กระบี่จงมา 268.2-269.1
บทที่ 268.2 ขยับใกล้ภูเขาห้อยหัว
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่าคนพายเรือที่ถูกเรียกฉายาตอนเด็กหยุดเดิน ร้องเฮ้อหนึ่งที เพียงแต่ว่าต่อให้หันหลังกลับไปก็ยังยืนกรานว่าจะไม่มองประสานสายตากับอาจารย์ เขาประสานมือคำนับด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ กล่าวประโยคหนึ่งว่า “อาจารย์อายุยืนหมื่นปี ลูกศิษย์ขอลาก่อน” พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นเขาไป
ส่วนเฉินผิงอันเดินหน้าไปหยุดยืนอยู่ข้างกายกุ้ยฮูหยิน ทั้งสองฝ่ายผงกศีรษะทักทายกัน เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยองอยู่ตรงท่าเรือ มองไปยังชายฉกรรจ์ที่หันมองตนทีหนึ่ง หันมองกุ้ยฮูหยินทีหนึ่ง เฉินผิงอันรู้สึกขนลุกขนชันเล็กน้อย ในใจคิดว่าสายตาของชายฉกรรจ์ผู้นี้ผิดปกติ ทำไมถึงได้เหมือนสายตาของสตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวาที่มองบุรุษของตัวเองและมองแม่ของกู้ช่าน? แต่แล้วเฉินผิงอันก็เริ่มกระจ่างแจ้ง คนที่มองดูเหมือนคนซื่อสัตย์จะมีจิตใจที่คับแคบเหมือนไส้ไก่ได้ยังไง? มิน่าเล่ากุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ
เฉินผิงอันถาม “มาหาข้ามีธุระอะไร?”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนจึงพูดประโยคที่เคยเอ่ยกับเซียนกระบี่จั่วโย่วก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ
ก่อนที่จะป่าวประกาศอย่างเป็นทางการ ชายฉกรรจ์กระทืบเท้าเบาๆ ไม้พายไม้ไผ่ดีดเด้งขึ้นมา ถูกเขากุมไว้ในฝ่ามือ ใช้มันเคาะลงบนพื้นเรือหนักๆ หนึ่งที ทันใดนั้นชายฉกรรจ์ก็ใช้วิชาอภินิหารล้ำเลิศสร้างฟ้าดินขนาดเล็กสองแห่งขึ้นมาชั่วคราว อันที่เล็กกว่าสร้างให้เขากับเฉินผิงอันอยู่ใกล้กันในระยะประชิด ส่วนอันที่ใหญ่กว่าเล็กน้อยครอบทับเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นนักพรตบางคนของภูเขาห้อยหัวหรืออริยะจากทักษินาตยทวีปก็ล้วนไม่อาจตรวจสอบมาพบที่แห่งนี้ได้
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่ที่ได้รับการบันทึกชื่อของเจ้าลัทธิลู่เฉิน
ไม่ยินดีรับกระบี่จากเซียนกระบี่จั่วโย่ว เมื่ออยู่ต่อหน้ากุ้ยฮูหยินทำตัวไม่ต่างจากชายอันธพาลเสเพล ในบันทึกของใต้หล้าไพศาลถูกขนานนามว่าเป็นแค่คนพายเรือเท่านั้น แต่นั่นกลับไม่ได้หมายความว่าศักยภาพของคนผู้นี้ไม่แข็งแกร่ง มรรคกถาไม่สูงส่ง
กุ้ยฮูหยินรู้รากฐานของคนผู้นี้เลยไม่แปลกใจ ในฟ้าดินขนาดเล็กที่อยู่ข้างกาย เงาร่างของคนทั้งสองพร่าเลือน เสียงพูดคุยของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งไม่เล็ดรอดมาแม้แต่เสี้ยวเดียว
เฉินผิงอันฟังจบก็พยักหน้ารับ “ตกลง”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเอ่ยเนิบช้า “เจ้าไม่เต็มใจจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ข้ารึ? หากเจ้าตอบรับ ข้าจะขอบคุณเจ้า และถือว่าติดค้างบุญคุณเจ้าครั้งใหญ่เทียมฟ้า”
เฉินผิงอันมองชายวัยกลางคนผู้นี้แล้วถือโอกาสนั่งลงไปตรงริมท่าเทียบเรือ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แค่ดื่มเหล้าอย่างเดียวโดยที่ไม่ได้เอ่ยคำใด
มือข้างหนึ่งของชายฉกรรจ์ถือไม้พายค้ำยันพื้น แหงนหน้ามองท้องฟ้าสูงพลางพูดเบาๆ ว่า “อาจารย์ไม่เคยเห็นข้าเป็นลูกศิษย์ของเขา ในอดีตข้าเป็นแค่ข้ารับใช้ที่ช่วยพายเรือให้เขาเท่านั้น แม้ว่าทุกครั้งที่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาหลายคนที่มาท่องเที่ยวในฟ้าดินแห่งนี้จะต้องมาหาข้า แถมยังเต็มใจเรียกข้าว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่ข้ารู้ดีว่าอาจารย์รังเกียจที่ข้าโง่เขลา ความสามาถต่ำต้อยและพรสวรรค์ไม่ดีมาโดยตลอด แค่คำว่ารัก ข้าก็ยังตัดใจละทิ้งไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงพยายามตามหาร่องรอยของอาจารย์อยู่บนทะเลมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน หมายจะเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวเพื่อกราบอาจารย์อย่างเป็นทางการ แต่อาจารย์ไม่เต็มใจอยากพบข้า แต่หากวันนี้เจ้าตกลงรับปากอาจารย์ ขอแค่อาจารย์อารมณ์ดีแล้ว จะต้องยอมพบหน้าข้าแน่นอน ข้าแน่ใจ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบอย่างเกียจคร้าน “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ลูกศิษย์ที่อาจารย์ของเจ้าอยากรับตัวไว้ คือข้าในตอนนี้ ไม่ใช่ข้าหลังจากที่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว”
ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาตบศีรษะของตัวเอง ยังคงคิดไม่ตก จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “เจ้าพูดจนข้าสับสนไปหมดแล้ว ทำไมพวกลูกศิษย์ที่อาจารย์ยอมรับอย่างพวกเจ้าถึงได้ชอบพูดจาประหลาดกันนักนะ ทำไมไม่พูดให้มันตรงไปตรงมา ต่อให้เป็นเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปก็ยังพูดจาสุภาพ เวลาด่าคนอื่นก็ยังซ่อนคำพูดไว้ท่ามกลางคำชม ข้าต้องใช้เวลาร้อยกว่าปีถึงจะทำความเข้าใจได้ เพิ่งจะรู้ว่าตอนนั้นเขาด่าว่าข้าปัญญาทึบ กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่ชอบ”
จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ถอนหายใจ “คงต้องโทษข้าที่โง่เกินไป จะโทษคนอื่นว่าฉลาดเกินไปไม่ได้”
เฉินผิงอันหยุดดื่มเหล้า แล้วหัวเราะ “แล้วทำไมถึงไม่โทษโลกใบนี้ล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ยืนอยู่บนเรือลำเล็ก เด็กหนุ่มนั่งอยู่บนท่าเรือ
คนทั้งสองมองประสานสายตากันพอดี
ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อพูด “ลูกศิษย์ของเจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เจ้าจะไม่สนใจหน่อยหรือ? ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาเคยไปถึงขอบเขตก่อกำเนิด ภายหลังถอยกลับมาที่โอสถทอง…”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าคืออาจารย์เขา ไม่ใช่บิดาของเขาซะหน่อย อายุตั้งห้าร้อยปีแล้ว ยังต้องให้ข้าคอยเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้อีกหรือไง?”
เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง ยื่นนิ้วหนึ่งของมือซ้ายออกมากลางอากาศ จากนั้นก็ยื่นนิ้วของมือขวาออกมา ขยับห่างไปทางด้านขวา ระยะห่างระหว่างสองนิ้วคล้ายมีไม้บรรทัดที่มองไม่เห็นอยู่อันหนึ่ง “เหตุผลที่ข้าพูด อยู่ฝั่งนี้ เหตุผลที่เจ้าพูด อยู่ฝั่งนี้ ดูเหมือนว่าเราต่างก็มีเหตุผล แต่เหตุผลของเจ้ากลับไม่สามารถคัดค้านเหตุผลของข้าได้ รู้หรือไม่ว่าทำไม? เพราะเหตุผลของเจ้าไม่ควรขยับห่างไปไกลขนาดนี้ในคราวเดียว”
มือขวาเฉินผิงอันค่อยๆ ขยับมาทางฝั่งซ้ายมือ แตะตรงกลางหนึ่งที จากนั้นก็แตะซ้ายขวาอีกฝั่งละที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “หากเหตุผลของเจ้าอยู่ใกล้กับตรงนี้ ยืนอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะถือว่าเป็นเหตุผลที่แท้จริง อาจจะเบี่ยงไปทางซ้ายหรือทางขวานิดหน่อย แต่เมื่อเหตุผลอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องแล้ว ควรจะชั่งน้ำหนักหนักเบาและความเล็กใหญ่ของเหตุผลอย่างไร? เจ้ารู้จักสำนักแห่งศาสตร์หรือเปล่า? ไม่ใช่ศาสตร์ของศาสตร์หยินหยาง แต่เป็นศาสตร์ของการคำนวณ บวกกับสำนักอาคม มีไม้บรรทัดขนาดเล็กสองอันนี้ก็จะยิ่งมีประโยชน์…”
ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าอย่าหวังว่าจะทำลายมหามรรคาของข้าได้!”
มือที่ถือไม้พายกระแทกลงบนพื้นเรือแรงๆ อีกหนึ่งครั้ง
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส
เพราะเขาถูกอีกแล้ว
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม ไม่แสร้งทำเป็นลึกลับซับซ้อนและปั้นน้ำเป็นตัวอีกต่อไป เมื่อคืนเขาฝันว่าอ่านหนังสือทั้งคืน ความรู้สึกนั้นลี้ลับซับซ้อนอย่างยิ่ง
ดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกปั่นหัว ชายฉกรรจ์จึงมีท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย ยกมือเกาหัว แต่กลับไม่ได้ระบายโทสะใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันขยิบตา “กุ้ยฮูหยินมองอยู่นะ เจ้าปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร เจ้าคิดว่านางจะมองเจ้ายังไง? ใช่เหตุผลข้อนี้หรือไม่?”
