ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 267-278

ตอนที่ 267 โลงศพ

 

ภายใต้แสงสลัว แต่ละใบหน้าแสยะยิ้มให้เขาอย่างหลอกหลอน ร่างที่ซีดเซียวบิดตัวอยู่ใต้ผืนน้ำ ราวกับขนมหมาฮวา [1] ที่ถูกบิดเป็นเกลียวอยู่ด้วยกัน


 


 


ยามนี้อิ๋งฉีถึงได้มองเห็นชัดเจน พวกมันก็คือศพแห้งแบบเดียวที่เคยได้พบในทะเลทรายแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มีอยู่ในสระสวรรค์ด้วยเช่นกัน


 


 


หัวของเหล่าศพแห้งพันติดกัน ลอยโบกไปมาเหมือนดั่งสาหร่าย ต่างก็พยายามจะเคลื่อนเข้ามาพัวพันร่างของอิ๋งฉีเอาไว้


 


 


ลูกแก้ววารีที่อยู่บนร่างทอแสงสลัวจางๆ ออกมา ยังคงช่วยกันเขาออกจากน้ำในทะเลสาบ


 


 


ทันใดนั้นเส้นผมของศพแห้งเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาที่เบื้องหน้าของอิ๋งฉี แต่ละเส้นบิดเข้าหากันดุจเกลียวเชือกพัวพันอยู่บนร่างของเขา จากนั้นก็เริ่มรัดแน่นขึ้นดุจงูตัวหนึ่ง แน่นขึ้นไปอีก


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว แสงสว่างที่คลุมอยู่บนร่างของอิ๋งฉีก็ถูกเส้นผมของศพเหล่านี้ฉีกออก


 


 


ทันทีที่คลื่นแสงขาดสะบั้น น้ำสีดำของทะเลสาบก็ทะลักเข้าไป น้ำที่มีกลิ่นคาวคุ้งและเย็นยะเยียบแทรกซึมเข้าไปในปอด เขาพยายามฝืนอาการสำลักที่รุนแรงนั้นเอาไว้ ล้วงเอามีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากในอก คิดจะตัดเส้นผมเหล่านั้นให้ขาดสะบั้น


 


 


แต่เพราะว่าอยู่ในน้ำ พลังกำลังที่มีอยู่ในยามปกติกลับใช้ออกได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบ


 


 


มือของเขาพึ่งจะสัมผัสโดนเส้นผมกลุ่มหนึ่ง ก็เห็นใบหน้าของเส้นผมเหล่านั้นหัวเราะอย่างกระเ**้ยนกระหือรือกว่าเดิม แต่ละตัวลอยมากับกระแสน้ำ รีบเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว


 


 


ทุกตัวอ้าปากกว้างออกมา เผยให้เห็นคมเขี้ยวที่แหลมคม มุมปากของพวกมันแสยะยิ้มแยกเขี้ยวออกมา


 


 


อิ๋งฉีไม่อาจนิ่งเฉยอีกต่อไป หากว่าถูกพวกตัวประหลาดเหล่านี้ขบกัดเข้าสักหลายคำ เกรงว่าวันนี้เขาคงต้องจบสิ้นอยู่ที่นี่แล้ว


 


 


ไม่ได้ ….พระเชษฐายังรอให้เขากลับไปอยู่ที่แคว้นต้าฉิน


 


 


พระองค์สูงพระชนม์มากแล้ว ตอนนี้ยิ่งมักจะประชวรอยู่บ่อยครั้ง คนมากมายต่างกับจับจ้องบัลลังก์ของพระองค์ราวกับเสือหิว เขาจะต้องนำยาอายุวัฒนะกลับไปช่วยพระเชษฐา


 


 


ตอนนี้แม้แต่เงาของยาอายุวัฒนะก็ยังไม่ได้เห็น เขาไม่อาจยอมตายไปเช่นนี้


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ อิ๋งฉีก็ปิดกลั้นลมหายใจเอาไว้ มีดสั้นในมือถูกกำเอาไว้อย่างแนบแน่น พอเส้นผมเหล่านั้นพุ่งเข้ามาก็สะบัดมีดออกไปอย่างเต็มกำลัง


 


 


เขาทุ่มเทพละกำลังออกมาอย่างเต็มที่ ดังนั้นนอกจากมีดสั้นของเขาแล้วจึงยังมียันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งลอยออกมาด้วย


 


 


จังหวะนั้นยันต์สีเหลืองผนึกลงไปบนมีดสั้นของเขาพอดี ครั้งนี้พอออกกระบวนท่า ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นก็ทำลายเส้นผมทั้งหมดไป


 


 


“ตูม!”


 


 


เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมาในทันที ภายใต้กระแสน้ำที่มืดมิดในทะเลสาบ ยันต์สีเหลืองแผดเผาเส้นผมที่มันสัมผัสจนลุกโชน เพียงชั่วแวบเดียวเส้นผมที่เหลือก็ติดไฟลุกลามกันไปหมด


 


 


ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในน้ำ แต่ไฟนั้นกลับลุกลามอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ครู่เดียวก็เผาไหม้เป็นวงกว้าง


 


 


ลูกไฟเป็นสีฟ้า ทำให้ทะเลสาบที่มืดมัวสว่างโพล่งขึ้นมา


 


 


ตอนนี้อิ๋งฉีถึงได้มองเห็นว่า ด้านหลังของศพแห้งที่อยู่ตรงหน้า คือศพแห้งที่ลอยไปลอยมาและมีจำนวนมากมายจนไม่ว่าอย่างไรก็นับได้ไม่ถ้วน


 


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ศพแห้งเหล่านี้พากันรายล้อมเขาเอาไว้จนรอบ และเหล่านักพรตของเขาก็หายตัวไปหมดจนไม่เหลือแม้แต่เงา


 


 


แต่ว่าเขายังไปได้ไม่ถึงก้นทะเลสาบเลยด้วยซ้ำ ร่างของเขายังลอยอยู่กลางน้ำ ใต้ฝ่าเท้าคือความดำมืดขุมหนึ่ง


 


 


พอกวาดตามองผ่านๆ ก็เห็นแต่ศพแห้งจำนวนมากมายเหล่านั้นมีโซ่เส้นหยาบ หนาเท่าข้อมือล่ามเอาไว้ และโซ่เหล่านั้นก็ผูกศพแห้งโยงลงไปยังจุดที่ลึกลงไปของทะเลสาบ


 


 


เนื่องเพราะว่าแสงไฟจากเปลวไฟสีน้ำเงิน อิ๋งฉีถึงได้มองเห็นว่า บนโซ่เหล็กเหล่านั้นมีอักษรที่ซับซ้อนวาดอยู่จนแน่นขนัดไปหมด อักขระเหล่านั้นวาดอย่างหยึกหยักไปมา มันเป็นอักษรโบราณ


 


 


พอมองลึกลงไปอีก ก็เห็นว่าในส่วนลึกของทะเลสาบมีโลงศพขนาดใหญ่กว่าธรรมดาอยู่โลงหนึ่ง


 


 


บนโลงศพ เป็นรูปแกะสลักของคนที่สูงใหญ่หลายจั้งผู้หนึ่ง


 


 


เพียงแต่เส้นผมของรูปแกะสลักนั้นแปลกประหลาดอย่างยิ่ง ราวกับว่าเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่งอกเงยขึ้นมาจากบนศีรษะ กิ่งก้านของมันเหยียดยืดยาวออกไป ดูคล้ายกับหนามแหลมของต้นไม้หนามที่อยู่ด้านบน


 


 


ตอนนี้ บนศีรษะของรูปปั้นนั้นมีร่างของศพนับสิบคนแขวนติดอยู่เต็มไปหมด


 


 


ศพเหล่านี้ไม่เหมือนกับพวกศพแห้ง บนร่างของศพเหล่านี้ยังคงมีเลือดสดๆ ไหลออกมาอยู่ แต่ละคนเส้นผมขาวโพลนสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวาดผวา


 


 


ทั้งยังมีคนที่ยังไม่ได้ขาดใจตาย แต่ว่าพยายามดิ้นรนในความตายอยู่ด้วย


 


 


อิ๋งฉีกวาดตามองไปเพียงแค่ครั้งเดียวก็ตระหนกจนแทบจะขาดใจ


 


 


เรื่องของภูติผีปีศาจบนโลกใบนี้ เดิมทีก็เป็นแต่เพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น คนธรรมดาอาจจะไม่เคยได้พบเจอเรื่องภูติผีจนชั่วชีวิตเสียด้วยซ้ำ


 


 


แต่ว่าสำหรับพวกเขาที่เป็นเชื้อพระวงศ์นั้นไม่เเหมือนกัน ราชวงศ์ในแต่ละแคว้นต่างก็ซุ่มซ่อนบ่มเพาะนักพรตของตนเองขึ้นมา


 


 


เพื่อการแก่งแย่งช่วงชิงทรัพยากรที่ไม่ธรรมดา


 


 


ดูอย่างแคว้นต้าโจวเป็นตัวอย่าง เนื่องเพราะปฐมกษัตริย์ได้รับพลังและความช่วยเหลือจากภูติเทพมากมาย จึงได้สามารถก่อร่างสร้างแคว้นต้าโจวขึ้นมาได้


 


 


เดิมทีแต่โบราณกาลนานมาแล้ว แผ่นดินแห่งนี้คือดินแดนที่มีพลังของจิตวิญญาณสะสมเอาไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นทุกที่ทุกทางในแผ่นดินเต็มไปด้วยเหล่าผู้ฝึกตน แต่ว่าเมื่อวันเวลาผ่านไป พลังของจิตวิญญาณในธรรมชาติก็เบาบางลงมาก ผู้ฝึกตนทั้งหลายก็ลดน้อยถอยลงไป


 


 


จนมาถึงตอนนี้ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่เกิดจากลมปากของชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น


 


 


ตอนนี้ เส้นผมของรูปแกะสลักนั้นก็เป็นเหมือนดั่งหลอดเลือดแต่ละหลอดที่ดูดกลืนเลือดเนื้อของศพที่มาใหม่เหล่านั้นเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่ง


 


 


อิ๋งฉีมองดูจากเสื้อผ้าก็สามารถจำแนกได้ว่า คนเหล่านี้คือคนจากเจ็ดแคว้นเล็กและขุมอำนาจต่างๆ ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มาจากผืนแผ่นดินทั้งสิ้น


 


 


เขาได้แต่มองดูเลือดของคนเหล่านั้นถูกหลอดเลือดของรูปสลักดูดกลืนลงไป ร่างของศพที่มีแต่เส้นผมขาวโพลนก็กลายเป็นศพที่เ**่ยวแห้งไปตามๆ กัน


 


 


สถานการณ์เช่นนี้ มิว่าผู้ใดได้มาเห็นเป็นต้องเกิดเงามืดติดอยู่ในหัวใจไปจนชั่วชีวิต


 


 


รอบๆ รูปแกะสลักนั้น เขายังเห็นเงาร่างที่ซีดขาวอีกมากมายเต็มไปหมด


 


 


เมื่อมองไปรอบด้านก็ยังหาพวกนักพรตของแคว้นต้าฉีไม่เจอ อิ๋งฉีก็ไม่ได้รั้งอยู่นาน อาศัยโอกาศที่แผ่นยันต์สีเหลืองเปิดทางรอดสายหนึ่งให้กับเขา รีบตะเกียกตะกายว่ายน้ำขึ้นไป


 


 


………………………….


 


 


บนทะเลสาบ เต็มไปด้วยความวุ่นวาย


 


 


คนนับร้อยถูกกลืนลงไปใต้น้ำ กลับไม่มีผู้ใดกลับขึ้นมาได้เลยสักคน น้ำแข็งสีดำบนทะเลสาบแตกไปเกินกว่าครึ่ง


 


 


เพียงครู่เดียวน้ำสีดำที่เหม็นเน่าก็โชยชายกลิ่นคาวเลือดข้นๆ ขึ้นมา กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเหล่านั้นคละคลุ้งไปในอากาศ ทำให้คนคิดอยากจะอาเจียนออกมา


 


 


ต้นไม้หนามสีดำที่รายล้อมที่งอกเงยอยู่รอบๆ สระสวรรค์ก็มิได้สงบนิ่งอีกต่อไป พวกมันเริ่มพากันเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ


 


 


ในบรรดาคนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่นั้น มีคนที่ถูกหนามของพวกมันทิ่มตำอยู่บ้าง ตอนนี้บาดแผลพวกนั้นชักจะคันคะเยอขึ้นมาแล้ว


 


 


แต่พวกเขากลับไม่ได้สนใจมันสักเท่าไร ต่างก็พากันหันไปเฝ้าดูทะเลสาบ ไม่มีผู้ใดกล้าผลีผลาม ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ใต้น้ำนั้นเป็นเช่นไร


 


 


เห็นแต่เพียงแค่ว่าเหล่าคนที่ต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในน้ำต่างพากันเปลี่ยนเป็นคนผมขาว จากนั้นก็คล้ายกับว่าถูกบางสิ่งลากลงไปใต้น้ำ


 


 


เหล่านักพรตจากแคว้นฉินต่างก็พากันพยายามกระเสือกกระสนขึ้นมาจากความตาย คนที่สามารถดิ้นรนจนขึ้นมาบนฝั่งได้เส้นผมและหนวดเคราก็เปลี่ยนเป็นสีขาว คล้ายกับว่าเพียงครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นแก่เฒ่าไปหลายสิบปี


 


 


พวกเขาล้วนเป็นนักพรต เดิมทีมีพลังชีวิตที่ยืนยาวกว่าผู้คนปกติอยู่มากมาย


 


 


แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานการจู่โจมเช่นนี้


 


 


………………………………….


 


 


ในดงหนามอีกด้านหนึ่ง องค์ชายน้อยในชุดม่วงยังคงชมดูความสนุกสนานต่อไป


 


 


เหล่าไม้หนามที่พากับเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ อยู่คล้ายกับว่าหวาดกลัวเขา ตอนนี้แม้แต่เสื้อผ้าของเขาก็ไม่กล้าสะกิดโดนแม้แต่น้อย ได้แต่ขยับเข้าไปทางสระสวรรค์


 


 


ฟู่ ฟู่ ฟู่…..


 


 


เพียงครู่เดียว ก็ปรากฏเงาของคนในชุดขาวราวแสงจันทร์หลายคนขึ้นมาที่ริมทะเลสาบ พวกเขาดูหมดจดงดงาม พอขยับตัวไม่กี่ครั้งก็เข้ามาอยู่ข้างกายองค์ชายน้อย ถวายคำนับเขาครั้งหนึ่ง


 


 


“ฝ่าบาท ที่ตั้งของขุมทรัพย์สถิตสมควรเป็นโลงศพทองแดงใต้ทะเลสาบ” ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มเข้ามากราบทูล “ขอเพียงรูปสลักได้ดื่มกินโลหิตอย่างเพียงพอ ปราการแรกของโลงศพก็จะเปิดออกได้เอง ที่สามารถระบุได้ในตอนนี้ก็คือ สิ่งที่นอนอยู่ในโลงทองแดงจะต้องร้ายกาจอย่างยิ่งแน่นอน”


 


 


 


 


——


 


 


[1] 麻花: ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวมานวดกับน้ำให้เป็นเส้น บิดเป็นเกลียว นำไปทอด ฉาบน้ำตาล โรยงา 

 

 


ตอนที่ 268 ติ๊งต๊องถูกลักพาตัว?

 

องค์ชายน้อยพิงพระองค์อยู่ข้างหินสีดำก้อนหนึ่ง เส้นผมสีดำคลอลงมา มือข้างหนึ่งจึงกำมันไว้หลวมๆ เป็นความงามเย้ายวนจนอธิบายไม่ถูก


 


 


เขายิ้มอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง “ความหมายของเจ้าก็คือ ปราการแรกของโลงศพยังไม่ถูกเปิดออก?”


 


 


“เกรงว่ายังคงขาดอีกร้อยกว่าคน วิธีคลี่คลายด่านปราการแรกนี้เรียกว่าการสละชีพ หากเครื่องสังเวยไม่เพียงพอละก็ โลงศพก็จะไม่เปิดออก” ผู้คนที่ยืนอยู่รอบตัวเขาพากันก้มศีรษะลง ไม่กล้าขาดความเคารพแม้แต่น้อย


 


 


เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปแล้ว เหล่าผู้ที่อยู่ในชุดขาวดั่งแสงจันทร์เหล่านี้ไหนเลยนางจะไม่รู้จัก?


 


 


นี้เป็นเหล่าหัวหน้านักพรตแห่งภูเขาฮว่าชิ่งซาน!


 


 


สตรีที่อยู่ในกลุ่มนั้นยังเป็นอาจารย์ของนางด้วย!


 


 


ท่านผู้อาวุโสหยู่แห่งเขาฮว่าชิ่งซาน


 


 


ที่จริงแล้วผู้อาวุโสหยู่เป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นต้าเหยียน หากนับตามลำดับชั้นยังถือเป็นเสด็จน้าของนางด้วยซ้ำไป ตั้งแต่เล็กก็ถูกส่งไปที่ฮว่าชิ่งซานแล้ว ทั้งยังฝึกฝนวิชาเวทย์จนเก่งกาจ กลายเป็นยอดนักพรตผู้หนึ่ง


 


 


แม้แต่เมื่ออยู่ในเขาฮว่าชิ่งซาน ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง ตอนนี้เมื่ออยู่เบื้องหน้าบุรุษชุดม่วง กลับอ่อนน้อมเชื่อฟังถึงเพียงนี้?


 


 


นางกรอกตาไปมา แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง


 


 


นางอ้าปาก ส่งเสียงเรียกท่านอาจารย์คำหนึ่ง


 


 


“หุบปาก เหล่าอาจารย์ลุงกำลังกราบทูลองค์ชายน้อย ยังไม่ถึงรอบให้เจ้าเอ่ยวาจา” สีหน้าท่าทางของผู้อาวุโสหยู่ซั่งเคร่งครัด ทำเอาเหยียนเฉียวหลัวต้องเก็บคำพูดทั้งหมดกลับไป


 


 


องค์ชายน้อย….ตลอดทางมานี้เหยียนเฉียวหลัวได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้มาหลายรอบแล้ว


 


 


ตกลงแล้วคุณชายชุดม่วงผู้นี้เป็นเชื้อพระวงศ์ของแว่นแคว้นใดกันแน่?


 


 


ผู้ที่โดดเด่นเหนือคนทั่วไปเช่นเขา ที่จริงแล้วสมควรจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน แต่ทำไมแม้แต่ตัวนางก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหันไปมองดูผู้อาวุโสหยู่ซั่งอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็ปิดปากลงอย่างเชื่อฟัง


 


 


เพียงแต่ในใจก็ยิ่งเกิดความสงสัยในตัวองค์ชายน้อยผู้นี้มากกว่าเดิม ทั้งยังเพิ่มความกริ่งเกรง


 


 


ถึงแม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงของแคว้นเหยียน แต่ดูจากปฏิกริยาของท่านอาจารย์แล้ว องค์ชายน้อยผู้นี้เป็นผู้ที่นางไม่อาจผิดใจได้เลยสักนิด


 


 


ขณะที่หัวใจของนาง กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก ก็ได้ยินองค์ชายน้อยตรัสกับผู้อาวุโสว่า “นางน่ารักไร้เดียงสา ตลอดทางมานี้ช่วยคลายความเหงาให้กับเรา เจ้าไม่จำเป็นจะต้องเข้มงวดกับนางถึงเพียงนั้น”


 


 


ผู้อาสุโสหยู่ตะลึงไปชั่วขณะ ก็คุกเข่าลงไปเบื้องหน้าเขาด้วยความหวาดหวั่น “ศิษย์ดื้อรั้น ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงช่วยชีวิตนาง ทั้งยังให้หนทางรอดสายหนึ่งกับนาง”


 


 


“ต่อให้เป็นวัว เป็นม้า นางก็สมควรรับใช้ฝ่าบาท”


 


 


องค์ชายน้อยมิได้ตอบคำนาง แต่กลับยิ้มอย่างเย็นชาเช่นเดิม มองดูทะเลสาบที่สงบนิ่งลงไปแล้ว “กลับมาพูดกันเรื่องปัญหาเมื่อครู่ ในเมื่อเครื่องสังเวยไม่เพียงพอ ก็จับสักหลายคนโยนลงไป เราเห็นว่า หลายคนที่มาจากต้าโจวนั่นเหมาะสมดีทีเดียว”


 


 


“องค์ชายทรงหมายถึง…….พระสนมหยวนเฟยและขุนนางอวี้ซื่อแห่งแคว้นต้าโจว?” ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งมีปฏิกริยาเป็นคนแรก


 


 


เหล่านักพรตคนอื่นๆ ก็พากันหน้าเปลี่ยนสี “สองคนนั้น….ปีนขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย ข้างกายคล้ายกับว่ายังมีองครักษ์ลับของต้าโจวคอยพิทักษ์อยู่”


 


 


ที่จริงแล้วสำหรับเรื่องเครื่องสังเวย จะโยนใครลงไปก็เหมือนๆ กัน องค์ชายน้อยกลับทรงหมายตาแคว้นต้าโจวเข้าเสียแล้ว?


 


 


“คนหนึ่งเป็นพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ คนหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆ ของไทเฮา ทั้งสองล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องสังเวยที่ยอดเยี่ยม แค่หนึ่งคนก็สามารถทดแทนคนได้นับสิบแล้ว” องค์ชายน้อยตรัสอย่างไม่เร็วไม่ช้า “สวรรค์ย่อมมีจิตเมตตาการุณ ชีวิตของสองคนที่แลกกับผู้คนนับร้อยชีวิต ก็ถือเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของพวกเขาแล้ว”


 


 


คำพูดนี้พอเอ่ยออกมาจากปากของเขา ก็ฟังดูลึกลับวังเวงขึ้นมาในทันที


 


 


เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิงต่างสบตากันครั้งหนึ่ง อย่างไรก็รู้สึกว่าองค์ชายน้อยมีจุดประสงค์แอบแฝง


 


 


“อย่าว่าแต่ ท่านประมุขเกลียดชังแคว้นต้าโจวอย่างที่สุด ใช้คนของแคว้นต้าโจวเป็นเครื่องสังเวย ท่านย่อมพึงพอใจ” องค์ชายน้อยไม่ทรงรีรออีกต่อไป


 


 


เขาสะบัดชายแขนเสื้อ “ไปเถอะ อย่าให้เราต้องรอนานเกินไป”


 


 


ทันทีที่สิ้นเสียง นักพรตทั้งหมดก็ถวายคำนับ มีหลายคนลงไปตรวจสอบสถานการณ์ใต้ทะเลสาบ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งและนักพรตอีกผู้หนึ่งมุ่งหน้าไปจับหยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ย


 


 


ก่อนที่จะไปลงมือ เหยียนเฉียวหลัวยังเอ่ยปากเตือนผู้อาวุโสหยู่ซั่งคำหนึ่ง “ท่านอาจารย์ โปรดระมัดระวังตัว ข้างกายพวกเขามีไก่ตัวหนึ่ง มันพ่นไฟได้”


 


 


ผู้อาวุโสหยู่ซั่งสะบัดแส้ปัดในมืออย่างไม่เห็นอยู่ในสายตา


 


 


นางเป็นถึงผู้อาวุโสแห่งภูเขาฮว่าชิ่งซาน มีหรือจะกลัวไก่ตัวหนึ่ง?


