ยอดหญิงสกุลเสิ่น 266.1-266.2
ตอนที่ 266-1 สั่งสอน
“ดูน้องสะใภ้สิ วางก้ามยิ่งนัก แม่นางซูหร่วนเพียงแค่มีไมตรีจิต ข้างกายโย่วต้าของพวกเจ้ายังไม่มีแม้แต่สาวใช้อนุภรรยาเลยมิใช่หรือ หากน้องสะใภ้เป็นสตรีมีคุณธรรมก็ควรเก็บบุปผารู้ภาษาดอกนี้ไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้เองก็ต้องถามน้องโย่วต้าด้วยมิใช่หรือ” คำพูดของฟั่นซื่อทำให้ดวงตาของซูหร่วนจุดประกายความหวังอีกครั้ง
แต่สายตาที่ญาติผู้หญิงทุกคนมองฟั่นซื่อกลับประหลาดอย่างถึงที่สุดแล้ว ฮูหยินซื่อจื่อผู้นี้ของจวนกงอ๋องเป็นอะไรไปแล้ว ช่วยสตรีหอโคมเขียวผู้นี้พูด สมองผิดปกติแล้วหรือไร
อันที่จริงเสิ่นเวยกลับเข้าใจฟั่นซื่อเป็นอย่างยิ่ง ฟังว่าเลี่ยซื่อจื่อผู้นั้นเป็นคนกินไม่เลือก ในเรือนมีสาวใช้รูปงามล้วนถูกเขาแตะเนื้อต้องตัว แม้แต่เด็กรับใช้ที่หน้าตาหล่อเหลาหลายคนนั้นข้างกายเขายังไม่อาจหนีพ้นกรงเล็บของเขาได้
มีสามีเช่นนี้ ฟั่นซื่อเองก็เหนื่อยกายเหนื่อยใจ ปกติสิถึงแปลก ตัวนางเองยังมีชีวิตที่ไม่ดี ย่อมเห็นคนอื่นดีกว่าไม่ได้ ข้าได้ไม่ดี เช่นนั้นเจ้าเองก็อย่าคิดจะได้ดี รังเกียจข้าก็ต้องรังเกียจเจ้าด้วย เสิ่นเวยวิเคราะห์จิตใจของฟั่นซื่อได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
ดังนั้นเสิ่นเวยจึงไม่รู้สึกว่าฟั่นซื่อโหดเ**้ยมชั่วช้ามากมายเหมือนอย่างที่คนอื่นคิด กลับเหลือบตาขึ้นแล้วกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยพูดถูก เรื่องนี้ยังต้องฟังว่าท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าว่าอย่างไร สามีเชื่อฟังภรรยา ข้าล้วนแต่เชื่อฟังท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้า เย่ว์กุ้ย เจ้าวิ่งเร็ว ไปรายงานท่านจวิ้นอ๋องสักหน่อย”
“เจ้าค่ะ” เย่ว์กุ้ยที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวขานรับเสียงดังกังวาน ชั่วพริบตาขาเล็กๆ ก็วิ่งออกไปยังเรือนนอกแล้ว
บังเอิญพอดี เย่ว์กุ้ยเดินออกจากเรือนในไปได้ไม่ไกลก็เห็นเจียงไป๋ นางรีบกวักมือเรียกด้วยความดีใจ เจียงไป๋วิ่งเข้ามา เย่ว์กุ้ยก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตรงเวทีงิ้วหนึ่งรอบทันที “พี่รองเจียง จวิ้นจู่ยังรอคำตอบท่านจวิ้นอ๋องอยู่”
เมื่อเจียงไป๋ได้ยินเรื่องนี้สีหน้าก็ขาวซีดแล้ว คราวก่อนเพราะว่าซูหร่วนผู้นี้จวิ้นจู่กับนายท่านจึงทะเลาะกันเช่นนั้น ตอนนี้ซูหร่วนผู้นี้กระโดดมายั่วยุเบื้องหน้าจวิ้นจู่แล้ว ไม่รู้ว่าจวิ้นจู่จะโกรธเพียงใด เมื่อจวิ้นจู่โกรธ คนที่ลำบากก็ยังต้องเป็นนายท่าน!