ดูเหมือนหัวสมองของชายฉกรรจ์จะเปิดโล่งขึ้นมาในบัดดล ดวงตาเป็นประกายเจิดจ้า ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะหยิบตำราสีทองปึกหนึ่งที่เจาะรูแล้วถูกร้อยด้วยเชือกฟางอย่างง่ายๆ ออกมา “กว่าจะเก็บมาจากก้นทะเลได้ไม่ใช่เรื่องง่าย มอบให้ถังน้ำน้อย จำไว้ว่าต้องมอบให้เขาต่อหน้ากุ้ยฮูหยิน ทำได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ต้องได้แน่อยู่แล้ว! ให้ข้าช่วยพูดดีๆ แทนเจ้าก็ยังได้”
ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เจ้าเล่นงานข้าเมื่อครู่นี้ ข้าจะไม่จดลงบัญชีก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันรับตำราสีทองมาแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวังโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง จากนั้นชำเลืองมองสตรีแต่งงานแล้วที่ดูเหมือนอยู่ในระยะประชิด แต่กลับไม่ได้อยู่ในฟ้าดินเดียวกัน นางกำลังมองไปยังดวงจันทร์เหนือมหาสมุทรด้วยสีหน้าเลื่อนลอย เฉินผิงอันดึงสายตากลับ รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจึงถามเสียงเบาว่า “เจ้ามีวัยวุฒิสูงขนาดนี้ อยู่มาก็ตั้งนานหลายปี เหตุใดถึงปักใจรักแค่กุ้ยฮูหยิน? อีกอย่างทั้งๆ ที่รู้ว่าอุปสรรคบนมหามรรคาของตนก็คือคำว่ารัก เจ้ากลับยินดีที่จะให้มันเกิดขึ้น?”
ชายฉกรรจ์ถูกแทงใจดำจึงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย!”
เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าพลางก้าวเดินบนท่าเรือ เอ่ยถามว่า “พวกเราคุยกัน กุ้ยฮูหยินไม่ได้ยินใช่ไหม?”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ
แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังกดเสียงลงต่ำ “บุคลิกของกุ้ยฮูหยินดีเยี่ยม ทว่าหน้าตา…น่าจะไม่ถือว่า…โดดเด่นเท่าไหร่กระมัง? ไหนเจ้าลองเล่าเรื่องระหว่างพวกเจ้าให้ข้าฟังหน่อยสิ ตอนนั้นทำไมเจ้าถึงชอบนาง ทำไมนางถึงรังเกียจเจ้า เหตุใดทั้งๆ ที่ชอบคนคนหนึ่ง แต่กลับเดี๋ยวแยกเดี๋ยวอยู่ด้วยกัน เจ้าไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ข้าจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียน…อ้อ ไม่ถูกสิ ข้าจะพูดว่า ข้าจะช่วยวางแผนให้เจ้าเอง! เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้ารู้จักผู้หญิงหลายคน เรื่องรักใคร่ระหว่างชายหญิง ข้าเข้าใจดีเลยล่ะ!”
ชายฉกรรจ์เหลือกตาใส่ “ชอบคนคนหนึ่ง หากสามารถยกเหตุผลมากมายมาพูดได้ จะยังเรียกว่าชอบได้ยังไง พูดคุยกับคนหยาบกระด้างอย่างเจ้านี่น่าเบื่อจริงๆ ดวงตาสุนัขของถังน้ำน้อยคงมืดบอดถึงได้เต็มใจดื่มเหล้ากับเจ้า”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว
จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ยกมือขึ้นทุบอกตัวเองอย่างแรง พูดขึงขังน่าเชื่อถือ “อีกอย่างนะ สำหรับในใจของข้าแล้วกุ้ยฮูหยินคือโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง ใต้หล้านี้ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็สู้นางไม่ได้ วันหน้าเจ้าจะพูดอะไรระวังปากหน่อย หากยังกล้าพูดถึงนางไม่ดี ข้าจะใช้ไม้พายตีให้เจ้าเป็นคนโง่ไปเลย!”
แล้วชายฉกรรจ์ก็หันมาถ่มน้ำลายใส่เฉินผิงอัน “สายตาอะไรอย่างนี้ ไม่รู้จักแยกแยะว่าไหนขี้เหร่ไหนงดงาม!”
คนพายเรือวัยกลางคนใช้ไม้พายหมุนหัวเรือแล้วพายเรือจากไปเพียงลำพัง พริบตาเดียวก็พุ่งไปไกลร้อยจั้งพันจั้ง
เฉินผิงอันตบอก ตะโกนเรียกน้ากุ้ยอย่างอารมณ์ดีครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ ข้าขอตำราลับเล่มหนึ่งมาจากอาจารย์ของท่านผู้อาวุโสได้”
เฉินผิงอันไม่ลืมพูดถึงชายฉกรรจ์คนนั้นดีๆ แถมยังพูดถึงสองประโยค “เป็นบุรุษที่ใจกว้างยิ่งนัก แค่ซื่อสัตย์โผงผางไปหน่อย”
กุ้ยฮูหยินพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตาหยี “อืม แค่หน้าตาไม่ค่อยโดดเด่นสักเท่าไหร่”
เฉินผิงอันกลืนน้ำลาย หันไปมองหนึ่งคนหนึ่งเรือที่หายไปไม่เหลือเงาอย่างแข็งทื่อ ชายผู้นั้นไม่มีคุณธรรมเอาซะเลย…
กุ้ยฮูหยินตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้โกรธจริงจัง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “มองอะไร ไปกันเถอะ”
คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปบนทางภูเขา กุ้ยฮูหยินถามชวนคุยว่า “ผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็จะไปถึงที่หมายแล้ว เฉินผิงอัน เจ้ามีคนรู้จักอยู่ที่ภูเขาห้อยหัวหรือไม่? หากไม่มี ถ้าคิดจะไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะค่อนข้างยุ่งยาก ชื่อเสียงตระกูลฟ่านและเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเอาไปใช้ที่นั่นไม่ค่อยได้ผล อีกอย่างเมื่ออยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ต่อให้มีเงิน แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่สามารถจ่ายเงินจ้างผีโม่แป้งได้จริงๆ เพราะว่า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ กุ้ยฮูหยินก็หยุดชะงักไปครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจว่า “เต๋าเหล่าเอ้อร์ผู้นั้นตั้งกฎเกณฑ์ที่แปลกประหลาดเอาไว้ ผ่านมาพันปีหมื่นปีก็ไม่เคยมีใครสามารถข้ามบ่อสายฟ้านั้นไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว”
เฉินผิงอันไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ “ไม่เคยมีเลยหรือ? สักคนก็ไม่มี?”
