กระบี่จงมา 263.4-265.1
บทที่ 263.4 เรือน้อยลอยล่อง เด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะอง
โดย
ProjectZyphon
ผู้เฒ่าหยิบกระดาษรูปคนรูปม้าสีขาวหิมะที่ทับซ้อนกันเป็นปึกออกมาจากในถุงข้างฝ่าเท้า “หากเจอกับเจียวหลงว่ายผ่านมาใต้เรือ ขอแค่จับมาปึกหนึ่ง โยนลงไปใต้น้ำ พวกมันก็จะว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว ใช้ร้อยครั้งก็สำเร็จร้อยครั้ง ศักดิ์สิทธิ์มาก ช่วยไม่ได้ หากอ้อมผ่านร่องน้ำเจียวหลงไป เส้นทางเดินเรือสายนี้ของพวกเราก็จะมีระยะทางเพิ่มขึ้นมาอีกยี่สิบกว่าหมื่นลี้แต่ยังดีที่ถึงแม้ร่องน้ำเจียวหลงจะน่ากลัว ทำให้คนรู้สึกอกสั่นขวัญผวา แต่อันที่จริงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เกาะกุ้ยฮวาของเรากับเจียวหลงพวกนั้นอยู่ร่วมกันเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ดังนั้นคุณชายไม่จำเป็นต้องกังวล”
คนพายเรือหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เห็นได้ชัดว่าเป็นบุรุษที่ซื่อตรงคนหนึ่ง “จะว่าไปแล้ว หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ นั่นก็เท่ากับหายนะที่ร้ายแรงมาก อย่าว่าแต่เรือเล็กของพวกเราลำนี้เลย เกรงว่าตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาคงไม่ต้องหวังว่าจะรอดพ้นจากภัยพิบัติไปได้ เจียวหลงมากมายขนาดนั้น หากพวกมันจะสร้างคลื่นลมมรสุมขึ้นมา จะน่ากลัวถึงเพียงไหน? หากจะให้ข้าบอก เกรงว่าต่อให้เซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดกล้าออกกระบี่ขัดขวางจริงๆ คงมีแต่จะทำให้เจียวหลงแว้งกลับมาโจมตี ยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมเช่นกัน”
สีหน้าของจินซู่ไม่สบอารมณ์ พูดบ่นอย่างไม่พอใจ “แขกนั่งอยู่บนเรือ แต่เจ้ากลับพูดจาอัปมงคลแบบนี้น่ะหรือ?”
ผู้เฒ่าพายเรือกล่าวอย่างอับอาย “ไม่พูดแล้วๆ คุณชายนั่งดีๆ พวกเราจะไปชมทัศนียภาพของร่องน้ำเจียวหลงเดี๋ยวนี้ รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน…”
ร่องน้ำเจียวหลงคือร่องลึกแปลกประหลาดแห่งหนึ่งที่น้ำใสจนมองเห็นไปถึงก้นทะเล กว้างสิบกว่าลี้ ยาวหลายพันลี้ พวกเจียวหลงที่ขดตัวจำศีลอยู่ในก้นทะเลลึกมีสีสันแตกต่างหลากหลาย ลำตัวของพวกมันเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน บ้างก็เล็กเท่าอ่างน้ำ บ้างก็ใหญ่เท่าปากบ่อน้ำ เล่าลือกันว่าเจียวหลงที่ตัวใหญ่ที่สุด ลำพังเพียงแค่ดวงตาของมันก็ใหญ่เท่าโอ่งแล้ว พออยู่ใต้ผืนน้ำ เกล็ดของมันจะส่องประกายระยิบระยับแจ่มชัดสะดุดตาจนคนมองสยดสยองไม่กล้าปริปากเอ่ยคำใด ด้วยกังวลว่าหากเสียงดังจนเป็นการรบกวนเจียวหลงเหล่านั้นจะนำหายนะดับชีพมาสู่ตัว
จู่ๆ คนพายเรือเฒ่าก็ยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งหนึ่งกลางอากาศ “คุณชาย ท่านดูนั่น นั่นคือเจียวตัวหนึ่งที่เหนื่อยล้าเพราะเพิ่งกลับมาจากโปรยฝนบนแผ่นดิน โอ้ ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อยด้วย มีความเป็นไปได้ว่าถูกผู้ฝึกลมปราณในนาตยทวีปใช้เป็นเป้าซ้อมมือกระมัง คงถูกไล่ล่ามาเป็นระยะทางที่ยาวนาน ไม่ใช่เจียวน้ำทุกตัวหรอกนะที่จะโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ศพของเจียวหลงที่ตายไประหว่างทางกลับมักจะกลายมาเป็นผลเก็บเกี่ยวที่เหนือความคาดฝันของเรือข้ามทวีปเสมอ เพียงแต่ว่าเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรามีคุณธรรม หากพบเจอศพของเจียวน้ำที่ลอยอยู่กลางทะเลจะไม่งมขึ้นฝั่ง แต่จะช่วยลากไปไว้ตรงโขดหินของเกาะกุ้ยฮวา พาไปส่งที่ร่องลึกเจียวหลง…”
เฉินผิงอันกับจินซู่มองตามมือที่ผู้เฒ่าชี้ไปก็เห็นว่ามีวัตถุขนาดมหึมาร่วงตกลงมาจากทะเลเมฆ กระแทกผิวน้ำจนสะเก็ดน้ำแตกกระจายดังสนั่น ก่อนจะหายไปในมหาสมุทรที่อยู่ห่างไปไกล โชคดีที่เจียวซึ่งเหนื่อยล้าจากการโปรยฝนหล่นห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปหลายสิบลี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเรือลำน้อย แค่ทำให้ระดับการเอนซ้ายโคลงขวาของเรือเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
เรือน้อยมุ่งไปด้านหน้าขนาบเกาะกุ้ยฮวา ออกห่างจากชายฝั่งของเกาะกุ้ยฮวามาไม่มากเท่าไหร่ อย่างมากสุดก็สองสามลี้ น้ำทะเลใสแจ๋ว เรือน้อยลำแล้วลำเล่าเหมือนกระบี่บินหลายเล่มที่ทะยานลมลอยไปกลางอากาศ และในจุดลึกใต้ทะเล คือเผ่าพันธุ์เจียวหลงจำนวนมากที่บ้างก็กำลังนอนหลับ บ้างก็กำลังเล่นสนุกสนาน ปานประหนึ่งกำลังขดตัวอยู่บนเทือกเขาที่สูงๆ ต่ำๆ ทำให้คนลืมไปเลยว่าตอนนี้กำลังอยู่บนทะเล
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ขมวดคิ้วแน่น
เอื้อมมือไปจับกระบี่เล่มหนึ่งที่อยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลัง ถามเสียงหนัก “เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในภูตผีแห่งภูเขาและแม่น้ำหรือไม่?”
ผู้เฒ่าได้แต่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มมีประสบการณ์ไม่มาก เวลานี้เรือน้อยลอยห่างจากเกาะกุ้ยฮวามาสองลี้กว่าแล้ว กำลังจะไปถึงจุดที่ลึกที่สุดของร่องน้ำเจียวหลง ก้มหน้าลงมองไปก็เห็นว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เด็กหนุ่มเลยเกิดความหวาดกลัว คนพายเรือจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากเป็นยุคบรรพกาล เผ่าพันธุ์เจียวหลงพวกนี้ถือว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ของฟ้าดินเชียวนะ แต่ว่าตอนนี้กาลเวลาแปรเปลี่ยน คุณชายพูดถูกแล้ว เจ้าพวกนี้ถือได้ว่าเป็นแค่หนึ่งในภูตประหลาดเท่านั้น”
คนพายเรือยังกล่าวด้วยรอยยิ้มต่อไปว่า “คุณชายไม่ต้องกลัว เกาะกุ้ยฮวาคือแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีสำหรับสถานที่แห่งนี้ ตามบันทึกวงศ์ตระกูลของตระกูลฟ่าน บรรพบุรุษยังเคยเห็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตก่อกำเนิดสองคนต่อสู้กันอยู่ที่นี่ด้วยตาตัวเอง แม้ว่าพวกเจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงใต้ฝ่าเท้าของเทพเซียนทั้งสองท่านจะอยากลงมือเต็มแก่ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเจียวน้ำสักตัวพุ่งออกมาจากผิวน้ำ ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่บอกว่าห้ามส่งเสียงดังนั้น พวกเราก็แค่จงใจขู่ให้ผู้โดยสารกลัวเท่านั้น ในเมื่อคุณชายแขวนป้ายแขกกุ้ย ข้าผู้อาวุโสก็จะไม่หลอกลวงคุณชายแล้ว…”
จินซู่หันไปถลึงตาใส่คนพายเรืออย่างขุ่นเคือง เรื่องวงในของตระกูลฟ่านพวกนี้เอามาเปิดเผยกันง่ายๆ ได้อย่างไร
ผู้เฒ่าทำคอย่น ยกไม้พายทำหน้าที่พายเรือของตัวเองต่ออีกครั้ง และคอยโยนกระดาษเงินสีขาวหิมะลงไปในทะเลเป็นพักๆ นอกจากกระดาษรูปคนกระดาษรูปม้าแล้ว ยังมีกระดาษรูปหอสูงและกระดาษรูปรถที่พับอย่างประณีตแทรกอยู่ด้วย
แต่แล้วจู่ๆ ผู้เฒ่าก็เบิกตากว้าง มองไปยังทิศทางหนึ่ง “แย่แล้ว! มีคนจงใจเล่นงานเกาะกุ้ยฮวาของพวกเรา!”
แทบจะเวลาเดียวกันนั้นน้ากุ้ยก็ออกจากกุ้ยกงบนยอดเขา ทะยานตัวมาถึงเรือเล็กลำนี้ มองไปยังเรือเล็กลำที่อยู่ด้านหน้าสุดพร้อมๆ กับผู้เฒ่า กล่าวด้วยสีหน้าเดือดดาล “มีคนเอาข้องราชามังกรออกมาจับเจียวน้ำตัวน้อยที่ขึ้นมาเล่นบนผิวน้ำ!”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน “เป็นเจียงเป่ยไห่ที่จงใจแก้แค้นหรือไม่? ตอนนั้นพวกเขาเลือกลงเรือไปกลางทาง พวกเราให้หม่าจื้อแอบติดตามไปประมาณสิบวันกลับไม่พบอะไรผิดปกติ หรือว่าเป็นฝีมือของคนตระกูลติง? แต่ตระกูลติงไม่น่าจะมีข้องราชามังกรถึงจะถูก หรือตระกูลฝู? ตระกูลฝูมีอยู่ใบหนึ่ง ทว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลให้เล่นงานพวกเรานี่นา…”
น้ากุ้ยส่ายหน้า “ตอนนี้ยังบอกได้ไม่ชัดเจน เรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำคือปลอบประโลมพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำ เพราะหากทำให้พวกมันโกรธแค้นขึ้นมา ต่อให้ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนยินดีให้ความช่วยเหลือก็ยังจนปัญญาจะรับมือ มีใจแต่ไร้กำลัง! หลายพันชีวิตที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวา…เฮ้อ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี? แย่จริง ทุกคนล้วนถูกจับตามองหมดแล้ว! เวลานี้ใครยังจะกล้าทะยานลมไปกลางอากาศ…”
ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนออกไปทันทีว่า “เรือเล็กทุกลำกลับเข้าฝั่งเดี๋ยวนี้ ผู้ฝึกลมปราณทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวาห้ามบินขึ้นกลางอากาศโดยพลการเด็ดขาด หาไม่แล้วจะถูกพวกที่อยู่ในร่องน้ำเจียวหลงมองเป็นการท้าทาย หม่าจื้อ รบกวนเจ้าแสดงฝีมือสักหน่อย พวกผู้โดยสารจะได้ไม่คิดว่าพวกเราเจตนาพูดข่มขวัญ!”
