ยอดหญิงสกุลเสิ่น 267.1-268.1

ตอนที่ 267-1 พายุปกคลุมนครหลวง

 

ประกาศผลการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูของเซี่ยหมิงผู่ถูกส่งกลับมานานแล้ว เขาเองก็สอบได้เจี้ยหยวนอันดับหนึ่งของท้องถิ่นเช่นกัน เพียงแต่คนยังต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงในท้องที่ ยังไม่มา คาดว่าก่อนปีใหม่น่าจะมาถึงเมืองหลวง


 


 


เสิ่นเวยได้รับข่าวแล้วก็กำลังคิด เซี่ยหมิงผู่กับเว่ยจิ่นอวี้ที่เป็นเจี้ยหยวนเหมือนกันการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูปีหน้าผู้ใดจะเป็นที่หนึ่ง นางหวังให้เป็นเซี่ยหมิงผู่ แม้ว่าเว่ยจิ่นอวี้จะเป็นน้องเขยนาง แต่ส่วนลึกภายในใจนางกลับไม่ชอบหมอนี่แม้แต่นิดเดียว


 


 


ฝั่งเสิ่นเวยสร้างมิตรภาพกับเซี่ยเฟยแล้ว ฝั่งนายท่านผู้เฒ่าโหวปู่นางก็ถูกลอบสังหาร อ้อไม่ อันที่จริงต้องบอกว่าฮ่องเต้ยงเซวียนถูกลอบสังหาร ส่วนราชครูเสิ่นนายท่าผู้เฒ่าเสิ่นโหวที่เป็นผู้ติดตามจึงรับหน้าแทนเขา


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนถูกลอบสังหาร นี่คือเรื่องใหญ่ที่สั่นสะเทือนฝ่ายราชสำนักและประชาชนมากเพียงใด ไม่ถึงครึ่งชั่วยามทั่วทั้งเมืองหลวงก็ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว สวีโย่วผู้ที่เบื้องหน้าเป็นผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครเบื้องลับเป็นหัวหน้าสายลับก็รีบไปคุ้มกันพระองค์ข้างกายฮ่องเต้ยงเซวียนในทันที


 


 


เพราะว่าสถานที่ที่ถูกลอบสังหารห่างจากพระราชวังไม่ไกล ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง จึงพานายท่านผู้เฒ่าเสิ่นโหวที่ได้รับบาดเจ็บเข้าพระราชวังไปพร้อมกัน แม้ว่าเสิ่นเวยจะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของท่านปู่นางเพียงใดก็ต้องอดทนรอ ช่วงเวลาคับขันเช่นนี้นางไม่อาจบุกเข้าพระราชวังได้กระมัง อย่าว่าแต่พระราชวัง ทุกหนทุกแห่งบนถนนข้างนอกล้วนเต็มไปด้วยทหารองครักษ์ลาดตระเวน ทุกคนต่างก็เก็บตัวอยู่ในจวน ใครจะกล้าโผล่หน้าออกมา


 


 


ทั้งคืนสวีโย่วไม่ได้กลับมา แม้แต่ข่าวก็ไม่ได้ส่งมา เสิ่นเวยแทบจะไม่ได้หลับทั้งคืน หัวใจจมดิ่งลงเรื่อยๆ


 


 


สวีโย่วรู้ถึงความผูกพันของนางกับท่านปู่ เขาไม่อาจลืมส่งข่าวมาให้นางได้ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นก็แปลว่าเขาแยกร่างไม่ได้ สถานการณ์ใดที่สามารถทำให้เขาลืมสนใจแม้แต่การส่งข่าว ฝ่าบาทแย่แล้ว หรือว่าปู่ของนางบาดเจ็บสาหัสเกินไป ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ใด เสิ่นเวยก็ไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมาทั้งสิ้น


 


 


หากฮ่องเต้ยงเซวียนแย่ ไท่จื่อก็สามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างง่ายดายหรือ พรรคพวกองค์ชายรองกับท่านเสนาบดีฉินจะปล่อยโอกาสดีที่พันปียากจะพบนี้ไปได้หรือ ไม่ พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยแน่! ถึงตอนนั้นเมืองหลวงจะต้องนองเลือด!


 


 


เสิ่นเวยคิดแล้วก็อกสั่นขวัญหาย โดยเฉพาะสวีโย่วที่ยังอยู่ในวัง หากองค์ชายรองจะยึดอำนาจ คนที่รับมือคนแรกก็คือสวีโย่วที่คุ้มกันอยู่ข้างกายฮ่องเต้ยงเซวียน! ต่อให้เขาจะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศแต่จะสู้กองทหารพันหมื่นได้หรือไร แม้จะโชคดีหนีเอาตัวรอดได้ ขอเพียงแค่ผู้ที่ขึ้นครองบัลลังก์เป็นองค์ชายรอง เขาก็จะเป็นขุนนางกบฏอย่างแท้จริง! ชั่วชีวิตหลบหนีไปทั่ว ชีวิตเช่นนั้นนางยอมตายอย่างเกริกก้องยังดีกว่า อีกทั้งข้างหลังนางยังกระทบไปถึงครอบครัวใหญ่


 


 


หากท่านปู่แย่แล้ว แม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าไรนัก หากท่านปู่มีอันเป็นไป จวนจงอู่โหวใครจะแบกธงใหญ่ได้ ต่อให้มีบุณคุณช่วยชีวิตพระองค์ของท่านปู่ ฝ่าบาทดูแลมากขึ้น แต่จะดูแลไปได้อีกกี่ปี


 


 


เสิ่นเวยว้าวุ่นใจ ถือโอกาสเรียกอาจารย์ซูกับโอวหยางไน่เข้ามาปรึกษา


 


 


อาจารย์ซูท่าทางเคร่งขรึมมากเป็นพิเศษ “จวิ้นจู่ พวกเราต้องวางแผนไว้สองทางแต่เนิ่นๆ” สิ่งที่เขารู้ก็มีไม่มาก แต่จากข่าวที่ไม่มากนี้เขาเองก็สัมผัสได้แล้วว่าบรรยากาศที่ปกคลุมอยู่บนท้องฟ้าเมืองหลวงไม่เหมือนเดิม


 


 


เสิ่นเวยเข้าใจความหมายของอาจารย์ซูทันที พยักหน้ากล่าว “ก็ใช่ กันไว้ดีกว่าแก้” จากนั้นจึงหันหน้าสั่งโอวหยางไน่ “เพิ่มการเตรียมป้องกันลาดตระเวนภายในจวนให้เข้มงวด ทหารคุ้มกันจวนกับกองทหารเด็กทั้งหมดสับเปลี่ยนเวรพักผ่อน ทั้งหมดเข้าสู่สถานะพร้อมรบขึ้นสูงสุด”


 


 


คิดครู่หนึ่งจึงกล่าวอีกหนึ่งประโยค “สั่งคนไปดูที่จวนจงอู่โหว เตือนให้ท่านลุงใหญ่ดูแลประตูให้ดี”


