กระบี่จงมา 266.2-268.1
บทที่ 266.2 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว
โดย
ProjectZyphon
เจียวเฒ่าทำอะไรเด็ดขาดว่องไว ชุดคลุมสีทองพองโป่งได้เองทั้งที่ไม่มีลม ยื่นมือกวักหนึ่งครั้ง กลางอากาศก็ปรากฏแสงสีทองขึ้นหนึ่งจุด จากนั้นค่อยๆ ลดระดับลง กระชากลากเส้นสีทองมาด้วยเส้นหนึ่ง
เฉินผิงอันไม่รู้สึกไม่สาแม้แต่น้อย เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หยุดอยู่ตรงหน้าเรือลำเล็ก ก้มหน้าลงมองจุดลึกของน้ำทะเลราวกับกำลังมองหายันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น พูดเบาๆ ว่า “ลู่เฉิน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังมองที่แห่งนี้อยู่ ความตั้งใจของเจ้า ข้าเองก็พอจะเดาได้บางส่วน แต่ข้าใช้ชื่อของเจ้ามาขู่ให้ศัตรูถอยหนี เจ้ากลับใช้สิ่งนี้มาเล่นงานข้า สำหรับเรื่องนี้ พวกเราถือว่าหายกันแล้ว แต่รบกวนเจ้าช่วยบอกอาเหลียงที่อยู่บนฟ้าสักคำ ผู้ที่สังหารเฉินผิงอันคือร่องน้ำเจียวหลงทะเลใต้”
กล่าวประโยคนี้จบ
เฉินผิงอันกำมือขวาเป็นหมัดต่อยหนักๆ ลงไปที่หัวใจของตัวเอง หมัดที่ทุบลงไปก่อนหน้านี้ตอนเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าก็เพื่อทำให้จิตใจของตัวเองสงบเพื่อพูดประโยคนี้กับลู่เฉิน หมัดนี้ที่ต่อยลงไปกลับทำให้ทะเลสาบหัวใจเกิดคลื่นกระเพื่อมไหวอย่างรุนแรง แม้แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์ที่อยู่ทั่วร่างของเขาก็แหลกสลายหายไปสิ้น กลับคืนมาเป็นหมัดเขย่าขุนเขาอีกครั้ง ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะเฉินผิงอันไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ลู่เฉินได้ร่ายใช้เวทคาถาสูงส่งมาสนทนากับตน
มือซ้ายของเฉินผิงอันยังคงยกไม่ขึ้น ส่วนมือขวาข้างที่กำเป็นหมัดนั้น พอคลายนิ้วทั้งห้าออกแล้วก็อ้อมผ่านไหล่ไปคว้ากระบี่ที่เดิมทีควรมอบให้แม่นางคนหนึ่ง
แต่แล้วจู่ๆ เฉินผิงอันก็ปล่อยมือ ปลดเจียงหูที่อยู่ตรงเอวลงมา การดื่มเหล้าครั้งนี้เป็นแค่การดื่มเหล้าจริงๆ ไม่ใช่ดื่มเพื่อเปลี่ยนลมปราณของผู้ฝึกยุทธ์ตอนที่อยู่เหนือกองกำลังของฝ่ายศัตรู ไม่ใช่ดื่มเพื่อปกปิดร่องรอยของสืออู่กับชูอี หลังจากที่เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็โยนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในเรือเล็กข้างฝ่าเท้า พูดในใจตัวเองว่า “อาเหลียง อาจารย์ฉี แม่นางหนิง ข้าขอโทษด้วย”
ตอนแรกเขาอยากเขียนยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นเพื่อให้ตัวเองมีคุณสมบัติที่จะต่อรองเงื่อนไขกับเจียวเฒ่าสีทอง ใช้หินดีงูทั้งหมดแลกมาด้วยการที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถขับเคลื่อนออกไปจากร่องน้ำเจียวหลง
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเมื่อไปถึงภูเขาห้อยหัวแล้วจะต้องมอบเงินฝนธัญพืชให้กับหม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่มากๆ หน่อย
ยังคิดด้วยว่าก่อนลงจากเรือจะต้องขอแผนที่เกาะกุ้ยฮวาแผ่นหนึ่งมาจากตระกูลฟ่าน ถึงเวลานั้นเมื่อลงจากเรือไปภูเขาห้อยหัวค่อยแอบใช้ตราประทับภูเขาและแม่น้ำที่อาจารย์ฉีมอบให้ประทับลงไปเบาๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเหมือนโคมม้าวิ่งที่แล่นผ่านหัวสมองของเฉินผิงอันไป
……
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ปราณกระบี่สีทองที่บางราวเส้นผมซึ่งอยู่บนท้องฟ้าได้หายวับไป
เจียวเฒ่าสีทองหน้าซีดขาวเล็กน้อย แม้ว่าในใจยังคลางแคลงอยู่มาก ไม่อยากเชื่อในคำพูดของเด็กหนุ่ม แต่ถ้าหากมันเป็นจริงขึ้นมาล่ะ?
ถ้าหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันล่ะ?
เขาอดหันไปมองยังทิศทางของภูเขาห้อยหัวไม่ได้ ขยับปากทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
ทว่านาทีถัดมาใบหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี หลังจากผงกศีรษะน้อยๆ ก็แผดเสียงหัวเราะดังสนั่น ปราณกระบี่สีทองปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่ใช่แค่เส้นเดียว แต่เป็นหลายเส้นเหมือนก้านใบบัวเล็กบางหลายก้านที่ชูช่อส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่กลางทะเลเมฆ
เทือกเขาแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว
มีบุรุษเรือนกายสูงใหญ่สวมชุดนักพรตเต๋าคนหนึ่งยืนอยู่ริมหน้าผาทอดสายตามองไปไกล สิ่งที่ปรากฎอยู่ในสายตาไม่ใช่ร่องเจียวหลงที่เขาเป็นผู้จัดวางค่ายกลเอาไว้ แล้วก็ไม่ใช่บนยอดเขาสองแห่งที่มีเทวรูปสององค์ยืนคุมเชิงกัน ไม่ใช่หญิงสาวสวมชุดสีเขียวที่นั่งเคียงบ่าดื่มเหล้าอยู่กับเทพพิรุณ แต่เห็นเป็นบุรุษท่าทางสง่างามมีความรู้ที่สวมชุดเขียวพกกระบี่ยาวตรงเอวคนหนึ่งที่ปรากฎตัวอยู่กลางทะเลเมฆ ก่อนหน้านี้เขาเดินทางออกจากน่านน้ำมหาสมุทรบริเวณใกล้เคียงกับนครมังกรเฒ่า อีกไม่นานก็จะมาถึงร่องน้ำเจียวหลง
คนผู้นี้ออกห่างจากโลกมนุษย์ไปนานหลายปีด้วยเหตุผลที่น่าสนใจมาก เพราะปราณกระบี่ทั่วร่างเข้มข้นเกินไป เข้มข้นจนถึงขั้นที่ว่าไม่ว่าเขาจะพยายามกดข่มไว้อย่างไรก็ล้วนไม่สามารถหยุดยั้งการแผ่กระจายไปสี่ทิศของปราณกระบี่ได้ วัตถุทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัวเขาล้วนแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
ดังนั้นขอแค่คนผู้นี้ท่องไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ไร้ผู้คนบนโลก กลางทะเลเมฆ ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ภูเขาลึก สถานที่รกร้างมีควันพิษ…
ดวงตาของนักพรตร่างสูงใหญ่ฉายประกายเร่าร้อน คนผู้นี้มีค่าพอให้สู้ด้วยสักครั้ง!
เพียงแต่ไม่นานเขาก็ขมวดคิ้ว เหนือน้ำทะเลใต้ฝ่าเท้าของเซียนกระบี่ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อผู้นั้นมีชายฉกรรจ์ท่าทางซื่อสัตย์ใช้ไม้พายพายเรือ ขยับไปไกลร้อยจั้งพันจั้งได้ในเสี้ยววินาที รวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ความเร็วไม่เป็นรองเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าคนนั้นเลย
ชายท่าทางซื่อสัตย์คนนั้นกล่าวอย่างอึดอัดใจ “อาจารย์ของข้าบอกแล้วว่า เล่นงานเฉินผิงอันครั้งนี้ก็เพราะหวังดีกับเขา หากถือตราประทับตัวอักษรภูเขาของฉีจิ้งชุนไปที่ภูเขาห้อยหัว ด้วยนิสัยอารมณ์ร้ายของลูกศิษย์ซึ่งเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ลุงรองผู้นั้น เฉินผิงอันต้องลำบากมากแน่ๆ อีกอย่างอาจารย์ของข้าหวังจากใจจริงว่าเฉินผิงอันจะสามารถใช้เส้นทางอื่นเดินทางไปยังใต้หล้ามืดสลัวได้ เขายินดีรับเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์คนสุดท้าย”
ผู้ฝึกกระบี่บนท้องฟ้าที่ท่าทางสุภาพสง่างาม หน้าตาหล่อเหลาไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้นมอง เพียงแค่หลุบตามองลงไปยังร่องน้ำเจียวหลงที่อยู่ห่างไปไกล พูดประโยคเดียวว่า “เจ้าเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อคนหนึ่งของลู่เฉิน คิดจะแย่งศิษย์น้องเล็กกับเสี่ยวฉีของข้าอย่างนั้นหรือ ได้สิ ไม่สู้เจ้ารับกระบี่ของข้าสักทีหนึ่งก่อน?”
ชายฉกรรจ์กลับไม่ขุ่นเคือง ยังคงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเคร่งขรึมซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด “ไม่ตีกันหรอก ข้าพายเรือเป็นอย่างเดียวเท่านั้น”
ทุกที่ผู้ฝึกกระบี่ผ่าน หากเจอทะเลเมฆ ทะเลเมฆก็จะแหวกออกด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาเขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์นัก “แล้วเจ้าจะตามข้ามาทำไม?”
คนพายเรือตอบตามสัตย์จริง “ไปพูดต่อหน้าเฉินผิงอันให้ชัดเจน เขาจะได้ไม่เข้าใจอาจารย์ของข้าผิด”
จู่ๆ ผู้ฝึกกระบี่ก็พูดอย่างจริงจัง “ข้ารู้สึกว่าเจ้าเกะกะตามาก จะทำอย่างไร?”
คนพายเรือคิดแล้วก็ตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปแล้ว”
แล้วเรือแจวลำนั้นก็จอดนิ่งจริงๆ
บุรุษพยักหน้า “นับว่าเจ้าไม่โง่”
เขาทะยานลมต่อไปอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยขุ่นเคือง พูดพึมพำถามเองตอบเอง
“เสี่ยวฉีจะให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าหรือจะตอบรับ? เสี่ยวฉีเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้ว แต่ข้าไม่ใช่สักหน่อย”
“ดังนั้นข้าไม่มีทางตอบตกลงแน่”
อารมณ์ของเขายิ่งนานก็ยิ่งย่ำแย่ เขาเริ่มทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้ลมปราณด้านหลังที่สั่นกระเทือนส่งเสียงดังครืนครั่นคล้ายเสียงสายฟ้าที่แผดก้องอยู่ในทะเลเมฆ
ตอนที่กำลังจะผ่านเทพพิรุณและเทวรูปสององค์มีคนตวาดเสียงดัง ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกกระบี่คนนี้บินผ่านกลางอากาศของสำนักไปโดยพลการ ต้องอ้อมผ่านทางไป
ผู้ฝึกกระบี่ก้มหน้าหลุบตามองอย่างไม่ใส่ใจ ใช้นิ้วโป้งดันด้ามกระบี่แล้วผลักเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่ยาวก็ร่วงลงไปหาน้ำทะเล พอกระบี่อยู่ห่างจากผิวน้ำแค่ไม่กี่จั้ง ทันใดนั้นกระบี่ก็ทะยานขึ้นสูงประหนึ่งสายรุ้งที่พุ่งเข้าไปตัดเทวรูปองค์นั้นให้ขาดเป็นสองท่อน แสงสีทองส่องประกายจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางทิศตะวันออก
แล้วกระบี่ยาวก็พุ่งทะยานจากไป ติดตามเจ้านายกลับคืนสู่ฝักอย่างเงียบเชียบ
ผู้ฝึกกระบี่เคลื่อนหน้าต่ออีกครั้ง
พูดคุยกันด้วยเหตุผล?