หม่าจื้อผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองดึงกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาแล้วขว้างขึ้นไปกลางอากาศสูงอย่างรวดเร็ว ความเร็วนั้นแทบไม่ต่างจากสายฟ้าแลบ เร็วยิ่งกว่าการทะยานลมของขอบเขตโอสถทองคนไหนๆ ทว่ากระบี่บินเล่มนี้เพิ่งทะยานไปได้ครึ่งทาง ออกห่างจากเกาะกุ้ยฮวาไปได้แค่ไม่กี่ลี้ก็ถูกกรงเล็บมายาข้างหนึ่งยื่นลงจากทะเลเมฆมากดไว้หนักๆ กระบี่บินพลันระเบิดแตกกลางอากาศในชั่วพริบตา
หลังจากนั้นกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งก็ถูกโยนออกไป แต่กลับมีจุดจบไม่ต่างไปจากเดิม
น้ากุ้ยหันหน้ามามองจินซู่กับเฉินผิงอันพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเจ้าสองคนกลับเรือนเล็กกุยม่ายไปก่อน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าต้องจับรากของต้นกุ้ยฮวาให้แน่นถึงจะมีโอกาสรอดชีวิต”
จินซู่ดีดปลายเท้าออกห่างไปจากเรือลำเล็ก พอพลิ้วร่างลงบนท่าเรือชายฝั่งถึงหันหน้ากลับมามอง
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นยังอยู่ในเรือลำเล็ก และสุดท้ายตอนกลับมาในมือเขายังมีไม้พายเพิ่มมาด้วยอันหนึ่ง
จินซู่ถาม “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เฉินผิงอันตอบ “ไม้พายตีมังกร ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์จริงๆ”
จินซู่ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเหมือนมองคนปัญญาอ่อน ก่อนจะหมุนตัวพุ่งทะยานไปยังยอดเขา
พริบตานั้นก็เหมือนภูเขาพังถล่มแผ่นดินแตกแยก เกาะกุ้ยฮวาทั้งเกาะยุบยวบลงไปตามน้ำทะเลหนึ่งร้อยจั้งกว่า
น้ำทะเลในรัศมีหลายลี้รอบเกาะกุ้ยฮวาที่เป็นจุดศูนย์กลางล้วนยุบตัวลงไปพร้อมกันอย่างน่าประหลาดใจ
เมื่อเป็นเช่นนี้ รอบด้านที่เดิมทีคือร่องน้ำเจียวหลงซึ่งอยู่เบื้องใต้เกาะกุ้ยฮวาและเรือเล็กพลันเปลี่ยนจากทัศนียภาพใต้ทะเลมาเป็นเทือกเขาสูงใหญ่ที่จมอยู่ใต้น้ำ
สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดพากันหันมาจับจ้องมองเกาะกุ้ยฮวา นี่ต่างหากถึงเรียกว่าคลื่นใต้น้ำที่แท้จริง
น้ากุ้ยบินทะยานไปด้านหน้า สุดท้ายลอยตัวอยู่กลางอากาศ พูดภาษาโบราณอะไรบางอย่างที่ทุกคนฟังไม่เข้าใจกับเจียวน้ำเกล็ดสีทองตัวหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล ทว่าฝ่ายหลังกลับมีสีหน้าเย็นชา
‘กำจัดปีศาจ’ กระบี่เล่มที่อริยะหร่วนฉงเป็นคนหลอมซึ่งอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันสั่นระรัวอยู่ในฝักกระบี่ไม่หยุด
หากเป็นไปตามคำเตือนของหร่วนฉงก่อนหน้านี้ เมื่อพบกับปีศาจใหญ่ระดับนี้ เฉินผิงอันหนีไปได้ไกลเท่าไหร่ก็ควรหนีไปให้ไกลเท่านั้น แต่คราวนี้เฉินผิงอันจะหนีไปไหนได้?
เขาทั้งไม่ได้หนีไปหลบในเรือนเล็กกุยม่ายบนยอดเขา แล้วก็ไม่ได้ยืนรอความตายอยู่ที่เดิม
เฉินผิงอันมองไม้พายไม้ไผ่ที่ยังคงรักษาสีเขียวสดในมือแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ วางไม้พายสีเขียวไว้บนเข่า ใช้มือลูบไปบนตัวอักขระของ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ จากนั้นเฉินผิงอันก็ควักเอาพู่กันเหล็กหมาดหิมะที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ออกมา เป่าลมให้ปลายพู่กันชุ่มชื้น จนกระทั่งปลายพู่กันเป็นสีชาดเหมือนเพิ่งจุ่มหมึกเข้มข้น เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม วางไม้พายลงบนพื้นฝั่งซ้ายมือ เด็กหนุ่มที่ใช้มือซ้ายจนเคยชินกลั้นลมหายใจ มือข้างที่ลอยอยู่กลางอากาศถือพู่กันที่สลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ อาศัยความทรงจำของตัวเองเริ่มเขียน ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้บน ‘ตำราที่แท้จริง’ ลงไปบนไม้พายไม้ไผ่ทีละขีดตัวอักษร
นี่เรียกว่ารักษาม้าตายเหมือนม้าเป็น
หากไม่ได้จริงๆ ก็คงได้แต่ชักกระบี่ที่อริยะเป็นคนหลอมออกมาจากด้านหลัง สร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่เลียนแบบเซียนกระบี่บรรพกาลที่เจอเจียวหลงก็สังหารเจียวหลงแล้ว
เมื่อเขียนยันต์เสร็จ บนไม้พายสีเขียวมรกตก็มีรอยเลือดผุดขึ้นมาจริงๆ
เฉินผิงอันสงบใจลงได้บ้างเล็กน้อย ในมือถือไม้พาย สะกิดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนเรือที่ลอยตัวอยู่กลางน้ำ ไม่ได้ผูกติดกับท่าเรือ ยืนอยู่กลางเรือเพียงลำพัง ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยื่นฝ่ามือไปตบลงบนผิวน้ำสองข้างของเรือเล็กฝั่งละที เรือเล็กก็เหมือนลูกธนูที่แล่นฉิวออกไป
ไหล่ข้างหนึ่งของเฉินผิงอันแบกไม้พาย มือข้างหนึ่งปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมา แหงนหน้าดื่มสุรา พึมพำในใจตัวเองว่า “ยันต์ตัดโซ่ ตัดอะไร โซ่อะไร ทางที่ดีที่สุดควรเป็นดั่งเซียนกระบี่บรรพกาลที่ตัดหัวมังกร เหมือนโซ่ตรวนพันธนาการมังกรของบ่อโซ่เหล็กที่บ้านเกิด จะสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่การกระทำในครั้งนี้แล้ว”
กลางมหาสมุทรใหญ่มีเจียวหลงโอบล้อมอยู่รอบด้าน เห็นได้ชัดว่าหายนะใหญ่มาเยือนแล้ว แม้แต่เทพเซียนก็ยากที่จะหลบหนีไปได้
ทว่าเมื่อภาพเหตุการณ์นี้ปรากฏอยู่ในสายตาของทุกคนบนเกาะกุ้ยฮวากลับเป็นภาพที่สง่างามอย่างถึงที่สุด
เรือน้อยลำหนึ่งพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกไม้พายไว้บนไหล่กำลังร่ำสุรา
บทที่ 264.1 ยันต์หนึ่งแผ่น
โดย
ProjectZyphon
เกาะกุ้ยฮวาเหมือนอยู่ในก้นถ้วยขนาดใหญ่ใบหนึ่ง น้ำทะเลก็คือผนังถ้วยด้านใน
มีความเป็นไปได้มากว่าผู้โดยสารทุกคนจะกลายเป็นอาหารในจานให้กับลูกหลานของเจียวหลงเหล่านั้น
นี่จะเป็นงานเลี้ยงฉลองครั้งใหญ่ที่พวกมันไม่ได้พบเจอมานาน
เกาะกุ้ยฮวาและน้ำทะเลด้านล่างเรือข้ามฟากหยุดลอยอยู่นิ่งๆ แล้ว รอบด้านล้วนมีแต่สายตาเย็นชาน่าสะพรึงกลัวที่มาจากร่องน้ำเจียวหลง
สถานการณ์ในตอนนี้ลี้ลับอย่างถึงที่สุด บนเกาะกุ้ยฮวาเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ผู้คนที่อยู่บนนั้นมีทั้งความโมโหไม่พอใจต่อเกาะกุ้ยฮวา แล้วก็มีความลนลานทำตัวไม่ถูกกับหายนะที่หล่นลงมาจากฟากฟ้า และยิ่งมีคนแอบคิดคำนวณอยู่ในใจ ต่างคนต่างชั่งน้ำหนักยันต์คุ้มกันกายของตัวเอง พยายามจะหยิบเกาลัดออกจากกองไฟ (เปรียบเปรยว่าเสี่ยงตายเพื่อคนอื่น) หากทำสำเร็จขึ้นมาแล้วมีชีวิตอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด ไม่พูดถึงคลังสมบัติของเกาะกุ้ยฮวา แค่คลำไปตามศพของผู้ฝึกลมปราณทั้งหลายก็ได้ทรัพย์สมบัติก้อนใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ด้านหน้าสุด น้ากุ้ยผู้ดูแลซึ่งอำพรางตัวตนมาตลอดเวลาหยุดลอยตัวอยู่เบื้องหน้าผนังหน้าผาติดน้ำทะเล คอยคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทองตัวนั้น ภาษาที่ทั้งสองฝ่ายใช้ฟังยากอย่างยิ่ง ต้องไม่ใช่ภาษาทางการของทวีปใดๆ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นภาษาพิเศษเฉพาะเจียวหลงในยุคบรรพกาล ซึ่งถูกเมธีร้อยสำนักในยุคสมัยเรียกว่า ‘เสียงน้ำ’ ส่วนข้อที่ว่าทำไมน้ากุ้ยถึงเชี่ยวชาญภาษานี้ เหตุใดถึงกล้าบุกเข้าไปในถิ่นของศัตรูเพียงลำพัง กล้าคุมเชิงกับเจียวหลงจำนวนมากมาย พวกแขกบนเกาะกุ้ยฮวาคร้านจะคิดให้ลึกซึ้งแล้ว ใจพวกเขาปรารถนาอยากจะให้สตรีวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาผู้นี้กลายร่างมาเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนซะเดี๋ยวนั้น จะได้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ จากนั้นพาเกาะกุ้ยฮวาขับเคลื่อนออกไปจากร่องน้ำเจียวหลงสมควรตายแห่งนี้สักที
ดูเหมือนว่าการสื่อสารระหว่างสตรีแต่งงานแล้วกับเจียวหลงสีทองจะไม่ค่อยราบรื่นนัก นางต้องระงับความเดือดดาล พยายามให้ตัวเองรักษาความสุขุมนิ่งสงบเอาไว้อย่างยากลำบาก นางกล่าวช้าๆ ว่า “จะไม่มีพื้นที่ว่างให้คลี่คลายสถานการณ์เลยหรือไง? จากที่ระบุไว้ในบันทึก ลำพังเพียงแค่ศพของเจียวโปรยพิรุณที่ตระกูลฟ่านช่วยลากกลับมาให้พวกเจ้าก็มากถึงสิบสองตัวแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ขอแค่ผ่านร่องน้ำเจียวหลงของพวกเจ้า เรือของตระกูลฟ่านที่ล่องผ่านก็จำเป็นต้องโปรยกระดาษพับสีเงินให้พวกเจ้าเป็นจำนวนมาก เพื่อเป็นของบรรณาการที่แสดงความเคารพให้กับการโปรยฝนของพวกเจ้า ไม่เคยขาดไปแม้แต่ครั้งเดียว…”
ดวงตาของเจียวเฒ่าเกล็ดสีทองตัวนี้ใหญ่เท่ากระด้งจริงๆ ในสายตาของมันเต็มไปด้วยความเย็นชา “กฎก็คือกฎ หากไม่รักษากฎ บนโลกจะมีร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ได้อย่างไร?”
น้ากุ้ยยังคิดจะอธิบายอะไรต่อ แต่เจียวเฒ่าสีทองกลับยกกรงเล็บขึ้นตบลงไปบนน้ำหนักๆ ทันใดนั้นกระแสน้ำก็พลันปั่นป่วน ลมพัดกระโชกแรงพุ่งเข้าหาน้ากุ้ยที่ยืนอยู่ ข้างแก้มนางถูกคลื่นลมตบให้ปวดแสบปวดร้อน แต่นางกลับไม่ได้ขัดขวาง ยิ่งไม่ได้อาศัยวิชาอภินิหารขอบเขตเซียนพสุธาของตัวเองหลบหนีไป แค่แข็งใจแบกรับไฟโทสะของเจียวเฒ่าในครั้งนี้เท่านั้น
เจียวเฒ่าหัวเราะเสียงหยัน “มีคนจงใจวางแผนเล่นงานเกาะกุ้ยฮวาของเจ้า ข้าไม่ได้ตาบอด ย่อมต้องมองออกอยู่แล้ว แต่กฎก็คือกฎ เกาะกุ้ยฮวาของพวกเจ้าไม่รู้จักดูคนให้ออกเอง ถึงได้ปล่อยให้ผู้โดยสารที่นั่งเรือข้ามฟากใช้ข้องราชามังกรมาจับเจียวน้อยโดยพลการ ทำลายกฎเกณฑ์ระหว่างพวกเราทั้งสองฝ่าย กุ้ยฮูหยินเจ้าสามารถจากไปได้ แต่ทุกคนที่อยู่บนเรือข้ามฟากจะต้องตายอยู่ที่นี่”
น้ากุ้ยส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขา”
ดวงตาคู่นั้นของเจียวเฒ่าเต็มไปด้วยความเย้ยหยันที่เย็นชา และยังมีสายตาฉายประกายเร่าร้อนของคนตะกละที่เห็นอาหารรสเลิศ สายตาหนึ่งร้อนหนึ่งเย็นสลับกันผุดลอยขึ้นมา “ข้ารู้ ถึงได้พูดอย่างนี้ไงล่ะ กุ้ยฮูหยิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่เจ้าเคลื่อนผ่านเหนือหัวของข้าไป ข้าจำเป็นต้องรักษากฎเกณฑ์ตายตัวห่วยๆ พวกนั้นแต่โดยดี การอดใจไม่กินเจ้าจำเป็นต้องใช้ความเพียรพยายามมากแค่ไหน?”
