กระบี่จงมา 265.2-266.1
บทที่ 265.2 บนมหามรรคา
โดย
ProjectZyphon
ร่างของเจียวเฒ่าชุดทองหายไปจากตำแหน่งเดิม ทว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาเส้นนั้นไม่ได้หายไปเพราะสาเหตุนี้ มันลอดทะลุน้ำทะเลเข้าไปยังจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลงแล้วสาดแสงกระจายออกไป สะท้อนให้ก้นทะเลแห่งนี้เป็นสีขาวโพลนพร่าตา เผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล ไม่ได้เข้าร่วมการโอบล้อมครั้งนี้ถูกสายฟ้าเส้นนี้ทำให้ตกใจ พวกมันรีบหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก ไม่กล้ามองสบตรงๆ
จากนั้นสายฟ้าก็พุ่งออกไปพ้นผิวน้ำ บินไปยังตำแหน่งหนึ่ง เจียวเฒ่าชุดทองเผยตัวอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่ไร้เหตุผลนี้ ดูเหมือนในที่สุดเจียวเฒ่าก็เริ่มหงุดหงิดบ้างแล้ว คราวนี้ไม่มีท่าทางผ่อนคลายเหมือนก่อนหน้า แล้วก็ไม่ได้หลบเลี่ยงต่ออีกครั้ง แต่ยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วน้อยๆ ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันทั้งสองมือ แยกกันคีบไปที่คิ้วยาวสีทองสองข้างแล้วลูบผ่านอย่างรวดเร็ว แสงกระบี่สีทองสองเส้นกลิ้งไหลออกมาจากปลายนิ้ว ยาวประมาณสามฉื่อ มีระดับความยาวเช่นเดียวกับกระบี่ทั่วไปบนโลก หนึ่งกระบี่พุ่งเข้าหาสายฟ้าเส้นนั้น อีกหนึ่งกระบี่แทงตรงไปยังน้ำวนเหนือศีรษะที่เชื่อมโยงเข้ากับบ่อสายฟ้าบางแห่ง
สองกระบี่จากคิ้วยาวของเจียวเฒ่าสีทองล้วนทำสำเร็จ สายฟ้าและน้ำวนต่างก็มลายหายสิ้นไปอีกครั้ง ผิวทะเลและบนอากาศสูงต่างก็มีประกายแสงหลากสีสันระเบิดกำจาย
ไม่เสียแรงที่ผู้เฒ่าพายเรือเป็นโอสถทองส่วนน้อยที่เคยเห็นทัศนียภาพของเซียนพสุธามาก่อน เขามีวิธีการมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น เขาทะยานร่างขึ้นจากพื้นดิน ยื่นแขนออกไปข้างหนึ่ง กำฝ่ามือเป็นหมัด ในหมัดมีทวนอสรพิษยาวแปดจั้งสีเงินจ้าสะดุดตา เสือกแทงเข้าใส่เจียวเฒ่าสีทอง “ตายซะเถอะเจ้าสัตว์เดรัจฉาน!”
เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก หายตัวไปอีกครั้ง
การแทงทวนของคนพายเรือเฒ่าไม่ได้ลดระดับความดุดันลง กลับยิ่งเพิ่มน้ำหนักมากขึ้น ตรงจุดที่ปลายทวนแทงไปถึงกับเกิดริ้วกระเพื่อมเป็นสีดำระลอกหนึ่ง ปลายทวนสีขาวหิมะไม่ได้หยุดชะงัก ทวนยาวบุกตะลุยไปดุจผ่าลำไม้ไผ่ ดุจตะเกียบที่ร่วงลงน้ำ ทำให้การมองเห็นเกิดการหักเหเอนเอียง
หลังจากนั้นภาพเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น รอบกายของคนพายเรือเฒ่ามีร่างของเจียวเฒ่าชุดทองปรากฏขึ้นหลายสิบคน อีกทั้งเบื้องหน้าของพวกเขายังมีปลายทวนที่บ้างก็ยาวหนึ่งจั้ง บ้างก็สั้นไม่ถึงหนึ่งฉื่อแทงเข้าหาหว่างคิ้วของเจียวเฒ่าชุดทอง
เจียวเฒ่าชุดทองทุกคนล้วนส่งเสียงพูดกลั้วหัวเราะออกมาแทบจะพร้อมๆ กัน “อุตส่าห์ทุ่มสุดตัวใช้การโจมตีของเซียนพสุธา ลำบากขอบเขตโอสถทองอย่างเจ้าแล้วจริงๆ”
พูดจบก็ยื่นมือข้างหนึ่งมากำปลายทวนเอาไว้
แสงไฟสาดกระเซ็นไปสี่ทิศ ส่องสว่างให้ฟ้าดินเป็นสีหิมะขาวพร่าตา
มีเพียงชุดทองคนเดียวที่ไม่ได้เปิดปากพูด เขายืนอยู่ด้านหลังเรือเล็กของเฉินผิงอัน สามารถมองเห็นเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นกุ้ยได้อย่างชัดเจนพอดี เขามองรากฐานของกระดาษยันต์สีเขียวไม่ออก รู้แค่ว่ามันเต็มเปี่ยมไปด้วยปราณแห่งความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม ส่วนพู่กันด้ามนั้นนับว่าเป็นของดี ต่อให้เป็นเจียวเฒ่าก็ยังรู้สึกอยากได้มาครอบครอง
เห็นว่ากระดาษยันต์ตัดโซ่ที่ว่างเปล่าเขียนตัวอักษรเสร็จไปแล้วแค่เจ็ดแปดส่วนในสิบส่วนเท่านั้น แม้ว่าข้อมือ นิ้วมือและปลายพู่กันของเด็กหนุ่มจะไม่สั่น ทว่าจิตวิญญาณกลับสั่นสะเทือนไม่หยุด แสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์นี้เป็นเรื่องที่ฝืนความสามารถของเขา เจียวเฒ่ายิ่งสงสัยใคร่รู้ แม้ว่าระดับขั้นของยันต์ตัดโซ่จะไม่ต่ำ แต่ก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเขียนยันต์ลงบนไม้พายสำเร็จแล้ว หมายความตัวของยันต์ไม่มีปัญหา แต่เป็นกระดาษยันต์สีเขียวนั่นต่างหากที่ทำให้เด็กหนุ่มจรดพู่กันได้อย่างยากลำบาก เหมือนให้เด็กน้อยเดินขึ้นภูเขา จะพูดว่าลำบากเลือดตาแทบกระเด็นก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่นิดเดียว
ยันต์ตัดโซ่ชั้นเยี่ยมหนึ่งแผ่นที่เขียนคำสั่งของเทพพิรุณ
หากเป็นก่อนหน้าที่ตนจะกลายเป็นอริยะครอบครองพื้นที่แห่งหนึ่ง เจียวเฒ่าคงรู้สึกกริ่งเกรงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งที่พิฆาตกันมาตั้งแต่เกิด ในช่วงเวลาที่ได้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีระบบการสืบทอดที่ถูกต้อง เจียวหลงต่างก็ให้ความเคารพนับถือพวกเทพพิรุณหรือราชันแห่งสายน้ำทั้งหลายดั่งผู้บังคับบัญชา