เขาไม่เคยชอบเลย
ถ้าต้องพูดคุยเหตุผลกับคนอื่น เขายังจะต้องฝึกกระบี่ไปทำไม?
ผู้ฝึกกระบี่พลันเงยหน้ามองไป “กล้าอวดปราณกระบี่ต่อหน้าข้า เจ้าคิดว่าตัวเองคืออาเหลียงหรือไง?”
ผู้ฝึกกระบี่ที่ยังอยู่ห่างจากร่องน้ำเจียวหลงเจ็ดแปดร้อยลี้หมุนข้อมือหนึ่งครั้งแล้วตบฉาดออกไป
ทั้งเกาะกุ้ยฮวาพลิกตลบอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นกระแทกแรงๆ บนผิวน้ำทะเลห่างไปสิบกว่าลี้ ทั้งเกาะสั่นคลอนรุนแรง ถัดมาก็เหมือนถูกพายุลูกใหญ่พัดใส่ ตัวเกาะแหวกคลื่นน้ำทะเลพุ่งพรวดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ออกห่างจากร่องน้ำเจียวหลง
ครั้นแล้วผู้ฝึกกระบี่ก็ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งครั้ง
เหนือร่องน้ำเจียวหลงเหมือนมีประตูสวรรค์หลายบานเปิดอ้า
ก่อนที่ปราณกระบี่สีขาวกระจ่างดุจม่านน้ำตกจะไหลกรากลงมาไม่ขาดสาย
ทีแรกพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงของร่องน้ำเจียวหลงที่เดิมทีขดตัวอยู่ใกล้กับพื้นผิวน้ำทะเลยังไม่รู้ว่า ‘น้ำหลากสีขาวหิมะ’ ที่เทกระหน่ำสู่มหาสมุทรนั้นคือสิ่งใดกันแน่
ทว่ารอจนพวกมันคืนสติก็กลายเป็นว่าค้างอยู่ในท่าเดิมโดยที่ร่างเหลือแต่โครงกระดูกไปแล้ว
ส่วนพวกปราณกระบี่สีทองที่ถูกเจียวเฒ่าสีทองเรียกออกมาก็ถูกชะล้างไปจนสิ้น เหมือนกิ่งไม้แห้งไม่กี่กิ่งที่เผชิญกับน้ำป่าไหลหลาก ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่เสี้ยวเดียว
น้ำหลากสีขาวหิมะที่เกิดจากการก่อตัวของปราณกระบี่ไหลลงสู่ร่องน้ำเจียวหลงอย่างต่อเนื่อง
ทว่าเจียวเฒ่าสีทองกับเฉินผิงอันที่อยู่บนเรือลำเล็กกลับไม่เป็นอะไร
ในร่องน้ำเจียวหลง เมื่อปราณกระบี่กดทับลงมา ทั่วพื้นที่ก็มีแต่ซากโครงกระดูก
เจียวหลงชุดทองยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สีหน้าเหมือนขี้เถ้ามอด
นี่ใช่คำว่าถ้าหากหรือไม่?
นี่ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่?
ผู้ฝึกกระบี่สวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งเดินมาถึงริมขอบของร่องน้ำเจียวหลง เขาเหยียบลงบนผิวน้ำทะเล เดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า น้ำทะเลที่ถูกปราณกระบี่รุกรานพลันเดือดพล่าน ระเหยกลายเป็นไอ สุดท้ายผู้ฝึกกระบี่จึงเลือกที่จะทะยานลมเดินกลางอากาศดังเดิม
เขาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เสี่ยวฉีต้องการให้ข้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ข้าไม่ได้รับปาก ก็เหมือนกับตอนนั้นที่อาจารย์ต้องการให้ข้าปกป้องเสี่ยวฉี ข้าเองก็ไม่ได้รับปากเหมือนกัน มหามรรคาใต้ฝ่าเท้าที่ตัวเองเลือกเดินยังต้องให้มีใครมาปกป้องอีก”
สีหน้าของเขาค่อนข้างระอาใจ แต่ในแววตากลับเจือรอยยิ้ม “แต่เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของข้าครึ่งตัว ข้าจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ อีกอย่างครั้งนี้เจ้ากล้ายอมรับความตายด้วยตัวเอง พูดว่าจะตายก็ตาย ข้ารู้สึกว่าดีมาก เอาเป็นว่าถูกใจข้าก็แล้วกัน ข้าก็เลยมาพบเจ้า อาจารย์กับเสี่ยวฉี คนหนึ่งแก่ขนาดนั้น อีกคนหนึ่งก็อายุไม่น้อยแล้ว ถูกคนอื่นรังแกก็ได้แต่โทษว่าพวกเขาทำตัวดื้อด้านเอง ส่วนเจ้า อายุยังน้อย ถูกคนรังแกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่สมควร”
ระหว่างที่ผู้ฝึกกระบี่พูดจาอย่างผ่อนคลาย
ช่องโพรงลมปราณสามร้อยกว่าแห่งในร่างของเจียวเฒ่าชุดทองค่อยๆ มีแสงสีขาวหิมะแทรกซึมเข้ามาทีละนิด สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่เจียวเฒ่าที่พลังการต่อสู้เทียบเท่าขอบเขตหยกดิบกลับไม่ปริปากส่งเสียงร้องสักแอะ
“ปณิธานกระบี่ของข้าสู้อาเหลียงไม่ได้ แต่เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเขาเล็กน้อย”
ผู้ฝึกกระบี่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินผิงอัน ยื่นนิ้วโป้งชี้ขึ้นไปบนฟ้าก่อน จากนั้นค่อยชี้มาที่ตัวเอง พูดยิ้มๆ ว่า “อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่อจั่วโย่ว คือศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้ากับเสี่ยวฉี”
บทที่ 267.1 ดาบโบราณหมื่นปีในใจที่ถูกเกลาจนเสียหาย
โดย
ProjectZyphon
บนผิวทะเลเหนือร่องน้ำเจียวหลง เฉินผิงอันมองผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวที่แนะนำตัวเองว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาอึ้งงัน
เด็กหนุ่มยู่หน้า ริมฝีปากสั่นระริก จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อประหลาดกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จะร้องไห้อย่างนั้นรึ? ทำไมนิสัยเหมือนเสี่ยวฉีอย่างนี้ มิน่าเล่าเขาถึงได้เลือกเจ้า ใช้วิธีพูดด้วยเหตุผลไม่ได้ผล แถมยังต่อยตีสู้คนอื่นไม่ได้ ทุกครั้งเอาแต่ไปหลบร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ”
ผู้ฝึกกระบี่ตวาดเสียงเฉียบ “เงยหน้าขึ้นมา!”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย
บุรุษซักถาม “ทำไมพอถึงเวลาคับขันถึงได้เปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ออกกระบี่แต่ออกหมัดแทน? ตอบมาดังๆ อย่าอึกๆ อักๆ!”
เฉินผิงอันหลุดปากตอบไปตามจิตใต้สำนึก “เวทกระบี่แย่เกินไป ไม่อยากขายหน้า! วิชาหมัดพอใช้ได้ ไม่ออกหมัดไม่สาแก่ใจ!”
“ถุย! ด้วยปณิธานหมัดวิถีวรยุทธ์เล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าก็กล้าพูดว่าพอใช้ได้ด้วยหรือ?”
บุรุษมีสีหน้าเดือดดาล หันไปถ่มน้ำลายลงด้านข้างอย่างแรง ไม่มีทั้งความสง่างามเหมือนอย่างฉีจิ้งชุน แล้วก็ไม่มีทั้งความอ่อนโยนเหมือนอาเหลียง ดูๆ ไปแล้วผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อจั่วโย่วคนนี้คงจะเป็นลูกศิษย์ที่นอกคอกที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ไม่เหมือนบัณฑิตเลยสักนิด เพียงแต่ว่าจุดลึกในดวงตาของบุรุษซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ ยิ่งนานรอยยิ้มนั้นก็ยิ่งเข้มข้น เพียงแต่พอหันหน้ามาสีหน้ากลับเย็นชา เขายกมือขึ้นอีกครั้ง ชูนิ้วโป้งชี้ไปที่ด้านหลัง “ไม่พูดถึงร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ พูดถึงแค่เทวรูปบนเกาะนั้น ข้ารังเกียจที่มันขวางทางข้า ก็เลยฟันมันขาดครึ่งท่อนในครั้งเดียว เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร? มาพูดถึงร่องน้ำเส็งเคร็งแห่งนี้ ข้ารู้สึกว่าสัตว์เดรัจฉานพวกนี้ขวางหูขวางตา เลยใช้ปราณกระบี่ชะล้างมัน ทีนี้เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันตอบตามตรง “น่าจะถือว่าเผด็จการไร้เหตุผลไปหน่อย”
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าคนผู้นี้คือศิษย์พี่ของอาจารย์ฉีจึงรีบเอ่ยเสริม “กระมัง?”
บุรุษหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าพูดจาเกรงใจกันไม่น้อย ถือว่าอะไร เดิมทีก็ใช่อยู่แล้ว!”
เขาใช้ฝ่ามือดันด้ามกระบี่เล่มยาวที่ห้อยไว้ตรงเอว ถามว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าที่เป็นบัณฑิตถึงได้ตั้งใจเรียนกระบี่มากกว่าเรียนหนังสือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เขาแค่เคยได้ยินอาเหลียงกับเด็กหนุ่มชุยฉานพูดถึงคนผู้นี้เป็นบางครั้ง ฝ่ายแรกไม่ได้พูดอะไรมาก แค่บอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของซิ่วไฉ่เฒ่าที่มีวิชากระบี่สูงส่งที่สุด ส่วนฝ่ายหลังกลับเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คนหนึ่งหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน อีกคนหนึ่งเป็นพวกนอกรีตนอกรอย ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ในอดีตเคยร่วมสำนักจะมีความแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ มาถึงท้ายที่สุด ‘คนแซ่จั่ว’ ในใจของเฉินผิงอันจึงเหมือนมังกรที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ สูงส่งจนไม่อาจปีนป่าย คว้าจับเอาไว้ไม่ได้
ผู้ฝึกกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมโบกมือ “ที่นี่ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี อย่าทำให้เสี่ยวฉีที่ฝากความหวังยิ่งใหญ่ไว้ที่เจ้าต้องผิดหวัง หากวันใดเจ้าทำได้ไม่ดี ไม่แน่ว่าข้าอาจจะมาเอาเรื่องเจ้าก็เป็นได้”
บุรุษที่ลอยตัวอยู่ใจกลางร่องน้ำเจียวหลงชูนิ้วหนึ่งให้เฉินผิงอัน “ต่อให้ขอบเขตของเจ้าสูงส่งแค่ไหนก็เป็นเรื่องของกระบี่เดียวเท่านั้น”
สำหรับเขาแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาศิษย์พี่สั่งสอนศิษย์น้องก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
จะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล? เขาคร้านจะคิดให้มากความ การเป็นศิษย์พี่ก็คือเหตุผลที่ใหญ่ที่สุด
และเวลานี้เอง ทะเลเมฆพลันลดตัวลงต่ำ กายธรรมร่างทองสูงร้อยจั้งตนหนึ่งผุดลอยออกมา คือนักพรตวัยกลางคนคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานหางปลา “เจ้าก็คือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าจั่วโย่ว? ได้ยินว่าหลายคนต่างพากันพูดว่าเจ้ามีเวทกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในโลกมนุษย์? แม้แต่ที่ภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังมีคนที่เลื่อมใสเจ้าอยู่มากมาย”
ผู้ฝึกกระบี่ชุดเขียวเงยหน้าขึ้นมอง “ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าคือไม่เห็นด้วย?”