สุดท้ายน้ากุ้ยถามว่า “พูดคุยกันไม่ได้แล้วจริงๆ รึ?”
เจียวเฒ่าค่อยๆ ขยับเรือนกายที่ใหญ่ยาวราวเทือกเขาช้าๆ หนวดสองข้างส่ายไหวอยู่ในน้ำทะเล ส่องประกายแสงระยิบระยับ มันชำเลืองตามองเรือลำน้อยที่อยู่ห่างจากด้านหลังสตรีแต่งงานแล้วไปไม่ไกลแวบหนึ่ง คนพายเรือของเรือลำนั้นตายอนาถไปนานแล้ว ผู้โดยสารบนเรือคือชายฉกรรจ์ท่าทางหลุกหลิก มองดูเหมือนขี้ขลาดหวาดกลัว คอยเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา ในมือถือข้องขนาดเล็กเหมือนกรงจับจิ้งหรีด วัสดุทำมาจากงาช้าง กะทัดรัดน่ารัก
เจียวน้อยวัยเยาว์ที่เดิมทียาวประมาณหกเจ็ดจั้ง พอถูกจับแล้วร่างก็หดเล็กอยู่ในข้องใบนั้นเหมือนปลาหนีชิว มันกำลังดิ้นรนพุ่งชนไปทั่วกรงขัง ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด
ผู้เฒ่าที่พายเรือให้จินซู่กับเฉินผิงอัน ตอนนี้ได้ลุกขึ้นมายืนอยู่บนผิวน้ำข้างเรือลำเล็กของชายฉกรรจ์คนนั้นแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวการแห่งหายนะในครั้งนี้หนีรอดไปได้
ส่วนข้อที่ว่าทำไมผู้เฒ่าพายเรือที่ตัวตนแท้จริงคือขอบเขตโอสถซึ่งพักอาศัยอยู่บนเกาะกุ้ยฮวาตลอดเวลาถึงได้ไม่ลงมือแย่งชิงข้องราชามังกรมาอย่างเด็ดขาด เหตุผลนั้นมีอยู่สองข้อ รอบกายของชายฉกรรจ์หน้าตาอัปลักษณ์ท่าทางเจ้าเล่ห์มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตบินล้อมวนอย่างเชื่องช้า กระบี่ยาวหนึ่งฉื่อ สีดำเหมือนหมึกตลอดร่าง มีควันดำเหนียวข้นผุดออกมาอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตต่ำสุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ประตูมังกรท่านหนึ่ง อีกอย่างก็คือคนพายเรือเฒ่ากลัวว่าคนชั่วผู้นี้จะลงมืออำมหิต ทำลายข้องราชามังกรกับเจียวน้อยไปพร้อมกัน ถ้าอย่างนั้นทั้งเกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้ก็คงต้องตายไปพร้อมไอ้หมอนี่จริงๆ แล้ว
คนพายเรือเฒ่าเอ่ยถามชายฉกรรจ์คนนั้นว่าทำไมต้องทำเรื่องที่ทำร้ายคนอื่นแล้วยังไม่ส่งผลดีกับตนเช่นนี้ด้วย ชายฉกรรจ์ที่เป็นตัวการของหายนะครั้งใหญ่แสยะยิ้ม เพียงแค่หันไปมองประเมินสถานการณ์รอบด้าน ไม่ได้ตอบคำถาม คนพายเรือเฒ่าถามหยั่งเชิงอีกหลายครั้ง พยายามจะอาศัยคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ของชายฉกรรจ์มาประติดประต่อกันหวังอนุมานถึงคนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังคนผู้นี้ จะเป็นคุณชายสกุลเจียงที่ลงเรือไปกลางทาง? หรือว่าตระกูลติงของนครมังกรเฒ่าที่ไม่ถูกกับตระกูลฝูเหมือนน้ำกับไฟ? น่าเสียดายที่ชายฉกรรจ์แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ยอมพูดมากแม้แต่คำเดียวราวกับกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วงจากปาก
ผู้เฒ่าคนพายเรือรู้สึกจนใจอย่างมาก ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรเขาก็ต้องรอให้กุ้ยฮูหยินพูดคุยกับเจียวเฒ่าตนนั้นจนได้ผลลัพธ์เสียก่อน หากแน่ใจแล้วว่าเป็นเงื่อนตายอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่สังหารชายฉกรรจ์ตรงหน้าผู้นี้ พยายามช่วงชิงข้องราชามังกรมาให้ได้ก่อน ช่วยให้คนบนเกาะกุ้ยฮวาตายน้อยลงได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น! จะปล่อยให้กิจการพันปีของตระกูลฟ่านพังลงในวันนี้ พังลงในปากของเศษสวะเหลือเดนจากพวกนักโทษประหารยุคบรรพกาลพวกนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
คนพายเรือเฒ่าทำจิตใจให้สงบ ไม่คาดหวังให้ชายฉกรรจ์ที่ไม่รู้ที่มาผู้นี้เปิดปากพูดอะไรอีก เพียงถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เจ้าคิดว่าตัวเองจะหนีรอดไปได้งั้นหรือ? หนีไปจากใต้เปลือกตาของเจียวเฒ่าตัวนั้น? หนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้?”
ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นก็แสยะปากยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู?”
“ข้องเล็กใบนี้มีมูลค่าหลายเหรียญเงินฝนธัญพืช ยกให้เจ้าแล้ว! รับให้ดีล่ะ!” จู่ๆ ชายฉกรรจ์ก็โยนที่ระดับไม่สูงใบนั้นขึ้นสูง มีความเป็นไปได้ว่าข้องราชามังกรนี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ชั้นต่ำที่ถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมากเมื่ออาณาจักรสู่โบราณยึดครองกองกำลังบนภูเขาบางแห่งได้ เพียงแต่ว่าเมื่อกาลเวลาที่ยาวนานล่วงเลยผ่านไป ข้องราชามังกรถูกยึด เก็บรวบรวมและทำลายไปครั้งแล้วครั้งเล่า จำนวนจึงน้อยลงเรื่อยๆ จนแทบจะกลายมาเป็นของล้ำค่าหายากเทียบเคียงได้กับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
คนพายเรือวัยชราไม่ได้ยื่นมือไปรับข้องราชามังกรในทันที หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองหลงกลแผนชั่วร้าย แต่บังคับปราณวิญญาณให้มันหยุดอยู่ตรงหน้า พอเพ่งสายตามองไปเขาพลันเดือดดาลอย่างหนัก ที่แท้ไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นแอบใช้วิธีอะไร เจียวน้อยในข้องถึงมีท่าทางใกล้ตาย เนื้อเละเลือดไหลโซม เส้นเอ็นและกระดูกล้วนโผล่ออกมาให้เห็น หายใจรวยรินเต็มที
ส่วนชายฉกรรจ์คนนั้นก็หัวเราะเสียงดัง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลายมาเป็นควันดำโอบล้อมไปรอบกาย คีบยันต์สีทองใบหนึ่งไว้ระหว่างนิ้วสองข้าง “เดี๋ยววันหน้าจะซื้อสุราคารวะไปให้ที่หน้าหลุมศพของพวกเจ้า ฮ่าๆ น่าเสียดายก็แต่บนโลกนี้จะไม่มีเหล้าหมักกุ้ยฮวาแล้ว…”
ยันต์ส่องแสงสีทองวูบหนึ่ง ชายฉกรรจ์ก็หายวับไปจากเรือลำเล็กในเสี้ยววินาที
เจียวเฒ่าที่เกล็ดสีทองส่องแสงอร่ามสะบัดหัวหนึ่งที หนวดเส้นหนึ่งก็เหมือนแส้ยาวที่ฟาดโบยลงไปในน้ำทะเล ทั้งๆ ที่หนวดข้างนั้นโบยลงบนความว่างเปล่าใกล้กับร่างของตัวมันเอง
ทว่านาทีถัดมา ร่างหนึ่งหรือจะพูดให้ถูกคือร่างหนึ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อนก็ร่วงลงมาจากก้อนเมฆเหนือร่องน้ำเจียวหลง ก็คือร่างของชายผู้ฝึกกระบี่ที่อาศัยยันต์หลบหนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงผู้นั้น ต่อให้ยันต์แผ่นนั้นจะเป็นยันต์ฟางชุ่นที่มีมูลค่าควรเมือง อีกทั้งยังหาได้ยาก อยู่ในระดับที่หนึ่งของยันต์ฟางชุ่นในโลก สามารถหลบหนีไปไกลร้อยลี้ได้ในชั่วพริบตา ขนาดคนที่มอบยันต์แผ่นนี้ให้ก็ยังพูดยืนยันหนักแน่นว่า พวกสัตว์เดรัจฉานในร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้จะไม่มีใครสามารถขัดขวางยันต์แผ่นนี้ได้เด็ดขาด ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ชายผู้ฝึกกระบี่คนนี้คิดว่าตัวเองคำนวณมาอย่างดีไร้ช่องโหว่แล้ว โยนข้องราชามังกรออกไป เจียวน้อยจะตายมิตายแหล่ เกาะกุ้ยฮวากับร่องน้ำเจียวหลงเป็นเหมือนฐานทัพสองแห่งที่ตั้งประจันหน้ากัน กุ้ยฮูหยินช่วยดึงความสนใจมาจากเจียวเฒ่าตัวนั้น บวกกับยันต์ฟางชุ่นสีทองแผ่นนี้ที่สามารถช่วยให้หลบพ้นหนึ่งกระบี่จากเซียนกระบี่พสุธาได้ เขาอาศัยโอกาสนี้หนีออกจากสนามรบก็เหมาะแล้วไม่ใช่หรือ?
เจียวเฒ่าใช้หนวดฟาดเข้าที่อากาศว่างเปล่าอีกครั้ง เสียงทึบอื้ออึงเหมือนเสียงสายฟ้าระเบิดในฤดูใบไม้ผลิก็ดังขึ้นกลางมหาสมุทรเป็นระลอก
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถที่ถูกฟันร่างขาดครึ่งท่อน โอสถทองแห่งชะตาชีวิตเม็ดหนึ่งแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่กลางอากาศ สะเก็ดแสงสีทองกอบใหญ่ร่วงกราวลงมาบนน้ำทะเลที่ใสกระจ่างของร่องน้ำเจียวหลง โอสถทองที่แตกเป็นเศษเสี้ยวค่อยๆ ร่วงลงมาพร้อมกับร่างกายสองท่อน ดึงดูดให้พวกเผ่าพันธ์เจียวหลงจำนวนนับไม่ถ้วนพากันกระโดดขึ้นสู่ผิวน้ำ แย่งชิงอาหารกันเหมือนหมาป่าหิวโหยจนคลื่นน้ำถาโถมอย่างรุนแรง
ผู้ฝึกกระบี่ตายตาไม่หลับ
ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีรากฐานคนหนึ่งสามารถฝึกตนจนกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทอง เป็นเรื่องที่ยากถึงเพียงไหน?