กุ้ยฮูหยินถอนหายใจ “ในประวัติศาสตร์มีคนมากมายเคยทดลองทำมาก่อน แต่หลังจบเรื่องซากศพและจิตวิญญาณล้วนถูกเทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าบางคนโยนเข้าไปไว้ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว ในบรรดาคนเหล่านั้นแทบทุกคนล้วนเป็นพวกมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่หายากจนนับนิ้วได้ มีทั้งลูกหลานตระกูลผู้สูงศักดิ์ในเก้าทวีป ยอดฝีมือของเมธีร้อยสำนักและตระกูลเซียน…ไม่มีสักคนที่มีจุดจบที่ดี ใครก็เปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของท่านผู้นั้นไม่ได้”
ดูท่าตอนที่ท่านผู้นั้นเผยกายธรรมสีทองที่ร่องน้ำเจียวหลง แต่ร่างจริงอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัวคงร่ายใช้วิชาอภินิหารที่ตัดขาดฟ้าดินเหมือนกัน กุ้ยฮูหยินถึงได้ไม่เห็นเหตุการณ์จริงแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันอธิบายรูปลักษณ์ของคนผู้นั้นคร่าวๆ ด้วยความกังวลใจ กุ้ยฮูหยินมีสีหน้าตกตะลึง “เจ้ารู้จักเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัวท่านนี้ได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
และเวลานี้เอง สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งแหวกผ่าท้องฟ้ายามค่ำคืนเข้ามา พุ่งผ่านกลางอากาศเหนือเกาะกุ้ยฮวาไป พร้อมกับทิ้งประโยคหนึ่งไว้ “ทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาที่เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวล้วนได้รับการยกเว้นค่าเดินทาง หากมีใครคิดจะผ่านภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน”
เฉินผิงอันพลันยกมือขึ้นกำเป็นหมัด หัวเราะอย่างเบิกบานใจ “เขาชนะแล้ว!”
หนึ่งเดือนต่อมา ผู้โดยสารของเกาะกุ้ยฮวาก็สามารถมองเห็นเค้าโครงร่างอันยิ่งใหญ่ของภูเขาห้อยหัวได้ไกลๆ
อีกทั้งทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งซึ่งห่างกันไม่ไกลมากนักจะต้องมีเรือข้ามฟากรูปแบบต่างๆ เผยกายบนมหาสมุทรใหญ่
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่าน ภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งแสดงความยิ่งใหญ่ไพศาลให้เห็นเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อผ่านการอนุญาตจากกุ้ยฮูหยิน วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสาง เฉินผิงอันก็แอบออกจากเรือนเล็กกุยม่าย สุดท้ายไปนั่งอยู่บนกิ่งสูงของต้นกุ้ยบนยอดเขา แกว่งขาสองข้าง พยายามแหงนหน้าเงยมองให้ได้มากที่สุด
ได้ยินมาว่า ภูเขาห้อยหัวคือด่านที่เชื่อมโยงใต้หล้าสองแห่ง
เขาเฉินผิงอันเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว อีกทั้งยังไม่ใช่ปรมาจารย์ขอบเขตเดินทางไกลที่บินได้ จึงได้แต่เดินไปทีละก้าว หรือไม่ก็โดยสารเรือข้ามฟาก
จากต้าหลีที่อยู่ทางเหนือสุดมาจนถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปยังไกลขนาดนี้ หากเดินทางจากใต้หล้าหนึ่งไปอีกใต้หล้าหนึ่ง ฟังดูแล้วก็เหมือนจะยิ่งไกลอีกอักโข
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งไม้สูง คลี่ยิ้มพลางออกหมัดอย่างไม่จริงจังนัก ร่างจึงเอนซ้ายเอียงขวาไปเรื่อยเปื่อย
ใต้ต้นไม้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่ขึ้นมาบนยอดเขาตั้งแต่เช้าตรู่ นางถอนหายใจ พึมพำเบาๆ ว่า “ข้าก็ยังรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่โง่งมอยู่ดี”
บทที่ 269.1 บนโลกมนุษย์หมื่นเรื่องราวยิบย่อยเหมือนขนวัว
โดย
ProjectZyphon
ระหว่างฟ้าดินของภูเขาห้อยหัวมีภูเขาลูกใหญ่
ยอดเขาชี้ไปยังน้ำของทะเลใต้
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนกิ่งของต้นกุ้ยบรรพบุรุษ เหม่อมองภาพที่สะเทือนจิตใจคนภาพนี้ แม่นางหนิงเดินทางออกจากที่นี่ ก่อนจะไปท่องเที่ยวในใต้หล้าไพศาล
ได้ยินว่าทักษินาตยทวีปคือทวีปใหญ่ที่อยู่ใกล้มากที่สุด ไม่รู้ว่าวันหน้าหลิวเสี้ยนหยางจะแวะเวียนมาที่นี่บ้างหรือไม่?