นักพรตร่างสูงใหญ่หัวเราะเสียงดังกังวาน “เวทกระบี่ของเจ้าจะอยู่อันดับที่เท่าไหร่ ข้าผู้เป็นนักพรตไม่สนใจ ก็แค่เห็นหน้าเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น ไปหาสถานที่ต่อสู้กันให้สาแก่ใจสักครั้งดีไหมล่ะ?”
ผู้ฝึกกระบี่ยิ้มบางๆ “นักพรตจมูกวัวหน้าเหม็นอย่างเจ้า อย่างอื่นล้วนไม่ได้เรื่อง แต่โชคดีกว่าข้าก็เท่านั้น ถึงได้เป็นลูกศิษย์ของเต๋าเหล่าเอ้อร์ อาจารย์ของข้าสู้เขาไม่ได้ เพราะดีแต่ปากเก่ง แต่ต่อให้อาจารย์ของข้าจะมีหมื่นอย่างที่สู้อาจารย์ของเจ้าไม่ได้ เขาก็มีข้อหนึ่งที่แข็งแกร่งกว่า นั่นก็คือซิ่วไฉเฒ่ามีลูกศิษย์อย่างข้า ส่วนลูกศิษย์สิบกว่าคนของเต๋าเหล่าเอ้อร์ซึ่งรวมเจ้าไว้ด้วยน่ะหรือ…”
บุรุษชุดเขียวยื่นนิ้วออกมาข้างหนึ่ง ชูขึ้นสูงแล้วส่ายเบาๆ “ไม่ได้เรื่อง”
เขายังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แหงนหน้าพูดว่า “ยกตัวอย่างเช่นเจ้ายกกายธรรมใหญ่โตขนาดนี้มาเพื่ออะไร? เมื่ออยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้าก็ยัง…ไม่แน่พออยู่ดีไม่ใช่หรือ?!”
ไม่รอให้บุรุษพูดขาดคำ
คลื่นลูกยักษ์ร้อยจั้งก็โถมตัวขึ้นมาในทะเลกว้าง ปราณกระบี่เกรียงไกรที่หนาใหญ่กว่าเกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะซึ่งอยู่ในรูปลักษณ์ของลำเสาแสงทะยานสู่ชั้นเมฆ กระแทกโจมตีให้กายธรรมร่างทองตนนั้นแหลกสลายไปในเสี้ยววินาที
เรือลำน้อยใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันที่ติดร่างแหไปด้วยกระเด้งกระดอนโคลงเคลงไปตามลูกคลื่น
เขาหันหน้าไปมองปราณกระบี่สีขาวหิมะที่ทะยานสูงด้วยพลังอำนาจมหาศาล
ก่อนหน้านี้รู้สึกว่ากระบี่ที่ผ่าม่านราตรีซึ่งผีสาวสวมชุดแต่งงานร่ายไว้ของเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะคือสุดยอดของกระบี่บินในโลกแล้ว
บัดนี้ถึงเพิ่งค้นพบว่าตัวเองหูตาแคบ มีความรู้แค่หางอึ่งเท่านั้น
กายธรรมร่างทองปริแตกไม่เหลือชิ้นดี แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงดุจเสียงระฆังใหญ่ดังก้องมาจากกลางอากาศ “ข้าผู้เป็นนักพรตไม่อยากเอาเปรียบเจ้า มีเจ้าหนูนั่นอยู่ด้วย เจ้าและข้าทั้งสองคนต่างก็ลงมือได้ไม่เต็มที่ ไม่สู้ไปที่น่านทะเลเกาะเฟิงเสินดีไหม?”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจียวเฒ่าสีทองที่ถูกปราณกระบี่อัดแน่นเต็มช่องโพรงลมปราณทั้งสามร้อยกว่าแห่งไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะฝืนประคับประคองไม่ให้ช่องโพรงระเบิดแตก
ที่แท้ไม่รู้ว่านักพรตสูงใหญ่ซึ่งเดินทางมาไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ผู้นั้นใช้วิชาอภินิหารอะไร ถึงได้ฉวยโอกาสตอนที่กายธรรมร่างทองถูกปราณกระบี่ทำลาย ยื่นนิ้วข้างหนึ่งที่ขาวนวลเนียนราวกับหยกมาแตะที่หน้าผากของเจียวเฒ่า ฝ่ายหลังพลันร่างผ่ายผอมเหลือแต่กระดูก จากนั้นจิตใจก็เหมือนขี้เถ้ามอด เรือนกายส่วนใหญ่จากในสู่นอกกลายเป็นขี้เถ้าที่ปลิวสลาย เหลือไว้เพียงชุดคลุมยาวสีทองที่ล่องลอยอยู่บนท้องทะเล รวมไปถึงวัตถุกึ่งอมตะบางส่วนที่เกิดจากการรวมตัวกันของขอบเขตก่อกำเนิด
ผู้ฝึกกระบี่ไม่แยแสเรื่องนี้
เขาเพียงแค่โบกมือหนึ่งครั้ง พัดพาของที่เหลืออยู่ของเจียวเฒ่าชุดทองไปในเรือเล็กของเฉินผิงอัน “เก็บของผุๆ พวกนี้เอาไว้ให้ดี การเดินทางไปภูเขาห้อยหัวรวมไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่หลังจากนี้ จงภาวนาให้ตัวเองโชคดีเถอะ”
เฉินผิงอันกุมมือประสานค้อมเอวลงต่ำ
ผู้ฝึกกระบี่พยักหน้ารับการคำนับอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรให้มากความอีก เขาทะยานลมไปยังทิศทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้พลางพึมพำกับตัวเองหนึ่งประโยค เสียงยังคงแว่วมาให้ได้ยิน ไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่พูดให้ตัวเองฟังหรือพูดให้เฉินผิงอันฟังกันแน่
“เป็นอมตะอายุยืนยาว ภูเขาและทะเลไร้พันธนาการ กินแสงอรุณดื่มน้ำค้าง ไม่กินธัญพืชทั้งห้าถือเป็นพวกแตกต่าง”
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปบนเรือเล็กเงียบๆ เก็บของสามชิ้นที่ผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วโยนมาไว้ข้างเท้าเข้าไปในกระบี่บินสืออู่ ของสามอย่างนี้ได้แก่ชุดคลุมยาวสีทอง หนวดสีทองสองเส้นที่รัดพันเข้าด้วยกัน และไข่มุกเม็ดหนึ่งขนาดใหญ่เท่ากำปั้น สีของมันออกเหลือง หม่นแสงไม่มีประกาย คล้ายคลึงกับคำกล่าวที่ว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง (เป็นคำเปรียบเปรยว่าคนแก่แล้วก็ไม่ได้รับความสำคัญ เหมือนไข่มุกที่อยู่มานานจนกลายเป็นสีเหลืองที่ไม่มีค่า)
เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน คลื่นลมเริ่มสงบ เงยหน้ามองไปก็เห็นฟ้าครามกับแสงแดดอบอุ่น
เฉินผิงอันหยุดพักชั่วขณะ ก่อนจะหยิบเอาไม้พายที่ถูกวาดยันต์ตัดโซ่ที่แท้จริงลงไปขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแจวเรือไล่ตามเกาะกุ้ยฮวาไปด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ขออย่าให้เรือข้ามฟากขับไปถึงภูเขาห้อยหัวในรวดเดียว แล้วทิ้งตนไว้ท่ามกลางมหาสมุทรที่กว้างใหญ่เพียงลำพังเลย เฉินผิงอันเบิกตากว้าง พยายามเพ่งมองทิศไกล
หากเป็นเมื่อก่อนเฉินผิงอันคงไม่คิดว่าเกาะกุ้ยฮวาจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร?
ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดว่าตัวเองมีความคิดเช่นนี้อยู่
จิตใจเตลิดฟุ้งซ่านก็เป็นเช่นนี้เอง
ผู้ฝึกกระบี่ที่ทะยานลมจากไปไกลอย่างอิสระเสรีพลันหยุดชะงักในตำแหน่งที่เฉินผิงอันไม่มีทางมองเห็น แล้วหันหน้ากลับไปมอง
ในสายตาของบุรุษเห็นเด็กหนุ่มจากต้าหลี
แต่ในใจของเขากลับคิดว่าอีกฝ่ายคือสหายเก่าแก่
คนผู้นั้นเคยพูดว่า ข้าเองก็ไม่เต็มใจอยากจะมาหาท่านเพื่อให้ท่านเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเฉินผิงอัน แล้วก็รู้ดีว่าศิษย์พี่น่าจะไม่รับปาก แต่ชั่วชีวิตนี้ข้าฉีจิ้งชุนมีสหายอยู่แค่ไม่กี่คน ทั่วทั้งใต้หล้านี้ ข้าได้แต่มาหาท่าน
แล้วก็เป็นท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น!