เพียงแต่ว่าตอนนี้ต่อให้ยันต์แผ่นนี้จะ ‘แข็งแกร่ง’ มากแค่ไหน เจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา เขาถึงขั้นปรารถนาอยากจะได้เห็นยันต์ตัดโซ่อีกครั้งด้วยซ้ำ
เพราะถึงอย่างไรในช่วงเวลาอัปยศที่ยาวนานเหมือนไร้ที่สิ้นสุดบางช่วง ตอนนั้นเจียวเฒ่ายังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่ได้เห็นและได้เจอมากลับตราตรึงลึกลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ
เจียวเฒ่าต้องการให้พวกผู้เฒ่าบางคนในร่องน้ำเจียวหลงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งไม่ยอมติดตามตนได้ตระหนักถึงความหมายลึกล้ำของยันต์แผ่นนี้กับตาตัวเองอีกสักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจทำให้พวกตาเฒ่าที่ไร้ความกระตือรือร้นพวกนั้นเกิดความกล้าหาญฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้
ขอแค่ทั้งร่องน้ำเจียวหลงร่วมมือเป็นหนึ่งดุจเชือกที่หมุนเกลียวเป็นเส้นเดียวกัน ตระกูลเซียนที่ในชื่อมีคำว่าสำนักแห่งสองแห่งก็ไม่สามารถทัดเทียมได้แล้ว
เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนบีบให้ปลายทวนยาวระเบิดแตกในเวลาเดียวกัน
นี่คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของคนพายเรือเฒ่า เขาพลันเซลงไปนั่งบนเรือเล็ก กระอักเลือดไม่หยุด
นอกจากเจียวเฒ่าตัวที่จ้องมองเฉินผิงอันวาดยันต์โดยไม่พูดไม่จาแล้ว เจียวเฒ่าตัวอื่นๆ ที่ถูกกระตุ้นสันดานดิบอันโหดเหี้ยมล้วนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง กระทืบเท้าแรงๆ หนึ่งครั้งแทบจะเวลาเดียวกัน ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาไม่ได้มีความเคลื่อนไหวรุนแรงเท่าใดนัก แต่ค่ายกลใบกุ้ยที่ปกป้องเกาะกุ้ยฮวากลับเหมือนประตูเมืองบอบบางที่ถูกรถศึกโจมตีเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนจู่โจมจึงสั่นสะเทือนไม่หยุด สถานการณ์ล่อแหลมเต็มที หากค่ายกลใหญ่เกิดความเสียหาย เจียวหลงพวกนั้นจะต้องบุกเข้าไปในเกาะทันที จะให้ต่อสู้ประชิดตัวกับสัตว์เดรัจฉานที่มีเรือนกายแข็งแกร่งมาตั้งแต่เกิดพวกนี้น่ะหรือ?
อย่าว่าแต่ผู้ฝึกลมปราณทั่วไปที่ไม่ยินดีเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการสังหารมากที่สุด หรือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาจนกร้าวแกร่งมากที่สุดก็ยังไม่เต็มใจเช่นกัน
ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางหลายคนที่หม่าจื้อโน้มน้าวจนปากคอแห้งผากก็ยังไม่ยอมเอาสมบัติก้นกรุออกมาพากันหน้าเปลี่ยนสี ไม่กล้าเก็บอำพรางสมบัติส่วนตัวอีกต่อไป พากันเรียกสมบัติอาคมอาวุธวิเศษออกมา ทันใดนั้นบนเกาะกุ้ยฮวาก็เต็มไปด้วยประกายแสงพร่างพราว แต่ละคนบินขึ้นไปบนอากาศสูง ช่วยกุ้ยฮูหยินและต้นกุ้ยบรรพบุรุษต้นนั้นต้านทานเจียวเฒ่าร่างทองที่ทำท่าจะเหยียบย่ำค่ายกล
ทว่าหลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณบนเกาะลงมืออย่างเต็มกำลัง สิ่งมีชีวิตใหญ่โตในร่องน้ำเจียวหลงที่ก่อนหน้านี้แค่มองอยู่ไกลๆ ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือก็ร่ายใช้เวทอภินิหารทางน้ำในที่สุด มองไปแล้วปานประหนึ่งธนูฝนที่โจมตีเข้าหาเกาะกุ้ยฮวา
ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะมีผู้ฝึกลมปราณให้ความช่วยเหลือ แต่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังคงตกเป็นรองอยู่ดี
ในช่วงเวลาอันตรายคับขันนี้กลับมีผู้เฒ่าร่างผอมสูงคนหนึ่งบินมาจากผิวน้ำทะเลนอกร่องน้ำเจียวหลง เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเขากำลังลังเลว่าควรจะพาตัวมาเสี่ยงอันตรายหรือไม่
เขาก็คือข้ารับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายคุณชายตระกูลเจียงสำนักกุยหยกผู้นั้น
สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะรอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ก่อน
กุ้ยฮูหยินจำเป็นต้องกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าค่ายกลใหญ่จะเปราะบางถึงเพียงนี้ ไม่มีเวลามาสนใจยันต์แผ่นนั้นของเฉินผิงอันอีกแล้ว หากร่างกับจิตวิญญาณของนางอยู่ห่างกันตลอดเวลา ค่ายกลใหญ่เกาะกุ้ยฮวาทนรับการโจมตีครั้งต่อไปไม่ไหว ถึงเวลานั้นต่อให้วาดยันต์ได้สำเร็จ เกาะกุ้ยฮวาถูกตีแตกแล้ว เหล่าเผ่าพันธ์เจียวหลงที่กำเริบเสิบสานกรูกันบุกเข้าไปอย่างไม่เกรงกลัว นั่นจะกลายเป็นโศกนาฎกรรมที่ฝ่ายพวกนางพ่ายแพ้ยับเยินประดุจภูเขาพังถล่ม
กุ้ยฮูหยินบินทะยานออกไปแล้วหันหน้ามาเอ่ยกับคนพายเรือเฒ่าด้วยความจนใจว่า “ดูแลเฉินผิงอันให้ดี!”
