ยอดหญิงสกุลเสิ่น 268.2-269.2

ตอนที่ 268-2 หย่งกั๋วกง

 

 


 


ราชครูเสิ่นมองหลานสาวที่กินอย่างเอร็ดอร่อย บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างอดไม่ได้ เจ้าเองก็กินให้น้อยหน่อย กินมากจะเป็นร้อนใน หากเจ้าชอบกิน ฝ่าบาทพระราชทานให้หนึ่งตะกร้าใหญ่ กลับไปเจ้าก็เอากลับไปให้หมด”


 


 


เสิ่นเวยส่ายหน้า “ยุ่งยากเกินไป วางไว้ที่เรือนท่านปู่เถอะ อย่างไรเสียหลานก็มาทุกวัน”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของราชครูเสิ่นกว้างยิ่งขึ้น “ดูเจ้าสิเกียจคร้าน! วันทั้งวันเจ้าวิ่งมาที่บ้านฝั่งมารดา สามีของเจ้าไม่ว่าหรือไร” ตั้งแต่ที่เขากลับจวนรักษาตัว เด็กคนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเขาไม่ไปไหน ในขณะที่เขาชื่นชมและดีใจก็เป็นกังวลอย่างไม่อาจเลี่ยง ไหนเลยจะมีบุตรสาวที่ออกเรือนแล้วแต่กลับบ้านฝั่งมารดาทุกวัน


 


 


เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ “เขายุ่ง ข้าแทบจะลืมไปแล้วว่าเขาหน้าตาอย่างไร ข้าอยู่ในจวนหรือไม่เขาก็ไม่รู้ ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่เพราะท่านปู่ได้รับบาดเจ็บหรือ ความกตัญญูมาก่อน ข้าเป็นหลานกตัญญู แม้ว่าจะเป็นฝ่าบาทก็ไม่อาจบอกว่าข้าผิดได้!” เสิ่นเวยคุยโวอย่างไม่ละอายใจ มั่นอกมั่นใจยิ่งนัก


 


 


หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “หลานไม่ใช่เคยบอกท่านแล้วหรือ บนโลกนี้มีผู้หญิงอยู่สองประเภทที่น่ากลัวที่สุด หนึ่งคือผู้หญิงที่บ้านฝั่งมารดามีเงิน สองคือตนเองมีเงิน”


 


 


หากไม่ใช่ว่าเป็นห่วงบาดแผล ราชครูเสิ่นก็อยากจะหัวเราะร่าฮ่าๆ จริงๆ มองหลานสาวของเขาด้วยความชื่นชม กล่าว “สมกับที่เป็นหลานสาวของข้าเสิ่นผิงยวน” กล่าวต่อ “เป็นเพราะสามีเจ้าตามใจเจ้า เด็กนั่นยังนับว่าใช้ได้ เจ้าต้องใช้ชีวิตกับเขาให้ดี มีหลานชายตัวขาวจ้ำม่ำให้ข้าหนึ่งคน”


 


 


เสิ่นเวยกลอกตา กล่าวอย่างไม่ยินยอม “เหตุใดถึงจะต้องเป็นหลานชายเล่า หลานสาวไม่ได้หรือ ท่านปู่ ท่านให้ความสำคัญกับชายมากกว่าหญิง ความคิดเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”


 


 


“ได้ๆๆ หลานสาวก็ได้ ออกดอกก่อนแล้วค่อยออกผลก็เป็นลางที่ดี ว่ากันว่าลูกสาวเหมือนพ่อ ได้หน้าตาเช่นสามีเจ้ามาก็ไม่เลวเหมือนกัน” ราชครูเสิ่นรีบกล่าวปลอบ


 


 


เสิ่นเวยแสยะปากไม่พอใจยิ่งขึ้น จ้องมองปู่นางปราดหนึ่งด้วยความแค้นใจ กล่าวเสียงเบา “หน้าเหมือนข้าแล้วจะแต่งไม่ออกหรือไร ไม่ใช่ว่าหลานคุยโวโอ้อวด ด้วยใบหน้านี้ของหลาน เป็นที่หนึ่งในเมืองหลวงไม่ได้ แต่สามอันกับแรกห้าอันดับแรกก็ยังเป็นได้มิใช่หรือ”


 


 


ท่าทางขี้อวดเช่นนั้นทำให้ราชครูเสิ่นหัวเราะเบาๆ อีกครั้ง แทบจะกระเทือนบาดแผล เสิ่นเวยสะดุ้งจนรีบก้าวเข้าไป “ท่านปู่ แม้หลานจะพูดความจริง แต่ท่านก็ต้องเก็บอาการหน่อย! ร่างท่านยังบาดเจ็บ ยังบาดเจ็บอยู่!” อย่างไรเสียก็ไม่กล้าหลอกให้ปู่นางหัวเราะอีก


 


 


ในดวงตาทหารคนสนิทที่รับใช้อยู่ในห้องก็มีรอยยิ้มแวบผ่าน ยังคงเป็นคุณหนูสี่ที่ใส่ใจนายท่านผู้เฒ่าโหว ขอเพียงแค่นางมา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็สามารถมีความสุขไปได้ทั้งวัน ดื่มยากินข้าวอย่างว่าง่าย ไม่เรื่องมากแม้แต่นิดเดียว


 


 


ส่วนเด็กนั่นที่ราชครูเสิ่นพูดข้างนอกห้องได้ยินบทสนทนาของสองปู่หลาน ใบหน้าก็ดำทะมึน แต่เมื่อคิดถึงคำพูดภรรยาของเขาอย่างละเอียด ยังคงถูกต้องจริงๆ ราชครูเสิ่นเป็นคนมีเงิน ภรรยาของเขาก็ยิ่งเป็นคนมีเงิน มิน่าเล่าความมั่นใจถึงได้มากเพียงนั้น หรือว่าเขาควรจะไปขอเงินส่วนตัวที่ฝ่าบาทมาบ้าง


 


 


เสิ่นเวยพูดคุยเป็นเพื่อนปู่นางอยู่สักพัก เห็นสีหน้าเขาเหนื่อยล้า ก็ปรนนิบัติให้ปู่นางนอนลงพักผ่อน เสิ่นเวยถอยออกมาจากประตูห้องแวบแรกก็เห็นสวีโย่วที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ในลานบ้าน


 


 


“เอ๋ แขกพิเศษนี่นา!” เสิ่นเวยกระโดดเข้าไปอย่างดีใจ ยิ้มพลางหยอกเย้าเขาหนึ่งประโยค


 


 


ช่วงนี้สวีโย่วยุ่งมากจริงๆ เช้าตรู่นางยังไม่ตื่นเขาก็ไปออกว่าราชการแล้ว กลางคืนนางหลับไปแล้วเขาก็เพิ่งจะกลับมา


 


 


“เวยเวยจะบอกว่า น้อยใจงั้นหรือ” สวีโย่วอมยิ้มมองนาง มุมปากยกสูง เขาชอบเห็นภรรยาของเขามีชีวิตชีวาเช่นนี้ที่สุด


 


 


น้อยใจงั้นหรือ เสิ่นเวยสะดุ้ง! นั่นมันอะไรกัน นางน้อยใจได้ด้วยหรือ นางเองก็ยุ่งมากรู้หรือไม่ เสิ่นเวยแยกเขี้ยวเล็กๆ ให้สวีโย่ว แสดงให้เห็นว่าไม่พอใจ


 


 


สวีโย่วก็หัวเราะเสียงเบาขึ้นมา เสียงหัวเราะนั้นทุ้มต่ำแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ทำให้เสิ่นเวยหลงใหลอย่างอดไม่ได้ หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ดวงตาทั้งคู่ราวกับจันทร์เสี้ยวสองดวง งดงามยิ่งนัก!


