กระบี่จงมา 263.2-263.3
บทที่ 263.2 เรือน้อยลอยล่อง เด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะอง
โดย
ProjectZyphon
จินซู่นำตัวยาที่เอามาจากตีนเขาไปส่งที่เรือนเล็กกุยม่ายแล้วกลับมาอยู่ข้างกายน้ากุ้ยอาจารย์ของตนอย่างรวดเร็ว เห็นสตรีแต่งงานแล้วมีท่าทางผ่อนคลาย กำลังชงชาอย่างอารมณ์ดีแบบที่หาได้ยาก พอเห็นว่าลูกศิษย์กลับมา นางก็ยื่นชาร้อนถ้วยหนึ่งส่งให้จินซู่ จินซู่นั่งลงแล้ว ยังไม่ทันดื่มชาจากฝีมือการชงของอาจารย์ จิตใจของนางก็สงบตามอีกฝ่ายไปเรียบร้อยแล้ว
สตรีแต่งงานแล้วรู้ว่าจินซู่มีข้อสงสัยอยู่เต็มท้อง แต่กลับไม่อยากพูดอะไรมาก เพียงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สำหรับคุณชายใหญ่สุกลเจียงผู้นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือหายนะที่มาเยือนกะทันหัน แต่สำหรับพวกเราสองอาจารย์และศิษย์แล้วกลับเป็นความโชคดีที่หล่นลงมาจากท้องฟ้า จินซู่ เจ้าไม่ต้องถามมาก ออกทะเลในครั้งนี้ หลังกลับมาจากภูเขาห้อยหัวแล้ว ข้าจะพยายามทำให้เจ้าได้พบหน้ากับคนที่ออกกระบี่ผู้นั้นสักครั้งให้จงได้”
น้ากุ้ยหัวเราะเบาๆ “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ประโยคนี้ไม่ใช่คำพูดเหลวไหล วันหน้าเมื่อเจ้าท่องไปทั่วสารทิศเพียงลำพัง ควรสำรวมให้มากจึงจะดี”
ถ้อยคำล้ำค่าประโยคสุดท้ายจากผู้มีประสบการณ์ จินซู่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ นางหันหน้าไปมองทางทิศที่ตั้งของนครมังกรเฒ่าอย่างเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังนานแล้ว
เรือนเล็กกุยม่ายตั้งตัวอยู่อย่างสงบสันโดษ ไม่ช่วงชิงกับใครและไม่จำเป็นต้องสนใจมรสุมบนยอดเขาเหล่านี้
ทุกวันหลังจากนั้นเฉินผิงอันจะต้องฝึกกระบี่กับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าโอสถทอง ฝ่ายหลังจะทำสามเรื่อง หนึ่งคือเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา จำแลงเป็นภาพมายาผสานเข้าสู่ร่างกาย ช่วยเฉินผิงอันหล่อหลอมสามหุน ช่วยปูรากฐานบนเส้นทางสามหุนอย่างไถกวาง ซ่วงหลิงและโยวจิงให้แน่นหนามากขึ้น จากนั้นหม่าจื้อจะกดขอบเขตของตัวเองลง ใช้วิธีของผู้ฝึกกระบี่ควบคุมเหลียงอินให้ประมือกับเฉินผิงอัน สุดท้ายคืออยู่ข้างๆ คอยดูเฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จากตำรา ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ แล้วให้คำชี้แนะเป็นระยะ ช่วยแก้ไขข้อบกพร่องท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันร่ายออกมาให้ถูกต้อง
