ยอดหญิงสกุลเสิ่น 264.1-265.2

ตอนที่ 264-1 หัวหน้ากลุ่มมือสังหาร

 

 


 


ความพยายามอยู่ที่ไหนความสําเร็จอยู่ที่นั่น ความทุ่มเทของสวีโย่วไม่สูญเปล่า กองปัญจทิศรักษานครถูกเขาสั่งสอนจนเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ อย่างน้อยลูกคุณชายกลุ่มนั้นก็ไม่ขี้แพ้เช่นนั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เดินออกมากำลังวังชาก็มีแล้ว ค่อนข้างควรค่าให้ชื่นชมอย่างยิ่ง นี่ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงยินดีปรีดา แม้แต่ผู้อาวุโสในตระกูลของลูกคุณชายเหล่านั้นก็ยังรู้สึกซาบซึ้งต่อสวีโย่วอย่างถึงที่สุด อย่างไรเสียสามารถมีอนาคตได้ใครจะยอมให้บุตรหลานในบ้านเป็นลูกคุณชายไม่เอาไหนเล่า


 


 


เมื่อฮ่องเต้ยงเซวียนทรงดีพระทัย ก็ไม่เพียงแต่ชื่นชมสวีโย่วในขณะที่ออกว่าราชการ แต่ยังสั่งขันทีให้ส่งบำเหน็จไม่น้อยไปยังจวนผิงจวิ้นอ๋อง แม้ล้วนแต่เป็นของที่ไม่มีประโยชน์มากนัก แต่พระกรุณาส่วนนี้ก็เต็มเปี่ยม นี่ทำให้ขุนนางทั้งหมดตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าผิงจวิ้นอ๋องไม่เพียงแต่ไม่สูญเสียความโปรดปรานจากฮ่องเต้ แต่ยังได้รับความโปรดปรานมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนเสียอีก


 


 


ที่แท้แล้วก่อนหน้านี้สองลุงหลานก็เล่นละครตบตาหรอกหรือ เสียดายที่พวกเขาขุนนางอาวุโสเหล่านี้ยังคุยโวโอ้อวดสติปัญญาตน คาดไม่ถึงว่ามองไม่ออก หากมองออกก็จะได้ช่วยขอความเมตตา สร้างความประทับใจต่อหน้าผิงจวิ้นอ๋อง! ยังคงเป็นราชครูเสิ่นที่สะกดกลั้นอารมณ์อยู่


 


 


เสิ่นเวยจัดวางคนรอบนอกจวนเสนาบดีฉินไว้ไม่น้อย นอกจากคนที่เฝ้าสังเกตจวนเสนาบดีแล้ว นางยังมอบอีกหนึ่งหน้าที่ให้เหล่าทหารลับ ก็คือจับตามองนักท่องราตรีจอมโง่ที่สงสัยว่าเป็นหัวหน้ามือกลุ่มสังหารผู้นั้น เสิ่นเวยวาดภาพเหมือนของเขา มอบให้ทหารลับ


 


 


เย็นวันนี้ เสิ่นเวยได้รับข่าวที่ทหารลับส่งมา บอกว่าพบคนในภาพเหมือนแล้ว ตอนนี้สวีโย่วยังไม่กลับจวน เสิ่นเวยเพียงแค่ลังเลในชั่วขณะจากนั้นก็หยิบหน้ากากหัวจิ้งจอกขึ้นมาออกจากจวนไปเงียบๆ แล้ว โอกาสหาได้ยากจริงๆ!


 


 


“จวิ้นจู่ เขามุ่งไปยังทิศทางออกจากเมืองแล้ว คนของพวกเราตามไปแล้วขอรับ” ตอนที่เสิ่นเวยตามมาถึงทหารลับก็รายงาน


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า ควบม้าไปยังทิศที่ทหารลับชี้ ออกจากเมืองก็ยิ่งดี นอกเมืองกว้างโล่ง เลี่ยงไม่ให้ต้องเก็บมือเก็บเท้าในเมืองจัดการเต็มที่ไม่ได้ เคลื่อนไหวมากไปเล็กน้อยก็ดึงดูดเจ้าหน้าที่ตรวจตรามาอีก เช่นนั้นเรื่องก็จะใหญ่แล้ว


 


 


เสิ่นเวยไล่ตามเครื่องหมายที่ทหารลับทิ้งไว้ไปจนถึงนอกเมืองสิบลี้ เห็นทหารลับสี่คนไกลๆ กำลังตั้งรับกับนักท่องราตรีจอมโง่อยู่ นางสูดหายใจหนึ่งคราห้อตะบึงเข้าไปทันที


 


 


“นายท่าน!” ทหารลับเห็นเสิ่นเวยมาถึงแล้ว ในใจก็โล่งอก


 


 


นักท่องราตรีจอมโง่ฝั่งตรงหน้าเองก็คล้ายถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน ท่าทางเสมือนเห็นคนรู้จัก “ข้ายังคิดว่าใครเสียอีก ที่แท้แล้วสหายเจ้าก็หาข้านี่เอง บอกกันก่อนก็ได้แล้ว จัดแถวสู้รบใหญ่เพียงนี้ ข้ากลัวจะตายแล้ว” เขาตบอก ท่าทางยังคงหวาดกลัว


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับชักกระบี่อ่อนออกมาเสียงดังกังวาน ชี้เขา “ได้ยินชื่อมานานแล้ว หัวหน้ากลุ่มมือสังหาร” เสิ่นเวยกัดฟันแทบจะพูดหนึ่งคำหยุดหนึ่งคำ


 


 


ดวงตาคนผู้นั้นตรงข้ามกะพริบวาบเล็กน้อย กลับยอมรับอย่างง่ายดาย “ปีนี้ทำการค้าอะไรก็ไม่ค่อยรุ่งเรือง บีบให้ข้าที่เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้นี้ต้องจำใจออกม้าทำงานเอง ยังต้องเลี้ยงคนอีกหนึ่งกลุ่มใหญ่”


 


 


เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครา “เลิกพูดจาเหลวไหล ในเมื่อเจ้ายอมรับว่าเป็นหัวหน้าของกลุ่มมือสังหาร เช่นนั้นก็เตรียมรับเถอะ” ข้อมือสะบัด วิ่งพุ่งเข้ามาแทง


 


 


“เดี๋ยวๆๆ สหายเจ้าทำอะไร พวกเราไม่มีความแค้นต่อกัน ต่อสู้ฟาดฟันกันเช่นนี้ทำลายมิตรภาพยิ่งนัก!” หัวหน้ากลุ่มมือสังหารลนลานตั้งรับไปพลาง ตะโกนไปพลาง


 


 


เสิ่นเวยไม่ตอบ เอาแต่ออกกระบวนท่ารวดเร็วและดุดัน ทุ่มเทความคับแค้นที่นางอัดอั้นมาตลอดหนึ่งปีลงบนกระบี่ของนาง ทหารลับสี่คนที่เหลือแบ่งออกมาสองคนช่วยเหลือเสิ่นเวย อีกสองคนก็ยืนคุมกำลังอยู่ที่เดิม ตั้งรับพร้อมสู้ เตรียมวิ่งเข้าไปเป็นกำลังหนุนทุกเมื่อ


 


 


ภายใต้การล้อมโจมตีของคนทั้งสาม หัวหน้ากลุ่มมือสังหารก็สู้ไม่ได้ ชายเสื้อถูกเสิ่นเวยฟันขาดหนึ่งผืนใหญ่ เขาเองก็โมโหเล็กน้อยแล้ว ไม่หลบอีกต่อไป ชักกระบี่อ่อนต่อสู้กับเสิ่นเวยเช่นเดียวกัน


 


 


สู้ไปพลางพูดไปพลาง “แม้ว่าต้องตายเจ้าก็ต้องให้ข้าตายอย่างไร้ข้อข้องใจมิใช่หรือ ตัวข้าหัวหน้าจำไม่ได้ว่ามีสหายเช่นเจ้าเป็นคู่แค้น”


 


 


เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา “นั่นก็เพราะว่าหัวหน้าเช่นเจ้าสูงศักดิ์ขี้ลืม เจ้ามีกิจธุระมากมาย กลางวันทำธุรกิจฆ่าคนนั่น กลางคืนยังนั่งเฝ้าจวนเสนาบดีหางานพิเศษ ไหนเลยจะจำเจ้าทุกข์ที่ถูกเจ้าทำร้ายได้เล่า แต่ว่าความทรงจำของหัวหน้าก็ทำให้คนเป็นห่วงจริงๆ เพิ่งจะผ่านไปปีเดียว หัวหน้าก็ลืมหมดแล้วงั้นหรือ” มุมปากของเสิ่นเวยปรากฏความเหยียดหยัน


 


 


หนึ่งปีหรือ หนังตาหัวหน้ากลุ่มมือสังหารเหลือบขึ้นเล็กน้อย พยายามย้อนนึก แต่กระบี่ของเสิ่นเวยก็ประชิดอยู่ตรงหน้าแล้ว เขารีบหงานตัวไปข้างหลัง แต่กลับหลบไม่พ้นเสียทีเดียว บนลำคอถูกปาดเป็นรอยโลหิตหนึ่งสาย เขาใช้มือลูบ โลหิตเปื้อนทั่วมือ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อย แววตาน่าสะพรึงกลัว เขากุมกระบี่อ่อนที่อยู่ในมือแน่นหันคอไปมา ข้อต่อทั่วทั้งร่างต่างก็ส่งเสียงดัง “ดูท่าแล้ววันนี้สหายจะแตกหักกับข้าให้ได้ใช่หรือไม่”


 


 


เสิ่นเวยก็ยิ่งระมัดระวัง กล่าวอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “เจ้าแตกหักกับข้าก่อน”


 


 


คนทั้งสองต่อสู้กันอีกครั้ง คราวนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ออมแรงอีก ทั้งหมดล้วนใช้ความสามารถทั้งร่างกายออกมา ไม่แปลกใจที่หัวหน้ากลุ่มมือสังหารชำนาญในการลอบสังหาร วิถีวิทยายุทธ์ไม่ฉาบฉวยเลยแม้แต่นิดเดียว แปลกและโหดเ**้ยม


 


 


อันที่จริงกระบวนท่าของเสิ่นเวยก็แตกต่างอย่างเหมือนกัน ล้วนแต่ใช้กระบวนท่าที่สามารถทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้จริงเป็นหลัก ดังนั้นตอนนี้พวกเขาต้องดูที่ว่าใครออกกระบวนท่าได้เร็วกว่า ผู้นั้นก็ไม่กลัวตายยิ่งกว่า


 


 


ทั้งสองคนสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ทหารลับสองคนที่ช่วยต่อสู้ก็ไม่อาจสอดมือเข้าไปได้แล้ว ถือโอกาสถอยไปเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ


 


 


ขณะที่กำลังต่อสู้ จู่ๆ เสิ่นเวยก็ใจเต้น ปากไว้กว่าสมอง “เซี่ยเฟย เจ้าคือเซี่ยเฟย!”