ผู้เฒ่าพายเรือพยักหน้ารับพลางยิ้มเจื่อน ฝืนดิ้นรนลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
คงได้แต่ทำอย่างสุดความสามารถและรอฟังลิขิตจากสวรรค์แล้ว
เจียวเฒ่าชุดสีทองทั้งหมดที่รายล้อมสี่ด้านแปดทิศพากันเดินเข้าหาเรือเล็กสองลำช้าๆ
มีเพียงเจียวเฒ่าสีทองตนนั้นที่ยืนอยู่ที่เดิมตลอดเวลา สายตาจ้องนิ่งไปที่เฉินผิงอัน ใช้เสียงทางใจบอกเขาว่า “ไอ้หนู หากเจ้ายังวาดยันต์แผ่นนี้ไม่เสร็จ ไม่รีบพลิกสถานการณ์ พวกเจ้าทุกคนจะต้องตาย กุ้ยฮูหยินต้องตาย คนพายเรือเฒ่าต้องตาย เจ้าเองก็ต้องตาย ต้องตายกันทุกคนเลยนะ”
ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ ยันต์ตัดโซ่หนึ่งแผ่นที่มีตัวอักษรทั้งหมดแปดตัว ถึงท้ายที่สุดเฉินผิงอันเขียนได้แค่หกตัว อีกทั้งยังไม่ถูกต้องตามหลักกฎเกณฑ์ หากไม่ผิดไปจากที่คาด ยันต์แผ่นนี้ถือว่าเสียเปล่าไปแล้ว
อันที่จริงเมื่อเฉินผิงอันเขียนสี่คำแรกสุดเสร็จแล้ว แม้ว่าจะใช้เวลานานมาก เทียบกับการเขียนยันต์ครั้งก่อนๆ หน้านี้ถือว่าใช้เวลานานกว่าเยอะ แต่พอมาถึงตัวอักษรอวี่ (雨ฝน ในที่นี้คือคำว่าพิรุณ) ไม่ว่าเฉินผิงอันจะโคจรลมปราณอย่างไร ทว่าแค่ขีดขวางขีดแรกก็ยังเขียนไม่ออก ราวกับว่ากระดาษยันต์สีเขียวไม่ยอมรับตัวอักษรตัวนี้ ดั่งสองกองกำลังที่คุมเชิงกัน เฉินผิงอันต้องต่อสู้อยู่เพียงลำพัง เมื่อเผชิญหน้ากับกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านเหมือนภูเขา แล้วเขาจะทำอะไรได้?
คนเราต้องมีช่วงเวลาที่พละกำลังสิ้นสุดลง ไม่ใช่ว่าปณิธานที่ยิ่งใหญ่หรือความเพียรพยายามที่เด็ดเดี่ยวอะไรจะเปลี่ยนแปลงได้เสมอไป
เฉินผิงอันฝืนอยู่นานก็ยังไม่อาจจรดพู่กันได้ เมื่อมือของเฉินผิงอันสั่นเป็นครั้งแรก เลือดสดจากหัวใจพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ เฉินผิงอันแข็งใจกลืนมันลงไป ด้วยถูกบีบให้อับจนหนทาง เฉินผิงอันจึงข้ามคำว่าอวี่ไปโดยตรง พอมาเจออักษรคำว่าซือ (师 โดยไปคำนี้แปลว่าอาจารย์ ในที่นี้ตรงกับคำว่าเทพ) ก็กลายเป็นปราการธรรมชาติอีกแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันข้ามมันไปอีกครั้ง ยังดีที่สองคำว่าคำสั่ง เขาพอจะฝืนเขียนได้ ในขณะที่ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเฮือกนั้นกำลังจะหมดลงก็เขียนสำเร็จในที่สุด
หลังจากที่ใช้ลมปราณเฮือกนี้หมดสิ้นแล้ว เฉินผิงอันก็หมดแรง แขนข้างที่ถือเหล็กหมาดหิมะตกลงข้างกาย เดิมทีก็เป็นการฝืนดึงลมปราณขึ้นมาอยู่แล้ว หากยันต์แผ่นนี้วาดไม่สำเร็จก็ไม่ต่างอะไรจากการเพิ่มเกล็ดน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เวลานี้เลือดลมในร่างของเขาปั่นป่วน นอกจากเลือดจากหัวใจที่บาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดแล้ว ยังมีหยดเลือดจำนวนนับไม่ถ้วนผุดซึมจากข้างในมายังข้างนอก หยดเลือดเหล่านั้นเล็กมาก พวกมันค่อยๆ ไหลจากจิตวิญญาณ ช่องโพรงลมปราณ เส้นเอ็นกระดูก และเนื้อหนังออกมาสู่ภายนอก
เป็นครั้งแรกที่เจียวเฒ่าสีทองเดือดดาลอย่างหนัก สบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าสวะไร้ค่า! รอเจ้ามานานขนาดนี้ แค่สองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ เจ้าก็เขียนออกมาไม่ได้งั้นหรือ?”