แต่การฝึกกระบี่ของเฉินผิงอันน่าสนใจมาก เขาไม่ได้ดึงกระบี่สักเล่มออกมาจากกล่องกระบี่ที่สะพายอยู่ข้างหลัง ทุกครั้งจะแค่ทำท่าถือกระบี่ สมมติเอาว่าตัวเองถือกระบี่ด้วยมือข้างเดียว สำหรับเรื่องนี้หม่าจื้อเคยสอบถาม ผลคือคำตอบที่เฉินผิงอันมอบให้กลับค่อนข้างจะไร้สาระ บอกว่ากระบี่สองเล่มที่สะพายอยู่ด้านหลัง เล่มที่ถูกเขาตั้งชื่อว่า ‘ปราบมาร’ เล่มนั้นเป็นของคนอื่น เอามาใช้ไม่ได้ ส่วนกระบี่ไม้ไหวที่ชื่อว่า ‘กำจัดปีศาจ’ นั้นเคยชักออกจากฝักลงสนามรบหนึ่งครั้ง แต่หลังจบเรื่องเฉินผิงอันค้นพบว่ามันเบาเกินไป เขารู้สึกว่าการเริ่มต้นฝึกกระบี่ของตัวเอง ทางที่ดีที่สุดควรหากระบี่ที่มีน้ำหนักมากพอเช่นพวกกระบี่เหล็ก หาไม่แล้วเอามาถือโล่งๆ อยู่ในมือ เบาบางไม่ต่างจากตอนที่ไม่ถือ คงรู้สึกแปลกพิกล
มีเพียงถือกระบี่หนักไว้ในมือแล้วยังสามารถปล่อยกระบี่ออกไปได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น อนาคตข้างหน้าวันใดวันหนึ่งเมื่อได้เจอกับศัตรูแข็งแกร่งที่แม้แต่กระบี่หนักก็เอาชนะไม่ได้ เขาเฉินผิงอันถึงจะสามารถเปลี่ยนมาใช้กระบี่ไม้ ออกกระบี่ด้วยความเร็วที่มากที่สุดฟาดฟันกับศัตรู
ในฐานะเทพเซียนบนสวรรค์ในสายตาของมนุษย์โลก อันที่จริงหม่าจื้อไม่ได้สนใจในวิชากระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์สักเท่าไหร่ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งอะไรกับสิ่งที่มือกระบี่ในยุทธภพอย่างเฉินผิงอันดึงดันไล่ไขว่คว้า ถึงขั้นที่ว่าลึกๆ ในใจยังรู้สึกดูแคลนอยู่เล็กน้อย ขุดหาอาหารในไร่นาหาเลี้ยงชีพจะขุดเจอของวิเศษได้อย่างไร? แต่หากจะให้พูดถึงความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนที่เฉินผิงอันมีต่อมหามรรคาของปณิธานกระบี่ เกรงว่าหม่าจื้อก็คงอดพูดถึงไม่ได้ ต่อให้ต้องพูดเป็นน้ำไหลไฟดับให้เฉินผิงอันฟังสามวันสามคืนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก
จินซู่แม่นางกุ้ยฮวาจะเอาอาหารทั้งสามมื้อมาส่งตรงตามเวลา สิ่งที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็คือเฉินผิงอันไม่ได้คิดได้คืบจะเอาศอก ให้นางต้องทำตัวเป็นสาวใช้ที่คอยยกน้ำชงชา หรือจะต้องให้นางช่วยผลัดเสื้อผ้าเตรียมน้ำอาบจริงๆ หาไม่แล้วนางคงปวดหัวมากเป็นแน่ ต่อให้เป็นเรื่องการเทน้ำทิ้ง ก็ยังเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือทำด้วยตัวเอง นี่ทำให้ในที่สุดจินซู่ก็มีความรู้สึกอันดีต่อแขกของสกุลฟ่านที่อายุยังน้อยผู้นี้ขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
นอกจากนี้ก็คือต้องนำเหล้าหมักกุ้ยฮวามาเติมให้เรือนเล็กกุยม่ายทุกๆ สามวันห้าวัน
ด้วยสถานะของจินซู่ ใช่ว่าจะไม่สามารถยกเหล้าหมักหลายสิบกามาทีเรือนเล็กในรวดเดียว แต่สุดท้ายนางก็ล้มเลิกความคิดที่จะทำงานหนักครั้งเดียวสบายตลอดไปนี้ทิ้ง นี่ก็เพราะนางหวังว่าจะใช้โอกาสที่ได้พบหน้ากันหลายครั้งมามองความตื้นลึกหนาบางของเด็กหนุ่มต่างถิ่นให้ออก ถึงอย่างไรการเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลในครั้งนี้ สำหรับแม่นางกุ้ยฮวาที่คุ้นเคยกับเส้นทางการเดินเรือมานานแล้วอย่างพวกนางก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย สิบทิวทัศน์บนเกาะกุ้ยฮวา ยกตัวอย่างเช่นดวงจันทร์ลอยขึ้นกลางนภาเหนือมหาสมุทร ต้นกุ้ยที่พอจะมองเห็นได้เลือนรางในแสงจันทร์ ภาพลวงตาที่สะท้อนออกมาเป็นพระราชวังโบราณที่ยิ่งใหญ่ เกาะกุ้ยฮวาที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยฝูงปลาบินเหนือมหาสมุทร ฯลฯ เมื่อได้เห็นครั้งแรกเป็นภาพที่งดงามน่าตะลึง ถึงขั้นทำให้คนยอมควักเงินจ้างให้จิตรกรวาดภาพทิวทัศน์ที่งดงามเหล่านี้ให้ แต่พอได้เห็นบ่อยๆ เข้าก็ยากที่จะดึงดูดคนให้เกิดความเพลิดเพลิน เหตุการณ์และบุคคลประหลาดที่เกิดขึ้นบนเกาะกุ้ยฮวาต่างหากที่ทำให้แม่นางกุ้ยฮวาอย่างพวกนางสนใจได้มากกว่า
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่ายามเหม่า (05.00-07.00) ของทุกวันที่เขาตื่นนอน ฟ้ายังไม่ทันสาง ฝึกเดินนิ่งหกก้าวก่อนประมาณหนึ่งชั่วยาม ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อจะปรากฎตัวในช่วงยามเฉิน (07.00-09.00) ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวากาหนึ่งอย่างเนิบช้าสบายอารมณ์ รอจนเฉินผิงอันฝึกวิชาหมัดธรรมดาไร้ความมหัศจรรย์นั้นเสร็จสิ้น หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเฉินผิงอันรอให้ผู้เฒ่าดื่มเหล้ากานั้นจนหมด ก็จะเป็นช่วงเวลาที่จินซู่เอาอาหารเช้ามาส่งพอดี ใช้เวลาไปอีกประมาณสองเค่อ ระหว่างนี้หม่าจื้อจะอธิบายถึงสาเหตุของน้ำหนักหนักเบาและปณิธานกระบี่ในการออกกระบี่ของวันนั้น รวมไปถึงเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าคร่าวๆ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็จะมอบกล่องอาหารคืนให้กับจินซู่ที่รออยู่ตรงหน้าประตู ส่วนใหญ่จะพูดแค่ขอบคุณเท่านั้น หากเรือนเล็กกุยม่ายต้องการสุราเพิ่ม เขาก็จะบอกกับหญิงสาวคนนั้นไปตามตรงโดยไม่รู้สึกลำบากใจ
การฝึกตนในหนึ่งวัน ภายใต้การเสนอแนะจากหม่าจื้อจึงเปลี่ยนจากง่ายไปเป็นยาก เฉินผิงอันฝึกท่ากระบี่จาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ เล่มนั้นก่อน ใช้เวลาสองชั่วยามของช่วงเช้า ระหว่างนี้หม่าจื้อจะออกกระบี่อย่างกะทันหัน จงใจทำลายกระบวนท่ากระบี่ที่เฉินผิงอันสร้างขึ้นในรวดเดียวลง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำเป็นต้องปูพื้นกระบวนท่ากระบี่สี่อย่างซึ่งรวมกระบวนท่าหิมะทลาย ท่าสยบเสินโถวเป็นหนึ่งในนั้น และยิ่งจำเป็นต้องคอยระวังการลอบโจมตีจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลาด้วย และบางครั้งหม่าจื้อก็จะเอาการฝึกกระบี่ที่เขาต้องสอนช่วงบ่ายมาฝึกล่วงหน้าในช่วงเช้าเลย