 


 


ร่างหัวหน้ากลุ่มมือสังหารหยุดชะงัก เสิ่นเวยฉวยโอกาสขณะที่เขาใจลอยยกเท้าถีบ ถีบตรงหน้าอกเขาพอดี ถีบเขาถอยหลังไปสามก้าว “สหายว่าอะไร เซี่ยเฟยอะไร ข้าไม่รู้จัก”


 


 


ทว่าเสิ่นเวยกลับอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว ถูกต้อง นางจำไม่ผิดแน่นอน หัวหน้ากลุ่มมือสังหารผู้นี้ตรงหน้ากับเซี่ยเฟยเพื่อร่วมงานของเจียงเฉินที่นางเคยเจอเป็นคนๆ เดียวกัน พวกเขามีนิสัยเล็กๆ ที่เหมือนกัน นั่นก็คือเวลายืนปลายเท้าซ้ายของพวกเขาจะเฉียงออกไปข้างนอกเล็กน้อย ประคองท่าทางวิ่งหนีได้ทุกเมื่อ อีกทั้งเมื่อครู่นางหยั่งเชิงดูแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เผยพิรุธใดๆ ออกมา แต่ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว


 


 


“เหอๆ เซี่ยเฟย นายท่านราชบัณฑิตเซี่ย หัวหน้าของกลุ่มมือสังหารผู้ยิ่งใหญ่วิ่งมาเก็บตัวอยู่ในสำนักราชบัณฑิต ฝ่าบาทรู้หรือไม่ บอกว่าเจ้าไม่เคยวางแผนเลยใครจะเชื่อ ทุกคืนเจ้าไปนั่งเฝ้าอยู่ที่จวนเสนาบดีฉิน ท่านเสนาบดีรู้หรือไม่” เสิ่นเวยมีความสุขแล้ว ความอัดอั้นที่เก็บมานานหนึ่งปีในที่สุดก็ได้ระบายออกมาแล้ว


 


 


“เจ้าเป็นใครกันแน่” ทั่วทั้งร่างหัวหน้ากลุ่มมือสังหารตื่นตัวขึ้นมา “เซี่ยเฟยอะไร สำนักราชบัณฑิตอะไร ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูด”


 


 


“ข้าเป็นใครน่ะหรือ มารดาเจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ เหล่านายท่านผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งกลุ่มออกมือกับหญิงอ่อนแอผู้หนึ่ง กลุ่มมือสังหารของพวกเจ้ายังมีจรรยาบรรณในอาชีพอยู่หรือไม่” เสิ่นเวยถลึงตาโตด้วยความโมโห เสียงกลับคืนเป็นเหมือนเดิมแล้ว


 


 


ดวงตาของหัวหน้ากลุ่มมือสังหารหดเล็ก ร้องอุทานออกมา “เจ้าคือเสิ่น…” หนึ่งปีก่อนกลุ่มมือสังหารเคยรับการค้าลอบสังหารสตรีหนึ่งครั้ง ระดับยาก ราคาสูงอย่างยิ่ง ซ้ำยังล้มเหลว ทำให้เขาสูญเสียเงินมหาศาล เขาจำได้ชัดเจนยิ่งนัก


 


 


“ถูกต้อง คือข้าเอง” เสิ่นเวยกัดฟันกรอดกล่าว


 


 


หัวหน้ากลุ่มมือสังหารแอบสถบเงียบๆ ในใจ เหตุใดถึงได้มาเจอดาวหายนะดวงนี้ สตรีสูงส่งตระกูลเสิ่นผู้นี้เขากลับไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ที่เขากลัวก็คือผิงจวิ้นอ๋องคุณชายใหญ่สวีผู้นั้นข้างหลังนาง คนผู้นั้นจึงจะเป็นคนโหดเ**้ยมที่แท้จริง ขอเพียงแค่จับตามองเจ้า ไม่ตายก็ไม่หยุด ต่อให้เจ้าจะหลบเข้าไปในรูหนูเขาก็สามารถล้วงเจ้าออกมาได้


 


 


ได้ สู้ไม่ได้แล้วจะหลบไม่ได้งั้นหรือ หัวหน้ากลุ่มมือสังหารกัดฟันกระทืบเท้า หมุนตัวทะยานออกไปแล้ว


 


 


“เซี่ยเฟย เจ้ารอข้า รอกูไหน่ไนไปรื้อรังเจ้า” เสิ่นเวยเองก็ไม่ตามไป เพียงแค่ตะโกนเสียงสูง ขณะเดียวกันก็ห้ามทหารลับที่กำลังจะตามไป อย่างไรเสียก็รู้ภูมิหลังของเขาแล้ว หากจะหาเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก


 


 


สำนักราชบัณฑิตใช่หรือไม่ พรุ่งนี้นางจะไปเดินเล่นที่นั่นเสียหน่อย


 


 


หัวหน้ากลุ่มมือสังหารควบม้าออกไปได้ระยะหนึ่ง เห็นว่าไม่มีคนตามมาแล้วจึงลดความเร็วลง หยุดพักอยู่นอกเมืองสักพักแล้วจึงค่อยๆ แอบเข้าไปยังที่พักในเมือง เขาถอดหน้ากากบนใบหน้าออก เป็นราชบัณฑิตหนุ่มเซี่ยเฟยที่งามสง่าอย่างถึงที่สุดผู้นั้นของสำนักราชบัณฑิตจริงๆ เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดรอยเลือดบนลำคอครู่หนึ่ง เจ็บจบร้องโอดโอยหนึ่งคราสูดหายใจเย็นเยียบ แอบบ่นเด็กสาวผู้นี้ ลงมือยังคงโหดเ**้ยมจริงๆ


 


 


นึกถึงเสียงตะโกนของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้นอีกครั้ง ชั่วขณะเซี่ยเฟยก็หวาดกลัวอย่างยิ่ง ด้วยนิสัยของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่กล้าก่อเรื่องแม้แต่ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ พรุ่งนี้นางจะต้องไปที่สำนักราชบัณฑิตแน่นอน และบาดแผลบนลำคอของเขาก็ไม่อาจหายได้อย่างรวดเร็ว นี่ไม่ใช่เป็นหลักฐานมัดตัวหรอกหรือ


 


 


ได้ พรุ่งนี้ลางานแล้วกัน เขาต้องออกไปหลบสักพักหนึ่ง

 

 

 


ตอนที่ 264-2 หัวหน้ากลุ่มมือสังหาร

 

 


 


เสิ่นเวยแทบจะฮัมเพลงกลับจวน เล่าข่าวดีที่น่าตื่นเต้นดีใจข่าวนี้ให้คุณชายใหญ่ของนางอย่างไม่อาจรีรอ “สวีโย่ว ท่านรู้หรือไม่ว่าหัวหน้าของกลุ่มมือสังหารผู้นั้นคือใคร เขาคือเซี่ยเฟย เซี่ยเฟยราชบัณฑิตเซี่ยแห่งสำนักราชบัณฑิต”


 


 


“สำนักราชบัณฑิตงั้นหรือ” สวีโย่วยังคงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยจริงๆ ทันใดนั้นก็ละสายตา กล่าว เจ้าออกไปเองอีกแล้วหรือ”


 


 


เสิ่นเวยสะดุ้งในชั่วขณะ แต่ปากกลับแข็ง “ไม่ใช่เพราะว่าท่านกลับมาดึกเกินไปหรือไร ข้าให้คนจับตามองมาครึ่งเดือนแล้ว กว่าจะเห็นเขาปรากฏตัว โอกาสหาได้ยากนัก!”