 


 


ราชครูเสิ่นมองคนงามหนึ่งคู่ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่นั่นในลานบ้านผ่านช่องหน้าต่าง มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มชื่นชม หลับตาลงจมสู่ห้วงความฝันช้าๆ ราวกับว่าบาดแผลบนร่างกายไม่เจ็บเพียงนั้นแล้ว


 


 


อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ชีวิตไม่ง่าย คำพูดนี้ไม่เป็นเท็จเลยแม้แต้น้อย ผ่านไปแค่เพียงหนึ่งเดือน หวังหลานเอ๋อร์สองแม่ลูกก็สัมผัสได้ถึงความโหดร้ายของชีวิตในเมืองหลวงแล้ว พวกนางแม่ลูกมีฝีมือในการเย็บปักถักร้อย ยังพอสามารถหารายได้ได้ แต่ค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงก็สูงอย่างยิ่ง แทบจะเป็นเงินหลายเท่าของเมืองอินหู แม้แต่น้ำดื่มยังต้องเสียเงินซื้อ ดังนั้นงานเย็บปักถักร้อยที่หวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกทำงานหาเช้ากินค่ำก็ทำได้เพียงพอให้เลี้ยงชีพ คิดอยากจะเก็บเงิน เช่นนั้นก็ได้แต่ฝันเท่านั้น


 


 


นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุด สิ่งที่ทำให้พวกนางแม่ลูกอกสั่นขวัญแขวนที่สุดก็คือ แม้ว่าลานบ้านรวมขนาดใหญ่แห่งนี้จะถูก แต่กลับมีคนดีคนเลวอยู่ปะปนกัน ข้างกายหวังหลานเอ๋อร์แม่ลูกไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย สายตาที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำหลายคนนั้นในลานบ้านจ้องมองหวังหลานเอ๋อร์ก็เพียงพอจะทำให้สองแม่ลูกหวาดกลัวจนตัวสั่น ทุกคืนนอนหลับต้องใช้โต๊ะดันประตูไว้ให้แนบแน่น แม้เป็นเช่นนี้ก็ไม่กล้านอนหลับสนิท ความเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียวก็กลายเป็นวิหคตื่นเกาทัณฑ์แล้ว


 


 


มารดาตระกูลหวังบ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ “หลานเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าเห็นแล้วหรือยัง สังคมนี้อยู่ที่ใดก็เหมือนกัน ไหนเลยจะมีหนทางชีวิตให้สตรี ตอนแรกพวกเราอยู่ที่จวนอ๋องอะไรนั่นก็ดีอยู่แล้ว ทำงานเหมือนกัน เสื้อผ้าอาหารความสงบสุขไม่ต้องพูดถึง ซ้ำยังไม่ต้องวิตกกังวลอย่างเช่นตอนนี้”


 


 


มือที่สนเข็มของหวังหลันเอ๋อร์หยุดชะงัก เม้มปากไม่พูด


 


 


มารดาตระกูลหวังเห็นท่าที ก็ถอนหายใจหนึ่งครากล่าวต่อ “หลานเอ๋อร์เอ๋ย แม่เห็นว่าต้าหู่ผู้นั้นไม่เลว ประพฤติตนซื่อตรง ใส่ใจเจ้า ทั้งยังมีเรี่ยวแรงกำลัง เจ้าแต่งงานกับเขาดีหรือไม่ เช่นนี้แม่ก็จะได้วางใจเสียที”


 


 


ต้าหู่คือผู้เช่าผู้หนึ่งในลานบ้านแห่งนี้ ทำงานขายแป้งทอดกับพ่อแม่และน้องสาว รูปร่างสูงใหญ่กำยำ คนเองก็ซื่อสัตย์ มักจะเข้ามาช่วยพวกนางแม่ลูกทำงานหนักเช่นการหาบน้ำตัดฟืน ทุกครั้งที่มา เห็นบุตรสาวของนางก็จะมองจนตะลึงงัน


 


 


มารดาตระกูลหวังอาบน้ำร้อนมาก่อน ไหนเลยจะไม่เข้าใจเจตนาของเขา ในใจนางเองก็ยินดี ต้าหู่เด็กชายผู้นี้แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนซื่อสัตย์ที่ใช้ชีวิตอย่างสุจริต นิสัยพ่อแม่ในครอบครัวก็ดี ยังมีฝีมือในการขายแป้งทอด ลูกสาวแต่งเข้าไปแม้ว่าจะไม่อาจมีชีวิตที่ดีมากได้ แต่ก็ไม่อาจได้รับความทุกข์ยากอะไร อย่างน้อยก็ไม่ต้องวิตกกังวลอีกต่อไป


 


 


มือของหวังหลานเอ๋อร์หยุดชะงักอีกครั้ง กัดริมฝีปาก กล่าว “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ลูกไม่อยากฟัง”


 


 


ต้าหู่ คนโง่ผู้นั้น ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้หนังสือ เห็นนางก็เอาแต่ยิ้มโง่ๆ แม้แต่พูดยังพูดไม่คล่อง ไหนเลยจะคู่ควรกับนาง


 


 


มารดาตระกูลหวังย่อมรู้ความคิดของลูกสาว ถอนหายใจหนึ่งครา “หลานเอ๋อร์เอ๋ย คุณชายเซ่าจวิ้นตระกูลเสิ่นผู้นั้นเจ้าอย่าได้คิดเลย ตั้งแต่อดีตบุพเพสันนิวาสให้ความสำคัญกับคู่ครองที่มีฐานะเหมาะสม พวกเราปีนป่ายไม่ถึง! เป็นมนุษย์ต้องอยู่กับความเป็นจริง แม่เห็นว่าต้าหู่ไม่เลว เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้มีนิสัยทะนงตนเช่นนี้เล่า ชีวิตนี้ข้ากับพ่อเจ้ามีเจ้าเพียงคนเดียว พ่อเจ้าจากไปเร็ว ชีวิตนี้ของแม่ก็มีเพียงเจ้า จะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร”


 


 


