ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 266-269
ตอนที่ 266 ไข่อสูร
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ครั้งนี้เผ่าเจ้าสมุทรได้ถอยไปแล้ว และผู้อาวุโสของเผ่าเจ้าสมุทรก็ลงมือโดยไม่สนข้อตกลงที่ให้ไว้ พวกเราต้องป้องกันไว้ก่อน” เย่เทียนเหมยกล่าว
“อืม! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา พวกเราแต่ละนิกายต้องปรึกษาหารือกันเล็กน้อย” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทั้งสองส่งเสียงไปปรึกษากับผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ที่อยู่ในเมือง จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ถอนทัพกลับไป
กองกำลังพันธมิตรของแต่ละนิกายค่อยๆ ปล่อยเรือเหาะ รถเหาะออกมา และหาศพคนในนิกายจากสนามรบ จากนั้นก็นำกลับเมืองยักษ์
แม้ว่าศึกในครั้งนี้จะใช้เวลาไม่ค่อยนานมาก แต่จำนวนศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตก็มีหลายร้อยคน ทำให้คนที่ค่อนข้างสนิทกับผู้ตายมีสีหน้าเศร้าสลดขึ้นมา
พอกลับถึงเมือง อาจารย์อาเยี่ยนก็ไม่ได้เค้นถามว่าหลิ่วหมิงใช้วิธีการอะไรต้านทานการโจมผู้อาวุโสร่างผอมแห้งไว้ได้ แต่กลับกำชับเขาสองสามประโยค จากนั้นก็รีบไปรวมตัวกับผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ
หลิ่วหมิงก็ยิ่งไม่มีกะจิตกะใจจะรับมือกับคนอื่นๆ หลังจากทักทายคนในนิกายแล้ว ก็รีบกลับไปที่พักของตนเอง
พอนั่งขัดสมาธิลงในห้องหิน เขาก็รีบถอดเสื้อออก เผยให้เห็นเกราะหนังเกล็ดมังกรที่แบบติดกับกล้ามเนื้อ
ด้านหลังของเขา มีรอยเว้าลึกหลายชุ่นตรงเกล็ดสีแดงที่อยู่ตรงตำแหน่งของหัวใจ และสีดำตรงส่วนด้านล่างของเกราะหนังก็นูนขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงใช้พลังจิตสัมผัสดูตรงหลังเแล้ว ก็แสยะปากออกมาอย่างอดไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าถ้าไม่มีเกราะเกล็ดมังกรตัวนี้ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
การโจมตีแบบไม่ใส่ใจของผู้อาวุโสระดับผลึก มีอานุภาพน่ากลัวถึงเพียงนี้ มิน่าล่ะแต่ละนิกายถึงเอาระดับนี้มาเป็นจุดยืนของนิกาย
และเพราะการสังหารอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรที่ชื่อลี่ซาในก่อนหน้านั้น ทำให้เขาถูกผู้ฝึกฝนระดับนี้จับตามอง คิดดูๆ แล้วมันน่าขนลุกยิ่งนัก
ดีที่ตอนนี้แต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรเป็นศัตรูกัน และมีอาจารย์อาเยี่ยนกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ อยู่ด้วย ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ จึงไม่อาจทำอะไรเขาได้โดยง่าย
ต่อไปเขาก็แค่ระมัดระวังตัวในการทำศึกครั้งหน้าให้มากหน่อย คงจะไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับนี้เพียงลำพัง
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เงียบๆ จิตใจเริ่มสงบขึ้นมา และหยิบยันต์สีเขียวแปะตรงหลังทันที
แสงสีขาวหมุนวนอยู่ตรงรอยดำๆ จนมันยุบไปอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็กลับมาเกือบเป็นปกติ
แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่แผลภายนอกเท่านั้น แม้ไม่ต้องใช้ยันต์สมานแผล ก็เชื่อว่าอาศัยแค่ร่างกายที่แข็งแกร่ง ก็สามารถหายได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องยุ่งยากที่แท้จริงก็คือเขาได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงจากการโจมตีนี้
การบาดเจ็บแบบนี้ ต่อให้มีโอสถคอยช่วย และใช้เวลาสิบกว่าวันก็ไม่อาจรักษาให้หายได้เป็นปกติ
หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขาหยิบโอสถออกมาใส่ปากหลายเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อออกมา
แสงสีดำสองกลุ่มม้วนตัวออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว มันก็กลายเป็นกำไลแขนสีดำที่มีเปลือกหอยเลี่ยมฝังอยู่จำนวนสองอัน และลอยอยู่กลางอากาศด้านหน้าอย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงยื่นมือหยิบกำไลอันหนึ่งลงมาสังเกตเล็กน้อย และส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบ
“เอ๊ะ!”
หลิ่วหมิงอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ แต่ต่อมาก็ตบลงบนกำไลทันที
“ฟู่!”
แสงสีฟ้าม้วนตัวออกมา สิ่งของจำนวนมากกองอยู่ตรงหน้า ส่วนมากเป็นหินจิตวิญญาณระดับกลางถึงสูง ซึ่งล้วนมีสีฟ้าอ่อนๆ กับเปลือกหอยหลากสี ส่วนที่เหลือกลับเป็นยันต์และขวดโอสถจำนวนหนึ่ง และยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่สร้างมาจากกระดูกอสูรอยู่หลายชิ้น ทั้งหมดต่างก็มีขนาดแตกต่างกันไป
แต่ที่เตะตาที่สุดในนั้นกลับเป็นไข่อสูรไม่ทราบชื่อที่มีขนาดเท่ากำปั้นใบหนึ่ง พื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสีม่วงแดง และแผ่กลิ่นไอกดดันแบบขาดๆ หายๆ ออกมา มองก็รู้ว่ามันไม่ใช่อสูรจิตวิญญาณทั่วไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเช่นกัน เขายื่นมือข้างหนึ่งออกไป และดูดไข่อสูรสีม่วงมาไว้ในมืออย่างมั่นคง
แต่พริบตาที่นิ้วทั้งห้าสัมผัสกับไข่อสูร ก็พลันมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ไหมสายฟ้าสีม่วงพุ่งออกจากไข่
แม้จะดูไม่เตะตา แต่มันยังคงทำให้ฝ่ามือของเขารู้สึกชาขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงทันที
ไข่อสูรนี้เป็นไข่อสูรจิตวิญญาณประเภทสายฟ้า ด้วยเหตุนี้เพียงแค่มันไม่มีพลังแฝงที่ต่ำจนเกินไป มูลค่าของมันคงสูงจนยากจะคาดเดาได้
และเขาเพิ่งก็เห็นสายฟ้าสีม่วงเป็นครั้งแรก
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงประคองไข่อสูรสีม่วง สีหน้าเขาดูไม่ดีขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน กองกำลังบนอากาศทางด้านที่เผ่าเจ้าสมุทรถอยทัพกลับไป บนรถเหาะประณีตงดงามคันหนึ่งที่มีมัจฉาบินสีเงินเก้าตัวลากอยู่ ชายเผ่าเจ้าสมุทรบุคลิกภูมิฐานสวมเกราะสีฟ้า กำลังกล่าวกับผู้อาวุโสร่างผอมแห้งด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม
“ที่แท้พี่ลี่ก็องอาจห้าวหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ครั้งนี้ท่านกล้าบุกเข้ามาในกองกำลังของมนุษย์ และต้องเผชิญกับผู้อาวุโสระดับผลึกสองท่านที่มีการฝึกฝนระดับเดียวกัน หนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียง จุ๊ๆ! ถ้าเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป ไม่แน่อาจทำให้ชื่อเสียงของพี่ลี่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยก็ได้”