 


 


ภายใต้การจ้องมองที่นิ่งงันของสวีโย่ว เสิ่นเวยยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา “เอาล่ะ เอาล่ะ เอาเป็นว่าครั้งหน้าข้ารอท่านไปด้วยกันก็ได้ วันทั้งวันเอาแต่เป็นห่วง มีทหารลับตามไปด้วยจะเกิดอะไรได้ ข้าก็ไม่ได้บอบบางเป็นกระดาษเสียหน่อย” ยังมีอีกหนึ่งประโยคที่เสิ่นเวยไม่กล้าพูด ตอนนั้นนางช่วยเขาไว้ตั้งสองสามครั้ง


 


 


สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่เบะปาก ก็อดถอนหายใจหนึ่งคราไม่ได้ แต่งงานกับภรรยาที่ฝีมือสูงกล้าหาญผู้หนึ่งนอกจากตนจะดูแลให้ดีจะยังมีวิธีใดอีก


 


 


“เวยเวย ข้าไม่ได้ประเมิณความสามารถของเจ้าต่ำ แต่ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถนั่งแท่นหัวหน้าได้ ย่อมต้องมีอุบายของเขา พวกเขามือสังหารเหล่านั้น อุบายเลวชั่วมีถมไป เจ้าเพิ่งจะมีประสบการณ์ได้เพียงกี่ปี หากไม่ระวังกับดักเขาชั่วขณะจะทำอย่างไร” สวีโย่วพยายามเกลี้ยกล่อม เขาไม่มีทางเผชิญหน้ากับผลลัพธ์เช่นนั้นได้ เพียงแค่คิดในใจเขาก็บีบรัดแล้ว เขายังชอบมองเห็นน้องสี่แซ่เสิ่นที่แข็งแรงมีชีวิตชีวาอยู่


 


 


เห็นความหวาดกลัวแวบผ่านใบหน้าสวีโย่ว ความไม่ยินยอมมากมายของเสิ่นเวยก็มลายหายไปในตอนนี้แล้ว กอดเอวของสวีโย่วไว้เอง แนบหน้าลงบนอกเขา รับปากกล่าว “ครั้งนี้เป็นข้าที่ผิดเอง ข้ารับปากท่าน จะไม่มีครั้งหน้าแล้ว” แต่ในใจกลับบ่น อันที่จริงข้าเองก็เป็นปรมาจารย์มือสังหารเช่นกัน อุบายเลวชั่วที่เจ้าว่าอันที่จริงข้าเองก็เชี่ยวชาญ งานนั้นที่นางทำในยุคปัจจุบัน บอกว่าเป็นทหารรับจ้าง ความจริงแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมือสังหาร


 


 


สวีโย่วลูบผมยาดำเป็นประกายของเสิ่นเวย กล่าว “พรุ่งนี้เจ้าก็ไม่ต้องไปสำนักราชบัณฑิตแล้ว ในเมื่อเจ้ารู้ฐานะของเขาแล้ว ซ้ำยังทำให้เขาได้รับบาดเจ็บที่ลำคอ เขาก็คงไม่โง่ไปสำนักราชบัณฑิตรอให้เจ้าไปหาถึงที่หรอก ข้าเดาว่าพรุ่งนี้เขาน่าจะต้องลางาน”


 


 


เสิ่นเวยขมวดคิ้วมุ่นในชั่วขณะ คิดครู่หนึ่งจึงกัดฟันกล่าว “ไม่เป็นไร เขาไม่ไปสำนักราชบัณฑิต ข้าก็ไปหาที่บ้านเขาได้”


 


 


“แม้แต่สำนักราชบัณฑิตเขายังไม่ไป แล้วจะรอเจ้าอยู่ในบ้านหรือไร อ้อจริงสิ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคือเซี่ยเฟยราชบัณฑิตเซี่ย” สวีโย่วถามอย่างแนบเนียน


 


 


นี่เองก็ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง “เขาไม่ใช่เป็นเพื่อนร่วมงานของเจียงเฉินหรือไร ข้าจึงเคยเห็นเขาครั้งหนึ่ง ภายหลังเห็นเขาอีกครั้งในโรงน้ำชา แต่เขาไม่เห็นข้า โชคดีที่ข้าเห็นเขา มิเช่นนั้นก็คงไม่รู้จริงๆ ว่าเขาก็คือหัวหน้ากลุ่มมือสังหาร”


 


 


ดวงตาสวีโย่วกะพริบวาบเล็กน้อย พยักหน้า จากนั้นก็เขยิบเข้าไปใกล้หูของเสิ่นเวย “หากเวยเวยอยากล่อเขาออกมา ข้ากลับมีวิธีดี” เขากระซิบเสียงเบาข้างหูเสิ่นเวยหลายประโยค


 


 


เสิ่นเวยยิ่งฟังก็ยิ่งดีใจ พยักหน้าไม่หยุด ดวงตาเป็นประกายอย่างถึงที่สุด ดี ดีจริงๆ ยังคงเป็นคุณชายใหญ่ของนางที่มีวิธี แต่งงานกับสามีที่มีสติปัญญาก็ดีเช่นนี้นี่เอง!


 


 


เจียงเฉินที่หมั้นหมายแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไรนัก ยังคงไปทำงานที่สำนักราชบัณฑิตทุกวัน ถึงเวลาแล้วก็เดินทอดน่องกลับบ้าน บางครั้งก็ถือของขวัญหลายอย่างไปดื่มสุราเป็นเพื่อนว่าที่พ่อตาที่ตระกูลฉิน พูดคุยเป็นเพื่อนว่าที่แม่ยาย ไปมาหาสู่ คนทุกระดับชั้นในตระกูลฉินล้วนแต่ชอบเขาอย่างยิ่ง


 


 


ต้าอู่เสี่ยวอู่สองคนเป็นกังวลทั้งจิตใจ เสี่ยวอู่สะกิดพี่ชายเขาแล้วกล่าว “ท่านพี่ ท่านว่านายท่านคิดอะไรอยู่หรือ ดีใจจนเสียสติไปแล้วหรือ”


 


 


ครบหนึ่งเดือนที่ได้ข่าวจากบ้านเก่า บอกว่าคุณชายใหญ่ในจวนไม่อยู่แล้ว นายท่านได้รับข่าวบนใบหน้าก็ไม่มีสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ทว่าคืนนั้นกลับดื่มสุราเมามายหัวปักหัวปำ ซ้ำยังใช้ตะเกียบเคาะชามร้องเพลงครึ่งคืน


 


 


บ่าวรับใช้ในจวนต่างก็บอกว่านายท่านเสียใจอย่างหนัก มีเพียงพวกเขาพี่น้องที่รู้ว่านายท่านไม่ได้เสียใจ นายท่านเกลียดคุณชายใหญ่ อยากจะกินเนื้อเขาสดๆ ให้ได้ คุณชายใหญ่ตายแล้ว นายท่านยังไม่ทันจะดีใจ ไหนเลยจะเสียใจได้ ไม่เห็นหรือว่าไม่กี่วันก่อนนายท่านพยายามหาข้ออ้างจุดประทันกว่าครึ่งชั่วยาม


 


 


“อย่าพูดมั่วซั่ว คุณชายใหญ่ไม่อยู่แล้ว ในใจนายท่านไม่สบายใจ” อย่างไรเสียต้าอู่ก็สุขุมกว่าเล็กน้อย มองไปรอบด้าน เห็นว่าไม่มีบ่าวคนอื่นจึงกล่าว “ระวังปากเจ้าให้ดี อย่าหาเรื่องมาให้นายท่าน” พี่ชายคนโตเสียชีวิต ผู้เป็นน้องชายไม่โศกเศร้าแต่ดีใจ หากเรื่องดังออกไปนายท่านจะยังเป็นขุนนางได้อย่างไร


 


 


เสี่ยวอู่เองก็มองซ้ายมองขวาตามพี่ชายของเขา บ่นพึมพำ “ไม่ใช่ว่าไม่มีคนหรือไร” เขาไม่ใช่เด็กสามขวบ ยังจะไม่รู้หนักเบาได้อย่างไร


 


 


“ท่านพี่ ท่านว่าเหตุใดนายท่านถึงแต่งงานกับคุณหนูตระกูลฉินเล่า กูไหน่ไนผู้นั้นไม่ถูกกับนายท่านเสนาบดีฉิน นายท่านแต่งงานกับคุณหนูตระกูลฉินไม่ใช่ว่าจะ…” เสี่ยวอู่เลิกคิ้ว ไม่ได้พูดต่อ


 


 


ต้าอู่เข้าใจความหมายของน้องชาย เขาขมวดคิ้วคิดครู่หนึ่ง คิดๆ ดูแล้วก็คิดต้นสายปลายเหตุไม่ออก หากบอกว่านายท่านเพิกเฉยคุณหนูสี่แซ่เสิ่น ก็ไม่เหมือนมากนัก ตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าเมืองหลวง ข่าวทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณหนูสี่ผู้นั้นนายท่านก็เฝ้าดูอยู่เงียบๆ แม้แต่ร้านค้าสำนักคุ้มภัยกลุ่มนั้นใต้บังคับบัญชาของนางก็ยังเฝ้ามองอยู่เงียบๆ มีข่าวสำคัญอะไรก็ยังส่งคนออกไปเงียบๆ เพียงแค่เป็นเรื่องของคุณหนูสี่ผู้นั้นในตอนนี้ล้วนแต่ใส่ใจทั้งสิ้น


 


 


แต่นายท่านหมั้นหมายคู่หมั้นตระกูลนี้หมายความว่าอย่างไร ครอบครัวของว่าที่ฮูหยินอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกันกับท่านเสนาบดีฉิน ซ้ำยังอยู่ในห้าลำดับญาติ นายท่านแต่งงานกับคุณหนูฉินใช่จะถือเป็นการอยู่ฝั่งท่านเสนาบดีฉินหรือไม่


 


 


ต้าอู่เองก็ไม่เข้าใจว่านายท่านคิดอะไรอยู่ “นายท่านทำอะไรย่อมมีเหตุผลของเขา พวกเราฟังคำสั่งก็พอแล้ว” สุดท้ายต้าอู่ก็กล่าวกับน้องชายเขาเช่นนี้