เมื่อคิดเช่นนี้ เจียงไป๋ก็ยืนไม่ติดแล้ว กล่าวกับเย่ว์กุ้ย “แม่นางเย่ว์กุ้ยเจ้ารออยู่ตรงนี้สักครู่ ข้าจะกลับไปแจ้งนายท่านเดี๋ยวนี้” วิ่งไปหาเจ้านายของเขาด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วอย่างยิ่งแล้ว
สวีโย่วกำลังพูดคุยกับท่านพี่ไท่จื่อของเขาอยู่ เห็นเจียงไป๋ปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าร้อนรน ดวงตาก็อดกะพริบวาบไม่ได้
สวีเช่อเห็นเจียงไป๋แล้ว กล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจอย่างยิ่ง “อาโย่วเจ้ารีบออกไปดูเถิด ใช่มีเรื่องสำคัญอะไรถึงมาหาเจ้าหรือไม่”
สวีโย่วลังเลเล็กน้อยยังคงลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่รอสักครู่ ข้าไปแล้วจะรีบกลับมา”
“มีเรื่องอันใด” สวีโย่วเดินออกไปกล่าวถาม
เจียงไป๋รีบเขยิบเข้าไปใกล้เขาเล่าเรื่องเสียงเบาหนึ่งรอบ สวีโย่วยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งเย็นเยียบ สมควรตาย ใครก็ได้บอกเขาทีว่าหญิงผู้นั้นเข้าจวนจิ้นอ๋องมาได้อย่างไร ฮูหยินซื่อจื่อจวนกงอ๋องใช่หรือไม่ เขาจะจำไว้! กลับมาจากล่องแม่น้ำครั้งก่อนเขาก็อยากจัดการแม่นางหร่วนอะไรนั่นแล้ว เพียงแต่ภายหลังงานยุ่งจึงลืมไป เหอะ เขาให้โอกาสหนีเอาชีวิตรอดแก่นางนางก็ไม่รู้จักรักษาไว้ กลับกระโดดมาถึงหน้าเวยเวยของเขา น่ารังเกียจยิ่งนัก
ความรู้สึกในใจสวีโย่วราวกับกินแมลงวันเข้าไป อยากจะอาเจียน
“นายท่าน ทำอย่างไรดี จวิ้นจู่จะต้องโมโหเป็นแน่” เจียงไป๋กล่าวด้วยความกังวลอย่างถึงที่สุด
สวีโย่วอยากจะวิ่งเข้าไป โยนหญิงสมควรตายผู้นั้นออกไปนอกกำแพงทันทีจริงๆ คิดไปคิดมาสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ก่อนดีกว่า สั่งเจียงไปหลายประโยค “จำได้แล้วใช่หรือไม่ ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ”
เจียงไป๋พยักหน้าอย่างตั้งใจจริง “ทราบแล้วขอรับ นายท่านรอดูก็พอ บ่าวจะต้องจัดการแทนท่านอย่างไม่มีขาดตกบกพร่องแน่นอน”
สวีโย่วพยักหน้า โบกมือบอกเป็นนัยให้เขารีบไป สวีโย่วมองแผ่นหลังของเจียงไป๋ มือก็โบกอีกครั้ง เด็กรับใช้ที่หน้าตาการแต่งงานล้วนธรรมดาอย่างยิ่งผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา “ท่านจวิ้นอ๋องมีอะไรรับสั่งหรือขอรับ”
“ไปสืบดูว่าคนที่ชื่อซูหร่วนผู้นั้นเป็นใครเป็นคนเชิญเข้าจวน”
ฮูหยินทั้งหมดล่างเวทีงิ้วก็ไม่ดูงิ้วแล้ว ละครน้ำดีตอนนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว
ซูหร่วนมองฟั่นซื่อด้วยความซาบซึ้ง “ขอบคุณฮูหยินซื่อจื่อยิ่งนัก ข้าไร้สิ่งใดตอบแทน ทำได้เพียงจุดธูปทุกวันหลังจากนี้ ขอพระปกปักรักษาฮูหยินให้มีอายุยืนนานร้อยปี”
หากเป็นปกติ ฟั่นซื่อคงจะไม่มองซูหร่วนแม้แต่ปราดเดียว นางรังเกียจมารยาจิ้งจอกเช่นนี้ที่สุด ทว่าวันนี้นางได้เห็นการแสดงของเสิ่นเวย ย่อมต้องมีน้ำใจไมตรีต่อซูหร่วน “เฮ้อ ใครให้ฮูหยินซื่อจื่อเช่นข้าใจอ่อนเล่า แม่นางคนดีรีบเช็ดน้ำตาเถิด ท่านผิงจวิ้นอ๋องจะต้องตัดสินใจให้เจ้าแน่นอน”
องค์หญิงใหญ่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว คิ้วก็ขมวดมุ่นทันที พี่กงอ๋องแต่งภรรยาอะไรเข้ามา ฟังสิพูดจาอะไรก็ไม่รู้ เหตุใดถึงไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ นางกำลังจะเอ่ยปากตำหนิ เสิ่นเวยดึงแขนเสื้อของนาง ส่ายหน้าให้นาง นางจึงระงับความโกรธเอาไว้