 


 


อาจารย์ซูมองเสิ่นเวย กล่าวปลอบ “ไม่มีข่าวก็คือข่าวที่ดีที่สุดแล้ว จวิ้นจู่เองก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไปนัก ไปพักสักครู่เถิด ในจวนผู้ชราจะดูแลแทนท่านเอง”


 


 


“เช่นนั้นก็ลำบากอาจารย์ซูแล้ว” เสิ่นเวยตอบรับอย่างตรงไปตรงมา นางต้องดูแลกำลังวังชาให้เพียงพอเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่อาจรู้ในวันพรุ่งนี้


 


 


ตอนนี้ภายในพระตำหนักใหญ่ที่ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงจัดการกิจธุระจุดไฟสว่างไสว เขาเม้มปากแน่นยืนอยู่ หลังตรงเป็นแนว มีความเคร่งขรึมราวกับเขาสูงริมเหวชนิดหนึ่ง ขันทีใหญ่จางเฉวียนโค้งตัวยืนอยู่ข้างๆ ในใจก็เต้นรัวเช่นกัน


 


 


ให้ตายเถอะ นี่คือการลอบสังการ! การลอบสังหารที่ใช้ดาบจริงหอกจริง! ฝ่าบาทเองก็เกิดความคิดจะไปเยี่ยมดูบ้านเมืองได้ทุกเมื่อ เหตุใดข่าวถึงรั่วไหลออกไปได้ หากไม่มีราชครูเสิ่นสละชีพกันไว้เช่นนั้น กระบี่เล่มนั้นก็คงจะแทงเข้าสู่ขั้วหัวใจของฝ่าบาทแล้ว หากฝ่าบาทมีอันเป็นไป เขาที่เป็นคนข้างกายฝ่าบาทจะตายดีได้อย่างไร เมื่อคิดถึงจุดนี้ ในใจจางเฉวียนก็ซาบซึ้งราชครูเสิ่นอย่างถึงที่สุด


 


 


นอกตำหนักมีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ฮ่องเต้ยงเซวียนที่ยืนหันหลังก็หันกลับมาทันที เพ่งมองสวีโย่วที่ก้าวเท้าเดินเข้ามา


 


 


“ฝ่าบาท ขันทีน้อยหน้าพระพักตร์หายไปผู้หนึ่ง นามว่าจางอิง” สวีโย่วกล่าวรายงาน หากมองดูให้ดียังสามารถสังเกตเห็นได้ว่าชายเสื้อมุมหนึ่งของเขาเปื้อนคราบเลือดสีแดงคล้ำอยู่


 


 


ความเย็นเยียบหนึ่งสายแวบผ่านดวงตาฮ่องเต้ยงเซวียน เขาโกรธอย่างถึงที่สุดแต่กลับยิ้ม “ดี ดี ดี ยื่นมือมาถึงข้างกายเราแล้ว สืบ เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ เรากลับอยากดูว่าใครกันที่คิดจะเอาชีวิตเรา!”


 


 


“น้อมรับพระราชโองการ!” สวีโย่วตอบรับเสียงเย็นเยียบ จากนั้นจึงออกไปอย่างรวดเร็ว


 


 


เขาเพิ่งจะกุมกองปัญจทิศรักษานคร คนข้างในย่อมไม่กล้าใช้ ทหารมังกร นั่นคือมรดกที่เสด็จปู่ทิ้งไว้รักษาชีวิตเขา ย่อมไม่อาจใช้ได้ ที่เขาใช้ได้ก็มีเพียงทหารเงา นอกพระตำหนักเจาเต๋อทหารรักษาพระองค์และทหารเงาคุ้มกันทั้งในที่ลับและที่แจ้ง คุ้มกันพระตำหนักใหญ่ทั้งหลังไม่ให้แม้แต่ลมเข้าได้


 


 


“ผิงจวิ้นอ๋อง เสด็จพ่อไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ราชครูเสิ่นเป็นอย่างไรบ้าง” เมื่อสวีโย่วออกมาจากพระตำหนักเจาเต๋อก็เห็นไท่จื่อและองค์ชายหลายพระองค์ที่เฝ้าอยู่ข้างนอก บนใบหน้าแต่ละคนมีสีหน้ากังวล


 


 


สวีโย่วทำความเคาพ กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ฝ่าบาทไม่เป็นไร ไท่จื่อและองค์ชายทุกท่านกลับไปเถิด”


 


 


เห็นคนหลายคนถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน ไท่จื่อส่ายหน้ากล่าว “กลับไปก็ยังไม่วางใจ ไม่สู้เฝ้าอยู่นอกตำหนักนี้ เช่นนี้จึงจะได้อยู่ใกล้เสด็จพ่อหน่อย”


 


 


เพราะว่าฮ่องเต้ยงเซวียนมีพระราชโองการ ไม่ว่าใครก็ตามที่ไม่ผ่านพระราชโองการให้เข้าเฝ้าก็ห้ามก้าวเข้ามาในพระตำหนักเจาเต๋อแม้แต่ครึ่งก้าว ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาองค์ชายเหล่านี้อยากจะรู้สถานการณ์ของฮ่องเต้ยงเซวียน ก็ไม่กล้าบุกเข้าไป ไท่จื่ออิจฉาริษยาผิงจวิ้นอ๋องที่สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระยิ่งนัก


 


 


องค์ชายรองเองก็กล่าว “ไท่จื่อพูดถูก พวกเรารออยู่ข้างนอกคุ้มกันเสด็จพ่อ สบายใจกว่าเล็กน้อย”


 


 


ไท่จื่อกับองค์ชายรองต่างก็พูดเช่นนี้ องค์ชายสามและองค์ชายที่อายุน้อยคนอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้รับความสำคัญย่อมไม่ควรกลับไป ส่วนองค์ชายใหญ่ สายข่าวของเขาช้าเกินไป กว่าเขาจะทราบข่าว พระราชวังกระทั่งเมืองหลวงทั้งเมืองก็ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว


 


 


สวีโย่วตีหน้าตาย “กระหม่อมยังมีงาน ไม่รบกวนไท่จื่อและองค์ชายทั้งหลายแล้ว” ประสานมือคารวะนำคนจากไป


 


 


มีองค์ชายอายุน้อยผู้นั้นจ้องมองแผ่นหลังที่เดินออกไปไกลของสวีโย่วแล้วกล่าวเสียงเบา “ผิงจวิ้นอ๋องน่าเกรงขามยิ่งนัก” ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิจฉา ไท่จื่อกับองค์ชายรององค์ชายสามที่อายุมากกว่าก็คล้ายคิดใคร่ครวญ ก้มหน้าหลุบตาพร้อมกัน


 


 


