และในปัจจุบันนี้หอเหลยเจ๋อก็ถูกปิดตาย ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้
เวลานี้มีเพียงคนผู้หนึ่งที่เรือนกายสูงใหญ่ งอเข่ากึ่งคุกเข่าอยู่ข้างบ่อสายฟ้าตรงตำแหน่งที่สูงที่สุด ข้อศอกเท้าหัวเข่า วางคางบนแขน กระบี่ยาวไร้ฝักเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางบ่อสายฟ้า เผยให้เห็นแค่ท่อนเล็กๆ หลังจากที่กระบี่ยาวผลุบหายเข้าไปข้างใน ทั้งบ่อสายฟ้าก็เดือดพล่านเหมือนน้ำต้มสุก
คนผู้นี้น่าจะกำลังหลอมกระบี่ที่พกติดกายอยู่
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่ในมือถือแส้ปัดฝุ่นยืนอยู่ตรงด้านล่างของหอสูง ใบหน้าคลี่ยิ้มอ่อนโยนดั่งรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เห็นภาพนี้
ผู้เฒ่าคือบุคคลลำดับที่สามของภูเขาห้อยหัว ถูกเผ่าพันธุ์เจียวหลงทุกตัวของทะเลใต้มองเป็นศัตรู ระยะเวลาพันปี เขาสังหารเจียวหลงไปนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังนำพวกมันมาสร้างเป็นแส้ปัดฝุ่นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนี้ ห้าร้อยปีที่ผ่านมา ผู้เฒ่าเคยประมือกับอริยะลัทธิขงจื๊อสกุลเฉินสองคนของนาตยทวีปที่ทะเลใต้ ชื่อเสียงจึงขจรไกล
ทว่าตอนนี้ต่อให้ในสายตาของคนนอกเขาจะดูเหมือนพ่อบ้านที่คอยดูแลบ้านเรือนให้คนอื่น นักพรตเฒ่าก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกลดคุณค่าลง กลับกันคือสีหน้าของเขายังค่อนข้างจะภาคภูมิใจด้วยซ้ำ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น