ตอนยังมีชีวิตอยู่คนผู้นี้ยังคิดว่าหลังจากการค้าใหญ่ครั้งนี้สำเร็จแล้ว เมื่อตนมีทรัพย์สินก้อนใหญ่จะไปหาสถานที่ดีๆ ที่ภูเขาสวยน้ำใส ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นสักที่หนึ่งมาเปิดภูเขาก่อตั้งสำนักเป็นบรรพบุรุษ แตกกิ่งก้านสาขา ร้อยปีพันปี สืบสานต่อเนื่องมั่นคง ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเหมือนพวกต้นกล้าตระกูลเซียนที่ตนเคยอิจฉามานาน ไม่ต้องคอยไปเสี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่าอีก…
หลังจากแน่ใจแล้วว่าข้องราชามังกรไม่มีกับดัก คนพายเรือเฒ่าก็คว้ามาไว้ในมือเบาๆ หันหน้าไปมองข้างหลังก็ต้องถอนหายใจหนึ่งครั้ง “เจ้าหนุ่มน้อย เจ้ามาทำอะไรที่นี่? หายนะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้ รีบถอยกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาซะ หากโชคดี ยังมีโอกาสได้เห็นภูเขาห้อยหัว แต่หากโชคร้าย…”
ผู้เฒ่าไม่พูดต่ออีก ต่อให้คำพูดอัปมงคลพวกนี้จะเป็นเรื่องจริง แต่สงครามใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
หลังจากดื่มเหล้าอึกใหญ่ไปแล้ว เฉินผิงอันก็ผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวอีกครั้ง
คนพายเรือเฒ่ามองความผิดปกติอะไรไม่ออก สตรีแต่งงานแล้วที่เผชิญหน้าอยู่กับเจียวเฒ่า หันหลังให้เกาะกุ้ยฮวาอยู่ตลอดเวลาก็เช่นกัน
ทว่าในดวงตาสีเงินที่ลูกตาดำตั้งตรงของเจียวเฒ่าร่างทองตัวนั้นกลับมีแววสนุกสนานผุดขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง ไม่ได้เปิดโปงแผนการเล็กๆ น้อยๆ ของเด็กหนุ่มในทันที คิดแค่ว่าอยู่ว่างๆ ก็ไม่มีอะไรทำ ไม่สู้เล่นแมวจับหนูแก้เบื่อสักหน่อย
เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้อาวุโส สถานการณ์ของเกาะกุ้ยฮวาตอนนี้เลวร้ายจนไม่สามารถเลวร้ายไปมากกว่านี้ได้แล้วใช่ไหม?”
“เลวร้ายถึงขีดสุดแล้วล่ะ”
คนพายเรือเฒ่าพยักหน้ารับ ไม่คิดจะโกหกหรือปิดบังอำพรางในเรื่องนี้ เขาพูดเบาๆ ว่า “เล่าลือกันว่าตอนที่เจียวเฒ่าตัวนั้นลงนามในสัญญากับบรรพบุรุษตระกูลฟ่าน ขอบเขตของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิด สิ่งมีชีวิตประหลาดอย่างเจียวเฒ่านี้มักจะฝึกตนได้ช้ามาก แต่หากเมื่อใดที่พวกมันป่ายปีนไปสู่จุดสูง พลังการต่อสู้ที่แท้จริงก็มักจะเหนือกว่าขอบเขตจริงไประดับใหญ่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเจียวหลงที่อยู่ในร่องน้ำมหาสมุทรมานานนับร้อยปีพันปีไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเซียนในแจกันสมบัติทวีปที่มีคำว่าสำนักอยู่ในชื่อเลย ประเด็นสำคัญคือเจียวเฒ่าตัวนั้นรับผิดชอบหน้าที่ควบคุมกองกำลัง จึงรับมือได้ยากอย่างถึงที่สุด”
เฉินผิงอันค่อนข้างจนใจ “ขอบเขตต่ำสุดของเจียวเฒ่าก็คือเซียนพสุธาก่อกำเนิด?”
คนพายเรือเฒ่าพยักหน้ารับ ไม่รู้ว่าทำไมเด็กหนุ่มสะพายกระบี่แบกไม้พายไว้บนไหล่ถึงถามคำถามข้อนี้
เฉินผิงอันเงยหน้ามองเจียวเฒ่าสีทองที่อยู่ห่างไปไกลตัวนั้น
ฝ่ายหลังก็มองประสานสายตากับเขา ในดวงตาสีเทาเต็มไปด้วยแววเยาะเย้ยที่เข้มข้น มันยังจงใจเหลือบมองมายังน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวของเฉินผิงอันแวบหนึ่งด้วย
เฉินผิงอันจึงรู้ว่าเจียวเฒ่ามองอุบายเล็กๆ ของตนออกแล้ว
เว่ยป้อเทพภูเขาที่มอบ ‘เจียงหู’ ใบนี้ให้เขากับมือเคยพูดว่า ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบลงมาไม่สามารถมองทะลุเวทอำพรางตาที่เขาร่ายไว้บนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ได้ และเห็นๆ กันอยู่ว่าเจียวเฒ่าตัวนี้เป็นแค่เซียนพสุธาขอบเขตสิบเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่เฉินผิงอันแสร้งใช้การดื่มเหล้ามาดึงให้ชูอีกับสืออู่กลายร่างเป็นภาพมายาผสานเข้าไปในร่างกายก็คงต้องตกอยู่ในสายตาของเจียวเฒ่านานแล้ว ถ้าเช่นนั้นหนึ่งในท่าไม้ตายอันเป็นสมบัติก้นกรุของเฉินผิงอันก็เหมือนเปิดเผยโจ่งแจ้งอยู่กลางแสงแดดเจิดจ้า
คนพายเรือเฒ่าพูดโน้มน้าว “เจ้าหนู ไปซะเถอะ มาดวีรบุรุษวัยเยาว์นี้ของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ แต่มันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจช่วยอะไรได้ แล้วเหตุใดยังต้องอวดเก่งด้วยเล่า? ไม่สู้กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา รอคอยโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่งนั้นอย่างว่าง่าย เจ้าอยู่ตรงนี้ ข้าคงไม่มีเวลามาสนใจว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย แม้จะไม่ถึงขั้นยิ่งช่วยยิ่งแย่ แต่ขอบเขตของเจ้าในตอนนี้ทำให้ไม่ต่างอะไรจากเอาตัวมาตายเปล่าๆ”
เดิมทีผู้เฒ่าอยากพูดว่าต่อให้กลับไปที่เกาะกุ้ยฮวาก็ยังต้องตายอยู่ดี แต่ถึงอย่างไรก็ดีว่าต้องมาถูกเจียวหลงในทะเลฉีกร่างกินเป็นอาหาร ทว่าสุดท้ายผู้เฒ่าก็กลืนคำพูดที่มารอตรงปากเหล่านี้กลับลงท้องไป
เฉินผิงอันยื่นไม้พายตีมังกรส่งให้ผู้เฒ่าคนพายเรือพลางพูดอธิบายว่า “ท่านผู้อาวุโส นี่คือยันต์ตัดโซ่ที่ข้าเปลี่ยนแปลงแก้ไขมาแล้วเรียบร้อย ยันต์นี้มาจากหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ตามบันทึกที่ระบุไว้ ควรจะมีอักขระแปดตัว ก่อนหน้านี้บนไม้พายพวกท่านมีแค่สี่คำว่า ‘ควรทำก็ทำ’ อันที่จริงยังขาดคำว่าคำสั่งเทพพิรุณไป อีกอย่างลายเมฆของยันต์ก็ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงไม่น้อย ข้าก็เลยวาดยันต์ตัดโซ่อันใหม่ให้”
ผู้เฒ่าเพ่งมองชัดๆ แล้วอึ้งงันไป จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยื่นมือแย่งไม้พายตีมังกรที่สืบทอดต่อกันมาหลายรุ่นด้ามนั้นมาเพ่งมองอย่างละเอียด ใช้ฝ่ามือลูบลวดลายของยันต์บนไม้พาย “ชื่อเดิมคือยันต์ตัดโซ่? ขาดสี่คำว่าคำสั่งเทพพิรุณ? ยันต์นี้ใช้อักษรสีชาด วาดลวดลายเมฆ รวมไปถึงมีความหมายว่าสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะ ระดับขั้นสูงมากจริงๆ เจ้าหนุ่ม หรือว่าเจ้าคือเป็นคนของพรรคมหายันต์? อาจารย์คือคนจากสำนักใหญ่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าเบาๆ
ไม่ได้บอกว่าตัวเองคือผู้ฝึกยุทธ์ เพียงแค่ใช้ลมปราณที่แท้จริงในร่างมาวาดยันต์แผ่นเดียวให้เสร็จสิ้นเลียนแบบหลี่ซีเซิ่งบัณฑิตแห่งถนนฝูลวี่
คนพายเรือเฒ่าถอนหายใจยาวเหยียด “น่าเสียดายยิ่งนัก พวกเรามีแค่ไม้พายตีมังกรที่กลับคืนสู่สภาพเดิมแค่ด้ามเดียว หากไม้พายหลายสิบด้ามล้วนถูกวาดยันต์แบบนี้ลงไป แล้วมีปรมาจารย์ด้านค่ายกลที่เชี่ยวชาญวิชาฉีเหมินตุ้นเจี่ยอีกคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะสยบร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ได้จริงๆ น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก!”
น้ากุ้ยบินทะยานกลับมาแล้ว พอเห็นไม้พายด้ามนี้นางก็มีท่าทางตกตะลึงไปเช่นกัน เพียงแต่ว่านางไม่ได้เสียดายอย่างคนพายเรือเฒ่า เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างเฉยชา “ไม่มีประโยชน์ แม้ว่ายันต์นี้จะมีที่มาค่อนข้างลึกล้ำ มักจะถูกสลักไว้บนเสาพันธนาการมังกรหรือไม่ก็บนดาบและกระบี่ คือหนึ่งในอุปกรณ์ที่เทพบรรพกาลใช้จับหรือไม่ก็ลงโทษเจียวหลง ต่อให้เป็นข้าในอดีตก็เคยเห็นผ่านๆ ตาอยู่หลายครั้ง มันสามารถสยบพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงได้จริง ทว่าเจียวเฒ่าตัวนั้นมีตบะลึกล้ำจนไม่เกรงกลัวของสิ่งนี้แล้ว หนึ่งเพราะวัสดุของไม้พายนี้ไม่สูง สองเพราะยันต์ชนิดนี้มีข้อเรียกร้องต่อพู่กันและหมึกสูงมาก…”
หลังจากมอบไม้พายไปแล้ว เฉินผิงอันก็พยายามเพ่งสายตาแอบเหลือบมองเจียวเฒ่าตัวนั้น
ในดวงตาสีเงินของฝ่ายหลังคล้ายเผยความคิดคำนึงที่ลึกล้ำเสี้ยวหนึ่งออกมา แต่ไม่นานก็กลับคืนมาเป็นปกติ หนวดสองข้างที่ล่องลอยอย่างเชื่องช้าส่องประกายแสงในน้ำทะเล
เล่าลือกันว่าหนวดสีทองของเจียวเฒ่าพันปีเมื่อนำมาทำเป็นเชือกพันธนาการปีศาจก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติอาคมในสมบัติอาคมอีกที
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา แล้วจู่ๆ ก็พูดว่า “น้ากุ้ย ท่านผู้อาวุโส พวกท่านช่วยถ่วงเวลาให้ข้าสักหนึ่งเค่อได้หรือไม่ ข้าจะวาดยันต์ใหม่อีกแผ่นหนึ่ง หากท่านผู้อาวุโสทั้งสองมีแผนการอย่างอื่น ก็ถือซะว่าข้าไม่ได้พูด วางใจเถอะ ข้าจะพยายามอาศัยกำลังของตัวเองให้วาดยันต์นี้จนเสร็จสิ้น”
เสียงของเฉินผิงอันเบามาก แต่สีหน้ากลับยืนกรานหนักแน่นจนคนฟังหวั่นไหว “เป็นยันต์แผ่นหนึ่งที่สำคัญมาก!”