จางเฉวียนในพระตำหนักเจาเต๋อได้ยินผิงจวิ้นอ๋องบอกว่าขันทีน้อยหน้าพระพักตร์จางอิงหายตัวไป ขาก็อ่อนลงทันที คุกเข่าลงเสียงดังตุบ “ฝ่าบาท บ่าวผิดไปแล้ว” ขันทีหน้าพระพักตร์ล้วนแต่เป็นคนที่เขาดูแล อีกทั้งขันทีน้อยนามว่าจางอิงผู้นี้ยังเป็นคนที่เขาเลือกไปอยู่หน้าพระพักตร์เองกับมือ ใครจะรู้ว่าเขาเป็นถึงไส้ศึก โทษที่ไม่รู้จักคนดูแลไม่ดีเขาหนีไม่พ้นแน่นอน


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนโบกพระหัตถ์ กลับไม่ได้บัลดาลโทสะ “ลุกขึ้นเถิด! กลับไปเจ้าก็ตรวจสอบคนที่อยู่ข้างกายเราอีกรอบ” ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ชอบขันทีน้อยจางอิงที่ปราดเปรียวเอาใจเก่งผู้นั้นเช่นกันหรอกหรือ


 


 


“พะยะค่ะ บ่าวน้อมรับพระราชโองการ” จางเฉวียนซาบซึ้งจนน้ำตาไหลลงมา เขาปาดน้ำตาตรงหางตา ตัดสินใจเงียบๆ ว่าจะต้องตรวจสอบขันทีหน้าพระพักตร์รวมถึงศิษย์ของเขาอย่างละเอียด จักต้องรับรองได้ว่าข้างกายฝ่าบาทขาวสะอาดและปลอดภัย


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนพยักหน้า ถาม “อาการบาดเจ็บของราชครูเป็นอย่างไรบ้าง ฟื้นแล้วหรือยัง” ตอนนั้นเสิ่นผิงยวนเลือดไหลมาก สถานการณ์คับขัน เขาจึงพาเสิ่นผิงยวนเข้าวัง จัดเตรียมให้อยู่ที่ตำหนักข้าง


 


 


จางเฉวียนกล่าว “ก่อนหน้านี้บ่าวไปดูแล้วรอบหนึ่ง ใต้เท้าย่วนพั่นกำลังนำคนมาวินิจฉัยโรคและล้างพิษ บอกว่าบนกระบี่เล่มนั้นชุบยาพิษ แต่ราชครูเสิ่นกลับยังไม่ฟื้น”


 


 


“ตอนนี้เจ้าไปดูอีก บอกเจี่ยงย่วนพั่นว่า จักต้องรักษาชีวิตของราชครูให้ได้ ต้องการยาอะไรไม่ต้องกลับมารายงานเรา ไปเอาที่ท้องพระคลังได้เลย” ฮ่องเต้ยงเซวียนตรัสสั่ง เขานึกถึงการลอบสังหารก่อนหน้านี้ในใจก็ยังคงหวาดกลัว ตอนที่กระบี่ล้ำค่าที่แหลมคมสองเล่มพุ่งเข้ามาจะทำร้ายเขา เขาก็คิดว่าชีวิตของตนจะดับสิ้นแล้วจริงๆ


 


 


เป็นเสิ่นผิงยวนข้างกายเขาที่ตอบสนองไว เท้าถีบมือสังหารผู้หนึ่ง จากนั้นจึงผลักเขา ชั่วพริบตาก็หลบกระบี่ล้ำค่าหนึ่งเล่มไปแต่กลับหลบไม่พ้นอีกหนึ่งเล่ม เสิ่นผิงยวนใช้ร่างบังไว้ข้างหน้าเขาอย่างไม่มีแม้แต่ความลังเล ตะโกนเสียงดัง “มีมือสังหาร รีบปกป้องพระองค์!”


 


 


เสิ่นผิงยวนได้รับบาดเจ็บเจียนตายจากมือสังหารที่พยายามจะทำร้ายเขาสองคน ตั้งแต่ต้นจนจบคุมกันอยู่ข้างหลังเขาอย่างแน่นหนา เมื่อทหารรักษาพระองค์ทหารคุ้มกันวิ่งเข้ามาปกป้องพระองค์แล้ว โลหิตตรงหน้าอกของเสิ่นผิงยวนก็เปื้อนเสื้อผ้าจนเป็นสีแดง ระหว่างทางกลับวังเขาก็หมดสติไป


 


 


เมื่อนึกถึงเสิ่นผิงยวนที่นอนไม่รู้เป็นตายร้ายดีอยู่ในตำหนักข้าง มือข้างลำตัวของฮ่องเต้ยงเซวียนก็กำแน่นทันที วันนี้หากไม่มีราชครู หรือว่าราชครูไม่มีความสามารถที่กล้าหาญ เช่นนั้นตอนนี้คนที่นอนหมดสติไม่ฟื้นอยู่บนเตียงตอนนี้คงจะเป็นเขา


 


 


จางเฉวียนขานรับหนึ่งคราจากนั้นก็ไปยังตำหนักข้าง “เจี่ยงย่วนพั่น ใต้เท้าราชครูดีขึ้นแล้วหรือยัง ฝ่าบาททรงห่วงพระทัย” เขามองราชครูเสิ่นที่หน้าขาวซีดนอนอยู่บนเตียง ในใจก็เป็นกังวลอย่างถึงที่สุด


 


 


เจี่ยงพั่นย่วนกำลังจับชีพจรให้ราชครูเสิ่นอยู่ ได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นกล่าว “บนกระบี่นี้ชุดพิษงูหายากชนิดหนึ่งทางตอนใต้ โชคดีที่ท้องพระคลังยังเก็บบัวหิมะเขาเทียนซานไว้หลายดอก ใช้ยาชั้นยอดอีกหลายตัวกลับช่วยถอนพิษได้แล้ว เพียงแต่ใต้เท้าราชครูอายุมากแล้ว บาดแผลก็ลึกอย่างยิ่ง บวกกับเสียเลือดไปมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทนผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่” บนใบหน้าเขามีความเป็นกังวล


 


 


ใต้เท้าราชครูช่วยชีวิตฝ่าบาทมีคุณูปการ หากช่วยชีวิตเขากลับมาไม่ได้ ฝ่าบาทบัลดาลโทสะขึ้นมา เช่นนั้นสำนักหมอหลวงทั้งสำนักก็ต้องถูกฝังลงไปพร้อมกันทั้งหมด! มิหนำซ้ำยังอาจจะลามไปถึงภรรยาและลูกในตระกูลอีกด้วย เพราะเหตุนี้เจี่ยงย่วนพั่นและหมอหลวงคนอื่นๆ จึงใส่ใจอาการบาดเจ็บของใต้เท้าราชครูเป็นอย่างยิ่ง


 


 


จางเฉวียนพยักหน้าเบาๆ “ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเจี่ยงย่วนพั่นจะต้องรักษาชีวิตของใต้เท้าราชครูให้ได้ ฝ่าบาท…” เขาชี้ไปยังทิศทางพระตำหนักใหญ่เล็กน้อย


 


 


คำพูดที่ไม่ได้พูดมีความหมายว่าอย่างไร ในใจเจี่ยงย่วนพั่นเข้าใจดีอย่างถึงที่สุด “หวังว่ากงกงจะกลับไปรายงานฝ่าบาท พวกกระหม่อมจะต้องทุ่มเททั้งกายและใจ” เพื่อชีวิตของครอบครัวตนเองเขาก็ต้องทุ่มเทเช่นกัน!