ขณะที่เกาะกุ้ยฮวายังอยู่ห่างจากอาณาเขตของภูเขาห้อยหัวอีกประมาณครึ่งวัน เรือข้ามฟากที่รายล้อมอยู่รอบด้านมีลักษณะแปลกตาหลากหลาย มีทั้งเต่ายักษ์แบกศิลา มีทั้งเปลือกหอยใสแวววาวที่โผล่พ้นผิวน้ำทะเล เรือคุนที่ใหญ่ยิ่งกว่าของภูเขาต้าเจี้ยวค่อยๆ ลดระดับลงต่ำ มีทะเลเมฆหลากสี ด้านใต้ทะเลเมฆห้อมล้อมไปด้วยนกกางเขนจำนวนนับไม่ถ้วน มีนกกระเรียนเซียนและนกชิงเหนี่ยวเรียงแถวพากันลากหอสูงหลังหนึ่งมา เกาะกุ้ยฮวาที่เป็นหนึ่งในนั้นกลับดูไม่น่าตกตะลึงเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันพลันหันหน้ากลับและก้มลงมอง
เห็นหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง เรือนกายของนางอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้างามพิสุทธิ์ บนศีรษะปักปิ่นมุก สวมกระโปรงยาว รัดเข็มขัดหลากสีไว้ตรงเอว…
ทว่าจู่ๆ เฉินผิงอันกลับรู้สึกชาที่หนังศีรษะ ครั่นเนื้อครั่นตัว ความรู้สึกนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนเห็นหลิ่วชื่อเฉิงสวมชุดเต๋าสีชมพูในวัดร้างเสียอีก
เพราะเฉินผิงอันมองเห็นลูกกระเดือกของ ‘สาวงาม’ คนนั้น
ไม่ถึงกับรังเกียจ แค่ไม่คุ้นชินก็เท่านั้น
เฉินผิงอันยกมือเกาหัว จ้องมองตรงไปยังบุรุษที่ชอบแต่งกายเป็นหญิงสาวผู้นั้น แล้วอาการขนลุกในใจก็หายวับไป กลายมาเป็นความคิดคำนึง
เมื่อก่อนตอนเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร เฉินผิงอันรู้จักบุรุษคนหนึ่งที่ถูกคนหัวเราะเยาะล้อเลียนว่าเป็นกะเทย นิสัยของเขาขี้ขลาดอ่อนแอ เวลาเดินชอบส่ายเอว เวลาพูดก็ชอบชม้ายชายตา จีบไม้จีบมือ ในเตาเผามังกรของผู้เฒ่าเหยา คนผู้นี้ถูกผู้อื่นดูแคลนมากที่สุด รองเท้าใหม่ที่กว่าจะเก็บเงินซื้อมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แค่เอามาสวมก็รับรองว่าวันนั้นต้องถูกคนอื่นๆ ในเตาเผาเหยียบย่ำจนสกปรก เขาเองก็ไม่กล้าพูดอะไร แค่ยอมรับไว้เงียบๆ ตามหลักแล้วเดิมทีเขากับเฉินผิงอันที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากคนอื่นน่าจะเห็นอกเห็นใจกันถึงจะถูก แต่ที่น่าประหลาดมากก็คือ บุรุษที่ชอบร้องไห้หลั่งน้ำตา พอมาเจอเฉินผิงอันกลับมีความกล้าหาญ วันๆ ชอบพูดจาเสียดสีเฉินผิงอัน คำพูดแต่ละคำล้วนระคายหู เฉินผิงอันไม่เคยสนใจเขา มีอยู่หลายครั้งที่ชายฉกรรจ์ระงับปากตัวเองไม่อยู่ ถูกหลิวเสี้ยนหยางซึ่งเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของผู้เฒ่าเหยามาเจอเข้าโดยไม่ทันระวัง หลิวเสี้ยนหยางตบบ้องหูเขาจนร่างหมุนคว้าง เขาก็ว่าง่ายขึ้นมาทันที จากนั้นยังแอบเอาขนมกินเล่นที่ห่อด้วยกระดาษน้ำมันฝีมือประณีตยิ่งกว่าลูกจ้างในร้านขายขนมไปไว้ในห้องหลิวเสี้ยนหยาง เกรงว่าการกระทำนี้ของบุรุษคงเป็นเพราะต้องการจะขออภัยและประจบเอาใจอนาคตผู้ดูแลเตาเผามังกรอย่างหลิวเสี้ยนหยาง
กระดาษอวยพรที่ติดบนหน้าต่างของเตาเผามังกรล้วนเป็นเขาที่อดตาหลับขับตานอนตัดไปทีละแผ่นทีละแผ่น ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วในตรอกมาเห็นเข้าก็ยังละอายใจที่ฝีมือสู้ไม่ได้ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าหากบุรุษผู้นี้เป็นสตรีจริงๆ จะทำงานบ้านงานเรือนได้ดีถึงเพียงไหน?