“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องพูดแล้ว!” หวังหลานเอ๋อร์โยนงานปักในมือออกไปทันที “ท่านแม่ หลังจากนี้ท่านไม่ต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก ต้าหู่เสี่ยวหู่อะไร ไม่ว่าอย่างไรลูกก็ไม่ยินดี” ลุกขึ้นยืนเดินออกไปข้างนอกแล้ว


 


 


“หลานเอ๋อร์เจ้าจะไปไหน” มารดาตระกูลหวังร้อนใจแล้ว


 


 


“ข้าจะออกไปซื้อด้ายสักหน่อย” ฝีเท้าหวังหลานเอ๋อร์หยุดชะงัก กล่าวอย่างไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา


 


 


มองแผ่นหลังของลูกสาวที่เดินออกไปไกล มารดาตระกูลหวังก็ถอนหายใจหนึ่งครา ดึงแขนเสื้อมาเช็ดน้ำตาตรงหางตา “ตาเฒ่า ลูกสาวของพวกเราเป็นอะไรไป นางเอาแต่คิดถึงชีวิตที่ร่ำรวย สามีที่มีหน้ามีตา แต่พวกเราไม่ใช่ตระกูลแบบนั้น! ตาเฒ่า ข้าโน้มน้าวลูกสาวไม่ได้ ขอโทษท่านด้วย!”


 


 


มารดาตระกูลหวังนึกถึงสามีที่จากไปแล้ว เจ็บปวดหัวใจจริงๆ สะอึกสะอื้นไห้ขึ้นมา นางไม่เพียงแต่เป็นห่วง ซ้ำยังเป็นกังวล ชีวิตครึ่งหลังของนางขึ้นอยู่กับลูกสาวคนนี้แล้ว แต่ลูกสาว…ตระกูลใหญ่ตระกูลโตนั่นน่าเข้าเพียงนั้นหรือไร อย่าว่าแต่เมืองหลวง แม้แต่คหบดีท้องถิ่นแซ่หวังในเมืองอินหูของพวกนาง ทุกปียังต้องหามออกไปจากประตูข้างตั้งกี่คน


 


 


มารดาตระกูลหวังยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว น้ำตานั่นประหนึ่งไข่มุกที่ขาดตอน ไหลลงมาอย่างไร้ค่า


 


 


หวังหลานเอ๋อร์เร่งฝีเท้าออกจากประตูใหญ่ลานบ้านรวมขนาดใหญ่แล้วจึงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาหนึ่งครา นางหันหน้ากลับไปมองลานบ้านรวมขนาดใหญ่ที่สกปรก ในดวงตามีความรังเกียจแวบผ่าน ใคร่ครวญว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องย้ายออกจากสถานที่โสมมแห่งนี้ให้ได้ก่อน สถานที่สกปรกเช่นนี้นางไม่อยากอยู่แม้แต่วันเดียวหรือแม้กระทั่งครู่เดียว

 

 

 


ตอนที่ 269-1 กลับบ้านเมื่อยามหิมะตกหนัก

 

หวังหลานเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าเดินมานานเพียงใดแล้ว ตอนที่นางได้สติกลับมาก็ยืนนิ่ง พลันเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยเงาหนึ่งตรงหน้า ดีใจอย่างอดไม่ได้ ยกขาวิ่งเข้าไป “คุณชายเสิ่น” นางขานเรียกเสียงหวาน


 


 


เดิมวันนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นมาหาสหายผู้หนึ่ง พบหวังหลานเอ๋อร์โดยบังเอิญ ประหลาดใจเล็กน้อย “แม่นางหวังมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ไม่ใช่ว่านางควรอยู่ในจวนน้องเวยหรอกหรือ


 


 


“ขอบคุณคุณชายเสิ่นที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ พวกข้าแม่ลูกออกจากจวนจวิ้นอ๋องแล้ว ตอนนี้หาบ้านอยู่ข้างนอก ปกติก็ทำงานเย็บปักถักร้อย ชีวิตกลับพอจะฝืนทนผ่านไปได้” หวังหลานเอ๋อร์เขินอายทั้งใบหน้า ดวงตาทั้งคู่มองเสิ่นเซ่าจวิ้นด้วยความรัก


 


 


ทว่าเสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไม่ได้คิดมาก พยักหน้ากล่าว “เช่นนั้นก็ดี เดิมข้าก็เคยบอกแล้ว เป็นสุจริตชนได้ไยจะต้องไปเป็นบ่าวด้วยเล่า ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว แม่นางหวังเป็นสตรีอายุน้อยตัวคนเดียวรีบกลับไปเสียจะดีกว่า อย่าทำให้มารดาตระกูลหวังเป็นห่วง” เขาเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีหนึ่งประโยค จากนั้นจึงพาเด็กรับใช้จากไป


 


 


ฟู่กุ้ยที่ตามอยู่ข้างหลังถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก ต่อให้เขาโง่ก็เห็นท่าทางยักคิ้วหลิ่วตาได้อย่างชัดเจน จวิ้นจู่เหนียงเหนียงแสดงออกชัดเจนว่าไม่ชอบให้คุณชายสนิทสนมกับแม่ลูกตระกูลหวังมากนัก เมื่อครู่เขากังวลจริงๆ ว่าคุณชายจะใจอ่อนพาแม่นางผู้นี้กลับไปอีก!


 


 


หวังหลานเอ๋อร์มองแผ่นหลังที่จากไปไกลของเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างทึ่มทื่อ สีหน้าและจิตใจล้วนแต่ผิดหวัง


 


 


ในตอนนี้เองเสียงที่ลึกลับเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “แม่นางตามีแววยิ่งนัก!”


 


 


หวังหลานเอ๋อร์สะดุ้งตกใจ หันหน้าฉับพลัน เห็นชายท่าทางคล้ายพ่อบ้านวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังยิ้มอย่างมีเลศนัยให้นางอยู่ “เจ้า เจ้าเป็นใคร” หวังหลานเอ๋อร์ถูกเขามองจนขนลุกในใจ รวบรวมความกล้าถาม


 


 


“ย่อมต้องเป็นคนที่ช่วยให้แม่นางสมปรารถนาอย่างไรเล่า” คนผู้นั้นจ้องหวังหลานเอ๋อร์มองประเมิณอย่างไม่เกรงกลัว คล้ายตีค่าสิ่งของชิ้นหนึ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็กว้างขึ้นแล้ว


 


 


สวีโย่วสืบค้นมาได้สิบกว่าวันแล้ว ข้อมูลที่มีประโยชน์กลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว จางอิงที่ตายไปแล้วผู้นั้นปกติก็เป็นคนดี ความสัมพันธ์ต่อขันทีน้อยจำนวนมากก็ไม่เลว แต่คนที่สนิทกลับไม่มีเลยสักคนเดียว กองตรวจสอบดำเนินการลงโทษโบยขันทีที่สนิทกับจางอิงหลายคน ยังคงไร้เบาะแสใดๆ รวมถึงคนในครอบครัวจางอิง หายไปประหนึ่งหมอกควัน ไม่มีแม้แต่ข่าวคราว สวีโย่วเดาว่าพวกเขาน่าจะถูกฆ่าปิดปากแล้ว มิเช่นนั้นเพียงแค่ปรากฏตัวก็จะทิ้งร่องรอยได้