“สหายอวี๋ ท่านกำลังประชดข้าหรอกหรือ!” เดิมทีผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็มีสีหน้าไม่ดีอยู่แล้ว พอได้ยินนี้ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก
“เฮ่อๆ! ข้าจะกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร แต่จะว่าไปแล้ว กะอีแค่หลานชายเสียชีวิตไปหนึ่งคน มันทำให้ท่านถึงกับยั้งสติไม่อยู่เชียวหรือ ถึงได้เสี่ยงอันตรายไปจัดการกับอาจารย์จิตวิญญาณแค่คนเดียว ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลานชายที่แท้จริงของท่านมีราวๆ สามสิบถึงสี่สิบคน หรือไม่ก็สิบเจ็ดสิบแปดคนขึ้นไป” ชายชุดเกราะสีฟ้าปราดตามองผู้อาวุโสทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“ฮึ! เจ้าจะรู้อะไร ลี่ซาไม่เหมือนกับหลานคนอื่นๆ เขาไม่เพียงแต่จะมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีโดยกำเนิด แต่ยังมีพรสวรรค์ในการเปลี่ยนรูปแบบสิ่งของด้วย และยังมีพลังไร้ขีดจำกัด เขาเป็นหนึ่งในหลานที่มีโอกาสทะลวงเขตแดนระดับผลึกสำเร็จมากสุด” ดวงตาผู้อาวุโสร่างผอมแห้งค่อยๆ เป็นประกายออกมา แต่ก็กล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่ลี่ไม่ต้องปิดบังข้า ต่อให้ลี่ซาจะเป็นหลานแท้ๆ คนสำคัญของท่าน แต่สำหรับพวกข้าก็แค่ให้ความสำคัญเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตามคงไม่ถึงกับต้องให้ข้ากับเจ้าต้องเสี่ยงอันตรายลงมือเองหรอกนะ เจ้าลงมือในครั้งนี้อาจถูกฝั่งมนุษย์โจมตีกลับได้ หากทำลายแผนการใหญ่ที่พวกเราวางไว้ในก่อนหน้า ใครจะรับผิดชอบเรื่องนี้ได้” ชายชุดเกราะสีฟ้าได้ยินก็ตีหน้าขรึมออกมา
“สหายอวี๋ เจ้ากำลังข่มขู่ข้า?” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้ยินเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเย็นยะเยือกออกมา
“ไม่อาจกล่าวได้ว่าข่มขู่ แต่ข้าแปลกใจที่พี่ลี่ทำเช่นนี้มาก อย่างที่รู้กันว่า เพื่อแผนการบุกรุกแผ่นดินอวิ๋นชวนในครั้งนี้ พวกเราหลายเผ่าได้เตรียมการมาหลายร้อยปีแล้ว ข้าไม่ยอมให้เรื่องผิดปกติใดๆ ส่งผลกระทบต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวอย่างเด็ดขาด แต่ข้าไม่ใช่คนเผ่าเกล็ดเงิน ย่อมไม่อาจควบคุมพี่ลี่ได้ แต่คิดว่าคำพูดที่ผู้อาวุโสของเผ่าท่านพูดคงจะควบคุมท่านได้” ชายสวมเสื้อเกราะสีฟ้าเลิกตีหน้าขรึม และกล่าวอย่างสงบ
ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเขียวปัด ขณะเดียวกัน ตาทั้งคู่ของเขาก็จ้องมองชายเสื้อเกราะสีฟ้าพร้อมสะบัดแขนเสื้อกุมมือคารวะ และทำท่าจะเดินจากไปด้วยความโมโหอย่างสุดขีด
แต่ชายเสื้อเกราะสีฟ้ากลับไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่จ้องมองอย่างเฉยเมยโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“ได้! นับว่าเจ้าชนะ แต่เจ้าฟังเรื่องนี้แล้ว ทางที่ดีควรเก็บไว้ในใจ มิเช่นนั้น ข้าคงต้องขอคำชี้แนะวิชาจากสหายอวี๋แล้ว” ในที่สุดผู้อาวุโสร่างผอมแห้งก็เอ่ยปากออกมา
“พี่ลี่วางใจเถอะ! เพียงแค่เรื่องมันไม่พัวพันถึงแผนการใหญ่ของเรา ข้าย่อมรักษาความลับไว้อย่างแน่นอน” ชายชุดเกราะสีฟ้าได้ยินเช่นนี้ ก็โปรยยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสมองจ้องมองรอยยิ้มของสหายด้วยความกลัดกลุ้มใจ ผ่านไปไม่นานถึงได้ค่อยๆ กล่าวออกมา
“บนตัวของหลานคนนี้ มีไข่อสูรพลังอัสนีของเผ่าเกล็ดเงินเราที่อสูรประหลาดได้ไข่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้”
“อะไรนะ! ไข่เทพอสูรของนิกายท่าน! ทั้งยังมีพลังอัสนีอีกด้วย! หรือว่าท่านบ้าไปแล้ว?” พอชายชุดเกราะสีฟ้าที่เดิมทีโปรยยิ้มอยู่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็เกือบจะกระโดดไปด่าผู้อาวุโส
“เจ้าตื่นเต้นอะไรกัน! แม้ว่าจะเป็นไข่เทพอสูรกลายพันธุ์ แต่ก็ไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่กำเนิด โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถฟักออกมาได้ อย่างมากสุดก็นำมาปรุงโอสถ ที่ข้าให้ลี่ซายืม เพื่อกะจะพึ่งพลังอัสนีที่เกิดจากไข่ใบนี้ดูว่า เขาสามารถควบคุมพลังสายฟ้าได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหรือไม่ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าโง่นี่จะถูกอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นของเผ่ามนุษย์ผู้นี้สังหาร แม้แต่ไข่เทพอสูรก็ถูกยึดไปด้วย ข้าจึงต้องเสี่ยงลงมือเพื่อแย่งชิงมันกลับมา” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอธิบายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้ก็เป็นไข่กลายพันธุ์ที่ตายไปแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงๆ มิเช่นนั้นภายหน้าเผ่าของท่านคงมีสิ่งที่มีพลังเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพิ่มขึ้นมา แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้เป็นไข่อสูรที่ตายแล้ว มันก็ยังมีค่าเป็นอย่างมาก ถ้าใช้ถูกวิธีล่ะก็ ล้วนมีผลดีต่อผู้ฝึกฝนระดับพวกเรา เจ้าวางใจเถอะ! ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น จะต้องช่วยท่านรักษาความลับอย่างแน่นอน แต่ดูจากท่าทีของพี่ลี่แล้วคงไม่ยอมปล่อยเจ้าเด็กนั้นไปอย่างง่ายดาย และต้องนำไข่เทพอสูรกลับมา พอถึงเวลานั้นต้องการให้ข้าช่วยท่านอีกแรงหรือไม่?” ชายชุดเกราะสีฟ้าฟังจบก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง และถามกลับไปด้วยรอยยิ้ม
“แค่อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่ามนุษย์คนหนึ่ง สหายคิดว่าข้าต้องอาศัยพลังจากผู้อื่นอีกหรือ?” คิ้วของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตั้งตรงขึ้นมา และกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ! ขออภัยที่ข้าพลั้งปากไป หวังว่าพี่ลี่จะทำสำเร็จ” ชายชุดเกราะสีฟ้าหัวเราะ และกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอุทาน “ฮึ!” ออกมา และไม่พูดอะไรอีก
……
บ้านหินในเมืองยักษ์ของเผ่ามนุษย์ หลิ่วหมิงวางไข่เทพอสูรสีม่วงลงในกล่องหยกที่เปล่งแสงแวววาว หลังจากปิดฝาแล้ว ก็แปะยันต์ลงไปหลายผืน
จากการตรวจสอบในก่อนหน้า แม้เขาจะไม่สามารถวินัจฉัยได้ว่าเป็นไข่ของเทพอสูรแบบใด แต่กลิ่นไอการมีชีวิตรอดของมันดูอ่อนแอมาก ซึ่งเขาสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้ยันต์ปิดผนึกไข่เทพอสูรไว้ รอมีโอกาสค่อยหาคนมาตรวจสอบดูว่า มันคุ้มค่าที่เขาจะใช้พลังจำนวนมากช่วยให้มันฟักออกมาหรือไม่
……………………………………….