เร็วอย่างยิ่ง ทุกคนก็เห็นเย่ว์กุ้ยกลับมาแล้ว ข้างๆ ยังตามมาด้วยเด็กรับใช้หนึ่งคน เมื่อเดินเข้ามาใกล้แล้วจึงเห็นว่าเด็กรับใช้คนนั้นคือผู้ติดตามคนสนิทข้างกายผิงจวิ้นอ๋อง
“จวิ้นจู่ บ่าวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านจวิ้นอ๋องทราบเรื่องแล้ว ตั้งใจส่งพ่อบ้านรองเจียงมาบอกกล่าว” เย่ว์กุ้ยกล่าวรายงาน
เจียงไป๋รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า “บ่าวคารวะองค์หญิงใหญ่ จวิ้นจู่เหนียงเหนียงและฮูหยินทุกท่านในที่นี้” เขาคุกเข่าข้างหนึ่งทำความเคารพอย่างปราดเปรียว
ทว่าบนใบหน้าฟั่นซื่อกลับไม่พอใจเล็กน้อย “เหตุใดนายพวกเจ้าถึงไม่มาเล่า”
เจียงไป๋แทนจะโมโหจนจมูกเบี้ยว นายของข้าใช่คนที่เจ้าสั่งได้หรือ เจ้ามีสิทธิ์มาจากไหน ความประพฤติที่น่ารังเกียจเช่นนี้ มิน่าเล่าวันทั้งวันเลี่ยซื่อจื่อจึงใช้ชีวิตเสเพลอยู่ข้างนอก หากไม่ใช่กลัวเสียมารยาท เจียงไป๋คงจะเมินนางไปแล้ว
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไหนเลยจะต้องรบกวนนายท่านของข้าด้วยเล่า บ่าวมาก็พอแล้ว” เจียงไป๋หลุบตาลง ท่าทางเคารพอย่างยิ่ง เขากระแอมไล่เสมหะ เลียนแบบคำพูดนายของเขา “จางหร่วนหลี่หร่วนอะไร ตัวข้าจวิ้นอ๋องไม่รู้จัก ตัวข้าจวิ้นอ๋องร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เล็ก แม้จะรักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถมีชีวิตอยู่จนถึงวันที่แก่ตายได้หรือไม่ เหตุใดถึงยังมีคนเข้ามาข้างกายตัวข้าจวิ้นอ๋องอยู่อีก ถามจางหร่วนหรือหลี่หร่วนผู้นี้ดูสิว่า นี่คือการทดแทนบุญคุณหรือว่าล้างแค้น ข้าฆ่าล้างตระกูลนางหรือว่าขุดหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลนางทำให้นางทุ่มเทกายใจอยากจะทำลายตัวข้าจวิ้นอ๋องหรือไม่”
หยุดครู่หนึ่ง เจียงไป๋คล้ายใคร่ครวญ หลังจากนั้นก็เลียนแบบต่อ “จวิ้นจู่เองก็ลำบากใจจริงๆ ทุกข์ระทมใจเพื่อสุขภาพของตัวข้าจวิ้นอ๋อง ยังแบกรับชื่อเสียงไม่ดีมากมายเพียงนั้น ตัวข้าจวิ้นอ๋องละอายใจจริงๆ!”
คำพูดชุดนี้เจียงไป๋เลียนแบบได้เหมือนจริงอย่างถึงที่สุด ทำนองที่สูงส่งเป็นเหนือนั่น น้ำเสียงที่เย็นยะเยือกนั่น ราวกับออกมาจากนายของเขา
“ทุกท่าน นี่ก็คือเจตนารมณ์นายท่านของข้า” เขาพูดไปพลาง มองใบหน้าเสิ่นเวยด้วยความระมัดระวัง เห็นในแววตานางมีรอยยิ้มกะพริบผ่าน จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งครา อืม ขอเพียงแค่จวิ้นจู่ไม่โกรธก็พอแล้ว
องค์หญิงใหญ่หัวเราะออกมาก่อนแล้ว “ดูสิ อาบอกแล้วว่าโย่วเอ๋อร์เป็นคนลำดับความสำคัญได้ โย่วเอ๋อร์มีสุขภาพเช่นนั้น โชคดีที่มีเจ้า เด็กดี ไม่ต้องกลัว ไม่ว่าเรื่องอะไรอาจะช่วยเหลือเจ้าเอง” กล่าวกับเสิ่นเวยด้วยความอ่อนโยนไปพลาง กวาดตามองฟั่นซื่อกับซูหร่วนปราดหนึ่งอย่างมีความหมายแฝงนัย
เสิ่นเวยเองก็แย้มยิ้ม ท่าทางไม่ได้ใส่ใจอย่างสิ้นเชิง “เสด็จอา คุณชายใหญ่ของพวกข้านิสัยเย็นชาเล็กน้อย แต่คนดียิ่งนัก ปฏิบัติต่อหลานก็ดีเช่นกัน” ตอนนี้ย่อมต้องแปะทองบนหน้าสวีโย่ว