ตอนนั้นเฉินผิงอันย่อมต้องเกลียดกะเทยที่พูดจาไม่เข้าหูอยู่แล้ว แต่เขากลัวว่าตัวเองจะยั้งมือไม่อยู่ต่อยให้อีกฝ่ายร่อแร่ใกล้ตาย เฉินผิงอันในเวลานั้นติดตามผู้เฒ่าเดินขึ้นเขาลงห้วยรอบเมืองเล็กเสียจนทั่วแล้ว เรื่องการตัดฟืนเผาถ่านก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำเป็นประจำ บวกกับที่ฝึกวิธีหายใจจากหยางเหล่าโถวทุกวัน พละกำลังของเขามีแต่จะเหนือกว่าไม่มีด้อยกว่าบุรุษวัยฉกรรจ์
สุดท้ายมีครั้งหนึ่งชายฉกรรจ์ที่เป็นกะเทยผู้นั้นรับผิดชอบเฝ้ายามตอนกลางคืนแล้วทำพลาดครั้งใหญ่ ไฟในเตาเผามังกรดับลงขณะที่เขาอยู่ยาม เขาที่ตกใจกลัวจึงเผ่นหนีไปตอนกลางดึก ค่อนข้างฉลาดเล็กน้อย เพราะเขาไม่กล้าหนีไปที่เมืองเล็ก แต่เผ่นหนีเข้าไปในป่าลึก
ความผิดนี้หากอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดต้องโดนโทษประหารเพราะถือเป็นการทำลายให้ตระกูลผู้อื่นขาดลูกหลานสืบทอด ผู้เฒ่าเหยาที่ใบหน้าเป็นสีเขียวคล้ำไม่พูดพร่ำทำเพลงก็บอกให้ชายฉกรรจ์แข็งแรงหลายสิบคนไล่ตามคนสารเลวที่สมควรโดนแทงพันครั้งผู้นั้นไป แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่คุ้นชินกับทางภูเขาเป็นอย่างดีก็อยู่ในกลุ่มคนนั้นด้วย
สองวันต่อมาชายผู้เป็นกะเทยถูกจับมัดกลับมาที่เตาเผามังกร ผู้เฒ่าเหยาตัดมือตัดเท้าของเขา โบยจนเนื้อแตกเห็นไปถึงกระดูกสีขาว
คนที่หาเขาเจอก็คือกลุ่มบุรุษที่เวลาปกติเขาเทิดทูนมากที่สุด
ไม่มีใครเห็นใจบุรุษที่ก่อหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งนี้ ต่อให้มีก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าเหยาก็ไม่เคยโมโหมากขนาดนี้มาก่อน
ก่อนจะถูกตัดมือตัดเท้า บุรุษผู้เป็นกะเทยก็ตกใจจนปัสสาวะราดกางเกงแล้ว พอถูกคนจับกดลงบนพื้น ร่างก็สั่นเทิ้มไปหมด ถูกไม้กระบองฟาดก็แผดเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด น้ำมูกน้ำตาไหลอาบหน้า พอถูกทุบรัวๆ ไม่นับ กะเทยผู้นั้นก็เหมือนปลาตัวหนึ่งที่ถูกแร่เนื้ออยู่บนเขียง กะเทยก็คือกะเทย ถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นลมหมดสติ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความกล้าหาญของบุรุษเลยแม้แต่นิดเดียว
สุดท้ายกะเทยผู้นั้นไม่ได้ถูกตีจนตาย นอนป่วยอยู่บนเตียงเกือบครึ่งปีก็ดึงดันเอารอดชีวิตมาได้
ระหว่างนี้ลูกศิษย์ในเตาเผามังกรหลายคนต่างก็ต้องผลัดกันมาดูแลเขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หลายคนไม่เต็มใจรับงานลำบากนี้ เลยมาขอให้เฉินผิงอันช่วยทำแทน เฉินผิงอันถือเป็นคนที่พูดง่ายที่สุดในเตาเผามังกร ถึงท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่กะเทยผู้นั้นไม่ชอบหน้ามากที่สุดที่มาดูแลเขาบ่อยที่สุด เพียงแต่ว่าตั้งแต่เช้าจรดเย็น คนทั้งสองต่างก็ไม่พูดคุยกัน ถึงอย่างไรต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบกัน
ทุกวันเฉินผิงอันเพียงแค่เก็บยาต้มยา กะเทยผู้นั้นบางครั้งก็เหม่อลอย เหม่อมองกระดาษหน้าต่างเก่าคร่ำคร่าที่ซีดขาวเพราะถูกลมพัดและฝนสาด บางทีอาจกำลังคิดว่าวันใดที่สามารถลงจากเตียงไปทำงานได้แล้ว ระหว่างที่ว่างจากการทำงานจะต้องไปเปลี่ยนกระดาษหน้าต่างแผ่นใหม่ให้เป็นสีแดงสดสวยงาม
ทว่ากะเทยที่เห็นได้ชัดว่ารอดพ้นจากหายนะใหญ่มาได้ ชายฉกรรจ์ที่ระหว่างนอนป่วยติดเตียงก็ยังกัดฟันเดินจากหน้าประตูผีกลับมายังโลกมนุษย์ สุดท้ายก็ยังคงตายอยู่ดี
ตายเพราะประโยคหนึ่ง
เป็นคำพูดโดยไม่ได้ตั้งใจจากช่างคนหนึ่งในเตาเผา ตอนนั้นเฉินผิงอันต้มยาอยู่ที่หน้าประตู หันหลังให้กับช่างและกะเทย ฝ่ายแรกหัวเราะหยอกเย้ากะเทยว่าวันนั้นเจ้าถูกโบยจนเสื้อผ้าขาดเห็นก้นขาวนวลเนียน เหมือนผู้หญิงจริงๆ
ตอนนั้นเฉินผิงอันไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสม
เพราะถ้อยคำที่พวกบุรุษในเตาเผามังกรด่ากะเทยผู้นี้เวลาปกติหยาบคายและรุนแรงกว่านี้ก็มี กะเทยผู้นี้แทบไม่เคยทะเลาะกับใคร เป็นเพราะไม่กล้า อย่างมากก็แค่ด่าลับหลัง ประมาณว่า ‘กล้าด่าข้า เชื่อหรือไม่ว่าสุสานบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้าระเบิดแน่’
ผลกลับกลายเป็นว่าแค่ประโยคที่ไม่เจ็บไม่คันนี้ วันนั้นกะเทยที่ลุกขึ้นนั่งได้ด้วยตัวเองแล้วกลับชวนเฉินผิงอันคุยอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นเขาพูด เฉินผิงอันที่นิสัยเหมือนน้ำเต้าตันรับฟังอย่างอดทน พอพูดถึงกระดาษหน้าต่าง เฉินผิงอันก็ชมจากใจจริงว่าเขาตัดกระดาษได้สวยมาก เขาหัวเราะ
แล้วคืนนั้นกะเทยที่ใจเล็กยิ่งกว่าเข็มกลับใช้กรรไกรแทงเข้าไปที่ลูกกระเดือกของตัวเอง ยังไม่ลืมใช้ผ้าห่มคลุมร่างตัวเองเอาไว้ ไม่ให้คนที่เข้าห้องมาเห็นสภาพการตายของเขาในทันที
ถึงขั้นไม่มีใครกล้ายกศพของเขาออกมา เพราะน่าสยดสยองและเป็นอัปมงคลเกินไป
ยังดีที่เฉินผิงอันเห็นความเป็นตายของคนข้างกายมาจนเคยชินแล้ว สำหรับเรื่องพวกนี้เขาจึงไม่ได้พิถีพิถันมากนัก ล้วนเป็นเขาที่ลากเอาหลิวเสี้ยนหยางมาช่วยงาน ยุ่งจนหัวหมุน ระหว่างนั้นไม่มีทั้งความเสียใจหรือความปลงอนิจจังอะไรมากมายนัก มีเพียงตอนที่เฝ้าอยู่ในห้องโถงวิญญาณ เฉินผิงอันนั่งอยู่ในห้องตั้งโลงศพที่ว่างโล่งและวังเวงเพียงลำพัง เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยสักนิด นั่งพึมพำอยู่ข้างเตาไฟว่า “ในเมื่อชาตินี้ไม่ชอบเป็นผู้ชาย ถ้าอย่างนั้นชาติหน้าก็ไปเกิดเป็นผู้หญิงเถอะ”
อันที่จริงตอนที่คุยกันวันนั้น กะเทยถามเฉินผิงอันว่า ทำไมทั้งๆ ที่เป็นคนแรกที่พบตัวเขา ถึงได้ปล่อยเขาไป แถมยังชี้บอกทางเส้นเล็กที่เข้าไปลึกในภูเขาให้กับเขา
เฉินผิงอันบอกว่า ข้ากลัวเจ้าถูกจับกลับไปแล้วจะโดนผู้เฒ่าเหยาตีตาย ถึงเวลานั้นคนอย่างเจ้าที่ใจกล้าเท่าเมล็ดงา พอกลายเป็นผีอาฆาตแล้ว คงไม่กล้าไปแก้แค้นใคร ก็มีแต่ข้าที่เจ้าจะกล้ามาแก้แค้น
ตอนนั้นกะเทยหนุ่มหัวเราะอย่างเบิกบานมากเป็นพิเศษ
อันที่จริงต่อให้เป็นตอนนี้ที่เฉินผิงอันย้อนนึกถึง ก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าตอนนั้นที่กะเทยหัวเราะ ดูแล้วขี้เหร่มาก
แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ
‘หญิงสาว’ หน้าตางดงามที่ยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยโมโหจนไฟโทสะพุ่งสูงสามจั้งแล้ว ถูกชายผู้หนึ่งจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้ หากไม่เป็นเพราะนาง หรือพูดให้ถูกคือเขาเกรงว่าจะทำให้ต้นกุ้ยเสียหาย สร้างความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น เขาคงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มนั้นออกมาแล้วรุมแทงเจ้าคนที่มีตาสุนัขผู้นี้ให้ตายไปนานแล้ว
หลังจากคืนสติ เฉินผิงอันก็ตระหนักได้ว่าตัวเองบุ่มบ่ามไร้มารยาทเกินไป จึงยกมือกุมประสาน กล่าวขออภัย “ขอโทษด้วย ข้าใจลอยไปหน่อย”
คนผู้นั้นหรี่ดวงตาที่เหมือนกับดอกท้อซึ่งเบ่งบานท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิลง ประกบนิ้วสองนิ้วทิ่มมาที่เฉินผิงอัน จากนั้นงอนิ้วน้อยๆ แสดงถึงความหมายของการท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง
เฉินผิงอันไม่แค่หันหน้ามาอีกต่อไป แต่หันกลับมาทั้งตัว ตบไปยังตำแหน่งว่างบนกิ่งไม้สูงข้างกายของตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “แทนคำขอโทษ ข้าสามารถเป็นตัวแทนกุ้ยฮูหยินอนุญาตให้เจ้ามาชมทิวทัศน์ของภูเขาห้อยหัวตรงนี้ได้”
เขาเอาสองมือไพล่หลัง เชิดดวงหน้าที่งามดั่งบุปผาแรกแย้มขึ้น ยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าชอบผู้ชายรึ? หรือว่าขอแค่หน้าตาดี จะหญิงหรือชายก็ไม่เกี่ยง?”
เฉินผิงอันรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันที ส่ายหน้าอย่างแรงแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาชอบแค่ผู้หญิง
อีกทั้งยังชอบผู้หญิงแค่คนเดียว
ใกล้กับมือทั้งคู่ที่ไพล่หลังของชายที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ปรากฏปราณกระบี่สองกลุ่มหนึ่งทองหนึ่งขาว เล็กบางมากจนแทบจะมองไม่เห็น
เห็นได้ชัดว่าหากพูดจาไม่เข้าหู เขาจะใช้กระบี่บินสังหารคนทันที
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “พูดไปแล้วเจ้าอาจจะโมโหมากกว่าเดิม แต่เจ้าแต่งกายแบบนี้ สวยมากจริงๆ”
เฉินผิงอันใช้สองมือวางค้ำไว้บนกิ่งไม้ ดวงตาใสกระจ่าง “เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของข้า”
คนผู้นั้นที่ตัวเป็นชายแต่แต่งกายเป็นหญิงขมวดคิ้ว
เขาจากไปเงียบๆ ไม่ได้ไปจากยอดเขา แต่ไปยืนอยู่ใกล้กับราวรั้วบนหอชมวิว ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ตะโกนใส่แผ่นหลังของเขาว่า “ข้าไปแล้วนะ หากเจ้าอยากไปชมวิวบนต้นไม้ ทางที่ดีที่สุดควรฉวยโอกาสตอนนี้ที่คนยังน้อย ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮูหยินคงไม่สบอารมณ์เป็นแน่”
คนผู้นั้นไม่สะทกสะท้าน
รอจนเฉินผิงอันเดินไปไกลแล้ว เขาถึงหันกลับมามองต้นกุ้ย สองจิตสองใจอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขึ้นไปชมทัศนียภาพของภูเขาห้อยหัวในตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม
ส่วนปราณกระบี่สองเส้นนั้นได้ถูกเขาเก็บเข้าไปในเข็มขัดหลากสีตรงเอวนานแล้ว
อันที่จริงพวกมันไม่ใช่ปราณกระบี่ แต่เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มที่ระดับขั้นสูงมาก แค่รูปร่างไม่สะดุดตาก็เท่านั้น แบ่งออกเป็นชื่อเจินเจียน (ปลายเข็ม) และม่ายหมาง (แสงบนรวงข้าว)
เกิดมาก็มีแล้ว
คือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด
หากในชีวิตมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มก็เท่ากับว่า ไม่มีสักหนึ่งในหมื่น (เปรียบเปรยว่าหาได้ยาก) ของบรรดาผู้ฝึกกระบี่ ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่คำว่าหนึ่ง แต่อยู่ที่คำว่าไม่มี
ประเด็นสำคัญคือระดับขั้นของกระบี่ยังดีเยี่ยมจนน่าตกใจ ดังนั้นอาจารย์ของเขาจึงบอกว่าเขาคือผู้ที่มีคุณสมบัติจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน หาไม่แล้วก็ไม่มีทางรับเขาเป็นลูกศิษย์
แต่ต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะเลื่อนสู่ขั้นขอบเขตหยกดิบได้นั้น อาจารย์ไม่ได้บอก เขาเองก็ไม่ได้ถาม เพราะเขาไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาหลงใหลในศาสตร์ของการอนุมานบนมหามรรคามากกว่า น่าเสียดายก็แต่อาจารย์บอกว่าเขาคงเดินไปบนทางเส้นนี้ได้ไม่ไกลนัก ไม่สามารถสืบทอดวิชาของอาจารย์ได้ ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคน รวมไปถึงตัวอาจารย์เองต่างก็ยุยงให้เขาฝึกวิชากระบี่ อันที่จริงเขารู้ว่าพวกเขาไม่ได้คาดหวังให้ตนเดินขึ้นไปบนยอดสูงสุดของวิถีกระบี่ ครอบครองตำแหน่งใหญ่อันดับหนึ่งจริงๆ แต่เป็นเพราะมีเจตนาร้าย อยากจะเห็นเรื่องตลกของตนก็เท่านั้น
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก
เขากลัวความสูง
ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่กลัวความสูง มันเข้าท่าแล้วหรือ
ตอนนี้บางครั้งที่เขาควบคุมกระบี่บิน ทะยานลมเดินทางท่องเที่ยวไปไกลก็ไม่เคยบินสูงจากพื้นเกินสองจั้ง
เขาชำเลืองตามองกิ่งสูงที่เจ้าหมอนั่นนั่งก่อนหน้านี้แล้วให้รู้สึกว่าอันที่จริงตัวเองก็โง่งมเหมือนกัน
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น