 


 


เจียงเฉินในห้องหนังสือได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของอู่ต้าเสี่ยวอู่สองคนข้างนอก ยกยมุมปากยิ้ม เพียงแค่แต่งภรรยาแซ่ฉินมิใช่หรือ มีอะไรสำคัญ เพียงแค่ตระกูลฉินบังเอิญชอบเขา เขาเองก็รู้สึกว่าคุณหนูฉินไม่เลว แต่งก็แต่ง จะมีผลกระทบอะไรได้


 


 


งานสมรสของสวีฉั่งคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋องเองก็กำหนดวันนานแล้ว พระชายาจิ้นอ๋องอยากอุ้มหลานชายในเร็ววัน จึงเลือกฤกษ์มงคลในเดือนสิบ พิธีดูสมพงษ์มอบสินสอดต่างๆ ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยไม่ได้สนใจอย่างสิ้นเชิง ได้ยินเพียงสาวใช้ที่ออกไปเชยชมเอ่ยขึ้น บอกว่าขบวนยกสินสอดยาวอย่างยิ่ง ไม่ต่างอะไรจากสินสอดในตอนแรกที่คุณชายใหญ่ยกมายังจวนจงอู่โหว


 


 


เสิ่นเวยแสยะปาก บอกว่าไม่ต่าง ยังคงต้องต่างเล็กน้อย คุณชายใหญ่ของนางเป็นบุตรชายภรรยาเอกคนโตที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นจวิ้นอ๋อง น้องชายลำดับล่างเทียบได้หรืออย่างไร ต่อให้พระชายาจิ้นอ๋องจะกระอักเลือดก็ไม่มีหนทาง


 


 


ฤกษ์สมรสของสวีฉั่งคือวันที่สิบแปดเดือนสิบ ฤกษ์สมรสของหร่วนเหิงลูกผู้พี่ของเสิ่นเวยจัดขึ้นในวันที่แปดเดือนสิบ เสิ่นเวยสั่งให้แม่นมมั่วไปช่วยเหลือจัดการที่จวนฝั่งมารดานางแต่เนิ่นๆ แล้ว ทาสีลานบ้านเก็บกวาดห้อง เสิ่นเวยก็ยิ่งไปบัญชาการด้วยตัวเอง นางยังพาบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งในจวนไปช่วยอีกด้วย ชั่วขณะจวนแม่ทัพใหญ่หร่วนที่สงบเงียบก็ครึกครื้นขึ้นมา


 


 


คนที่มีความสุขที่สุดก็คงไม่พ้นลูกผู้น้องหร่วนเหมียนเหมี่ยน ไม่เพียงแต่ได้พบลูกผู้พี่ทุกวัน มิหนำซ้ำในไม่ช้านางก็จะมีพี่สะใภ้ที่งดงามมากความสามารถแล้ว ถึงตอนนั้นผ่านไปหนึ่งปีครึ่งปี พี่สะใภ้มีหลานชายหรือหลานสาวให้นาง ก็จะยิ่งสมบูรณ์แบบ


 


 


หร่วนเหิงกับท่านตาของเขาหร่วนเจิ้นเทียนก็มีเรื่องมงคลให้สบายอารมณ์ โดยเฉพาะหร่วนเจิ้นเทียน สีหน้านั่นแดงก่ำราวกับเด็กลงสิบปี ภายใต้การปรนนิบัติของบ่าวรับใช้คนสนิทเขาเปลี่ยนชุดที่หลานสาวตาทำให้เขากับมือ มองซ้ายมองขวาอยู่หน้ากระจก มุมปากยกสูงอย่างยิ่ง!


 


 


“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าข้าแก่เพียงนี้แล้วยังได้เห็นวันนี้ที่เหิงเอ๋อร์แต่งงาน รอให้การหมั้นหมายของเหมียนเอ๋อร์ตกลงปลงใจได้ข้าก็คลายความกังวลทั้งหมดแล้ว นี่ล้วนแต่โชคดีที่ได้เวยเอ๋อร์!” หร่วนเจิ้นเทียนลูบหนวด สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


 


บ่าวรับใช้คนสนิทเองก็ยิ้มแย้ม “ดูแม่ทัพพูดเข้า ท่านน่ะยังต้องอุ้มหลานชายก่อน รอฮูหยินเล็กเข้าเรือนมา สามปีท้องสอง ท่านก็รอสอนสั่งหลายชายเถิด”


 


 


“ดูเจ้าพูดเช่นนี้ข้าแก่ปูนนี้แล้วยังต้องพยายามมีชีวิตต่อไปอีกหลายปี” หร่วนเจิ้นเทียนหัวเราะร่าอย่างสบายใจ


 


 


บ่าวรับใช้คนสนิทคล้อยตาม “มิใช่หรือไร บ่าวหวังให้แม่ทัพท่านอายุยืนนานร้อยปี บ่าวเองก็ต้องทุ่มแรง พยายามรับใช้แม่ทัพท่านไปอีกสามสิบปี”


 


 


“เช่นนั้นพวกเราก็คงเป็นปีศาจเฒ่าแล้วล่ะ!” นายบ่าวสองคนหัวเราะร่าอีกพักหนึ่ง ในเสียงหัวเราะต่างก็แฝงไปด้วยความสุข ตอนที่หร่วนเจิ้นเทียนไม่สังเกตเห็น บ่าวรับใช้คนสนิทหันหลังไปปาดน้ำตาตรงหางตาเงียบๆ กี่ปีแล้วที่แม่ทัพไม่ได้มีความสุขเช่นนี้ ขอบคุณคุณหนูลูกผู้น้องอย่างยิ่งจริงๆ!


 


 


หร่วนเจิ้งเทียนไหนเลยจะมองไม่เห็น เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่เห็นก็เท่านั้นเอง ในใจเขาก็มีความรู้สึกร้อยแปดพันเก้า ไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าจวนแม่ทัพใหญ่หร่วนจะยังมีวันนี้ได้ หลานชายมีงานมีการ อีกประเดี๋ยวหลานสะใภ้ก็แต่งเข้าจวนแล้ว ตระกูลหร่วนมีความหวังอันรุ่งโรจน์แล้ว! ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโชคดีที่เขามีหลานสาวตาที่ดีมีความสามารถผู้หนึ่ง


 


 


หร่วนเจิ้นเทียนเรียกหลานชายหลานสาวมาตักเตือนตรงหน้า “ตระกูลหร่วนของพวกเราเหลือเพียงพวกเจ้าพี่น้องสองคนแล้ว อาเจ้าเองก็มีเพียงเวยเอ๋อร์กับเจวี๋ยเอ๋อร์สองคน เวยเอ๋อร์ปฏิบัติต่อพวกเจ้าเช่นไรพวกเจ้ารู้ดีแก่ใจ ต่อจากนี้ต้องปฏิบัติต่อเวยเอ๋อร์ให้เหมือนญาติพี่น้องของตน เหิงเอ๋อร์ แม้ลูกผู้น้องเจ้าจะอายุน้อยกว่าเจ้า แต่กลับมั่นคงยิ่งกว่าเจ้ามาก เจ้าไม่เพียงแต่ต้องปกป้องนาง ยังต้องเคารพนาง มีเรื่องอันใดก็ไปปรึกษาหารือกับนางให้มาก”


 


 


“ท่านปู่ ท่านวางใจเถิด หลานทราบว่าต้องทำเช่นไร” หร่วนเหิงพยักหน้าอย่างตั้งใจจริง


 


 


หร่วนเหมียนเหมี่ยนเองก็พยักหน้าไม่หยุด “ลูกผู้พี่เป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของข้า!” ตอนนี้เสื้อผ้าที่นางสวมอยู่ เครื่องประดับที่เต็ม**บเครื่องประดับ สิ่งของสวยงามที่ไว้ชมเล่น ชิ้นไหนบ้างไม่ใช่ของที่ลูกผู้พี่ให้นาง แม้แต่ของว่างอร่อยๆ บางอย่าง ลูกผู้พี่ก็ยังสั่งคนให้ส่งมาให้นางชิม อย่าว่าแต่พี่สาว แม้แต่มารดายังเทียบไม่ได้


 


 


งานสมรสของหร่วนเหิงครึกครื้นอย่างมาก คนที่มาอวยพรถึงหน้าประตูก็เยอะอย่างยิ่ง นอกจากเพื่อนร่วมงานของหร่วนเหิง ญาติที่มีความเกี่ยวข้องกับจวนจงอู่โหว ขุนนางใหญ่ๆ เล็กๆ ในเมืองหลวงก็มาไม่น้อย ในนั้นมีจำนวนหนึ่งที่พุ่งเป้ามายังเสิ่นเวยกับสวีโย่ว


 


 


จวนแม่ทัพใหญ่หร่วนตกต่ำแล้ว ทหารองครักษ์ขั้นห้าอย่างหร่วนเหิงก็ไม่ควรค่าให้พวกเขามองเห็นอยู่ในสายตา แต่เจ้าไม่เห็นหรือว่าคนที่ออกหน้าจัดการให้จวนแม่ทัพใหญ่หร่วนคือจยาฮุ่ยจวิ้นจู่กับผิงจวิ้นอ๋อง ไม่เพียงแต่เรื่องของขวัญอวยพร แต่สามารถมาปรากฏหน้าต่อหน้านายสองท่านนี้ได้ ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างยิ่งแล้ว


 


 


เมื่อมาเช่นนี้ โต๊ะก็ไม่พอแล้ว โชคดีที่จวนแม่ทัพใหญ่กว้างโล่งอย่างถึงที่สุด สั่งโต๊ะอาหารยี่สิบโต๊ะจากเหลาสุรามาวางไว้ในห้องรับแขกในสวนดอกไม้และศาลาริมน้ำ จึงเพียงพอให้รองรับได้