พอคิดถึงประโยคระยำนี่ ความอัดอั้นก็อัดแน่นเต็มท้องของบุรุษ เขานั่งลงขัดสมาธิ หยุดลอยตัวอยู่บนทะเล มือสองข้างกำเป็นหมัดวางยันไว้บนหัวเข่า
ปราณกระบี่ที่เฉียบคมทั่วร่างยิ่งไหลเอ่อไปทั่ว น้ำทะเลใต้ฝ่าเท้าเดือดพล่านอย่างรุนแรง ทว่าไอน้ำเหล่านั้นกลับไม่สามารถขยับเข้าใกล้ผู้ฝึกกระบี่ท่านนี้ได้
ผู้ฝึกลมปราณในโลกต่างก็อิจฉาผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่อย่างเลิศล้ำมาตั้งแต่เกิด หรือพวกที่มีตำแหน่งตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ทว่าบุรุษผู้นี้กลับเรียนกระบี่ช้ามากแล้ว อีกทั้งไม่เคยเป็นตัวอ่อนกระบี่อะไร ดังนั้นรอจนคนผู้นี้ลุกผงาดโดดเด่นขึ้นมาในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาไม่ใช่แค่ข่มทับ แต่บดขยี้ผู้ฝึกกระบี่ที่อาวุโสกว่าจำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย คนผู้นี้ยิ่งไม่เคยออมมือยั้งไมตรี พูดจาถากถางอย่างกำเริบเสิบสาน เรื่องนี้เล่าลือกันไปทั่วหล้า ไม่รู้ว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกกระบี่กี่มากน้อยที่จิตแห่งกระบี่แหลกสลาย มหามรรคาขาดสะบั้นเพราะเขา
เป็นเหตุให้พอถูกคนชื่นชมให้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์และอายุน้อยทั้งหลายต่างก็สบถพึมพำ มักรู้สึกประโยคนี้เป็นการด่าคน
ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ชื่อว่าจั่วโย่ว
‘จั่วโย่ว’ ที่แปลว่าใต้หล้านี้ไม่มีใครที่มีเวทกระบี่เหนือไปกว่าเขา
ต่อให้บุรุษจะกำลังเหม่อลอย แต่สายตาของเขาก็ยังคงทอแสงเจิดจรัสดุจดวงตะวัน
ก่อนหน้านี้เขาจ้องนิ่งไปยังดวงตาที่ใสกระจ่างคู่นั้นของเด็กหนุ่ม ช่างเหมือนศิษย์น้องหน้าเหม็นที่ตนคุ้นเคยตอนยังเป็นเด็กหนุ่มยิ่งนัก ศิษย์น้องคนนั้นมักจะอาศัยที่ตัวเองเฉลียวฉลาดด้านการเรียน ได้รับความรักและเอ็นดูจากอาจารย์ เวลาพูดถึงหลักการของอริยะนักปราชญ์ทีก็พูดจ้อได้ไม่หยุด แต่ละหลักการสอดคล้องแนบแน่นไร้ช่องโหว่ให้โจมตี พอจั่วโย่วยอมแพ้แล้ว อีกฝ่ายยังจะพูดอีกว่า ‘ข้ารู้สึกว่าศิษย์พี่ท่านไม่ได้ยอมแพ้จากใจจริง แบบนี้ไม่ถูกต้อง’ น่ารำคาญชะมัด
ชั่วชีวิตนี้เขารำคาญที่สุดเวลาอาจารย์โม้ว่ามีฝีมือในการต่อสู้ร้ายกาจแค่ไหน ส่วนที่รำคาญในลำดับถัดมาก็คือเสี่ยวฉีที่อ่านตำราไวมาก แล้วก็รำคาญเสียงเปิดหน้าหนังสือและเสียงอธิบายหลักการของเขา
เขาชอบแค่งานเลี้ยงยิ่งใหญ่ของสามลัทธิที่อาจารย์ได้เข้าร่วมอภิปรายสองครั้ง นั่นคือภาพบรรยากาศที่สมกับคำกล่าวว่าปราชญ์เดียวดายละทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง ซิ่วไฉเป็นดั่งดวงตะวันที่ลอยอยู่กลางนภา
ชอบทุกครั้งที่ฉีจิ้งชุนออกไปท่องเที่ยวภูเขาและแม่น้ำที่มีชื่อเสียงกับตน ยามที่ฉีจิ้งชุนดื่มเหล้าเข้าไปจะทำให้คนรู้สึกว่าต่อให้ขุนเขาจะสูงแค่ไหน จะกี่ร้อยกี่พันจั้ง ก็สูงสู้ความรู้ของคนผู้นี้ไม่ได้!
ทว่าต่อให้ถึงวันนี้ ซิ่วไฉเฒ่าไม่เหลือทางใดให้ถอย ต้องสลายหายไปในฟ้าดิน เสี่ยวฉีไม่อยู่ในโลกแล้ว อาเหลียงเองก็ไปจากใต้หล้าไพศาล บุรุษก็ยังคงรู้สึกว่า อาจารย์ก็ดี เสี่ยวฉีก็ช่าง หรือแม้แต่อาเหลียงที่มองดูเหมือนจะมีอิสระเสรีผู้นั้นล้วนมีชีวิตที่เหนื่อยเกินไป
ไม่เหมือนตน
เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเขาจั่วโย่วก็คร้านจะพูดหลักการหรือเหตุผลกับใคร
เอาชนะคนอื่นไม่ได้ พูดหลักการไปก็ไร้ประโยชน์ เอาชนะคนอื่นได้ ก็ดูเหมือนว่าเหตุผลจะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว
แค่มีกระบี่ก็พอแล้ว
บุรุษถอนหายใจหนึ่งที ลุกขึ้นยืน มุ่งหน้าไปยังเกาะเฟิงเสินซึ่งตั้งอยู่บนน่านน้ำทิศตะวันตกเฉียงใต้
คำพูดบางอย่าง เขารู้สึกว่าดัดจริต จึง ‘คร้าน’ ที่จะพูดออกมา
ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องชมใต้หล้าแห่งนี้แทนเสี่ยวฉีให้มากๆ
วันหน้ามีโอกาสก็ไปชมใต้หล้าแห่งอื่น ไปให้ครบทุกที่ ชีวิตนี้เสี่ยวฉียังไม่เคยได้เดินออกไปจากใต้หล้าไพศาล แต่เขากลับเป็นคนที่วาดฝันอยากเห็นทิวทัศน์ทิศไกลมากที่สุดในบรรดาลูกศิษย์มากมายของอาจารย์ ทว่าพอถึงท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่าเขาคือคนที่อยู่ในโรงเรียนและห้องหนังสือมากที่สุด
ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่เสี่ยวฉีร้องไห้ ข้าจำได้อย่างชัดเจน ล้วนเป็นเพราะถูกข้าต่อยตอนเด็ก เขาถึงได้ร้องไห้ ช่วยไม่ได้ ข้าอธิบายเหตุผลและหลักการสู้เขาไม่ได้ แต่เรื่องต่อยตีกันเขาสู้ข้าไม่ได้
เจ้าหนู เจ้าสามารถจินตนาการภาพที่อาจารย์ฉีของเจ้าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอย่างน่าสงสารออกหรือไม่?
บุรุษหัวเราะฮ่าๆ ผลักกระบี่ออกจากฝัก เกาะบนทะเลหลายสิบแห่งในบริเวณใกล้เคียงซึ่งอยู่ใต้ฝ่าเท้า ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนถูกเขาฟันออกเป็นสองท่อนทั้งหมด
โลกมนุษย์ช่างน่าเบื่อ
มีเพียงทะเลาะต่อยตีกับคนอื่นที่พอจะทำให้จั่วโย่วกระตือรือร้นขึ้นมาได้บ้าง
……
ระหว่างเรือน้อยที่พายจ้ำกับเกาะกุ้ยฮวาที่เคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่แท้จริงแล้วบาดเจ็บสาหัสกำลังรอเฉินผิงอันอยู่บนทะเล
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง เขาก็คือคนพายเรือเฒ่าที่มีวิชาอภินิหารล้ำเลิศคนนั้น
คนทั้งสองโดยสารเรือลำน้อยล่องไปตามทะเลด้วยกัน เพียงไม่นานก็ตามไปทันเกาะกุ้ยฮวา จอดเรือเทียบท่า กุ้ยฮูหยินมารออยู่ที่ท่าเรือเพียงลำพัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยแววขออภัย พูดกับเฉินผิงอันว่า “เรื่องในวันนี้ ข้าจะรายงานให้บรรพบุรุษตระกูลฟ่านทราบอย่างชัดเจน พระคุณช่วยชีวิตของคุณชายเฉิน ข้าจะไม่มีทางลืมเลือนไปชั่วชีวิต!”
เฉินผิงอันยิ้มจืดเจื่อน ส่ายหน้าพูดว่า “ก็แค่ช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น”
กุ้ยฮูหยินไม่รู้จะตอบโต้เช่นไร นางถอนหายใจหนึ่งที เดินเคียงหนึ่งผู้เฒ่าหนึ่งเด็กหนุ่มขึ้นไปยังยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวา
คนพายเรือเฒ่าจำเป็นต้องพักรักษาตัวจึงบอกลาเฉินผิงอัน กลับไปยังที่พักของตัวเอง เฉินผิงอันเดินกลับไปที่เรือนเล็กกุยม่ายพร้อมกับกุ้ยฮูหยิน กุ้ยฮูหยินลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยอธิบายว่า “ก่อนหน้านี้ในศึกใหญ่ปกป้องเกาะกุ้ยฮวา หม่าจื้อที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกัน ช่วงเวลาอันใกล้นี้คงไม่สามารถฝึกกระบี่เป็นเพื่อนเจ้าได้ เขาฝากข้ามาบอกเจ้า หวังว่าคุณชายเฉินจะให้อภัย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “การรักษาอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสหม่าต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
กุ้ยฮูหยินรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ตอนนี้สถานการณ์ของเกาะกุ้ยฮวาค่อนข้างลี้ลับ ข้าไม่วางใจที่จะปล่อยให้คนนอกเข้ามาในเรือนหลังนี้จริงๆ ต่อให้เป็นจินซู่ก็ไม่เหมาะ หากคุณชายเฉินไม่รังเกียจ ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการกินอยู่ของเรือนเล็กกุยม่ายเอง”
เฉินผิงอันรีบโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่ต้องๆ แค่ทำเหมือนก่อนหน้านี้ที่เอาอาหารสามมื้อของแต่ละวันมาส่งก็พอ หากไม่เป็นเพราะที่นี่ไม่มีห้องครัว อันที่จริงจะให้ข้าทำอาหารเองก็ยังได้”
กุ้ยฮูหยินบอกลาด้วยรอยยิ้ม “ยังมีธุระอีกมากมายให้ต้องจัดการ คุณชายเฉินพักผ่อนให้ดี หากมีธุระก็เรียกหาข้าได้เลย ใกล้ๆ กับเรือนจะมีแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งคอยรอคุณชายโดยเฉพาะ”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนโต๊ะหินในลานเพียงลำพัง เริ่มหลับตาพักผ่อน
เพียงไม่นานก็มีคนเคาะประตู น้ำเสียงอ่อนโยนของแม่นางกุ้ยฮวาคนหนึ่งดังขึ้นนอกประตู “คุณชายเฉิน มีแขกสองคนจากธวัลทวีปมาพบท่าน พบหรือไม่พบ ก่อนหน้านี้กุ้ยฮูหยินบอกว่าให้ดูที่ความต้องการของคุณชาย”
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู นอกจากเด็กสาวของเกาะกุ้ยฮวาแล้วยังมีเด็กหนุ่มชุดเขียวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และหญิงชราผมขาวใบหน้าเคร่งขรึมอีกคนหนึ่ง
พบหน้ากันเด็กหนุ่มคนนั้นก็พูดเข้าประเด็นทันที “ผู้มีพระคุณ ข้าชื่อหลิวโยวโจว มาจากธวัลทวีปที่อยู่ทางเหนือสุด ข้าคงไม่เข้าไปข้างในรบกวนการพักผ่อนของเจ้าแล้ว แค่อยากจะมาขอบคุณเจ้าต่อหน้าเท่านั้น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ตกลง”
จากนั้นคนทั้งสองก็เงียบกันไป
บทที่ 267.2 ดาบโบราณหมื่นปีในใจที่ถูกเกลาจนเสียหาย
โดย
ProjectZyphon
เด็กหนุ่มชุดไม้ไผ่มองประเมินเฉินผิงอันด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ส่วนเฉินผิงอันคิดว่าเมื่อไหร่เด็กหนุ่มจะกลับไปสักที
หญิงชราเป็นคนทำลายความเงียบ “ก่อนหน้านี้ที่เจียวชั่วสีทองออกกระบี่ต่อเจ้าสองครั้ง ครั้งแรกอยู่เหนือการคาดการณ์ของทุกคนเกินไป ส่วนครั้งหลังต่อให้เป็นข้าก็ยังขวางไว้ไม่อยู่ เว้นเสียแต่ว่าข้าจะทุ่มสุดชีวิต แต่ออกจากบ้านครานี้ ข้าจำเป็นต้องดูแลนายน้อยของตัวเองให้ดี ดังนั้นเรื่องครั้งนี้นายน้อยต้องเอ่ยขอบคุณเจ้า ส่วนหญิงชราที่ไร้ประโยชน์อย่างข้าก็ต้องเอ่ยขออภัยเจ้า”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ยกมือกุมประสาน “น้ำใจครั้งนี้ ข้ารับไว้แล้ว!”