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนได้รับผลลัพธ์นี้กลับทรงไม่พิโรธ เดิมเรื่องนี้สืบง่ายอย่างถึงที่สุด เขาตายแล้วใครได้รับผลประโยชน์มากผู้นั้นก็คือตัวการที่อยู่เบื้องหลัง เขามีอันเป็นไป คนที่ขึ้นครองบัลลังก์ก็คือไท่จื่อ แต่ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกตระกูลฝั่งไท่จื่อ พวกเขายังไม่มีความกล้าหาญมากเพียงนี้ อีกทั้งยังไม่มีกำลังเช่นนี้อีกด้วย


 


 


ในพระตำหนักจินหลวน ฮ่องเต้ยงเซวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์สูงส่ง มองขุนนางชั้นผู้ใหญ่บุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักอย่างเย็นชา แท้จริงแล้วใครกันที่คิดอยากให้เขาตาย


 


 


ชั่วพริบตาก็เข้าสู่เดือนล่าแล้ว เมืองหลวงในเดือนล่าหนาวอย่างถึงที่สุด หนาวยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา สามารถใช้คำว่าหยดน้ำกลายเป็นน้ำแข็งมาอธิบายได้เลย


 


 


เสิ่นเวยมองเกล็ดหิมะเกล็ดใหญ่ที่ปลิวลอยยู่ข้างนอก สั่งหลีฮวา “อากาศหนาวเกินไปแล้ว ไปบอกครัวว่า เตรียมแกงแกะกับน้ำขิงเอาไว้ให้มากหน่อย ถ่านก่อไฟแต่ละที่ก็เตรียมให้เพียงพอ หากป่วยแล้วก็เชิญหมอมาให้ยา ไม่ต้องคิดเยอะ” บ่าวก็เป็นคน นางทำดีต่อพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาก็จะยิ่งจงรักภัคดีมิใช่หรือ


 


 


หลีฮวากระชับเสื้อหนาวบุฝ้ายบนร่างออกไปสั่งสาวใช้ที่วิ่งทำงาน ไม่นานนักก็เข้ามาแล้ว กระทืบเท้า ถูมือ “ปีนี้ก็แปลก นี่เพิ่งจะเข้าเดือนล่าก็หนาวเพียงนี้แล้ว ซ้ำยังหิมะตกหนักเพียงนี้อีก หนาวยิ่งกว่าปีที่แล้วมาก”


 


 


เถาจือกล่าวตามใจปาก “ใช่แล้ว ฟังว่าข้างนอกมีคนหนาวตายทุกวัน น่าสงสารยิ่งนัก”


 


 


เย่ว์กุ้ยได้ยินดังนั้นดวงตาก็กะพริบวาบ บนใบหน้ามีความกังวลปรากฏขึ้น “จวิ้นจู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวนาเช่าที่ในหมู่บ้านของพวกเราจะผ่านคืนวันไปได้ด้วยดีหรือไม่ บ่าวฟังว่าหิมะตกหนักเช่นนี้ทำให้บ้านถล่มได้” บ้านนางก็ถูกพายุหิมะในฤดูหนาวถล่มเช่นกัน ทำให้พ่อนางได้รับบาดเจ็บ ไม่มีเงินไปรักษาทำได้เพียงมองพ่อนางตายไปเฉยๆ นางจึงถูกขายไปยังคณะกายกรรม


 


 


เสิ่นเวยคิดๆ ดูแล้วก็ใช่ “เรียกเจี่ยวปั๋วเข้ามาถามหน่อย”


 


 


เจี่ยวปั๋วผู้อวบอ้วนสวมเสื้อนวมบุฝ้ายหนาๆ ยิ่งเหมือนลูกบอลอย่างยิ่ง ฟังคำถามของเสิ่นเวยแล้ว จึงกล่าว “นี่เองก็เป็นเรื่องที่หมดหนทาง ฤดูหนาวปีใดบ้างที่ไม่มีคนหนาวตาย พายุหิมะปีไหนบ้างที่ไม่ถล่มบ้านหลายหลัง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรฤดูหนาวก็ทรมาน”


 


 


นี่ทำให้ความรู้สึกของเสิ่นเวยหนักอึ้ง ในยุคปัจจุบัน แม้ว่าสังคมจะเต็มไปด้วยความโสมมต่างๆ นานา แต่เรื่องฤดูหนาวคนหนาวตายเช่นนี้ก็ยังมีไม่เยอะจริงๆ


 


 


“เอาเช่นนี้แล้วกันเจี่ยวปั๋ว ลำบากเจ้าหน่อย พาคนไปที่หมู่บ้านเที่ยวหนึ่ง ดูว่าชีวิตของเหล่าชาวนาเช่าที่ยังดำเนินต่อไปได้หรือไม่ ส่งของไปให้พวกเขาสักเล็กน้อย แต่ละครอบครัวให้ธัญพืชสามสิบจิน ถ่านยี่สิบจิน เสื้อนวมบุฝ้าย อืม ไม่เอาดีกว่า ไม่ต้องให้เสื้อนวมบุฝ้าย แต่ละครอบครัวให้ผ้าหยาบหนึ่งผืน แล้วก็ให้ฝ้ายจำนวนหนึ่ง ให้พวกนางไปทำเอง ยังมียารักษาอาการถูกลมเย็น แจกให้แต่ละครอบครัวจำนวนหนึ่ง ในจวนของพวกเราไม่ขาดเงินเพียงเท่านี้ ทั้งหมดคิดเสียว่าทำบุญ แล้วก็ดูว่ามีบ้านไหนถูกพายุหิมะถล่ม ช่วยซ่อมสักนิดสักหน่อย ต้องทำให้พวกเขาผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างปลอดภัย” เสิ่นเวยออกคำสั่ง


 


 


เจี่ยงปั๋วแสดงสีหน้าซาบซึ้ง “จวิ้นจู่เมตตา บ่าวขอบคุณบุญคุณและความกรุณาของจวิ้นจู่แทนเหล่าชาวนา” ข้างนอกต่างก็พูดกันว่าจวิ้นจู่ของเขาเป็นคนใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เห็นแก่ชีวิตคน แต่เจี่ยงปั๋วกลับมั่นใจว่าจวิ้นจู่เป็นผู้มีเมตตาอันดับหนึ่งในใต้หล้า ท่านจวิ้นอ๋องสุขภาพไม่ดี จวิ้นจู่ก็ทำบุญแทนท่านจวิ้นอ๋อง ภรรยาผู้นี้ของท่านจวิ้นอ๋องนับได้ว่าแต่งถูกคน!