 


 


วันนี้เสิ่นเวยยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ปากก็ยิ้มจนแข็งทื่อ แม้ว่าจะอยู่ในจวนตัวเองนางก็ไม่เคยใส่ใจเพียงนี้มาก่อน แต่ว่านางก็มีความสุขจริงๆ ต่อให้เหนื่อยก็ยังมีความสุข


 


 


ลูกผู้พี่แต่งงานแล้ว มีสะใภ้ลูกผู้พี่มาดูแลบ้านหลังนี้ นางเองก็สามารถคลายความกังวลได้แล้ว จะไม่มีความสุขได้อย่างไร

 

 

 


ตอนที่ 265-1 ซูหว่านมาเยือนบ้าน

 

ยุ่งเรื่องงานสมรสของลูกผู้พี่หร่วนเหิงเสร็จแล้ว ชั่วพริบตาก็ถึงวันสมรสของคุณชายสี่สวีฉั่ง งานแต่งงานของเขาเสิ่นเวยย่อมไม่ต้องเป็นกังวล แต่วันแต่งงานเสิ่นเวยยังคงต้องไปช่วยต้อนรับแขก


 


 


เช้าตรู่ เสิ่นเวยกับสวีโย่วก็สวมชุดที่เหมาะสมพาสาวใช้เด็กรับใช้ไปจวนจิ้นอ๋องไปเคารพท่านจิ้นอ๋องสองสามีภรรยาในห้องหลักก่อน จิ้นอ๋องมองเขาสองคนปราดหนึ่ง สีหน้าบนใบหน้าเรียบเฉย กล่าวเพียง ‘อืม’ หนึ่งคราเท่านั้น พระชายาจิ้นอ๋องเห็นสองคนนี้ก็รู้สึกขัดหูขัดตา โดยเฉพาะทั้งสองที่แม้จะไม่ได้สวมชุดตามขั้นลำดับ แต่บนร่างก็สวมเครื่องแต่งกายตามระเบียบของจวิ้นอ๋องและจวิ้นจู่! หน้าตาทั้งสองก็โดดเด่นอยู่แล้ว ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นเจ้าภาพเสียเอง


 


 


แต่วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของลูกชายคนเล็ก ต่อให้ในใจพระชายาจิ้นอ๋องจะหงุดหงิดแต่ก็ไม่อาจแสดงสีหน้าออกมาได้ ยังต้องแสดงท่าทีใจกว้างอ่อนโยนของผู้เป็นแม่ออกมา “วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของฉั่งเอ๋อร์ พวกเจ้าที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้วันนี้ก็ต้องเหนื่อยมากหน่อย ช่วยรับแขก ผ่านวันนี้ไปก็ให้ฉั่งเอ๋อร์ยกน้ำชาขอบคุณพวกเจ้า”


 


 


เสิ่นเวยกล่าว “พระชายากล่าวเกินไปแล้ว ขอบคุณไม่ขอบคุณอะไร น้องชายตัวเองแต่งงาน พวกข้าที่เป็นพี่ชายพี่สะใภ้ช่วยจัดการงานเดิมก็เป็นสิ่งสมควรอยู่แล้ว”


 


 


ทว่าสวีโย่วกลับกล่าว ‘อืม’ ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเพียงเท่านั้น ทำให้เสิ่นเวยทอดถอนใจทั้งเขาและจิ้นอ๋องสมกับที่เป็นพ่อลูกจริงๆ!


 


 


เจ้าบ่าวสวีฉั่งสวมชุดมงคลสีแดงสดโอ้อวดตนกับสวีโย่วอย่างอารมณ์ดี “พี่ใหญ่ น้องสวมชุดนี้ก็ไม่ได้แย่ไปกว่าตอนที่ท่านไปรับตัวพี่สะใภ้ใหญ่ใช่หรือไม่”


 


 


สวีโย่วชายตามองเขาปราดหนึ่ง กล่าว ‘อืม’ อีกครั้ง ทว่าเสิ่นเวยกลับเบ้ปาก สวีฉั่งไหนเลยจะเทียบกับคุณชายใหญ่ของนางได้ ไม่ต้องพูดถึงเรือนร่างที่สูงสง่านั่น เพียงแค่ใบหน้านั่นก็ตามไม่ทันเขาอย่างสิ้นเชิง คุณชายใหญ่ของนางสวมชุดแต่งงานหล่อเหลาประหนึ่งเทวดาตกลงมาจากสวรรค์


 


 


สวีฉั่งเองก็ไม่ถือสาที่พี่ชายเขาพูดน้อย หัวเราะหึๆ ลากพี่ชายเขามาอีกฝั่ง กล่าวอย่างลับๆ ล่อๆ “พี่ใหญ่ ครั้งก่อนที่ท่านพูดไว้ห้ามผิดสัญญา วันนี้น้องแต่งงานแล้ว หญิงงามท่านต้องเตรียมไว้ให้ข้าด้วย”


 


 


หึ เด็กคนนี้ยังคิดถึงแต่หญิงงามของเขาอยู่เลย วันมงคลใหญ่ก็ยังไม่ลืม


 


 


ใบหน้าพระชายาจิ้นอ๋องดำลงในชั่วขณะ กล่าวตำหนิ “ฉั่งเอ๋อร์ พูดจาเหลวไหลอะไร ยังไม่รีบลงไปเตรียมรับตัวเจ้าสาวอีก อย่าทำให้เสียฤกษ์”


 


 


ท่านจิ้งอ๋องเองก็โมโหเล็กน้อย “ฉั่งเอ๋อร์ แต่งงานแล้วก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว ห้ามเจ้าทำตัวเลอะเทอะเหมือนอย่างแต่ก่อนอีก”


 


 


“ทราบแล้ว เสด็จพ่อเสด็จแม่” สวีฉั่งปากตอบรับ แต่ดวงตากลับจ้องมองสวีโย่ว วางท่าทางหากเขาไม่รับปากตนก็จะไม่ไป


 


 


สวีโย่วทำได้เพียงพยักหน้า “วางใจ พี่พูดคำไหนเป็นคำนั้น”


 


 


สวีฉั่งจึงแสยะปากยิ้มลงไปเตรียมรับตัวเจ้าสาว ปล่อยให้พระชายาจิ้นอ๋องโมโหจนศีรษะเต้นตุบๆ


 


 


ตอนเช้าสินเดิมแห่เข้ามา แม้ว่าเสิ่นเวยไม่ได้สนใจแต่เสียงถกเถียงของแขกและคนรับใช้ทั้งหลายก็ลอยเข้ามาในหูของนาง ฉินอิงอิงที่เป็นคุณหนูของจวนเสนาบดีฉิน ซ้ำยังแต่งงานกับคุณชายของจวนผิงจิ้นอ๋อง สินเดิมย่อมน้อยไม่ได้ หามหนึ่งร้อยยี่สิบคานเต็มๆ อีกทั้งที่หามอยู่ข้างหน้าสองคานยังเป็นสินเดิมที่ซูเฟยเหนียงเหนียงพระราชทานให้จากในวัง มีเกียรติอย่างถึงที่สุด


 


 


ทุกคนมองสินเดิมแต่ละคานๆ เข้ามาในประตูใหญ่จวนจิ้นอ๋อง แห่ตามทางเส้นใหญ่ประตูกลางเข้าไปในลานบ้านคุณชายสี่ด้วยความสนอกสนใจ ชี้ไม้ชี้มือวิพากษ์วิจารณ์ เนื้อหาที่วิจารณ์หนีไม่พ้นการเปรียบเทียบสินเดิมของเจ้าสาวกับสินเดิมของจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ที่แต่งงานกับคุณชายใหญ่จวนจิ้นอ๋องเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่กว่าสักเท่าไร ทอดถอนใจที่จวนจิ้นอ๋องมีวาสนาดีจริงๆ ภรรยาที่แต่งเข้ามาแต่ละคนล้วนมีสินเดิมมากมายมหาศาล


 


 


ทว่าเถาฮวาที่วิ่งออกไปดูความครึกครื้นเที่ยวหนึ่งกลับเบะปาก กล่าวด้วยความไม่ยินยอม “เหอะ สินเดิมของนางเทียบคุณหนูไม่ได้เลย หนึ่งคานของนางหามกันสองคน เบาหวิว ของคุณหนูต้องใช้ตั้งสี่คนจึงจะหามได้ มิหนำซ้ำ**บยังใหญ่ยิ่งกว่า”


 


 


เสิ่นเวยหลุดหัวเราะ ลูบใบหน้าเล็กๆ ของเถาฮวา กล่าวหยอกล้อ “เอ๋ เถาฮวาของข้าแยกแยะความเป็นจริงของสินเดิมออกแล้ว พัฒนาแล้ว”


 


 


เถาฮวากระทืบเท้า มองเสิ่นเวยด้วยความไม่พอใจ “ข้าแยกแยะเป็นนานแล้ว พี่หลีฮวากับพี่เย่ว์กุ้ยต่างก็สอนข้าแล้ว มีคนที่ไม่ได้ร่ำรวยทำเพื่อศักดิ์ศรีให้ดูดี สินเดิมหนึ่งคานแบ่งหามเป็นสองคาน อันที่จริงข้างในวางได้ไม่เต็ม เมื่อครู่ข้าแอบเปิดดูแล้ว **บยังเหลือที่เยอะเท่านี้กว่าจะเต็ม” เถาฮวาใช้มือเทียบ


 