ฮูหยินทั้งหมดข้างหลังพากันก่ายหน้าผาก ผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นไหนเลยจะมีนิสัยเย็นชา เห็นชัดๆ ว่าเย็นชาจนผิดมนุษมนาแล้ว ซูหร่วนอะไรนี่ก็ไม่ดูตาม้าตาเรือเช่นกัน เหตุใดถึงกล้าเข้าใกล้เขา ไม่เห็นหรือว่าสตรีสูงศักดิ์ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ไม่มีความกล้าเช่นนั้น
มีองค์หญิงใหญ่นำ ฮูหยินทั้งหมดย่อมยกยอเสิ่นเวย
“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เองก็ทุ่มเทกายใจจริงๆ หากไม่มีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่กันอยู่ข้างหน้า ผิงจวิ้นอ๋องไหนเลยจะแข็งแรงอย่างทุกวันนี้”
“ยังคงเป็นฝ่าบาทที่มีพระเนตรเฉียบแหลม มิเช่นนั้นจะพระราชทานฮูหยินที่ดีเพียงนี้ให้ผิงจวิ้นอ๋องได้อย่างไร”
“ต่อให้มีคนต่ำทรามเห็นคนอื่นดีไม่ได้ พูดจาพล่อยๆ ยุแยงตะแคงรั่ว ต่อไปนี้หากใครพูดถึงจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ดีอีกแม้แต่ประโยคเดียว คิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าตบหน้านาง”
ไม่ว่าจริงหรือเท็จ แต่ความอิจฉาที่ทุกคนมีต่อเสิ่นเวยเป็นเรื่องที่แน่นอน ไม่เห็นหรือว่าผิงจวิ้นอ๋องล้างมลทินให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ด้วยตัวเอง ดูสิว่าภายหลังในเมืองหลวงใครยังกล้าพูดว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่โหดเ**้ยมขี้อิจฉาอีก นางไหนเลยจะขี้อิจฉา นางคิดแทนสุขภาพร่างกายสามีของตนต่างหากเล่า! จะไปหาภรรยาที่ดีเพียงนี้ได้ที่ไหนอีก
เสิ่นเวยยิ้มแย้มรับฟัง แต่ความจริงแล้วแขนต่างก็ขนลุกขนชันไปด้วยความสะอิดสะเอียน นางคิดว่าตอนนี้ทั่วทั้งร่างนางมีแสงทองเปล่งออกมา ใกล้จะกลายเป็นพระพุทธเจ้าที่โปรดสรรพสิ่งบนดอกบัวแล้ว
มองกลับกันฟั่นซื่อกับซูหร่วน ไอหยา ใบหน้านั่นย่ำแย่ไม่น้อยหน้ากันเลย ฟั่นซื่อยังกล่าว “นับว่าตัวข้าฮูหยินซื่อจื่อมองคนผิดแล้ว ที่แท้แล้วน้องใหญ่โย่วก็เป็นคนไม่มีความรับผิดชอบนี่เอง”
เสิ่นเวยหรี่ตาลงในชั่วขณะ กล่าวอย่างเย็นชา “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยโปรดระวังคำพูด คุณชายใหญ่ของพวกข้าเป็นอย่างไร มีฝ่าบาทตัดสิน ไม่ใช่สตรีเรือนหลังผู้หนึ่งเช่นเจ้าจะสอดปากได้”
ฟั่นซื่อไม่ยินยอม ยังคิดจะพูดอะไรต่อ แต่กลับสบสายตาที่น่าสะพรึงกลัวทั้งยังเต็มไปด้วยไอสังหารของเสิ่นเวย ชั่วขณะก็ใจเต้น ไม่กล้าเอ่ยปากแล้ว
องค์หญิงใหญ่เองก็กล่าวตำหนิ “หากภรรยาเลี่ยเอ๋อร์พูดจาไม่เป็นก็อย่าได้เปิดปาก พี่สะใภ้กงอ๋องเล่า จื่อเถิง ส่งฮูหยินซื่อจื่อไปถามพี่สะใภ้กงอ๋องว่านางสั่งสอนภรรยาอย่างไร”
“เพคะ บ่าวน้อมรับคำสั่ง” หญิงรับใช้วัยกลางคนข้างกายองค์หญิงใหญ่ก้าวออกมา “ฮูหยินซื่อจื่อ เชิญเจ้าค่ะ”
บนใบหน้าฟั่นซื่อประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวขาว คิดจะไม่ไป แต่กลับไม่กล้าขัดคำสั่งขององค์หญิงใหญ่
เมื่อฟั่นซื่อไปแล้ว เหลือเพียงซูหร่วนผู้เดียว นางมองแผ่นหลังของฟั่นซื่อ คิดจะตามไปเช่นกัน เจียงไป๋เปิดปาก พูดแล้ว “แม่นางซูจะไปไหนหรือ นายท่านของข้าสงสัยว่าท่านคือไส้ศึกที่คนชั่วส่งมาข้างกายเขาหรือไม่ พาตัวไป” เขาโบกมือ จู่ๆ ก็มีหญิงชราสองคนที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหน อุดปากของซูหร่วนลากนางออกไปแล้ว
ตอนที่ 266-2 สั่งสอน