บทที่ 264.2 ยันต์หนึ่งแผ่น
โดย
ProjectZyphon
บนเกาะกุ้ยฮวา ในกุ้ยกงที่อยู่บนยอดเขา แขกกุ้ยที่เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนหลังคาบ้าน เงยหน้ามองไปรอบทิศ ข้างกายคือหญิงชราที่ท่าทางเต็มไปด้วยความกังวลใจ
เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองสว่าง มองปราดๆ ไม่สะดุดตานักเพราะถูกยอดฝีมือร่ายเวทอำพรางตาเอาไว้เหมือนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ของเฉินผิงอัน หากมีคนสามารถทำลายเวทอาคมแล้วเพ่งมองอย่างละเอียดจะค้นพบความลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ชุดยาวตัวนี้ไม่ใช่ผ้าต่วนหรือผ้าไหมอะไร แต่เป็นชุดที่นำแผ่นไม้ไผ่ที่สีออกเหลืองจำนวนนับไม่ถ้วนมาสานเข้าด้วยกันอย่างงดงาม ฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ แผ่นไม้ไผ่บอบบางแต่กลับยืดหยุ่นทนทาน เอามาห่มกายเป็นเสื้อผ้า ฤดูหนาวอบอุ่นฤดูร้อนเย็นสบาย ไม่ถือว่าแปลกประหลาดอะไร แต่การที่มันทำให้ผู้สวมรู้สึกเหมือนอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลตลอดเวลา ช่วยเสริมสร้างการฝึกตน นี่ต่างหากที่เป็นเงินทุนก้อนใหญ่ของตระกูลเซียนอย่างแท้จริง
เสื้อชุดนี้มีชื่อว่า ‘ชิงเหลียง’ (เย็นสบาย) คือชุดคลุมอาคมที่มีชื่อเสียงชุดหนึ่งซึ่งมาจากภูเขาชิงเสินถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ เคยเป็นของรักของกษัตริย์ราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เมื่อราชวงศ์ล่มสลาย เสื้อวิเศษตัวนี้ก็หายสาบสูญไปเป็นเวลานาน คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่บนร่างของเด็กหนุ่มผู้นี้
เด็กหนุ่มพูดภาษาแจกันสมบัติทวีปที่สำเนียงผิดเพี้ยนฟังยาก “ท่านย่าหลิ่ว ขนาดยันต์ฟางชุ่นร้อยลี้ของผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนั้นยังใช้ไม่ได้ ยันต์พันลี้ที่อยู่ในมือข้าก็ไม่ต่างกันใช่ไหม?”
หญิงชราถอนหายใจ “อันที่จริงตบะของเจียวเฒ่าตัวนั้นไม่ได้น่าตกตะลึงสักเท่าไหร่ แค่ขอบเขตก่อกำเนิดขั้นสูงสุดเท่านั้น เพียงแต่ว่ามียอดฝีมือให้ความช่วยเหลือ สร้างร่องน้ำแห่งนี้ให้กลายมาเป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตัวมันจึงกลายมาเป็นดั่งอริยะ เมื่อบัญชาการณ์อยู่ที่นี่ พลังการต่อสู้จึงเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบ ได้เปรียบทั้งด้านชัยภูมิและกำลังคน”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “งั้นพวกเราจะทำยังไงกันดี?”
หญิงชราพูดยิ้มๆ “นายน้อยไม่ต้องเป็นกังวล ต่อให้ต้องสู้จนตัวตาย ข้าก็ต้องส่งนายน้อยให้ออกไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้ให้จงได้ แต่หลังจบเรื่องแล้ว นายน้อยโปรดจำไว้ว่าต้องย้อนกลับไปทางเดิม ไปยังหอหลากสีริมหน้าผาที่โยนลูกบอลปักลายลูกนั้นลงมา บอกชื่อแซ่กับพวกเขา รับรองว่าพวกเขาไม่กล้าเพิกเฉยท่านแน่ ถึงเวลานั้นนายน้อยก็จะสามารถกลับไปยังธวัลทวีปได้อย่างราบรื่น เล่าเรื่องนี้ให้บุรพาจารย์ฟัง ถึงตอนนั้นทัณฑ์สวรรค์ที่หล่นลงมาจากฟ้าย่อมทำลายสถานที่แห่งนี้ให้ราบเป็นหน้ากลอง ช่วยแก้แค้นให้กับยายแก่อย่างข้าเอง”
เด็กหนุ่มบ่น “ท่านยายหลิ่ว ความเป็นความตายเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดท่านถึงได้พูดง่ายขนาดนี้ ข้าไม่ต้องการให้ท่านมาตายอยู่ที่นี่ พวกเรายังต้องกลับบ้านด้วยกัน”
สีหน้าของหญิงชรายังคงผ่อนคลายเช่นเดิม นางหันมามองเด็กหนุ่มด้วยสายตาเมตตา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ก็เป็นคำพูดด้วยความจำใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ร้องไห้ด้วยความกังวลต่อหน้านายน้อยกระมัง อายุมากขนาดนี้แล้ว ไม่ควรทำแบบนั้นจริงๆ”
หญิงชรานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงมองไปยังแหวนหยกบนนิ้วของเด็กหนุ่มแล้วพูดเบาๆ ว่า “นายน้อย นี่คือวัตถุจื่อฉื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี อย่าเอาทรัพย์สมบัติที่อยู่ด้านในมาโอ้อวดให้คนอื่นดูง่ายๆ ยามออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก อย่าพยายามหยั่งเชิงใจคน เพราะใจคนเป็นสิ่งที่ทนรับการเคาะตีไม่ได้มากที่สุด”
กล่าวมาถึงตรงนี้ บนใบหน้าแก่ชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของหญิงชราค่อนข้างจะเลื่อนลอย ถึงอย่างไรหญิงชราทุกคนในใต้หล้านี้ก็เคยผ่านการเป็นเด็กสาวมาก่อน
เด็กหนุ่มสวมชุดไม้ไผ่ยื่นมือชี้ไปยังเรือน้อยลำหนึ่ง “ท่านยายหลิ่ว ท่านดูเด็กหนุ่มแบกไม้พายไม้ไผ่คนนั้นสิ เขาน่าจะอายุพอๆ กับข้ากระมัง แต่เขาร้ายกาจจริงๆ กล้าหาญ เท่ห์มาก! แข็งแกร่งกว่าข้าเยอะเลย เดี๋ยววันหน้าข้าต้องหาจิตรกรฝีมือยอดเยี่ยมคนหนึ่งมาช่วยวาดภาพนี้เก็บไว้ให้ข้า”
หญิงชราส่ายหน้าพลางพูดยิ้มๆ “อย่าได้เลียนแบบการทำอะไรโดยใช้อารมณ์แบบเด็กหนุ่มคนนั้นเด็ดขาดเชียว นายน้อยท่านไม่ใช่แค่ลูกหลานตระกูลเศรษฐีร่ำรวยธรรมดาทั่วไป หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันกับท่านในระหว่างแถบพื้นที่ของแจกันสมบัติทวีปกับนาตยทวีปเข้าจริงๆ นั่นแหละคือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ท่านยายหลิ่ว ข้าผ่านการฝึกประสบการณ์มาหลายครั้งแล้ว อย่ามองข้าเป็นเด็กอยู่ตลอดเวลาสิ”
หญิงชราเพียงยิ้มรับ ไม่ตอบโต้
การฝึกประสบการณ์ทั้งหลายที่มองดูเหมือนเต็มไปด้วยภยันตรายรอบด้าน มีครั้งไหนบ้างที่ไม่มีบุรพาจารย์คนใดคนหนึ่งคอยจับตามองอยู่ตลอดเวลา
อันที่จริงการออกเดินทางไกลครั้งนี้ จากธวัลทวีปไปยังกุรุทวีป จากนั้นค่อยลงใต้มายังแจกันสมบัติทวีป สำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหู ตระกูลเจียงอวิ๋นหลิน สุดท้ายมาถึงนครมังกรเฒ่า แล้วก็ลงใต้ต่ออีกครั้ง ขึ้นบกที่ใบถงทวีป จะสำนักใบถงที่อยู่ทางเหนือหรือสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้ก็ล้วนแวะไปเยี่ยมเยียนมาหมดแล้ว อีกนิดเดียวนายน้อยก็เกือบจะได้เข้าไปยังพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้น ตลอดทางที่ผ่านมาไร้ลมไร้ฝน แต่มีข้อหนึ่งที่หญิงชราไม่เข้าใจมาโดยตลอด ทำไมถึงมีแค่ตนคนเดียวที่รับหน้าที่เป็นข้ารับใช้ติดตามอยู่ข้างกายนายน้อย? นี่จะประมาทเกินไปหน่อยหรือเปล่า? ผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิดคนหนึ่ง ขอบเขตไม่ถือว่าต่ำ แต่สถานะของนายน้อยสูงส่งถึงเพียงไหน?
ก็เหมือนกับอันตรายที่พบเจอในร่องน้ำเจียวหลงครั้งนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่ได้อยู่ข้างกายนายน้อย นายน้อยไม่ต้องขมวดคิ้วด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องตกอกตกใจ แค่รอดูไฟชายฝั่งอย่างเดียวก็พอ
……
นอกห้องพักธรรมดาแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขาของเกาะกุ้ยฮวามีศาลาลมขนาดเล็กอยู่หนึ่งหลัง หญิงสาวหน้าตางดงามปานดวงจันทร์นั่งอยู่ในศาลา นางสวมเสื้อตัวสั้น กระโปรงยาว ตรงเอวรัดแถบผ้าหลากสี เมื่อเผชิญหน้ากับหายนะที่พุ่งมาหาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยครั้งนี้ แม้ว่าใบหน้าของนางจะเต็มไปด้วยความเดือดดาล ไฟโทสะที่มีต่อตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่าอัดแน่นอยู่เต็มท้อง แต่กระนั้นนางก็ยังอดทนข่มกลั้นเอาไว้ ยังมีอารมณ์มาต้มชา ดื่มชา เสร็จแล้วจึงเก็บอุปกรณ์ชงชาทีละชิ้น จากนั้นค่อยคิดหาวิธีรับมือ แต่พอเห็นภาพการตายอนาถของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนนั้น นางก็หมดอาลัยตายอยาก รู้แล้วว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่จะต้องตาย
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม ใช้นิ้วเคาะเบาๆ ลงบนผิวโต๊ะ พึมพำกับตัวเองว่า “ไม่มีเหตุผลเลยที่จะดวงซวยขนาดนี้ ตอนอยู่นครมังกรเฒ่ายังพยากรณ์ให้ตัวเองไปรอบหนึ่ง ถึงได้ไม่เลือกเต่าทะเลภูเขา มาเลือกเกาะกุ้ยฮวาแทน ตามหลักแล้วไม่น่าจะผิดได้ แล้วก็ควรจะงมเจอโชควาสนาครั้งสองครั้งถึงจะถูก จะมาตายก่อนวัยอันควรได้อย่างไร?”
เด็กสาวลุกขึ้นยืน ดีดปลายเท้าทะยานตัวขึ้นไปบนหลังคาศาลา มองลงมาจากมุมสูงการมองเห็นจึงเปิดกว้าง นางกลืนน้ำลาย เปลี่ยนจากท่ายืนมานั่งยอง เริ่มนับนิ้วพยากรณ์ “หรือว่ามียอดฝีมือแฝงตัวอยู่ ไม่ก็คนที่จะมาคลี่คลายสถานการณ์ยังไม่ปรากฏตัว? สรุปคือต้องไม่ใช่ทางตายถึงจะถูก ไม่มีทางที่จะ…ขอให้ข้าคำนวณเจ้าดูหน่อย สตรีแต่งงานแล้วที่สามารถคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทอง โอ้โห ที่แท้เจ้าก็คือเกาะกุ้ยฮวาเองหรือ แปลกจริง คนที่จะคลี่คลายสถานการณ์กลับยังไม่ใช่เจ้า…”
“มาดูคนพายเรือแจวที่อำพรางตัวลึกล้ำผู้นี้บ้าง เอ๊ะ? คือผู้ฝึกลมปราณที่ถอยจากก่อกำเนิดกลับมายังโอสถทอง? ตอนนี้อาการบาดเจ็บยังไม่หายดี ไม่เสียแรงที่เป็นคนพายเรือเฒ่าผู้มีเรื่องราว แต่เจ้าก็ยังไม่ใช่คนคลี่คลายสถานการณ์อยู่ดี…”
“ส่วนเด็กหนุ่มที่เป็นดั่งลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์คนนี้ก็ช่างเถอะ แบกไม้พายยังพอว่า จุ๊ๆ ยังดื่มเหล้าด้วย? ชอบโอ้อวดเกินไปแล้ว นึกว่าตัวเองเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนจริงๆ หรือไง โง่เง่าชะมัด…ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หรือว่ากุญแจสำคัญที่จะคลี่คลายสถานการณ์จะอยู่บนภูเขา มีเทพเซียนบางคนกำลังมองดูอยู่เฉยๆ? รอให้เจียวเฒ่าตัวนั้นคลายความระแวงลงแล้วค่อยจู่โจมจนถึงชีวิต? ไหนขอข้าคำนวณดูหน่อยสิ มียอดฝีมือนอกโลกที่จงใจอำพรางลมปราณของตัวเองอยู่จริงๆ ด้วย น่าเสียดายก็แต่…ยังคงไม่ใช่เขา!”