หญิงชราผงกศีรษะ คลี่ยิ้มบางๆ “คุณชายมีคุณธรรม วันหน้าหากไปเยือนธวัลทวีป ต้องมาเป็นแขกที่ตระกูลหลิวของเราให้ได้”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ
หญิงชราจึงพาเด็กหนุ่มแซ่หลิวที่สวมชุดไม้ไผ่ ‘หลีกเลี่ยงความร้อน’ บอกลาจากไป
คนทั้งสองเดินสวนไหล่กับหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง พอนางประสานสายตากับเฉินผิงอันก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ยังดีที่หญิงสาวหมุนกายจากไปเสียก่อน
เฉินผิงอันถึงได้เดินกลับไปที่ลานบ้าน แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หยุดเดิน หันไปมองแม่นางกุ้ยฮวาที่มีท่าทางกระวนกระวายแล้วยิ้มบางๆ พูดกับนางว่า “รบกวนแม่นางหน่อย หากหลังจากนี้มีคนมาพบข้า แม่นางช่วยขวางไว้ให้ข้าด้วย”
แม่นางกุ้ยฮวาพยักหน้ารับอย่างแรง
สองวันต่อมา เฉินผิงอันไม่ได้ฝึกวิชาหมัดหรือฝึกกระบี่อย่างหาได้ยาก เขาเอาแต่เปิดตำราและแผ่นไม้ไผ่ทั้งหลาย นั่งอาบแดดอ่านเนื้อหาที่อยู่ด้านใน
กลางดึกคืนหนึ่ง เฉินผิงอันที่นอนอยู่บนเตียงแล้วลืมตา ลุกขึ้นจากเตียงเดินออกจากห้อง กระโดดขึ้นไปบนหลังคา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็หันหน้ากลับไป จากนั้นไม่นานเงาร่างหนึ่งก็พุ่งมานั่งลงข้างกายเขา ในมือของแขกที่ไม่ได้รับเชิญท่านนี้หิ้วเหล้าหมักเก่าแก่มาด้วยสองไห
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มอย่างจริงใจ “ท่านผู้อาวุโส หาเพื่อนดื่มหรือ?”
เขาก็คือคนพายเรือเฒ่าที่ต่อสู้กับเจียวเฒ่าชุดทองอย่างห้าวหาญแม้ตายก็ไม่ยอมถอย
ผู้เฒ่าที่ใช้สถานะคนพายเรือปกปิดตัวตนแท้จริงมาโดยตลอดหัวเราะเสียงดังกังวาน “ทำไม รังเกียจที่คนแก่อย่างข้าสกปรกมอซอรึ?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ใช่เสียเมื่อไหร่”
ผู้เฒ่าแกะผนึกดินของไหเหล้าออก แหงนหน้ากรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่แล้วก็เงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อผ่านหายนะครั้งนี้ บนเกาะกุ้ยฮวาก็คล้ายบ่อน้ำแห่งหนึ่งที่เดิมทีมีปลาและมังกรปะปนกัน ซึ่งโดยรวมแล้วยังพอจะถือว่ามีระเบียบอยู่บ้าง ต่างฝ่ายต่างไม่รบกวนกัน แต่ผลกลับกลายเป็นว่าถูกไม้พายกวนไปรอบหนึ่งเลยเปลี่ยนมาเป็นขุ่นคลั่กสกปรก ระยะเวลาช่วงนี้เจ้าอาศัยอยู่ในเรือนเล็กถือว่าถูกแล้ว ระวังตัวไว้เป็นการดี แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะรู้แค่ว่าเจ้าคือคนที่ขัดขวางเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้น อีกทั้งยังทำให้ร่องน้ำเจียวหลงสงบลง แต่ข้าก็ยังจะพูดประโยคที่ไม่น่าฟังประโยคหนึ่ง ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “แล้วนับประสาอะไรกับที่การฝึกตนบนมหามรรคา ผู้คนเบียดเสียดยัดเยียด คนที่มองไม่เห็นทิวทัศน์นั้นมีไม่น้อยเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันคิดตามแล้วก็พยักหน้ารับ “ก็เหมือนกับเพื่อนบ้านที่เห็นคนอื่นมีเงินไม่ได้ เห็นเมื่อไหร่จะต้องอิจฉาตาร้อน ที่จริงแล้วนี่ก็หลักการเดียวกัน ”
ผู้เฒ่าถอนหายใจ กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “เกาะกุ้ยฮวาคืออะไรกันแน่ ผู้อาวุโสพูดได้ไหม?”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม “ทำไมจะพูดไม่ได้เล่า อันที่จริงมันก็คือร่างจริงของกุ้ยฮูหยิน”
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
ผู้เฒ่าถามด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า คนทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาคืออะไร?”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “คนบนภูเขา ผู้ฝึกลมปราณ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “เกาะกุ้ยฮวาคือเรือข้ามฟากลำหนึ่ง ผู้ที่โดยสารเรือมาจะเป็นคนแบบไหน ย่อมเป็นคนทำการค้า”
เฉินผิงอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
ผู้เฒ่าถามอีกครั้ง “คนทำการค้าขึ้นเหนือล่องใต้ มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร?”
คราวนี้เฉินผิงอันตอบเร็วมาก “หาเงิน”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ “แล้วหาเงินมาเพื่ออะไร?”
เฉินผิงอันตอบยิ้มๆ “ใช้เงิน”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ใช่แล้ว หาเงินมาอย่างยากลำบากก็เพื่อใช้เงินซื้อความสุข ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อได้ใช้เงินด้วย ผู้ฝึกลมปราณ เมธีร้อยสำนักใต้หล้า เหตุใดถึงได้มากมายเพียงนี้…”
เฉินผิงอันเกาหัวด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเริ่มดื่มเหล้า คราวนี้เขาดื่มเยอะแถมยังดื่มเร็ว ถือโอกาสทิ้งตัวไปด้านหลัง นอนแผ่อยู่บนหลังคาอย่างสบายตัว “ผู้อาวุโส ข้าอยากจะพูดความในใจให้ท่านฟังสักหน่อย ท่านอย่าเอาไปบอกใครได้หรือไม่? อีกอย่างหากข้าพูดไป ท่านฟังแล้วอาจจะรู้สึกรำคาญเล็กน้อย เพราะมันไม่ใช่เรื่องดีอะไร…”
ผู้เฒ่านั่งขัดสมาธิ โน้มตัวไปด้านหน้า มือทั้งคู่แกว่งไหเหล้า เหล้าข้างในที่ยังเหลืออยู่ครึ่งไหส่งเสียงดังจ๊อกๆๆ ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “พูดมาได้เลย ดื่มเหล้าแล้วไม่พูดถ้อยคำที่สุรากระตุ้นให้อยากพูดคงไม่เข้าท่านัก แบบนั้นจะยังดื่มเหล้าไปทำไม? ไอ้หนู อย่าเห็นว่าข้าอายุมากกว่าเจ้าจนนับได้ไม่ถ้วน อันที่จริงข้าน่ะทึ่มทื่อ กล้าหาญอย่างโง่งม อีกอย่าง มีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ ที่อดทนมาก็เพราะอยากพบหน้าอาจารย์อีกสักครั้ง หาไม่ข้าก็คงยืนหยัดมาไม่ถึงวันนี้นานแล้ว อีกอย่างเรื่องบางเรื่อง เจ้าพูดหรือไม่พูด อันที่จริงความต่างไม่ค่อยมากนัก ตอนนั้นข้าก็อยู่ข้างกายเจ้า ได้ยินทุกอย่างชัดเจน ที่มานี่ก็ไม่ใช่เพื่อจะมอมเหล้าหลอกถามเจ้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันชี้ไปที่ท้องฟ้า “เมื่อก่อนข้าเจอนักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บ้านเกิด ตอนนั้นความสัมพันธ์ยังดีอยู่ เขาก็คือลู่เฉินนั่นแหละ ในศึกใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาเล่นงานข้าสองครั้ง แล้วก็มีความเป็นไปได้ว่าจะสามครั้ง ข้าจะเล่าแค่สองครั้งที่ข้าแน่ใจ ครั้งหนึ่งคือตอนที่ข้า ‘ได้รับคำอวยพรจนจิตใจเปิดกว้าง’ เขียนสองคำว่าเทพพิรุณไม่ออก จึงตัดสินใจเขียนคำว่าลู่เฉินซะเลย ครั้งที่สองคือตอนที่ข้าเผชิญกับเจียวเฒ่าสีทองเพียงลำพังสองต่อสอง ตอนนั้นข้า…”
เฉินผิงอันเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาวางตรงท้อง มือทั้งคู่รองใต้ศีรษะต่างหมอน “ความรู้สึกนั้นประหลาดมาก ราวกับว่าข้าล้วนมองเห็นและได้ยินสภาพจิตใจ ทะเลสาบในหัวใจและเสียงในหัวใจของทุกคน ก็เหมือนอย่างที่ท่านผู้อาวุโสบอกข้าก่อนหน้านี้ ข้าวหนึ่งตวงเป็นพระคุณ ข้าวหนึ่งหาบเป็นความแค้น ตอนนั้นข้าค้นพบว่าผู้โดยสารบนเกาะกุ้ยฮวาแปดเก้าในสิบส่วนรู้สึกเฉยชาไม่ยี่หระ บ้างก็มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น หรือบางคนยังถึงขั้นอยากให้ข้าตายคาที่ด้วยซ้ำ แน่นอนว่ายังมีหลายคนที่อิจฉาริษยา…ก่อนหน้านี้ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ท่านผู้อาวุโสบอกว่า ที่นี่คือเกาะกุ้ยฮวา ทุกคนล้วนเป็นคนทำการค้า อีกทั้งทุกคนยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าลองกลับไปย้อนนึกดู ก็ถูกนี่นะ ข้าโตมาจนป่านนี้ก็ด้วยความคิดที่ว่าอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ถึงได้เดินมาจนถึงวันนี้”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างจนเห็นไรฟัน “ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เขาคือมือกระบี่ ร้ายกาจมากเลยล่ะ ลู่เฉินเล่นงานข้า ข้าก็เลยผลักเขาลงหลุมกลับคืน จงใจบอกให้เขานำคำสั่งเสียสุดท้ายของข้าไปบอกต่อสหายคนนั้น หากลู่เฉินไม่คิดรักษาหน้าตาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดของข้า ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องฝืนใจนำคำพูดของข้าไปบอก จากนั้นก็จะถูกเพื่อนของข้าอัดรอบหนึ่ง พอคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ ตอนนั้นข้าเลยไม่ได้รู้สึกกลัวตายสักเท่าไหร่”
เรื่องบางเรื่อง สุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ยังไม่กล้าพูดออกมา
เพราะเกี่ยวพันไปถึงอาจารย์ฉี
ไม่ว่าอย่างไร อาจารย์ฉีก็ไม่ต้องการให้เขาผิดหวังต่อโลกใบนี้
ทว่าตอนนั้นเฉินผิงอันมีเพียงความรู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้
และเกรงว่านี่ก็คือแผนการที่แท้จริงของลู่เฉิน ส่วนรายละเอียดที่ว่ามันเกี่ยวพันไปถึงเรื่องใด เฉินผิงอันมีเพียงลางสังหรณ์ที่พร่าเลือนเท่านั้น
เวลานี้นอนอยู่บนหลังคา สุดท้ายเฉินผิงอันพูดเพียงแค่ว่า “จะให้ไม่รู้สึกผิดหวังต่อโลกใบนี้เสียเลย ช่างยากยิ่งนัก”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้าแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าเรียกชื่อของเจ้าลัทธิเต๋าออกมาตรงๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยังมีเพื่อนคนนั้นของเจ้าที่สามารถอัดเขาได้…ความตกตะลึงในใจของข้าผู้เฒ่า ข้าคงไม่พูดให้เจ้าฟังแล้ว จะดีจะชั่วในอดีตข้าก็เคยเป็นเทพเซียนพสุธาคนหนึ่ง ยังต้องการหน้าตาเล็กๆ น้อยๆ นี่อยู่ แต่ในเมื่อเจ้าพูดความในใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จำเป็นต้องพูดความในใจที่อัดอั้นอยู่ในท้องให้เจ้าฟังบ้างเหมือนกัน”
เฉินผิงอันจะลุกขึ้นนั่ง ผู้เฒ่ากลับหันมายิ้มให้ “นอนต่อไปเถอะ แค่คำบ่นเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีคนฟังมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่จำเป็นที่เจ้าต้องตั้งใจฟังขนาดนั้น”
แต่เฉินผิงอันก็ยังลุกขึ้นนั่ง พูดอธิบายว่า “นอนแล้วดื่มเหล้าไม่สะดวก”
ผู้เฒ่าคลี่ยิ้ม กอดไหเหล้าไว้ในอ้อมอก มองไปยังทิวทัศน์ยามค่ำคืนเหนือท้องทะเล แสงจันทร์นวลตา งดงามจนไร้คำบรรยาย
ผู้เฒ่ากล่าวช้าๆ “ในอดีตข้าเองก็เคยเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ในสายตาของคนบนโลกเช่นกัน นิสัยร้ายกาจเจ้าอารมณ์อย่างมาก ไม่แน่ว่าหากได้พบเจอเจ้าในปีนั้น ข้าก็อาจเป็นหนึ่งในคนประเภทที่ทำให้เจ้าผิดหวัง ตอนนี้นิสัยของข้าไม่ค่อยเหมือนในอดีตสักเท่าไหร่ หาไม่แล้วก็คงไม่มานั่งดื่มเหล้ากับเจ้าอยู่ที่นี่ เฉินผิงอัน แขกบนเกาะกุ้ยฮวา ยังไม่พูดถึงว่าพวกเขามีเจตนาดีหรือเจตนาร้าย แค่การที่พวกเขา ‘สามารถเดินมาถึงวันนี้’ ได้อย่างที่เจ้าพูด แสดงว่าทุกคนล้วนต้องมีจุดที่ให้คนนำมาเรียนรู้ได้ นอกจากนี้แล้ว ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่เจ้าทำถูกแล้ว พอคนอื่นๆ ไม่ได้ทำจะหมายความว่าพวกเขาผิด ไม่ใช่ว่ามีเรื่องหนึ่งพอเจ้าทำผิด พอคนอื่นทำบ้างแล้วพวกเขาจะต้องผิดไปด้วย ข้าอาจจะพูดวกวนไปหน่อย…”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าเข้าใจ!”