เจียวเฒ่าเดินขึ้นหน้ามาทีละก้าว “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ขยับพู่กันเขียนใหม่! วาดยันต์ใหม่อีกหนึ่งแผ่น!”
เฉินผิงอันเหม่อมองยันต์สีเขียวแผ่นนั้น สถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนไปแย่ยิ่งกว่าเดิม
แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนมาดีขึ้น
ราวกับว่าเฉินผิงอันที่พอออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาก็โชคดีมาตลอดทาง พอแยกทางกับนักพรตหญิงของสำนักโองการเทพผู้นั้นบนมหามรรคา ความโชคดีเริ่มดิ่งลงเหวอีกครั้ง เหมือนได้กลับเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนที่มันจะปริแตกแล้วร่วงลงมา
คราวนี้ยิ่งพาตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความตายโดยตรง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “เจ้าอยากให้ข้าเขียนยันต์ตัดโซ่สำเร็จถึงเพียงนี้เชียวหรือ? คงมีแผนการอะไรอยู่สินะ?”
เจียวเฒ่าชุดทองมองประเมินเด็กหนุ่มอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนสิ เพียงแต่ว่าตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เสียเวลาข้ามานานขนาดนี้ หลังจากนี้สามหุนเจ็ดพั่วของเจ้าจะถูกดึงเอามาทำไส้เทียนเล่มแล้วเล่มเล่าและถูกเผาอยู่ใต้ร่องลึกเจียวหลงหนึ่งร้อยปี”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองแขนซ้ายที่จับเหล็กหมาดหิมะ สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วค่อยๆ ยกขึ้น ไม่เพียงแต่แขนข้างนี้เท่านั้น แต่เป็นทั่วร่างที่มีเลือดสดไหลซึมออกมาจากช่องลมปราณและกล้ามเนื้อ ไหลหลั่งเป็นสาย “ก่อนจะตาย ข้าจะต้องเขียนสองตัวนี้ให้สำเร็จ”
สีหน้าของเจียวเฒ่าชุดทองมืดทะมึน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เด็กหนุ่มมีปณิธาน ข้าจะตั้งตารอ อีกทั้งจะเป็นผู้พิทักษ์ให้เจ้าด้วยตัวเอง อย่าทำให้ข้าผิดหวังอีกล่ะ”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม
ยกแขนขวาขึ้นเช็ดตาที่ถูกคราบเลือดบดบังจนการมองเห็นพร่าเลือนลวกๆ พอเห็นตำแหน่งว่างเปล่าบนกระดาษยันต์ซึ่งเป็นที่ว่างสำหรับสองคำว่า ‘เทพพิรุณ’ ได้ค่อนข้างชัดเจนแล้ว เขาก็หลับตาลง พึมพำในใจว่า “ควรทำก็ทำ…ควรทำก็ทำ…”
ทันใดนั้น
เฉินผิงอันก็เริ่มจรดพู่กันลงบนกระดาษยันต์อีกครั้ง
เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าหนุ่ม นั่นไม่ใช่อักษรตัวอวี่นี่นา เป็นเพราะบาดเจ็บสาหัสเกินไป สมองก็เลยไม่แจ่มชัดใช่ไหม?”
อีกชั่วพริบตาต่อมา
เจียวเฒ่าสีทองก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกต่อไป
เพราะบนกระดาษยันต์ไม่ได้มีแสงสว่างหนึ่งจุดปรากฎขึ้นอีกแล้ว
แต่เป็นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่านั้น ใช่ว่าเขาไม่อยากขยับ แต่เป็นเพราะเขาขยับไม่ได้
ยันต์ตัดโซ่แผ่นนี้ไม่ใช่ยันต์ตัดโซ่ในความหมายที่แท้จริงอีกต่อไปแล้ว
เพราะไม่ใช่ประโยคว่า ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ’
แต่เป็น ‘ควรทำก็ทำ คำสั่งลู่เฉิน’
คำสั่งลู่เฉิน!
เจียวเฒ่าสีทองตัวนั้นก็ยืนแน่นิ่งไม่ขยับเช่นกัน แม้ใจจะปรารถนา แต่กำลังไม่เอื้ออำนวย
ริมฝีปากเฉินผิงอันขยับเบาๆ รับสัมผัสกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจ รับคำอวยพรที่ทำให้จิตใจเปิดกว้างจากยันต์แผ่นนั้น เขาพูดเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ข้าเคยอ่านเจอในตำรา อริยะกล่าวไว้ว่า…”
เฉินผิงอันกระแอมหลายทีกว่าจะพูดประโยคครึ่งหลังออกมาได้ “มังกรอำพรางตัวอยู่ในหุบเหว”
แปดคำที่เขาเอ่ยออกมานี้ ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าแปดคำบนกระดาษยันต์เลยแม้แต่น้อย
คำทั้งหมดสิบหกคำ เมื่ออยู่ในร่องน้ำเจียวหลงก็ประหนึ่งอสนีบาตฟาดผ่าลงมาทั้งที่ฟ้าเป็นสีครามสดใส
“ขอรับ!”
“รับคำบัญชา!”