หญิงสาวยกสองมือเกาหัว สองข้างแก้มแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่านางร้อนรนกระวนกระวายเต็มที ปิ่นมุกที่ปักอยู่บนมวยผมเอียงกะเท่เร่ เส้นผมดำขลับยุ่งเหยิง
“อย่าลนลานๆ อาจารย์เคยบอกว่าไม่ว่าสถานการณ์ใหญ่แบบใดในใต้หล้า มักจะซุกซ่อนคำว่า ‘หนึ่ง’ ที่แปรเปลี่ยนหมื่นสรรพสิ่งเสมอ ต่อให้เป็นมรรคาจารย์เต๋าท่านนั้นก็แสวงหาคำนี้อยู่ตลอดเวลา มังกรที่แท้จริงตัวนั้นเป็นเช่นนี้ ความลี้ลับที่แท้จริงในถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นเช่นเดียวกัน กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งหมด…”
ในขณะที่หญิงสาวคนนี้กำลังเหม่อลอย จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาแห่งเรือนเล็กกุยม่ายก็กำลังสาวเท้าเดินไปเดินมา เดินหนึ่งก้าวหันกลับมามองสามรอบ หันมองกลับไป นางเห็นว่าอาจารย์ของตัวเองกำลังคุมเชิงอยู่กับเจียวเฒ่าสีทอง เห็นคนพายเรือเฒ่าที่มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองของเกาะกุ้ยฮวา แน่นอนว่ายังเห็นเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ขึ้นเรือแจวไปสร้างปัญหาเพิ่มคนนั้นด้วย จินซู่รู้ว่าตัวเองไม่ควรกล่าวโทษเด็กหนุ่มที่ออกหน้าหวังให้ความช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ทำไม ไฟโทสะที่นางมีต่อเด็กหนุ่มคนนี้ถึงได้รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหตุให้รู้สึกว่าต้องโยนหายนะทั้งหมดที่ได้เผชิญในวันนี้ให้เป็นความผิดของไอ้หมอนั่น ในใจนางถึงจะได้รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
จินซู่ไม่อยากคิดมาก แล้วก็ยิ่งไม่อยากยอมรับว่าการที่นางอับอายจนกลายเป็นความโกรธนี้ ไม่ใช่เพราะว่าแขกต่างถิ่นที่ชื่อว่าเฉินผิงอันคนนั้นทำถูกหรือผิด แต่เป็นเพราะ ‘การดึงดันจะทำตามใจตัวเอง’ ของเขายิ่งขับดันให้เห็นถึงความขี้ขลาดอ่อนแอของนาง แม้แต่ความกล้าที่จะหยัดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์ นางก็ยังไม่มี
ระหว่างเส้นความเป็นความตาย บางคนรักตัวกลัวตาย วิเคราะห์และประเมินการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์เพื่อหลบลี้หนีภัย บางคนสละชีวิตเพื่อรักษาคุณธรรม กล้าเผชิญหน้ากับความยากลำบาก หวังรอดพ้นจากความตาย
สำหรับคนหนุ่มสาวที่เพิ่งจะเริ่มก้าวเดินไปบนเส้นทางของความเป็นอมตะ คนหนึ่งอาจไม่ผิดเสมอไป และคนหนึ่งอาจไม่ถูกเสมอไป
บนท้องทะเลนอกเกาะกุ้ยฮวา เรือแจวลำเล็กสองลำจอดเคียงกัน
คนพายเรือเฒ่าเกลี้ยกล่อมหลายครั้งก็ไม่ได้ผล บวกกับที่ลึกๆ ในใจไม่ต้องการให้เด็กหนุ่มต้องมาจบชีวิตลงที่นี่ ด้วยความโมโหจึงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “ในเมื่อกุ้ยฮูหยินก็บอกถึงความร้ายกาจของเจียวเฒ่าแล้ว เจ้าจะยังอยู่ที่นี่อีกทำไม เหลวไหล!”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มเจื่อน “รอบกายมีแต่อันตราย เว้นเสียจากปลาตายแหขาดก็ไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วจริงๆ”
จู่ๆ ผู้เฒ่าก็กดเสียงลงพูดเบาๆ ว่า “กุ้ยฮูหยิน เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ตระกูลฟ่าน…”
สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้า “ข้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว”
นางหันหน้าไปมองเด็กหนุ่ม ถามเสียงอ่อนโยน “เฉินผิงอัน ยันต์แผ่นนั้นสำคัญมากจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างแรง
สตรีแต่งงานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ถึงอย่างไรเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะทำอะไรได้อีก เจียวเฒ่าตัวนั้นยืนกรานว่าจะไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน เอาแต่ใช้คำว่ากฎเกณฑ์มาข่มข้า เรื่องราวใดที่ผิดไปจากปกติย่อมมีความประหลาดซุกซ่อนอยู่ ในเมื่อเจ้าเฉินผิงอันยินดีทำอะไรบางอย่าง ถ้าอย่างนั้นก็ทำเถอะ พวกเจ้าสองคนช่วยถ่วงเวลาให้เจ้า ไม่ถือเป็นเรื่องยากอะไร”
เฉินผิงอันจึงนั่งลงไปในเรือทันที หันหลังให้กับเจียวเฒ่าสีทอง เพราะจิตเชื่อมโยงกับกระบี่บินสืออู่ที่เป็นวัตถุฟางชุ่น เพียงไม่นานก็มีกระดาษยันต์สีเขียวแผ่นหนึ่งกลิ้งออกมา ดูเหมือนจะเป็นหน้าหนังสือที่ฉีกมาจากตำราบางเล่มของอริยะนักปราชญ์ มือซ้ายของเฉินผิงอันถือเหล็กหมาดหิมะ เป่าลมลงไปเบาๆ ทว่าตอนที่ปลายพู่กันซึ่งสลักคำว่า ‘ตวัดพู่กันดุจเทพช่วย’ จรดลงบนกระดาษยันต์ ในใจของเฉินผิงอันกลับสั่นสะท้านไม่หยุด ปลายพู่กันเหมือนสองเท้าของคนที่ก้าวเดินจมลึกลงไปในหิมะในช่วงเวลาที่หิมะตกหนัก ยากที่จะขยับเคลื่อน!
ลมปราณแท้จริงของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวเฮือกนั้นของเฉินผิงอันขาดสะบั้นลงกลางคัน!
ก่อนหน้านี้เขียนยันต์เจดีย์วิเศษสยบปีศาจลงบนกระดาษสีทอง และยันต์ปราณหยางส่องไฟมาแล้วหลายครั้ง แต่เฉินผิงอันก็ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ทว่าเฉินผิงอันกลับรู้สึกตะลึงระคนดีใจ
แม้ว่าตัวเองจะบาดเจ็บภายใน จิตวิญญาณจะสั่นสะเทือน แต่เฉินผิงอันก็ยังแข็งใจดึงลมหายใจเฮือกใหม่ขึ้นมา ลดมือลง ขยับปลายพู่กันเหล็กหมาดหิมะไปบนกระดาษยันต์แผ่นนั้นอย่างต่อเนื่อง
เจ้าสามารถทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็จริง แต่ต้องแน่ใจว่าจะไม่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ไปมากกว่าเดิม
ตอนอยู่หน้าวัดร้างแคว้นหวงถิง เพื่อน้ำใจไมตรีในอุดมคติ หนุ่มสาวในยุทธภพที่สวมอาภรณ์งดงามขี่อาชาแข็งแกร่งกระทำการโดยยึดมั่นในหลักคุณธรรม แต่เกือบจะทำให้งานใหญ่ของผู้ฝึกลมปราณอีกกลุ่มเสียหาย เกือบจะทำให้ปีศาจจิ้งจอกที่สร้างหายนะมาหลายปีหนีรอดไปได้
นี่ก็คือตัวอย่างบทเรียนของความหวังดีที่ทำให้เรื่องพัง
หากแน่ใจว่าตัวเองจะไม่เป็นเช่นนั้น เฉินผิงอันก็คิดว่าตัวเองควรต้องทำอะไรบางอย่างจริงๆ
ตอนอยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองของแคว้นไฉ่อี บุตรสาวเจ้าเมืองที่ผูกกระดิ่งเงินไว้บนข้อมือและข้อเท้าก็เคยลงมือช่วยเหลือเช่นกัน ทว่านางหยุดเมื่อถึงเวลาสมควร ทุกครั้งที่ช่วยเหลือล้วนทำในสิ่งที่ความสามารถของนางทำได้ อีกทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระของเฉินผิงอันอย่างเหมาะสม นี่เป็นสิ่งที่ดีมาก
เป็นเรือข้ามฟากเหมือนกัน ลำหนึ่งคือเกาะกุ้ยฮวาของนครมังกรเฒ่า อีกลำหนึ่งคือเรือคุนของภูเขาต่าเจี้ยว
เกาะกุ้ยฮวาแห่งนี้คือกิจการของครอบครัวที่ฟ่านเอ้อร์เพื่อนรักของเขาและลูกหลานรุ่นหลังจะได้สืบทอด
ส่วนบนเรือคุนลำนั้นเคยมีหญิงสาวสองคนที่เขาได้ใช้เวลาร่วมกับพวกนางนานวัน ชื่อชุนสุ่ยกับชิวสือ ต่างก็เป็นผู้หญิงที่ดีทั้งสองคน เฉินผิงอันคิดมาตลอดว่าพวกเขาอายุแค่เท่านี้ ไม่ว่าจะกี่ปีหรือกี่สิบปีให้หลัง ไม่ว่าจะมีกี่พันภูเขากี่หมื่นแม่น้ำกางกั้น จากกันแล้วสักวันก็ต้องได้พบกันใหม่
เฉินผิงอันเพิ่มน้ำหนักให้กับข้อมือและนิ้วทั้งห้าอย่างต่อเนื่อง ลมหายใจและปราณกระบี่สิบแปดหยุดโคจรอย่างรวดเร็ว ปราณแท้จริงในร่างกายที่บริสุทธิ์เฮือกนี้จำเป็นต้องรวดเร็วและมั่นคงเหมือนมีดผ่าลำไม้ไผ่
ลมปราณมั่นคง จิตใจก็จะมั่นคง เมื่อจิตใจมั่นคง ยันต์ก็จะศักดิ์สิทธิ์
ย้อนคิดถึงช่วงเวลาในอดีต การขึ้นรูปเผาเครื่องปั้นก็พิถีพิถันในคำว่ามั่นคงเหมือนกัน ใจนิ่งแล้วมือถึงจะนิ่งตาม
ในที่สุดปลายแหลมของเหล็กหมาดหิมะก็ค่อยๆ สัมผัสเข้ากับกระดาษยันต์สีเขียว
จุดแสงจุดหนึ่งที่เล็กมากระเบิดแตกขึ้นมาในเสี้ยววินาที
ประหนึ่งดวงจันทร์ที่ลอยตัวอยู่เหนือมหาสมุทร
เฉินผิงอันไม่สนใจ จิตใจของเขาจมจ่อมอยู่กับยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น เขาต้องเขียนตัวอักษรแปดคำลงบนกระดาษสีเขียว ควรทำก็ทำ คำสั่งเทพพิรุณ
ยันต์แผ่นนี้จะสำเร็จหรือไม่ วาดเสร็จแล้วค่อยว่ากัน
ก็เหมือนกับข้อที่ว่าแท้จริงแล้วหมัดเขย่าขุนเขาเป็นวิชาหมัดที่สูงหรือไม่ ฝึกให้ครบหนึ่งล้านครั้งก่อนค่อยว่ากัน
วันนี้หากไม่ทำอะไรเสียบ้าง เฉินผิงอันรู้สึกว่าจะผิดต่อการฝึกหมัด การฝึกกระบี่ การดื่มเหล้า และผิดต่อคนมากมายที่ตัวเองรู้จัก
บทที่ 265.1 บนมหามรรคา
โดย
ProjectZyphon