 


 


เป็นเจ้าเด็กน้อยเหยียนเฉียวหลัว ที่ไปเสียทีในแคว้นต้าโจว ถูกงูกัดไปครั้งกลัวเชือกเปียกไปสิบปี [1] ถึงได้ระแวดระวังมากจนมากเกินไป


 


 


“คอยติดตามองค์ชายน้อยให้ดี” ว่าแล้ว ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็เหาะออกไปในทันที


 


 


นักพรตที่มีตบะสูงส่งอย่างพวกเขา วิชาตัวเบาย่อมสูงส่งอยู่แล้ว นักพรตที่มีระดับสูงส่งขึ้นไปยิ่งสามารถขี่เมฆเดินทางได้ก็มี


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยืนอยู่ที่เดิม ตอนนี้จึงกลายเป็นอยู่ข้างองค์ชายน้อยตามลำพังอีกครั้ง ใจของนางก็หวาดกลัวขึ้นมา


 


 


เมื่อครู่นางคล้ายจะได้รู้เรื่องที่ยิ่งใหญ่บางประการอีกเรื่องหนึ่ง


 


 


เบื้องหลังขององค์ชายน้อยยังมีท่านประมุขอีกคน


 


 


จากที่ฟังน้ำเสียงของเขา ท่านประมุขผู้นี้ยืนอยู่เหนือผู้ใดทั้งหมด แม้แต่เหล่านักพรตแห่งฮว่าชิ่งซานแค่ได้ยินก็ยังหน้าเปลี่ยนสี


 


 


นางเคยคิดมาตลอดว่าตนเองชาญฉลาด รู้ความเป็นไปในแผ่นดินทั้งหมด แต่ตอนนี้ถึงได้ตระหนักว่า นอกจากเรื่องของบ้านเมืองแล้ว ในแผ่นดินนี้ยังมีความลับที่นางไม่รู้อีกมากมาย


 


 


‘ท่านประมุข’ ……..คล้ายกับว่าศพคืนชีพที่เคยจะทำให้นางต้องเดือนร้อนจนเกือบตายนั้นก็เคยเอ่ยถึงมาก่อน


 


 


ท่านประมุขที่พวกเขาพูดถึงใช่เป็นคนคนเดียวกันหรือไม่?


 


 


แต่มีประเด็นหนึ่งที่สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอน ก็คือ ‘ท่านประมุข’ ผู้นี้ชิงชังแคว้นต้าโจว ดูท่าเขาจะคิดวางแผนเอาไว้มากมาย อย่างไรก็ไม่ยอมให้ต้าโจวได้อยู่อย่างสงบสุข


 


 


จีเฉวียนทอดทิ้งนาง เช่นนี้นางก็จะร่วมมือกับองค์ชายน้อยและ ‘ท่านประมุข’ ก็ถือเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างเดียวกัน


 


 


…………………..


 


 


อีกด้านหนึ่ง หยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ยที่พึ่งจะปีนถึงยอดเขาก็กำลังหอบหายใจคำโต


 


 


หลงเซียวยืนอยู่ข้างกายพวกเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์


 


 


“รออยู่ด้านนอกไม่ดีหรือยังไง? กลับจะต้องฝืนปีนขึ้นมาให้ได้?” ถึงทั้งสองคนจะหอบจนตัวโยน หลงเซียวก็ยังคงเยาะเย้ยอย่างไร้น้ำใจ


 


 


ภูเขาที่สูงมากขนาดนี้พวกเขากลับอาศัยเพียงกำลังกายปีนขึ้นมาจนถึง ก็นับว่ามีความสามารถอยู่


 


 


แต่ตอนนี้เขาออกจะร้อนใจบ้างแล้ว เขาพลัดหลงกับฮ่องเต้และไทเฮาเสียแล้ว…..นอกจากนี้ เจ้าไก่ของไทเฮาที่เดิมทียังอยู่กับพวกเขา ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ พอมาถึงครึ่งทางมันก็มาถูกแม่ไก่ตัวหนึ่งที่บุกเข้ามาลักพาตัวหายไปเสียแล้ว


 


 


ไก่ทั้งสองตัววิ่งตะลุยมาทางสระสวรรค์


 


 


ขุนนางอวี้ซื่อไล่ตามมาตลอดทางไม่ยอมหยุด ปากก็ว่า ‘นี่เป็นไก่ที่น้องเล็กรักมากที่สุด ไม่อาจปล่อยให้มันไปให้กำเนิดลูกเจี๊ยบเรี่ยราดอยู่ที่ภายนอกได้’ คำพูดที่ไร้สาระหาเหตุผลไม่ได้เช่นนี้ก็ยังถูกเขายกมากล่าวอ้าง


 


 


หยวนเฟยและเขาหมดหนทาง ได้แต่ไล่ตามมา


 


 


แม่ไก่ตัวนั้นไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสัตว์ปีศาจที่อยู่บนเขา ที่คอยล่อลวงไก่ตัวผู้โดยเฉพาะก็เป็นได้ มันล่อลวงติ๊งต๊องเสียงจนหัวหมุน เอาแต่ติดตามอย่างไม่คิดชีวิต ผลุบๆ โผล่ราวกับดวงวิญญาณ เดี๋ยวเจอประเดี๋ยวไม่เจอ


 


 


กว่าที่พวกเขาจะได้สติรู้ตัว ก็ป่ายปีนขึ้นมาจนถึงยอดเขาแล้ว


 


 


หยวนเฟยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจริงๆ คิดๆ ดูแล้ว หากว่านางนอนเฝ้าตำหนักฉางซินกงเอาไว้จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ? จะมาทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ทำไม


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยมองดูผู้คนที่ออกันอยูด้านหน้า ก็เสาะหาเงาของน้องสาวตนเองอยู่ตลอด “ข้าช่างเป็นพี่ชายที่ล้มเหลวเสียจริงๆ ทำน้องสาวตนเองหาย แม้แต่ไก่ของนางก็ยังดูแลไม่ดี ข้ามันใช้ไม่ได้….”


 


 


หยวนเฟยและหลงเซียว “…….”


 


 


เป็นถึงขุนนางใหญ่ของแคว้นต้าโจว ไอ้หนุ่มนี่ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยห่วงใยฝ่าบาทเลยสักนิด


 


 


นี่เขาแสดงออกอย่างชัดเจนเกินไปหรือไม่?


 


 


ตอนแรกยังคงคร่ำครวญด้วยความละอายใจ แต่แค่ครู่เดียวก็เห็นตู๋กูเจวี๋ยเบียดไปถึงด้านหน้าของฝูงชน ชี้ไปที่ผิวทะเลสาบที่แตกร้าวกล่าวว่า “อ้ายย่าห์ พวกเจ้าเดาสิว่าที่ใต้ทะเลสาบนั่นคือที่ซ่อนขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือใช่หรือไม่? ข้าเกิดลางสังหรณ์ ไม่แน่ว่าข้างล่างนั้นจะมีตัวประหลาดอะไรโผล่ขึ้นมา”


 


 


 


 


——


 


 


[1] 一朝被蛇咬十年怕井绳


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: ตัวพ่อตัวแม่มากันครบแล้ว พวกตัวประกอบเชิญถอยออกไป


 


 


มีใครเห็นอิ๋งฉีโผล่ขึ้นมาหรือยัง ช่วยฉุดเขาหน่อย ไรท์เสียดายผู้ชายดีๆ 

 

 


ตอนที่ 269 เจ้าลูกหมาปากพล่อยนั่นเป็น...

 

ผู้คนทั้งหลายอดจะมองไปที่เขาไม่ได้


 


 


“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ที่นี่ก็มีปีศาจโผล่ออกมาครั้งหนึ่งแล้ว”


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยรีบหยิบสมุดเล็กน้อยของตนเองออกมา สองตาเป็นประกาย “หา? โผล่ออกมาแล้ว? เป็นอย่างไรบ้าง? ตัวสีอะไร? กว้างแค่ไหนยาวแค่ไหน? ความสามารถของมันคืออะไร?”


 


 


ผู้คนทั้งหลาย “…..”


 


 


พวกเขามาเพื่อค้นหาสมบัติ ไอ้หนุ่มนี้มาเพื่ออะไร?


 


 


หน้าตารึก็ดูงดงาม ทำไมสติปัญญาถึงได้เหมือนคนบ้า?


 


 


หยวนเฟยและหลงเซียวรู้สึกอับอายขายหน้า ทั้งสองคนพร้อมใจกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แกล้งทำเป็นไม่รู้จักคนบ้าผู้นี้


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยขบปลายด้ามดินสอถ่าน เบิกตาโตมองดูผู้คนรอบด้าน


 


 


“อ้าย ทุกคนล้วนแต่เป็นมนุษย์เหมือนกัน สมควรจะเอื้อเฟื้อต่อกันสักหน่อย พี่ชายท่านนี้ ท่านเห็นชัดเจนหรือไม่ว่าปีศาจตนนั้นมันมีดวงตากี่ข้างกัน?”


 


 


พี่ชาย “ข้าพึ่งจะอายุสิบหกเท่านั้น”


 


 


ตู๋กูเจวี๋ย “เช่นนี้พี่ชายก็คงจะเติบโตเร็วไปสักหน่อยแล้ว”


 


 


เขาหันหน้าไปหาสตรีอีกผู้หนึ่ง “พี่สาวท่านนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าน้ำลายของปีศาจนั้นเหนียวเหนอะหนะหรือไม่?”


 


 


พี่สาว “นี่เจ้าสติไม่ดีหรือเปล่า?”


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยคิดดูอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก็ส่ายศีรษะ “ผู้น้อยสุขภาพแข็งแรง มีสติครบถ้วน สมควรจะไม่มีปัญหาในที่ใด หากว่าจะมีละก็ คาดว่าคงจะเป็นเพราะว่าโรคภัยเล็กน้อยที่เกิดจากช่วงก่อนหน้านี้ถูกขังเอาไว้ในคุกใต้ดิน ตอนนี้จึงหวาดกลัวความมืดอยู่บ้าง”


 


 


พี่สาวผู้นั้นไม่ได้อยากจะรู้เรื่องราวพวกนี้ จึงหันไปค้อนตาขาวใส่เขา


 


 


เดิมทีทุกคนกำลังจับตาดูผิวทะเลสาบอย่างเคร่งเครียด ใครจะไปรู้ว่าจะมีคนบ้าโผล่ออกมา ทำเอาบรรยากาศเมื่อครู่สลายไปหมดแล้ว


 


 


คนบ้าผู้นี้บ้าก็ส่วนบ้า แต่ว่ากลับมีรูปโฉมที่งดงามมาก พูดมากไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนชิงชัง


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยดึงดูดความสนใจผู้คนทั้งหลาย ผู้อาวุโสหยู่ซั่งและผู้อาวุโสอีกท่านไม่ต้องตามหาก็รู้แล้วว่าเขาอยู่ตรงไหน


 


 


ทั้งสองสบตากันอยู่แวบหนึ่ง ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็สะบัดแส้ในมือเบาๆ ก็เกิดพลังมหาศาลผลักตู๋กูเจวี๋ยจากด้านหลัง


 


 


เดิมทีเขาก็ยืนอยู่ด้านหน้าสุดอยู่แล้ว จึงอยู่ใกล้ทะเลสาบมาก ตอนนี้พอโดนกำลังขุมหนึ่งผลักออกไปอย่างแรง คนก็ถลาลงไปในทะเลสาบ


 


 


หลงเซียวเห็นดังนั้น ก็กำดาบน้ำแข็งในมือเอาไว้แน่น ส่งเสียงครั้งหนึ่งก็ทะลวงออกจากฝูงชน คิดจะดึงตัวตู๋กูเจวี๋ยกลับมา


 


 


แต่ว่าในขณะนั้นเองนักพรตในชุดขาวราวแสงจันทร์อีกคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาสกัดเขาเอาไว้ ฝ่ายตรงข้ามมีพลังเข้มแข็ง ไม่พูดไม่จาก็ชิงลงมือใส่เขาในทันที


 


 


คนผู้นี้ก็ไม่ได้คิดจะต่อสู้กับเขาอย่างจริงจัง เพียงแต่ขัดขวางเขาเอาไว้ ไม่ให้เขาไปช่วยตู๋กูเจวี๋ย


 


 


ร่างกายของตู๋กูเจวี๋ยเดิมทีก็ผอมบาง พอถูกผู้อาวุโสหยู่ซั่งผลักเข้าครั้งหนึ่ง คนก็เหาะลงไปในทะเลสาบทั้งตัว


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่อยู่เหนือหมู่เมฆ พอเห็นพี่ชายของตนเองตกลงไปในน้ำก็นั่งไม่ติด


 


 


นางยังไม่ทันจะลงมือ ก็ถูกฮ่องเต้รั้งเอาไว้ “อย่าได้ห่วงใยบุรุษอื่นนอกจากเรา”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ฝ่าบาท นั่นเป็นพี่ชายแท้ๆ ของหม่อมฉัน”


 


 


จีเฉวียน “พี่ชายก็ไม่ได้”


 


 


โว้ย! เล่นแบบนี้มันชักจะมากเกินไปจนผู้คนรังเกียจแล้วนะ


 


 


“เจ้าไม่อาจปกป้องเขาไปทั้งชาติ และตู๋กูเจวี๋ยก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิด”


 


 


จีเฉวียนตรัสต่อไป “อาศัยปากของเขา ขนาดจะต้องตายก็สามารถพูดจนเอาชีวิตรอดกลับมาได้ เจ้ายังจะกลัวว่าเขาจะจมน้ำตาย?”


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่าตนเองคงจะเสียสติไปแล้ว ถึงได้รู้สึกว่าคำพูดผีสางของจีเฉวียนนั้นน่าเชื่อถืออยู่บ้าง


 


 


ประเด็นสำคัญคือ….หากว่าตกลงไปในทะเลสาบธรรมดาก็แล้วไปเถอะ แต่นี่เป็นสระสวรรค์…..


 


 


สิ่งที่อยู่ข้างใต้นั่นดูดกลืนพลังชีวิต


 


 


จะให้นางวางใจได้กับผีนะสิ?


 


 


“เจ้ารับปากเราแล้ว ว่าจะไม่เคลื่อนไหวโดยพลการ” จีเฉวียนยื้อชายเสื้อของนางเอาไว้ “เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่ง ก็จะไม่รักษาคำพูดหรือ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” ฝ่าบาท ท่านไม่เหมาะกับการทำตัวออดอ้อนเช่นนี้เลยจริงๆ ขอร้องท่านได้โปรดกลับมาเย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็งเหมือนเดิมทีเถอะ


 


 


หม่อมฉันกลัวแล้ว


 


 


…………………….


 


 


อิ๋งฉีเค้นเรี่ยวแรงที่มีอยู่ออกไปจนหมดสิ้น [1] ถึงได้ว่ายขึ้นมาจนถึงผิวทะเลสาบได้สำเร็จ


 


 


พอพึ่งจะโผล่หน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าเหนือศีรษะมีอะไรบางอย่างลอยคว้างลงมา


 


 


เขาแทบจะหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่แล้ว ตอนนี้จึงไม่มีกำลังหลงเหลือที่จะใช้หลบหลีกอีกต่อไป จึงถูกสิ่งนั้นพุ่งชนเข้าอย่างจัง


 


 


เสียง ‘ผลั๊ก’ คนก็ถูกถีบจมลงไปในทะเลสาบอีกครั้ง


 


 


แถมสิ่งนั้นยังกระแทกเข้ากับศีรษะของเขาอย่างจังจนเขาแทบจะสลบตายคาทะเลสาบ


 


 


ที่น่าอนาถที่สุดก็คือ เจ้าสิ่งนั้นยังคิดจะต่อสู้ พอมันคว้าเสื้อผ้าของเขาได้ก็ดึงทึ้งต่อยตีอย่างมั่วซั่วเป็นการใหญ่


 


 


“เป็นแค่ศพแห้งศพหนึ่งมิใช่หรือ? ยังจะกล้ามาลงมือกับนายน้อยอย่างข้าอีก? หากนายน้อยอย่างข้าไม่อัดเจ้าให้ตายก็เป็นลูกเต่าแล้ว!”


 


 


สิ่งนั้นมีวิชาทางน้ำยอดเยี่ยม ตกลงมาในทะเลสาบไม่เพียงสามารถลอยตัวให้ศีรษะอยู่เหนือย้ำ ยังระดมหมัดเท้ามาต่อยตีเขา อิ๋งฉีแทบจะถูกตีตายคาที่


 


 


ยังดีที่เหล่านักพรตแคว้นต้าฉินพวกนั้นพบว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะเห็นแค่เพียงแวบเดียว แต่ว่าที่โผล่หัวขึ้นมาจากในทะเลสาบนั่นคือ….คือคุณชายของพวกเขาใช่หรือไม่?


 


 


นักพรตทั้งกลุ่มต่างรีบกระโดดลงไปในทะเลสาบ รีบช่วยกันลากตัวอิ๋งฉีที่ถูกต่อยตีเสียจนจมูกเขียวหน้าช้ำขึ้นมา


 


 


ขณะเดียวกันก็หนีบเอาคนปากพล่อยที่ทำร้ายคุณชายของพวกเขาขึ้นมาด้วย


 


 


แม้แต่ท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นต้าฉินก็ยังกล้าแตะต้อง คนผู้นี้ดูท่าคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปสักเท่าไรแล้ว!


 


 


แน่นอนว่าจะต้องไม่ปล่อยให้เขาตายไปง่ายๆ จะต้องเก็บมันเอาไว้ให้คุณชายค่อยๆ ทรมานมันเป็นการเอาคืน


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยพึ่งจะร่วงลงไปในน้ำ เส้นผมยังไม่ทันจะเปียก ก็ถูกพวกนักพรตแคว้นฉินฉุดขึ้นมาแล้ว


 


 


ในมุมอับ ชือหลีที่ไม่ทันได้ลงมือช่วยเหลือถึงกับมุมปากกระตุก….เมื่อครู่นางตื่นเต้นไปทำไมกัน ไอ้เด็กนั่นมีนรลักษณ์ของผู้ที่อายุยืนแท้ๆ ชะตาชีวิตมีแต่ผู้สูงส่งอุปถัมภ์ค้ำชู


 


 


ไม่เห็นรึ ไปตบตีคน ก็ยังมีคนช่วยขึ้นมา


 


 


นางเกือบจะยั้งตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เสียแล้ว เจ้าเด็กนั้นเป็นพวกมีชะตาดีเลิศแท้ๆ ทำไมตนเองถึงอดไม่ได้ต้องคอยช่วยเหลือรอบแล้วรอบเล่าอยู่ร่ำไป?


 


 


ตู๋กูซิงหลันที่ทำหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยยังไม่ทันได้ทำหน้าที่ให้ครบถ้วนสมบูรณ์เลยเสียด้วยซ้ำ หากว่ามีโอกาสล่ะก็นางอยากจะทำหน้าที่ออกไปตักเตือนสักหน่อย


 


 


นางหรี่ตาลง กวาดตามองลงไปในหมู่ฝูงชน คนทั่วไปอาจจะมองไม่เห็น แต่ว่านางสามารถสัมผัสได้ เมื่อครู่มีขุมพลังหนึ่งจงใจผลักตู๋กูเจวี๋ยลงไป


 


 


สายตานั้นสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่บนร่างของผู้อาวุโสหยู่ซั่ง


 


 


วันนี้มีเหล่านักพรตปรากฏตัวออกมาไม่น้อย นักพรตส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ชุดสีขาว ดังนั้นจึงมิได้มีผู้ใดสนอกสนใจนักพรตหญิงที่สวมใส่ชุดสีขาวดุจแสงจันทร์มากนัก และเพราะเดิมก็มีนักพรตจำนวนไม่น้อยยืนอยู่แต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาพุ่งความสนใจไปที่ขุมทรัพย์ลับ ไหนเลยจะมีเวลามาใส่ใจว่าใครเป็นใคร


 


 


ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งเองก็นึกไม่ถึง …….ขุนนางอวี้ซื่อแห่งต้าโจวผู้นี้ดวงดีเกินไปแล้ว


 


 


เขามีวิชาทางน้ำก็ถือว่าแล้วไปเถอะ แต่ว่าตกลงไปในสระสวรรค์แล้วยังไม่ถูกสูบพลังชีวิตอีก?


 


 


ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งที่อยู่ในน้ำรังเกียจว่าเขาพูดมากเกินไปหรือไม่ ไม่อยากได้คนปากมากผู้นี้มาเป็นเครื่องสังเวย?


 


 


ความคิดก็ส่วนหนึ่ง แต่นางไม่กล้าผิดต่อคำสั่งขององค์ชายน้อย จึงยกมือขึ้นกำแส้ปัดเอาไว้แน่น


 


 


ไม่รอให้ตู๋กูเจวี๋ยยืนได้อย่างมั่นคง ก็มีลมหอบหนึ่งพัดมาอีกครั้ง


 


 


เพียงแต่ว่าครั้งนี้ยังไม่ทันสัมผัสถูกตู๋กูเจวี๋ย ก็เห็นเงาร่างของงูเขียวตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าของนาง


 


 


นั่นเป็นสตรีที่มีนัยตาสีแดงดุจโลหิต นางเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นัยตาสีแดงคู่นั้นจดจ้องมายังนาง ไม่รอให้ผู้อาวุโสหยู่ได้ทันมีปฏิกริยา ก็เห็นนางชิงยื่นมือลงมาก่อน คว้าจับและหยุดข้อมือของนางเอาไว้ เสียงหักเป๊าะราวกับว่ามีอะไรแตก


 


 


“เจ้าลูกหมาปากพล่อยนั่นเป็นของข้า ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องได้กัน?”


 


 


ท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่ง “???”


 


 


ใช่แล้ว ในสายตาของชือหลี ตู๋กูเจวี๋ยนั้นอ่อนแออ้อนแอ้น อายุหรือก็ยังน้อย ดูราวกับลูกหมาที่ยังไม่ทันได้หย่านมแม่อย่างไรอย่างนั้น


 


 


เจ้าคนปากมากผู้นี้ถูกนางรังแกเป็นคนแรกก่อนคนอื่น ย่อมไม่อาจปล่อยให้คนอื่นมาแตะต้องเขาได้ทั้งนั้น


 


 


 


 


——


 


 


[1] 九牛二虎之力jiǔ niú èr hǔ zhī lì: กระทำอย่างสุดกำลังและความสามารถ ใช้แรงวัวเก้าตัวและเสือสองตัวรวมกัน 

 

 


ตอนที่ 270 เป็นฮ่องเต้ผู้ทรงสูงส่งจริงๆ

 

ชือหลีไม่มีร่างจริง ถึงตอนนี้ก็ยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว นางจงใจพรางกลิ่นอาย หากว่าไม่มีตบะสูงพอก็จะมองไม่เห็นนาง 


 


 


ตอนนี้นางจ้องมองไปยังผู้อาวุโสหยู่ซั่ง ในดวงตาสีแดงนั้นก็คือความเย็นยะเยือกอย่างที่สุด “ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังของเจ้าจะเป็นใคร ก็จงออกห่างให้ไกลจากลูกหมาของข้า หากเราผู้เป็นเทพมีโทสะขึ้นมา ก็จะขุดศพบรรพบุรุษทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าขึ้นมาทรมาน” 


 


 


ผู้อาวุโสหยู่ซั่งตกตะลึงจนไม่ทันได้เรียกสติกลับมา ดวงจิตของชือหลีกดดันจนนางหายใจไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะร่ำร้องที่กระดูกข้อมือถูกบีบจนแตกหัก ได้แต่เงยหน้าขึ้นมามองดูชือหลี 


 


 


บนภูเขาเทียนซานแห่งนี้……ถึงกับยังมีเทพสถิตอยู่? 