เสียงมากมายดังขึ้นๆ ลงๆ มาจากในจุดลึกของร่องลึกเป็นทอดๆ ไม่ขาดสาย
ฟ้าดินพลันเงียบสงัด
เจียวเฒ่าชุดทองหลายสิบคนมารวมตัวกันอยู่ในร่างเดียว เขาก้มหน้าลง ยกมือกุมเป็นหมัด แต่ใบหน้ากลับแสยะยิ้มดุดัน “ก่อนจะรับคำสั่ง เด็กหนุ่มต้องตายก่อน”
กลางอากาศเหนือร่องน้ำเจียวหลง แสงกระบี่สีทองใหญ่เหมือนขุนเขาร่วงลงมาจากฟากฟ้า
ตรงดิ่งเข้าหาศีรษะของเด็กหนุ่ม
บางคนสามารถช่วยได้ แต่ไม่เต็มใจช่วย ยกตัวอย่างเช่นหญิงชราก่อกำเนิดที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดไม้ไผ่
บางคนคิดอยากจะช่วย แต่เพื่อกิจการใหญ่ของตระกูลฟ่านจึงได้แต่ถอยหนีหลบเลี่ยง ยกตัวอย่างเช่นกุ้ยฮูหยิน
บางคนไม่มีอะไรให้ต้องห่วงพะวง ยอมสละชีวิตแลกชีวิตเด็กหนุ่ม ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าพายเรือที่อยู่ใกล้ในระยะประชิด
ส่วนคนที่มากกว่านั้นเพียงแค่รอชมเรื่องสนุกเท่านั้น สถานการณ์ใหญ่มั่นคงแล้ว ยังจะต้องเครียดไปทำไม?
บัดนี้ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะรู้ซึ้งถึงน้ำใจคนและเรื่องราวทางโลก ทว่าสีหน้าของเขาไม่มีทั้งความโศกเศร้าและความยินดี
ตราประทับคู่หนึ่งกลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตราประทับภูเขาแม่น้ำหยุดลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของเขา
หลังจากที่แสงกระบี่สีทองเส้นนั้นแหลกสลายไป ตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่ง เหลือแค่ตราประทับแม่น้ำ ไม่มีตราประทับภูเขาอยู่อีกแล้ว
บนมหามรรคา
ก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพียงลำพัง
บทที่ 266.1 ศิษย์พี่ใหญ่แซ่จั่ว
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันเขียนยันต์ตัดโซ่ผิดไปหนึ่งตัวอักษร หากก่อนหน้านี้ตอนที่เหล็กหมาดหิมะสัมผัสกับกระดาษยันต์เป็นเหมือนแสงจันทร์ที่ลอยขึ้นเหนือมหาสมุทร ถ้าเช่นนั้นเมื่อยันต์แผ่นนี้เขียนเสร็จก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์สีแดงฉานที่ใหญ่พอๆ กับปากบ่อน้ำ เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ความรู้สึกร้อนแผดเผา กลับกันคือเป็นความอบอุ่นอ่อนโยน หลังจากที่เฉินผิงอันเอ่ยแปดคำนั้นออกมา ดูเหมือนว่ายันต์แผ่นนี้จะขาดการชักนำจากลมปราณที่แท้จริง มันจึงลอยส่ายไปมาอยู่เหนือผิวน้ำทะเล จากนั้นก็ค่อยๆ จมลงไปยังร่องลึกเจียวหลง แล้วก็ไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้นอีก
ทว่าพวกสิ่งมีชีวิตร่างใหญ่ที่ขดตัวอยู่ใต้ร่องลึกกลับไม่มีตนใดที่ไม่จำแลงร่างกลายเป็นคน บ้างก็เป็นผู้เฒ่า บ้างก็เป็นหญิงชรา พวกเขาพากันออกจากรังมายืนอยู่ตรงผนังหินของร่องมหาสมุทร ประสานมือโค้งคำนับยันต์แผ่นนั้น หลังจากที่เหล่าคนเฒ่าคนแก่ซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจียวเฒ่าสีทองพากันปรากฎตัวอย่างเอิกเกริก เผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนมากที่ยังเยาว์วัยไม่รู้ความ พลังการต่อสู้อ่อนแอ ครั้งนี้ไม่มีโอกาสเข้าร่วมศึกใหญ่กับเกาะกุ้ยฮวา หรือไม่ก็ถูกบรรพบุรุษกำราบไว้ใต้ทะเลลึก เด็กน้อยทั้งหลายที่ต่อให้จะไม่ได้จำแลงกายเป็นมนุษย์ก็ยังหันไปผงกหัวแสดงการคารวะต่อยันต์แผ่นนั้นเลียนแบบเหล่าผู้อาวุโส
จากนั้นสิ่งมีชีวิตยิ่งใหญ่ที่ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มากี่ปีพวกนี้ก็พากันร่ายใช้เวทลับ ใช้ภาษาเสียงน้ำแห่งยุคบรรพกาลตวาดด่าทายาทเจียวหลงทั้งหลายที่กำลังโจมตีเกาะกุ้ยฮวาอย่างเฉียบขาด
พวกงูหลาม ฉิวน้ำที่เป็น ‘วัยหนุ่มสาวแข็งแกร่ง’ หันมามองหน้ากันเอง ในสายตาของพวกมันมีทั้งความคลางแคลงใจ ความตกตะลึงและความไม่ยอมแพ้ เพียงแต่บรรพบุรุษของแต่ละฝ่ายล้วนป่าวประกาศแล้วว่าหากไม่กลับมายังร่องน้ำเจียวหลงภายในเวลาครึ่งก้านธูปจะถูกขับไล่ออกจากเผ่าโดยไม่มีข้อยกเว้น จากนั้นจะถูกลงทัณฑ์ด้วยการถลกหนัง สุดท้ายจะถูกโยนทิ้งให้ตากแดดล่องลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาสามปี หากมีชีวิตรอดมาได้ถึงจะมีโอกาสได้กลับคืนสู่เผ่าพันธุ์อีกครั้ง
ก่อนหน้าที่พวกมันจะติดตามเจียวเฒ่าร่างทองมาในครั้งนี้ เหล่าบรรพบุรุษต่างไม่คัดค้านถือเป็นการยอมรับไปโดยปริยาย ทายาทวัยหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่เผชิญกับความยากลำบากอยู่ในทะเลใต้และนาตยทวีปมานานหลายปียอมติดตามเจียวเฒ่าชุดทองก็เพราะหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถไปเปิดฉากสังหารที่นาตยทวีป เข่นฆ่าลูกหลานตระกูลเฉินผู้มากความรู้และเหล่าผู้ฝึกลมปราณที่คอยป้องกันชายฝั่งให้สิ้นซาก แต่ตอนนี้บรรพบุรุษออกคำสั่งแล้ว อีกทั้งเจียวเฒ่าชุดทองก็ไม่ได้คัดค้าน พวกมันจึงได้แต่พากันดีดตัวออกจากเกาะกุ้ยฮวา กระโจนกลับเข้าไปยังทะเล พอลงน้ำมาแล้ว ต่างคนต่างกลับจวนของตัวเองเพื่อขอฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลจากเหล่าบรรพบุรุษ
เหตุการณ์หลังจากนั้นก็คือเจียวเฒ่าร่างทองที่ก่อนจะรับคำสั่งได้ปล่อยหนึ่งกระบี่ฟันลงมายังเด็กหนุ่มที่ทำลายแผนการซึ่งวางมานานนับร้อยปีของเขา
คำสั่งลู่เฉิน?