 


เสิ่นเวยมองไปที่เย่ว์กุ้ย เย่ว์กุ้ยพยักหน้าให้นาง วันนี้เสิ่นเวยพาเถาฮวามาร่วมพิธี อดคุมนางไว้ข้างกายไม่ได้ เป็นห่วงว่าจะมีคนไม่ดูตาม้าตาเรือยั่วยุให้นางก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก จึงให้เย่ว์กุ้ยอยู่ข้างกายนาง


 


 


ด้วยเหตุนี้เสิ่นเวยจึงมองใบหน้าที่ตั้งใจจริงของเถาฮวา กล่าวเสียงอ่อนโยน “อืม เถาฮวาพัฒนาไม่น้อยแล้ว แต่พวกเรารู้ดีอยู่แก่ใจก็พอแล้ว ไม่อาจป่าวประกาศออกไปได้ อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา”


 


 


เถาฮวาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เถาฮวาไม่พูด”


 


 


เสิ่นเวยยิ้มชื่นชมนางอีกครั้ง เถาฮวาก็มีความสุขแล้ว


 


 


บอกว่าช่วยรับแขก อันที่จริงคนที่มีคุณสมบัติเพียงพอให้เสิ่นเวยต้อนรับด้วยตัวเองมีไม่เยอะจริงๆ นางนั่งอยู่ในสวนดอกไม้ แม่นมมั่วข้างกายนางนำสาวใช้เล็กไปรับแขกที่ประตูใหญ่แทนนาง สาวเล็กที่ต้องการให้นางออกหน้าก็วิ่งเข้ามาแจ้งอีกครั้ง กว่าครึ่งเช้าผ่านไปแล้ว คนที่จำเป็นต้องให้เสิ่นเวยออกมาต้อนรับเองก็มีเพียงองค์หญิงใหญ่ผู้เดียว


 


 


เทียบกับความสบายของเสิ่นเวย ฮูหยินซื่อจื่ออู๋ซื่อยุ่งอย่างมาก แม้ว่านางเองก็ส่งแม่นมอู๋ข้างกายออกไปรับแขกแทนนาง แต่การจัดการทั้งหมดในจวนล้วนต้องให้นางดูแลด้วยตัวเอง เหล่าพ่อบ้านยังคงเข้ามารายงานอยู่บ่อยครั้ง นางยุ่งจนไม่ได้ดื่มแม้แต่น้ำ


 


 


อันที่จริงคนที่ว่างที่สุดยังไม่ใช่เสิ่นเวย แต่เป็นฮูหยินสามหูซื่อ นางถูกสาวใช้พยุงออกมาโผล่หน้าโผล่ตาจากนั้นก็กลับเรือนตัวเองไปพักผ่อนแล้ว


 


 


แขกทยอยกันมาอย่างต่อเนื่อง แขกผู้ชายมีคนพาไปที่เรือนหน้า เหล่าญาติผู้หญิงก็รวมตัวกันอยู่ที่เรือนหลัง ในสวนดอกไม้นั่งไม่พอ ยังมีศาลาริมน้ำ คนที่ไม่อยากนั่งพูดคุยก็สามารถไปชมงิ้วได้


 


 


จวนจิ้นอ๋องเชิญคณะงิ้วที่มีชื่อในเมืองหลวงมา นอกจากนี้ยังเชิญนักแสดงงิ้วนางรำมีชื่อมาอีกจำนวนหนึ่ง


 


 


เสิ่นเวยดูงิ้วเป็นเพื่อนองค์หญิงใหญ่ แม้นางจะไม่ชอบงิ้ว แต่ความอดทนก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หางตาองค์หญิงใหญ่กวาดมองเสิ่นเวยที่อมยิ้มบางๆ ข้างมุมปาก พยักหน้าในใจ อืม เป็นคนที่ควบคุมอารมณ์ได้ ภรรยาผู้นี้ของโย่วเอ๋อร์กลับแต่งไม่ผิดคน


 


 


สำหรับคนอื่นที่บอกว่าภรรยาโย่วเอ๋อร์ร้ายกาจ องค์หญิงใหญ่กลับไม่ได้ใส่ใจ แม้แต่ผู้ชายของตัวเองยังปกป้องไม่ได้ เกิดเรื่องแล้วก็ไม่มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ สตรีเช่นนี้นางไม่ถูกชะตา


 


 


ตัวองค์หญิงใหญ่เองก็เป็นคนแข็งแกร่ง หากนางไม่แข็งแกร่ง ต่อให้จะมีการดูแลจากฝ่าบาท ด้วยความที่เป็นองค์หญิงหม้ายลูกสองเช่นนางก็ยากอย่างยิ่งที่จะยืนอยู่ในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถมีอำนาจที่ทุกคนล้วนไม่อาจมองข้ามได้เช่นทุกวันนี้ ดังนนั้นองค์หญิงใหญ่จึงถูกชะตาเสิ่นเวยอย่างถึงที่สุด


 


 


“สตรีอายุน้อยเหล่านี้เช่นพวกเจ้าไม่ค่อยชอบดูการแสดงเหล่านี้มิใช่หรือ” องค์หญิงใหญ่มองเสิ่นเวยอย่างเป็นมิตร ท่าทางเข้าอกเข้าใจ


 


 


เสิ่นเวยเองก็จริงใจอย่างยิ่ง “หลานเองก็เพียงแค่เห็นว่าสนุกสนาน ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดเช่นกัน” เพียงแค่เข้าใจเนื้อหาของเรื่องส่วนใหญ่ รู้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร ส่วนท่วงทำนองที่เอื้อนเอ่ยนั้น นางแทบจะไม่เข้าใจ


 


 


องค์หญิงใหญ่ยิ้ม กล่าว “ดูไปเยอะๆ แล้วก็จะเข้าใจเอง แต่ว่าสตรีอายุน้อยเหล่านี้เช่นพวกเจ้าก็มีไม่กี่คนที่ชอบดู”


 


 


เสิ่นเวยลูบจมูก ยิ้มแต่ไม่พูด


 


 


องค์หญิงใหญ่เปลี่ยนเรื่อง “ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ โย่วเอ๋อร์เป็นคนเย็นชา นิสัยก็ดื้อรั้น หากเขาทำเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าโมโหเจ้าก็มาบอกข้า อาจะสั่งสอนเขาแทนเจ้าเอง”


 


 


ผู้ใหญ่ในครอบครัวพูดตามมารยาท เสิ่นเวยย่อมไม่โง่คิดเป็นจริง นางปิดปากหัวเราะเบาๆ “ขอบคุณเสด็จอาที่เอ็นดูหลาน คุณชายใหญ่ปฏิบัติต่อหลานดีนัก เสด็จอาวางใจ คุณชายใหญ่สุขภาพไม่ค่อยดี หลานยอมให้เขามากหน่อยจะเป็นอะไรไป” ขณะที่พูดยังกะพริบตาปริบๆ


 


 


“เจ้าเองก็หยอกเย้าคนเก่ง” องค์หญิงใหญ่ถูกนางหยอกล้อ ตบมือของเสิ่นเวย กล่าว “อารู้ว่าเจ้าเป็นคนดี คำติฉินนินทาเหล่านั้นข้างนอก อย่าได้ไปสนใจ!” ท่าทางชื่นชมอย่างถึงที่สุด


 


 


คนทั้งสองสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ทำให้คนรอบข้างพากันชายตามอง บุคคลที่สามารถนั่งอยู่ข้างพวกนางได้ ล้วนแต่เป็นคนมีฐานะ นอกจากราชนิกุลแล้วก็เป็นฮูหยินที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นสูงสุดและขั้นหนึ่ง


 


 


องค์หญิงเป็นใคร นั่นคือน้องสาวที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดเชื่อใจที่สุดของฝ่าบาท นางพูดหนึ่งประโยคมีผลยิ่งกว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พูดสิบประโยค ซ้ำยังเคยกุมอำนาจการทหารมาก่อน แม้ว่าจะเป็นตอนนี้ในกองทัพก็มีผลกระทบอย่างมาก เอ่ยถึงองค์หญิงใหญ่ บุรุษในกองทัพมีใครบ้างที่ไม่ชื่นชมว่าเป็นวีรสตรี


 


 


สามารถได้รับความสนใจจากองค์หญิงใหญ่ได้ล้วนแต่มีเกียรติอันใหญ่หลวง ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ทุกคนต่างก็อิจฉาริษยาเสิ่นเวยที่ได้รับความโปรดปรานจากองค์หญิงใหญ่

 

 

 


ตอนที่ 265-2 ซูหว่านมาเยือนบ้าน

 

“เสด็จอา น้องสะใภ้” ในตอนนี้เอง ฮูหยินซื่อจื่อจวนกงอ๋องฟั่นซื่อนำหญิงงามชดช้อยอ่อนหวานผู้หนึ่งเดินเข้ามา หญิงผู้นั้นทำความเคารพช้าๆ “คารวะองค์หญิงใหญ่เพคะ คารวะจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เพคะ” เสียงราวกับนกขมิ้นร้องเบาๆ ไพเราะอย่างถึงที่สุด


 


 


“พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ย” เสิ่นเวยโค้งตัวกล่าวกับนาง


 


 


แม้ว่าซื่อจื่อจวนกงอ๋องสวี่เลี่ยจะอายุมากกว่าสวีโย่ว แต่เสิ่นเวยก็เป็นจวิ้นจู่ที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ ฟั่นซื่อเป็นเพียงแค่ฮูหยินซื่อจื่อ ต่อให้เสิ่นเวยจะนั่งนิ่งไม่ขยับก็ไม่ถือว่าเสียมารยาท