ตอนที่ 267 กองกำลังสนับสนุน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ส่วนของที่อยู่ในกำไลอีกอัน ล้วนเป็นสิ่งของธรรมดาเท่านั้น ซึ่งมีหินจิตวิญญาณ โอสถ และแท่งกระดูกที่เขาเคยเห็นในก่อนหน้านั้น ซึ่งไม่ค่อยมีค่ามากนัก
อย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็ค่อนข้างพอใจกับสมบัติของอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้เป็นอย่างมาก
อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่หินจิตวิญญาณระดับกลางถึงสูงก็มีมากถึงสองแสนกว่าหินจิตวิญญาณ ทำให้เขารู้สึกสบายมือไปช่วงเวลาหนึ่ง
นี่ก็แปลก ต่อให้อาจารย์จิตวิญญาณสองคนไม่ได้พกสมบัติติดตัวมาทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปจะเปรียบเทียบได้
เวลาต่อมา เขาหลับตาทั้งคู่ลง มือทั้งสองทำท่ามือกระตุ้นพลังของโอสถเพื่อเริ่มทำการรักษาบาดแผล
ในขณะเดียวกัน ข่าวเรื่องอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรสองคนที่หลิ่วหมิงสังหารในสนามรบ ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลาง และเรื่องที่เขาสามารถเอาชีวิตรอดจากผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรได้ ก็ถูกเล่าลือไปทั่วเมืองยักษ์
ศิษย์นิกายปีศาจพูดถึง ‘อาจารย์อาหลิ่ว’ กับศิษย์นิกายอื่นๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
ศิษย์นิกายอื่นๆ ส่วนมากเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บางส่วนก็ไม่เชื่อเลย
แต่พอสองวันผ่านไป ตรงป้ายประกาศแต้มคุณูปการ หลิ่วหมิงติดอยู่อันดับหนึ่งด้วยแต้มคุณูปการสามพันแต้ม ทำให้แต่ละนิกายรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
นี่ไม่ใช่ว่าคนอื่นๆ ไม่มีความสามารถในการสังหารอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในระดับเดียวกัน แต่พวกเขาเคยแสดงพลังในศึกก่อนหน้านั้นแล้ว เผ่าเจ้าสมุทรที่อ่อนแอย่อมไม่ยอมมาตายง่ายๆ อย่างแน่นอน
อีกอย่าง ถ้าเป้าหมายของพวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์ที่มีระดับสูงกว่ามาก พวกเขาย่อมส่งคนที่สามารถควบคุมได้มาจับตามองโดยเฉพาะ
ศึกใหญ่ในครั้งก่อน พอจางซิ่วเหนียงปรากฏตัว ก็ถูกผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางสองคนที่ชำนาญวิชาป้องกันมาก่อกวน ต่อให้วิชากระบี่ของนางจะแหลมคมแค่ไหน ก็ไม่อาจทำลายการรวมพลังของทั้งสองได้
แน่นอน นางสามารถตรึงเผ่าเจ้าสมุทรระดับของเหลวขั้นกลางสองคนไว้ได้ นับว่าได้สร้างผลงานยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับหลิ่วหมิงที่สังหารฝ่ายตรงข้ามไปสองคนแล้ว มันยังต่างกันมากนัก
ในช่วงเวลานี้ เรื่องที่หลิ่วหมิงชำนาญวิชากระบี่ และเรื่องที่แลกมือกับจางซิ่วเหนียงโดยที่ยังไม่เคยพ่ายแพ้ ก็ถูกพูดออกมาจากปากใครบางคน
ชั่วเวลาเดียว ชื่อเสียงของหลิ่วหมิงก็เป็นที่รู้จักในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณและอาจารย์จิตวิญญาณ
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนขนานนามเขากับจางซิ่วเหนียงว่าเป็นศิษย์คู่แห่งต้าเสวียน และยอมรับว่าพลังของเขาอยู่ในระดับเดียวกับจางซิ่วเหนียงอย่างเต็มภาคภูมิ
หลิ่วหมิงไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเก็บตัวรักษาตัวอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด
ในช่วงระหว่างเวลานี้ เผ่าเจ้าสมุทรส่งกองกำลังมาโจมตีเมืองยักษ์อีกครั้ง
แต่หลิ่วหมิงยังไม่ทันออกจากการเก็บตัว ก็ได้รับข่าวจากประมุขนิกายปีศาจว่าให้เขาอาศัยอยู่ในที่พัก และอย่าได้สนใจศึกใหญ่นี้
ส่วนเหตุผลนั้น หนึ่งเป็นเพราะว่าเขายังบาดเจ็บอยู่ สองแต้มคุณูปการที่เขาได้สร้างไว้มีมากพอแล้ว จึงไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายอีก เพียงแค่เตรียมตัวในการเผด็จศึกให้ดีก็พอ
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจที่ได้รับข่าวนี้ แต่ก็ไม่คิดที่จะฝ่าฝืนแต่อย่างใด
เวลาในระยะสองเดือน หลังจากบาดแผลเขาหายดีแล้ว ก็รีบฝึกฝนวิชาขี่กระบี่อย่างเงียบๆ
เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม มีแค่วิชานี้เท่านั้นที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้เขาได้รวดเร็วที่สุด และมีความเชื่อมั่นในการเผด็จศึกมากที่สุด
ส่วนแต้มคุณูปการที่เขาได้รับ เป็นรางวัลจากแต่ละนิกายที่ร่วมมือกันต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทร ด้วยเหตุนี้ของที่สามารถแลกได้ จึงเป็นของที่แต่ละนิกายรวบรวมมา ซึ่งมีมากมายร้อยแปดพันเก้า มีทั้งอาวุธจิตวิญญาณ เคล็ดวิชา โอสถ และยันต์ต่างๆ เป็นต้น
หลิ่วหมิงใช้แต้มคุณูปการเหล่านี้ แลกโอสถที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณมาทาน เพื่อเพิ่มพลังเวทย์ให้ก้าวไปอีกขั้นในช่วงเวลาที่เหลือนี้ จนดูเหมือนว่าพลังเวทย์ของเขาจะห่างจากระดับของเหลวขั้นกลางไม่ค่อยมากแล้ว
ในระหว่างเวลานี้ เขาออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว ทำให้ทราบว่าผู้ฝึกระดับผลึกของแต่ละนิกายได้ทำศึกใหญ่กับผู้ฝึกระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรตรงพื้นที่บริเวณนี้สักแห่งอีกครั้ง
แม้ครั้งนี้จะตกเป็นเบี้ยล่างเพราะจำนวนคนน้อยกว่า แต่ภายใต้สถานการณ์ที่แต่ละนิกายใช้ของล้ำค่าในการต้านทานฝ่ายตรงข้าม จึงทำให้ไม่ถูกโจมตีจนแตกกระเจิง
ด้วยข้อตกลงที่ว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกห้ามเข้าร่วมทำศึก จึงได้แต่คอยทำการสนับสนุนเท่านั้
แต่ฟังจากน้ำเสียงก่อนจากไปของเผ่าเจ้าสมุทร เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยพอใจผลลัพธ์ในครั้งนี้ อีกไม่นานคงจะมีการท้าสู้ของผู้ฝึกฝนระดับผลึกเกิดขึ้น
วันนี้ หลิ่วหมิงกำลังฝึกฝนอยู่ในบ้านหิน และพลันได้ยินเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจดังมาจากด้านนอก เขาจึงเดินออกไปดูทันที
ท้องฟ้าและบนกำแพง เต็มแน่นไปด้วยศิษย์แต่ละนิกาย แต่ละคนล้วนดูตื่นเต้นผิดปกติ และชี้ไปทิศทางบางแห่งอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ และขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า จนเมื่ออยู่สูงจากพื้นร้อยกว่าจั้งถึงหยุดอยู่กลางอากาศแล้วมองไปยังทิศทางบางแห่ง
ท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ มีเรือยักษ์หลากสีจำนวนมาก แต่ละลำยาวร้อยกว่าจั้ง ซึ่งมีทหารชุดเกราะยืนอยู่เต็มไปหมด
บริเวณฝูงเรือ มีรถเหาะและวิหคจิตวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก บนนั้นมีผู้ฝึกฝนสามถึงห้าคนยืนอยู่เป็นกลุ่ม และพุ่งมาทางเมืองยักษ์
“ฮ่าๆ เห็นสัญลักษณ์สีเงินบนเรือยักษ์ลำนั้นหรือยัง? นั่นคือสัญลักษณ์ของนิกายแสงคุณธรรม ได้ยินมาว่าในนิกายมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายเจ็ดคนที่ได้รับการขนานนามว่าเจ็ดแสงคุณธรรม แต่ละคนล้วนมีพลังแฝงของผู้ฝึกฝนระดับผลึก”