เจียงไปคารวะองค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆ อีกครั้ง “บ่าวขอตัวกลับไปรายงานท่านจวิ้นอ๋องก่อนนะขอรับ ไม่รบกวนท่านทั้งหลายดูงิ้วแล้ว”
ทุกคนต่างก็รังเกียจคนเช่นซูหร่วนอย่างถึงที่สุด สำหรับทิศทางและจุดจบของนางย่อมไม่อาจใส่ใจแน่นอน เร็วอย่างยิ่ง ล่างเวทีงิ้วก็กลับคืนสู่บรรยากาศรื่นเริงอีกครั้ง
ฉากที่แทรกเข้ามานี้สำหรับคนอื่นแล้วเป็นเพียงความสนุกสนาน แต่สำหรับใครบางคนแล้วกลับไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
คืนนั้น ซูหร่วนก็ปรากฏตัวอยู่บนเตียงของซื่อจื่อจวนกงอ๋องสวีเลี่ย ความรู้สึกของฟั่นซื่อไม่ต้องบอกก็รู้ ส่วนพวกเขาจะวุ่นวายอย่างไร เสิ่นเวยไม่เป็นห่วงแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่อยากให้ร้ายนางหรือ นางเป็นลูกพลับนิ่มหรือไร ไม่แก้เผ็ดกลับมานางจะสมกับเป็นเสิ่นเวยหรือ
ตอนที่ข่าวๆ นี้ดังออกมาจากจวนกงอ๋อง บางคนก็ไม่เห็นด้วย บางคนก็หัวเราะเพียงเท่านั้น ทว่าเหล่าฮูหยินที่นั่งอยู่ล่างเวทีงิ้ววันนั้นกลับเกิดความรู้สึกตื่นตัวในใจ ตระหนักได้ว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายเพียงนั้นเหมือนอย่างที่นางแสดงออกมา!
วันที่สองสวีฉั่งสองสามีภรรยายกน้ำชาแก่ญาติ สวีโย่วกับเสิ่นเวยก็ให้เกียรติไปร่วมพิธีอย่างยิ่ง
ลูกชายคนเล็กแต่งงานสร้างครอบครัว พระชายาจิ้นอ๋องย่อมดีใจอย่างถึงที่สุด ใจป้ำอย่างยิ่งมอบเครื่องประดับศีรษะไข่มุกสีชมพูหนึ่งชุดให้ฉินอิงอิง จิ้นอ๋องก็ยังคงให้ซองแดงเช่นเคย
ตอนที่สวีฉั่งพาฉิงอิงอิงมาคารวะพี่ชายพี่สะใภ้ เสิ่นเวยก็แสดงออกอย่างใจกว้างเมตตา มอบเครื่องประดับเลี่ยมมรกตหนึ่งชุด ทั้งยังอวยพรให้พวกเขารักกันยืนยาว มีบุตรในเร็ววัน ระหว่างนางกับฉินอิงอิงก็ทำได้เพียงเช่นนี้ ต่อหน้าสงบสุขตบตา ส่วนลับหลัง นั่นก็ทำได้เพียงอธิบายด้วยคำว่าเหอๆ
ช่วงนี้ เซี่ยเฟยตกอยู่ในสภาพอึดอัดจริงๆ เหตุใดน่ะหรือ ตั้งแต่ที่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่กูไหน่ไนตระกูลเสิ่นผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานบรรดาศักดิ์ผู้นั้นรู้ภูมิหลังฐานะของเขา ชีวิตของเขาก็ตกอยู่ท่ามกลางไฟนรก ผ่านไปอย่างราบรื่นไม่ได้เสียที
ใช่ เขาซ่อนตัวแล้ว สำนักราชบัณฑิตก็ลางาน เรือนที่ตั้งเด่นอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่กล้าอยู่อีกต่อไปแล้ว ต่อให้เป็นเช่นนี้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ยังไม่ปล่อยเขาไป ไม่สิ ลูกน้องถูกเลือกไปเจ็ดคนแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาที่บาดเจ็บเยอะขึ้นทุกวันๆ ตอนที่ข่าวรายงานเข้ามา เซี่ยเฟยก็อัดอั้นใจอย่างถึงที่สุด
ใช่ จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ได้ต้องการชีวิตของมือสังหาร แต่ทำร้ายก็ยังได้มิใช่หรือ เชิญหมอซื้อยาก็ต้องใช้เงินมิใช่หรือ ผู้ใต้บังคับบัญชาล้วนได้รับบาดเจ็บ เขาจะไปหาใครมาทำงาน นี่จึงต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฝั่งเขาเพิ่งจะได้รับงานมาหนึ่งงาน คนของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ไปถึงแล้ว ซ้ำยังช่วยบุคคลในเป้าหมายไปอีก ทำให้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เห็นเงินไหลออกไปราวกับน้ำ หัวใจของเซี่ยเฟยก็เจ็บแปลบ!