 


 


แม้ในใจฟั่นซื่อจะไม่พอใจ แต่กลับยกยิ้มทั่วใบหน้ากล่าวกับเสิ่นเวยอย่างตื่นเต้น “น้องสะใภ้รู้หรือไม่ว่าคนผู้นี้คือใคร”


 


 


เสิ่นเวยยิ้มส่ายหน้า “ถูกพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยพามาได้จะต้องเป็นสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใดตระกูลหนึ่งใช่หรือไม่ เป็นหญิงผู้สูงส่งฝั่งมารดาของพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยหรือ”


 


 


เห็นใบหน้าฟั่นซื่อมีความอึดอัดแวบผ่าน แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นบุคคลที่มีไหวพริบ หัวเราะฮ่าๆ กล่าว “คนผู้นี้คือแม่นางซูหร่วน” จ้องมองเสิ่นเวยตาไม่กะพริบ ไม่ปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงใดๆ บนใบหน้าของนางหลุดไป


 


 


เร็วอย่างยิ่งนางก็ต้องผิดหวัง เสิ่นเวยสงบอย่างถึงที่สุด ดวงตาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว กล่าวอย่างไม่สนใจ “อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นหญิงรู้ใจของท่านเลี่ยซื่อจื่อนี่เอง พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยเป็นสตรีมีคุณธรรมจริงๆ ไม่เสียชื่อที่เป็นแบบอย่างในราชนิกุลของพวกเรา”


 


 


รอยยิ้มบนใบหน้าฟั่นซื่อแข็งทื่อ “คราวนี้น้องสะใภ้พูดผิดแล้ว แม่นางซูหร่วนผู้นี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับท่านซื่อจื่อของพวกเราแม้แต่นิดเดียว จะว่าไปแล้ว ก็ยังมีความสัมพันธ์กับผิงจวิ้นอ๋องของพวกเจ้าอยู่เล็กน้อย” พูดพลางปิดปากหัวเราะ หัวเราะไปพลางมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นไปพลาง เหอะ ปากพูดเสียน่าฟัง ข้าจะคอยดูว่าอีกสักครู่เจ้าจะร้องไห้อย่างไร


 


 


“อ้อ มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าด้วยหรือ ไม่เคยได้ยินท่านจวิ้นอ๋องเอ่ยถึงเลย น่าแปลกใจจริงๆ” เสิ่นเวยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ย แม่นางซูหร่วนผู้นี้มาจากจวนไหนหรือ นอกจากที่ว่าการแล้วผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าก็อยู่แต่ในจวน ไม่ชอบไปเยี่ยมเยียนจวนผู้อื่น ไม่ใช่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยจำผิดหรอกกระมัง”


 


 


“ไม่ผิด ไม่ผิด นี่เป็นเรื่องดี” ฟั่นซื่อยิ้มแย้มเบิกบาน หันหน้ามองหญิงงามผู้นั้น “แม่นางซู จยาฮุ่ยจวิ้นจู่อยู่ตรงหน้าแล้ว เจ้ามีอะไรก็พูดไปตามตรงเถิด จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ของพวกเราสงสารหญิงงามที่สุด” ดวงตาเต็มไปด้วยความตั้งตารอดูเรื่องสนุก


 


 


อย่าว่าแต่นาง ญาติผู้หญิงที่ดูงิ้วอยู่ต่างก็มองมาทางเสิ่นเวย ดวงตาเต็มไปด้วยความสนใจ ยังมีคนที่แอบซ่อนความสามารถในการนินทาไว้ไม่อยู่ องค์หญิงใหญ่เกร็งปากแน่น แต่กลับไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว นางอยากดูว่าเสิ่นเวยจะตอบสนองอย่างไร


 


 


ซูหร่วนผู้นั้นคำนับเสิ่นเวยอย่างนุ่มนวลอีกครั้ง เรือนร่างนั้นราวกับต้นหลิวท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ดวงตาของคนทั้งหมดต่างก็ตะลึงงัน ในใจพากันคาดเดาว่าหญิงผู้นี้คือหญิงรู้ใจของผิงจวิ้นอ๋องหรือไร


 


 


เห็นเพียงแม่นางซูหร่วนเปิดริมฝีปากแดงเบาๆ กล่าว “ตัวข้าซูหร่วน ปีก่อนได้รับความช่วยเหลือจากท่านผิงจวิ้นอ๋อง ข้าไร้สิ่งตอบแทน ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านผิงจวิ้นอ๋อง จยาฮุ่ยจวิ้นจู่โปรดทำให้สมปรารถนา” พูดพลางคำนับอย่างนุ่มนวลอีกครา ดวงตาที่พร่าเลือนมองเสิ่นเวยด้วยความเฝ้ารอ


 


 


เมื่อซูหร่วนพูดออกไป ล่างเวทีก็เงียบสงัดในชั่วขณะ ความรู้สึกของญาติผู้หญิงทุกคนซับซ้อนอย่างยิ่ง ด้านหนึ่งพวกนางก็เป็นภรรยาเอกรังเกียจคนเช่นซูหร่วนอย่างถึงที่สุด อีกด้านหนึ่งในใจพวกนางก็มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นเงียบๆ


 


 


เสิ่นเวยเพิ่งจะเหลือบตาขึ้นมองซูหร่วนปราดหนึ่ง กระตุกมุมปาก กล่าวกับองค์หญิงใหญ่ข้างๆ ด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ที่แท้แล้วก็จะมาขอเป็นอนุภรรยาคุณชายใหญ่ของพวกข้านี่เอง” จากนั้นจึงเอียงศีรษะพูดเองเออเองด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง หรือว่าคุณชายใหญ่ของพวกข้าดูเหมือนคนหัวอ่อนเพียงนั้นเชียวหรือ”


 


 


ในดวงตาองค์หญิงใหญ่มีรอยยิ้มแวบผ่าน ตบมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าว “ก็แค่ตัวตลกตัวหนึ่ง หลานไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ โย่วเอ๋อร์เป็นคนลำดับความสำคัญได้ จงวางใจ!”


 


 


ซูหร่วนที่ถูกแช่แข็งอยู่ข้างๆ กำหมัดแน่น ไม่ยอม นางไม่ยอม นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงสูดหายใจเข้าลึก เชิดใบหน้าเล็กๆ ที่น่าสงสารขึ้น “ข้ารู้ตัวว่าฐานะต้อยต่ำ มิบังอาจขอร้องฐานะใดๆ ขอเพียงแค่ได้เป็นสาวใช้ยกชารินน้ำข้างกายผิงจวิ้นอ๋องก็เพียงพอแล้ว หวังว่าจวิ้นจู่จะทำให้สมปรารถนา” ท่าทางอ่อนหวานนุ่มนวลนั้น เสมือนกับว่าเสิ่นเวยไม่รับปากจะเป็นการทำผิดมหาศาล


 


 


ฟั่นซื่อข้างๆ ในดวงตามีความสุขแวบผ่าน เอ่ยปากกล่าว “แม่นางซูหร่วนมีไมตรีจิตลึกซึ้ง น้องสะใภ้ เห็นแก่ไมตรีจิตของแม่นางซู เจ้าก็รับปากเถิด”


 


 


เสิ่นเวยหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครา ยุคโบราณนี้นิยมทำเช่นนี้กันหรือ เหตุใดหนึ่งคนสองคนล้วนแต่ใช้ข้ออ้างทดแทนบุญคุณมาวางแผนช่วงชิงความร่ำรวย ซ้ำยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ด้านหนึ่งเป็นนางโลม ด้านหนึ่งก็สร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง อวดอ้างราวกับตนเองมีไมตรีจิตยิ่งนักสูงศักดิ์ยิ่งนัก


 


 


“แม่นางซูหร่วนใช่หรือไม่ เจ้าหลอกลวงท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าแล้วหรือ คิดอยากจะเข้าประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋องไม่ใช่ว่าไม่ได้ แม่นมมั่ว ถามคำถามแม่นางซูแทนตัวข้าจวิ้นจู่ที” เสียงที่เกียจคร้านของเสิ่นเวยดังขึ้น


 


 


“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมมั่วก้าวออกมาด้วยความเคารพทันที “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวจะต้องช่วยท่านถามแม่นางซูให้เป็นอย่างดี”


 


 


ซูหร่วนผู้นั้นเองก็กล่าวด้วยความเชื่อฟังอย่างถึงที่สุด “แม่นมผู้นี้ท่านถามได้เลย หากข้าตอบได้จะตอบอย่างไม่มีปิดบังแน่นอน”


 


 


แม่นมมั่วเชิดหน้าขึ้น มองซูหร่วนแล้วกล่าว “ข้อแรก เรียนถามแม่นางซูยังบริสุทธิ์อยู่หรือไม่”


 


 


เพียงแค่คำถามแรกก็ทำให้ซูหร่วนตาแดงแล้ว มองเสิ่นเวยด้วยสีหน้าสลดใจ “หากจวิ้นจู่ไม่ยินยอมพูดมาตรงๆ ก็ได้แล้ว ไยจะต้องย่ำยีข้าเช่นนี้ด้วย”


 


 


เสิ่นเวยหรี่ตาเล็กน้อยรับการปรนนิบัติจากสาวใช้ ไม่เหลียวแลนางแม้แต่นิดเดียว


 


 