 


 


เจี่ยงป๋วเดินไปข้างนอกด้วยความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า หิมะตกหนักปลิวว่อน ลมหนาวเข้ากระดูก แต่หัวใจทั้งดวงของเจี่ยงปั๋วกลับร้อนรุ่ม


 


 


“จวิ้นจู่ ในเมืองหลวงหลายครอบครัวต่างก็สร้างเพิงข้าวต้มเริ่มแจกจ่ายข้าวต้มแล้ว ในจวนพวกเราจะทำด้วยหรือไม่” แม่นมมั่วกล่าวเตือน


 


 


“หากแม่นมไม่พูดข้าก็เกือบลืมไปแล้ว” เสิ่นเวยกล่าว “ทำเถอะ พวกเรามีเสบียงร้านค้าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ข้าวดี ข้าวเก่าก็พอ เช้าค่ำแจกข้าวต้ม ตอนเที่ยงเพิ่มแป้งทอดแป้งหนาหนึ่งชิ้น ช่วยได้กี่คนก็ช่วย เรื่องนี้ก็มอบให้แม่นมไปจัดการแล้วกัน อ้อจริงสิ นอกจากแจกข้าวต้มแล้ว พวกเรายังต้องแจกยา ยาน้ำรักษาอาการถูกลมเย็นนั่นต้มหนึ่งหม้อใหญ่ เพียงแค่มีคนที่ต้องการก็สามารถดื่มได้ เรื่องนี้ให้หมอหลิวไปจัดการ”


 


 


“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่ บ่าวจะดูแลเรื่องนี้ให้ดี” แม่นมมั่วกล่าวด้วยความเคารพ ผ่านการอยู่ร่วมกันในช่วงวันเวลาเหล่านี้ แม่นมมั่วก็ดีใจในสิ่งที่ตนเลือกตอนแรก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นนายที่รับใช้ง่ายอย่างยิ่งจริงๆ แยกแยะการชื่นชมและลงโทษชัดเจน ให้ความสำคัญแก่คนที่มีความสามารถ ต่อให้จะพบข้อผิดพลาด ก็ไม่ตบตีดุด่าบ่อยๆ อย่างมากก็แค่หักเงินเดือน แน่นอนว่าการทรยศนายก่อกบฏเป็นข้อยกเว้น จวิ้นจู่เกลียดบ่าวเช่นนี้ที่สุด หากสืบเจอจะไม่มีทางให้อภัยเป็นอันขาด


 


 


เซี่ยหมิงผู่กับเสิ่นเชียน มาถึงเมืองหลวงตามลำดับ เซี่ยหมิงผู่มาถึงก่อน วันที่เขามาถึง อาทิตย์ส่องแสงจ้าอย่างหาได้ยาก ส่องจนร่างกายอบอุ่น


 


 


เสิ่นเวยรู้ว่าเขามาแล้ว ไม่ได้ส่งคนไปรับ และไม่ได้ไปพบเขา แม้แต่แอบดูก็ยังไม่มี ราวกับว่านั่นคือคนไม่รู้จักคนหนึ่ง


 


 


เซี่ยหมิงผู่เองก็ไม่ได้มาเยี่ยมที่บ้าน หาโรงเตี๊ยมพักเรียบร้อยด้วยตัวเอง ทุกวันอ่านหนังสืออยู่แต่ในห้อง แม้แต่โรงเตี๊ยมยังออกไปน้อยอย่างยิ่ง


 


 


ก่อนหน้านี้ฉาฮวายังพร่ำบ่นทั้งวันว่าพี่ชายนางจะมาเมืองหลวงแล้ว แต่เมื่อพี่ชายนางมาถึงเมืองหลวงแล้วจริงๆ นางกลับไม่เอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว เสิ่นเวยถามนางว่าอยากไปเจอพี่ชายนางหรือไม่ นางกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที


 


 


ฉาฮวาไม่โง่ แต่นางกลับฉลาดอย่างถึงที่สุด แม้นางจะไม่รู้ว่าจวิ้นจู่กับพี่ชายส่งสัญญาณอะไรกันไว้ แต่นางกลับตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าตนไม่อาจไปพบพี่ชายได้ ไม่อาจให้คนอื่นรู้ว่าพี่ชายนางรู้จักกับจวิ้นจู่


 


 


เสิ่นเวยกลับไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน เพียงแค่ลูบศีรษะเล็กๆ ของฉาฮวาอย่างสงสาร เป็นเด็กที่ฉลาดและมีไหวพริบจริงๆ!


 


 


ทว่าวันที่เสิ่นเชียนกลับมามีลมพัดแรง แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจที่รอคอยลูกชายกลับมาของสวี่ซื่อ เช้าตรู่ก็เร่งรัดสาวใช้ไปเฝ้าดูหน้าประตูใหญ่นับครั้งไม่ถ้วน ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหวจริงๆ ตนไปรออยู่ที่หน้าประตูด้วยตัวเอง


 


 


เสิ่นเชียนสวมผ้าคลุมตัวใหญ่สีดำ ขี่ม้าตัวสูงใหญ่ สวี่ซื่อเห็นเงาร่างของลูกชายมาแต่ไกลๆ ดวงตาก็ชุ่มฉ่ำ “ลูก!” นางตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งหนึ่งประโยคสะบัดมือของสาวใช้ออกแล้ววิ่งเข้าไปหา


 


 


เสิ่นเชียนถีบเท้าลงจากม้า โยนเชือกบังเ**ยนแล้วจึงเร่งเท้าเดินเข้ามา “ท่านแม่ ลูกอกตัญญูกลับมาแล้ว!”


 


 


“ดีๆๆ กลับมาก็ดี” สวี่ซื่อเห็นลูกชายที่ดำขึ้นผอมลงแต่มีกำลังวังชามากขึ้น ไม่ว่าจะมองเท่าไรก็ไม่พอ “ เจ้ากลับมาแม่ก็วางใจแล้ว” นางอยากยิ้ม แต่กลับยิ้มทั้งที่น้ำตานองหน้า


 


 


เบ้าตาเสิ่นเชียนเองก็แดงก่ำ เพียงแค่ไม่เจอกันหนึ่งปีสั้นๆ ศีรษะของมารดาก็คล้ายมีผมหงอกเพิ่มขึ้นไม่น้อยแล้ว


 


 


“ฮูหยิน ซื่อกลับมาเป็นเรื่องมงคลใหญ่ ควรดีใจจึงจะถูก” ลั่วสยาสาวใช้ข้างกายก้าวขึ้นมาโน้มน้าว


 


 


“ใช่ๆๆ ควรจะดีใจ แม่ดีใจยิ่งนัก” สวี่ซื่อรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “แม่น่ะดีใจจนน้ำตาไหล ไปเถอะ พวกเรารีบเข้าจวน พ่อ ย่าและปู่เจ้ายังรออยู่”


 


 


สวี่ซื่อจับมือลูกชายไว้แนบแน่น ราวกับว่าเมื่อปล่อยแล้วลูกชายจะหนีไปได้ เสิ่นเชียวเองก็ปล่อยให้นางจับ มุมปากอมยิ้มพูดคุยกับนางไปตลอดทาง