 

 

 


ตอนที่ 267-2 พายุปกคลุมนครหลวง

 

ตอนที่ฟ้าใกล้สาง สวีโย่วเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท พบจางอิงแล้ว เขาตายแล้ว ศพถูกโยนไว้ในบ่อน้ำแห้ง กระหม่อมตรวจสอบคนในตระกูลข้างนอกของเขาแล้ว หลายวันก่อนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว”


 


 


“ดูท่าแล้วเรื่องนี้วางแผนมาดี” เสียงของฮ่องเต้ยงเซวียนสงบนิ่งอย่างถึงที่สุด มิน่าเล่าเมื่อวานตอนที่จางอิงปรนนิบัติก็เอ่ยถึงจวี่จื่อในการสอบข้าราชการปีนี้ นี่เป็นการโน้มน้าวให้ตนเกิดความคิดออกจากวัง


 


 


“สืบต่อ สืบหาว่าจางอิงผู้นี้เข้าวังมาได้อย่างไร ปกติสนิทกับผู้ใดในวัง เราไม่เชื่อว่าจะสืบไม่ได้เบาะแสแม้แต่นิดเดียว” เสียงที่เข้มงวดของฮ่องเต้ยงเซวียนดังขึ้นอีกครั้ง


 


 


“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ” อันที่จริงฮ่องเต้ยงเซวียนเพียงแค่สั่งให้เป็นพิธีก็เท่านั้น ต่อให้เขาไม่พูด สวีโย่วก็ต้องสืบหาอยู่ดี


 


 


“ฝ่าบาท ไท่จื่อกับองค์ชายหลายพระองค์ต่างก็รออยู่นอกพระตำหนัก” สวีโย่วที่เดิมหมุนตัวกำลังจะไปพลันกล่าวขึ้น


 


 


ในดวงตาที่สงบนิ่งไร้คลื่นของฮ่องเต้ยงเซวียนมองไม่เห็นความสั่นไหวใดๆ “ให้พวกเขากลับไปให้หมด สงบจิตใจอยู่ในห้องบรรทมของตนเอง อย่าได้มารบกวน” ใครจะรู้ว่ามือสังหารครั้งนี้เป็นฝีมือของเด็กไม่กี่คนนั้นหรือไม่


 


 


สวีโย่วขานรับหนึ่งคราแล้วจึงเดินไปข้างนอกต่อ ออกจากพระตำหนักเจาเต๋อแล้วก็ถ่ายทอดพระราชดำรัสของฮ่องเต้ยงเซวียน แม้ไท่จื่อและคนอื่นๆ จะผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็จากไปอย่างเชื่อฟัง


 


 


มองท้องนภาที่เริ่มมีแสงสีขาวทางทิศตะวันออก สวีโย่วจึงนึกถึงปู่เวยเวยของเขาในตำหนักข้าง หนึ่งคืนไม่ได้กลับ ซ้ำยังไม่มีข่าวแม้แต่นิดเดียว เวยเวยอยู่ในจวนคงจะต้องรอจนร้อนใจแล้วกระมัง ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ ก็หมุนตัวเดินไปยังตำหนักข้างอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย


 


 


เสิ่นเวยที่ทนทรมานมาทั้งคืนกว่าจะงีบลงได้พักหนึ่ง ไม่รู้ว่างีบไปนานเท่าไร ลืมตาขึ้นอย่างรดวเร็วลุกพรวดขึ้นมาจากเตียง “กี่ยามแล้ว”


 


 


“ทูลจวิ้นจู่ เพิ่งจะยามเหม่าเจ้าค่ะ” หลีฮวารีบเดินเข้ามา “จวิ้นจู่ ยังเช้าอยู่ ท่านงีบต่ออีกสักพักดีหรือไม่” เห็นเส้นเลือดในดวงตาของเสิ่นเวย หลีฮวาก็กล่าวด้วยความสงสารนางอย่างถึงที่สุด คำนวณแล้วจวิ้นจู่เพิ่งจะนอนไปได้ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม


 


 


เสิ่นเวยใช้มือลูบใบหน้าเล็กน้อย ลงจากเตียงทันที “ไม่นอนแล้ว” หยุดครู่หนึ่งจึงถามต่อ “เมื่อวานในจวนเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่”


 


 


หลีฮวาพลางก้าวขึ้นมาเปลี่ยนชุดให้เสิ่นเวย พลางส่ายหน้ากล่าว “ไม่มีเจ้าค่ะ มีอาจารย์ซูนั่งบัญชาการ ในจวนทุกอย่างล้วนเป็นปกติดี”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่อ


 


 


ในขณะนี้เองในที่สุดข่าวของสวีโย่วก็ถูกส่งกลับมาแล้ว ผู้ที่กลับมาคือเจียงไป๋ เขากล่าวเสียงเบา “จวิ้นจู่ นายท่านไม่เป็นอะไร ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร อาการบาดเจ็บของราชครูเสิ่นสาหัสเล็กน้อย เมื่อวานทั้งคืนยังไม่ฟื้น ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ฟื้นแล้วหรือยัง นายท่านให้ท่านสงบจิตใจอยู่ในจวน เขาจะดูแลใต้เท้าราชครูเอง” พูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านี้ก็รีบออกไปแล้ว


 


 


จิตใจที่เป็นกังวลมาโดยตลอดของเสิ่นเวยนับได้ว่าวางลงครึ่งหนึ่งแล้ว ขอเพียงแค่ฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นอะไร เช่นนั้นราชสำนักก็ไม่อาจสั่นคลอน ราชสำนักมั่นคง เช่นนั้นในเมืองหลวงกระทั่งใต้หล้าทั้งหมดก็มั่นคงด้วยเช่นกัน


 


 


แต่เมื่อนึกถึงเจียงไป๋ที่บอกว่าท่านปูหมดสติไม่ฟื้น หัวใจทั้งดวงของเสิ่นเวยก็เริ่มร้อนรนขึ้นมาอีกครั้ง อยากจะเข้าวังไปเยี่ยมปู่นางทันที ไม่เห็นกับตา หัวใจของนางก็วางไม่ลง!