ผู้เฒ่ายื่นนิ้วโป้งออกมา พูดยิ้มๆ ว่า “แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งก่อนหน้านี้ เจ้าทำถูกที่สุด หาข้อตำหนิไม่ได้แม้แต่น้อย คืออย่างนี้เลย!”
เฉินผิงอันหัวเราะอย่างมีความสุข
ได้รับการยอมรับจากคนที่ตัวเองยอมรับ เป็นเรื่องที่คุ้มค่ามากพอให้ดื่มเหล้าจริงๆ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า พูดชวนคุยว่า “ท่านผู้อาวุโสก็พูดถูกมากเหมือนกัน ข้าไม่ควรใช้เหตุผลของข้าไปวัดทุกคน เหตุผลของข้าอาจถูก แล้วก็อาจจะไม่ถูก หรืออาจจะถูกแต่ไม่ได้ถูกมาก หรือบางทีอาจจะถูกน้อยมากๆ …ฮ่าๆ ข้าเองก็พูดวกวนเหมือนกัน! ใช่ไหม ผู้อาวุโส?”
ผู้เฒ่าเอ่ยสัพยอก “วกวนมากเลยล่ะ”
เฉินผิงอันชี้ไปยังทิศไกล เด็กหนุ่มที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นสุราโคลงศีรษะ ดูท่าคงจะดื่มเข้าไปมากจริงๆ เขาหัวเราะคิกคักด้วยสีหน้าที่ไม่ปกปิดความลิงโลดและความภาคภูมิใจเอาไว้แม้แต่น้อย “ผู้อาวุโส ข้ารู้จักหลายคนที่เก่งกาจ ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ก่อนหน้านี้ที่ร้ายกาจสุดๆ เดิมทีข้าสามารถเรียกเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้ ข้าเองก็ร้ายกาจเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ใช่ๆๆ ร้ายกาจมาก”
เฉินผิงอันเมาจนตาปรือ หันหน้าไปมองผู้เฒ่าถามเสียงอ้อแอ้ “ผู้อาวุโส คำพูดนี้ของท่านเหมือนจะไม่ค่อยจริงใจเท่าไหร่เลยนะ?”
ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ มิน่าเล่าตนถึงเข้ากับเจ้าเด็กนี่ได้ดี นิสัยใจคอเหมือนกัน ดื้อด้านไม่ต่างกันเลยนี่นะ
เด็กหนุ่มที่เมาเหล้าทิ้งตัวไปด้านหลัง พึมพำเบาๆ อยู่กับตัวเอง
ผู้เฒ่าช่วยจับกาเหล้าวางไว้ให้เด็กหนุ่มดีๆ บังเอิญได้ยินคำพูดที่เกิดจากความเมามายของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าผงกศีรษะ คืนนี้เขาเฝ้าอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มทั้งคืน
คำพูดที่หลุดจากปากของเด็กหนุ่มที่เมาสุราก็คือ อาจารย์ฉี ข้าเข้าใจแล้ว อันที่จริงคำว่าอย่าได้ผิดหวังกับโลกนี้เกินไปนัก นอกจากจะต้องมีชีวิตอยู่เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความหมายอยู่อีกขั้นหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อพวกเรามอบความปรารถนาดีให้กับโลกใบนี้แล้ว หากไม่เพียงแต่ไม่ได้รับความดีตอบแทนกลับคืน กลับกันอาจถึงขั้นได้รับความชั่วร้ายกลับคืนมา ในช่วงเวลานี้ หากยังไม่ผิดหวัง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่ามีความหวังที่แท้จริง อาจารย์ฉี ตอนนี้ข้าเข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายังทำไม่ได้ ข้าดื่มเหล้าไปแล้ว พรุ่งนี้จะพยายามให้มากขึ้น…
อันที่จริงคนพายเรือเฒ่ามีอายุมาเกือบห้าร้อยปีแล้ว เคยได้พบเจอคนมานับไม่ถ้วน ผ่านเรื่องราวมามากมาย ได้ยินคำพูดหลากหลาย แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของเด็กหนุ่มพูดได้น่าขบคิดอย่างมาก เอามาแกล้มเหล้าได้พอดี เหล้าสองไหก็ยังไม่พอ
……
ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ในกระบี่บินสืออู่
ตัวอักษรที่เขียนอย่างหยาบๆ บนตำราขั้นพื้นฐานเล่มหนึ่งของลัทธิขงจื๊อที่ผู้เฒ่าผีขี้เหล้ามอบให้กับเฉินผิงอันเริ่มว่ายวนไปมาด้วยตัวเอง
สุดท้ายในหน้าปกในก็มีตัวอักษรใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นเป็นแถวๆ
เรียงตามลำดับขั้นตอน บทที่หนึ่ง แบ่งก่อนหลัง บทที่สอง แยกแยะใหญ่เล็ก บทที่สาม ตั้งคำจำกัดความดีเลว บทที่สี่ รวมทฤษฎีกับปฏิบัติให้เป็นหนึ่ง
บนหินหน้าผาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งริมแม่น้ำใหญ่ของทักษินาตยทวีป ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อสองคนยืนเคียงบ่ากัน คนผู้หนึ่งบนไหล่แบกดวงจันทร์ อีกคนหนึ่งถือดวงอาทิตย์กลมดิกไว้ในมือ
บนฝ่ามือของผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางยากจนหมุนดวงอาทิตย์ดวงเล็กเป็นวงกลม เดี๋ยวแกว่งซ้ายที เดี๋ยวแกว่งขวาทียิ้มตาหยีพูดว่า “เฉินฉุนอัน เจ้าคิดว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ข้ารับไว้นี้ ประเสริฐหรือไม่?”
ปัญญาชนลัทธิขงจื๊อที่บนบ่ามีดวงจันทร์กลมจิ๋วดวงหนึ่งพยักหน้ารับ แต่กลับไม่ได้เปิดปากพูดคล้อยตาม
ผู้เฒ่ายากจนจึงได้แต่ถามเองตอบเอง “ประเสริฐ ข้าดูแล้วประเสริฐมาก”
ผู้เฒ่าข้างกายพูดอย่างเฉยชาว่า “ถึงอย่างไรเจ้าก็หน้าหนา เจ้าจะพูดยังไงก็ได้ ตอนนี้วันๆ ปากเจ้าเอาแต่พูดว่า ‘ประเสริฐๆๆ’ เหมาะสมแล้วหรือ? หรือว่าเจ้ายอมแพ้แล้ว? รู้สึกว่าตัวเองผิด ส่วนอาจารย์ของข้านั้นถูกต้อง?”