“หญิงสาวที่ปิดหน้าทั้งหมด คิดว่าคงเป็นนิกายหมื่นมหัศจรรย์ ได้ยินมาว่านิกายนี้รับแต่ศิษย์ที่เป็นผู้หญิง แต่ละคนล้วนงดงามและเชี่ยวชาญวิชา ไม่รู้ว่ามีศิษย์ชายในแผ่นดินใหญ่จำนวนเท่าไหร่ที่อยากแต่งกับพวกนาง”
“นี่นับประสาอะไรล่ะ เจ้าดูคนสวมชุดเกราะดำบนเรือเหล็กสีดำลำนั้นเถอะ! นั่นคงเป็นศิษย์นิกายหยวนหมัวที่เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดินอวิ๋นชวน ได้ยินมาว่าในนิกายมีศิษย์ที่มีชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์ อายุยังไม่ถึงสามสิบก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นกลางแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังในการสังหารอย่างน่าตกใจ ว่ากันว่าเป็นผู้ที่มีพลังแฝงมากที่สุดในแผ่นดินอวิ๋นชวนของเรา และได้ยินมาว่าผู้อาวุโสอันดับหนึ่งของนิกายหยวนหมัว ก็เป็นผู้มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งของแผ่นดินอวิ๋นชวนเรา ตอนนี้ฝึกฝนจนถึงขั้นแก่นเสมือนของระดับผลึกแล้ว ห่างจากขั้นแก่นแท้เพียงก้าวเดียวเท่านั้น”
“กล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าถ้ามีทั้งสามนิกายคอยช่วย แคว้นต้าเสวียนของเราก็หายห่วงแล้ว”
……
หลิ่วหมิงยืนอยู่ไม่ไกลจากศิษย์นิกายปีศาจที่กำลังพูดคุยด้วยความตื่นเต้น ประจักษ์ชัดว่ากองกำลังสนับสนุนในครั้งนี้ แข็งแกร่งกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก จะต้องเผด็จศึกได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะนี้ มีเสียงราบเรียบของผู้หญิงดังมาจากเมืองยักษ์
“ครั้งนี้แคว้นต้าเสวียนได้รับความช่วยเหลือจากสหายนิกายหยวนหมัว นิกายหมื่นมหัศจรรย์ และนิกายแสงคุณธรรม ข้าเหลิ่งเยวี่ยขอเป็นตัวแทนของนิกายจันทราสวรรค์กล่าวขอขอบคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้”
“เอ๋! คือสหายเหลิ่งเยวี่ย! ได้ยินว่าสหายถูกลอบทำร้ายจนต้องนอนอยู่บนเตียงไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้ถึงได้…….” เสียงก้องกังวานดังมาจากเรือยักษ์ลำหนึ่ง
“ท่านคือสหายเฮ่อเจียนจากนิกายหยวนหมัวใช่ไหม ก่อนหน้านั้นข้าถูกคนลอบทำร้ายจริงๆ แต่ผ่านการรักษามาหลายวัน ตอนนี้ไม่เป็นอะไรไรมากแล้ว” ผู้ที่กล่าวออกมาคือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่จากนิกายจันทราสวรรค์นั่นเอง
“ฮ่าๆ! ดีมาก มีสหายเหลิ่งเยวี่ยหวนคืนกลับมาล่ะก็ เชื่อว่าพวกเราคงจัดการเผ่าเจ้าสมุทรได้อย่างไม่มีปัญหา” เฮ่อเจียนได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะก่อนกล่าวออกไป
จากนั้นฝูงเรือก็บินเข้ามาด้วยเสียงอันดัง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่
เวลาต่อมา มีศิษย์สามนิกายปรากฏตัวขึ้นในเมืองยักษ์ ทำให้ภายในเมืองดูแน่นขนัดภายในพริบตา ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกฝนระดับสูงของทั้งสามนิกายกับนิกายอื่นๆ ก็หารือเรื่องการรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรในคืนนั้น และไม่นานก็ได้รายละเอียดออกมา
เช้าวันที่สอง แต่ละนิกายก็ส่งทูตมาหนึ่งคน เพื่อนัดแนะเผ่าเจ้าสมุทรให้ทำศึกครั้งสุดท้ายในอีกสามวันให้หลัง
ที่เหนือความคาดหมายของแต่ละนิกายก็คือ เผ่าเจ้าสมุทรกลับตกปากรับคำในทันที โดยไม่ได้หวาดกลัวศึกในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย
กลางหอใหญ่ในเมืองยักษ์ ผู้อาวุโสระดับผลึกรวมตัวกันที่นั่น พวกเขากำลังฟังคำตอบและปฏิกิริยาของเผ่าเจ้าสมุทรจากฑูตที่เพิ่งกลับมา
“กล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้ลังเลต่อศึกในครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย และยังมีท่าทีดีใจด้วยซ้ำ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยตาทั้งคู่ที่เป็นประกาย
“เผ่าเจ้าสมุทรพวกนี้คิดจะทำอะไรกัน รู้ทั้งรู้ว่าพวกเรามีกองกำลังสนับสนุน แต่กลับตอบรับด้วยความสบายใจเช่นนี้ คงไม่มีลับลมคมในหรอกนะ” ผู้อาวุโสหลิงอวี้แห่งหุบเขาเก้าช่องลูบหนวดด้วยท่าทีสงสัย
“ปฏิกิริยาของเผ่าเจ้าสมุทรช่างน่าสงสัยจริงๆ! แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราได้ส่งคำท้าศึกไปแล้ว ย่อมไม่อาจถอยได้ แต่เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด คงต้องพินิจพิเคราะห์ให้ดีว่าจะไปสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรอย่างไร” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำที่ดูกระฉับกระเฉงค่อยๆ กล่าวออกมา
และผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น นอกจากจะมีผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายกับผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว ยังมีหญิงเสื้อม่วง ใบหน้าเพริศพริ้ง กับชายฉกรรจ์สีหน้าโหดเหี้ยม สวมเกราะดำ ผิวหนังสีน้ำตาลเข้ม ตาทั้งคู่เป็นประกาย
“สหายกู้ฉางเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง ศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรครั้งนี้ ตัดสินความปลอดภัยของแคว้นต้าเสวียนเรากับแคว้นอื่นๆ เสียดายที่ศิษย์พี่หยวนได้เก็บตัวความเป็นความตายไปเมื่อหลายสิบปีก่อนแล้ว จึงไม่อาจออกเดินทางมากับกองกำลังสนับสนุนได้ มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่ต้องห่วงเช่นนี้ ด้วยพลังของศิษย์พี่ เพียงพอที่จะกวาดล้างชนเผ่าน้อยใหญ่ของเผ่าเจ้าสมุทรได้” ชายฉกรรจ์ใบหน้าโหดเหี้ยมสวมเกราะดำหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ข้าได้ยินชื่อเสียงผู้แข็งแกร่งของนิกายท่านมานานแล้ว ซึ่งสืบทอดสัญลักษณ์หยวนหมัวมาจนถึงรุ่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังเคยโจมตีผู้อาวุโสระดับผลึกที่ร่วมมือกันห้าคนภายในอึดใจเดียว ด้วยเหตุนี้จึงถูกนิกายในแผ่นดินใหญ่ยกให้เป็นหนึ่งในแผ่นดินอวิ๋นชวน น่าเสียดายที่ข้าบรรลุระดับผลึกช้าไปหน่อย จึงไม่ได้เห็นราศีของสหายหยวนหมัวในปีนั้น ข่างน่าเสียดายจริงๆ แต่สหายเฮ่อรู้หรือไม่ว่า เหตุใดศิษย์พี่ท่านได้เก็บตัวความเป็นความตาย?” เย่เทียนเหมยที่อยู่ข้างเหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวออกมาด้วยความสงสัย
“ก่อนศิษย์พี่เก็บตัว ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ในเมื่อเป็นการเก็บตัวความเป็นความตาย คิดว่าถ้าไม่ใช่ใกล้อายุขัย คงเป็นเพราะรับรู้ได้ว่าอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อของการทะลวง จึงเตรียมตัวเพื่อทำการทะลวงอีกครั้ง แต่ศิษย์พี่หยวนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ คาดว่าคงเป็นอย่างหลังมากกว่า” ชายฉกรรจ์เกราะดำรีบตอบกลับอย่างทระนงองอาจ
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ กลับมีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้
……………………………………….