 


 


กินข้าวสองคำลวกๆ เสิ่นเวยก็นั่งไม่ติดแล้ว สั่งคนไปเรียกหมอหลิว ตั้งใจเข้าวังทันที


 


 


แม้นางจะรู้ว่าในวังมีหมอหลวงผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ ฝ่าบาทเองก็ไม่อาจปฏิบัติต่อปู่นางอย่างไม่เป็นธรรม แต่นางก็ยังคงเชื่อหมอหลิวตามจิตใต้สำนึก คราวก่อนที่ซีเจียง ไม่ใช่หมอหลิวหรือที่ช่วยชีวิตปู่นางไว้


 


 


“จวิ้นจู่!” อาจารย์ซูที่รู้ว่าเสิ่นเวยจะเข้าวังก็รีบตามเข้ามา กลับไม่ได้ห้ามนาง แต่กระซิบหลายประโยคข้างหูนาง เสิ่นเวยกะพริบตา พยักหน้า


 


 


อาจารย์ซูประสานมือ “จวิ้นจู่วางใจไปเถิด ผู้ชราจะดูแลจวนให้เป็นอย่างดี”


 


 


“ไปจวนองค์หญิงใหญ่” เสิ่นเวยสั่งโอวหยางไน่ที่ขับรถม้า เมื่อครู่อาจารย์ซูเสนอความคิดเห็นให้นางไปหาองค์หญิงใหญ่ จวิ้นจู่เพียงผู้เดียวเช่นนั้นอาจจะไม่มีน้ำหนักมากพอ แต่บวกองค์หญิงใหญ่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เข้าไป นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่มีใครกล้าขวางไม่ให้องค์หญิงใหญ่เข้าวัง


 


 


บนถนนเส้นใหญ่ยังคงมีทหารคุ้มกันกำลังตรวจตราอยู่จำนวนมาก รถที่เสิ่นเวยนั่งมีสัญลักษณ์ของจวนผิงจวิ้นอ๋อง แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังถูกตรวจสอบรอบหนึ่ง


 


 


องค์หญิงใหญ่ได้ยินเจตนาในการมาของเสิ่นเวย ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตามเสิ่นเวยขึ้นรถแล้ว เมื่อคืนนางก็ได้รับข่าว ทราบว่าฮ่องเต้งยงเซวียนไม่เป็นอะไรนางก็ไม่ได้เข้าวัง แต่อย่าไรเสียก็เป็นเสด็จพี่มารดาเดียวกัน ไม่ไปดูกับตานางจะวางใจได้อย่างไร ต่อให้เสิ่นเวยไม่มาหานางนางก็เตรียมจะเข้าวังอยู่ดี


 


 


“ราชครูเสิ่นถูกพิษ แต่ว่าในวังมียาชั้นยอดถอนพิษจำนวนมาก เมื่อคืนถอนพิษแล้ว ราชครูเสิ่นเป็นคนดีย่อมมีพระคุ้มครอง ไม่อาจเป็นอะไรได้” องค์หญิงใหญ่มองใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของเสิ่นเวย กล่าวปลอบ


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง แต่ไม่เห็นคนหัวใจนางก็ยังคงวางไม่ลง


 


 


มีองค์หญิงใหญ่อยู่ เสิ่นเวยตามหลังนางเข้าพระราชวังได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น เมื่อมาถึงนอกพระตำหนักเจาเต๋อจึงถูกขวางไว้ “องค์หญิงใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ฝ่าบาทมีคำสั่ง ไม่ได้รับอนุญาติจากฝ่าบาทห้ามเข้าพระตำหนักพะยะค่ะ”


 


 


หัวหน้าเล็กกองทหารรักษาพระองค์ลำบากใจอย่างถึงที่สุด เขาขวางองค์หญิงใหญ่กับจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไว้จะดีจริงๆ หรือ อย่าว่าแต่องค์หญิงใหญ่ เพียงแค่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้ข้างหลัง ก็แต่งงานกับผิงจวิ้นอ๋อง! ผิงจวิ้นอ๋องได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทมากเพียงใด เมื่อคืนเขาเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้แต่ไท่จื่อกับองค์ชายทั้งหลายยังเข้าพระตำหนักเจาเต๋อไม่ได้ ทว่าผิงจวิ้นอ๋องกลับเข้าๆ ออกๆ เสมือนเป็นบ้านของตัวเอง


 


 


ตอนนี้เขาขวางจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไว้ จะไม่ถูกโจมตีแก้แค้นจริงๆ ใช่หรือไม่ แต่ไม่ขวาง ก็เห็นชัดๆ อยู่ว่าฝ่าบาททรงมีพระราชโองการ


 


 


“เช่นนั้นรบกวนเจ้าไปรายงานแทนตัวข้าองค์หญิงสักหน่อยเถิด” องค์หญิงใหญ่เองกลับไม่ทำให้เขาลำบากใจ


 


 


หัวหน้าเล็กกองทหารรักษาพระองค์ถอนหายใจหนึ่งคราอย่างโล่งอก เพิ่งจะหันหลังกลับเข้าพระตำหนักก็เห็นขันทีใหญ่จางกงกงข้างกายฝ่าบาทรีบออกมาแล้ว “องค์หญิงใหญ่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ ฝ่าบาทเชิญท่านเข้าพระตำหนักพะยะค่ะ” ที่แท้แล้วฮ่องเต้ยงเซวียนก็ได้ยินการเคลื่อนไหวข้างนอกแล้ว ตั้งใจให้จางเฉวียนออกมารับคน


 


 


“เสด็จน้องกับจยาฮุ่ยมาแล้ว!” ฮ่องเต้ยงเซวียนวางแก้วชาในมือลง สีหน้าบนใบหน้าแย่เล็กน้อย แม้ว่าแย่ แต่ดูแล้วก็ยังดีอยู่


 


 


“เสด็จพี่ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เหตุใดถึงเจอมือสังหารได้เล่า ฐานะสูงศักดิ์ ย่อมเสี่ยงอันตราย เสด็จพี่ท่านก็เหมือนกัน ความปลอดภัยของท่านเกี่ยวข้องกับดินแดนต้ายงทั้งหมด เหตุใดถึงออกจากวังตามอำเภอใจได้เล่า” องค์หญิงใหญ่เห็นฮ่องเต้ยงเซวียนไม่เป็นไร ขณะที่วางใจก็อดตำหนิขึ้นมาไม่ได้


 


 


แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้ยงเซวียนรักน้องสาวผู้นี้ รู้ว่านางเป็นห่วงตนเองจริงๆ จึงยิ้มกล่าว “พี่ก็ไม่เป็นไรมิใช่หรือ เสด็จน้องวางใจ ก็แค่พวกคนชั่วเท่านั้นเอง”


 


 


ทว่าองค์หญิงใหญ่กลับถลึงตาใส่เขา “ใช่ โชคดีที่ราชครูเสิ่นตามไปด้วย มิเช่นนั้น…หึ!” หลังจากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องถามถึงราชครูเสิ่น “อาการบาดเจ็บของใต้เท้าราชครูเป็นอย่างไรบ้าง อาโย่วไม่ได้กลับทั้งคืน จยาฮุ่ยอยู่ในจวนก็เป็นห่วงยิ่งนัก ข้าจึงถือโอกาสพานางเข้าวังมาด้วย”