ก่อนจะหมดช่วงเที่ยง คนทั้งสองจะต้องจัดการอาหารเที่ยงให้เสร็จสิ้นก่อน จากนั้นก็เริ่มประลองฝีมือในช่วงบ่าย ตอนนี้หม่าจื้อได้เลื่อนขอบเขตของตัวเองจากขั้นถ้ำสถิตมาที่ขั้นเจ็ดชมมหาสมุทรแล้ว เขานั่งอยู่ข้างโต๊ะหิน ดื่มสุรากับตัวเองอย่างสำราญใจ คอยปล่อยกระบี่ออกไปเป็นระยะ ควบคุมให้กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเหลียงอินลอบสังหารเฉินผิงอัน ปล่อยให้เฉินผิงอันเลือกใช้วิธีรับการโจมตีจากศัตรูได้ตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นท่าหมัดโบราณที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม กระบวนท่าโจมตีและป้องกันที่เพิ่งเรียนรู้มาจาก ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ หรือจะเป็นท่าหมัดหวังปาที่ปล่อยหมัดมั่วซั่วต่อยให้อาจารย์คนหนึ่งตาย หม่าจื้อล้วนไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ ขอแค่เจ้าเฉินผิงอันหลบเลี่ยงเหลียงอินที่บินฉวัดเฉวียนพุ่งไปทั่วลานบ้านได้ หรือจะปล่อยหมัดต่อยให้กระบี่บินเล่มนั้นถอยห่างไป ก็ได้ทั้งนั้น
และส่วนใหญ่แล้วการฝึกในช่วงบ่ายยังไม่ทันเสร็จสิ้น หนังเนื้อเฉินผิงอันก็จะปริแตก เสื้อผ้าขาดวิ่นไปก่อน
บางครั้งหม่าจื้อจะชะลอความเร็วในการปล่อยกระบี่ ปล่อยเฉินผิงอันที่สภาพกระเซอะกระเซิงชวนเวทนาไปสักครั้ง ตัวเองหันไปดื่มเหล้าหลายอึก อาหารจานเล็กบนโต๊ะไม่ว่าจะเป็นถั่วลิสงโรยเกลือ หอยผัดพริก ปลาซิวทอด ยำหูหมูก็ล้วนมากพอให้ผู้เฒ่าเอามากินแกล้มสุรา แต่ทุกครั้งหลังจากที่เฉินผิงอันเพิ่งจะหายใจหายคอได้ทัน ผู้เฒ่าก็จะปล่อยกระบี่แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย อีกทั้งพละกำลังยังมหาศาลดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง และในเวลาเช่นนั้นบางทีในปากผู้เฒ่าอาจจะกำลังเคี้ยวแผ่นปลาทอดกรุบกรอบ แต่เฉินผิงอันกลับถูกหนึ่งกระบี่แทงเข้าหัวใจ พอกระบี่บินกระชากตัววาดเส้นโค้งย้อนกลับก็จะตวัดกลับมาแทงหัวใจของเฉินผิงอันทางด้านหลัง จากนั้นผู้เฒ่าก็จะหลุดหัวเราะพรืด “หากไม่เป็นเพราะกระบี่บินกลายเป็นภาพมายา เจ้าก็ตายไปสองครั้งแล้ว ไม่มีโอกาสได้ชิมปลากรอบคลุกเกลือพริกไทยจานนี้อีก เฉินผิงอัน ต่อให้จะทำเพียงเพื่อกับแกล้มและสุราชุดนี้ เจ้าก็ควรจะตั้งใจให้มากหน่อยนะ”
เพื่อให้การฝึกกระบี่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องไม่ติดขัด เรือนเล็กกุยม่ายจึงไม่มีมื้ออาหารเย็น มีแต่อาหารมื้อดึก จินซู่แค่เอากล่องอาหารมาวางไว้หน้าประตูเรือนก็พอ
โดยทั่วไปเมื่อผ่านยามโหย่ว (17.00-19.00) ไปแล้ว เฉินผิงอันจะยืนให้ถูกตีอย่างเดียวเท่านั้น อาศัยให้กระบี่บินเหลียงอิน ‘ลอดระเบียงข้ามสะพาน’ ‘ห้อตะบึงผ่านทางเดินม้า’ อยู่ในจิตวิญญาณของเขา เพื่อหล่อหลอมระดับความหนาและความยืดหยุ่นของสามหุนให้มากขึ้น
ช่วงที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าไม่ได้อธิบายวิธีการออกกระบี่ของเขาอย่างละเอียดอีกแล้ว แค่กะน้ำหนักอย่างระมัดระวัง ให้เฉินผิงอันได้ลิ้มรสความเจ็บปวดอย่างละเอียดก็พอ