 


 


ถึงแม้ว่าจะเป็นร่างจิตที่มีอยู่เพียงครึ่งเดียว บนร่างก็ยังมีเหล่าวิญญาณคอยพยุงยามเคลื่อนไหว แต่ว่าก็เป็นเทพอย่างแน่นอน เป็นเทพที่มีไอชื้นอยู่ในดวงจิต 


 


 


ถึงแม้ว่านางเห็นแล้วก็จะยังไม่เข้าใจ ว่าทำไมเทพผู้หนึ่งถึงต้องมาคอยพิทักษ์ขุนนางอวี้ซื่อของแคว้นต้าโจว? 


 


 


คนปากพล่อยผู้นั้นไปเอาโชคเช่นนี้มาจากที่ใดกัน? 


 


 


ชือหลีเองก็ไม่เข้าใจว่าตนเองทำไมจะต้องโกรธมากมายถึงขนาดนี้? บางทีอาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่คุมขังตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้ จึงทำให้ถือว่าเขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของตนเองเสียแล้ว 


 


 


สัตว์เลี้ยงทุกชนิด มีแต่ตนเองเท่านั้นที่สามารถรังแกได้ ผู้อื่นไม่อาจแตะต้องแม้แต่น้อย 


 


 


ในเมื่อผู้อาวุโสหยู่ซั่งยังมิได้ตอบรับ ก็ได้ยินเสียงชือหลีกล่าวต่ออีกว่า “หากว่ายังไม่เพียงพอ เราก็จะสาปแช่งไปยังลูกหลานของเจ้าทุกรุ่นเป็นไง?” 


 


 


ผู้อาวุโสหยู่ซั่งอึกอักขึ้นมา “ข้าไม่มีลูกหลาน” 


 


 


นางอายุมาขาดนี้แล้ว แม้แต่คนมาชอบพอก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกฝน วาดหวังในความก้าวหน้า หรือไม่ก็มีชีวิตยืนยาว กลายเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งผู้หนึ่ง ใครจะมีเวลามาสนใจเรื่องของชายหญิงกันนางอายุมากขนาดนี้แล้ว แม้แต่คนมาชอบพอก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่คร่ำเคร่งกับการฝึกฝน วาดหวังในความก้าวหน้า หรือไม่ก็มีชีวิตยืนยาว กลายเป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งผู้หนึ่ง ใครจะมีเวลามาสนใจเรื่องของชายหญิงกัน 


 


 


“งั้นก็สาปแช่งเจ้าแล้วกัน” ชือหลียิ้มอย่างเย็นชา ยื่นปลายนิ้วออกมาข้างหนึ่งปาดลงไปบนลำคอของอีกฝ่ายเบาๆ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งถูกกรีดผิวเป็นปากแผลเส้นหนึ่ง เลือดที่หยดออกมาจากปากแผล เย็นยะเยียบ 


 


 


นางรู้สึกหนาวจนชาวาบไปในทันที รีบส่ายศีรษะอย่างรวดเร็ว โยนคำสั่งขององค์ชายน้อยในหัวทิ้งไป “เป็นข้ามีตาแต่ไร้แวว บังอาจไปล่วงเกินคนของท่านเทพ ข้าสำนึกในความผิดของตนเองแล้ว ต่อไปไม่กล้าแตะต้องเขาอีกแม้แต่เส้นขน” 


 


 


ใช่แล้ว นางจะไม่ลงมือ แต่ปล่อยให้ผู้อื่นจัดการแทน 


 


 


ชือหลีหัวเราะเย็นชาสองคำ ก็ถีบลงไปบนเข่าของอีกฝ่าย “ไสหัวไปซะ” 


 


 


ผู้อาวุโสหยู่ซั่งไม่กล้ารั้งอยู่ คว้าแส้ของตนเองถอยออกไปในทันที แม้แต่หยวนเฟยนางก็ไม่สนใจอีกแล้ว 


 


 


คนของแคว้นต้าโจวแม่แต่ขุนนางอวี้ซื่อยังมีเทพคุ้มครอง แล้วถ้าเป็นพระสนมโปรดของฮ่องเต้ละ? คงจะมีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่ามีสิ่งใดคอยคุ้มครองอยู่ 


 


 


ในใจของนางตอนนี้ก็ยังหวาดผวาไม่หาย ทำงานยังไม่ทันสำเร็จก็เกือบจะถูกฆ่าตายเสียแล้ว ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสของเขาฮว่าชิงซาน แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าเทพ ก็ยังไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้ทั้งสิ้น 


 


 


เจ้างูเขียวน้อยที่อยู่บนข้อมือของหยวนเฟยตกใจจนเกือบฉี่ราด 


 


 


งูเขียวยักษ์ที่ติดตามพวกมันมาตลอดทาง ถึงกับอยู่ใกล้ๆ ขนาดนี้เลย? ไม่ใช่แค่นั้นนางถึงกับสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วย? 


 


 


งูเขียวยักษ์ตัวนี้คงไม่ใช่ว่าถูกเมิ่งเมิ่งเลี้ยงเอาไว้หรอกนะ? 


 


 


หรือว่าถูกเมิ่งเมิ่งไปก่อเรื่องอาละวาดมากัน? อย่างเช่นว่าไปถอนเกล็ดงูของผู้อื่น….เพราะเรื่องเช่นนี้นางเคยทำบ่อยๆ 


 


 


ยิ่งคิดเจ้างูน้อยก็ยิ่งกลัว จนตัวของมันแข็งทื่อไปหมดแล้ว พอมันบังเอิญถูกชือหลีจ้องตาอีกครั้งหนึ่ง ก็ตกใจเสียจนแทบจะเป็นลมตายไปเลย 


 


 


 


 


 


…………………. 


 


 


บนร่างของตู๋กูเจวี๋ยเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำสีดำที่เหม็นคาว ตอนนี้อยู่ๆ เขาถึงได้รู้สึกหนาววูบๆ วาบๆ ขึ้นมา 


 


 


ก็ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้รู้สึกถึงลมหายใจที่คุ้นเคย 


 


 


ยามที่เขาหันศีรษะมองออกไปรอบๆ กลับไม่เห็นอะไรเป็นพิเศษ….. 


 


 


ประหลาดจริงๆ ทำไมเขาถึงได้กลิ่นของดอกฮว๋ายฮวาขึ้นมา? 


 


 


ไม่ใช่กลิ่นแบบที่อยู่บนร่างของน้องเล็ก เป็นกลิ่นชื้นๆ ของดอกฮว๋ายฮวา แบบที่คล้ายกับในอารามของชือหลี 


 


 


เอ๋…..ชือหลีจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? 


 


 


จะต้องเป็นเพราะว่าสมองของเขามีน้ำเข้าไปแน่ 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยโยกศีรษะ อยากจะลองดูว่าสามารถเทน้ำออกมาได้หรือไม่ 


 


 


ชือหลี “…..” โง่จริง 


 


 


………….. 


 


 


ท่ามกลางหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันได้แต่มองดูเหตุการณ์อยู่เฉยๆ ดวงตาของนางหรี่ลงไปเป็นเส้นตรง 


 


 


ชือหลีมาถึงนี่แล้ว ก็แล้วไปเถอะ….. ‘ลูกหมาน้อยของข้า’ นั่นหมายความว่าอะไร? 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน คิดย้อนกลับไปถึงยามเมื่ออยู่ในเมืองลี่โจว พี่รองผู้โง่เขลาคิดจะลากชือหลีไปกล่าวคำสาบาน…… 


 


 


สุดท้ายยังไม่ทันสาบานสำเร็จ ก็ถูกนางลากกลับมาก่อน 


 


 


พี่ตัวแสบนั่น คงไม่ได้ฉวยโอกาสที่นางไม่ทันสังเกต กลับไปให้คำสาบานอะไรที่ไม่สมควรจะให้หรอกนะ ถึงได้ดึงดูดชือหลีให้มาถึงที่นี่ได้? 


 


 


ฮ่องเต้ที่ทรงทอดพระเนตรงิ้วอยู่พลันขมวดพระขนง หันมาทางเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ข้างพระองค์ ตรัสถามอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ลูกหมาน้อยคืออะไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” 


 


 


“เปรียบเทียบว่าเป็นน้องชายที่น่ารัก” วิญญาณทมิฬช่วยตอบแทนนาง “ฝ่าบาท อย่างพระองค์ไม่มีทางเหมาะกับลูกหมาน้อยหรอก” 


 


 


“ตู๋กูเจวี๋ยน่ารักมากหรือ?” ฮ่องเต้ทรงสงสัยอย่างจริงจังว่าสายตาของชือหลีต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน 


 


 


สมควรใช่อยู่…..หากไม่ใช่ว่าสายตาในการมองบุรุษของนางไม่ดี ก็คงจะไม่ทำให้เกิดคดีน้ำท่วมที่ลี่โจวขึ้นมาหรอก 


 


 


ดังนั้นไม่อาจใช้มุมมองของชือหลีมาตัดสินบุรุษได้ 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยเป็นคนพูดมาก ไม่เห็นจะดูน่ารักที่ตรงไหน 


 


 


ตรัสแล้ว ก็หันพระพักตร์ไปถามตู๋กูซิงหลันอีกครั้ง “เสี่ยวซิงซิง เจ้าคิดว่า เราไม่น่ารักหรือ?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหลั่งเหงื่อเย็นๆ ท่วมศีรษะ เขาไปเอาความมั่นอกมั่นใจมาจากไหนว่าตนเองน่ารัก? 


 


 


ไม่น่ารักเลยสักนิด น่ากลัวมากๆ! 


 


 


ยังดีที่จีเฉวียนยังพอจะมีความสำนึกรู้ตัวอยู่บ้าง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสตอบออกมาเองว่า “เอาเถอะ….เรากับความน่ารักก็ดูจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่” 


 


 


“แต่ว่านอกจากไม่น่ารักแล้ว เรายังมีข้อดีอื่นอีกมากมาย หรือว่าเจ้าไม่เคยรู้?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “….” นอกจากมีหน้าตาดี รูปร่างดี มีเงินทองและอำนาจแล้ว……นางก็หาข้อดีของเขาไม่เจอเลย 


 


 


“อย่างแรก เราหน้าตาดี แล้วก็ เราทรงศักดิ์สูงส่ง นอกจากนั้น เรามีเงินเยอะ ที่สำคัญอย่างสุดท้าย เรามีรักลึกล้ำหนักแน่นมั่นคง….” 


 


 


อยากพูดอะไรก็พูดไป ไม่ต้องวกมาทางนี้ก็ได้! 


 


 


หากลบคำว่าหนักแน่นมั่งคงออกไป พวกเรายังคงพอพูดคุยกันได้ 


 


 


ส่วนเรื่องความรักลึกล้ำอะไรนั่น…..ก็ช่างมันไปเถอะ ในวังยังมีซูคนงามที่ท้องโตอยู่เลย 


 


 


ยามที่นางลำบากตั้งครรภ์ สามีกลับพาหญิงอื่นไปท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำ นี่เรียกว่ารักลึกซึ้งตรงไหน? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอดจะกรอกลูกตาขาวไม่ได้ 


 


 


“พอคิดดูให้ละเอียด ข้อดีของเรามีมากมายจริงๆ นอกจากหลายข้อเมื่อครู่ เราก็ยังชาญฉลาด อีกหน่อยพอมีลูก ต้องให้มีสมองเหมือนเรา” จีเฉวียนคิดๆ ดูแล้ว ก็รู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่เคารพนางมากเกินไป จึงตรัสอีกว่า “เหมือนเจ้าก็ได้ ไม่โง่” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอยากจะกระอักเลือดใส่หน้าของเขาจริงๆ 


 


 


“ดังนั้น นอกจากคำว่าลูกหมาน้อยที่เอาไว้ชมคนแล้ว เจ้ายังมีคำใดจะมาชมเราหรือไม่?” 


 


 


จีเฉวียนเฝ้ารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ เขาอยากจะได้ยินตู๋กูซิงหลันชมเขาจริงๆ 


 


 


แบบที่ตั้งใจมากๆ 


 


 


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางมักจะกล่าวคำประจบประแจงเขา แต่ว่าฟังดูแล้วยังเป็นทางการมากไป 


 


 


ตู๋กูซิงหลันฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อกระพริบวิบๆ วับๆ “ฝ่าบาท อยู่ๆ หม่อมฉันก็นึกถึงคำที่เหมาะสมกับพระองค์มากคำหนึ่งขึ้นมาเพคะ” 


 


 


จีเฉวียนยกยิ้มมุมพระโอษฐ์ สีพระพักตร์เต็มไปด้วยความเฝ้ารอ “เจ้าว่ามาสิ” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มหวาน กล่าวออกมาสามคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สุนัข…เฒ่า….บ้าอำนาจ” 


 


 


จีเฉวียน “หืม?” ฟังดูแล้วไม่ค่อยจะเหมือนคำชมสักเท่าไหร่ 


 


 


“ที่บอกว่า แก่เฒ่า นั้นคือชมว่าท่านสงบนิ่งสุขุมลุ่มลึกมากด้วยแผนการ สุนัขคือ เปรียบเทียบว่าเพื่อแคว้นต้าโจวแล้ว ท่านเฝ้าปกป้องรักษาแผ่นดิน บ้าอำนาจ คือพระบารมีของฝ่าบาทอยู่เหนือผู้คน ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นเป็นต้องคุกเข่าลงคำนับด้วยความเคารพในองค์ฮ่องเต้” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: ระดับพี่เต้ แค่นี้ไม่พอหรอก ตอนต่อไปถึงได้ชื่อว่า “ชมเราอีกหลายๆ รอบ” 555 


 


 


ศัพท์วันนี้: 


 


 


小奶狗: เสี่ยวหน่ายโกว่ : (ลูกหมาน้อยที่ยังไม่หย่านม) ละอ่อนน้อยหน้ามนที่ยังไม่ ประสีประสาเรื่องความรัก หนุ่มขี้อ้อน 


 


 


老狗逼: เหล่าโกว่ปี้: ไอ้หมาแก่ หนุ่มใหญ่เจ้าเล่ห์ ชำนาญเส้นทาง รู้จักวิธีการอย่างดี ผู้ชำนาญเกมส์  

 

 


ตอนที่ 271 ชมเราอีกหลายๆ รอบ

 

ตู๋กูซิงหลันอธิบายมาตั้งมากมายขนาดนี้ แม้แต่ตัวนางเองยังแทบจะหลงเชื่อไปแล้ว 


 


 


ดวงตาของนางเปล่งประกายรื่นเริง จดจ้องไปยังจีเฉวียน “ฝ่าบาท ใต้หล้านี้ มีแต่พระองค์เท่านั้นที่เหมาะสมและคู่ควรกับคำคำนี้เพคะ” 


 


 


จีเฉวียนมองดูท่าทางที่หนักแน่นจริงจังของนาง ก็ชักจะเชื่อถือขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


“สุนัข เฒ่า บ้าอำนาจ” พระองค์ทวนสามคำนี้อีกรอบ อย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ 


 


 


“ฝ่าบาท คำเหล่านี้ขอแค่พระองค์ฟังไปสักหลายๆ รอบก็จะคุ้นหูไปเองเพคะ ยังน่าฟังกว่าลูกหมาน้อยอะไรนั่นตั้งเยอะ” ตู๋กูซิงหลันพูดปาวๆ ต่อไป “พระองค์ไม่ทรงเชื่อหม่อมฉันหรือเพคะ?” 


 


 


เมื่อเห็นนางทำแก้มพองลม ท่าทางเสียอกเสียใจอย่างน่าสงสาร ไม่ว่าจะให้เป็นอะไรจีเฉวียนก็ทรงยอมแล้ว 


 


 


พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกมา ลูบศีรษะของนางเบาๆ “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นอกจากเราแล้ว ห้ามเจ้าใช้คำนี้ไปชื่นชมใครอื่นอีก” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันผงกศีรษะติดๆ กันเป็นนกน้อยจิกข้าวสาร “แน่นอน เพคะ แน่นอน” 


 


 


ฮ่องเต้อยากจะทรงเป็นสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจ นางจะไปห้ามทำไม? 


 


 


วิญญาณทมิฬรู้สึกว่าได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกระดับ สตรีผู้นี้ไม่ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ใดก็ถือเป็นยอดฝีมือในการพูดจาเหลวไหล 


 


 


จากนั้นมันก็รู้สึกว่าฮ่องเต้ออกจะใสซื่อบริสุทธิ์อยู่บ้าง 


 


 


เพื่อให้เกิดความคุ้นหู ฝ่าบาทจึงทรงมีรับสั่งอีกครั้ง “ชมเราสักหลายๆ รอบหน่อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “สุนัขเฒ่าบ้าอำนาจ ฝ่าบาททรงเป็นสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจจริงๆ สุนัขเฒ่าบ้าอำนาจอันดับหนึ่งไม่มีสอง” 


 


 


คำสุนัขเฒ่าบ้าอำนาจชุดหนึ่งเข้าหูไป ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าชักจะฟังจนคุ้นเคยขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


สายพระเนตรของพระองค์อ่อนโยนขึ้นมาก ก่อนหน้านี้พระองค์รู้สึกว่านางชมเพราะมีจุดประสงค์บางอย่าง ตอนนี้พอบังคับให้นางชมได้สำเร็จ ที่แท้ก็เป็นความรู้สึกอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เช่นนี้เอง 


 


 


“เมีย เมีย ~” เมียเมียกระพือปีกอย่างเห็นด้วย ฝ่าบาทของมันย่อมต้องเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว 


 


 


ขณะที่มันสะบัดปีก ส่งเสียงร้องเมียเมียออกมาอีก ก็ร่อนไปทางสระสวรรค์ 


 


 


ก็เห็นว่าในตอนนั้น ไม้หนามที่ล้อมอยู่ภายนอกพากันขยับเข้ามา 


 


 


หนามแหลมๆ เหล่านั้นคล้ายกับว่ามีชีวิตขึ้นมา พากันขดเป็นวง ค่อยๆ ขยับเข้าไปสู่ใจกลางสระสวรรค์ คิดจะผลักดันให้ผู้คนทั้งหมดตกลงไปในทะเลสาบ 


 


 


และเหล่าคนที่ก่อนหน้านี้โดนหนามแหลมทิ่มตำ ก็พากันรู้สึกทั้งคันและปวดแผลขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เริ่มมีหนามเล็กๆ สีดำแดงงอกเงย 


 


 


“อ๊าก นี่มันคืออะไร?” 


 


 


ในกลุ่มคน มีคนที่ตะโกนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก 


 


 


“ข้า…ข้าก็มี ทำไมปากแผลถึงมีหนามงอกออกมาได้กัน?” 


 


 


น้ำเสียงพึ่งจะดังขึ้นมา ผู้คนก็พากันแตกตื่นเสียยกใหญ่ เหล่าคนที่ถูกหนามแหลมทิ่มตำพากันตรวจดูบาดแผล ก็พบว่าบริเวณปากแผล มียอดอ่อนของต้นไม้หนามงอกออกมาจากใต้ผิวหนัง คล้ายกับว่าเกิดมาจากกระดูกและเลือดเนื้ออย่างไรอย่างนั้น 


 


 


และที่น่าหวาดกลัวที่สุดก็คือ ยอดอ่อนเหล่านั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ครู่เดียวก็แทงยอดสูงขึ้นมา 


 


 


พอต้นไม้หนามเติบโตขึ้นมาหนึ่งชุ่น กล้ามเนื้อของพวกเขาก็เ**่ยวลงหนึ่งส่วน 


 


 


ภาพที่น่าหวาดกลัวนี้ทำเอาผู้คนขนหัวลุก คนที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บก็รีบถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกต้นไม้หนามกดดันให้ขยับไปทางสระสวรรค์ 


 


 


มีจอมยุทธ์ผู้กล้าบางคน ไม่เชื่อถือในอาถรรพ์ ใช้ดาบเดียวสะบั้นตัดทิ้งไป 


 


 


หนามแหลมเหล่านั้นมิได้แข็งแกร่ง พอคมดาบวาดผ่านก็สามารถตัดมันขาดกระเด็นลงพื้นไป 


 


 


“ก็ไม่เท่าไหร่สักหน่อย พวกเราแต่ละคนล้วนเป็นขุมกำลังของแว่นแคว้น จะไปกลัวอะไร?” จอมยุทธ์ผู้นั้นถือดาบพลางกล่าวออกมา 


 


 


พึ่งจะสิ้นเสียงไป ก็เห็นชิ้นหนามที่ตกลงไปบนพื้นเหล่านั้นขยับเขยื้อนขึ้นมา คล้ายกับเป็นหนอนแมลงสีเลือด กระโดดเข้าใส่เหล่าจอมยุทธ์ต่อหน้าต่อตาผู้คนทั้งหลาย 


 


 


จากนั้นชิ้นหนามเหล่านั้นก็มุดลงไปใต้ผิวหนังของพวกเขา ผู้คนพากันตื่นตระหนกจนตาโต เห็นไม้หนามใช้ร่างมนุษย์เป็นที่อยู่อาศัย เริ่มเจริญงอกงามขึ้นมา 


 


 


ไม้หนามเหล่านี้เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่ครู่เดียวก็ดูดกลืนเลือดเนื้อของเหล่าจอมยุทธ์เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นพุ่มไม้หนามที่แน่นขนัด 


 


 


จอมยุทธ์สิบกว่าคน กลายเป็นต้นไม้หนามสิบกว่าต้น ยอดหนามแหลมๆ แทงทะลุเสื้อผ้าของจอมยุทธ์เหล่านั้นออกมา 


 


 


ภาพที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้ทำเอาผู้คนทั้งหลายแทบลืมหายใจไปแล้ว 


 


 


เหล่าคนที่ปากแผลเริ่มมียอดหนามงอกเงยก็พากันร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมา 


 


 


“ขุมสมบัติยังไม่ทันหาเจอ พวกเราก็ต้องมาตายไปเช่นนี้แล้วหรือ?” 


 


 


“ข้ายังไม่อยากตาย ฮือ ฮือ ฮือ….” 


 


 


มีบางคนทรุดลงไปนั่งบนพื้น ฉี่ราดออกมาแล้ว 


 


 


ในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเย็นชาของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมา “เฮอะ เฮอะ น่าเสียดายที่พวกเจ้าอุตส่าห์ตามหาสระสวรรค์จนเจอ กลับมีความกล้าน้อยนิดเหมือนกับหนูสกปรก?” 