ลู่เฉินคือใคร เจียวเฒ่าย่อมเคยได้ยินชื่อมาก่อน เคยได้ยินบรรพบุรุษของเขาเล่าว่าเป็นจื้อเหริน (หมายถึงบุคคลที่หลุดพ้นทางโลก บรรลุถึงขอบเขตอนัตตาของลัทธิเต๋า) หนึ่งในเจ้าลัทธิของลัทธิเต๋า ก่อนที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตบินทะยาน เขาชอบล่องเรือน้อยท่องเที่ยวไปตามสี่มหาสมุทรมากที่สุด ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยชอบอยู่บนบกสักเท่าไหร่ ยังมีเรื่องเล่าลืออีกว่ามีคนพายเรือคนหนึ่งมาพายเรือให้ลู่เฉินโดยเฉพาะ ตอนที่ออกทะเลอายุประมาณสามสิบปี รอจนลู่เฉินบินทะยานที่ทะเลเหนือ เขาถึงพายเรือกลับแผ่นดินเพียงลำพัง พอกลับไปถึงบ้านจึงพบว่าบ้านเมืองที่ตัวเองคุ้นเคยไม่เหลืออยู่แล้ว ชื่อของเขามีบันทึกไว้ในหนังสือลำดับวงศ์ตระกูลของเมื่อสามร้อยปีก่อนเท่านั้น หลังจากนั้นมาคนพายเรือที่ไม่อาจตรวจสอบชื่อแซ่ก็ออกทะเลไปอีกครั้งเพื่อตามหาลู่เฉิน แล้วก็ไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเลย
เจียวเฒ่าชุดทองกลัวเจ้าลัทธิลู่เฉินหรือไม่?
แน่นอนว่าต้องกลัวอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงขั้นที่แค่ได้ยินชื่อก็กลัวจนตัวสั่น
เพราะเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาล แต่ลู่เฉินอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว
ยิ่งเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงศักดิ์เกินจะทัดเทียมอย่างลู่เฉิน คิดจะมาเยือนใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งก็ยิ่งไม่ง่าย อีกอย่างกฎเกณฑ์ก็ซับซ้อน ทุกการกระทำของเขาจะต้องถูกอริยะลัทธิขงจื๊อจับตามอง
หากลู่เฉินคิดจะลงมือด้วยตัวเองจะเป็นการทำลายกฎ ถึงเวลานั้นอริยะลัทธิขงจื๊อที่ตนเคียดแค้นจะกลับกลายมาเป็นยันต์คุ้มกันกายให้กับร่องน้ำเจียวหลง และถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่ลงมือช่วยเหลือก็คือบุรพาจารย์สกุลเฉินผู้มากความรู้ที่บนไหล่แบกดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ผู้นั้น
แม้จะไม่ได้หวาดกลัวอะไรนัก แต่จะไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยก็ไม่ใช่ ท้าทายอริยะคนหนึ่ง ต่อให้มีหนึ่งใต้หล้ากั้นขวางก็ไม่ใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย
ในใจของเจียวเฒ่าชุดทองหัวเราะหยันไม่หยุด เจ้าลัทธิที่ถือกำเนิดในใต้หล้าไพศาล แต่ไปเป็นผู้ควบคุมระบบเต๋าสายหนึ่งของใต้หล้าอื่นช่างตั้งชื่อได้ดีจริงๆ
ส่วนเด็กหนุ่มที่ปลอดภัยดีเพราะเรียกตราประทับภูเขาและแม่น้ำคู่หนึ่งออกมาสกัดกั้นปราณกระบี่ผู้นั้น
เจียวเฒ่าชุดทองกระตุกมุมปาก เรื่องแบบนี้ได้คืบแล้วจะเอาศอกไม่ได้ แม้ว่าจะเคียดแค้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้อย่างถึงที่สุด แต่เจียวเฒ่าคิดไว้แล้วว่าจะหยุดมือ ผลได้และผลเสียไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเท่านั้น เรื่องราวในวันนี้อยู่เหนือการคาดการณ์ไปไกลมาก ไม่แน่ว่าอาจจะดึงดูดสายตาของพวกลาดตระเวนชายหาดทะเลใต้ของนาตยทวีปแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรป้องกันไว้ก่อนเป็นดี หากถูกคนจับจุดอ่อน แผนใหญ่จะถูกทำลายเอาได้
เจียวเฒ่าจุ๊ปากพูดยิ้มๆ “น่าเสียดายตราประทับชิ้นนี้นัก สามารถสกัดกั้นหนึ่งกระบี่ที่โจมตีอย่างเต็มกำลังของเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ไม่ใช่สิ่งที่ข้องปลาผุๆ อันหนึ่งจะนำมาเปรียบเทียบด้วยได้ เจ้าหนู คราวนี้เสียดายหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม “หากที่บ้านข้ามีหินดีงูชั้นเยี่ยมของถ้ำสวรรค์หลีจูอยู่เป็นจำนวนมาก ต้องใช้เท่าไหร่ถึงจะสามารถแลกกับการผ่านทางอย่างปลอดภัยของเกาะกุ้ยฮวาได้?”