หมดหนทาง เซี่ยเฟยทำได้เพียงขอเจรจาสงบศึกด้วยตัวเอง
เทียบกันกับเซี่ยเฟยที่ร้อนใจ เสิ่นเวยเล่นอย่างสนุกสนาน ตามข่าวของสวีโย่ว นางนำกองทหารเด็กกับเหล่าทหารลับไปล้อมสกัดมือสังหารของกลุ่มมือสังหาร ใช้กลยุทธ์ต่างๆ นานามาสับเปลี่ยนทดลองหนึ่งรอบ หนึ่งเดือนสั้นๆ การพัฒนาของกองทหารเด็กก็ก้าวหน้าอย่างมาก ทุกวันตอนเช้าเห็นเสิ่นเวย ดวงตาทั้งคู่ของพวกเขาล้วนแต่เปล่งประกาย “จวิ้นจู่ วันนี้จะออกไปยืดเส้นยืดสายเมื่อไร”
ตั้งแต่มาเมืองหลวงกองทหารเด็กก็ไม่เป็นอิสระเช่นนั้นเหมือนอยู่ที่ซีเจียง วันทั้งวันอยู่แต่ในจวนฟันเสาไม้จนพวกเขาเบื่อนานแล้ว ตอนนี้จวิ้นจู่พาพวกเขาออกไปยืดเส้นยืดสาย พวกเขาก็เหมือนกับเสือดุร้ายที่ถูกปล่อยออกจากกรง มีความสุขยิ่งนัก ไม่กลัวเผชิญหน้ากับมือสังหารที่มีอุบายมากมายแม้แต่นิดเดียว
ได้รับข้อความที่เซี่ยเฟยส่งมา เสิ่นเวยก็ปฏิเสธทันที “เจรจาสงบศึกหรือ ได้ แต่รอข้าจับลูกน้องให้ครบสิบคนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” คิดถึงตอนนั้นที่บาดแผลบนร่างนางใช้เวลารักษาอยู่เป็นเดือน เย่ว์กุ้ยก็ยิ่งนอนอยู่บนเตียงเกือบหนึ่งปี ไม่ระบายความแค้นนี้นางจะยินยอมได้อย่างไร เฮ้อ เจ้าหลบต่อไปเถอะ ต่อให้เจ้าหลบอยู่ในรูหนู แต่ก็ถูกข้าล้วงออกมาอยู่ดีมิใช่หรือ
เซี่ยเฟยได้ยินคำตอบรับของเสิ่นเวย ก็แทบจะหน้ามืดล้มพับ! รังแกคนเกินไปแล้ว รังแกคนเกินไปแล้ว! เขาเซี่ยเฟยที่ควบคุมกลุ่มมือสังหารด้วยตัวเองได้รับความเคียดแค้นเช่นนี้เมื่อไรกัน แต่…เฮ้อ คนอยู่ใต้ชายคา จำใจต้องก้มหน้าเสีย!
เหตุใดจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ถึงหาที่ซ่อนตัวของเขาเจอได้อย่าง่ายดายเพียงนี้เล่า เหตุใดจับคนออกมาได้อย่างแม่นยำ ไม่ใช่เพราะว่าภูมิหลังของตนถูกคนอื่นกุมไว้นานแล้วหรอกหรือ ผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นเป็นคนที่เขาหวาดกลัวที่สุด
ได้ๆๆ สิบคนก็สิบคน เลือกไปแล้วเจ็ดคน เหลืออีกแค่สามคน หลังลูกน้องสิบคนถูกเลือกเสร็จแล้ว กลุ่มมือสังหารก็สูญเสียครอบครัวไปครึ่งหนึ่ง เซี่ยเฟยเจ็บใจไปพลาง ไล่ลูกน้องออกไปพลาง เหลือกุ้งแห้งกระจอกๆ เพียงไม่กี่ตัวคอยรับมืออยู่ที่นั่น เขาเสียใจอีกครั้งที่เหตุใดถึงไปยุแหย่นางปีศาจเช่นนี้ คนที่แก้แค้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยผู้นี้ เฮ้อ หากรู้ก่อนว่าจะมีวันนี้ แม้ว่าจะให้เงินเขามากกว่านี้ก็ไม่อาจรับการซื้อขายครั้งนี้เป็นอันขาด!