เมื่อเฉินผิงอันยกพู่กันวาดยันต์ ภายใต้การให้สัญญาณจากเจียวเฒ่าร่างสีทอง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในร่องน้ำเจียวหลงก็เริ่มเคลื่อนไหว อีกทั้งยังลงมืออย่างจริงจัง พวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่แฝงตัวอยู่ในร่องเจียวหลงมานานหลายร้อยหลายพันปีพากันกรูเข้าหาเกาะกุ้ยฮวาที่ลอยอยู่เหนือน้ำทะเลสูง
มีเพียงตรงตำแหน่งที่เจียวเฒ่าสีทองขดตัวอยู่ที่สงบนิ่งเป็นพิเศษ
คนพายเรือเฒ่าโยนข้องราชามังกรไว้ข้างเท้า ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวหนึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่แล้ว ผู้เฒ่าชำเลืองตามองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่อยู่ด้านหลังตัวเอง ทั้งร่างของเขาเหมือนถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง หนึ่งคนหนึ่งพู่กันหนึ่งกระดาษยันต์ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง ราวกับกลายมาเป็นฟ้าดินขนาดเล็กที่สูงหมื่นจั้งแห่งหนึ่ง
ผู้เฒ่าเอ่ยชื่นชมอยู่ในใจหนึ่งคำรบ เจ้าหนุ่มน้อยมีกลิ่นอายของความยิ่งใหญ่จริงๆ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับขอบเขตสูงต่ำ หรือตบะตื้นลึกสักเท่าไหร่ แต่ผู้เฒ่ายอมรับเลยว่าตอนที่ตนยังเป็นหนุ่มไม่เคยมีบุคลิกท่าทางเช่นนี้
เพียงไม่นานผู้เฒ่าก็ถอนสายตากลับ พูดขึ้นเบาๆ ว่า “กุ้ยฮูหยิน เกาะกุ้ยฮวาตกอยู่ในอันตราย เฉินผิงอันกับยันต์แผ่นนี้มอบให้ข้าเป็นคนปกป้องชั่วคราวเถอะ กุ้ยฮูหยินไปพิทักษ์เกาะกุ้ยฮวาได้เลย บอกให้หม่าจื้อและพวกผู้ดูแลทั้งหลายไปแจ้งให้ผู้โดยสารทุกคนบนภูเขารู้ถึงผลดีผลเสีย อย่าได้อำพรางตบะกันอยู่อีกเลย บุญคุณความแค้นส่วนตัวทั้งหมด รวมไปถึงค่าตอบแทนและค่าชดเชยทั้งหลาย รอให้เกาะกุ้ยฮวาพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ก่อนค่อยว่ากัน”
“เจียวเฒ่าลงมือครั้งนี้ประหลาดมาก อีกอย่างดูจากวิธีที่มันใช้ฆ่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนนั้น หากมันไม่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว ก็ต้องมีคนแอบวางค่ายกลไว้ในร่องน้ำเจียวหลง เปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายมาเป็นเหมือนสถานศึกษาสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ไม่แน่ว่าอาจมียอดฝีมือของสำนักนอกรีตบางคนหมายตาสถานที่แห่งนี้ ถึงได้มอบความมั่นใจให้แก่เจียวเฒ่าในการงัดข้อกับอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีป แต่ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตหยกดิบหรืออริยะจำลอง หากมันลงมืออย่างเต็มกำลัง ไม่มีข้าอยู่ด้วย เจ้ารับมือคนเดียวย่อมลำบากมาก”
กุ้ยฮูหยินรู้สึกลังเลเล็กน้อย นางไม่ได้รีบร้อนกลับไปที่เกาะกุ้ยฮวา ถึงขั้นยังจงใจชะลอความเร็ว ระหว่างนี้ก็ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียไปด้วย ท่ามกลางเส้นทางการฝึกตนที่ยาวนาน กุ้ยฮูหยินรู้ดีว่าเมื่ออยู่ท่ามกลางภาวะยากลำบากที่หันมองไปทางใดก็ล้วนเลือนรางเช่นนี้ ทำสิบเรื่องร้อยเรื่อง ไม่สู้ทำเรื่องที่ถูกต้องเพียงเรื่องเดียว
น้ำทะเลสามทิศเหมือนน้ำที่ทำนบพังทลายโจมตีกระแทกใส่เรือข้ามฟากที่อยู่ ‘ก้นถ้วย’
บนเกาะกุ้ยฮวา นอกจากต้นกุ้ยบรรพบุรุษที่อยู่บนยอดเขาแล้ว ต้นกุ้ยที่เหลืออีกพันกว่าต้นล้วนใบร่วงระนาว ใบไม้ที่ร่วงยังไม่ทันตกสู่พื้นก็พร้อมใจกันบินขึ้นกลางอากาศอย่างเป็นระเบียบ หลังจากที่ใบกุ้ยทยอยกันหยุดอยู่กลางอากาศแล้วก็ก่อตัวเป็นรูปครึ่งวงกลม ปกคลุมเกาะกุ้ยฮวาไว้ภายใน จากนั้นใบกุ้ยทั้งกลายก็กลายเป็นเถ้าถ่านในเสี้ยววินาที แหลกสลายหายไป เหลือไว้เพียงปราณวิญญาณสีเขียวมรกตกลุ่มหนึ่งที่ยังอยู่ที่เดิม ก่อตัวเป็นลูกกลมขนาดใหญ่เล็กจำนวนมาก ระหว่างลูกวิญญาณใบกุ้ยที่ลักษณะเหมือนเกาลัดป่าเหล่านี้มีเส้นใยสีเขียวเข้มหลายเส้นพุ่งออกไปรอบทิศเพื่อชักดึงเชื่อมโยงกันและกัน
น้ำทะเลโถมกระหน่ำรุนแรง เรือข้ามฟากเหมือนกลายมาเป็นเรือแจวลำน้อย ปราณวิญญาณที่ซุกซ่อนอยู่ในใบกุ้ยถักทอเข้าหากัน เหมือนตาข่ายขนาดใหญ่ที่คนพายเรือเหวี่ยงออกไปเต็มแรง เพียงแต่ว่าการ ‘หว่านแห’ ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อจับปลา แต่เพื่อกันฝน
เมื่อน้ำทะเลกระแทกลงบนตาข่ายใหญ่ ลูกคลื่นก็ซัดกระเพื่อม แต่กลับไม่มีน้ำสักหยดเล็ดรอดตาข่ายเข้ามาในเกาะกุ้ยฮวาได้ และเรือข้ามฟากก็แค่โคลงเคลงเล็กน้อย อีกทั้งเมื่อต้นกุ้ยบรรพบุรุษแสดงท่วงท่ามหัศจรรย์ด้วยการแผ่กิ่งก้านให้เจริญเติบโตไปอย่างรวดเร็ว พื้นดินบนยอดเขาปริแตก ร่องลึกจำนวนมากปรากฏขึ้น เผยให้เห็นรากของต้นกุ้ยโบราณที่ขดรัดพันกันอยู่ ตลอดทั้งเกาะกุ้ยฮวาก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสูง ราวกับว่าจะต้านทานการโจมตีจากน้ำทะเล ทะยานลมขึ้นไปกลางอากาศ หนีไปจากร่องน้ำเจียวหลงแห่งนี้
ฉิวน้ำ (มังกรตัวเล็กที่มีเขาในตำนาน) จำนวนมากที่มีเขางอกออกจากหน้าผากบุกโจมตีดุดันมากที่สุด แต่ละตัวเกาะติดอยู่บนตาข่ายใหญ่ ใช้กรงเล็บฉีกกระชากค่ายกลใบกุ้ย บ้างก็ใช้เขางัดแทง
ฉิวน้ำประเภทนี้ถือเป็นสมาชิกผู้สูงศักดิ์ที่มีอำนาจในบรรดาเผ่าพันธุ์เจียวหลง มีความสัมพันธ์ค่อนข้างใกล้ชิดกับมังกรแท้จริงที่ควบคุมห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทรในยุคโบราณ เมื่อเทียบกับพวกงูและปลาหลีแล้วก็แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพียงแต่ว่าเมื่อมีคำว่าน้ำเพิ่มขึ้นมา จะด้อยกว่าฉิวที่มีคำเรียกคำเดียวและถือเป็นเชื้อพระวงศ์สมชื่อไปหนึ่งระดับ ฉิวน้ำเป็นเผ่าพันธ์ที่เกิดจากการผสมพันธ์กันระหว่างต้าฉิวในยุคบรรพกาลกับงูเขียวในทะเล เป็นเหตุให้มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าฉิวเขียว พวกมันกับฉิวขาวที่ชอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางภูเขาใหญ่ หนึ่งอยู่ในทะเลลึกหนึ่งอยู่บนบก มักจะปรากฏตัวอยู่ในบทความของนักประพันธ์ และยิ่งเป็นแขกประจำของบทกวีเซียนท่องเที่ยว
ทายาทของเจียวหลงอีกจำนวนมากตามหลังมาติดๆ แต่ละตัวบุกโจมตีตาข่ายใหญ่อย่างดุร้าย อีกทั้งยังร่ายใช้เวทอภินิหารวิชาน้ำที่เป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด แต่ละตัวห่อหุ้มน้ำทะเลหนักนับหมื่นชั่งให้กระแทกลงบนตาข่ายใหญ่
พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้ง นี่คือตบะเซียนพสุธาที่กุ้ยฮูหยินรวบรวมมาอย่างยากลำบาก นางปล่อยให้พลังต้นกำเนิดที่เป็นรากฐานของร่างจริงถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้กับทุกคน
ต้องถ่วงเวลารอจนกว่าหม่าจื้อจะสื่อสารกับแขกทุกคนบนเรือเสร็จสิ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่ามวลชนจะสมัครสมานสามัคคี ร่วมแรงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันข้ามผ่านหายนะครั้งนี้ไปได้หรือไม่
ในขณะที่เฉินผิงอันพยายามสุดกำลังเพื่อเขียนยันต์ตัดโซ่แผ่นนั้น เจียวเฒ่าสีทองที่นอกจากจะออกคำสั่งให้เผ่าพันธ์ในร่องน้ำเจียวหลงลงมือโจมตีเกาะกุ้ยฮวาแล้ว ตัวมันกลับไม่มีท่าทีว่าจะลงมือ เพียงแค่ทำท่าครุ่นคิด ส่ายร่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีทองยาวร้อยจั้งแหวกว่ายไปตามริมขอบของมหาสมุทรที่น้ำใสกระจ่าง สุดท้ายกลายร่างเป็นผู้เฒ่ามากบารมีคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมสีทองเดินออกมาจากริ้วน้ำที่แผ่กระเพื่อม คิ้วของเขายาวมากจนห้อยย้อยลงมาตรงหน้าอก เขาเดินอยู่กลางอากาศว่างเปล่า ผู้เฒ่าที่จำแลงมาจากเจียวเฒ่าคนนี้ไม่ได้สนใจกุ้ยฮูหยินที่ต้องแบ่งสมาธิไปควบคุมเกาะกุ้ยฮวา แม้แต่ความเป็นความตายของเจียวน้อยตัวนั้น ผู้เฒ่าก็ยังไม่แยแส เขาเหมือนนักท่องเที่ยวคนหนึ่งที่กำลังเดินลงจากเนินเขามาช้าๆ หลุบตามองต่ำมาจากจุดสูง มองไปยังเรือเล็กสองลำและคนสามคนที่อยู่ตรงตีนเขา
เจียวเฒ่ามองไปยังแผ่นหลังของเด็กหนุ่ม ฝีเท้าไม่ได้หยุดชะงัก เขาพูดพร้อมยิ้มบางๆ “เจ้าหนู การที่เจ้าเล่นตุกติกกับไม้พายตีมังกร เขียนยันต์ตัดโซ่ลงไปโดยพลการ ข้าแค่มองว่าเจ้ายังเด็กไม่รู้ความ ปล่อยให้เจ้าแอบซ่อนกระบี่บินสองเล่มเอาไว้ แต่หากยังได้คืบจะเอาศอก…”
คนพายเรือเฒ่าบังคับเรือเล็กใต้ฝ่าเท้ามาขวางให้เฉินผิงอันกับเรือเล็กอยู่ด้านหลัง แหงนหน้ามองเดรัจฉานเฒ่าที่เปลี่ยนสันดานในฉับพลันแล้วหลุดหัวเราะพรืด “ได้คืบจะเอาศอก แล้วจะทำไม? หรือว่าจะให้ยื่นคอรอเจ้าฆ่าตายด้วยวิธีที่สบายกว่าเดิม? ต้องขอร้องเดรัจฉานอย่างพวกเจ้าว่าเวลาเขมือบพวกเราอย่าเคี้ยวละเอียดเกินไปนัก?”