เจียวเฒ่าชุดทองอึ้งไปเล็กน้อย “เจ้าหมายถึงถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่กลางอากาศด้านหลังแจกันสมบัติทวีปน่ะหรือ? หากเป็นหินดีงูชั้นเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น สำหรับพวกเราแล้วไม่เป็นรองความสำคัญที่แท่นสังหารมังกรชิ้นหนึ่งมีต่อผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเลย เผ่าพันธุ์เจียวหลงขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา เพียงหนึ่งก้อนก็สามารถแลกมาด้วยการเลื่อนขั้นที่มั่นคงหนึ่งขอบเขต ขอข้าคิดคำนวณดูก่อน เกาะกุ้ยฮวาหนึ่งแห่ง กุ้ยฮูหยินหนึ่งคน ชีวิตของผู้ฝึกลมปราณสองพันคน…ไอ้หนู เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามีหินดีงูกองใหญ่เท่านั้นถึงจะได้”
เจียวเฒ่าชุดทองยื่นฝ่ามือสองข้างออกมาพลิกหนึ่งที “อย่างน้อยยี่สิบก้อน เจ้ามีไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ตลอดหลายปีมานี้มอบให้คนอื่นไปเยอะ มีเหลือไม่มากถึงขนาดนั้นแล้ว”
เขาฝืนลุกขึ้นยืน ต้นกุ้ยที่เติบโตมาจากกิ่งกุ้ยหนึ่งกิ่งพังทลายลงเพราะการโจมตีของปราณกระบี่เจียวเฒ่าแล้ว
เฉินผิงอันเก็บพู่กันเหล็กหมาดหิมะและตราประทับแม่น้ำที่เหลืออยู่อันเดียวกลับมาเก็บไว้ในวัตถุฟางชุ่น ใช้เสียงทางจิตส่งสัญญาณ กระบี่บินชูอีและสืออู่ก็พุ่งออกจากร่างของเฉินผิงอันที่จิตวิญญาณสั่นไหว กลับเข้าไปในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ปิดบังอำพราง ถึงอย่างไรเจียวเฒ่าก็มองออกตั้งแต่แรกแล้ว
เจียวเฒ่าชุดทองหรี่ตาลง
กระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องไม้ด้านหลังเด็กหนุ่มสร้างภัยคุกคามให้แก่เขาไม่น้อย
คำสั่งลู่เฉินแผ่นหนึ่งที่สามารถพลิกฟ้าพลิกดิน หินดีงูจากถ้ำสวรรค์หลีจูหนึ่งกอง ตราประทับแม่น้ำและภูเขาหนึ่งคู่ พู่กัน ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ หนึ่งด้าม น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งลูกที่ระดับขั้นไม่เลว อีกทั้งยังแซ่เฉิน
เจียวเฒ่าชุดทองยิ่งแน่ใจว่าการที่ตนหยุดมือในเวลาที่สมควรคือการกระทำที่ฉลาด
น่าเสียดายเหลือเกิน เด็กแบบนี้ หากกระบี่เดียวเมื่อครู่นี้สังหารเขาได้ นั่นต่างหากที่จะกลายมาเป็นภัยร้ายไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ส่วนจุดหักเหทั้งหลายแหล่ที่จะเกิดขึ้นในภายหลัง เขาไม่กลัวเลยสักนิด
เมื่อแข่งกันด้านตบะและขอบเขต อริยะจำลองอย่างเขาคงไม่กล้าประมาท แต่หากแข่งกันทางด้านคนหนุนหลัง เขาไม่คิดจริงๆ ว่าตัวเองจะแพ้ให้กับผู้ใด
เจียวเฒ่าเห็นว่าผู้เฒ่าพายเรือที่ได้รับบาดเจ็บไปถึงพลังต้นกำเนิดมายืนอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่ม สีหน้าเต็มไปด้วยแววระแวดระวังก็เอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “วางใจเถอะ ยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้นมีหน้าตาที่ใหญ่มาก ความกล้าของข้าช่วยให้ข้าลงมือได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เจียวเฒ่าถอนสายตากลับมามองเฉินผิงอันอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ามีหินดีงู ทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก? ไยต้องปล่อยให้เกิดศึกครั้งนี้ ทำลายความปรองดองของทั้งสองฝ่าย?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ากำลังล้อเล่นหรือว่าพูดจริง?”
เจียวเฒ่าสีหน้ามืดทะมึน
ผู้เฒ่าพายเรือหัวเราะหยัน “สถานการณ์ในตอนนั้น เจ้ากุมชัยชนะอยู่ในมือ จะฆ่าคนชิงทรัพย์ยังแทบไม่ทัน ยังจะยอมมานั่งคุยปรึกษากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งดีๆ อย่างนั้นหรือ?”