เสิ่นเวยกลับรักษาคำพูด แม้ว่าลูกน้องสามคนนั้นที่เหลืออยู่จะไม่ท้าสู้แม้แต่นิดเดียว แต่เห็นแก่เซี่ยเฟยที่ทิ้งเงินทองอัญมณีไม่น้อยไว้ให้นางอย่างรู้จักวางตัวอย่างยิ่ง นางยังคงตัดสินใจให้โอกาสหนึ่งครั้งแก่เขาด้วยความใจกว้าง
“ข้าจะเรียกเจ้าว่าหัวหน้าเซี่ย หรือว่าจะเรียกเจ้าว่าราชบัณฑิตเซี่ยดี” เสิ่นเวยมองเซี่ยเฟยที่เข้ามาเพียงคนเดียว กล่าวถามอย่างหยอกล้อ
มุมปากเซี่ยเฟยกระตุกเล็กน้อย “ตามแต่จวิ้นจู่จะพอใจ” ไม่ว่าจะเรียกเขาอย่างไรเขาก็ต้องยอมรับหมดมิใช่หรือ
เสิ่นเวยมองท่าทางอึดอัดของเซี่ยเฟย ยิ้มแล้ว “หัวหน้าเซี่ยไม่คิดจะหลบต่อไปแล้วหรือ”
มุมปากของเซี่ยเฟยกระตุกอีกครั้ง ตีคนไม่ตบหน้า จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เจ้าเผยจุดอ่อนเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ แต่เห็นผิงจวิ้นอ๋องที่นั่งอยู่ข้างๆ เซี่ยเฟยก็ไม่กล้าออกความคิดเห็น ประสานมือกล่าว “จวิ้นจู่ได้โปรดเข้าใจ”
“พูดดี พูดดี” เสิ่นเวยหัวเราะฮ่าๆ “ตัวข้าจวิ้นจู่เองก็ไม่ใช่คนไม่ใช่คนอาฆาตจนเกินเหตุ หัวหน้าเซี่ยเจ้าเองก็รู้ดีแก่ใจว่าเหตุใดข้าถึงเลือกลูกน้องสิบคนของเจ้า เป็นกลุ่มมือสังหารของเจ้าที่ผิดใจข้าก่อนจริงๆ เจ้าเองก็อย่าพูดว่าที่มือสังหารทำคือธุรกิจสังหารคนอะไรให้ข้าได้ยิน ข้าไม่บีบบังคับให้เจ้าเปิดเผยข้อมูลผู้ว่าจ้างก็เป็นการให้เกียรติเจ้าเท่าไรแล้ว แต่หากตัวข้าจวิ้นจู่ไม่ระบายความเคียดแค้นนี้ก็จะไม่สบายใจ สถานการณ์อ่อนแอกว่าคน ดังนั้นเจ้าจึงต้องรับไว้” เสิ่นเวยใช้อำนาจกดดันอย่างมีเหตุมีผล
“ขอรับ จวิ้นจู่พูดถูก นี่เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่กลุ่มมือสังหารของข้าต้องแลก” เซี่ยเฟยกลับยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้บีบบังคับเขาก็ให้ข้อมูลผู้ว่าจ้างไม่ได้ ผู้ว่าจ้างในธุรกิจนี้ลึกลับ ตัวเขาเองยังไม่ได้สืบหาจนรู้ชัดเลย
เซี่ยเฟยผู้นี้กลับเป็นบุคคลที่ยกขึ้นได้ก็วางลงได้ยิ่งนัก! ในดวงตาเสิ่นเวยมีความชื่นชมแวบผ่าน
“ดังนั้นมาถึงตรงนี้บุญคุณความแค้นระหว่าพวกเราก็นับว่าหมดแล้ว หัวหน้าเซี่ยวางใจ หลังจากนี้ตัวข้าจวิ้นจู่จะไม่หาเรื่องเจ้าอีก แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพราะพวกเจ้ากลุ่มมือสังหารไม่ได้ขัดเงื่อนไขแรกของข้า” เสิ่นเวยกล่าวด้วยความสบายใจอย่างถึงที่สุด ในสายตามีความเย็นยะเยือกกะพริบผ่าน
ลมหายใจที่เซี่ยเฟยอัดอั้นไว้นับว่าปล่อยออกมาแล้ว “ขอบคุณจวิ้นจู่ยิ่งนักที่เข้าใจ จวิ้นจู่วางใจ หลังจากนี้กลุ่มมือสังหารถอยให้ห่างจากจวิ้นจู่” คนโง่จึงจะไปยั่วยุนางอีก เด็กคนนี้โหดเ**้ยมเกินไปแล้ว
เซี่ยเฟยเองก็ปรับตัวให้เขากับสถานการณ์ได้ แต่ประโยคต่อมาของเสิ่นเวยกลับทำให้เขาทุกข์ใจขึ้นมาอีกครั้ง “ในเมื่อบุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้สะสางไปแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็มาคุยเรื่องหลังจากนี้ต่อ”
เรื่องหลังจากนี้งั้นหรือ ไม่ใช่เสร็จหมดแล้วหรือ เซี่ยเฟยมองเสิ่นเวยไม่เอ่ยปาก