 


 


ผู้คนพากันหันไปตามเสียง ก็เห็นใต้ต้นไม้หนามที่ไกลออกไป มีสาวน้อยในชุดสีเขียวผู้หนึ่งเดินออกมา 


 


 


นางมีรูปโฉมงดงาม ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่หวาดกลัว ดวงตาที่งามดั่งเมล็ดซิ่งคู่นั้นยามมองมายังพวกเขายังมีแววเยาะเย้ยเสียด้วยซ้ำ 


 


 


ที่ข้างกายของนาง มีบุรุษชุดสีม่วงผู้หนึ่ง บุรุษผู้นั้นสวมใส่หน้ากากสีเงิน เปิดให้เห็นเพียงดวงตาที่งดงามดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงคู่หนึ่ง 


 


 


ถึงแม้ว่าไม่อาจจะมองเห็นใบหน้าได้ทั้งหมด แต่จากรูปร่างและท่าทางก็ดูโดดเด่นน่าดึงดูด นี่จะต้องเป็นผู้ที่มีฝีมือผู้หนึ่งแน่นอน 


 


 


ที่ด้านหลังของสาวน้อย มีเหล่านักพรตที่สวมใส่ชุดสีขาวราวกับแสงจันทร์อยู่กลุ่มหนึ่ง 


 


 


สีที่ขาวดั่งแสงจันทรา ดูไปแล้วยังสง่างามกว่าสีขาวธรรมดาอีกขั้นหนึ่ง อีกบนผ้าปักด้วยด้ายเงินเป็นลวดลายดั่งเมฆคล้อยก็ยิ่งทำให้ดูสูงส่งกว่าเดิม 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ย หยวนเฟยและหลงเซียวพากันมองตามไป 


 


 


“เหยียนเฉียวหลัว?” ตู๋กูเจวี๋ยไม่ได้แปลกใจสักเท่าไร เพียงแต่มองดูเหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังของนางอย่างแปลกใจอยู่บ้าง 


 


 


ความรู้สึกคุ้นเคยที่เขาได้รับเมื่อครู่ คล้ายกับว่าจะออกมาจากสตรีที่สวมใส่ชุดสีขาวราวแสงจันทร์ 


 


 


และตอนนี้ สตรีผู้นั้นก็ยืนอยู่ด้านหลังของเหยียนเฉียวหลัวพอดี 


 


 


เขาลืมตากว้างมองดูสตรีผู้นั้นอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตหญิงวัยกลางคน มองซ้ายมองขวาก็แล้ว แต่ไม่เห็นเงาของชือหลีแม้แต่น้อย 


 


 


นี่เขาคิดมากไปจริงๆ ใช่หรือไม่? 


 


 


เขากอดแขนของตนเองเอาไว้ หนาวจนริมฝีปากเป็นสีม่วง ยังดีที่หลงเซียวถอดเสื้อคลุมตัวนอกของตนเองให้เขาคลุมเอาไว้ 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยนับว่าเป็นคนที่ชะตาแข็งกล้า ถูกเหล่านักพรตของแคว้นฉินช่วยเหลือขึ้นมายังไม่ทันไร ก็ดูท่าจะต้องเจอดีเข้าอีกแล้ว 


 


 


นักพรตที่คิดจะเล่นงานเขา ก็คือคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหยียนเฉียวหลัวอีกคนนั่นเอง 


 


 


ดูท่า….คงจะเป็นเพราะองค์หญิงแคว้นเหยียนถูกฝ่าบาทปฏิเสธจึงเปลี่ยนจากรักเป็นแค้น เลยคิดจะก่อเรื่องขึ้นมา 


 


 


พอได้ยินชื่อของเหยียนเฉียวหลัว ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันมีปฏิกริยาขึ้นมา 


 


 


สาวน้อยในชุดกระโปรงสีเขียวตรงหน้า คือพระธิดาองค์เล็กที่ฮ่องเต้แคว้นเหยียนโปรดปรานที่สุด 


 


 


ฟังว่า….ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่พำนักอยู่ในแคว้นต้าโจวองค์หญิงผู้นี้ถึงกับก่อเรื่องฆ่าพระเชษฐาเพื่อใส่ร้ายฮ่องเต้ต้าโจวมาแล้ว 


 


 


ยังดีที่รัชทายาทของต้าเหยียนผู้นั้นมิได้ตาย ที่น่ากลัวที่สุดคือมีเทพออกมาช่วยเหลือถึงได้ฟื้นขึ้นมาจากความตาย และเปิดเผยแผนการชั่วร้ายขององค์หญิงแคว้นเหยียน 


 


 


คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วองค์หญิงแคว้นเหยียนก็ถูกแคว้นเหยียนไถ่ตัวกลับไป ไม่เพียงไถ่ตัวกลับไป แต่ยังมอบหมายหน้าที่สำคัญให้กับนาง ให้นางมาที่นี่เพื่อตามหาขุมทรัพย์ 


 


 


เห็นได้ชัดเลยว่าฮ่องเต้แคว้นเหยียนโปรดปรานองค์หญิงผู้นี้จนถึงขั้นเสียสติไปแล้ว 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยืนตัวตรงดุจพู่กัน มองดูผู้คนทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม “ไม้หนามพวกนี้ล้วนเกิดจากกระดูกและเลือดเนื้อของผู้คน หากว่าโชคไม่ดีถูกทิ่มตำเข้าละก็ ร่างกายก็จะกลายเป็นแหล่งเพาะเลี้ยงใหม่ของมัน เพียงไม่นานร่างทั้งหมดก็จะกลายเป็นต้นไม้หนาม” 


 


 


คำพูดนี้ไม่ต้องให้นางกล่าวออกมา ผู้คนทั้งหลายต่างก็ทราบอยู่แล้ว เมื่อครู่พวกเขายังตื่นตระหนกตกใจจนขวัญหนีอยู่เลย 


 


 


“แต่ว่าพวกเจ้าวางใจได้ องค์หญิงอย่างข้าย่อมมีวิธีการช่วยเหลือพวกเจ้า” 


 


 


ขณะที่เหยียนเฉียวหลัวกล่าวต่อไป อาจารย์ของนางผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็ส่งถุงใบหนึ่งมาให้นาง  

 

 


ตอนที่ 272 โหมไฟให้ลุกโชน

 

ถุงที่ถูกส่งออกมา มีกลิ่นหอมของยาสมุนไพรกระจายออกมา


 


 


“ในถุงใบนี้ก็คือยาถอนพิษ สามารถสะกดพิษของต้นไม้หนามเอาไว้ได้ หลังจากนั้นท่านอาจารย์ของข้าและอาจารย์ลุงทั้งหลายจะช่วยขับพิษของไม้หนามที่ฝังอยู่ในร่างของทุกคนออกมา”


 


 


ผู้คนทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็กึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อ กลุ่มคนที่ได้รับบาดเจ็บ ที่กำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนกและหมดหวังก็มีประกายแห่งความหวังเล็กๆ ขึ้นมาในดวงตาทันที


 


 


พวกเขามีทางรอดแล้ว?


 


 


“นางจะใจดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?” หยวนเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่กำลังปีนเขาขึ้นมานั้น นางเองก็ไม่ทันระวังถูกต้นไม้หนามเกี่ยวเข้าด้วยเหมือนกัน หลังมือของนางมีรอยแผลเล็กๆ ที่คันนิดๆ แต่ว่ายังคงไม่มียอดอ่อนของไม้หนามงอกออกมาเหมือนคนพวกนั้น


 


 


คงจะเป็นเพราะว่าโดนไปเพียงแค่นิดเดียวละมั้ง….


 


 


งูเขียวน้อยที่พันอยู่บนข้อมือของนาง มีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหนักใจ


 


 


“พระสนมหยวนเฟยพะยะค่ะ แค่ดูก็รู้อยู่แล้วว่านางไม่มีเจตนาดี ไหนเลยจะยังต้องคิดอีก?” ตู๋กูเจวี๋ย กระชับเสื้อคลุมของหลงเซียวเอาไว้อย่างแนบแน่น ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นหนาวจนแดงก่ำขึ้นมา


 


 


หนาวจนถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่อาจจะปิดปากที่กล่าววาจาพร่ำเพื่อของเขาลงได้


 


 


“ท่านยังไม่รู้อะไร ตอนแรกที่องค์หญิงผู้นี้มายังแคว้นต้าโจว ก็ทิ้งข้าวของลงมาจากบนตึกอย่างชุ่ยๆ นางเป็นคนที่คิดแผนร้ายอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจเชื่อถือได้อย่างเด็ดขาด”


 


 


หยวนเฟยพยักหน้าติดๆ กัน พลางมองดูหลังมือของตนเอง “เจ้าพูดถูก สตรีผู้นี้เชื่อถือไม่ได้”


 


 


มิสู้นางไปหาไทเฮาจะดีกว่า ไม่แน่ว่าแค่ไทเฮาทรงถุยน้ำลายออกมาก็สามารถถอนพิษชนิดนี้ได้แล้ว


 


 


คำพูดที่ทั้งสองสนทนากันอย่างไม่มีปิดบังย่อมต้องดังไปเข้าหูของผู้อื่น ผู้คนทั้งหลายมองดูสายตาของเหยียนเฉียวหลัวก็พากันเกิดอาการลังเลขึ้นมา มีคนที่ปฏิเสธอยู่ไม่น้อย


 


 


พูดกันตามจริงแล้ว สตรีที่สามารถฆ่าพี่ชายของตนเองได้ ย่อมไม่น่าเชื่อถือ


 


 


เหยียนเฉียวหลัวได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ท่านทั้งหลายช่างน่าตลกเสียจริงๆ เรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิต ยังจะมีใจมาสนอกสนใจว่าองค์หญิงอย่างข้าเป็นคนดีหรือว่าคนร้ายอยู่อีก? หากว่าเราผู้เป็นองค์หญิงเป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆ ละก็ ตอนนี้ก็แค่ฆ่าพวกเจ้าทิ้งไปให้หมดก็พอแล้วไม่ใช่หรือ?”


 


 


นางแย้มยิ้มอย่างเย็นชา “ในหมู่พวกท่านก็มีนักพรตที่มีความสามารถอยู่ คิดว่าคงจะต้องรู้อย่างแน่นอนว่า หากนักพรตของภูเขาฮว่าชิ่งซานลงมือ พวกท่านก็จะไม่มีโอกาสรอดแม้แต่น้อย องค์หญิงอย่างข้าไยต้องมาเสียเวลาวางแผนจัดการกับพวกท่านอีก?”


 


 


ถึงแม้ว่าคำพูดของเหยียนเฉียวหลัวจะไม่น่าฟังอยู่บ้าง แต่ก็ต้องนับว่ามีเหตุผล


 


 


ผู้คนทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางนักพรตชุดขาวราวแสงจันทร์ที่อยู่ด้านหลังของนาง ก็เห็นพวกเขาแต่ละคนคล้ายดั่งจะมีแสงสว่างจางๆ อาบอยู่ทั่วร่าง ท่าทางพลิ้วไหวดุจเทพเซียน แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผู้มีความสามารถสูงส่ง


 


 


ในหมู่พวกเขาก็มีผู้ที่เคยได้ยินมาว่า องค์หญิงน้อยของแคว้นเหยียนเคยไปฝึกฝนวิชาที่ภูเขาฮว่าชิ่งซาน ตอนนี้นางถึงขนาดสามารถนำเหล่านักพรตมามากมาย พวกเขาย่อมรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง


 


 


ตอนแรกยังรู้สึกว่านางคิดจะมารังแกพวกเขา


 


 


เนื่องเพราะภูเขาฮว่าชิ่งซาน….สำหรับคนทั่วแผ่นดินแล้ว เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างจะลึกลับสุดหยั่งแห่งหนึ่ง


 


 


ยอดนักพรตที่ออกมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซาน แต่ละคนคล้ายดั่งเป็นเทพเซียนตัวเป็นๆ มิใช่ว่าจะได้เจอะเจอกันง่ายๆ


 


 


ยามปกติหากได้พบเห็นสักคนหนึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากแล้ว ตอนนี้อยู่ดีๆ ก็ออกมามากมายขนาดนี้?


 


 


หากมิใช่ว่ามีฐานะของเหยียนเฉียวหลัวค้ำประกันอยู่ พวกเขาก็คงจะนึกว่านางเป็นพวกหลอกลวงแล้ว


 


 


ในขณะที่พวกเขากำลังเกิดคำถามกันอยู่นั้น ก็ได้ยินบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายเหยียนเฉียวหลัวกล่าวออกมาว่า “องค์หญิง หากพวกเขาไม่รับน้ำใจก็ฆ่าทิ้งให้หมดเถอะ เรื่องจะได้น้อยลงไป”


 


 


น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นค่อนข้างจะนุ่มนวล พอกล่าวคำพูดนี้ออกมา ก็เห็นเหล่านักพรตที่อยู่ด้านหลังพากันเคลื่อนไหว โดยไม่ต้องรอให้เหยียนเฉียวหลัวออกคำสั่งด้วยซ้ำ


 


 


พวกเขาแต่ละคนสีหน้าเย็นชา บนร่างมีประกายแสงอ่อนๆ ครอบคลุมอยู่ ดูคล้ายดั่งเทพเซียนอย่างไรอย่างนั้น ทั้งหมดคล้ายดั่งมิได้เห็นเหล่าคนธรรมดาอยู่ในสายตา


 


 


“เจ้าบอกว่าจะฆ่าก็ฆ่าได้หรือ? ถามความเห็นของพวกเราก่อนหรือไม่?” ตู๋กูเจวี๋ยที่พูดมากรีบออกมาเป็นไม้เขี่ยอึก่อนใคร


 


 


หากว่าเขาไม่ได้ยืนพูดอยู่ด้านหลังของหลงเซียวแล้วล่ะก็คงจะดูดีมีมาดบุรุษยิ่งกว่านี้


 


 


องค์ชายน้อยกวาดพระเนตรมองออกไปมุมพระโอษฐ์ใต้หน้ากากก็ขยับน้อยๆ สองเนตรมีแต่ความเย็นยะเยือก


 


 


เพียงแค่ยกหัตถ์ขึ้นมาก็ปรากฏใบมีดน้ำแข็งขึ้นมาในมือหลายเล่ม มีดสั้นพุ่งออกไปด้วยความเร็วสูง ขณะที่ได้ยินเสียงเฟี้ยวก็พุ่งเข้าหาตัวตู๋กูเจวี๋ยแล้ว


 


 


ในเมื่อมีหลงเซียวคอยพิทักษ์อยู่ มีดสั้นของเขาย่อมไม่มีทางสัมผัสถูกตัวตู๋กูเจวี๋ย แต่คนที่อยู่รอบข้างกลับโดยกรีดท้องชำแหละเนื้อออกมา


 


 


ทันทีที่มีดน้ำแข็งสัมผัสถูกผิวหนังของพวกเขา ก็กรีดเปิดเป็นปากแผลขนาดใหญ่ อวัยวะภายในไหลออกมาจนหมด กลายเป็นภาพโชกเลือดและน่าสะอิดสะเอียน


 


 


ผู้คนทั้งหลายถึงได้รู้สึกหนาวไปถึงขั้วหัวใจขึ้นมา พวกเขาคิดจะถอยหนี แต่ว่าด้านหลังกลับมีแต่ไม้หนามขึ้นอยู่แน่นขนัด


 


 


เหยียนเฉียวหลัวหัวเราะอย่างเบิกบาน “ดูเอาสิ หากพวกเจ้าเชื่อฟังตั้งแต่แรกก็ไม่มีเรื่องแล้วมิใช่หรือ? ข้ามาเพื่อช่วยพวกเจ้านะ ไม่ได้มาเพื่อฆ่าพวกเจ้า”


 


 


ว่าแล้วนางก็ล้วงเอาขวดยาใบหนึ่งออกมาจากในถุง ยื่นส่งให้คนบาดเจ็บที่อยู่ใกล้กับตนเองมากที่สุด


 


 


บนหลังของคนเจ็บผู้นั้นมีไม้หนามที่สูงกว่าครึ่งเมตรงอกเงยขึ้นมาแล้ว เขาเจ็บปวดเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว ย่อมไม่ครุ่นคิดสิ่งใดให้มากความอีก พอเปิดขวดเทยาสีดำออกมาเม็ดหนึ่งก็กลืนมันลงไปในทันที


 


 


พึ่งจะกลืนยาลงไปได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม้หนามที่งอกอยู่กลางหลังก็เ**่ยวแห้งลง ต้นไม้หนามสีแดงดำช้ำเลือดก็เปื่อยผุพังลงอย่างรวดเร็ว ผิวบริเวณแผ่นหลังของเขาก็ค่อยๆ ฟื้นฟูเหมือนดังเดิม เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ กิ่งไม้หนามพวกนั้นก็สลายไป บนแผ่นหลังเหลือเพียงปากแผลแห่งหนึ่ง บนปากแผลสามารถมองเห็นรากของต้นไม้หนามได้


 


 


รากไม้นั่นติดแน่น ไม่ยอมหลุดออก


 


 


ไม่รอให้ผู้คนได้ทันมีปฏิกริยาใดๆ ผู้อาวุโสหยู่ซั่งก็โผเข้าไปที่เบื้องหน้าของเขา ในมือของนางสวมถุงมือสีเงินยวงคู่หนึ่ง ฝ่ามือมีแสงสีขาวครอบคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง เห็นสองนิ้วแทงเข้าไปในปากแผลก็ถอนเอารากของไม้หนามออกมาต่อหน้าต่อตาฝูงชนได้สำเร็จ


 


 


ทันทีที่รากหนามถูกถอนออก นางก็ล้วงเอายันต์แผ่นหนึ่ง ผนึกลงไปบนนั้น ได้ยินเสียงไฟลุกดังพรึบ รากไม้นั้นก็ถูกเผาจนกลายเป็นเถ้าถ่าน


 


 


และบาดแผลของผู้บาดเจ็บก็ฟื้นฟูจนกลายเป็นปกติดังเดิม


 


 


“ข้า หายแล้ว?” เขาไม่อยากจะเชื่อจริงๆ


 


 


จากนั้นเขาก็กระโผลกกระเผลกลงไปคุกเข่าต่อหน้าเหยียนเฉียวหลัวและผู้อาวุโสหยู่ซั่ง “ขอบพระทัยองค์หญิงและผู้อาวุโสหยู่ซั่งที่ช่วยชีวิต ต่อให้ข้าต้องเป็นวัวเป็นม้าก็จะขอตอบแทนบุญคุณครั้งนี้”


 


 


คราวนี้ ผู้คนทั้งหลายต่างก็พูดอะไรไม่ออกแล้ว


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพยุงเขาขึ้นมาด้วยตนเอง “ท่านผู้กล้ากล่าวหนักไปแล้ว”


 


 


จากนั้นนางก็หันไปมองดูผู้คนทั้งหลายกล่าวว่า “ตอนเมื่ออยู่ในแคว้นต้าโจว ที่มีข่าวลือว่าข้าผู้เป็นองค์หญิงลอบฆ่าพระเชษฐาเพื่อใส่ความฮ่องเต้ต้าโจวนั้น เดิมทีเป็นแผนการของพวกมัน ข้าและองค์รัชทายาทต่างก็ตกหลุมพราง ทำให้แคว้นต้าเหยียนต้องเสียทั้งดินแดนและทรัพย์สินเพื่อชดเชย ทำให้แคว้นต้าโจวกวาดทรัพย์สินไปมากมาย ข้าได้แต่เป็นดั่งคนใบ้อมหวงเหลียน [2] พูดไม่ออกบอกไม่ได้”


 


 


“ข้าเพียงหวังว่าท่านทั้งหลายอย่าได้เชื่อถือข่าวลือ พวกท่านไม่เคยพบเจอข้ามาก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นคนเช่นไร?”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพูดไป ก็มีน้ำตาคลอหน่วยไปด้วย “ครั้งนี้ เดิมทีข้าและองค์รัชทายาทเดินทางมาตามหาขุมทรัพย์ด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้พบกับฮ่องเต้ต้าโจวกลางทะเลทราย เดิมทีเพราะคิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อน จึงได้ร่วมทางกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่ากลับต้องถูกเขาทำร้ายอีกครั้ง ทำให้พระเชษฐาของข้าต้องสิ้นชีพในมือของปีศาจ”


 


 


“พระเชษฐาที่น่าสงสารของข้า ทรงเป็นผู้นำของแคว้นเหยียน เดิมที่ควรมีอนาคตที่สดใสไม่สิ้นสุด ตอนนี้พอบอกว่าไม่มีก็ไม่มีอีกแล้ว…..ฮ่องเต้แห่งต้าโจวมีพระทัยทะเยอทะยานอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ต้องการรวบรวมแผ่นดินทั้งหมดมาไว้ในครอบครอง ทั้งยังคิดจะล้มล้างราชวงศ์ทั้งหลายให้หมดสิ้น”


 


 


ความเจ็บปวดทั้งหมดของเหยียนเฉียวหลัวกลายเป็นความโกรธแค้น “วันนี้ที่ข้าเหยียนเฉียวหลัวช่วยชีวิตพวกท่านเอาไว้ หากว่าพวกท่านสามารถรอดกลับไปได้ ขออย่าได้ลืมรวมพลังกัน ต่อต้านผู้นำแคว้นโจวที่มีใจทะยานอยากผู้นี้”


 


 


 


 


——


 


 


[1] 煽风点火 (โหมไฟให้ลุกโชน) ทำให้เรื่องลุกลามใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม


 


 


[2] 哑巴吃黄连: ทุกข์ใจแต่พูดไม่ออก บอกใครไม่ได้


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


เหยียนเฉียวหลัว: ฉากนี้มอบรางวัลนางร้ายเบอร์หนึ่งให้นางไปเถอะ ยอม!


 


 


หวงเหลียน (黄连, อึ่งโน้ย) : สมุนไพรจีนที่มีฤทธิ์เย็นและขมที่สุด ใช้ดับพิษไฟในตับและหัวใจ


 


 


ตอนต่อไป “ศัตรูของนางคือเรา ไม่ใช่เจ้า” 

 

 


ตอนที่ 273 ศัตรูของนางคือเรา ไม่ใช่เจ้า

 

“คิดไม่ถึงว่าผู้นำแผ่นดินต้าโจวจะเป็นคนที่โหดเ**้ยมอำมหิตถึงเพียงนี้!”