 


 


เข้าไปในเรือนซงเฮ่อแล้ว เสิ่นเชียนก็คุกเข่าลงเสียงดังโขกศีรษะคำนับย่าเขา นายหญิงผู้เฒ่ากอดหลานชายคนโตของนางร่ำไห้อยู่พักหนึ่ง ภายใต้การปลอบโยนของคนทั้งหมดจึงหยุดร้องไห้ช้าๆ


 


 


เสิ่นเชียนหมุนตัวโขกศีรษะคำนับพ่อแม่เขาจากใจจริง เสิ่นหงเหวินเห็นลูกชายที่ดูกำยำขึ้น ในใจก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด “ดีๆๆ แข็งแรงกว่าพ่อเจ้าแล้ว” ชั่วชีวิตนี้แม้แต่สนามรบเขายังไม่เคยแตะ กลับเป็นลูกชายที่รับหน้าที่ที่เดิมควรจะเป็นเขา ทำให้ในขณะที่เขาภูมิใจก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย


 


 


สนทนากันพักหนึ่ง เสิ่นหงเหวินก็กล่าว “ไปหาปู่เจ้าเถิด เขายังรอเจ้าอยู่ที่เรือนนอก”


 


 


นายหญิงผู้เฒ่าเสิ่นกับสวี่ซื่อเองก็เร่งรัด “ไปเถิด ไปเถิด ปู่เจ้าพร่ำบ่นถึงเจ้ายิ่งนัก อย่าปล่อยให้เขารอนาน”


 


 


เสิ่นเชียนจึงลุกขึ้นกล่าว “เช่นนั้นหลานขอตัวไปก่อน ตกเย็นแล้วจะมาทานข้าวกับท่านย่าใหม่”


 


 


ไปถึงข้างนอกเสิ่นหงเหวินจึงเล่าเรื่องที่ปู่เขาได้รับบาดเจ็บให้เขาฟัง เสิ่นเชียนตกใจในชั่วขณะ “ท่านปู่ได้รับบาดเจ็บที่ใด บาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ท่านพ่อ เหตุใดท่านเพิ่งมาบอกข้าตอนนี้” แม้ตั้งแต่เล็กเขาจะพบท่านปู่เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ที่ซีเจียงปีที่แล้ว ท่านปู่แทบจะพาเขาไปไหนมาไหนข้างกาย สอนเขาตัวต่อตัวตลอด นี่ทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับท่านปู่แน่นแฟ้นอย่างถึงที่สุด


 


 


เสิ่นหงเหวินรีบปลอบลูกชาย “มีหมอหลวงดูแลอยู่ ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว เจ้าอยู่ไกลถึงซีเจียง ต่อให้บอกเจ้า เจ้าเองก็ทำได้เพียงเป็นกังวล ยิ่งไปกว่านั้นปู่เจ้าก็เป็นคนพูดเอง ไม่ให้บอกเจ้า กลัวว่าเจ้าจะไม่มีสมาธิทำงานล่าช้า” แต่กลับไม่เอ่ยว่าอาการบาดเจ็บเป็นเช่นไร


 


 


หนึ่งปีกว่านี้ เสิ่นเชียนฝึกฝนจนพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดของพ่อเขาก็รู้แล้วว่าท่านปู่บาดเจ็บสาหัสอย่างถึงที่สุด มิเช่นนั้นเหตุใดหนึ่งเดือนกว่าแล้วยังต้องมีหมอหลวงดูแลอยู่เล่า ฝีเท้าใต้เท้าก็เร่งขึ้นสามส่วนอย่างอดไม่ได้

 

 

 


ตอนที่ 269-2 กลับบ้านเมื่อยามหิมะตกหนัก

 

เสิ่นหงเหวินเพียงแค่เดินไปเป็นเพื่อนเสิ่นเชียนจนถึงหน้าประตูเรือนของบิดาแล้วจึงกลับไป เขารู้ว่าบิดาจะต้องมีคำพูดมากมายอยากพูดกับลูกชาย เขาอย่าไปอยู่ขวางหูขวางตาเสียจะดีกว่า


 


 


เสิ่นเวยกำลังนั่งอ่านหนังสือให้ปู่นางอยู่ในห้องเขา ในห้องสร้างท่อทำความร้อนใต้ดินเอาไว้ อบอุ่นประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ


 


 


“ท่านปู่ พี่ใหญ่น่าจะมาแล้ว หลานจะออกไปต้อนรับเขาสักหน่อย” เสิ่นเวยปิดหนังสือวางไว้ข้างๆ คลุมเสื้อขนจิ้งจอกเดินออกไปข้างนอก เพิ่งจะเดินไปถึงล่างระเบียงทางเดินก็เห็นเสิ่นเชียนเข้ามาแล้ว


 


 


“เอ๋ ท่านซื่อจื่อกลับมาแล้ว” เสิ่นเวยขึ้นเสียงทักทาย


 


 


“เอ๋ ลำบากคุณชายสี่ผู้องอาจห้าวหาญของพวกเราออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พี่ช่างมีบุญวาสนาจริงๆ!” เสิ่นเชียนเองก็ตอบรับตามใจปาก


 


 


“ไอหยา ไม่พบสามวันกลายเป็นอื่น พี่ใหญ่พัฒนาไม่น้อยจริงๆ! ดูสิฝีปากคล่องแคล่ว” เสิ่นเวยมองประเมิณเสิ่นเชียนตั้งแต่หัวจรดเท้า “อืม รูปร่างก็แข็งแรงกว่าแต่ก่อนมาก เป็นอย่างไร น้ำดินที่ซีเจียงบำรุงร่างกายดีหรือ”


 


 


มุมปากเสิ่นเชียนกระตุก นี่คือการชมคนหรือ ใช่หรือ ใช่หรือ เขากำลังจะพูดอะไรต่อ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะปนด่าของท่านปู่ดังออกมาจากข้างในแล้ว “พวกเจ้าสองพี่น้องมัวแต่เล่นอะไรกันอยู่ ยังไม่รีบเข้ามาอีก!”