เจียวเฒ่าชุดทองไม่สนใจคำพูดถากถางจากผู้เฒ่าพายเรือ เขาจ้องเขม็งไปที่เด็กหนุ่ม “ฉลาดเกินไปก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ท่านผู้อาวุโส ท่านกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับสัตว์…กับผู้อาวุโสเจียวเฒ่าท่านนี้เป็นการส่วนตัว”
ผู้เฒ่าพายเรือส่ายหน้า พูดเสียงหนัก “มีภูเขาเขียวย่อมไม่กลัวไร้ฟืน เฉินผิงอัน เจ้ายังเด็ก การฝึกตนบนมหามรรคา อุปสรรคเหล่านี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นโชคหรือภัย ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ…”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ผู้เฒ่าถึงได้รู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ายังคงจมจ่อมอยู่ท่ามกลางความศักดิ์สิทธิ์ของยันต์แผ่นนั้น ไม่อาจดึงตัวออกมาได้เสียที
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ผู้อาวุโส ข้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร”
เฉินผิงอันอยากจะยกมือขึ้นกุมกันเพื่อแสดงถึงการขอบคุณ เพียงแต่ยกมือขวาขึ้นได้แล้ว แขนซ้ายทั้งแขนที่ใช้เขียนตัวอักษรกลับงอไม่ขึ้น เฉินผิงอันจึงกำมือขวาเป็นหมัด ทุบลงที่หัวใจของตัวเองเบาๆ “อีกเดี๋ยวพอข้ากลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาจะเลี้ยงเหล้าผู้อาวุโส”
ผู้เฒ่าพายเรือลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนพยักหน้ารับ กลับไปยังเรือลำเล็กที่อยู่ข้างๆ กันแล้วพายไปยังเกาะกุ้ยฮวาช้าๆ
เมื่อคนพายเรือเฒ่าจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็ตบลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง ชูอีกับสืออู่มาลอยตัวอยู่ตรงไหล่ของเฉินผิงอัน จากนั้นเขาก็เรียกตราประทับแม่น้ำออกมาอีกครั้ง
เจียวเฒ่าชุดทองพูดกลั้วหัวเราะ “ทำไม คิดจะสู้ตายกับข้า?”
เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “พูดคุยกับคนบางคน หากหมัดไม่แข็งพอ ต่อให้เหตุผลดีแค่ไหนก็ฟังไม่เข้าหู ยันต์ตัดโซ่แผ่นก่อนหน้านี้ก็คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ข้าใคร่ครวญได้ข้อนี้เหมาะจะนำมาใช้กับพวกเจ้าเป็นอย่างดี ข้าขอถามคำถามหนึ่ง ตระกูลฟ่านกับกุ้ยฮูหยินตั้งกฎอะไรกับพวกเจ้า ถึงทำให้เจ้าคิดว่าถูกต้องเหมาะสมแล้วที่จะสังหารคนสองพันกว่าคน?”
เจียวเฒ่าเริ่มหงุดหงิด พูดเสียงหนักและเย็นชา “เจ้าคิดว่ากฎข้อนี้ไม่เหมาะสม?”
เขากระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งทีคล้ายไม่ตั้งใจเพื่อตัดการเชื่อมโยงระหว่างสถานที่แห่งนี้กับภายนอก
จากนั้นก็พูดยิ้มๆ ว่า “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเผ่าพันธุ์เจียวหลงอย่างพวกเราที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ จากตอนแรกที่ถูกเนรเทศมาถึงสถานที่ลงหลักปักฐาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าระหว่างทางมีกี่ชีวิตที่ต้องตายไป? และหลายปีที่ผ่านมานี้ กฎเกณฑ์ห่วยแตกที่พวกอริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ทำให้กี่ชีวิตต้องตายไปอย่างอยุติธรรม?”
เฉินผิงอันถามกลับ “เจ้ารู้สึกว่ากฎของลัทธิขงจื๊อไม่ถูกต้อง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้อที่ว่ากฎที่ตั้งให้กับเจ้าถูกหรือไม่? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว ต่อให้อริยะทำไม่ถูกจริงๆ เจ้าก็จะทำผิดตามเขางั้นหรือ? อีกอย่างถ้าเจ้ามีความสามารถ ไปทะเลาะกับอริยะลัทธิขงจื๊อก็ดี ต่อยตีกันก็ช่าง แต่เอาความโกรธมาลงที่เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาจะนับเป็นอะไร?”
เจียวเฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “จะนับเป็นอะไร? ก็แค่ระบายความโกรธแค้นเท่านั้น ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะพอนัก”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้ามองตามนี้ อริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ตบเจ้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวต่างหากที่ถือว่าทำผิด”
เจียวเฒ่าไม่โกรธกลับยังหัวเราะ “ไอ้หนู เจ้าพูดวกไปวนมากับข้าอยู่แบบนี้ คิดจะทำอะไรกันแน่? คิดจะอวดที่พึ่งของเจ้ากับข้า ข่มขู่ข้าว่าวันใดวันหนึ่งข้างหน้า บรรพบุรุษตระกูลเจ้าหรือไม่ก็อาจารย์ผู้ถ่ายทอดความรู้ของเจ้าจะมาหาเรื่องข้ากับร่องน้ำเจียวหลงอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีคนในครอบครัวเหลืออยู่แล้ว แล้วก็ไม่มี…อาจารย์สักคนด้วย”
เจียวเฒ่ารู้สึกงงขึ้นมาในฉับพลัน “นี่เจ้ากำลังรนหาที่ตายอย่างนั้นรึ?”
แล้วเจียวเฒ่าก็พยักหน้ากับตัวเอง “ประหลาดมาก ข้ากลับเชื่อคำพูดของเจ้าซะได้ ก็ดี ในเมื่อเจ้าไม่มีทั้งผู้อาวุโสและอาจารย์ช่วยหนุนหลังให้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เริ่มมีความกล้ามากพอจะสังหารเจ้าแล้ว”
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น