 


 


“องค์หญิงโปรดวางพระทัย หากว่าข้าสามารถรอดกลับไปได้ จะต้องปลุกระดมขุมกำลังทั้งหมดให้ต่อต้านแคว้นโจว”


 


 


ผู้คนเหล่านั้นพูดพลางก็คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าเหยียนเฉียวหลัวขอให้นางช่วยชีวิต สาบานจะจงรักภักดีต่อนาง


 


 


เมื่อมองดูผู้คนที่พากันคุกเข่าอยู่บนพื้น เหยียนเฉียวหลัวก็อารมณ์ดีอย่างยิ่ง


 


 


ยามนี้นางราวกับเป็นฮ่องเต้หญิงที่ผู้คนให้ความเคารพยกย่อง ปกครองเหล่าขุนนางอยู่เหนือราษฎร สร้างความพึงพอใจราวกับว่านางได้ลอยอยู่เหนือเมฆ


 


 


ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่องค์ชายน้อยทรงประทานมาให้นาง


 


 


นางจะต้องไขว่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี ให้จีเฉวียนต้องสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำลงไปทั้งหมด


 


 


พวกตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยต่างพากันตกตะลึง


 


 


“พระสนม ท่านดูสิ ฝ่าบาททรงก่อเรื่องเพราะดอกท้อเน่าเข้าแล้ว ปากอย่างเหยียนเฉียวหลัว ยังไร้ยางอายเสียยิ่งกว่ากระหม่อมซะอีก” ตู๋กูเจวี๋ยหันไปกล่าวกับหยวนเฟย


 


 


หยวนเฟยกวาดตามองดูเขาแวบหนึ่ง “ใต้เท้าอวี้ซื่อ ท่านเองรู้จักตัวเองดีอยู่เหมือนกัน”


 


 


นางพูดพลาง ก็กุมหลังมือของตนเองเอาไว้


 


 


ตอนนี้หลังมือของนางเจ็บปวดอย่างมาก ใต้ผิวหนังคล้ายดั่งมีหนอนเล็กๆ คอยชอนไชอยู่ตลอด ทำให้นางทุกข์ทรมาน


 


 


นางได้แต่ขมวดคิ้วแน่น นางเป็นถึงพระสนมแห่งแคว้นต้าโจว ต่อให้ต้องตายก็จะไม่ขอให้เหยียนเฉียวหลัวรักษานาง


 


 


หากว่าเจ้าติ๊งต๊องอยู่ก็คงจะดี ไม่แน่ว่าแค่ใช้เปลวเพลิงสีทองของมันเผา สิ่งที่ติดอยู่ในบาดแผลก็อาจจะกลายเป็นขี้เถ้าไปก็เป็นได้


 


 


นางมองออกไปสี่ทิศรอบด้าน ก็ยังคงไม่เห็นจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันแม้แต่เงา


 


 


คงจะไม่ใช่ว่า….ฝ่าบาททรงพาไทเฮาไปท่องเที่ยวชมนกชมไม้ ทิ้งให้พวกนางต้องมาตายอย่างโง่เง่าอยู่ที่นี่หรอกนะ?


 


 


ความคิดนี้ทำให้หยวนเฟยรู้สึกหมดหวังเหลือเกิน


 


 


…………………….


 


 


เหนือหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันต้องยอมศิโรราบในความพระทัยเย็นของจีเฉวียนจริงๆ ด้านล่างคึกคักกันถึงขนาดนี้แล้ว เขากลับยังสงบนิ่งอยู่ได้


 


 


“นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า ไม่ควรไปหาเรื่องกับดอกท้อ พระองค์ทอดพระเนตรองค์หญิงแคว้นเหยียนผู้นั้นสิเพคะ ตอนนี้คงชิงชังพระองค์อย่างที่สุดแล้ว” ตู๋กูซิงหลันยังคงว่าต่อไป “วังหลังมีพระสนมอยู่ตั้งมากมาย ไยพระองค์ไม่ทรงรับนางไว้เล่า?”


 


 


จีเฉวียน “อัปลักษณ์”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..”


 


 


ทัศนะคติเรื่องความงามของฮ่องเต้สุนัขที่ผ่านมาล้วนไม่อยู่ในบรรทัดฐาน นางยังคงอย่าได้ไปถกปัญหานี้กับเขาจะดีกว่า


 


 


ว่าแล้ว ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสอีกว่า “ยังดี ที่ศัตรูของนางคือเรา ไม่ใช่เจ้า”


 


 


คำพูดนี้ยังทำให้คนต้องประทับใจมากเสียยิ่งกว่าคำรักหวานหูที่เขาเคยเอ่ยมาก่อนหน้านี้ หัวใจของตู๋กูซิงหลันพลันอบอุ่นขึ้นมา


 


 


……………….


 


 


ริมสระสวรรค์ เหยียนเฉียวหลัวกำลังช่วย ‘ถอนพิษ’ ให้ฝูงชน


 


 


แม้แต่อิ๋งฉีก็ยังต้องหลบไปอยู่อีกด้านหนึ่ง เหล่านักพรตแคว้นฉินในตอนนี้ต่างก็พยายามรักษาขุมกำลังเอาไว้ ไม่คิดจะไปสอดเรื่องของเหยียนเฉียวหลัว


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสระสวรรค์พวกเขาถูกดูดพละกำลังไปมาก สถานการณ์มิได้น่ารื่นรมย์เท่าใด


 


 


เหยียนเฉียวหลัวกลับเป็นฝ่ายยื่นกิ่งมะกอกมาให้ [1] พวกเขาก่อน


 


 


นางเดินมาถึงข้างกายอิ๋งฉี พลางคลี่ยิ้มให้ “คุณชายฉี องค์หญิงเช่นข้ารู้ดีว่าท่านต้องการสิ่งใด วางใจเถอะ แคว้นต้าเหยียนของข้าจะไม่ไปแย่งชิงกับท่านอย่างแน่นอน”


 


 


“คิดว่าท่านเองก็คงจะรู้อยู่แล้ว ความทะเยอทะยานของผู้นำแคว้นโจวนั้นปิดไม่มิดอีกต่อไป แคว้นต้าฉินในตอนนี้ถือเป็นแคว้นเข้มแข็งอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ขอเพียงแคว้นฉินออกมายืนหยัดต่อต้านแคว้นโจว แคว้นต้าโจวย่อมไม่มีทางผงาดขึ้นมาเหนือแผ่นดินนี้ได้”


 


 


“ท่านเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้แคว้นฉินทรงให้ความสำคัญที่สุด คำพูดของท่าน เชื่อว่าฮ่องเต้ผู้ครองแคว้นจะต้องทรงใส่พระทัยรับฟังอย่างแน่นอน”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวคลี่ยิ้มงามปานบุปผา “หากว่าคุณชายฉีมิได้รังเกียจล่ะก็ การค้นหาครั้งนี้พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ สระสวรรค์มีอันตรายอยู่มากมาย หากแคว้นต้าเหยียนของข้าและต้าฉินของท่านร่วมมือกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันและกันจะไม่ดีกว่าหรือ?”


 


 


คำพูดนี้ของเหยียนเฉียวหลัวน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง อิ๋งฉีในตอนนี้พึ่งจะถูกตู๋กูเจวี๋ยต่อยตีไปรอบหนึ่ง ใบหน้าบวมเป่งเป็นหัวหมูไปครึ่งซีก


 


 


เขาหันไปมองดูรอบทิศทาง ก็ยังคงไม่เห็นจีเฉวียน


 


 


เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ได้เผชิญไปในทะเลสาบเมื่อครู่ ตอนนี้ในใจของเขาก็ยังคงหวาดผวาอยู่ไม่หาย


 


 


หากว่าไม่ได้ยันต์คุ้มภัยแผ่นนั้น….เกรงว่าเขาคงต้องกลายเป็นศพแห้งตายคาทะเลสาบไปตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


คนที่ช่วยเขาเอาไว้ ….ก็คือแม่นางน้อยน่ารักที่อยู่ข้างกายจีเฉวียน


 


 


เขายิ่งต้องถือว่าตนเองติดค้างในบุญคุณช่วยชีวิตของจีเฉวียน


 


 


แต่ว่าตอนนี้จีเฉวียนกลับไม่ยอมปรากฏตัว นี่จึงค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


 


 


“คุณชายฉี ร่วมมือกับพวกเรารับรองว่ามีแต่ได้ไม่มีเสีย ท่านไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดให้นานไป” เหยียนเฉียวหลัวพูดต่อไป “ข้าช่วยเหลือผู้คนไปมากมาย ก็เพื่อความสงบสุขโดยรวมของแผ่นดิน ทุกสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้นก็เพื่อทุกชีวิตในใต้หล้า ท่านสามารถวางใจได้เลย ข้าน่ะเป็นคนดีจริงๆ นะ”


 


 


ขุนนางอวี้ซื่อตู๋กูเจวี๋ยรับฟังอยู่ด้านข้างยังต้องกรอกตาขาว


 


 


หากมิใช่เพราะว่าหลงเซียวรั้งเขาเอาไว้ คาดว่าตอนนี้เขาคงต้องหลุดปากพ่นออกไปเกินพันคำแล้ว


 


 


“คุณชาย…ตอนนี้หากร่วมมือกับต้าเหยียน ก็ไม่เลวนัก” นักพรตแคว้นต้าฉินรายล้อมอยู่รอบตัวอิ๋งฉี หัวหน้านักพรตก็กระซิบลงที่ข้างหูของเขา


 


 


เหล่านักพรตที่มาจาภูเขาฮว่าชิ่งซาน แต่ละคนล้วนเข้มแข็งเกินใคร คาดว่าจะต้องสามารถกำราบสิ่งที่อยู่ใต้น้ำนั่นได้แน่


 


 


เรื่องต่อไปภายหลังนั้น วันหลังก็ค่อยว่ากัน การร่วมมือเฉพาะหน้าในตอนนี้เป็นเรื่องไม่เลว อย่างน้อยๆ แคว้นต้าเหยียนก็สัญญาแล้วว่าจะไม่แย่งชิงยาอายุวัฒนะกับพวกเขา


 


 


เมื่อถูกเหล่านักพรตคะยั้นคะยอมากเข้า อิ๋งฉีจึงยอมพยักหน้าในที่สุด


 


 


พอเห็นว่าตนเองสามารถชักจูงกระทั่งอิ๋งฉีได้ อารมณ์ของเหยียนเฉียวหลัวก็ยิ่งดีกว่าเดิม นางรู้สึกว่าสระสวรรค์ก็คือเวทีของตนเอง เพียงแค่พูดๆ แสดงๆ นิดๆ หน่อยๆ ผู้คนทั้งหมดก็ยอมสยบให้แล้ว


 


 


เหยียนเฉียวหลัวมิได้ลืมข้อสำคัญไป เมื่ออิ๋งฉีรับปากจะร่วมมือกับนาง นางก็กล่าวต่อไปว่า “สิ่งที่อยู่ใต้น้ำนั้น ท่านอาจารย์ของข้าได้ทำการตรวจสอบสถานการณ์ดูแล้ว ยังต้องการเครื่องสังเวยอีกจำนวนหนึ่ง”


 


 


พูดแล้วนางก็หันมามองพวกตู๋กูเจวี๋ยทั้งสามคน “เพื่อแสดงออกถึงความจริงใจในการร่วมมือกัน ขอคุณชายฉีสั่งให้คนของท่านโยนพวกต้าโจวทั้งสามคนนี้ลงไปในทะเลสาบ รอให้ปีศาจในทะเลสาบนั่นกินอิ่มแล้ว พวกเราก็ค่อยลงไป ทีนี้ก็จะไม่มีอันตรายแล้ว”


 


 


ผู้คนทั้งหลายค่อยฉุกคิดขึ้นมาได้ ที่แท้พวกคนที่หล่นลงไปก่อนหน้านี้ก็ถูกปีศาจนั่นจับกินเป็นเครื่องสังเวยนั่นเอง


 


 


หากยึดถือตามที่องค์หญิงแคว้นเหยียนพูดมาล่ะก็ ขอเพียงได้กินอีกสามคน ปีศาจนั่นก็จะกินอิ่มแล้ว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ต้องตาย แต่ยังสามารถได้รับส่วนแบ่งขุมทรัพย์ส่วนหนึ่งอีกด้วย


 


 


สายตาของผู้คนทั้งหลายพลันเกิดความโลภขึ้นมา “ขอคุณชายฉีโยนทั้งสามคนลงไป”


 


 


อย่างไรทั้งสามคนนี้ก็คือคนของแคว้นต้าโจว จะตายก็ตายไปเถอะ!


 


 


ฮ่องเต้แคว้นต้าโจวโฉดชั่วถึงเพียงนั้น คนในแคว้นของเขาก็สมควรจะต้องตายไปด้วย!


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยอยากจะถ่มน้ำลายทับคนพวกนี้ให้ตายๆ ไปซะ


 


 


อิ๋งฉีขมวดหัวคิ้วแนบแน่น เขาอึดอัดลำบากใจมากจริงๆ


 


 


สามคนนี้….มีความสัมพันธ์กับจีเฉวียนอย่างแนบแน่น


 


 


“คุณชายฉี ท่านจิตใจดีเกินไปแล้ว หากว่าท่านไม่อาจตัดใจลงมือ มิสู้ให้เหล่านักพรตใต้บัญชาของท่านลงมือก็แล้วกัน”


 


 


ใบหน้าของเหยียนเฉียวหลัวเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม นางส่งสายตาสื่อความหมายให้กับหัวหน้านักพรตแคว้นฉิน


 


 


นักพรตผู้นั้นย่อมเป็นคนที่รู้จักสถานการณ์ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้สำคัญหนักหนาเพียงไร


 


 


อย่างไรผู้ที่สูญเสียก็ไม่ใช่แคว้นฉินของพวกเขา คนของแคว้นต้าโจวตายไปสามคนถือเป็นอะไรได้


 


 


ไม่รอให้อิ๋งฉีออกคำสั่ง นักพรตที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นก็ส่งเสียงออกมาสองคำ นำนักพรตคนอื่นๆ พุ่งเข้าใส่พวกตู๋กูเจวี๋ยทั้งสามคน


 


 


ต่อให้หลงเซียวแข็งแกร่งกว่านี้ ก็เป็นเพียงคนเดียวที่มีวรยุทธ


 


 


เมื่อถูกเหล่านักพรตจำนวนมากรายล้อมเอาไว้ เขาก็ได้แต่ปกป้องตนเอง แต่ไม่อาจจะปกป้องตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยได้


 


 


ทั้งสองคนถูกจับตัวไปอยู่ต่อหน้าเหยียนเฉียวหลัวในทันที ทั้งยังถูกเตะบังคับให้คุกเข่าลงไปต่อหน้านาง


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยิ้มอย่างยินดี นางย่อตัวลงมา บิดเนื้อคนทั้งสองอย่างหนักหน่วงอยู่หลายครั้ง ก็หัวเราะใส่หน้ากล่าวว่า “อ้ายย่าห์ ทั้งสองท่านสามารถได้รับเกียรติเป็นเครื่องสังเวยให้กับแผ่นดินทั้งหมด นี่ก็ถือเป็นบุญของพวกท่านแล้ว ใช่ไหม?”


 


 


พูดแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืน ยกเท้าขึ้นมา ถีบพวกเขาลงไปในทะเลสาบ


 


 


 


 


——


 


 


[1] 抛出了橄榄枝: กิ่งมะกอกเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ หมายถึง ขอสงบศึก ผูกมิตรกัน


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: ไม่น้าาา! …ทำไมอิ๋งฉีถึงทำอย่างงี้ ฉีฉีทำไมถึงไปเออออกับเค้าง่ายๆ ฉีฉีควรจะเป็นคนดีศรีอยุธยา ทำเพื่อชาติ เพื่อพี่น้องไม่ใช่หรือ! ส่วนหนึ่งของความชอบเรื่องนี้ก็คือ ในความไร้สาระ มันกลับมีมุมที่สมจริงอยู่ แต่ละตัวละครไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ ทุกคนมีด้านที่ติดลบด้วยกันทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์จะเปิดช่องให้ใครได้ตัดสินใจหรือแสดงอะไรออกมา ขอคารวะม่อจ้งเหลียน (-ผู้แต่ง) 3จอก


 


 


ตอนต่อไป “นี่คือสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรือ?” 

 

 


ตอนที่ 274 นี่คือสิ่งที่เจ้าปรารถนาหรือ?

 

เห็นอยู่ว่าฝ่าเท้านั้นกำลังจะพุ่งมาถึง ในทันใดนั้นเอง เงาร่างของคนผู้หนึ่งเหาะออกมาจากฝูงชน 


 


 


เงาร่างนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง ราวกับสายฟ้าที่ฟาดออกมา เพียงพริบตาเดียวก็ปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าเหยียนเฉียวหลัว 


 


 


ในพริบตาที่เท้าของนางกำลังจะถีบมาถึงนั้นเอง เขาก็ลากคนทั้งสองออกไป 


 


 


ครู่ต่อมาคนทั้งหลายถึงได้มองเห็นชัดเจนว่านั่นเป็นยอดบุรุษที่หมดจดงดงามผู้หนึ่ง 


 


 


เขาสวมชุดสีทองตลอดทั้งร่าง เส้นผมยาวสลวยถูกรวบไว้สูง ดวงตาหงส์คู่นั้นงดงามเกินจะหาใดมาเปรียบ บ่ากว้าง เอวสอบ สองขาเรียวยาว 


 


 


เพียงแต่กลิ่นอายของคนผู้นั้นหยิ่งยโสอย่างไร้ที่เปรียบ 


 


 


สายลมพัดมา เป่าชายเสื้อของเขาพลิ้วไปด้านหลัง 


 


 


มือข้างหนึ่งของเขาหิ้วตู๋กูเจวี๋ย มืออีกข้างหิ้วหยวนเฟย ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนทั้งหลาย 


 


 


ทั้งๆ ที่เขามิได้กล่าววาจาใดออกมา แต่กลับดึงดูดความสนใจของผู้คนทั้งหมดไป 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวตกตะลึงไปชั่วครู่ ค่อยได้สติกลับมา สายตาของนางเป็นประกาย จดจ้องไปยังจีเฉวียนอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “ฮ่องเต้แคว้นโจว ในที่สุดท่านก็ยอมปรากฏตัวแล้ว?” 


 


 


ฮ่องเต้แคว้นโจว? 


 


 


คนผู้นี้คือจีเฉวียน ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว? 


 


 


หัวใจของคนทั้งหมดเย็นวาบ ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในทะเลทราย พวกเขาก็ได้เห็นกระโจมของแคว้นต้าโจวแต่ไกล แต่ว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ 


 


 


แต่ตอนนี้เมื่อสามารถมองเห็นจีเฉวียนผู้นี้ได้ในระยะใกล้ถึงเพียงนี้ ต่างก็อดจะประหลาดใจไม่ได้ 


 


 


ในบรรดาสามแคว้นใหญ่ มีแต่ฮ่องเต้ที่พระชนม์น้อยที่สุดผู้นี้ที่เสด็จมาด้วยพระองค์เอง 


 


 


นี่พระองค์ไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อครู่นี้พวกเขาพึ่งจะวิพากษ์วิจารณ์พระองค์ไปว่าอย่างไร? ตอนนี้ยังถึงกับกล้าบุกเดี่ยวมาช่วยคนอีกหรือ? 


 


 


สมกับที่เป็นคนหนุ่มอายุน้อย ช่างไม่กลัวตาย 


 


 


ผู้คนทั้งหลายพากันเหลือบดูเขา ต่างก็ลอบนินทากันอยู่ในใจ 


 


 


อิ๋งฉีเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เขานึกว่าจีเฉวียนเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทางไปแล้วเสียอีก ตอนนี้ดูแล้ว ท่าทางของเขาไม่รีบไม่ร้อน ราวกับว่ามาก่อนตั้งนานแล้ว เพียงแต่เฝ้าดูงิ้วอยู่เท่านั้น 


 


 


จีเฉวียนที่เขารู้จักมักเป็นเช่นนี้อยู่เสมอ ชอบที่จะมองดูอย่างเพิกเฉย หากไม่ถึงจุดที่ไม่อาจปล่อยไปได้อีกต่อไปก็ไม่มีวันลงมือด้วยตนเอง 


 


 


เขามักจะสงบนิ่งได้อยู่ตลอด หากมิใช่เห็นว่าจะเกิดการสูญเสียชีวิตผู้คนขึ้นแล้ว เกรงว่าเขาก็ยังคงจะมองดูงิ้วฉากนี้จากมุมลับตาแห่งใดแห่งหนึ่งต่อไป 


 


 


อิ๋งฉีกวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง ทำไมถึงมีแต่จีเฉวียนเพียงผู้เดียว แล้วแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกายของเขาล่ะ? 


 


 


นางมิใช่คนรักที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะร้องขอหรอกหรือ? ถึงกลับกล้าเอาไปทิ้งไว้ที่ไหนเสียแล้ว? 


 


 


“ท่านวางแผนทำร้ายพวกข้าพี่น้อง ทำให้แคว้นต้าเหยียนของเราต้องชดใช้ทรัพย์สินจำนวนมหาศาล ถึงตอนนี้ก็ทำให้พระเชษฐาผู้เป็นรัชทายาทของข้าต้องตาย ไม่แน่ว่าตอนนี้ท่านก็คิดจะให้ผู้คนที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดล้วนต้องตายสินะ” เหยียนเฉียวหลัวสาดน้ำครำลงไปอีก “หากว่าสามารถทำให้กองกำลังของทุกฝ่ายดับสิ้นได้ละก็ ต้าโจวของท่านก็จะได้ครอบครองขุมทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว จากนั้นก็ทำลายแคว้นอื่นๆ ในแผ่นดินนี้ให้ดับสิ้นจนหมด ท่านจะได้ครอบครองแผ่นดินเพียงผู้เดียวใช่ไหม?” 


 


 


“จีเฉวียน ท่านคาดการณ์ผิดไปแล้ว พวกเราทั้งหมดล้วนมิใช่คนโง่ ไหนเลยจะยอมให้ท่านจัดการ?” 


 


 


น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวแตกพร่าอยู่บ้าง เมื่อได้พบกับจีเฉวียนอีกครั้ง นางก็ยังคงไม่อาจรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ได้ 


 


 


ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ยังคงรักษาความสงบนิ่งดังเดิม เหมือนกับตัวเขาในปีนั้น ไม่ว่าจะเผชิญกับเรื่องที่ร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่เคยแตกตื่นวุ่นวาย ราวกับว่าเขาได้คาดคิดวิธีการรับมือทั้งหมดเอาไว้แล้ว 


 


 


แต่นางรู้ว่า ครั้งนี้เขาไม่มีทางแก้ไขอะไรได้อย่างแน่นอน 


 


 


ยามที่อยู่ในทะเลทรายนั้น ต้องถือว่านางกับเหยียนหยุนได้ร่วมเดินทางมากับเขามาช่วงหนึ่ง นางรู้เรื่องเป็นอย่างดี จีเฉวียนนำองครักษ์ลับมาด้วยเพียงไม่กี่สิบคนเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักพรต เขาไม่ได้นำมาด้วยเลยสักคน 


 


 


ตอนนี้บุกเดี่ยวเข้ามาแต่เพียงลำพัง ก็แสดงว่าองครักษ์เหล่านั้นคงจะพบกับอันตรายเข้าเสียแล้ว 


 


 


เขาในตอนนี้ก็แค่คนที่ตบหน้าตนเองแสร้งว่าเป็นคนอ้วน [1] เท่านั้น เขาก็แค่ฝืนยืนหยัดเอาไว้ แต่ที่จริงนั้นยืนอยู่บนความล่มสลายตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


ยิ่งเขาไม่พูดไม่จา ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการยืนยันความคิดของเหยียนเฉียวหลัว นางเชิดปลายคางขึ้นมา “ขอเพียงท่านยินยอมศิโรราบ ข้าว่าทุกคนต่างก็สามารถให้ความเห็นอกเห็นใจ ไม่ถึงกับเอาชีวิตก็เป็นได้” 


 


 


จีเฉวียนมิได้มองไปที่นาง เพียงแต่โยนสองคนในมือกลับไปที่ข้างกายหลงเซียว จากนั้นถึงได้เบนสายพระเนตรไปที่บุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายเหยียนเฉียวหลัว 


 


 


บุรุษชุดม่วงเองก็พึ่งจะหันมามองดูเขาแวบหนึ่งเช่นกัน ยามที่สายตาทั้งสี่ประสานเข้าด้วยกันนั้น เขากลับต้องเป็นฝ่ายละสายตาไปก่อน 


 


 


ดวงเนตรหงส์ของจีเฉวียนหรี่ลง ตรัสถามว่า “ตกลงแล้วเจ้าต้องการสิ่งใดกันแน่?” 