 


 


เสิ่นเวยหันหน้าตอบรับข้างในหนึ่งครา กล่าวเสียงดัง “ท่านปู่ท่านอย่ารีบร้อนสิ หลานไม่ใช่กำลังต้อนรับพี่ใหญ่แทนท่านอยู่หรือไร หนึ่งปีไม่ได้เจอ ต้องตรวจสอบแทนท่านดูสักหน่อย”


 


 


คลายสายรัดเอวเสื้อขนจิ้งจอกโยนไปในอ้อมอกสาวใช้ข้างๆ ประสานหมัดกล่าว “พี่ใหญ่ เชิญ”


 


 


เสิ่นเชียนลูบจมูก ถอดเสื้อคลุมบนร่างออกเช่นกัน “ลำบากคุณชายสี่ชี้แนะแล้ว”


 


 


พูดยังไม่ทันขาดคำ หมัดของเสิ่นเวยก็มาถึงแล้ว เขารีบเบี่ยงตัวหลบ เพิ่งจะหลบหมัดได้ ลูกเตะของเสิ่นเวยก็โจมตีมาตรงหน้าแล้ว บีบบังคับจนเสิ่นเชียนสับสนอลหม่านอย่างยิ่ง ชั่วขณะวันคืนที่ถูกทารุณในซีเจียงก็คล้ายกลับมาอีกครั้ง


 


 


เสิ่นเชียนเศร้าใจยิ่งนัก เขาคิดว่าเขาพัฒนาขึ้นมากแล้ว ไม่คิดว่าจะยังถูกลูกผู้น้องโจมตี ความรู้สึกเช่นนี้ อยากตายเสียจริงๆ!


 


 


เสิ่นเชียนตั้งสติ รับมืออย่างสุขุม ไม่ขอชนะ ขอเพียงแค่ถูกโจมตีให้น้อย จิตใจนิ่งแล้ว ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้มาก เงาร่างสองเงาต่อสู้กันตั้งแต่ระเบียงทางเดินไปจนถึงในลานบ้าน เจ้าจู่โจมข้าโต้ตอบ กระโดดโลดแล่น น่าชมเหลือเกิน


 


 


สองเค่อผ่านไป เสิ่นเวยลอยตัวตวัดข้าเตะ ปลายเท้าจ่อลำคอของเสิ่นเชียนตรงๆ ดวงตามีรอยยิ้มแวบผ่าน “ไม่เลว พี่ใหญ่พัฒนาไม่น้อยแล้ว” เก็บมือเก็บเท้า สิ้นสุดการประลอง


 


 


เสิ่นเชียนหน้าดำทะมึนทั้งศีรษะ เหตุใดคำพูดนี้ฟังแล้วถึงได้อึดอัดใจเช่นนี้เล่า เขาถูกเสิ่นเวยทารุณจนชินแล้ว แม้ว่าจะแพ้เขาก็ไม่ได้สนใจ “พี่ยังต้องขอบคุณคุณชายสี่ที่เมตตา”


 


 


“ท่านรู้ก็ดีแล้ว” เสิ่นเวยย่นจมูกอย่างน่าเอ็นดู หันหลังกลับกระโดดเข้าไปในห้อง เสิ่นเชียนตามอยู่ข้างหลังนาง ได้ยินนางกล่าวกับท่านปู่ด้วยความดีใจ “ท่านปู่ หลานทดสอบแทนท่านแล้ว แม้ว่าพี่ใหญ่จะยังสู้หลานท่านไม่ได้ แต่ก็ยังพอถูๆ ไถๆ ไปได้! ดียิ่งกว่าลูกคุณชายเหล่านั้นในเมืองหลวง น่าจะไม่เคยอู้งาน”


 


 


ความดำทะมึนคืนคลานทั่วทั้งหน้าผากเสิ่นเชียนอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ก็รู้อยู่แล้วว่าลูกผู้น้องหน้าหนา แต่ไม่คิดว่าจะหนาได้ถึงเพียงนี้ “ท่านปู่ หลานกลับมาแล้ว” เสิ่นเชียนมองท่านปู่ที่เอนหลังพิงหัวเตียงอยู่ สะบัดเสื้อคลุมคุกเข่าลง กล่าวด้วยความรักและผูกพัน “ท่านปู่ ท่านได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้เหตุใดถึงไม่ส่งข่าวไปให้หลานเลย”


 


 


ราชครูเสิ่นเห็นหลานชายคนโตก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด ยิ้มกล่าวอย่างเมตตา “กลับมาก็ดีแล้ว รีบลุกขึ้นเถิด ไม่ใช่ว่าปู่ใกล้หายแล้วหรอกหรือ อย่าทำท่าทางงอนง้อเช่นนั้น น้องเจ้าเห็นแล้วจะหัวเราะเยาะเอา”


 


 


เสิ่นเวยกลอกตา “ท่านปู่ ท่านพูดไม่เป็นธรรมแล้ว หัวเราะเยาะอะไร ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือ วันทั้งวันบอกว่ารักข้าที่สุด ตอนนี้พี่ใหญ่กลับมาแล้วจิตใจของท่านก็ลำเอียง ที่แท้แล้วปกติแล้วก็ล้อข้าเล่นหรอกหรือ” เสิ่นเวยกระทืบเท้าไม่พอใจ


 


 


ราชครูเสิ่นหัวเราะปนด่า “เจ้าเด็กซนคนนี้ เจ้าเอาตาที่ไหนมองว่าข้ารักพี่ใหญ่เจ้ามากกว่า”


 


 


“แค่ตาสองข้างก็มองเห็นแล้ว” เสิ่นเวยกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ


 


 


ราชครูเสิ่นถูกหลานสาวของเขาตอกหน้าหงาย อยากจะลงจากเตียงไปตีเด็กดื้อคนนี้เสียจริงๆ แต่ถูกเสิ่นเวยหยอกล้อเช่นนี้ ความรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที


 


 


ราชครูเสิ่นกับหลานชายถามตอบพูดคุยถึงเรื่องที่ซีเจียงขึ้นมา เสิ่นเวยนั่งฟังอยู่ข้างๆ หยิบผลไม้สดใส่ปาก ฤดูหนาวที่หนาวจัด เดิมทีผลไม้สดก็มีไม่มาก แต่ที่เรือนปู่นางกลับไม่ขาด ไม่ใช่สิ่งอื่นใด ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ฝ่าบาทปูนบำเหน็จ เครื่องบรรณการเอย ย่อมล้วนแต่เป็นของที่ดีที่สุด ราชครูเสิ่นยังบาดเจ็บอยู่ ผลไม้สดที่ปูนบำเหน็จให้นอกจากส่วนน้อยที่ส่งไปยังเรือนหลัง ทั้งหมดที่เหลือล้วนอยู่ในปากเสิ่นเวย


 


 


ราชครูเสิ่นมองหลานชายคนโตที่เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไปมาก ในใจก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด หลานชายคนโตนับได้ว่าฝึกฝนออกมาแล้ว แม้จะยังอ่อนวัย แต่เทียบกับคนวัยเดียวกันในเมืองหลวงก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว อีกทั้งตนยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี ยังสามารถดูแลเขาให้มากได้ ถึงตอนนั้นเขาเองก็สามารถเผชิญหน้าตัวคนเดียวได้แล้ว เขาก็นับได้ว่าสามารถนอนตายตาหลับอย่างวางใจได้แล้ว


 


 


เสิ่นเชียนกลับมาย่อมต้องไปเยี่ยมเยียนทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นเขาที่เป็นว่าที่เจ้าบ่าวคาดไม่ถึงว่ายุ่งยิ่งกว่าใครทั้งสิ้น แต่ละจวนเห็นซื่อจื่อจงอู่โหววัยเยาว์ที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ที่ซีเจียงผู้นี้แล้ว วาจาก็เต็มไปด้วยคำชื่นชม ในใจเต็มไปด้วยความอิจฉา! ดูเขาสิ เป็นชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เสิ่นซื่อจื่อใจเย็นสุขุมถ่อมตัวมากเพียงใด เทียบกับลูกชายที่สับสนว้าวุ่นของตนแล้ว จำใจต้องยอมรับว่าราชครูเสิ่นสั่งสอนคนเป็นจริงๆ!