เฉินผิงอันชอบแล้วก็ไม่ชอบช่วงเวลานี้มากที่สุด ชอบก็เพราะรู้ว่าการขัดเกลานี้มีผลประโยชน์ต่อการฝึกตนบนวิถีวรยุทธ์อย่างมาก ไม่ชอบก็เพราะนี่มักจะทำให้เขานึกถึงความยากลำบากในเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ยังดีที่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าค่อนข้างจะออมมือให้ อีกทั้งยังใจกว้างกว่าผู้เฒ่าเปลือยเท้า เมื่อเทียบกับวิธีการโหดเหี้ยมที่เทพสวรรค์ใช้สังหารมนุษย์ธรรมดาแล้วก็ถือว่าเบาสบายกว่ามาก เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ทนรับได้ไหว ยังสามารถอาศัยโอกาสนี้ฝึกเดินนิ่งหกก้าวและฝึกสองกระบวนท่าป้องกันของ ‘คัมภีร์เวทกระบี่ที่แท้จริง’ ได้ด้วย ท่าขุนเขาและท่าห่มเกราะที่เมื่อเทียบกับการฝึกฝนด้วยตนเองซึ่งต้องเนิบช้าเหมือนตุ๋นด้วยไฟอ่อนแล้ว มีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคอยให้ความช่วยเหลือจึงเป็นเหมือนการเร่งไฟแรง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหนื่อยน้อยลงแต่ประสิทธิผลกลับเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่นานวันเข้า เฉินผิงอันที่หาความสำราญจากความทุกข์ตรมก็ใคร่ครวญจนพบเจอเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือกระบวนท่าหิมะทลายที่การออกกระบี่รวดเร็วและซับซ้อน เมื่อมารวมเข้ากับความเจ็บปวดเหมือนถูกผ่าแหวกท้อง เจาะคว้านหัวใจที่กระบี่บินของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าช่วยขัดเกลาให้ ขอแค่กัดฟันยืนหยัดได้ไหว การออกกระบี่จะเร็วมากกว่าเดิม การตระหนักรู้และความเข้าใจในกระบวนท่าโจมตีนี้ของเฉินผิงอันพัฒนาไปอย่างว่องไว ยิ่งเป็นช่วงหลัง ทุกครั้งที่เฉินผิงอัน ‘จับกระบี่’ ปล่อยกระบวนท่าหิมะทลายออกไป แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าขอแค่ในมือมีอาวุธเทพที่ร้ายกาจสักชิ้นอยู่จริงๆ เขาก็จะสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์ไอเย็นแสงกระบี่พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้อากาศในเรือนเล็กเหน็บหนาวขึ้นมาได้หลายส่วนจริงๆ
ส่วนใหญ่การฝึกกระบี่จะจบสิ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยามซวี (19.00-21.00) กับยามไฮ่ (21.00-23.00) เฉินผิงอันจะไปต้มน้ำร้อน เอายาสมุนไพรใส่ลงไปในอ่างน้ำ ก่อนที่น้ำจะเดือด เฉินผิงอันจะไปหยิบกล่องอาหารจากหน้าประตูเรือนมา หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กหนุ่มใช้โต๊ะหินเป็นโต๊ะอาหาร กินอาหารมื้อดึกเสร็จ บางครั้งหากเฉินผิงอันเจ็บหนักหรือเลือดไหลออกเยอะเกินไปก็จะไปแช่ตัวในอ่างน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยกินอาหารมื้อดึก ส่วนผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหม่าจื้อที่ต่อให้จะกินอิ่มไปก่อนแล้วก็ยังจะนั่งรอเฉินผิงอันอยู่ที่โต๊ะหิน