เจียวเฒ่าชำเลืองตามองผู้เฒ่าพายเรือแล้วยิ้มพูดว่า “พวกเจ้าทำผิดกฎล้วนต้องตายอยู่แล้ว ส่วนจะตายอย่างไร อันที่จริงไม่สำคัญเท่าใดนัก หรือเจ้าลืมไปแล้วว่า หากหลังจากตายไปวิญญาณของพวกเจ้าถูกข้าค่อยๆ ดึงออกมาทำเป็นไส้เทียนสักหลายสิบแท่ง พอนำไปจุดไฟ เอาไปวางไว้ในจุดลึกของร่องน้ำเจียวหลง พวกเจ้าก็ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความหนาวเย็น ความทรมานนี้รุนแรงกว่าถูกห้าม้าแยกร่าง ถูกแร่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นชิ้นในลานลงทัณฑ์ของโลกมนุษย์เสียอีก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองอย่างพวกเจ้าที่ตบะยิ่งสูงเท่าไหร่ ระดับของเทียนหอมก็ยิ่งสูงเท่านั้น…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าที่สวมชุดสีทองก็ถอนหายใจ หยุดเดิน เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วลูบคิ้วยาวสีทองที่ยาวย้อยมาถึงหน้าอก กล่าวอย่างระอาใจว่า “ไอ้หนู ข้ากับคนพายเรือของตระกูลฟ่านช่วยถ่วงเวลาให้เจ้ามานานขนาดนี้ แค่ยันต์ตัดโซ่ที่เป็นคำสั่งของเทพพิรุณแผ่นเดียวเท่านั้น ยังวาดไม่เสร็จอีกหรือ? ตอนนี้ลูกศิษย์สำนักมหายันต์ของลัทธิเต๋าไม่ได้เรื่องถึงขนาดนี้เชียว? หรือว่าเป็นเจ้าที่ยังไม่เชี่ยวชาญมากพอ ความสามารถในการวาดยันต์ห่วยแตก? หรือเป็นเพราะศักยภาพของยันต์ชิ้นนี้สูงเกินไป กระดาษยันต์ล้ำค่าเกินไป ทำให้ตอนวาดยันต์เจ้าเลยเขียนได้ไม่…รื่นไหล? ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ลิ้มรสชาติของยันต์ตัดโซ่มาหลายปีแล้ว คิดถึงมันไม่น้อย ดังนั้นเวลาแค่นี้ ข้ารอไหว เด็กหนุ่มเจ้าค่อยๆ วาดไป ไม่ต้องรีบร้อน”
กุ้ยฮูหยินถอนหายใจหนึ่งที
คนพายเรือเฒ่าก็รู้สึกไม่ต่างกัน
นี่ก็คือความน่าหวาดกลัวของฟ้าดินที่มีอริยะเป็นผู้ควบคุม
ประหนึ่งสำนักศึกษาสถานศึกษาที่มีอริยะลัทธิขงจื๊อเป็นผู้ดูแล เหมือนเจินจวินที่อยู่ในอารามเต๋า เหมือนอรหันต์พิทักษ์วัด เหมือนเทพเจ้าฝ่ายบู๊ครอบครองสนามรบ
กุ้ยฮูหยินที่หน้าซีดขาวตวาดเสียงเฉียบ “กระทำการชั่วร้ายถึงเพียงนี้ เจ้าไม่กลัวว่าอริยะลัทธิขงจื๊อของนาตยทวีปจะมาเอาผิดเจ้าหรอกหรือ?!”
สายตาของเจียวเฒ่าฉายแววเวทนา “กุ้ยฮูหยินเอ๋ยกุ้ยฮูหยิน เจ้าไม่ควรมาอยู่ในบ่อโคลนเละเทะอย่างนครมังกรเฒ่าแห่งนี้เลย มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น หลายปีมานี้เจ้าอยู่ว่างๆ อย่างไร้ประโยชน์ สองหูไม่ฟังเรื่องใด ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ ผู้ที่คล้อยตามรอด ผู้ที่ต่อต้านตาย กุ้ยฮูหยิน แม้ว่าข้าจะอยากได้ร่างจริงของเจ้ามานานหลายปี แต่เห็นแก่ที่ชาติกำเนิดของเจ้าไม่ธรรมดา ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมศิโรราบแก่ข้า ร่วมแรงร่วมใจกับร่องน้ำเจียวหลง ตกลงไหม?”
กุ้ยฮูหยินหัวเราะหยัน “ไม่รู้จริงๆ ว่าหากอริยะของลัทธิขงจื๊อมาอยู่ที่นี่ เจ้าจะยังกล้าพูดจาวางโตแบบนี้อีกไหม! อย่าว่าแต่อริยะเลย เกรงว่าต่อให้เป็นแค่วิญญูชนคนหนึ่งก็มากพอจะทำให้เจ้าหวาดกลัวจนตัวสั่นแล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่าชุดสีทองส่ายหน้ายิ้มๆ “วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว ข้าถึงได้พูดอย่างไรล่ะว่าสายตาของเจ้ากุ้ยฮูหยินคับแคบเกินไป ช่างเถอะ มรรคาแตกต่างมิอาจร่วมทาง หลังจากกินเจ้าเข้าไปแล้ว ข้าก็จะสามารถเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบได้อย่างราบรื่น ถึงเวลานั้นต่อให้อริยะลัทธิขงจื๊อของสกุลเฉินอิ่งอินออกจากสำนักศึกษามาเอาเรื่องข้าที่นี่ แล้วจะทำอะไรข้าได้?”
ผู้เฒ่าแสยะปากยิ้ม รอยยิ้มน่าสะพรึงกลัว “รู้ว่าเจ้ายังไม่ยอมถอดใจ คิดว่าก่อนหน้านี้ข้าแค่แสร้งขู่ให้หวาดกลัว ยังหวังว่าตัวเองจะโชคดีรอดไปได้ ให้เด็กหนุ่มคนนั้นวาดยันต์ตัดโซ่เพื่อขู่เผ่าพันธุ์เจียวหลงทั้งหมดนอกเหนือจากข้า เจ้าเห็นไหม ถึงขนาดนี้แล้วข้าก็ยังปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนา ตอนนี้ยังคิดว่าข้ากำลังสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาอยู่อีกหรือ?”
ผู้เฒ่าก้าวออกมาหนึ่งก้าว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่ห่างจากฝั่งหนึ่งของเรือเฉินผิงอันไปสิบกว่าจั้ง
เฉินผิงอันเหมือนหลวงจีนเฒ่าเข้าฌานที่ไม่สนใจเรื่องทางโลก เพียงแค่วาดยันต์ไปช้าๆ
กุ้ยฮูหยินกับผู้เฒ่าพายเรือลงมือพร้อมกัน นางโยนกิ่งดอกกุ้ยออกมากิ่งหนึ่ง มันหล่นลงบนเรือแจวลำเล็ก สตรีแต่งงานแล้วคนนั้นพึมพำหนึ่งประโยค “รากอิงสวรรค์” กิ่งกุ้ยพลันงอกออกมาเป็นต้นกุ้ยขนาดเล็ก กิ่งใบพลิ้วไหวพะเยิบพะยาบ ก่อนจะเริ่มผลิดอกกุ้ยสีเหลืองอร่ามเป็นพุ่มๆ กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ต้นกุ้ยสูงหนึ่งจั้ง ร่มเงาของมันปกคลุมทับเฉินผิงอัน
ส่วนผู้เฒ่ายกสองมือขึ้นทำมุทราอย่างรวดเร็ว ปากท่องคำสาปแช่ง เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงไปบนเรือน้อยลำที่เขายืนอยู่หนักๆ ฝ่ามือของมือสองข้างประกบกัน นิ้วทั้งสิบสอดประสาน ประกายแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมาจากร่องนิ้ว ผู้เฒ่าคนพายเรือใช้นิ้วโป้งของมือข้างหนึ่งดันไปที่หัวใจ นิ้วก้อยของมืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังเจียวเฒ่าร่างทอง เมื่อผู้เฒ่าทำมุทราเสร็จสิ้นแล้วก็มีแสงเพลิงสีแดงสดหมุนวนไปรอบกาย ประหนึ่งองค์เทพสวรรค์ที่สวมใส่ชุดคลุมสีแดงสด หน้าผากก็เต็มไปด้วยอักขระสีแดง ตวาดกร้าว “จินอูกระพือปีก เทพแห่งเพลิงต้มน้ำ!” (จินอูหรืออีกาสีทองคือนกเทพในตำนาน มีสามขา ลำตัวสีแดงทอง)
น้ำทะเลตั้งแต่ใต้เรือแจวลำที่คนพายเรือเฒ่ายืนอยู่ไปจนถึงผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองประหนึ่งน้ำร้อนที่เดือดพล่าน ไอร้อนลอยกรุ่น จากนั้นก็มีอีกาสีทองตัวแล้วตัวเล่าบินออกมาจากตรงกลาง พวกมันลากเอาเปลวเพลิงกลิ้งหลุนๆ เส้นหนึ่งกระโจนเข้าหาเจียวเฒ่าอย่างรวดเร็ว
ทว่าเจียวเฒ่าชุดทองแค่สะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ดึงชางหลงสีเขียวมรกตสองตัวมาจากน้ำทะเลที่อยู่สองข้างกาย ให้มันปะทะเข้ากับอีกาสีทอง จินอูหลายสิบตัวพลันถูกชางหลงสองตัวเขมือบกลืนจนสิ้นในเสี้ยววินาที แม้ว่าชางหลงสีเขียวมรกตจะกินอิ่มหนำสำราญไปหนึ่งมื้อ แต่ตรงท้องกลับมีประกายแสงสีเพลิงเปล่งวูบวาบอยู่เป็นระยะ สุดท้ายก็พินาศไปพร้อมกันทั้งสองฝ่าย ร่างของพวกมันระเบิดแตก ก่อนกลับคืนสู่มหาสมุทรอีกครั้ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบการลงมือว่องไวดุดัน ใช้พลังอำนาจยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าพายเรือกับท่าทางสบายๆ ของเจียวเฒ่าชุดคลุมสีทองแล้ว เห็นได้ชัดว่าฝีมือห่างชั้นกันไกลมาก
เจียวเฒ่าชุดทองหลุดหัวเราะพรืด “? องค์เทพยุคบรรพกาลประเภทนี้ปะปนกันมากมายเกินไป อีกอย่างก็เพราะหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สืบทอดระบบใหญ่นี้จึงมักจะสืบทอดกันอย่างไม่ถูกหลักทำนองคลองธรรมเสมอ เมื่อเทียบกับองค์เทพฝ่ายน้ำที่ประวัติการสืบทอดเป็นระเบียบ ได้รับความสำคัญจากจักพรรดิสวรรค์แล้ว ก็เรียกได้ว่าเทพแห่งเพลิงไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าเป็นแค่โอสถทองตัวน้อยๆ คงไม่รู้สินะว่าเดิมทีสี่คำว่าเทพแห่งเพลิงต้มน้ำนี้ก็คือการแสดงให้เห็นถึงความขลาดกลัว? ช่วงแรกเริ่มสุดเทพแห่งเพลิงองค์นั้นป่าวประกาศว่าจะต้มให้สี่มหาสมุทรแห้งเหือด จะเผาให้ห้าทะเลสาบกลายเป็นไอเมฆบนท้องฟ้า ภายหลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายไฟจึงกล้าพูดแค่ว่าต้มน้ำเท่านั้น น้ำอะไร น้ำในแม่น้ำใหญ่คือน้ำ น้ำในลำธารเล็กๆ ก็คือน้ำ ต้มน้ำทำไม เจ้าจะดื่มชางั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าพายเรือที่ถูกเจียวเฒ่าชุดทองทำลายอาคมไปอย่างง่ายดายไม่ได้รู้สึกท้อแท้ ระหว่างที่ฝ่ายหลังพูดจ้อไม่หยุด เขาก็เปลี่ยนคาถาใหม่ สองมือกำเป็นหมัด แล้วเอามากระแทกกันอย่างรุนแรง สองเท้าเหยียบให้เกิดพายุลมกรด ภาพลักษณ์ของเทพสวรรค์ฝ่ายไฟที่หน้าตาถมึงทึงดุดันคล้ายมัลละผู้พิทักษ์หายไป รอบกายชายชรามีไข่มุกที่มีสายฟ้าแลบแปลบปลาบบินล้อมวนเป็นวงกลม
สุดท้ายหมัดสองข้างของผู้เฒ่าแยกออกจากกัน หมัดหนึ่งทุบจากหัวใจไล่ไปที่หน้าท้องติดต่อกันสามหมัด ปราณวิญญาณในช่องโพรงลมปรานสามแห่งกระเพื่อมไม่หยุด อีกหมัดหนึ่งกลับมาแบมือดังเดิม ชูฝ่ามือขึ้นสู่ท้องฟ้า “แมลงตื่นจากจำศีลทุบท้อง บ่อสวรรค์เปิดโพรง จงฟังคำสั่งข้า ลงทัณฑ์แทนสวรรค์!”
ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆยาวไกลเป็นหมื่นลี้พลันเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์พร้อมสายฟ้าแลบแปลบปลาบ สายฟ้าสีหิมะจ้าตาวูบขึ้นกลางอากาศแล้วผ่าเปรี้ยงลงมายังศีรษะของเจียวเฒ่าชุดทอง
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น