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนเพิ่งทอดพระเนตรไปทางเสิ่นเวย “ครึ่งชั่วยามก่อนราชครูเพิ่งฟื้น เพียงแต่ยังอ่อนแออย่างยิ่ง ตอนนี้น่าจะกำลังทานยาอยู่” ดวงตากะพริบวาบกล่าวต่อ “วันนี้จยาฮุ่ยไม่พูดแล้วหรือ เราจำได้ว่าเจ้ามีวาทศิลป์เป็นเลิศ” อาจเป็นเพราะราชครูเสิ่นฟื้นแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนจึงดีพระทัยอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่ามีอารมณ์มาหยอกล้อเสิ่นเวยแล้ว


 


 


เสิ่นเวยมุมปากกระตุกเล็กน้อย ให้ตาย ฮ่องเต้ยงเซวียนหมอนี่สมกับเป็นจักรพรรดิจริงๆ ไหนเลยจะดูออกว่าเพิ่งจะผ่านการลอบสังหารมา


 


 


“ฝ่าบาท จยาฮุ่ยอยากเยี่ยมท่านปู่เพคะ” เสิ่นเวยร้องขอ


 


 


ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงโบกพระหัตถ์ กล่าวอย่างเรียบง่าย “ไปเถิด จางเฉวียน เจ้าพาจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไป”


 


 


ตอนที่เสิ่นเวยตามจางเฉวียนไปถึงตำหนักข้างก็เห็นปู่นางกำลังดื่มยาอยู่ “ท่านปู่” เสิ่นเวยเร่งฝีเท้าหลายเก้าวิ่งเข้าไป


 


 


“เวยเอ๋อร์เข้าวังมาได้อย่างไร” ราชครูเสิ่นเห็นหลานสาวของตน บนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มที่อ่อนแรงออกมา


 


 


“ท่านปู่ ท่านบาดเจ็บตรงไหน” เสิ่นเวยรับถ้วยยาจากมือหมอหลวงเข้ามาด้วยความคล่องแคล่วอย่างยิ่ง นางมองใบหน้าที่ขาวซีดราวกับหิมะของปู่นาง ในใจเจ็บปวดยิ่งนัก


 


 


แต่ไหนแต่ไรปู่นางก็เป็นผู้เฒ่าที่มีกำลังวังชา เดินกระฉับกระเฉง สีหน้าเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวายิ่งกว่าพ่อนางลุงทั้งหลายของนางเสียอีก ทว่าตอนนี้กลับพิงหัวเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง ร่างทั้งร่างต่างก็ดูแก่ขึ้นสิบปี เสิ่นเวยมองแล้วก็อดแสบจมูกไม่ได้ น้ำตาแทบจะไหลลงมา


 


 


ราชครูเสิ่นเห็นท่าทางหลานสาวคนเล็ก ในใจก็อบอุ่น กล่าวปลอบ “ปู่ไม่เป็นไร พักฟื้นไม่กี่วันก็หายแล้ว ที่สำคัญคือคราวนี้บาดเจ็บตรงแผลธนูคราวก่อนพอดี ชะตาปู่แข็งยิ่งนัก เวยเอ๋อร์ไม่ต้องเป็นห่วง” ลูกหลานทั่วทั้งจวนมีเพียงเวยเอ๋อร์ที่คิดหาวิธีเข้าวังมาหาเข้า แม้จะบอกว่าพระราชวังเข้มงวด แม้แต่การว่าราชการตอนเช้าก็งด ไม่อนุญาตให้ขุนนางในราชสำนักเข้าวังตามอำเภอใจ แต่เขาบาดเจ็บเพราะช่วยฝ่าบาท ฝ่าบาทจะยังปฏิเสธการเยี่ยมของคนในครอบครัวอย่างไร้เมตตาได้จริงๆ หรือ เหล่าต้า…เฮ้อ! ราชครูเสิ่นถอนหายใจในใจ


 


 


แม้ว่าในใจเสิ่นเวยจะลำบากใจ แต่ก็ยังพยักหน้า ถาม “ท่านปู่ ท่านออกจากวังกลับจวนได้เมื่อไร” ในเมื่อท่านปู่นางฟื้นแล้ว บาดแผลเองก็ได้รับการรักษาที่ดีแล้ว เช่นนั้นก็ไม่ต้องให้หมอหลิวเข้ามาแล้ว


 


 


ราชครูเสิ่นกล่าว “ปู่ทานยาเสร็จแล้วก็จะไปกล่าวลาฝ่าบาท” พระราชวังใช่ที่ที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่สามารถอยู่ตามอำเอภใจได้หรือไร ก่อนหน้านี้เขาหมดสติก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เขาฟื้นแล้วไม่อาจอยู่ในพระราชวังต่อได้เป็นอันขาด


 


 


แม้เสิ่นเวยจะเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของปู่นาง แต่กลับหวังว่าเขาจะกลับจวนไปพักฟื้นร่างกาย อย่างไรเสียก็ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านของตนเอง

 

 

 


ตอนที่ 268-1 หย่งกั๋วกง

 

ฮ่องเต้ยงเซวียนตั้งใจย้ายราชรถส่งราชครูเสิ่นออกจากวัง นอกจากหมอหลวงชื่อดังสองท่านที่ตามไปด้วย ยังมีบำเหน็จนับไม่ถ้วน เห็นได้ถึงความโปรดปรานของฮ่องเต้ยงเซวียน ดังนั้นคำพูดที่ว่าคุณูปการสูงส่งยังไม่เท่าช่วยชีวิตฮ่องเต้มีเหตุผลอย่างยิ่ง อันที่จริงตามเจตนารมณ์ของฮ่องเต้ยงเซวียนก็ต้องการจะพระราชทานบรรดาศักดิ์ ทำให้ราชครู่เสิ่นตกใจจนไม่สนอาการบาดเจ็บบนร่างกายคุกเข่าขอปฏิเสธ


 


 


ราชครูเสิ่นเป็นคนฉลาดอย่างแท้จริง สุภาษิตว่าไว้ศีรษะใหญ่เท่าใดจงสวมหมวกที่ใหญ่เท่านั้น บุตรหลานตระกูลเขาไม่ได้โดดเด่นมากนัก ฝ่าบาทโปรดปรานมากเกินไปจะง่ายต่อการเด่นจนถูกอิจฉา เมื่อเขาไม่อยู่แล้ว ตระกูลเสิ่นจะไม่กลายเป็นเนื้อบนเขียงของตระกูลอื่นหรือ ไม่สู้อยู่อย่างธรรมดาสามัญเช่นนี้ ก็สามารถให้ฝ่าบาทดูแลชนรุ่นหลังตระกูลเสิ่นได้มากขึ้นหลายส่วน


 


 


หลังราชครูเสิ่นไปแล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนประทับอยู่ในพระตำหนักเจาเต๋อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าราชครูเสิ่นเป็นขุนนางภัคดีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีจิตใจเห็นแก่ตัวแม้แต่นิดเดียว ขุนนางภัคดีควรได้รับบำเหน็จ มิเช่นนั้นใช่จะทำให้คนผิดหวังหรือไม่ ดังนั้นยังคงต้องปูนบำเหน็จให้มาก เขาไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ หยิบพู่กันเขียนพระราชโองการ อืม ด้วยคุณูปการของราชครูแล้วปูนบำเหน็จอะไรก็ไม่พอทั้งสิ้น เช่นนั้นก็พระราชทานบรรดาศักดิ์กั๋วกงแล้วกัน หย่งกั๋วกง! ได้ เอาเช่นนี้แหละ!