ตอนที่ 268 จู่โจม
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หรือว่าสหายหยวนหมัวทะลวงคอขวดระดับแก่นเสมือนแล้ว และกำลังทดลองทำผลึกให้เป็นแก่นอยู่” ครั้งนี้กลับเป็นผู้อาวุโสหลิงอวี้จากหอสายธารโลหิต ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก
“เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ที่พูดออกไปในก่อนหน้านั้น เป็นแค่การคาดเดาของข้า สหายทุกท่านอย่าได้จริงจังไปเลย” เฮ่อเจียนหาวและกล่าวออกมา
คนอื่นๆ กลับมองหน้ากัน มีไม่กี่คนที่ไม่เชื่อคำพูดของชายฉกรรจ์เกราะดำ
“เอาล่ะ! ต่อให้สหายหยวนจะมีความหวังในการทำผลึกให้เป็นแก่นแท้ และกลายเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตำนาน ก็ไม่อาจมาช่วยพวกเราได้ทัน พวกเราต้องเอาชนะกองทัพเผ่าเจ้าสมุทรในศึกนี้ และคงต้องให้สหายร่วมมือร่วมแรงกัน” ในที่สุดเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แน่นอนอยู่แล้ว! ขอพูดตามจริง ครั้งนี้กองกำลังสนับสนุนในแผ่นดินของพวกข้า ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มาแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าค่อนข้างจะน้อยกว่ากลุ่มนั้นมาก ซึ่งมาแค่พวกเราสามนิกาย ส่วนอีกกลุ่มคือนิกายเอกะกับนิกายใหญ่น้อยอีกสิบสามนิกาย ร่วมมือกันส่งกองกำลังสนับสนุนมา ลำพังแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็มีมากว่าเจ็ดคนแล้ว เพียงแค่ทางด้านต้าเสวียนประคองสถานการณ์ไว้ได้พวกเราก็ไม่แพ้แล้ว พอกองกำลังจากอีกด้านกวาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรฝั่งนั้นจนเกลี้ยง และกลับมาเสริมพวกเรา เผ่าเจ้าสมุทรฝั่งนี้ก็จะแพ้โดยปริยาย ดังนั้นข้าคิดว่าศึกในครั้งนี้ ควรจะปลอดภัยไว้ก่อน” หญิงเสื้อม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านเซียนกล่าวไม่ถูกต้อง! พวกเราเผชิญกับเผ่าเจ้าสมุทรที่โหดร้ายเช่นนี้ จะฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่สนามรบอีกแห่งได้อย่างไร ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดกับศึกครั้งนี้ล่ะจะทำอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราต้องทุ่มเทพลังทั้งหมด อย่าได้ออมมือเป็นอันขาด” เย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วกล่าวออกมา
“ในเมื่อน้องเย่กล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แต่ศิษย์นิกายหมื่นมหัศจรรย์ของเราส่วนมากไม่ชำนาญการต่อสู้แบบซึ่งหน้า ข้าไม่อาจนั่งดูดายให้ศิษย์ในนิกายบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้จะกลับไปอธิบายกับนิกายอย่างไรดี” หญิงงามชุดม่วงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
พอคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้อาวุโสหลิงอวี้และคนอื่นๆ ก็คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“วางใจเถอะ! ถ้าเป็นการต่อสู้แบบเผชิญหน้าล่ะก็ มอบให้นิกายหยวนหมัวของพวกเราเถอะ ศิษย์นิกายเราชอบการสังหารมากที่สุด นิกายหมื่นมหัศจรรย์ของพวกเจ้าเชี่ยวชาญการซ่อนตัว พอถึงเวลานั้นก็ให้ความมือกับศิษย์นิกายเราก็พอแล้ว” เฮ่อเจียนโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หญิงชุดม่วงได้ยินก็ตกปากรับคำไปตามน้ำ
“แม้นิกายแสงคุณธรรมของเราจะไม่ชำนาญการสังหารเหมือนกับนิกายหยวนหมัว แต่ค่อนข้างมั่นใจการเสริมแรงกับการใช้ค่ายกล เชื่อว่าพอถึงเวลาคงให้บทเรียนที่ยากจะลืมเลือนกับเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นได้” กู้ฉางเฟิงแห่งนิกายแสงคุณธรรมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สหายเฮ่อ! พลังของศิษย์ในนิกายพวกท่านทั้งสาม ต่างก็เสริมกันและกันได้พอดี บวกกับยังไม่เคยร่วมมือกับนิกายทั้งห้าเรามาก่อน ก็คิดจะสร้างกองกำลังทำศึกเองโดยไม่ให้นิกายทั้งห้าของพวกเราเข้าร่วมได้อย่างไร พอถึงเวลานั้นนิกายทั้งสามของพวกท่าน เพียงแค่ตรึงกำลังส่วนหนึ่งของเผ่าเจ้าสมุทรไว้ก็พอแล้ว เรื่องการโจมตีกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรนั้น มอบให้นิกายทั้งห้าของเราจัดการเถอะ! แต่ถ้าผู้ฝึกฝนระดับผลึกของฝ่ายตรงข้ามลงมือล่ะก็ หวังว่าท่านจะทั้งสามจะยื่นมือเข้าช่วย” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
อาจารย์อาเยี่ยน และผู้อาวุโสหลิงอวี้ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าได้ทำการหารือเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว
“สำหรับพวกข้าทั้งสามแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา!” เฮ่อเจียนได้ยินก็ตอบรับทันที
หญิงงามชุดม่วงกับกู้ฉางเฟิงก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คิดเช่นนี้เช่นกัน
สำหรับนิกายทั้งสามของพวกเขาแล้ว ถ้าศิษย์ในนิกายต่อสู้เพียงลำพังล่ะก็ อาจถูกนิกายในแคว้นต้าเสวียนใช้เป็นเป้าลูกกระสุน
“น่าเสียดาย! ถ้าครั้งนี้มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามคนล่ะก็ พวกเราคงมีความมั่นใจในการกำชัยชนะมากขึ้น” อาจารย์อาเยี่ยนถอนหายใจกล่าวออกมา
“พี่เยี่ยน ไม่ใช่ว่านิกายของพวกเราไม่ยอมยื่นมือช่วยพวกท่าน แต่พวกเราแต่ละนิกายต่างก็มีศัตรูของตนเอง ถ้าผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกจากนิกายไปจนหมด เกรงว่าคงจะถูกศัตรูโจมตีอย่างแน่นอน เพราะนิกายในแผ่นดินของเราไม่ได้ส่งกองกำลังสนับสนุนมาทุกนิกาย” ครั้งนี้กู้ฉางเฟิงกล่าวด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย
“เหตุผลนี้พวกข้าย่อมเข้าใจ ดังนั้นพวกข้าจึงรู้สึกซึ้งใจที่สหายทั้งสามส่งกองกำลังสนับสนุนมาช่วย เพียงแค่แคว้นต้าเสวียนเราสามารถหนีพ้นด่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกข้าจะต้องจดจำบุญคุณนี้ไว้อย่างแน่นอน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แต่ใครก็ฟังออกว่าคำพูดนี้ออกมาจากใจจริงๆ
อาจารย์อาเยี่ยนและคนอื่นๆ ก็กล่าวขอบคุณด้วยความซึ้งใจเช่นกัน
สำหรับผู้ฝึกฝนระดับพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องสาบานอะไรเลย เพียงแค่แสดงความจริงใจออกมาตรงๆ ก็พอแล้ว
หญิงสาวชุดม่วงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มให้กัน และกล่าวออกมาอย่างสุภาพ