ระหว่างที่ฝ่ายหลังกินอาหาร เขาจะอธิบายถึงข้อดีข้อเสียของการฝึกกระบี่ในวันนั้นให้เฉินผิงอันฟัง เหมือนการย้อนเล่นหมากล้อมกระดานเดิม ถึงอย่างไรหม่าจื้อก็เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง สายตาของเขาจึงมีความพิเศษเฉพาะตัว อีกทั้งเมื่อเทียบกับผู้เฒ่าแซ่ชุยบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว แม้ขอบเขตของหม่าจื้อจะห่างชั้นอยู่มาก แต่เขากลับเต็มใจอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดมากกว่า คำถามและข้อสงสัยส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันจึงมักได้รับคำตอบ
เก็บกล่องอาหารเรียบร้อย เฉินผิงอันก็จะฝึกท่าเดินนิ่งของตำราหมัดเขย่าขุนเขาต่อ ต่อให้ผ่านไปอีกสิบปีร้อยปี ไม่ว่าถึงเวลานั้นขอบเขตของตนจะสูงแค่ไหน เฉินผิงอันก็ไม่มีทางทิ้งกระบวนท่าหมัดหยาบๆ เรียบง่ายซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานสุดของการฝึกวรยุทธ์นี้ไป
ผ่านยามจื่อ (23.00-01.00) ไปครึ่งหนึ่ง เฉินผิงอันก็จะกลับห้องไปนอน
ชีวิตในแต่ละวันล้วนเป็นวงโคจรที่ซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ โดยไม่ทันรู้ตัว พระอาทิตย์ก็ขึ้นและตกบนเกาะกุ้ยฮวามาสามสิบกว่าครั้งแล้ว เก้าทัศนียภาพบนมหาสมุทรก็ผ่านไปแล้วถึงสามแห่ง
ผ่านไปอีกสิบวัน สำหรับทัศนียภาพที่สี่บนมหาสมุทรของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าแนะนำให้เฉินผิงอันหยุดการฝึกฝนเพื่อไปชมทิวทัศน์ที่ต้นกุ้ยบรรพบุรุษก่อน
บทที่ 263.3 เรือน้อยลอยล่อง เด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะอง
โดย
ProjectZyphon
ในเมื่อผู้เฒ่าพูดขนาดนี้แล้ว เฉินผิงอันจึงทำตามคำบอกของอีกฝ่าย พอเช้าตรู่ เฉินผิงอันก็ไปถึงบนยอดเขาของเกาะกุ้ยฮวาที่ผู้คนมากมายมารวมตัวกันหนาแน่น เมื่อทอดสายตามองไปไกลก็เห็นช่องโหว่ขนาดมหึมาช่องหนึ่ง เกาะกุ้ยฮวาลอดผ่านไปเป็นแนวเส้นตรง สองข้างฝั่งกลายมาเป็นเทือกเขาบนเกาะสองแห่งที่ไล่ระดับลดหลั่นจากสูงมาต่ำ บนยอดเขามีสิ่งปลูกสร้างตั้งสลับสล้าง ปลูกชิดติดแนบกับภูเขา เบื้องบนคือเมฆหมอกลอยล้อมวนอ้อยอิ่ง
ภาพทิวทัศน์งดงามแปลกตานี้ไม่ได้อยู่บนตระกูลเซียนซึ่งตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทร ตัดขาดจากโลกภายนอก แต่อยู่ระหว่างผนังหน้าผาของภูเขาสองลูกที่ประจัญหน้ากันซึ่งเป็นทางผ่านของเส้นทางเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา บนยอดของหน้าผาทั้งสองแห่งต่างก็มีเทวรูปร่างทองสูงร้อยจั้งยืนปักหลักตั้งตระหง่านอย่างน่าเกรงขาม อีกทั้งเทวรูปทั้งสองต่างก็เหมือนผ่านการชะล้างจากสายน้ำแห่งกาลเวลามายาวนานนับไม่ถ้วน แต่ถึงกระนั้นก็ยังส่องแสงสีทองอร่ามจับตา ต่อให้เป็นผู้ฝึกลมปราณที่ได้มาเห็นก็ยังเกิดความกริ่งเกรง