 


 


ราชครูเสิ่นเพิ่งจะกลับไปถึงจวนจงอู่โหว พระราชโองการพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นกั๋วกงของฮ่องเต้ยงเซวียนก็มาถึงแล้ว ราชครูเสิ่นพยายามจะลุกขึ้นคุกเข่ารับพระราชโองการ ถูกขันทีใหญ่จางเฉวียนที่ยิ้มราวกับพระสังกัจจายน์ห้ามไว้ “ใต้เท้าราชครูยังบาดเจ็บอยู่ ฝ่าบาททรงมีพระราชดำรัส ใต้เท้าราชครูนอนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า”


 


 


ราชครูเสิ่นเองก็ลุกไม่ขึ้นจริงๆ ทรมานอยู่ในวังคราวนั้นสูบพลังทั้งหมดของเขาไปแล้ว จึงทำได้เพียงประสานมือไปยังทิศพระราชวังด้วยสีหน้าซีดเซียว กล่าวอย่างอ่อนแรง “กระหม่อมน้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท”


 


 


จางเฉวียนประกาศพระราชโอการแล้วจึงจากไปอย่างยิ้มแย้ม คนทุกระดับชั้นในจวนจงอู่โหวก็ดีอกดีใจ มีความสุขยิ่งกว่าตอนที่เสิ่นเวยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นจู่ อย่างไรเสียเสิ่นเวยก็เป็นบุตรสาว ต้องแต่งออกข้างนอก เพียงแค่มีชื่อเสียงไพเราะ แต่ผลประโยชน์แท้จริงที่นำมาสู่จวนจงอู่โหวกลับมีไม่เยอะ


 


 


หย่งกั๋วกงยศนี้ของราชครูเสิ่นแตกต่างไป นี่คือบรรดาศักดิ์กั๋วกงที่แท้จริง สามารถสืบทอดไปถึงลูกหลานรุ่นหลังได้ ดังนั้นจงอู่โหวเสิ่นหงเหวินกับโหวฮูหยินสวี่ซื่อจึงรับแขกที่มาอวยพรถึงหน้าประตูไปพลาง จัดการธุระรักษาอาการบาดเจ็บของบิดาให้เหมาะสมไปพลาง


 


 


เสิ่นเวยเองก็กลับจวนจงอู่โหวเช่นกัน แม้ว่าจะมีหมอหลวงที่ฝ่าบาทส่งมา แต่นางก็ยังคงพาหมอหลิวกลับมาด้วย อันที่จริงส่วนลึกภายในใจเสิ่นเวยหวังว่าท่านปู่จะสามารถไปรักษาตัวที่จวนผิงจวิ้นอ๋องได้ แต่ยุคโบราณไม่มีกฎระเบียบนี้ เสิ่นเวยทำได้เพียงวางความคิดลง


 


 


คนที่มาเยี่ยมราชครูเสิ่นถึงหน้าประตูทั้งหมดล้วนถูกปฏิเสธ เหตุผลแน่นอนว่าเป็นความจริง ราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัสเพียงนั้น ย่อมต้องพักผ่อนอย่างสงบ แต่ละคนๆ มารบกวนเขาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะมีคนมาที่บ้านมากน้อยเพียงใดล้วนแต่มีเสิ่นหงเหวินสามพี่น้องคอยต้อนรับ ไม่มีสักคนที่สามารถเห็นหน้าราชครูเสิ่นได้


 


 


ด้วยเหตุนี้ในเมืองหลวงจึงเกิดข่าวลือ บอกว่าราชครูเสิ่นช่วยชีวิตฝ่าบาทบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้เหมือนกันว่าสามารถอยู่ได้อีกนานเพียงใด มีคนใจดำพูดว่าใช้หนึ่งชีวิตแลกกับบรรดาศักดิ์กั๋วกงยังนับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง


 


 


แต่ที่ทำให้ทุกคนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือ ไม่ว่าจะเป็นฝ่าบาท หรือว่าจวนจงอู่โหว ล้วนแต่ไม่สะทกสะท้านต่อข่าวลืออย่างสิ้นเชิง ราวกับว่ายอมรับโดยนัย ข่าวลือก็ค่อยๆ น้อยลง กลับไม่ได้หายไป แต่เปลี่ยนเป็นคำนินทาลับหลังแทน


 


 


“อาจารย์เริ่นคิดเห็นอย่างไรต่อหย่งกั๋วกงผู้นี้ของพวกเรา” ท่านเสนาบดีฉินหยิบหมากหนึ่งตัวขึ้นมาวางลงเบาๆ วาจาสบายใจ คล้ายกับพลันนึกขึ้นได้


 


 


นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูไตร่ตรองครู่หนึ่งจึงกล่าว “ฟังว่าราชครูเสิ่นบาดเจ็บสาหัส ทำให้โรคเก่ากำเริบ ตอนที่ออกจากพระราชวังก็หมดสติตลอดทาง จนถึงตอนนี้ล้วนแต่มีหมอหลวงเฝ้าทั้งวันทั้งคืน ผู้น้อยเกรงว่าคราวนี้ราชครูเสิ่นจะมีโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้ว”


 


 


ท่านเสนาบดีฉินวางหมากอีกหนึ่งตัว ศีรษะส่ายเล็กน้อย “ข้าคิดว่าอาจจะไม่ใช่ อย่างอื่นไม่ว่า จวนจงอู่โหวไม่วุ่นวายแม้แต่นิดเดียว!” นอกจากขัดขวางคนที่มาเยี่ยมราชครูเสิ่นทั้งหมดแล้ว การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ก็ไม่มีเลยแม้แต่น้อย ยังคงทำในสิ่งที่ควรทำอยู่


 


 


“บางที…อาจจะเป็นแผนลวงข้าศึกเงียบๆ?” เริ่นหงซูดวงตากะพริบวาบกล่าว


 


 


ท่านเสนาบดีฉินมองกระดานหมากปราดหนึ่ง กล่าวช้าๆ “ก็เป็นไปได้ หากได้เห็นราชครูเสิ่นสักหน่อยก็คงจะดี” ประโยคหลังเขาพูดด้วยความเสียดายอย่างมาก เสิ่นผิงยวนจิ้งจอกเฒ่าพันปีตัวนั้น ไม่เห็นด้วยตาตัวเอง เขาก็ไม่วางใจ!