ซิ่วไฉเฒ่ายากจนส่ายหน้ายิ้ม “เฮ้อ เฉินฉุนอันเอ๋ย ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย เฉินผิงอันตอบรับเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? แซ่เฉินเหมือนกัน ความสามารถของเจ้าในตอนนี้ย่อมสูงกว่าเล็กน้อย ทว่าความสามารถในการตระหนักรู้นี่ช่าง ช่างเถอะ ไม่พูดแล้วๆ หากพูดออกไปจริงๆ ข้าคงไม่มีสหายแล้ว”
ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อท่าทางสง่างามหัวเราะหยัน “ข้าเฉินฉุนอันไม่เคยเป็นสหายกับเจ้าเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า ทำสีหน้าเห็นด้วยอย่างลึกซึ้ง “ใช่ ไม่เพียงแต่คนละวัย ความรู้ยังแตกต่างกันมาก ก็เหมือนอย่างที่คนพายเรือคนนั้นพูด หน้าตาเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องรักษาไว้บ้าง”
ผู้เฒ่าที่คือเจ้าประมุขสกุลเฉินอิ่นอิงกล่าวว่า “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
ซิ่วไฉเฒ่ายื่นมือส่งดวงอาทิตย์กลมโตดวงนั้นไปให้ ไม่ได้พูดเล่นอีกต่อไป แต่เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก “หวังว่าเจ้าจะลงมือช้าหน่อย ช้าเท่าไหร่ก็ยิ่งดี”
เฉินฉุนอันรับดวงอาทิตย์มา ดวงอาทิตย์มาลอยหยุดนิ่งอยู่เหนือไหล่ ด้วยเหตุนี้แสงตะวันและแสงจันทราจึงพร้อมใจกันส่องแสงสว่างเจิดจ้า ผู้เฒ่ากล่าวเรียบๆ “ก็เหมือนกัน”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าวอย่างสะท้อนใจ “บัณฑิตล้วนเหมือนกัน”
……
ใต้หล้ามืดสลัว ยอดบนของหอป๋ายอวี้จิงซึ่งเป็นใจกลางสำคัญของใต้หล้าแห่งนี้
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแบออกตรงหน้า เขาก้มหน้าจ้องนิ่งไปบนฝ่ามือของตัวเองพลางเดินอย่างเนิบช้าไปบนราวระเบียงสูงตระหง่านที่ทำมาจากหยกขาววาววับ
กลางระเบียงด้านล่างรั้วมีเซียนลัทธิเต๋าขอบเขตบินทะยานยืนอยู่สองคน พวกเขากลั้นหายใจทำสมาธิ ท่าทางเคารพนอบน้อม ไม่กล้าเปิดปากรบกวนอาการใจลอยของเจ้าลัทธิเด็ดขาด
นักพรตหนุ่มหุบฝ่ามือ ทอดถอนใจกับการคำนวณที่ตายตัวนี้ จากนั้นเขาก็เอียงตัวออกไปข้างนอกแล้วทิ้งตัวดิ่งเป็นเส้นตรงลงไปในทะเลเมฆที่เป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่นอกหอป๋ายอวี้จิง
เซียนขอบเขตบินทะยานทั้งสองท่านยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก แค่หันมายิ้มให้กัน ชินแล้วก็ดีไปเอง
บทที่ 268.1 ขยับใกล้ภูเขาห้อยหัว
โดย
ProjectZyphon
ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมาบนหลังคาก็พบว่าบนร่างมีเสื้อคลุมตัวหนึ่งห่มทับอยู่ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางอยู่ข้างกาย หากเป็นในอดีต เฉินผิงอันที่เมาสุราแล้วหลับตลอดทั้งคืน พอตื่นขึ้นมาต้องกระโดดลงจากหลังคาเพื่อไปตรวจสอบกล่องกระบี่ไม้ไหวที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องก่อนแน่นอน แต่วันนี้เฉินผิงอันเพียงแค่เก็บชุดคลุมตัวนั้นช้าๆ พับอย่างประณีต ไม่รีบร้อน เพราะเขาเชื่อว่ากล่องไม้ยังคงอยู่ในนั้น
เฉินผิงอันเชื่อใจผู้เฒ่าคนพายเรือ
เฉินผิงอันรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็นั่งขัดสมาธิ หันมองไปทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยส่องประกายริบระยับ
เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพจิตใจตอนที่เฉินผิงอันออกจากร่องน้ำเจียวหลงไล่ตามเกาะกุ้ยฮวา เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว หนึ่งคือจิตใจเตลิดดุจม้าห้อตะบึง ฟุ้งซ่านไม่มั่นคง อีกหนึ่งคือหนักแน่นเหมือนมีเสาผูกม้า
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยื่นมือมาบังตรงหน้า ชื่นชมภาพทัศนียภาพยามเช้า เขาเคยอ่านเจอจากบันทึกภูเขาและแม่น้ำเล่มหนึ่งบอกว่า ยามแสงอรุณสาดส่อง แม้แต่ชั้นแขวนอาภรณ์หลากสีสันก็ยังอับอาย ไม่รู้จริงๆ ว่าบัณฑิตสรรหาถ้อยคำที่สร้างจินตภาพได้งดงามขนาดนี้ได้อย่างไร
จู่ๆ เฉินผิงอันก็หันไปมองนอกเรือนเล็กกุยม่าย มีดรุณีน้อยคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดของแม่นางกุ้ยฮวากำลังยืนอยู่ใต้ร่มต้นกุ้ยที่มีใบสีเขียวบางตา คงเพราะเบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำ นางจึงเงยหน้ามองขึ้นไปยังใบกุ้ย นิ้วก็จิ้มไปจิ้มมา ดูท่าคงกำลังนับจำนวนใบกุ้ยอยู่ เฉินผิงอันมองตามสายตาของนางไป เพ่งตามองชัดเจนแล้วก็ยิ้มกว้าง ตะโกนเสียงดัง “แม่นาง มีใบไม้ทั้งหมดสามสิบสองใบ!”
เด็กสาวหันกลับมาอย่างมึนงง พอเห็นเซียนกระบี่น้อยสะพายกล่องไม้ที่นั่งอยู่บนหลังคา สองข้างแก้มก็แดงปลั่ง ดูท่าแสงรุ่งอรุณบนท้องฟ้าก็ให้ความสนใจสาวงามด้วยเหมือนกัน
แม่นางกุ้ยฮวาที่ถูกจับได้ว่าแอบอู้งานฝืนข่มกลั้นความเขินอายในใจ เอ่ยถามว่า “คุณชายจะกินอาหารเช้าเลยหรือไม่เจ้าคะ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ดีเลย รบกวนแม่นางเอามาเยอะๆ หน่อย กำลังหิวอยู่ทีเดียว”
แม่นางกุ้ยฮวากะพริบตาปริบๆ เรือนกายนั้นพลิ้วลงในลานบ้าน พริบตาเดียวก็หายวับไป เด็กสาวพลันอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
เมื่อไม่กี่วันก่อน แม้ว่าเซียนกระบี่น้อยท่านนี้จะมีท่าทางเกรงอกเกรงใจ แต่นางก็ยังกลัวมากอยู่ดี มักรู้สึกว่าต่อให้ตนทำความผิดแค่เล็กน้อย แม้เขาจะไม่เอาไปฟ้องน้ากุ้ย แต่เขาต้องเห็นอยู่ในสายตาและจดจำอยู่ในใจอย่างแน่นอน ดังนั้นนางเลยรู้สึกกลัวเขา ตอนนั้นที่เขาสั่งนางไว้ว่าจะไม่พบเจอใคร นางจึงทำหน้าที่ขัดขวางแขกมากมายที่มาเยี่ยมเยียนอย่างเชื่อฟัง แข็งใจปฏิเสธเทพเซียนบนภูเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ไม่รู้ว่าโดนแขกกุ้ยถลึงตามองค้อนไปตั้งเท่าไหร่
เฉินผิงอันกินอาหารเช้าแล้วก็เริ่มฝึกหมัดอยู่ในลานบ้าน ฝึกเดินนิ่งหมัดเขย่าขุนเขาตลอดช่วงเช้า ตอนบ่ายฝึกกระบี่เพียงลำพัง ยังคงสมมติว่าในมือจับกระบี่ หลักๆ แล้วฝึกกระบวนท่าหิมะทลายที่ใช้โจมตี เพราะเฉินผิงอันรู้สึกกระบวนท่ากระบี่นี้สร้างความสบายอกสบายใจให้เขาอย่างมาก หลังจากที่เลื่อนสู่ขอบเขตสี่ จิงเสินชี่ของเขาก็เริ่มถูกเก็บไว้ด้านใน ระหว่างที่เดินนิ่งหกก้าว มองดูเหมือนแผ่วเบาล่องลอยคล้ายนกเฟยหงที่ย่ำอยู่บนหิมะ แต่ทุกครั้งที่หยุดลงอย่างกระชั้นชิดด้วยหลักที่ค่อนข้างลี้ลับ พายุปณิธานหมัดจะพรั่งพรูออกไป รวดเร็วมากเป็นพิเศษ
เปลี่ยนมาฝึกกระบี่ เฉินผิงอันค้นพบว่าเส้นทางแห่งโชคชะตาของสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทว่า ‘ความหมาย’ เล็กๆ น้อยๆ นั่นกลับร่วมทางกันได้ นี่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งวางใจ เพราะเขาสังเกตเห็นว่าการขยันฝึกหมัดก็คือการฝึกตน อีกทั้งยังสามารถฝึกวิชาได้มากมาย ตอนนั้นที่หลี่ซีเซิ่งเขียนยันต์ลงบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วก็เคยพูดว่าการวาดยันต์ก็คือการฝึกตน อาเหลียงถูกคนต่อยด้วยหมัดเดียวร่วงกลับมายังโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือคุนก็เคยพูดว่าเมื่อฝึกหมัดจนถึงขีดสูงสุดก็คือการฝึกกระบี่
ถ้าเช่นนั้นขอบเขตสี่บนวิถีวรยุทธ์ก็จะเดินต่อไปเช่นนี้ ก่อนหน้านั้นเฉินผิงอันยังรู้สึกเลือนรางเหมือนเหยียบลงบนความว่างเปล่า สับสนไม่แน่ใจ แต่ตอนนี้กลับมั่นใจขึ้นมาเยอะมาก
ตอนกลางคืนเฉินผิงอันฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตอนที่กินอาหารมื้อดึก กุ้ยฮูหยินไม่ได้ให้แม่นางกุ้ยฮวาคนนั้นออกหน้า แต่นางยกกล่องอาหารมาให้ตัวเอง
ดูเหมือนว่าน้ากุ้ยท่านนี้จะมีเรื่องกังวลใจมากมาย ไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร เฉินผิงอันจึงเป็นฝ่ายพูดก่อนว่า “น้ากุ้ย ครั้งนี้ข้าช่วยคุณชายน้อยฟ่านปกป้องเกาะกุ้ยฮวา ท่านช่วยส่งข่าวผ่านกระบี่บินไปให้เขาแทนข้า บอกว่าข้าชอบเรือนเล็กกุยม่ายแห่งนี้มาก ต่อไปที่แห่งนี้จะกลายเป็นของข้าแล้ว ได้หรือไม่? น้ากุ้ย ข้ารู้สึกว่าคุณชายน้อยฟ่านคงไม่ขี้งก แต่ผู้อาวุโสในตระกูลฟ่านน่าจะไม่ตอบตกลง ถึงเวลานั้นท่านช่วยพูดแทนข้าหน่อยได้ไหม?”