 


 


แม้แต่ตระกูลฉังที่ก่อนหน้านี้ยังคงไม่วางใจเล็กน้อย หลังเห็นเสิ่นเชียนที่มาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน ตั้งแต่ต้นจนจบก็เอ่ยชมไม่หยุดปาก ใต้เท้าฉังยังตั้งใจทดสอบความรู้ของเขา ตอนนี้แม้ว่าเสิ่นเชียนจะเดินในเส้นทางแม่ทัพ แต่ก่อนหน้านี้ล้วนเชี่ยวชาญทั้งบุ๋นทั้งบู๊ กระทั่งยังให้ความสำคัญกับบุ๋นเล็กน้อย พื้นฐานแน่นอนว่าย่อมมี


 


 


สำหรับการทดสอบของใต้เท้าฉังพ่อตาก็สามารถตอบได้อย่างลื่นไหล ทำให้ใต้เท้าฉังดีใจจนลูบหนวดพยักหน้า สายตาที่มองเสิ่นเชียนเอ็นดูยิ่งกว่าลูกแท้ๆ คืนนั้นยังดื่มสุราดีหนึ่งไห ชวนลูกเขยพูดคุยไปครึ่งค่อนคืน


 


 


ฉังฮูหยินเห็นสามีที่ปกติเคร่งขรึมเข้มงวดกลายเป็นคนพูดเก่ง ก็รู้ว่าเขากำลังมีความสุข ทั้งโมโหทั้งน่าขันจริงๆ สำหรับลูกเขยผู้นี้ของตระกูลเสิ่นนางเองก็พอใจอย่างถึงที่สุดเช่นกัน อยากได้เช่นไรก็ได้เช่นนั้น อยากได้คนมีความสามารถก็มีความสามารถ วงศ์ตระกูลสูงกว่าพวกเขามาก แต่ความประพฤติกลับถ่อมตัวมีมารยาทอย่างถึงที่สุด อีกทั้งแม่ยายก็พูดไว้แล้วว่า รอสามีภรรยาแต่งงานกันแล้วก็จะย้ายไปซีเจียงด้วยกัน ไม่อาจทิ้งให้เจ้าสาวอยู่รับใช้ในจวน ไอหยา ยังมีครอบครัวไหนที่ใจกว้างยิ่งกว่าครอบครัวนี้อีก ลูกสาวคนโตของนางมีวาสนาดีจริงๆ นี่คือคู่หมั้นดีที่จุดโคมไฟก็ยากจะหาได้! ไม่เห็นหรือว่าเหล่าพี่น้องของนางต่างก็อิจฉาตาร้อน นางนับว่าได้ระบายความอัดอั้นที่ถูกพวกนางเบียดเบียนเนื่องจากป่วยมาหลายปีแล้ว


 


 


แม้แต่คุณหนูตระกูลฉังที่แอบมองเสิ่นเชียนปราดหนึ่งอยู่หลังฉากกั้น ก็หน้าแดงก้มหน้างุด ในใจเต็มไปด้วยความดีใจ ก่อนหน้านี้ต่อให้พ่อแม่นางจะพูดว่าดีสักเพียงใด นางเองก็ไม่ได้คาดหวังมากนัก อย่างไรเสียวงศ์ตระกูลของทั้งสองครอบครัวก็ต่างชั้นกัน เขาเป็นถึงท่านซื่อจื่อจวนโหวจะเหลียวแลตระกูลนางได้อย่างไร แม้ว่าพ่อนางจะเป็นหัวหน้าราชวิทยาลัยกั๋วจื่อ บริสุทธิ์สูงส่งก็บริสุทธิ์สูงส่งอย่างยิ่ง ทว่าบริสุทธิ์แต่กลับไม่สูงส่ง! แม่นางบอกว่าที่ตระกูลเสิ่นชื่นชอบก็คือความสามารถในการดูแลบ้านของนาง นางเองก็ไม่ค่อยเชื่อนัก คุณหนูสตรีสูงศักดิ์ที่สามารถดูแลบ้านได้ในตระกูลใหญ่ตระกูลโตก็มีถมไป เหตุใดถึงเป็นนางที่ได้รับโชคดีนี้เล่า ซื่อจื่อผู้นี้จะต้องมีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมเป็นแน่ ตระกูลเสิ่นไม่อาจหาภายในตระกูลสูงได้ ดังนั้นจึงเลือกนางเสีย


 


 


ทว่าตั้งแต่ที่แอบมองว่าที่สามีหลังฉากกั้น คุณหนูตระกูลฉังก็เชื่อแล้วจริงๆ ว่าตนมีวาสนาแท้จริง เหมือนอย่างที่แม่นางว่า สามีเช่นนี้จุดโคมไฟก็ยากจะหาได้ ด้วยเหตุนี้จิตใจของนางที่นั่งอยู่ในห้องนอนจึงหวานชื่น รู้สึกว่าอากาศที่หนาวเย็นยะเยือกนี้ไม่ได้ทรมานอย่างเช่นที่ผ่านมา


 


 


เอ่ยถึงราชครูเสิ่นก็ต้องนึกถึงอาการบาดเจ็บของเขา ไม่ว่าข่าวลือก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร นายท่านหัวหน้าตระกูลแต่ละจวนต่างก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ข่าวลือก็เท่านั้น สามารถเก็บมาคิดเป็นจริงได้หรือ


 


 


ทว่าตอนนี้ผ่านไปเกือบเดือนแล้ว เรือนของราชครูเสิ่นก็ยังปิดเรือนปฏิเสธแขก หมอหลวงสองคนที่ฝ่าบาทส่งมายังคงนั่งเฝ้าอยู่ที่จวนจงอู่โหว อ้อไม่ ตอนนี้ควรจะเป็นจวนหย่งกั๋วกงแล้ว แม้คนทั้งหมดในจวนหย่งกั๋วกงต่างก็พูดว่าราชครูเสิ่นมีอาการดีขึ้นแล้ว แต่ในใจทุกคนก็ยังคงเกิดข้อสงสัย คงไม่ใช่ว่าราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัสเกินไปจนดีขึ้นไม่ได้แล้วกระมัง


 


 


ในวันมงคลใหญ่ที่ต้อนรับการกลับมาของเสิ่นเชียนท่ามกลางข้อสงสัยของขุนนางในราชสำนัก ก่อนหน้านี้จวนจิ้นอ๋องกลับเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)