เวลาต่อมา ผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้เริ่มหารือเรื่องแผนการรับมือกับศัตรูในสามวันให้หลัง
เดิมทีพวกเขาได้เตรียมแผนไว้แผนหนึ่งแล้ว แต่พอเห็นปฏิกิริยาของเผ่าเจ้าสมุทรผิดปกติเช่นนี้ ย่อมต้องวางแผนให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดในแผนการนี้
……
สองวันต่อมา คนกลุ่มหนึ่งออกไปจากกำแพงเมืองทางด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง โดยถูกชั้นจำกัดลึกลับบางอย่างปกคลุมไว้ จากนั้นก็ตีแผ่เป็นวงกลมขนาดใหญ่ และเหาะพุ่งไปทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรอย่างระมัดระวัง
คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ ไม่ได้มีแค่หลิ่วหมิง จางซิ่วเหนียง ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเท่านั้น แต่ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณชายหญิงสองคนที่มีกลิ่นไอแข็งแกร่งเป็นผู้นำ ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว ทั้งสองเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายวาตอัคคี และหอสายธารโลหิต ทั้งยังมีระดับฝึกฝนอยู่ที่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลาย
ผู้ชาย สวมชุดคลุมสีเลือด อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ใบหน้าหล่อเหลา ผมขาวเต็มศีรษะ สะพายดาบที่ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นไอที่อึมครึม
หญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง เป็นหญิงงาม ผมสีเขียว รูปร่างงดงาม ไม่เพียงแต่มีสัดส่วนที่ลงตัวเท่านั้น ใบหน้ายังขาวเนียนเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกใจเต้นขึ้นมา
นางถือแผ่นค่ายกลสีทองที่ประณีตเป็นอย่างมาก และปล่อยม่านแสงกึ่งโปร่งแสงออกมาปกคลุมคนทั้งหมดไว้
ถ้ามีคนมองมาจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าม่านแสงนี้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวหาย และเห็นแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น โดยไม่เห็นร่องรอยของคนที่อยู่ในนี้เลยแม้แต่น้อย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป คนทั้งห้าก็มองเห็นทะเลสาบยักษ์ขนาดหลายหมื่นจั้งอยู่ลางๆ
ตรงจุดศูนย์กลางของทะเลสาบ มีคูเมืองยักษ์ที่มีขนาดไม่ด้อยไปกว่าเมืองยักษ์ของนิกายทั้งห้าลอยอยู่ สิ่งก่อสร้างด้านในล้วนเป็นรูปครึ่งวงกลม ทำให้รู้สึกลึกลับเป็นอย่างมาก
บริเวณคูเมืองจะเห็นเงาร่างพร่ามัวของอสูรสมุทรขนาดใหญ่แต่ละตัว และในทะเลสาบยักษ์มีอสูรสมุทรตัวอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก
เหนือทะเลสาบ มีเผ่าเจ้าสมุทรที่ขี่วิหคสมุทรอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาตรวจตราพื้นที่ในระยะสิบกว่าลี้อยู่ตลอดเวลา
ถ้าไม่ใช่ว่าพวกหลิ่วหมิงอยู่ห่างจากทะเลสาบไกลมาก และมีอาวุธซ่อนตัวไว้ล่ะก็ เกรงว่าคงถูกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ค้นพบเข้าแล้ว
ขณะนี้ทั้งหมดได้หยุดการเคลื่อนไหวลง
หญิงสาวชุดเขียวสังเกตดูเกาะยักษ์ที่อยู่ไกลๆ และส่งเสียงให้กับชายหนุ่มผมขาวไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พุ่งลงด้านล่างทันที
คงพวกเขาค่อยๆ เหาะลงไปในป่าแห่งหนึ่ง
หญิงสาวชุดเขียวไม่ต้องพูดอะไร ชายหนุ่มผมขาวก็สะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน กลุ่มแสงสีเหลืองพุ่งออกมา และพริบตาที่หล่นลงพื้น มันก็กลายเป็นตัวนิ่มสีเหลืองที่ยาวหลายฉื่อ
ชายผมขาวที่สวมชุดนิกายหอสายธารโลหิต กล่าวอะไรออกมาโดยไร้สุ้มเสียงไม่กี่ประโยค จากนั้นอสูรตนนี้ก็รีบขุดดินอย่างรวดเร็ว เศษดินจำนวนมากกระเด็นออกมา
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ลงไปอยู่ในโพรงใต้ดินที่ลึกสามสิบกว่าจั้ง
“เอาล่ะ! ตอนนี้คนเผ่าเจ้าสมุทรไม่อาจรับรู้ความเคลื่อนไหมของพวกเราได้ พวกเจ้าเองก็สามารถพูดได้แล้ว” หญิงสาวชุดเขียวเสียบแผ่นค่ายกลสีทองไว้เหนือโพรง และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่ม เสนาะหูเป็นอย่างมาก
“ศิษย์พี่โม่ ตอนนี้บอกพวกข้าทั้งสามได้หรือยังว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นอย่างไร?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นรีบถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ก่อนออกเดินทางมา ศิษย์น้องทั้งสาม ไม่ได้รับการแจ้งเตือนบ้างเลยหรือ?” หญิงสาวชุดเขียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เลย! ข้าเพียงแค่ถูกประมุขนิกายเรียกไปพบ บอกว่ามีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับชัยชนะของศึกในครั้งนี้ให้ไปทำ จากนั้นให้ฟังคำแนะนำของศิษย์พี่โม่กับศิษย์พี่เซวี่ยเฟิงก็พอแล้ว” ชายแซ่อวิ๋นตอบอย่างไม่ลังเล
“ข้าก็เช่นกัน!” จางซิ่วเหนียงค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ แต่รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
เพราะเขาก็ถูกประมุขนิกายปีศาจส่งออกมาเช่นนี้ ทั้งยังให้เขานำปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกมาด้วย
ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดที่เป็นรูปธรรมของภารกิจในครั้งนี้ แต่ก็พอรู้ว่ามันจะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก
“ดูท่าการรักษาความลับในครั้งนี้ จะทำได้ไม่เลว ผู้ที่รู้รายละเอียดของภารกิจในครั้งนี้ นอกจากข้า เซวี่ยเฟิง และผู้อาวุโสระดับผลึกแล้ว แม้แต่ประมุขนิกายก็รู้กันไม่ค่อยมาก พวกเรารู้แค่ว่าภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ จำเป็นต้องพึ่งพากำลังศึกอันทรงพลังรองลงมาจากระดับผลึกของแต่ละนิกาย จึงจะสามารถทำได้สำเร็จ” ศิษย์พี่โม่ค่อยๆ กล่าวออกมา
พอได้ยินเช่นนี้ พวกหลิ่วหมิงก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
ประจักษ์ชัดว่า ทั้งสามก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะเป็นกำลังศึกที่รองลงมาจากระดับผลึก
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่แล้ว” ความประหลาดใจบนใบหน้าจางซิ่วเหนียงหายไป และนางก็กล่าวออกมาอย่างสุภาพ
“ง่ายมาก เป้าหมายของพวกเราคือทำลายค่ายของเผ่าเจ้าสมุทร ซึ่งก็คือเมืองลอยน้ำที่เห็นในเมื่อครู่!” ชายหนุ่มผมขาวค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
……………………………………….