เสิ่นเวยเห็นเซี่ยเฟยมีท่าทางเตรียมรับศึกใหญ่ ก็ไม่รู้สึกขบขัน กล่าว “พวกเราเองก็นับได้ว่าไม่ตีก็ไม่รู้จัก ท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเองก็ชื่นชมหัวหน้าเซี่ยเป็นอย่างยิ่ง สานสัมพันธ์ไว้ก็ไม่เสียหาย อย่างไรเสียมีมิตรมากก็มีลู่ทางมาก ไม่ว่าอย่างไรกลุ่มมือสังหารก็ไม่ได้เป็นธุรกิจที่สุจริตสักเท่าไร ส่วนท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าก็ดูแลกรมปัญจทิศรักษานครพอดี หัวหน้าเซี่ยคิดเห็นว่าอย่างไร” เสิ่นเวยอยากจะลากเซี่ยเฟยมาลงเรือลำเดียวกับพวกเขาอย่างยิ่ง หลายครั้งหลายคราวประโยชน์ที่สามารถได้จากมือสังหารยังคงมีเยอะอย่างยิ่ง
ในใจเซี่ยเฟยหวาดกลัวในชั่วขณะ แม้ว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่จะพูดตามอำเภอใจ แต่เซี่ยเฟยยังคงได้ยินการคุกคามจากในนั้น อีกทั้งยังจับจุดอ่อนของเขาได้จริงๆ กลุ่มมือสังหารเดิมก็ดำเนินการอยู่ในที่มืด เดิมก็ไม่ยุ่งกับจวนขุนนางและราชสำนัก เขาสามารถออกจากงานราชการได้ แต่ด้วยนิสัยของผิงจวิ้นอ๋องผู้นั้นจะยอมปล่อยเขาไปหรือ คืนวันเหล่านี้เขาได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับกำลังของผิงจวิ้นอ๋องและจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้ว เพียงแค่เด็กที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ใต้บังคับบัญชาของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ก็ไม่อาจดูถูกได้แล้ว หากปราบปรามกลุ่มมือสังหารของเขาจริงๆ เขาเองก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่เฉยๆ
เสิ่นเวยเห็นเขาลังเลไม่แน่ใจ ก็ไม่ได้เร่งรัด เพียงแค่กล่าวอย่างไม่สนใจ “หัวหน้าเซี่ยกังวลอะไรก็พูดมาตรงๆ พวกเราเพียงแค่เจรจาความสัมพันธ์ส่วนตัว อย่างไรเสียก็มีมิตรภาพนั่งเฝ้าจวนเสนาบดีฉินร่วมกัน ท่านจวิ้นอ๋องของพวกเราจะปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไม่เป็นธรรมได้อย่างไร”
เซี่ยเฟยขนหัวลุก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นี้กุมจิตใจคนได้จริงๆ จวนเสนาบดีฉิน… ช่างเถอะ ช่างเถอะ ก็แค่เชื่อฟังจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้วอย่างไร เซี่ยเฟยหัวเราะเจื่อนหนึ่งครา กล่าว “ทั้งหมดตามแต่ที่จวิ้นจู่ว่า”
เสิ่นเวยยกมุมปากอย่างพอใจ กล่าวปลอบ “หัวหน้าเซี่ยเจ้าเองก็อย่าคิดมาก ตัวข้าจวิ้นจู่กับท่านจวิ้นอ๋องไม่ได้มีเจตนาจะสอดมือเข้ามายุ่งในกลุ่มมือสังหาร เพียงแค่พึ่งพาอาศัยกันไว้ดีกว่าแก้ก็เท่านั้นเอง จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นหัวหน้าเซี่ยที่ได้ผลประโยชน์เยอะยิ่งกว่า”
เซี่ยเฟยคิดใคร่ครวญ ขอเพียงแค่สามีภรรยาโหดเ**้ยมคู่นี้ไม่สอดมือเข้ามายุ่งในธุรกิจของกลุ่มมือสังหาร เช่นนั้นการยอมรับก็ง่ายยิ่งขึ้นแล้ว คิดกลับกัน ยังคงเป็นอย่างที่จยาฮุ่ยจวินจู่ว่าไว้จริงๆ ฝั่งตนได้ผลประโยชน์เยอะยิ่งกว่า อย่างไรเสียมีผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครปกป้อง หลังจากนี้ลู่ทางของพวกเขาก็จะสะดวกมากขึ้น
“เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราร่วมมือกันอย่างมีความสุข!” เสิ่นเวยมองเซี่ยเฟยยิ้มแย้มเบิกบาน รู้ว่าเขาคิดดีแล้ว ในใจก็ดีใจอย่างถึงที่สุด ให้ตายเถอะ นี่ถือเป็นการที่ขุนนางกับโจรสมคบคิดกันหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น