 


 


ประโยคนี้ ชัดเจนเลยว่าตรัสถามองค์ชายน้อย 


 


 


แต่ว่าเหยียนเฉียวหลัวกลับเข้าใจผิดไป 


 


 


นางหัวเราะเสียงเย็นชา “ฮ่องเต้แคว้นโจว ข้าจะให้ท่านต้องยอมรับผิด คุกเข่าลงต่อหน้าเราผู้เป็นองค์หญิง สำนึกเสียใจในความผิดที่ท่านได้ทำลงไป คืนแผ่นดินของแคว้นเหยียนเรากลับมา และเพราะพระเชษฐาของเราผู้เป็นองค์รัชทายาทถูกท่านทำร้ายจนต้องตาย ย่อมต้องให้ราชวงศ์ต้าโจวของท่านชดใช้ชีวิต” 


 


 


“นอกจากนี้แล้วยังต้องเอาชีวิตของไทเฮาน้อยนั่นมาด้วยเป็นอย่างไร?” 


 


 


“ชีวิตของพระเชษฐา ยังสำคัญและมีค่ามากกว่านางมากมายนัก หากใช้ชีวิตของนางมาชดเชยกับชีวิตขององค์รัชทายาท ก็ต้องถือว่าต้าโจวได้กำไรแล้ว” 


 


 


คำขอนี้ของนาง หากว่าเป็นตอนแรกๆ ล่ะก็ต้องนับว่าออกจะเพ้อเจ้อไปอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว 


 


 


ตอนนี้จีเฉวียนเป็นดั่งเนื้อปลาบนเขียง ที่นางจะแก้แค้นอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น 


 


 


“หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ท่านก็ไม่ควรทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก” ตอนนี้ นางค่อยถอนหายใจออกมา “หากว่าตอนนั้นท่านมิได้ปฏิเสธอย่างไร้ซึ่งเยื่อใย ก็คงจะไม่ต้องมามีจุดจบเช่นนี้” 


 


 


“ฮ่องเต้ต้าโจว ท่านไม่สมควรทำร้ายน้ำใจขององค์หญิงแคว้นเหยียน ทั้งยังทำเรื่องชั่วช้าขึ้นมา องค์หญิงแคว้นเหยียนเรียกร้องเช่นนี้ไม่นับว่าเกินไปเลยแม้แต่น้อย ท่านจงคุกเข่าขออภัยเสียตอนนี้ มอบคืนทรัพย์สินและดินแดนแก่ผู้เป็นเจ้าของ ฆ่าคนต้องชดใช้ชีวิต ให้ไทเฮาที่ใช้การอะไรไม่ได้ผู้หนึ่งมาชดใช้ชีวิตให้กับองค์รัชทายาทที่เดิมมีอนาคตไม่สิ้นสุดเช่นนี้ ที่จริงก็ต้องนับว่าเป็นความกรุณาเป็นพิเศษแล้ว” 


 


 


เหล่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเหยียนเฉียวหลัวต่างก็พากันส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมา 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวคือผู้มีพระคุณของพวกเขา พวกเขาต้องติดตามเหยียนเฉียวหลัวจึงจะมีเนื้อกิน 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวพึงพอใจกับความรู้สึกที่มีฝูงชนมาปกป้องอย่างยิ่ง นางจับจ้องไปที่จีเฉวียน รอคอยให้ภาพที่คาดเอาไว้เกิดขึ้นมา 


 


 


ขอเพียงจีเฉวียนมีการแสดงออกถึงความจริงใจมากพอ นางพอจะฝืนรับเอาไว้ก็ได้ 


 


 


นั่นเป็นเพราะนับตั้งแต่เป็นสาวน้อย นางก็ชอบเขามาโดยตลอด จะให้นางถอดใจยอมแพ้ นางก็ยังไม่อาจจะทำได้ง่ายๆ 


 


 


ขอเพียงแค่ต่อไปจีเฉวียนอยู่ในโอวาทเชื่อฟัง เรื่องที่เขาได้ทำไปในอดีตนางก็ค่อยๆ ให้อภัยเขาทีละน้อย 


 


 


จีเฉวียนมิได้สนอกสนใจคนเหล่านี้เลยสักคนเดียว 


 


 


สายพระเนตรของพระองค์ยังคงจดจ้องไปที่องค์ชายน้อย จากนั้นก็ตรัสออกมาอีกครั้ง “นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการนะหรือ?” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัว “ย่อมแน่นอน” 


 


 


องค์ชายน้อยทรงทราบดีว่าจีเฉวียนกำลังสนทนากับตนเอง เขาปิดตาลง อยู่ต่อหน้าฝูงชน 


 


 


เขาไม่ต้องการตอบสิ่งใดกลับไป 


 


 


จีเฉวียนฉลาดล้ำกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก 


 


 


บางที….อาจจะรู้ในสิ่งที่เขาคิดเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็เป็นได้ 


 


 


คืนนั้นตอนที่ตนเองไปที่กระโจมของเขา เขาก็คงจะรู้อยู่แล้วสินะ 


 


 


ไม่กระโตกกระตาก ทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับปกป้องตู๋กูซิงหลันเอาไว้อย่างดีทุกฝีก้าว 


 


 


สิ่งที่ตนปรารถนาคืออะไร……มีหรือว่าเขาจะไม่รู้? 


 


 


เพียงแต่แค่ทำเป็นไม่รู้เท่านั้นเอง 


 


 


ผ่านไปอีกนานพักใหญ่ องค์ชายน้อยถึงได้กล่าวออกมาประโยคหนึ่ง “ฮ่องเต้แคว้นโจว เจ้ารังแกองค์….องค์หญิงของข้าก่อน ย่อมต้องชดใช้” 


 


 


“สิ่งที่เราติดค้างเจ้า เราย่อมต้องชดใช้ให้เจ้า” จีเฉวียนตรัสอย่างนิ่งเฉย ยามที่กล่าววาจานี้ออกไปเขาก็เอาแต่ทอดเนตรมองดูองค์ชายน้อย “ในทำนองเดียวกัน เราจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากว่าเจ้ายอมกลับใจ ก็ยังทันอยู่” 


 


 


“กลับใจ?” องค์ชายน้อยหัวเราะเสียงเย็น “ที่ฮ่องเต้แคว้นโจวติดค้างคือชีวิตของ….องค์หญิงแคว้นเหยียนของข้า จะให้กลับใจเช่นไร?” 


 


 


คำพูดของเขาทำเอาสายพระเนตรของจีเฉวียนมืดครึ้มลง 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยังไม่ทันทำความเข้าใจอะไรด้วย ก็กล่าวตามไปว่า “ฮ่องเต้แคว้นโจว คนที่ควรสำนึกเสียใจ สมควรกลับใจ ก็คือท่าน” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 打肿脸充胖子 ยอมเจ็บตัวเพื่อให้ดูดี ทำเกินความสามารถเพื่อให้ถูกชื่นชม 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: มีเงื่อนงำ? มีแค้นเก่าหรอ? แต่เฉียวหลัวหนูช้าๆ หน่อยดีไหมคะ? ไปใส่พี่เต้แบบไม่ยั้งเดี๋ยวเจอสะท้อนกลับจะรับไหวหรือ (นี่เรียกว่าสปอย?) 


 


 


ตอนต่อไป “กองทหารและฝูงหมาป่า”  

 

 


ตอนที่ 275 กองทหารและฝูงหมาป่า

 

“หนวกหู” ในที่สุดจีเฉวียนก็รำคาญนางจนทนไม่ไหว เพียงแค่กวาดพระเนตรไปครั้งหนึ่ง และตรัสเพียงคำเดียว ก็ทำให้เหยียนเฉียวหลัวเลือดแข็งตัวไปทั้งร่าง


 


 


มาจนถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะยังฝืนอยู่อีกทำไม?


 


 


ดูสิ ทั่วทั้งร่างของเขาติดยันต์คุ้มภัยมาเต็มไปหมด เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาก็กลัวตายเหมือนกันมิใช่หรือ?


 


 


ก็แค่ต้องยอมอ่อนลงให้นางเท่านั้น คุกเข่าลงขอโทษ แล้วก็ฆ่าตู๋กูซิงหลันไปเสีย นางก็จะไว้ชีวิตเขา!


 


 


หรือว่าศักดิ์ศรียังจะสำคัญยิ่งกว่าชีวิตอีกหรือ?


 


 


เหยียนเฉียวหลัวขมวดคิ้วแน่น “ฮ่องเต้แคว้นโจว ผู้ที่ยืนอยู่ในสระสวรรค์แห่งนี้ คือเหล่าผู้มีความสามารถโดดเด่นจากแต่ละราชวงศ์ และขุมกำลังต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน หรือท่านคิดว่าตนเองยังอยู่ในแคว้นต้าโจว? สามารถใช้มือเดียวปิดบังแผ่นฟ้าได้หรือ?”


 


 


“หนวกหูรึ? วันนี้เราผู้เป็นองค์หญิงยอมกล่าวกับท่านเสียหลายคำ ท่านสมควรรู้สึกเป็นเกียรติแล้วต่างหาก!” เหยียนเฉียวหลัวยกปลายคางเชิดสูง พอคิดถึงตอนที่นางถูกลบหลู่เมื่ออยู่ต่อหน้าจีเฉวียนครานั้น นางก็อยากจะระบายความแค้นออกมาให้หมด


 


 


“ดูตัวท่านในตอนนี้สิ ข้างกายมีแค่องครักษ์ลับเพียงคนเดียว ฮ่องเต้แคว้นโจวท่านคิดว่าตนเองมีความสามารถใดจึงจะหลบหนีไปจากที่นี่ได้หรือ?”


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยิ้มอย่างเย็นชา นางอยากจะกดศีรษะของเขาให้คุกเข่าลงไปต่อหน้านางด้วยตัวเอง


 


 


“จริงด้วย ฮ่องเต้แคว้นโจว ต่อให้ข้างกายของท่านมีผู้คน ยังจะสามารถต่อสู้กับเหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานได้อีกหรือ?”


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างพากันกล่าวสนับสนุน หากว่าวันนี้สามารถกำราบจีเฉวียนให้ตายอยู่ที่นี่ได้ย่อมดีที่สุด


 


 


นับตั้งแต่ที่เขากลายเป็นเจ้าแผ่นดินแคว้นโจว ดินแดนต่างๆ นับตั้งแต่เป่ยเจียงเรื่อยมาก็ไม่เคยได้สงบสุข แคว้นเหยียนเคยให้ความช่วยเหลือพวกเขาในยามที่แคว้นต้าโจวกำลังลำบากที่สุด แต่ว่าจีเฉวียนกลับไม่ได้คิดถึงความสัมพันธ์เลยสักนิด


 


 


วางแผนชั่วใส่ร้ายองค์หญิงแคว้นเหยียน ทำให้แคว้นเหยียนต้องสูญเสียดินแดนเพื่อชดเชย


 


 


เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้เป็นดั่งโรคร้าย สมควรจะขจัดทิ้งไปแต่เนิ่นๆ


 


 


ต่อให้วันนี้ไม่อาจจะกำจัดได้สำเร็จ ก็ทำให้เขายอมก้มศีรษะลงมา เด็ดปีกของเขาออก ตัดความคิดทะเยอทะยานของเขาทิ้งไป ให้เขาไม่อาจเงยหน้าขึ้นมาบนแผ่นดินนี้ได้อีก เช่นนี้ก็ดีไม่เลว


 


 


เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานแต่ละคนคึกคักฮึกเหิม ขาดเพียงแค่คำสั่งขององค์ชายน้อย พวกเขาก็พร้อมที่จะเข้าไปหักกระดูกจีเฉวียนให้เป็นผุยผงแล้ว


 


 


สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นโอกาสดีอันยอดเยี่ยม


 


 


ท่านประมุขเกลียดชังแคว้นต้าโจวอย่างที่สุด หากว่าใครสามารถเด็ดศีรษะของฮ่องเต้ต้าโจวได้ล่ะก็ ย่อมต้องได้รับรางวัลและความชื่นชมจากท่านประมุขอย่างไม่มีสิ้นสุดแน่นอน


 


 


ทั้งเสียนไท่เฟย ศพคืนชีพเฒ่าและอันหร่วน หมากแต่ละตัวที่ถูกส่งออกไปต่างก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้เลย


 


 


ตอนนี้มีโอกาสงามอยู่ตรงหน้า พวกเขาย่อมต้องไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยต่างก็ชักจะเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว ตลอดทางมานี้ นอกจากองครักษ์ลับแล้ว ก็ไม่เห็นว่าฮ่องเต้จะมีผู้ติดตามใดอีก


 


 


ต่อให้เป็นองครักษ์ลับเหล่านี้ก็เถอะ ก็ยังมีกันแค่สิบกว่าคนเท่านั้น


 


 


ลองดูแคว้นต้าฉินของผู้อื่นสิ มากันทีก็มีเหล่านักพรตเป็นร้อยคน แต่ละคนล้วนเก่งกล้าสามารถ


 


 


ต่อให้ไม่ดียังไง พวกเราก็พาพี่ใหญ่ของอารามเทียนเก๋อกวนนั่นมาด้วยไม่ได้หรือ?


 


 


คนยิ่งเยอะพละกำลังยิ่งมากไง!


 


 


นักพรตอู๋เจินนั่นถึงแม้ดูแล้วจะพึ่งพาอะไรไม่ค่อยได้ แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ยังเป็นถึงท่านอาจารย์ของไทเฮา สมควรจะต้องมีฝีมืออยู่สักสองสามท่า


 


 


แต่เพราะฮ่องเต้ของพวกเราเป็นพวกมั่นพระทัยในตนเอง ถึงได้ลดพระองค์ไม่ทำตัวโดดเด่น


 


 


ตอนนี้ละเป็นไง โดนล้อมกรอบเข้าแล้ว


 


 


พอเห็นสีหน้าสีตาที่เหิมเกริมของเหยียนเฉียวหลัว ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยก็ได้แต่กัดปากจนปวดฟัน เขาล่ะอยากจะปล่อยเจ้าติ๊องต๊องไปจิกนางเหลือเกิน!


 


 


สมควรตายนัก เจ้าไก่นั่นพอจะใช้งานขึ้นมาก็หายหน้าไปเลย!


 


 


“อ้ายย่าห์ โมโหมากเลยหรือ?” เหยียนเฉียวหลัวมองดูท่าทางกัดฟันกรอดๆ ของพวกเขา ก็ยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก “องค์หญิงอย่างข้าชอบเห็นท่าทางยามพวกเจ้าโกรธจนกระอักเลือด แต่ก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้แบบนี้เป็นที่สุดเลย”


 


 


ว่าแล้ว นางก็ไม่สนใจสองคนนั้นอีกต่อไป หันเหสายตากลับมาที่บนร่างของจีเฉวียน “ความอดทนขององค์หญิงอย่างข้าสิ้นสุดลงแล้ว ทุกท่านกำลังรอที่จะไปหาสมบัติอยู่นะ ฮ่องเต้แคว้นโจว ท่านอย่าได้ทำให้เสียเวลากันอีกต่อไป หากไม่ขออภัย ท่านก็ต้องตาย”


 


 


ประโยคสุดท้ายนี้เหยียนเฉียวหลัวยืนยันอย่างหนักแน่น นางก็ไม่ใช่พระโพธิสัตว์อะไร


 


 


ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ นางให้โอกาสจีเฉวียนมามากแล้ว หากว่าเขายังคงงมงายอย่างไร้สติต่อไป ไม่ยอมทำตามข้อแม้ของนาง เช่นนั้นนางก็ยอมให้เขาเป็นหยกที่แหลกสลายแต่ไม่ปล่อยให้กลายเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์


 


 


สิ่งที่ตนเองไม่อาจได้มา คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้ไป!


 


 


สายตาของเหยียนเฉียวหลัวเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้น ในมือของนางเพิ่มแส้หนังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พอสิ้นเสียงก็สะบัดแส้เข้าหาจีเฉวียนในทันที


 


 


องค์ชายน้อยก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีกทั้งสิ้น เพียงยืนอยู่ข้างกายเหยียนเฉียวหลัว สายตาของเข้าตั้งแต่ต้นจนจบมิได้ละไปจากร่างของจีเฉวียนเลยแม้สักแวบเดียว


 


 


เดิมทีเขาคิดว่า เมื่อพวกเขาทั้งสองมาเผชิญหน้ากันในลักษณะเช่นนี้ จีเฉวียนจะต้องทั้งประหลาดใจและโกรธกริ้ว หรือแสดงอารมณ์หวั่นไหวออกมา คิดไม่ถึงว่าเขาเพียงตรัสเรียบๆ ไม่กี่คำ จากนั้นก็ไม่สนใจจะมองมาทางนี้อีก


 


 


ยามนี้เขาถึงได้รู้ว่าตนเองคำนวณน้ำหนักของตนและตระกูลในใจของคนผู้นี้เอาไว้สูงมากจนเกินไป


 


 


เมื่อเผชิญกับแส้หนังของเหยียนเฉียวหลัว จีเฉวียนทั้งมิได้หลบและไม่ได้ตอบโต้ ยังคงประทับนิ่งอยู่ที่เดิม ดวงเนตรทั้งสองเย็นยะเยือก


 


 


ฝูงคนทั้งหลายต่างพากันเฝ้าดูงิ้วเรื่องนี้


 


 


กระทั่งอิ๋งฉีที่อ้าปากขยับไปมา คำพูดมาถึงปลายลิ้นก็ถูกเหล่านักพรตสกัดกั้นเอาไว้


 


 


หัวใจของตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟยต่างก็เคร่งเครียดอย่างหนัก พอหันหน้ากลับไปมองดูหลงเซียว ก็เห็นเขายังคงทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ดังเดิม ราวกับว่าต่อให้ฝ่าบาทถูกฟาดตีก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร


 


 


“ก็ไม่ใช่ว่าฝ่าบาทจะไม่ทรงเคยถูกฟาดตีมาก่อน” พอเห็นสายตาของคนทั้งสอง หลงเซียวก็ตอบช้าๆ กลับไปประโยคหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทเคยโดนตบพระพักตร์มาแล้ว ใช้รองเท้าตบ ตอนนี้หากโดนแส้ฟากสักหลายทีจะถือเป็นอะไรไป”


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยและหยวนเฟย “…….”


 


 


ใครกันนะที่ขวัญกล้าเทียบฟ้าถึงเพียงนั้น ใช้รองเท้าตบพระพักตร์ฝ่าบาท?


 


 


คนผู้นั้นตอนนี้คงดับดิ้นไปแล้วใช่หรือไม่ แม้แต่กระดูกก็คงเหลือไม่ครบ?


 


 


…………………


 


 


 


 


ขณะที่เห็นว่าแส้ของเหยียนเฉียวหลัวกำลังจะสัมผัสถูกร่างของจีเฉวียน ก็ได้ยินเสียง ‘เฟี้ยว’ ดังมาจากหลังดงไม้หนาม ลูกธนูยาวดอกหนึ่งพุ่งมาตามลม


 


 


ลูกธนูดอกนั้นพุ่งใส่แส้ของเหยียนเฉียวหลัว พละกำลังที่รุนแรงนั้นกระแทกแส้จนหลุดกระเด็นจากมือของนาง ข้อมือของนางสั่นสะท้าน คนต้องถอยไปด้านหลังอีกหลายก้าว


 


 


หากมิใช่เพราะว่าท่านผู้อาวุโสหยู่ซั่งพยุงตัวนางเอาไว้ นางก็คงจะล้มก้นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรงไปแล้ว


 


 


ฝูงคนทั้งหลายต่างก็พากันตื่นตกใจขึ้นมา


 


 


พอหันหน้ากลับไปดู ก็เห็นว่าในดงไม้หนามนั้นมีเสียงเผาไหม้ดังออกมา


 


 


เปลวไฟสีฟ้าลุกโหมแผดเผา เผาจนมีแต่กลิ่นเหม็นของเนื้อไหม้คละคลุ้งไปหมด ในตอนนั้นดงไม้หนามขนาดใหญ่ก็กลายเป็นเถ้าถ่านไป


 


 


พอสิ้นกลุ่มควันขี้เถ้า ก็เห็นดาบใหญ่ด้ามหนึ่งปรากฏขึ้นสู่สายตา


 


 


ดาบที่เป็นประกายวาววับ สาดประกายแสงเย็นแวววาวออกมา ทันทีที่ดาบนั้นขยับ ห่วงร้อยบนตัวดาบก็ส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด


 


 


เห็นดาบใหญ่เล่มนั้นปรากฏขึ้นมา หัวใจของหยวนเฟยก็ลิงโลดขึ้นมาในทันที นางทั้งตื่นเต้นยินดี ทั้งกังวลใจไปพร้อมๆ กัน


 


 


เพียงครู่เดียว ก็เห็นเงาธงหลายผืนปรากฏออกมาหลังฝุ่นขี้เถ้าของไม้หนาม


 


 


รอจนธงเหล่านั้นขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนทั้งหลายถึงได้เห็นอักษร ‘โจว’ ตัวโตโตที่ปักอยู่บนผืนธง


 


 


ผืนธงนับร้อยนับพัน ลายล้อมสระสวรรค์เอาไว้กว่าครึ่ง


 


 


คนที่ยังมองเห็นธงได้ไม่ชัดเจน ก็ได้ยินเสียงหอนของสุนัขป่าดังมา เสียงหอนของสุนัขป่าเป็นร้อยๆ ตัว ดังลั่นจนทำให้ผิวน้ำในทะเลสาบสั่นสะเทือน


 


 


กระทั่งฝุ่นควันจางหายไปแล้ว ผู้คนทั้งหมดก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว


 


 


บุรุษผู้หนึ่งถือดาบใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง รอบกายของเขานั้น…..คือกองทหารหลายพันและหมาป่าหลายหมื่น!


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดหนึ่ง:


 


 


ไรท์: มาแล้ว! ใครว่ามากันแค่หลักสิบ!


 


 


ตอนต่อไป : “พระบารมีของฮ่องเต้ต้าโจวพระองค์ใหม่” 

 

 


ตอนที่ 276 พระบารมีของฮ่องเต้ต้าโจวพร...

 

เหล่าทหารสวมเกราะสีเงินยวง ในมือถือดาบและธนู บนหลังมีธงสีทองของแคว้นต้าโจว


 


 


เหล่าทหารที่อยู่ด้านหน้าขี่อยู่บนหลังของสุนัขป่า สุนัขป่าเหล่านั้นตัวใหญ่มาก แต่ละตัวดุดันร้ายกาจ!