ทว่าแม่นมมั่วกลับกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่นางซูพูดผิดแล้ว นี่เป็นการย่ำยีอย่างไร หากเจ้าไม่แม้แต่บริสุทธิ์ ยังคิดจะรับใช้ข้างกายนายท่าน นี่เป็นกฎระเบียบตระกูลใดกัน เจ้าลองถามเหล่าฮูหยินทุกท่านในห้องนี้ดู มีกฎเช่นนี้อยู่หรือไม่ อย่างไรเสียผิงจวิ้นอ๋องของพวกข้าก็เป็นท่านจวิ้นอ๋อง คู่ควรให้สตรีร่ายรำขับร้องที่เสียบริสุทธิ์แล้วมารับใช้หรือไร หากเรื่องนี้ดังออกไป ศักดิ์ศรีท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าจะวางไว้ตรงไหน แม่นางซูเจ้าเอาแต่พูดว่าทดแทนบุญคุณ หมายความว่าจะทดแทนบุญคุณเช่นนี้หรือ”


 


 


เสิ่นเวยชื่นชมในใจหนึ่งครา สมกับที่เป็นแม่นมที่ออกมาจากวังจริงๆ จี้จุดสำคัญยิ่งนัก! ไม่เพียงแต่เสิ่นเวย เหล่าญาติผู้หญิงในลานเองก็รู้สึกสบายอารมณ์


 


 


แม่นมมั่วกล่าวต่อ “แม้ว่าเจ้าจะบริสุทธิ์ แต่ใครให้แม่นางซูหน้าตางดงามเล่า บ่าวเองยังใจอ่อนกับหญิงงามเลย! เจ้าพูดมาตลอดว่าจะทดแทนบุญคุณ เรียนถามแม่นางซูท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าช่วยเจ้าไว้อย่างไรหรือ”


 


 


ซูหร่วนรีบก้าวขึ้นไปเล่าเรื่องที่นางบังเอิญพบอันธพาลเมื่อปีก่อน “หากไม่ใช่ท่านผิงจวิ้นอ๋องออกมือช่วยไว้ ข้า…” ในดวงตาของนางเอ่อนองไปด้วยน้ำตา เสียงสะอื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง


 


 


แม่นมมั่ว รวมถึงญาติผู้หญิงในลานต่างก็กระตุกมุมปากพร้อมกัน


 


 


แม่นมมั่วกล่าว “แม่นางซูบอกว่าท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าช่วยเจ้าไว้ เรียนถามท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยล่วงล้ำแม่นางหรือไม่” แม่นมมั่วถามอ้อมอย่างยิ่ง อันที่จริงนางอยากถามว่า ‘เจ้ากับท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยแตะเนื้อต้องตัวกันหรือไม่’ เหลือบตามองเหล่าญาติผู้หญิงที่นั่งอยู่ ยังคงเปลี่ยนวิธีการถามดีกว่า


 


 


“ไม่มี!” บนใบหน้าซูหร่วนแดงก่ำ ส่ายหน้าอย่างเขินอาย


 


 


“เช่นนั้นท่านจวิ้นอ๋องของพวกข้าเคยรับปากกับแม่นางหรือไม่” แม่นมมั่วถามต่อ


 


 


“ไม่มี” ซูหร่วนส่ายหน้าต่อ “ท่านจวิ้นอ๋องสั่งเด็กรับใช้มาแก้หน้าให้ข้า ไม่เคยพูดอะไรกับข้า”


 


 


มุมปากของแม่นมมั่วยกขึ้นอย่างอดไม่ได้ กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “คนที่ช่วยแม่นางซูคือเด็กรับใช้ ท่านจวิ้นอ๋องไม่เคยรับปากใดๆ กับแม่นางมาก่อน กระทั่งยังไม่เคยแม้แต่จะพูด บ่าวไม่เข้าใจ แม่นางซูต้องการจะทดแทนบุญคุณเรื่องอะไร หากบอกว่าทดแทนบุญคุณ แม่นางไม่ควรไปขอทดแทนบุญคุณกับเด็กรับใช้ข้างกายท่านจวิ้นอ๋องมากกว่าหรือ”


 


 


“จะทำได้อย่างไร เด็กรับใช้เป็นเพียงทาส!” ประโยคนี้ของซูหร่วนพลั้งปากพูดออกไป อาจจะรู้สึกว่าตนพลั้งปาก จึงรีบกล่าวเสริม “เด็กรับใช้เพียงแค่ฟังคำสั่งของท่านจวิ้นอ๋อง ท่านจวิ้นอ๋องต่างหากที่เป็นผู้มีพระคุณของข้า!”


 


 


เมื่อคำพูดนี้ออกไป สายตาที่มองซูหร่วนของญาติผู้หญิงในลานก็ดูถูกแล้ว ทดแทนบุญคุณอะไร ก็แค่หญิงชั่วที่ละโมบเงินทองผู้หนึ่ง


 


 


“ที่แท้แล้วผู้มีพระคุณของแม่นางซูก็แบ่งแยกนายบ่าว” แม่นมมั่วยกมุมปากอีกครั้ง หันหลังกลับกล่าวกับเสิ่นเวยด้วยความเคารพ “จวิ้นจู่ บ่าวถามเสร็จแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เสิ่นเวยพยักหน้า “ลำบากแม่นมมั่วแล้ว เข้าไปพักสักครู่เถอะ” นางชายตามองซูหร่วนที่หน้าแดงก่ำจากข้างบนปราดหนึ่ง ละสายตาไปทางฟั่นซื่อ “พี่สะใภ้ใหญ่เลี่ยเห็นแล้วหรือยัง แม่นางซูมีไมตรีจิตยิ่งนัก แต่ว่านางมีไมตรีจิตต่ออำนาจเงินทอง หากตอนนั้นคนที่ช่วยหน้าแก้หน้าคือขอทานข้างถนน แม่นางซูจะยังร้องห่มร้องไห้ขอใช้ร่างทดแทนบุญคุณหรือไม่”


 


 


พรู้ด เมื่อคำพูดของเสิ่นเวยดังออกไป ไม่รู้ว่าใครหลุดหัวเราะออกมา ทันใดนั้นก็คล้ายเปิดฉาก คนที่แอบหัวเราะก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ สุมหัวเข้าด้วยกันพูดคุยเสียงเบาขึ้นมา


 


 


บ้างก็ว่าหญิงชั่ว บ้างก็ว่าหน้าไม่อาย บ้างก็ว่าเลวทราม คำพูดเช่นนี้ดังเข้ามาในหูซูหร่วนไม่หยุด ยังมีจยาฮุ่ยจวิ้นจู่ผู้นั้น แววตาที่มองนางราวกับมองสิ่งปฏิกูล เสมือนนางเป็นสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นดิน มองนางมากๆ จะทำให้ดวงตาสกปรก นี่ทำให้ซูหร่วนลำบากใจอย่างยิ่ง ทั้งยังอัดอั้นจนแทบจะเสียสติ


 


 


นางมีสิทธิอะไร พวกนางเหล่าฮูหยินที่ร่ำรวยสูงส่งเช่นนี้มีสิทธิ์อะไรมาดูถูกนาง ก็แค่มีฐานะที่ดีกว่านางมิใช่หรือ นางได้รับความไม่เป็นธรรม นางไม่ยอม


 


 


หยดน้ำตากลิ้งอยู่ในเบ้าตา ซูหร่วนพยายามเงยหน้าเล็กน้อยไม่ให้พวกมันไหลลงมา “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ไม่ต้องพูดแล้ว ล้วนเป็นข้าที่ไม่เจียมตัว หาความอับอายใส่ตัว ข้า…ข้าเพียงแค่อยากตอบแทนบุญคุณของท่านผิงจวิ้นอ๋องจากใจจริงก็เท่านั้นเอง” ท่าทางโศกเศร้าอาดูรและเสียน้ำใจช่างน่าสงสารจริงๆ! แต่น่าเสียดายที่นางทำผิดโอกาส ในลานล้วนแต่เป็นญาติผู้หญิงจำนวนหนึ่ง สิ่งที่เกลียดที่สุดก็คือท่าทางปีศาจจิ้งจอกเช่นนี้ของนาง


 


 


ดังนั้นนางจึงขอความเห็นใจจากเหล่าฮูหยินไม่ได้ แต่กลับทำให้พวกนางเกลียดชัง “วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของคุณชายสี่จวนจิ้นอ๋อง เจ้าร้องห่มร้องไห้หมายความว่าอย่างไร เคราะห์ร้าย!”


 


 


“ชิ รีบเก็บน้ำตาเสีย ไม่มีนายท่านทั้งหลายอยู่ เจ้าร้องไห้ให้ใครดู”


 


 


ยังมีคนที่โหดเ**้ยมยิ่งกว่า “วันนี้ข้านับว่าได้เห็นแล้ว หญิงมารยาเช่นนี้ มิน่าเล่าถึงมอมเมาอันธพาลมากมายเพียงนั้นได้ นางโลมอะไรกัน ไม่ใช่ของเล่นที่พันคนขี่หมื่นคนกดหรือไร! ลำบากจยาฮุ่ยจวิ้นจู่แล้วจริงๆ” นี่คือฮูหยินผู้ตรวจการราชสำนักที่รังเกียจอี๋เหนียงอนุภรรยาอย่างถึงที่สุดผู้หนึ่ง


 


 


แน่นอนว่ามีคนที่สมองไม่ปกติ ฟั่นซื่อไม่ใช่หนึ่งคนหรอกหรือ หากสมองปกติ นางจะพาซูหร่วนมายั่วยุต่อหน้าเสิ่นเวยหรือ มิหนำซ้ำยังทำต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อีกด้วย


 


 


ความประหลาดใจยังอยู่ข้างหลัง ฟั่นซื่อคาดไม่ถึงว่าออกมาช่วยซูหร่วนแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)