ตอนที่ 269 อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หรือว่าศิษย์พี่เซวี่ยล้อข้าเล่น พวกเราแค่ไม่กี่คนจะสามารถทำลายเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทรได้หรือ? ต่อให้พวกเราเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก ก็ไม่อาจคิดฝันเช่นนี้ได้” ชายแซ่อวิ๋นหลุดปากออกมา
“ศิษย์น้องอวิ๋นอย่าได้ตื่นเต้นเกินไป พวกเราไม่ได้ลงมือในตอนนี้ แต่รอศึกใหญ่เริ่มก่อน พอถึงเวลานั้นคนในเมืองลอยน้ำส่วนมากจะถูกพาออกไปทำศึก และพวกเราก็ค่อยลงมือ อีกอย่างพวกเราเป็นเพียงแค่หนึ่งในกลุ่มที่มาท่านั้น พอถึงเวลาจะมีอีกสองกลุ่มลงมือพร้อมกันกับพวกเรา แต่พวกเขาเพียงแค่แสร้งทำการโจมตี พวกเราถึงเป็นกำลังหลักที่แท้จริง” เซวี่ยเฟิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะลองดู” พอชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
จางซิ่วเหนียงกับหลิ่วหมิงยังคงคิ้วขมวดอยู่ เห็นได้ชัดว่ารับรู้ถึงความยากลำบากของภารกิจนี้
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่า ทำไมผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านั้นถึงเลือกอาจารย์จิตวิญญาณใหม่อย่างพวกเจ้าทั้งสาม มาเป็นกำลังหลักของภารกิจนี้ แม้แต่ข้ากับสหายเซวี่ยเฟิงก็มีหน้าที่คอยช่วยเหลือเท่านั้น แต่พวกเจ้าคงรู้เหตุผลอย่างชัดเจนใช่ไหม สามารถบอกได้หรือไม่” ดวงตาสวยงามของหญิงงามชุดเขียวกลอกกลิ้งไปมาก่อนกล่าว
“เรื่องนี้……” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงท่าทีลังเลออกมา
“สหายโม่!” ชายหนุ่มผมขาวได้เช่นนี้ ก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา
“อิอิ! ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ผู้อาวุโสเหล่านั้น จะส่งคนมาผิดได้อย่างไร ส่วนเหตุผลข้าก็ไม่จำเป็นต้องรู้ในตอนนี้ คิดว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างก็จะชัดเจนเอง”
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มแซอวิ๋นรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย
“ศิษย์พี่โม่ ภารกิจของพวกเราคงไม่ใช่แค่การทำลายค่ายง่ายๆ เช่นนี้หรอกนะ ไม่ใช่ว่าข้าน้อยโอ้อวด แต่เป็นเพราะสาเหตุบางอย่าง ถ้าพรุ่งนี้ข้าได้ปรากฏตัวในค่ายของนิกายจันทราสวรรค์ ก็สามารถสำแดงอานุภาพได้ไม่ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสระดับผลึก ด้วยเหตุนี้ข้าจึงคิดว่า ศิษย์น้องหลิ่วกับศิษย์พี่อวิ๋นก็คงแสดงออกได้พอๆ กัน ซึ่งถ้าเป็นแค่การทำลายค่ายของเผ่าเจ้าสมุทรล่ะก็ มันได้ไม่คุ้มกับเสีย” จางซิ่วเหนียงเอ่ยปากออกมา
“ไม่ผิด! ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน ต่อให้ภารกิจของเราคือการทำลายเมืองลอยน้ำจริงๆ ก็คงมีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม พวกเราต้องสังหารเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ในนั้นทั้งหมด หรือทำลายชั้นจำกัดในนั้น?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากด้วยความสงสัย
“ในเมื่อศิษย์น้องทั้งสามเป็นพลังศึกอันสำคัญของนิกาย เป้าหมายย่อมไม่ใช่แค่การเฝ้าดูเผ่าเจ้าสมุทรหรอกนะ ส่วนเรื่องเมืองลอยน้ำนั้นไม่ใช่ปัญหาอะไร เพียงแค่เผ่าเจ้าสมุทรมีกำลังที่เพียงพอ ก็สามารถสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ได้อย่างง่ายดาย ความจริงแล้วเป้าหมายภารกิจของเราในครั้งนี้ คือการทำลายค่ายกลขนาดใหญ่ที่อยู่กลางใจเมือง และต้องแย่งชิงอาวุธจิตวิญญาณชิ้นหนึ่งไป” ชายหนุ่มผมขาวกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูหนักแน่นขึ้นมา
“ค่ายกลกับอาวุธจิตวิญญาณอะไรกัน! ทำไมถึงต้องวางแผนมากมายเช่นนี้?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยแล้ว
หลิ่วหมิงก็ฟังด้วยความสงสัย
จางซิ่วเหนียงกระพริบตาราวกับคิดอะไรอยู่
“ข้ากับพี่เซวี่ยเฟิงไม่รู้ว่าค่ายกลนั้นมีชื่อเรียกว่าอย่างไร รู้แค่ว่าค่ายกลนี้เป็นสิ่งสำคัญที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้รวบรวมน้ำทะเลไว้ในแผ่นดินเป็นจำนวนมาก ที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้น้ำทะเลโจมตีพวกเราได้ ส่วนมากเป็นเพราะอาศัยค่ายกลกับอานุภาพของอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ มิเช่นนั้นต่อให้เผ่าเจ้าสมุทรจะสามารถเรียกน้ำทะเลมาได้ แต่ก็จะเรียกมาได้ไม่มาก และง่ายดายเหมือนแต่ก่อน และอาวุธจิตวิญญาณที่เป็นดวงตาของค่ายกล เป็นสิ่งที่ไม่อาจใช้สิ่งอื่นมาทดแทนกันได้ ในมือของเผ่าเจ้าสมุทรกลุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้ คงจะมีแค่ชิ้นเดียว พอสูญเสียมันไป ก็ไม่อาจหาสิ่งใดทดแทนในระยะเวลาสั้นๆ ได้” หญิงชุดเขียวหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด”
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นได้ยิน ก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา
ในมือเขามีอาวุธจิตวิญญาณระดับต้นแค่สองชิ้นเท่านั้น แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางก็ไม่มีเลยสักชิ้น
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ แต่ก่อนซิ่วเหนียงเคยได้ยินอาจารย์อาเย่กล่าวถึงค่ายกลนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ มันสามารถกำจัดกำลังของเผ่าเจ้าสมุทรไปได้เกือบครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว” จางซิ่วเหนียงถอนหายใจแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เผ่าเจ้าสมุทรคงให้ความสำคัญกับค่ายกลกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้เป็นพิเศษ แม้กระทั่งอาจมีผู้แข็งแกร่งมาเฝ้าโดยเฉพาะ” พอหลิ่วหมิงได้ยินว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงสุดก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้วก็ถามออกไปด้วยความกังวลใจ
“ศิษย์น้องหลิ่วกล่าวได้ถูกต้อง ตามที่พวกเราทราบมา ทุกวันจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกมาคอยเฝ้าอยู่ในค่ายกลหลังนี้ แม้ว่าจะมีการต่อสู้กับพวกเราอยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลไป จะมีคนจากอีกสองกลุ่มหลอกล่อเขาไปเอง ภารกิจของพวกเราก็คือรีบทำลายค่ายกลให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ชิงอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นไป” เซวี่ยเฟิงกล่าวอย่างละเอียด
“หลิ่วหมิงเข้าใจแล้ว” หลิ่วหมิงฟังจบก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกลอกลูกตาไปมา และถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์พี่โม่ ศิษย์พี่เซวี่ย พวกท่านรู้หรือไม่ว่าคนอีกสองกลุ่มใช้วิธีการใดหลอกล่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกให้ไปจากค่ายกลใหญ่ โดยปกติแล้วเมื่อผู้แข็งแกร่งรับผิดชอบดูแลค่ายกล จะจากค่ายกลไปง่ายๆ ได้อย่างไร คงไม่เกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงหรอกนะ!”