น้ากุ้ยเต็มไปด้วยความสงสัย มองประเมินเด็กหนุ่มอย่างตั้งใจ ดูสีหน้าของเขาแล้วเหมือนว่าจะไม่ได้ล้อเล่น ทันใดนั้นร้อยความคิดก็ประดังประเดกันเข้ามา นางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากศาลบรรพชนของตระกูลฟ่านกล้าไม่ตอบตกลงล่ะก็ น้ากุ้ยจะลากคุณชายน้อยฟ่านไปประท้วงขอความเป็นธรรม หญิงปากร้ายคนหนึ่งโวยวายบนท้องถนน เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งลงไปดิ้นปัดๆ อยู่บนพื้น รับรองว่าสำเร็จแน่นอน”
น้ากุ้ยนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน มองเขาสวาปามอาหารแล้วรู้สึกตลก จึงปิดปากหัวเราะ “เกาะกุ้ยฮวายกเรือนเล็กแห่งหนึ่งให้กับแขกคนหนึ่งโดยเฉพาะ นี่คือเรื่องแปลกที่ในอดีตไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลังกลับไปน้ากุ้ยจะร่างโฉนดที่ดิน ตามกฎของที่ว่าการต้องทำเป็นสองฉบับ พวกเราลงชื่อประทับเอาไว้ก่อน สังหารก่อนค่อยรายงานทีหลัง ถึงเวลานั้นให้คุณชายน้อยฟ่านเอาไปโยนทิ้งไว้ที่ศาลบรรพชน เสร็จแล้วก็รีบกลับมา ใครจะสนว่าตาแก่พวกนั้นจะเต็มใจหรือไม่”
เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “น้ากุ้ย โฉนดที่ดินคงไม่ต้องแล้ว ระหว่างข้ากับพวกท่านไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งนี้”
น้ากุ้ยจ้องนิ่งไปที่ดวงตาของเด็กหนุ่ม “ไม่ต้องการจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันประสานสายตากับนาง ผงกศีรษะรับ “จริง”
สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็โอบเด็กหนุ่มเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กุ้ยฮูหยินที่แม้จะหน้าตาธรรมดา แต่กลับมีบุคลิกท่วงท่าสง่างามผู้นี้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม้ว่าจะอายุพอๆ กับคุณชายน้อยตระกูลฟ่าน ทว่าตอนที่แบกไม้พายล่องเรือกลับมีมาดของวีรบุรุษที่องอาจจริงๆ วันนี้ยังมาทำแบบนี้อีก…เฮ้อ ผู้หญิงทุกคนบนโลกจิตใจหวั่นไหวกันไปหมดแล้ว”
เฉินผิงอันยังถือตะเกียบ ตัวเอียงไปด้านข้าง คล้ายต้นหลิ่วโบราณริมแม่น้ำเถี่ยฝูที่คอเอียง เขาไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่ากุ้ยฮูหยินกำลังชมตน แต่ว่าชมที่ตรงไหน เฉินผิงอันไม่เข้าใจจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าใจของหญิงสาวจะหวั่นไหวหรือไม่นั้น หมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นการเปรียบเปรยแบบที่บัณฑิตชอบใช้กัน? อีกอย่างวิธีการแสดงออกถึงความหวังดีฉันท์มิตรและความเมตตาฉันท์ผู้อาวุโสแบบนี้ของน้ากุ้ยก็ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไหร่ ยังดีที่อายุของคนทั้งสองต่างกันเยอะมาก เชื่อว่าต่อให้คนนอกมาเห็นเข้าก็คงไม่คิดมาก
สตรีแต่งงานแล้วปล่อยมือจากเฉินผิงอัน ยิ้มอ่อนมองเด็กหนุ่มที่มีท่าทางน่ารัก เพราะถึงแม้หน้าไม่แดงใจไม่สั่น แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววงงงัน น้ากุ้ยหรี่ตาลง สตรีที่แต่ไหนแต่ไรมาเรียบร้อยสำรวมกลับเผยสีหน้ามีเสน่ห์เย้ายวน นางเอ่ยสัพยอกว่า “อั๊ยหยา ที่แท้ก็ยังเป็นเด็กเหมือนคุณชายน้อยฟ่านนี่เอง”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉินผิงอันรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เขาเอาแต่ก้มหน้ากินข้าว บางครั้งก็ดื่มเหล้า
น้ากุ้ยจากไปด้วยรอยยิ้ม
ผลคือเห็นผู้เฒ่าถือกาเหล้าที่กำลังยิ้มคลุมเครือยืนอยู่หน้าประตู ทั่วร่างของชายชราคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้านจนกาเหล้าแกว่งไปด้วย ปากก็โหวกเหวกว่าจะดื่มสุราเพื่อความสำราญใจ กำจัดทุกข์หาความรื่นเริง ให้คางคกและกระต่ายล้วนหวั่นไหว ต้นกุ้ยส่ายเงา
กุ้ยฮูหยินยิ้มอย่างระอาใจ ไม่ถือสา เดินเยื้องย่างจากไปพร้อมเงาต้นกุ้ยที่ตามติดไปด้านหลัง
จู่ๆ ท่าทางเมามายของผู้เฒ่าพายเรือก็หายวับไป เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “เฉินผิงอัน อยู่ดีๆ อาจารย์ข้าก็มาที่เกาะกุ้ยฮวา บอกว่าอยากจะพบเจ้า เพราะมีคำพูดจะบอกเจ้า เจ้าอยากพบเขาหรือไม่? ข้าแน่ใจได้แค่ว่าท่านอาจารย์ผู้อาวุโสไม่ใช่คนชั่วร้าย แต่ไหนแต่ไรมาก็มีจิตใจเมตตามาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกันข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า คนที่ใจดีแบบนี้จะทำเรื่องเลวร้ายสักครั้งหนึ่งหรือไม่ การที่เขาไม่เต็มใจขึ้นภูเขามายังเรือนเล็กแห่งนี้…”
ผู้เฒ่ารู้สึกลำบากใจขึ้นมากะทันหัน “ตามหลักแล้ว ข้าที่เป็นลูกศิษย์ควรจะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงนามของผู้สูงศักดิ์ เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ช่างเถอะ ควรพูดให้เจ้าฟังนั่นแหละ อาจารย์ของข้าเขาเคยเป็นคนพายเรืออันดับหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวา ไม่ว่าจะเป็นไม้พายตีมังกรหรือกระดาษที่พับเป็นรถม้าและหอสูงพวกนั้น ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ที่สืบทอดมาจากเขา เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นอาจารย์ก็หายตัวไป แค่เคยปรากฏตัวครั้งหนึ่งเมื่อห้าร้อยปีก่อน และถือโอกาสรับข้าเป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ มองออกว่า…ท่านอาจารย์ผู้อาวุโสค่อนข้างจะคิดถึงกุ้ยฮูหยิน น่าเสียดายก็แต่ไม่รู้ว่าเขาไปทำอีท่าไหนให้กุ้ยฮูหยินโมโห ถึงไม่อนุญาตให้อาจารย์เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวาอีกตลอดชีวิต”
ทันใดนั้นคนพายเรือเฒ่าก็เอ่ยว่า “ข้าเดาเอาว่าท่านอาจารย์คือคนพายเรือที่ได้รับการบันทึกในตำราของลัทธิเต๋า ออกทะเลครั้งหนึ่งก็ใช้เวลานานหลายร้อยปี คนพายเรือที่…เคยเล่าให้เจ้าฟัง ดังนั้นครั้งนี้เขามาหาเจ้า ข้าจึงแค่ช่วยมาแจ้งข่าวเท่านั้น จะไปหรือไม่ เจ้าเฉินผิงอันไตร่ตรองดูให้ดี”
เฉินผิงอันครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตกลง “ไปสิ ลู่…”
ผู้เฒ่ารีบขมวดคิ้วขัดขวางคำพูดของเฉินผิงอัน กดเสียงต่ำพูดว่า “หากถูกใครเรียกขานนามซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามออกมาตรงๆ จิตของอริยะที่มีมรรคกถาสูงเทียมฟ้าจะรับสัมผัสได้ เจ้าลองคิดดู ขนาดพวกชาวบ้านร้านตลาดก็ยังถูกเตือนว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อของผู้อาวุโสที่ล่วงลับไปแล้ว ข้อห้ามนี้เป็นเรื่องของมารยาทพิธีการเท่านั้นหรือ? ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้นหรอก”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งทีแล้วเดินลงภูเขาไปพร้อมกับคนพายเรือเฒ่า
ผู้เฒ่าเอ่ยหยอกล้อ “ไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเจ้าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันแสร้งพูดเบาๆ ด้วยท่าทางลึกลับ “คนอื่นคิดร้ายกับข้าหรือไม่ ข้าก็สัมผัสได้เหมือนกัน ท่านผู้อาวุโส แบบนี้ก็เท่ากับว่าข้ามีศักยภาพแฝงที่จะเป็นอริยะใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ อันที่จริงอริยะกับผู้ฝึกลมปราณถือเป็นคนสองประเภท อยากจะเป็นอริยะ โดยเฉพาะอริยะของสามลัทธิในเมธีร้อยสำนัก ต่อให้จะเป็นแค่อริยะที่มีตบะขอบเขตสิบ แต่เกรงว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่เลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบแล้วก็ยังทำได้ยากยิ่งกว่า
หลังจากลงเขาไปแล้ว ตอนที่ขยับไปใกล้ท่าเรือที่คุ้นเคย ทั้งเฉินผิงอันและคนพายเรือเฒ่าต่างก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลด้วย
กุ้ยฮูหยินยืนอยู่ตรงท่าเรือ อาภรณ์พลิ้วปลิวสะบัด โดดเด่นเหนือผู้คน ราวกับว่ากำลังขัดขวางการนำเรือลงจอดเทียบท่าของชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง
กุ้ยฮูหยินคือเจ้าของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ ย่อมต้องรับรู้ได้ถึงการขยับเข้ามาใกล้ของคนทั้งสอง นางไม่ต้องการเสียเวลากับคนผู้นั้นอีกต่อไป จึงพูดเสียงเฉียบอย่างดุดันกับชายวัยกลางคนหน้าตาซื่อสัตย์ที่อยู่บนเรือ “รีบไปซะ ถ้าจะคุยก็ไปคุยกันบนทะเล เจ้าอย่าหวังว่าจะได้เหยียบขึ้นมาบนเกาะกุ้ยฮวา! หาไม่แล้วข้าก็ขอสู้ตายกับเจ้า”
ชายวัยกลางคนที่รูปโฉมธรรมดาท่าทางหยาบกระด้างก็คือคนพายเรือที่พายผ่านใต้ฝ่าเท้าของผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่ว ซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คนพายเรือเฒ่าที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
เดิมทีชายฉกรรจ์มีนิสัยเหมือนน้ำเต้าตันที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน ทว่ากุ้ยฮูหยินที่ยืนอยู่ตรงท่าเรือผู้นี้คือจุดตายของเขา พอเห็นว่าสตรีแต่งงานแล้วไม่เห็นใจคนอื่น ถึงขั้นแสดงท่าทางดุร้ายใส่เขาเป็นครั้งแรก นี่ทำให้ชายผู้ซื่อสัตย์รู้สึกเหมือนฟ้าดินพังทลาย ชีวิตไร้ซึ่งรสชาติ เริ่มร้อนใจขึ้นมาบ้างแล้ว เขาโยนไม้พายทิ้ง กระทืบเท้าติดๆ กัน ร้องคร่ำครวญว่า “ทำไมล่ะ ทำไมล่ะ! ก็ไม่ใช่เพราะครั้งนั้นหลังถูกเจ้าปฏิเสธ ได้รับความสะเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงก็เลยดื่มเหล้าจนเมามาย พอเมาความกล้าก็เพิ่มพูน เลยแอบวิ่งไปกอดต้นกุ้ยแค่ไม่กี่ทีเท่านั้น ก็มันห้ามความรู้สึกไม่ได้ เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้นี่นา…ข้าเป็นคนยังไง เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ขนาดอาจารย์ของข้ายังบอกว่าข้าเป็นคนซื่อสัตย์”
กุ้ยฮูหยินโมโหอย่างหนัก หัวเราะหยันพูดว่า “โอ้โห คำพูดคำจาช่างไร้ช่องโหว่ ใช้ความรู้สึกมาทำให้หวั่นไหวก่อน แล้วค่อยใช้เหตุผลมาประกอบ สุดท้ายยกเอาที่พึ่งของตัวเองออกมา ร้ายกาจยิ่งนัก คำพูดประโยคนี้ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
กว่าจะปลุกความกล้าขึ้นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ชายฉกรรจ์จึงพูดหมดเปลือกอย่างอัดอั้น “เสี่ยวฉีของสำนักโองการเทพ…”
กุ้ยฮูหยินยื่นมือชี้หน้าตวาดด่าอย่างโกรธเคือง “เจ้าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง หัดมีความรับผิดชอบและคุณธรรมบ้างได้หรือไม่ ฉีเจินช่วยวางแผนให้เจ้า แต่เจ้ากลับเอาเขามาขายแบบนี้น่ะหรือ? จะลังเลสักนิดก็ไม่มี?! ไสหัวไป!”
ชายฉกรรจ์วัยกลางคนเหมือนโดนสวรรค์ลงทัณฑ์ ล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปในเรือลำเล็ก เหวี่ยงมือกระทืบเท้าเป็นพัลวัน ปากก็ตะโกนโหวกเหวกไปด้วย “จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง! ชีวิตจะยังมีความอะไร!”
ผู้เฒ่าพายเรือชะงักเท้า เป็นตายก็ไม่ยอมก้าวออกไป เขายกมือปิดหน้า ตีให้ตายก็ไม่ยอมมองภาพนี้ของอาจารย์ผู้อาวุโส อาจารย์ผู้มีพระคุณสติวิปลาสเช่นนี้ ช่างเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงของลูกศิษย์จริงๆ
คนพายเรือเฒ่าพลันหมุนตัวกลับ “ไปเถอะๆ หากยังมองต่อไป จิตแห่งเต๋าที่ผุพังของข้า ก่อนหน้านี้โชคดีไม่ได้ถูกเจียวเฒ่าทำลายจนเละเทะ แต่จะกลับกลายเป็นว่าต้องมาพังเพราะอาจารย์ของตัวเอง”
ชายฉกรรจ์หันมาตะโกนใส่คนพายเรือเฒ่า “เจ้าถังน้ำน้อย พบอาจารย์แล้วไม่คิดจะทักทายกันสักคำเลยรึ?”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น