 


 


ที่ด้านหลังของเหล่าทหาร มีฝูงสุนัขป่ามากมายรายล้อมอยู่ แม้จำนวนจะไม่ถึงหมื่นแต่ก็ต้องมีอยู่หลายพัน


 


 


ฉากเช่นนี้…..สงครามของเทพเซียนที่เล่าขานกันในตำนาน


 


 


ทั้งหมดนี่คือ……กองทัพของแคว้นต้าโจว?


 


 


ผู้คนทั้งหมดต่างตื่นตะลึงไปแล้ว


 


 


เหยียนเฉียวหลัวยิ่งตกตะลึงอยู่กับที่ สมองกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด


 


 


นี่….นี่จะเป็นไปได้อย่างไร?


 


 


กองทหารนับพัน สุนัขป่าจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาขึ้นมาบนเขาเทียนซานได้อย่างไร?


 


 


ในขณะที่ฝูงชนกำลังตื่นตะลึงและมีแต่สีหน้างุนงงอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงนายทัพที่ถือดาบใหญ่ผู้นั้นลงมาจากบนหลังของสุนัขป่า กระชับดาบเล่มใหญ่เดินมาถึงเบื้องหน้าจีเฉวียน เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งประสานหมัดคำนับ “แม่ทัพผู้พิชิตแห่งแคว้นต้าโจวตู๋กูจุน ถวายพระพรฝ่าบาท!”


 


 


ทันทีที่ตู๋กูจุนกล่าวออกมา ก็ได้ยินเสียงของเหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังของเขาส่งเสียงประสานตาม ทั้งหมดคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น เปล่งเสียงดังว่า “กองทหารแคว้นต้าโจว ถวายพระพรฝ่าบาท!”


 


 


น้ำเสียงดังกึกก้อง สะท้อนไปทั่วทั้งภูเขาเทียนซาน


 


 


แม้แต่พื้นดินใต้ฝ่าเท้าก็ยังสั่นสะเทือน ต้นไม้หนามที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ถูกไอสังหารบนร่างของพวกเขากดดันเสียจนต้องครั่นคร้าม พากันถดถอยไปยังด้านหลัง


 


 


จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งประคองตู๋กูจุนให้ลุกขึ้น “แม่ทัพผู้พิชิตรีบรุดมาไกลนับพันลี้ มิต้องมากมารยาทไป”


 


 


ตรัสแล้ว ก็กวาดสายพระเนตรที่น่าเกรงขามไปทางกองทัพของตู๋กูจุน “ทหารทั้งหลายลุกขึ้นได้”


 


 


กองทหารทั้งหมดถึงได้ลุกขึ้นยืน


 


 


หากเปรียบเทียบกับเหล่าทหารที่ยืนอยู่ในนี้ กองทัพของแคว้นต้าโจวยังองอาจน่าเกรงขามกว่ามากนัก แต่ละคนคล้ายดังดาบที่ผ่านการชโลมเลือดมาแล้ว เมื่อมีทหารเช่นนี้นับพันอยู่รวมกันในที่นี่ ไอสังหารเหล่านั้นก็พวยพุ่งขึ้นฟ้าสร้างความกดดันไปทั่วทั้งภูเขาเทียนซาน


 


 


ภายใต้หน้ากาก องค์ชายน้อยถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี


 


 


แม้แต่ตัวเขาก็ยังคาดไม่ถึง ว่าจีเฉวียนจะถึงกับเรียกกองทหารของตู๋กูจุนที่อยู่ไกลถึงเป่ยเจียงมายังที่นี่!


 


 


และตลอดทางที่มานี้ เขาถึงกลับไม่ได้ยินข่าวคราวเลยแม้แต่นิดเดียว?


 


 


พวกเขาขี่สุนัขป่าเหล่านั้นมา ดูจากลักษณะแล้วนั่นเป็นสุนัขป่าตะวันตกของแดนเป่ยเจียง!


 


 


พวกเขาขี่สุนัขป่าตะวันตกมาตลอดทาง?


 


 


ตระกูลตู๋กูไม่เพียงแต่พิชิตแดนเป่ยเจียงได้เท่านั้น แม้แต่สุนัขป่าตะวันตกก็ยังสามารถพิชิตได้ด้วย?


 


 


ทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สุนัขป่าตะวันตกคือสัตว์เทพที่เผ่าอาปู้ไซแห่งแดนเป่ยเจียงเลี้ยงดูด้วยความเคารพเทิดทูน ยามปกติมีแต่จะคอยรอรับบรรณาการจากเผ่าอาปู้ไซ ตอนนี้กลับยอมรับใช้ทั้งกายและใจต่อตระกูลตู๋กู?


 


 


ไม่…พวกมันกำลังหมอบคำนับให้กับฮ่องเต้แห่งต้าโจว จีเฉวียน


 


 


ยามนี้ ไม่เพียงแต่กองทัพของตระกูลตู๋กูที่คุกเข่าคำนับให้กับจีเฉวียน แม้แต่สุนัขป่าตะวันตกยังก้มศีรษะให้ แสดงความอ่อนน้อมต่อจีเฉวียนออกมา


 


 


ดูสิ….ผู้อื่นต่างก็นำเหล่านักพรตมา แต่ว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจวผู้นี้ยกกันมาทีหนึ่ง ก็ล้วนแต่เป็นกองทัพที่กวาดล้างเข่นฆ่าศัตรู


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ปากของแต่ละคนกว้างขนาดจะกลืนไข่ไก่ทั้งใบลงไปได้


 


 


ที่ต้าโจวยกมาคือกองทัพ ไม่ใช่นักพรต….


 


 


แต่ว่าแค่บรรยากาศในตอนนี้ ก็มีแรงกดดันที่มากเกินไปแล้ว หากมีใครกล้าไม่เห็นด้วย ขอเพียงแค่ฮ่องเต้แคว้นโจวมีพระบัญชา ก็สามารถจะถล่มภูเขาเทียนซานนี้ให้ราบเรียบ จัดการฝังกลบพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ที่นี่


 


 


จีเฉวียนยังมิทันได้รับสั่งว่าอะไร ก็มีบางคนเริ่มสำนึกเสียใจแล้ว……


 


 


ทำไมพวกเขาถึงได้ถูกคำพูดเพียงไม่กี่คำของเหยียนเฉียวหลัวหลอกลวงเอาได้นะ?


 


 


พวกเขาต่างก็รู้ดีอยู่แล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่แห้งแคว้นต้าโจว มีฝีมือโหดเ**้ยมไร้ไมตรี มิว่าจะทำสิ่งใดล้วนแล้วแต่มีแผนการรัดกุม เขาไหนเลยจะพาเพียงองครักษ์ไม่กี่สิบคนมาตามหาขุมทรัพย์ได้กัน?


 


 


พอมองเห็นสถานการณ์มาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว ตู๋กูเจวี๋ยก็โผเข้าไปอยู่ข้างกายตู๋กูจุน ลูบคลำดาบเล่มใหญ่ในมือของเขา ส่งเสียด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง “พี่ใหญ่ ท่านมาแล้ว”


 


 


ตู๋กูจุนเหลือบมองดูเขาแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าขาวๆ ของเขามีชั้นน้ำแข็งเกาะบางๆ ชั้นหนึ่ง ริมฝีปากม่วงๆ นั้นยู่เข้าหากกันจนเป็นปากนก จึงล้วงเอาเตาอุ่นมือออกมาจากอกส่งให้เขาไป “ข้าไม่มีเวลาคุ้มครองเจ้า อย่าตายละ”


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยรับเตาอุ่นมือมา ตบอกตนเองเบาๆ “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น วางใจเถอะ ข้าอายุยืนอยู่แล้ว ไม่ตายแน่นอน”


 


 


ว่าแล้ว เขาก็มองเข้าไปในกลุ่มทหารตระกูลตู๋กูที่อยู่ด้านหลังตู๋กูจุนครั้งหนึ่ง “ทำไม ท่านปู่มิได้มาด้วยล่ะ?”


 


 


เขายังนึกว่า ขุมทรัพย์ที่มีแรงดึงดูดใจมากขนาดนี้ ท่านปู่จะต้องรีบมาอย่างแน่นอน


 


 


“ที่แดนเป่ยเจียงยังต้องให้ท่านปู่นั่งบัญชาการ ท่านไม่อาจถอนตัวออกมาได้” ตู๋กูจุนคว้าจับเขาขึ้นมา เหวี่ยงลงไปบนหลังสุนัขป่าของตนเอง “อยู่ให้ดีๆ อย่าได้ยุ่งวุ่นวาย ประเดี๋ยวตอนสู้กัน ข้าไม่มีเวลาดูแลเจ้า”


 


 


น้องรองคนนี้เหมือนกับกระบวยตักปุ๋ย [1] ที่ใดมีเหตุเขาเป็นต้องโผล่หัวไปที่นั่น ตู๋กูจุนคาดไม่ถึงจริงๆ ว่า เขาจะมาถึงที่นี่ด้วย


 


 


หรือจีเฉวียนจะตั้งพระทัยดึงตัวเขามากัน?


 


 


ตนเองกับท่านปู่ต่างก็ได้รับพระบัญชาและจดหมายของน้องรองในเวลาพร้อมๆ กัน


 


 


ในจดหมายนั้นเขียนว่าน้องเล็กถูกฮ่องเต้พามาหาขุมทรัพย์ ฮ่องเต้ยังให้เหตุผลกับน้องเล็กว่าเป็นการ ‘แก้เบื่อ’ จึงได้พาเขามาด้วย


 


 


ดูอย่างไรก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะครอบครองขุมสมบัติของแคว้นเซอปี่ซือ จึงได้ตั้งพระทัยนำสองคนนี้มาเป็นตัวประกัน


 


 


ยังดีที่….น้องเล็กปลอดภัยไร้เรื่องราว ทั้งยังอ้วนขึ้นมาพอควร ขาวๆ นุ่มๆ หากว่าอายุน้อยกว่านี้สักหน่อย คงยิ่งเหมือนกับตุ๊กตาเด็กหญิง


 


 


ตอนนี้อาปู้ถาลากับราชาสุนัขป่าตะวันตกอยู่เป็นเพื่อนนางที่เชิงเขา ปลอดภัยอย่างยิ่ง


 


 


ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้ชื่นชอบจีเฉวียนสักเท่าไร แต่ว่าคนผู้นั้นก็รักษาคำสัญญา มิได้ทำสิ่งใดไม่ดีกับน้องเล็ก


 


 


ในขุมทรัพย์ของแคว้นเซอปี่ซือ พอดีมีสิ่งของที่ท่านปู่ต้องการ สมควรถือโอกาสนี้นำออกมาพร้อมกัน


 


 


อีกด้านหนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวยังคงไม่ทันได้สติกลับมา ก็เห็นเหล่านักพรตในชุดสีเขียวนับร้อยคนเหาะออกมาจากด้านหลังของกองทัพแคว้นโจว


 


 


นักพรตแต่ละคนรูปโฉมงดงามดุจบุปผา ในมือถือแส้ปัด กลางหน้าผากมีแต้มดอกไม้


 


 


พวกเขาลอยลงมาดุจเทพเซียน ดูราวกับเหล่าเทพที่มาเยือนยังโลกหล้า


 


 


ผู้นำของพวกเขาเป็นนักพรตเฒ่าเคราขาวผู้หนึ่งและนักพรตวัยกลางคนอีกสองคน ถึงแม้ว่าจะดูมีอายุแล้ว แต่ยังคงมีรูปโฉมน่าชื่นชม


 


 


เมื่อมีคู่เปรียบเทียบกันเช่นนี้ ก็เหมือนจะชี้ให้เห็นว่านักพรตของพวกตนคือของเทียม ผู้อื่นต่างหากที่เป็นของแท้


 


 


“โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ ข้านักพรตอู๋เทียน ถวายพระพรฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจวของพวกเรา” นักพรตเฒ่าผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นที่เบื้องหน้าจีเฉวียน คำนับเขาด้วยความเคารพนอบน้อม


 


 


“ข้านักพรตอู๋เจิน….”


 


 


“ข้านักพรตอู๋ซื่อ….”


 


 


“เหล่านักพรตศิษย์อารามเทียนเก๋อกวน….”


 


 


“ถวายพระพรฝ่าบาท พวกเราได้รับพระบัญชาเรียกหา วันนี้แม้ต้องสิ้นชีพในภูเขาเทียนซานแดนเซอปี่ซือ ก็ไม่เสียดายแม้แต่น้อย”


 


 


เหล่านักพรตทั้งหนุ่มและชราล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ด้วยท่าทางประหนึ่งว่าจีเฉวียนนั้นคือเง็กเซียนฮ่องเต้บนสรวงสวรรค์


 


 


ฝูงชนที่เดิมทีก็อยู่ในความตกตะลึงกันอยู่ ยามนี้ถึงกับโง่งมกันไปแล้ว


 


 


ดูสิ…. ฮ่องเต้ต้าโจวไม่เพียงแต่เรียกกองทหารมา แต่ยังสามารถเรียกนักพรตมาได้มากมาย


 


 


ชื่อเสียงของอารามเทียนเก๋อกวนย่อมต้องเคยได้ยินกันมาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว เรียกว่ามิได้ด้อยไปกว่าภูเขาฮว่าชิ่งซานเลย


 


 


มิว่าจะเป็นอดีตฮ่องเต้ในกาลก่อนหรือฮ่องเต้แคว้นต่างๆ ในกาลปัจจุบัน ต่างก็ให้ความเคารพยกย่องต่ออารามเทียนเก๋อกวนด้วยกันทั้งนั้น แม้ว่าทุกๆ ปีราชวงศ์จะส่งมอบเงินบริจาคจำนวนมากไปให้อารามเทียนเก๋อกวน แต่ก็ไม่เคยได้ยินมาว่าอารามเทียนเก๋อกวนจะทำสิ่งใดให้กับแคว้นต้าโจวมาก่อน


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็เข้าใจกันว่า …..ฮ่องเต้แคว้นต้าโจวไม่ได้รับการยอมรับจากอารามเทียนเก๋อกวนเสียอีก


 


 


คิดไม่ถึงว่า…..ผู้อื่นไม่เพียงแต่ได้รับการยอมรับ แต่ยังสามารถเรียกใช้อารามเทียนเก๋อกวนได้อย่างตามสบายอีกด้วย


 


 


ในตอนนี้ผู้คนทั้งหลายจึงได้แต่รู้สึกอิจฉาจีเฉวียนจนตาร้อนไปหมดแล้ว


 


 


 


 


——


 


 


[1] 搅屎棍 ตัวสร้างปัญหา


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


เตาอุ่นมือ/เตาพก (暖手炉) : เตาขนาดเล็กเท่าผลส้มหรือใหญ่กว่าเล็กน้อย สำหรับถือบนมือหรือใส่ในแขนเสื้อ ทำจากสำริดสองชั้นเพื่อกักเก็บความร้อน ภายนอกฉลุลวดลาย ลงยาหรือหุ้มกระเบื้องเคลือบ บรรจุถ่านไม้ไร้ควัน หรือควันน้อยตามแต่ทุนทรัพย์ของผู้ถือ เป็นหนึ่งในเครื่องแก้หนาวที่สามารถแสดงฐานะทางสังคมของคุณหนูทั้งหลาย


 


 


ตอนต่อไป “จีเฉวียนน่ากลัวเกินไปแล้ว” 

 

 


ตอนที่ 277 จีเฉวียนน่ากลัวเกินไปแล้ว

 

ดูวิธีการคิดของฮ่องเต้แคว้นโจวผู้นี้สิ การวางแผนของเขา ตอนแรกเหมือนจะเป็นแค่ระเบิดควันแต่ที่ไหนได้เขากลับมีแผนการอีกสองขั้นอยู่เบื้องหลัง


 


 


รอจนคนทั้งหลายเปิดเผยขุมกำลังหมดแล้ว เขาถึงได้ปล่อยของจริงมาถล่มทับ


 


 


พวกเขาจึงกลายเป็นเพียงของปลอม ที่ผู้อื่นไม่ได้เห็นค่าอยู่ในสายตาตั้งแต่แรกแล้ว


 


 


ราวกับว่าไม่ต้องปะทะกันก็รู้ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าความแตกต่างนั้นมันเหนือชั้นกว่ากันมากเพียงไร


 


 


ฝูงชนทั้งหลายต่างพากันมองมาที่จีเฉวียน ยามนี้พวกเขาถึงได้รู้สึกว่าที่จริงแล้วฮ่องเต้แคว้นโจวที่งดงามเหนือมนุษย์ธรรมดาผู้นี้…….น่าหวาดกลัวมากเพียงไร


 


 


เขาเป็นเหมือนดังเจ้าของกระดานหมาก ที่ควบคุมความเป็นไปได้ทั้งหมดไว้


 


 


ส่วนพวกเขาที่เป็นตัวหมากเล็กๆ เกรงว่าคงไม่แม้แต่จะอยู่ในสายตาของเขาเลย


 


 


ทั้งองค์ชายน้อยและอิ๋งฉีทั้งสองต่างก็มองไปที่จีเฉวียน


 


 


บุรุษชุดม่วงผู้นั้นไม่กล่าวสิ่งใดแม้แต่คำเดียว เหล่านักพรตที่มาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาต่างก็พากันร้อนใจขึ้นมาแล้ว


 


 


“ฝ่าบาท พวกเราล้วนเป็นเหล่านักพรตอาวุโสของภูเขาฮว่าชิ่งซาน ย่อมไม่เกรงกลัวแคว้นต้าโจว”


 


 


เรื่องมาจนถึงขั้นนี้ คิดว่าจีเฉวียนก็คงจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ อย่างแน่นอน หากจะให้นั่งงอรอความตาย มิสู้ต่อสู้กันอย่างเต็มที่ทั้งสองฝ่ายดูสิว่าใครจะอยู่ใครจะไป


 


 


ไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่ดีหรือ?


 


 


เช่นนั้นจีเฉวียนก็อย่าได้คิดว่าจะรอดไปอย่างสบายได้เช่นกัน!


 


 


องค์ชายน้อยสีหน้าหนักหน่วง ลดเสียงลงกล่าวว่า “หุบปากเสีย”


 


 


เป็นเขาเองที่ประมาทจีเฉวียนมากเกินไป


 


 


เขาผิดพลาดไปสองประการ


 


 


อย่างแรกเขาคาดไม่ถึงว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลตู๋กูและจีเฉวียนจะแนบแน่นมากจนถึงขนาดนี้ ประการที่สองคาดไม่ถึงว่าแม้แต่อารามเทียนเก๋อกวนก็ถูกเขาสยบเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่ผู้ที่เก็บตัวไม่ยอมเปิดเผยใบหน้ามาตลอดสิบปีอย่างนักพรตอู๋เทียนเจินเหริน [1] ก็ยังยอมเผยโฉมออกมาแล้ว


 


 


นับตั้งแต่รัชกาลก่อนๆ นักพรตอู๋เทียนเจินเหรินก็คงอยู่มานานแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขามีอายุเท่าไหร่ ฝึกฝนจนถึงระดับไหน


 


 


รู้กันแต่เพียงว่าเขาคือบุคคลในตำนาน ตลอดหลายปีมานี้ ผู้ที่มีโอกาสได้พบเขามีอยู่ไม่มาก


 


 


เล่าลือกันว่าอู๋เทียนเจินเหรินนั้นใกล้จะสำเร็จเป็นเซียนแล้ว


 


 


ในแคว้นต้าโจว เขาเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก


 


 


บุคคลเช่นนี้ไม่ขาดแคลนชื่อเสียง หรืออำนาจ จีเฉวียนไปกระทำการเช่นใดกันแน่


 


 


จึงได้สามารถทำให้อู๋เทียนยินยอมกระทำเพื่อเขาอย่างเต็มใจ?


 


 


ข้อนี้ องค์ชายน้อยยังคงขบคิดไม่ออกในตอนนี้


 


 


เพียงแต่สามารถยืนยันได้ข้อหนึ่งว่า ตอนนี้พวกเขาไม่อาจจะขัดแย้งกับจีเฉวียนอย่างตรงๆ ได้แล้ว


 


 


มิเช่นนั้น ลำพังแค่อู๋เทียนเพียงคนเดียว ก็สามารถทำให้พวกเขาต้องสูญเสียทั้งกำลังคนและทรัพย์สินได้แล้ว


 


 


แค่เพียงคำเดียวของเขา ก็สามารถทำให้เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานหุบปากเงียบได้ในทันที


 


 


เนื่องเพราะขุมกำลังของจีเฉวียนนั้นแข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ …..


 


 


มือหนึ่งควบคุมกองทหารที่ร้ายกาจดั่งกองโจร อีกมือหนึ่งถือครองเหล่านักพรตที่ลึกล้ำสุดหยั่ง


 


 


มิว่าจะอย่างไร หากว่าพวกเขาแตะลงไปแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางเหลือจุดจบที่ดีอีกแล้วแน่นอน


 


 


อิ๋งฉีกำลังรู้สึกเสียใจเข้าแล้วจริงๆ เมื่อครู่เขาไม่ได้ช่วยพูดจาแทนจีเฉวียนต่อหน้าฝูงชนเลยแม้สักครึ่งคำ ตอนนี้จึงไม่มีคุณสมบัติที่จะขอให้จีเฉวียนทำสิ่งใดเพื่อเขาอีกแล้ว


 


 


เขาได้แต่ขบเม้มริมฝีปากเอาไว้


 


 


ตั้งแต่แรก….ก็รู้อยู่แล้วว่าจีเฉวียนนั้นมิใช่ธรรมดา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าความไม่ธรรมดานี้จะเกินกว่าความคาดหมายของเขาไปมากมายนัก


 


 


เขาช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เหมือนดั่งในปีนั้น


 


 


ยามนี้ มีผู้คนไม่น้อยมองไปทางเหยียนเฉียวหลัว


 


 


คำพูดที่นางพึ่งจะกล่าวไปกับฮ่องเต้ต้าโจวเมื่อครู่นั้น คล้ายกับว่ากำลังสะท้อนกลับไปกลับมาอยู่ในหูของพวกเขา


 


 


ผู้คนเหล่านี้ได้แต่ใบหน้าแดงก่ำด้วยความละอาย ขณะเดียวกันก็จดจ้องเหยียนเฉียวหลัวไปด้วย


 


 


สำหรับคนกลุ่มนี้แล้ว ถึงแม้ว่าเหยียนเฉียวหลัวจะมีบุญคุณช่วยชีวิตพวกเขา….แต่ว่าสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นจุดชี้ชะตาชีวิตอีกจุดหนึ่ง


 


 


หากว่าพวกเขายังยืนหยัดอยู่ข้างเหยียนเฉียวหลัวต่อไป จีเฉวียนย่อมไม่ต้องตรัสอะไรสักคำ ก็คงสามารถจะบดขยี้พวกเขาไปผุยผงได้แล้ว


 


 


หากว่าพวกเขาหันไปหาจีเฉวียน….แต่ว่ารากหนามที่อยู่ภายในร่างกายยังไม่ได้รับการถอนออกมา ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นจะงอกออกมาจากปากแผลอีกครั้งเมื่อไหร่กัน


 


 


ดังนั้นตอนนี้จึงได้แต่มองไปยังเหยียนเฉียวหลัว ด้วยความสงบเงียบไม่กล้าเคลื่อนไหว


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเองก็ไม่รู้ว่าสมควรจะวางสายตาเอาไว้ตรงไหนดี เรื่องราวกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่นางมิได้คาดคิดมาก่อน จะดึงอย่างไรก็ดึงไม่กลับ…..