“เรื่องนี้พวกข้าทั้งสองไม่ทราบจริงๆ แต่ในเมื่อผู้อาวุโสแต่ละนิกายกำหนดแผนการนี้ไว้แล้ว คิดว่าคงมีความมั่นใจในความสำเร็จถึงสิบส่วน” พอหญิงชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ หายไป และกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเป็นครั้งแรก
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องเข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกระพริบตาปริบๆ ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มองชายหนุ่มด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเข้าใจจริงๆ หรือแสร้งเข้าใจ แต่เขากลับมืดไปแปดด้าน ไม่รู้ว่าคนอีกสองกลุ่มใช้วิธีการอะไรในการหลอกล่อผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทร
แต่ทั้งหมดนี้จะถูกเปิดเผยในพรุ่งนี้แล้ว และเขาเองก็ขี้เกียจจะคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
เวลาต่อมา คนทั้งห้าก็พักผ่อนอยู่ในโพรงแห่งนี้ เพื่อเตรียมการสำหรับศึกใหญ่ในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่สอง พอพระอาทิตย์ทอแสง เผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทรก็เริ่มการต่อสู้ในศึกใหญ่นี้พร้อมกัน
ทางด้านนิกายต่างๆ ของเผ่ามนุษย์ มีเรือเหาะ รถศึกต่างๆ ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมกัน และพากองกำลังมุ่งไปด้านหน้า
แต่เทียบกับหลายครั้งในก่อนหน้า ทางฝั่งเผ่ามนุษย์มีสัตว์ขนาดมหึมาเพิ่มขึ้นมาเจ็ดแปดตัว แต่ละตัวมีขนาดสามสี่ร้อยจั้งขึ้นไป
ที่ดูเตะตามีอยู่ด้วยกันสามตัว ซึ่งมีขนาดใหญ่เกือบพันจั้ง
ยอดเขาสีดำลูกหนึ่ง พื้นผิวของมันมีอักขระสีแดงดำลอยวนอยู่ไม่หยุด
บนกำแพงเมืองไม้ดำแห่งหนึ่ง มีหุ่นมนุษย์อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งหมดล้วนสวมเกราะเหล็ก บางก็ถือขวานสองคม บ้างก็แบกธนู มีทั้งหมดราวๆ เกือบพันตัว
ตำหนักสีแดงหลังหนึ่งมีไอหมอกสีดำพวยพุ่งรอบด้าน ในนั้นมีเงาร่างอสูรอยู่สลัวๆ และยังส่งเสียงคำรามแปลกประหลาดออกมา
นอกจากนี้ ศิษย์ที่เป็นกองกำลังสนับสนุนของนิกายทั้งสาม ก็จัดวางกองกำลังตามติดอยู่หลังนิกายทั้งห้า
และทางด้านเผ่าเจ้ามนุษย์ หลังจากเมฆดำปรากฏออกมาแล้ว พวกเขาต่างก็พุ่งมาตามน้ำทะเลที่ซัดสาด
อสูรสมุทรจำนวนมาก วิหคสมุทรที่ดูไร้ขอบเขต และเผ่าเจ้ามนุษย์หน้าตาโหดเหี้ยมเหยียบย่ำมาตามน้ำ แต่ในนั้นมีปีศาจอสูรขนาดใหญ่จนน่าตกใจอยู่สิบกว่าตน แต่ละตนมีขนาดใหญ่เกินกว่าร้อยจั้ง
นอกจากนี้ยังมีเกาะลอยน้ำที่สร้างจากเปลือกหอยหลากสีอยู่สามเกาะ มันมีขนาดใหญ่เกือบพันหมู่ และพุ่งตามหลังอสูรสมุทรเหล่านี้มา
บนเกาะลอยน้ำ มีกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรที่สวมชุดเกราะยืนอยู่เต็มไปหมด แต่ละคนมีกลิ่นไอหนาแน่น ประจักษ์ชัดว่าเป็นกองกำลังที่เกรียงไกรมาก
แต่เกล็ดบนผิวของเผ่าเจ้าสมุทรที่ยืนอยู่บนเกาะลอยน้ำทั้งสามนั้นแตกต่างกันมาก แบ่งเป็นสีเขียวอ่อน สีแดง และสีเงินจางๆ ซึ่งเป็นเผ่าเกล็ดเขียว เผ่าเกล็ดแดง และเผ่าเกล็ดเงินที่ครอบครองพื้นที่ทะเลบริเวณแผ่นดินอวิ๋นชวนนั่นเอง
ศึกใหญ่ในครั้งนี้ เผ่ามนุษย์กับเผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้พุ่งต่อสู้กันทันทีเหมือนในครั้งก่อนๆ แต่กลับหยุดอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง และสั่งกำชับให้กองกำลังที่อยู่ใต้บัญชาหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม
“ข้าต่งไท่ชิงจากเผ่าเกล็ดเขียว ไม่ทราบว่าสหายเผ่ามนุษย์ตรงหน้า มีผู้ใดเป็นตัวแทนมาพูดคุยได้บ้าง” ผู้อาวุโสที่มีลักษณะน่าเกรงขาม สวมชุดคลุมสีม่วงทะยานขึ้นจากเกาะแห่งหนึ่ง เขาเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวอยู่ระหว่างกองกำลังทั้งสอง และกล่าวกับทางด้านเผ่ามนุษย์ด้วยสีหน้าสงบ
คำพูดนี้ทำให้ทางด้านเผ่ามนุษย์ฮือฮาขึ้นมา แต่ครู่เดียวก็มีเงาร่างลอยออกมาจากเมืองไม้ดำ และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ที่แท้ก็เป็นสหายต่ง ข้าขอเป็นตัวแทนของสหายท่านอื่นๆ”
คนผู้นี้สวมชุดนักบวชสีขาว ใบหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก นางก็คือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่นั่นเอง
“ที่แท้ก็เป็นสหายเหลิ่งเยวี่ย อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงสังเกตดูเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ฮึ! นี่ต้องขอบคุณของขวัญที่เผ่าเจ้าสมุทรมอบให้ แต่โชคดีที่ข้าดวงแข็ง ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็มีประกายตาเยือกเย็นกว่าเดิม
“เฮ่อๆ! เรื่องนี้โทษข้าไม่ได้ เรื่องนี้เผ่าเกล็ดเงินเป็นคนทำ ด้วยพลังของเผ่าเจ้าสมุทรเรา แค่ไปโจมตีแผ่นดินอวิ๋นชวนโดยตรงก็พอแล้ว ใยต้องใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ด้วยเล่า!” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีม่วงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มีเรื่องอะไรที่พวกเราต้องพูดกันอีกเล่า?” พอเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมา
“ที่ข้ามาปรากฏตัวที่นี่ เพียงแค่อยากให้โอกาสสุดท้ายกับนิกายในแคว้นต้าเสวียน ถ้านิกายทั้งห้าของพวกเจ้ายอมละทิ้งแคว้นต้าเสวียน และถอนตัวไปยังแคว้นใกล้เคียงของเผ่ามนุษย์ล่ะก็ ข้าสัญญาว่าจะให้ศิษย์ของพวกเจ้าจากไปอย่างปลอดภัย มิเช่นนั้นพอศึกนี้เริ่มขึ้น เกรงว่านิกายในแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าคงต้องถูกทำลายแล้ว” ต่งไท่ชิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ขณะเดียวกันก็กล่าวเสียงต่ำออกมา
“สหายต่งพูดจามาดไม่เบา! ท่านคิดจริงๆ หรือว่าผลลัพธ์ของศึกในครั้งนี้ จะต้องเป็นนิกายในแคว้นต้าเสวียนเราที่ย่อยยับ ไม่คิดหรือว่าอาจเป็นเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามที่ถูกทำลาย?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น