 


 


ดวงตาเริ่นหงซูเป็นประกายอีกครั้ง กล่าวเสียงเบา “ฟังว่าเรือนของราชครูเสิ่นถูกล้อมจนแม้แต่น้ำก็ซึมเข้าไปไม่ได้ นอกจากจงอู่โหวแล้วก็มีเพียงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่สามารถเข้าออกได้”


 


 


“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่!” ท่านเสนาบดีฉินยิ้มเล็กน้อย “นางกลับว่างยิ่งนัก” เช่นนั้นต้องหาเรื่องให้นางทำสักหน่อยแล้ว!


 


 


เสิ่นเวยกำลังนั่งพูดคุยกับปู่นางอยู่ข้างเตียง ในมือกำลังถือส้มปอกอยู่ ส่งเข้าปากทีละกลีบๆ ข้างหลังปู่นางพิงหมอนใบใหญ่ที่เสิ่นเวยเอาเข้ามาสองใบกึ่งนั่งกึ่งนอน


 


 


ช่วงนี้นางแทบจะวิ่งมาที่บ้านฝั่งมารดาทุกวัน มาแล้วก็มารายงานตัวที่เรือนปู่นาง บางครั้งดึกแล้วก็ไม่กลับ พักอยู่ที่เรือนเฟิงหวาก่อนออกเรือนของนาง


 


 


พูดถึงเรือนเฟิงหวา ตั้งแต่ที่เสิ่นเวยออกเรือนคนที่เพ่งเล็งมันก็มีไม่น้อย ฮูหยินรองจ้าวซื่อก็เคยคิดจะให้บุตรสาวนางเสิ่นเซวียนย้ายเข้ามาอยู่ เสิ่นเย่ว์บ้านสามเองก็เคยคิด แต่ว่าก็เพียงแค่คิด นางรู้ดีอยู่แก่ใจอย่างยิ่ง รู้ว่าเรือนของพี่สาวไม่อาจตกมาถึงนางได้ กระทั่งสวี่ซื่อก็ยังเกิดความคิด อยากเปลี่ยนเรือนหลังนั้นให้เป็นเรือนหอลูกชายของนาง ซ้ำยังโน้มน้าวท่านโหวเสิ่นหงเหวินแล้วด้วย


 


 


เสิ่นหงเหวินเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพียงแค่เรือนหนึ่งหลังก็เท่านั้น เวยเอ๋อร์แต่งออกไปแล้ว หรือว่าจะยังครอบครองเรือนบ้านฝั่งมารดาอยู่อีกเชียวหรือ เขาเอ่ยปากกับบิดาเขา ถูกบิดาเขาก่นด่าใส่หน้าโครมๆ พักหนึ่ง ‘เจ้าเป็นถึงท่านโหวแล้ว เหตุใดสายตาถึงได้ตื้นเขินเพียงนั้น แตะต้องเรือนของหลานสาว เจ้ายังมีหน้าอยู่ได้อย่างไร เวยเอ๋อร์กลับบ้านฝั่งมารดาเจ้าจะให้นางไปอยู่ที่ใด’


 


 


เสิ่นหงเหวินถูกบิดาเขาก่นด่า ก็ตะโกนกล่าว ‘ไม่ใช่ ไม่ใช่ยังมีเรือนอีกหลายหลังหรือไร เวยเอ๋อร์กลับมาอย่างมากก็พักเพียงแค่หนึ่งคืน เรือนหลังไหนไม่อาจใช้ได้บ้าง’


 


 


ใบหน้านั้นของราชครูเสิ่นดำจนแทบจะบีบน้ำออกมาได้ กล่าวด่าด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ ‘เจ้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ว่าเวยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ เจ้าจะให้จวิ้นจู่ผู้ยิ่งใหญ่ไปพักเรือนแขกหรือ เจ้ากล้านักนะ! ข้ายังมีชีวิตอยู่เจ้าก็ปฏิบัติต่อหลานสาวอย่างโหดร้ายเช่นนี้แล้ว หากข้าตาย ลูกหลานจวนทั้งหลังจะยังมีลู่ทางอยู่อีกหรือไม่’


 


 


ราชครูเสิ่นโมโหจนอยากจะฟาดลูกชายสักทีจริงๆ ‘โง่เขลา โง่เขลา ข้าทำกรรมไว้ในชาติไหนถึงได้มีลูกที่โง่เช่นเจ้า เจ้าจำใส่หัวไว้เลย เรือนเฟิงหวาไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง เก็บไว้ให้เวยเอ๋อร์ เก็บไว้ชั่วชีวิต! หากใครบังอาจยื่นกรงเล็บเข้ามา ข้าจะสับแขนของเขาเสีย’


 


 


ราชครูเสิ่นโมโหจนหายใจหอบ ด่าลูกชายจนหน้าแดงหูแดงเงยหน้าไม่ขึ้นยังไม่พอ ท้ายที่สุดก็สั่งอย่างกระหืดกระหอบ ‘ไป เขียนเรื่องนี้ลงในกฎตระกูลเดี๋ยวนี้ หากใครไม่ปฏิบัติตามก็ไล่ออกไปจากตระกูลเสีย ตระกูลเสิ่นของข้าไม่มีลูกหลานอกตัญญูเช่นนี้’


 


 


เสิ่นหงเหวินรองรับความโกรธอยู่ที่เรือนบิดาเขา กลับไปแล้วก็ตำหนิสวี่ซื่ออีกครั้ง ‘เจ้ามันตาตื้น เวยเอ๋อร์เป็นจวิ้นจู่ เรือนของนางเจ้าจะแตะต้องได้อย่างไร’ สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป


 


 


สวีซื่อโมโหจนหงายหลัง นอกจากแอบตำหนิว่าพ่อสามีลำเอียงแล้ว กลับไม่มีหนทางเลยแม้แต่นิดเดียว


 


 


จ้าวซื่อบ้านรองดูด้วยความสนุกสนานอย่างยิ่ง มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น ทว่าในใจกลับแอบดีใจที่ตนเพียงแค่คิดในใจไม่ได้ป่าวประกาศออกไป มิเช่นนั้นวันนี้คนที่โดนด่าจนขายหน้าก็คงจะเป็นนาง


 


 


เรื่องนี้เสิ่นเวยเองก็ทราบ อย่างไรเสียน้องเจวี๋ยน้องชายมารดาเดียวกันของนางก็ยังอยู่ในจวน เรือนเฟิงหวานั้นนางเองก็ทิ้งคนดูแลเรือนไว้ เพียงแต่เห็นแก่ท่านปู่ที่รักนางเพียงนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)