 


 


ตอนนี้จิตใจของนางมีแต่ความตื่นตระหนก หากว่าแต่ก่อนนั้นจะค่อนข้างสงบนิ่ง แต่ตอนนี้กลับหวาดระแวงไปหมด ไม่รู้ว่าสมควรจะทำเช่นไหนดี


 


 


ผ่านไปอีกพักใหญ่นางถึงได้กล่าวออกมาอย่างตะกุกตะกักว่า “ฮ่องเต้แคว้นโจว ท่านทำร้ายพระเชษฐาของข้า ตอนนี้ก็คิดจะใช้กำลังจัดการกับข้า กวาดล้างขุมกำลังในแผ่นดินทั้งหมดใช่หรือไม่?”


 


 


น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวพึ่งจะขาดคำ ก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมาจากในกองทัพของตู๋กูจุน “น้องเรา ไยเจ้าจึงคอยแต่จะสาปแช่งเราอยู่เรื่อยไป?”


 


 


เหยียนเฉียวหลัว “!!!”


 


 


“ครั้งก่อนตอนที่อยู่ในพระราชวังแคว้นต้าโจว เจ้าฆ่าเราไม่สำเร็จ เจ้าจึงไม่ยอมถอดใจ?” ครู่หนึ่ง ก็เห็นเหยียนหยุนขโยกเขยกออกมาจากกองทัพตู๋กูจุน


 


 


ขาซ้ายของเขามีแต่ความว่างเปล่า ใบหน้าขาวซีดอย่างที่สุด


 


 


พอขยับมาจนถึงระยะห่างจากเหยียนเฉียวหลัวเพียงแค่สองจั้งเขาก็หยุดลง โบกขาข้างที่มีแต่ความว่างเปล่าไปมา “ตอนนี้เจ้าทำร้ายเราจนกลายเป็นคนพิการสำเร็จแล้ว สะใจหรือยัง?”


 


 


สีหน้าของเหยียนเฉียวหลัวตกตะลึง……


 


 


เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยสักนิดจริงๆ นางนึกว่าเหยียนหยุนถูกพวกปีศาจไร้หน้าจัดการจนตายไปตั้งแต่แรกแล้ว ใครจะไปนึกว่าเขาจะโชคดีมีบุญรอดมาได้ ขาขาดไปเพียงแค่ข้างเดียว


 


 


สายตาของฝูงชนหันไปมองดูเหยียนเฉียวหลัวด้วยความคลางแคลงใจ


 


 


เมื่อสักครู่นี้ นางยังเป็นองค์หญิงแคว้นเหยียนที่ผู้คนเฝ้าเทิดทูนอยู่เลย แต่ตอนนี้สายตาที่ผู้คนมองดูนางกลับเปลี่ยนแปลงไปแล้ว


 


 


ดูสิ….องค์รัชทายาทแคว้นเหยียนยังไม่ตาย แถมสิ่งแรกที่เขาทำคือออกมากล่าวโทษนาง เช่นนี้แล้ว เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในวังหลวงต้าโจวก็คงจะเป็นจริงสินะ และครั้งนี้ เหยียนเฉียวหลัวก็คงคิดจะลอบทำร้ายรัชทายาทแคว้นเหยียนอีกครั้ง แต่ว่าไม่สำเร็จ แถมนางยังคิดจะใช้วิธีเดิมใส่ร้ายป้ายสีฮ่องเต้แคว้นโจวอีกครั้ง


 


 


“ไงล่ะ ข้ายังไม่ตาย ยังไม่ถูกเอาไปสกัดทำยา เจ้าผิดหวังมากหรือไร?” เหยียนหยุนจดจ้องดูนางด้วยความเกลียดชัง


 


 


หากไม่ใช่เพราะว่าแม่ทัพผู้พิชิตของต้าโจวเผอิญไปพบเขาที่กำลังจะถูกนำไปสกัดเป็นยาเข้า แล้วช่วยเหลือเขาเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าตอนนี้เขาคงกลายเป็นกองเลือดไปนานแล้ว


 


 


ถึงแม้ว่าจะเก็บชีวิตกลับมาได้ แต่ก็ต้องสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง องค์รัชทายาทที่ขาขาดต่อไปจะเป็นฮ่องเต้ปกครองแคว้นได้อย่างไร?


 


 


พอได้รับความช่วยเหลือจากแม่ทัพผู้พิชิตเขาถึงได้รู้ว่า เหยียนเฉียวหลัวขายเขาทิ้งให้กับแม่เฒ่านั่นเพื่อใช้ทำยา….


 


 


สตรีผู้นี้มีพิษสงชั่วร้ายอย่างที่สุดแล้ว!


 


 


“เสด็จพี่รัชทายาท ท่านสับสนไปแล้วหรือไม่ ข้าไหนเลยจะเคยทำเรื่องเช่นนั้น?” เหยียนเฉียวหลัวตอบอย่างมึนงง นางพยายามยืนยันอย่างหนักแน่นต่อไปว่า “ข้าเองก็เกือบจะตายในน้ำมือของปีศาจเหล่านั้นแล้ว ยังดีที่ท่านอาจารย์ช่วยข้าเอาไว้…..”


 


 


ว่าแล้วนางก็หันกลับไปมองผู้อาวุโสหยู่ซั่งแวบหนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมององค์ชายน้อยครั้งหนึ่ง


 


 


สถานการณ์เช่นนี้นางไม่รู้ว่าสมควรจะจัดการอย่างไรจริงๆ องค์ชายน้อยเป็นผู้ที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เขาจะต้องมีหนทางอย่างแน่นอนใช่หรือไม่?


 


 


สำหรับเขาแล้วนางยังมีคุณค่าให้ใช้สอย เขาจะต้องไม่ปล่อยให้นางอับจนหนทางเช่นนี้ ใช่ไหม?


 


 


สายตาของนางทอประกายวิงวอน หวังให้องค์ชายน้อยช่วยเหลืออะไรนางบ้าง


 


 


เพราะเรื่องทั้งหมดที่นางทำลงไปล้วนแต่เป็นไปตามความประสงค์ของเขา


 


 


“หมากที่ใช้การไม่ได้อีกตัวแล้ว” องค์ชายน้อยเพียงแต่กล่าวออกมาด้วยความเยือกเย็นประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ไม่สนใจมองดูนางอีก


 


 


เพียงแค่ประโยคเดียว หัวใจของเหยียนเฉียวหลัวก็ตกอยู่ในความเหน็บหนาว


 


 


ผู้อาวุโสหยู่ซั่งเองก็ถึงกลับหน้าเปลี่ยนสี ….ประโยคนี้ขององค์ชายน้อย เท่ากับเป็นการตัดสินชีวิตของเหยียนเฉียวหลัวไปแล้ว?


 


 


เด็กคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน……เพียงแต่อุปนิสัยออกจะมุทะลุเกินไปอยู่บ้าง ต้องมาจบสิ้นไปเช่นนี้ นับว่าน่าเสียดายจริงๆ ……


 


 


แต่ว่านางก็ไม่ได้ขอร้องแทนเหยียนเฉียวหลัวแต่อย่างใด


 


 


เพียงแต่หันหน้าไปกล่าวว่าจากแก่เหล่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่อยู่เบื้องหน้าว่า “ขอทุกท่านอย่าได้ลืมไป พิษที่อยู่ในร่างของพวกท่าน เป็นองค์หญิงแคว้นเหยียนของข้าที่ถอนให้ได้ หากยังมิได้รักษาจนหายขาดแล้วเกิดเรื่องกับองค์หญิงล่ะก็ ทุกท่านคงจะต้องร่วมกลบฝังไปด้วยกันแล้ว”


 


 


 


 


——


 


 


[1] 真人ระดับการบำเพ็ญของนักพรตที่เข้าใกล้ขั้นเซียนคุยกันนิดนึง:


 


 


——


 


 


ไรท์: อยู่ฝั่งตัวร้ายก็ต้องเ**้ยมเท่านั้น ไม่ช่วยข้า เจ้าก็มาตายด้วยกันเถอะ!


 


 


ตอนต่อไป: “กระหม่อมจะปกป้องท่านเอง” 

 

 


ตอนที่ 278 กระหม่อมจะปกป้องท่านเอง

 

ผู้คนเหล่านั้นค่อยรู้สึกตัวขึ้นมา …..พวกเขาเกือบจะลืมไปเสียแล้ว รากหนามที่อยู่ในร่างกายยังไม่ได้ถูกถอนออกไป


 


 


เหล่านักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานคล้ายจะฟังแต่คำสั่งของเหยียนเฉียวหลัวเพียงผู้เดียวเท่านั้น


 


 


หากว่านางตายไป ….พวกเขาก็คงมีแต่ต้องลงหลุมตามไปด้วย


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างก็ลังเล ในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อแห่งความเป็นความตายเช่นนี้


 


 


สุดท้ายแล้วก็ยังจำเป็นจะต้องยืนอยู่ฝ่ายเหยียนเฉียวหลัวอยู่ดี


 


 


คนที่ขึ้นมายังภูเขาเทียนซานได้สำเร็จ มากกว่าครึ่งล้วนถูกไม้หนามทิ่มแทง พอขุมกำลังกลุ่มนี้ยืนอยู่ข้างเหยียนเฉียวหลัว ก็มีกำลังรวมกันนับพันคน


 


 


แม้จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของจีเฉวียน แต่ก็ยังต้องถือว่าสามารถงัดข้อกันได้อยู่


 


 


เห็นผู้คนย้ายข้างกลับมา สีหน้าของเหยียนเฉียวหลัวก็เปลี่ยนไป นางหันไปกล่าวกับเหยียนหยุนที่ขาขาดว่า “ข้าผู้เป็นองค์หญิงเห็นพระเชษฐาถูกพวกปีศาจไร้หน้ากลืนกินลงไปกับตา คนผู้นี้ก็แค่คนที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับองค์รัชทายาทอยู่หลายส่วนเท่านั้น ที่ผ่านๆ มาจีเฉวียนล้วนแล้วแต่เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก นี่จะต้องเป็นแผนการของเขาที่จะหาตัวปลอมมาตบตาทุกคน!”


 


 


“ขุมสมบัตินี้หากตกไปอยู่ในมือของจีเฉวียน ทุกคนก็คงไม่มีโอกาสได้ดื่มแม้แต่น้ำแกงแล้ว เพื่อขุมสมบัติ และเพื่อความสงบสุขในแว่นแคว้นของพวกเรา พวกเราจะต้องต่อต้านฮ่องเต้แคว้นโจว!”


 


 


เมื่อมีผู้คนมากมายเช่นนี้คอยหนุนหลัง เหยียนเฉียวหลัวย่อมไม่หวั่นเกรง


 


 


นางชูมือขึ้นสูง ราวกับว่าเป็นผู้นำของกลุ่มก่อกบฏ “หากว่าทุกท่านไม่ร่วมกันต่อต้าน ก็จะมีแต่ต้องตายเท่านั้น! จีเฉวียนย่อมไม่มีทางปล่อยพวกท่านกลับไปอย่างแน่นอน มาร่วมมือกันเถอะ!”


 


 


ฝูงชนที่ถูกนางโน้มนาวจิตใจต่างก็พากันก้าวออกมา แต่ละคนกัดฟันกรอด ตัดสินใจเผชิญหน้าอย่างถึงที่สุด


 


 


จีเฉวียนยังคงมีสีพระพักตร์สงบนิ่งเย็นชา แม้กระทั่งถึงตอนนี้แล้ว เขาก็ยังไม่มองดูเหยียนเฉียวหลัวเลยสักนิด


 


 


ขณะที่นางกำลังปลุกปั่นอย่างฮึกเหิมนั้น เขาก็ตรัสออกมาคำหนึ่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หนวกหู”


 


 


“กระหม่อมจะรีบไปจัดการโดยเร็วพะยะค่ะ” ตู๋กูจุนถวายคำนับเขาครั้งหนึ่ง


 


 


ก่อนหน้านี้ในจดหมายของน้องรอง ก็เคยเล่าถึงเรื่องที่องค์หญิงแคว้นเหยียนผู้นี้ลอบทำร้ายน้องเล็ก พวกเขาที่เป็นบุรุษตระกูลตู๋กู ไม่เคยปล่อยคนที่กล้ารังแกน้องเล็กไป!


 


 


ก็แค่องค์หญิงต่างแคว้นถึงกลับกล้ามารังแกน้องเล็กได้?


 


 


ยามนี้สายตาของตู๋กูจุนที่มองดูเหยียนเฉียวหลัวเหมือนดังมองเห็นศพๆ หนึ่ง


 


 


ทั้งยังเป็นศพที่เย็นชืดแล้วอีกด้วย


 


 


เขากระชับดาบใหญ่ในมือ เพียงวูบเดียวก็โผมาถึงเบื้องหน้าเหยียนเฉียวหลัว กวาดดาบออกไปอย่างไร้ปรานี ราวกับจะสับนางให้กลายเป็นสองส่วน


 


 


ยังดีที่ผู้อาสุโสหยู่ซั่งลากเหยียนเฉียวหลัวออกมาได้ทันเวลา ดาบใหญ่นั้นจึงเพียงแต่เฉือนปลายจมูกของนางออกไปเท่านั้น


 


 


จมูกของเหยียนเฉียวหลัวถูกเฉือนเป็นแผลกว้าง ทันใดนั้นก็หลั่งเลือดสดออกมามากมาย


 


 


เหยียนเฉียวหลัวทั้งตระหนกทั้งเจ็บปวด นางตะครุบจมูกเอาไว้ถอยไปด้านหลัง แม้แต่ในดวงตาก็มีแต่ความหวาดกลัว


 


 


แต่ไหนแต่ไรนางชอบ ‘ถกเถียงเหตุผล’ กับผู้คน แต่เห็นได้ชัดเลยว่าคนผู้นี้ไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น


 


 


นางพึ่งจะอ้าปากขึ้นมา ก็เห็นตู๋กูจุนผู้นั้นยกดาบขึ้นกวาดดาบลงมาอีกครั้ง


 


 


ครั้งนี้ เหยียนเฉียวหลัวถึงกับถอยไม่ทันแล้ว ดาบเล่มใหญ่ปรี่ลงมาที่ปลายจมูกของนาง


 


 


ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสตรีผู้หนึ่งส่งเสียงร้องดังออกมาจากกลุ่มคน “โอ๊ย!”


 


 


เสียงนั้นทำให้ดาบในมือของตู๋กูจุนชะงักไปในทันที เขาหันหน้ากลับไป มองไปยังที่มาของเสียง ก็เห็นว่าเป็นหยวนเฟย


 


 


ใบหน้าของนางเหลืองซีด ดวงตาเบิกโพลงมองดูหลังมือของตนเองด้วยความตกใจ ในตอนนั้น มียอดอ่อนของไม้หนามกำลังงอกออกมาจากปากแผลบนหลังมือของนาง ยอดหนามที่ม้วนงออยู่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่ครู่เดียวก็กลายเป็นต้นอ่อนน้อยๆ


 


 


ความรู้สึกที่ได้รับช่างทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างฉีกออกมาจากผิวหนังของนาง ทั้งยังดึงดูดเรี่ยวแรงในร่างทั้งหมดออกไป


 


 


ก่อนหน้านี้หยวนเฟยพยายามอดทนมาโดยตลอด ใครจะไปรู้ว่าอยู่อยู่ไม้หนามนั่นก็จะงอกออกมา ทำเอานางตกใจจนสะดุ้งทั้งตัว


 


 


ตู๋กูจุนมองดูนางที่สีหน้าถอดสี ก็เก็บดาบของตนเองกลับมาที่เบื้องหน้าของนาง


 


 


“พระสนมหยวนเฟย อย่าได้ร้อนพระทัย” เขาคว้ามือของหยวนเฟยเอาไว้ ส่งกระแสความอบอุ่นจากใจกลางฝ่ามือไปให้นาง “สิ่งนั้นไม่น่ากลัว ท่านต้องอดทนเอาไว้”


 


 


นิ้วที่เรียวยาวและฝ่ามือที่นุ่มนวลถูกเขาเกาะกุมเอาไว้ในมือ ใจกลางฝ่ามือของเขาอบอุ่นเหมือนดั่งเตาอุ่นใบหนึ่ง พอได้เห็นดวงหน้าที่มีหิมะเกาะพราว และหนวดเคราที่รุงรังทั่วใบหน้าของเขา หยวนเฟยก็รู้สึกว่าหัวใจที่กำลังตื่นกลัวและหวาดผวาของนางค่อยๆ สงบลงได้แล้ว


 


 


นางผงกศีรษะ กล่าวกับตู๋กูจุนว่า “ขอบพระคุณท่านแม่ทัพผู้พิชิต ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


ยิ่งเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งต้องไม่ตื่นตระหนก


 


 


สิ่งที่อยู่ในปากแผลนั้นจะต้องมีหนทางกำจัดได้อย่างแน่นอน


 


 


เพียงแต่การพบกันของนางกับตู๋กูจุนไยจึงมักจะต้องเป็นเรื่องแปลกประหลาดเช่นนี้อยู่เสมอ ….เจอกันที่ไรก็จะเป็นจะตายอยู่ทุกครั้ง คงมิใช่ว่าโดนอะไรสาปแช่งเข้าหรอกนะ


 


 


ถึงแม้ว่าบนหลังมือจะมีต้นไม้หนามงอกขึ้นมา แต่ว่าหยวนเฟยก็ยังคงแอบมองดูหน้าอกของตู๋กูจุนแวบหนึ่ง….ไม่รู้ว่าการสู้รบในสงครามในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ขนหน้าอกดกๆ ของเขาร่วงไปบ้างหรือไม่?


 


 


ตู๋กูจุนเห็นนางก้มหน้าเงียบงันไป ก็นึกว่านางคงจะกำลังเจ็บปวด จึงกุมมือของนางให้แนบแน่นกว่าเดิม


 


 


“พระสนมพะยะค่ะ อย่าได้หวาดกลัว กระหม่อมจะปกป้องท่านเอง”


 


 


ประโยคเดียวของเขา ถึงกับทำให้หัวใจของหยวนเฟยอ่อนนุ่มลงไปแล้ว


 


 


เห็นหรือไม่ เปรียบเทียบกับตู๋กูเจวี๋ยที่พูดมากนั่นแล้ว พี่ใหญ่ผู้นี้น่าชื่นชมกว่ามากนัก


 


 


“กระหม่อมติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตของท่าน”


 


 


แค่เขากล่าวเสริมไปอีกประโยคหนึ่ง แต่กลับทำให้หัวใจของหยวนเฟยร่วงลงไปทันที


 


 


นางคงจะ…….คิดมากเกินไปแล้ว


 


 


ตู๋กูจุนกับนางเป็นเพียงสหายที่เคยผ่านความเป็นความตายร่วมกันเท่านั้นเอง……


 


 


คนที่เขาชอบตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้ก็คือองค์หญิงใหญ่…….ทำไมนางถึงได้ไปคิดอะไรกับเขามากมายนัก?


 


 


คงจะเป็นเพราะว่าขนหน้าอกดกดำของเขาดึงดูดใจผู้คนมากเกินไปแล้ว


 


 


จีเฉวียนเองก็ยังอยู่ข้างๆ ตรงนี้ พระสนมของตนเองถูกแม่ทัพของตนเองเกาะกุมเอาไว้อย่างแนบแน่นถึงเพียงนี้ เขาที่เป็นถึงฮ่องเต้กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น


 


 


พวกคนที่สนอกสนใจ ต่างก็พากันคิดขึ้นมาแล้วว่าบนพระเศียรของฮ่องเต้ชักจะมีประกายแสงสีเขียววาวแววออกมาแล้ว


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเห็นแล้ว ก็ทอดถอนใจออกมาครั้งใหญ่ นางกุมหน้าอกเอาไว้ ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “หยวนเฟยแห่งต้าโจว ช่างสูงส่งอะไรเช่นนี้? ใครจะไปคิดว่า ท่านเองก็จะถูกพิษเช่นกัน”


 


 


เดิมทีคิดว่าตนเองมาถึงทางตันแล้วเสียอีก แต่ว่าฟ้ากลับส่งของขวัญชิ้นใหญ่มาให้นาง


 


 


มิใช่หรือ…..หยวนเฟยผู้นี้ก็คือของขวัญชิ้นใหญ่ไง


 


 


“แต่ว่าท่านอย่าได้ร้อนใจไปล่ะ หากร้อนใจ เลือดพิษก็จะยิ่งไหลเวียนไปทั่วทุกทิศซึมเข้าไปในกระดูก ท่านก็จะยิ่งรู้สึกทรมาน แต่หากเวลายิ่งทอดเวลาออกไป จุดจบเป็นเช่นไรท่านก็ได้เห็นแล้ว กลายเป็นตัวประหลาดที่มีต้นไม้หนามน่าเกลียดขึ้นเต็มไปหมด จุ๊ จุ๊…….” เหยียนเฉียวหลัวกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับน่าหวาดกลัว มุมปากก็โค้งขึ้นมา “ดูสิ ฮ่องเต้ต้าโจวรักใคร่โปรดปรานท่านถึงเพียงไหน อุตส่าห์พาท่านมาลำบากถึงที่นี่ด้วยพระองค์เองเชียวนะ”


 


 


“น่าเสียดาย ที่พิษของไม้หนามชนิดนี้ มีแต่ข้าผู้เป็นองค์หญิง ท่านอาจารย์และอาจารย์ลุงที่สามารถถอนได้เท่านั้น”


 


 


นางยิ้มอย่างเย็นชา “ท่านดูสิ ตอนนี้ฮ่องเต้แคว้นโจวอยากจะฉีกข้าเป็นแปดส่วน ข้าสามารถช่วยท่านก็ได้ แต่คงไม่อาจช่วยเปล่าๆ จริงไหมละ?”


 


 


“ขอเพียง…จีเฉวียนยินดีกระโดดลงไปในทะเลสาบ ข้าก็จะช่วยชีวิตของเจ้า เป็นอย่างไร?”


 


 


ว่าแล้ว เหยียนเฉียวหลัวก็หันไปหาจีเฉวียน “ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าโจว คงจะไม่ได้อ่อนแอจนถึงขนาดที่แม้แต่ผู้หญิงของตนเองก็ไม่มีปัญญาจะช่วยเหลือหรอกจริงไหม?”


 


 


จีเฉวียนผู้นี้รักหน้าตาเป็นที่สุด ไม่ว่าเขาจะชอบหยวนเฟยหรือไม่ แต่ในเมื่อพามาด้วย แล้วเกิดเรื่องขณะอยู่ต่อหน้าฝูงชนทั้งหลายเขาก็ไม่อาจเห็นความตายโดยไม่ช่วยเหลือ ฮิ ฮิ ฮิ …นี่ช่างน่าสนุกจริงๆ


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง: ใช้! กำลังสนุกมากๆ เลย


 


 


ตอนต่อไป “สาวน้อยและราชาสุนัขป่า”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)