เล่าลือกันว่าเทพร่างทองที่ถูกนำมาสร้างเป็นรูปปั้นทั้งสององค์นี้ องค์หนึ่งเคยเป็นแม่ทัพเทพพิทักษ์ประตูสวรรค์ทางทิศใต้ อีกองค์หนึ่งเคยเป็นองค์เทพที่ควบคุมการขนส่งทางน้ำของใต้หล้า คือองค์เทพอันดับหนึ่งในบรรดาเทพพิรุณจำนวนมากบนสวรรค์ เป็นผู้ควบคุมการก่อเมฆโปรยฝนของมังกรที่แท้จริงทุกตัวบนโลกในนาม แม่ทัพเทพแห่งประตูสวรรค์ตรึงกระบี่ตั้งตรงไว้เบื้องหน้าตัวเอง มือสองข้างวางทับซ้อนกันบนด้ามกระบี่ คือองค์เทพขนาดใหญ่ยักษ์องค์หนึ่งที่เหมือนกำลังหลุบตาลงต่ำมองมายังผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง
ส่วนองค์เทพพิรุณนั้นมีใบหน้าเลือนรางเพราะเมฆหมอกลอยบดบัง บ่งบอกเพศได้ไม่ชัดเจน มีแถบผ้าพลิ้วไหวห้าสีที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุใดล้อมพันล่องลอยอย่างเชื่องช้าอยู่รอบกาย มองดูแล้วมีชีวิตชีวา ขับให้องค์เทพที่ไม่รู้ว่าร่างทองสลายหายไปแล้วกี่หมื่นปีเหมือนกำลังสำแดงบารมีอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นผู้ที่คอยควบคุมการไหลเวียนของโชคชะตาแห่งน้ำตลอดทั้งแถบทิศใต้
เฉินผิงอันเลือกนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวตรงราวระเบียงแห่งหนึ่งบนยอดเขา เผชิญหน้ากับเทวรูปสององค์พลางดื่มเหล้าช้าๆ
ถ้อยคำซุบซิบที่ผู้ฝึกลมปราณข้างกายเอ่ยส่วนใหญ่ล้วนเป็นภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีป บางครั้งก็สอดแทรกภาษาท้องถิ่นของนครมังกรเฒ่า เฉินผิงอันย่อมฟังไม่เข้าใจอยู่แล้ว ยังดีที่ห่างไปไม่ไกลมีผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนหนึ่งของเกาะกุ้ยฮวาที่มีลักษณะเป็นเด็กสาว แต่กลับไม่ได้สวมชุดของแม่นางกุ้ยฮวาซึ่งน่าจะรับหน้าที่คอยอธิบายความมหัศจรรย์ของทิวทัศน์บนทะเลแห่งนี้ให้ผู้โดยสารฟังโดยเฉพาะ น้ำเสียงของนางใสกังวาน ตอนนี้นางกำลังใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปอธิบายภาพ ‘การประจัญหน้ากันของสององค์เทพ’ เล่าถึงที่มาขององค์เทพทั้งสององค์ และยังถือโอกาสพูดถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของตระกูลเซียนที่อยู่บนเกาะแห่งนั้น ดูเหมือนจะมีคนถามว่าทำไมเกาะกุ้ยฮวาถึงไม่จอดเทียบท่าบนเกาะ ผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านคนนั้นจึงยิ้มแล้วอธิบายว่าถึงแม้เรือข้ามฟากจะสามารถลอดผ่านตรงกลางไปได้ แต่สำนักตระกูลเซียนแห่งนี้กลับไม่เคยต้อนรับเรือข้ามฟากไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม หากมีคนกล้าขึ้นไปบนแผ่นดินโดยพลการ โทษสถานเบาคือขับไล่ออกจากพื้นที่ในทันที โทษสถานหนักคือถูกขังคุกบนเกาะ ในประวัติศาสตร์ยังเคยมีคดีสลดที่ผู้บุกรุกถูกสำนักเซียนแห่งนั้นสังหารโดยตรง
สุดท้ายผู้ฝึกลมปราณสาวน้อยพูดด้วยรอยยิ้มกับแขกทั้งหลายบนยอดเขาว่า ทัศนียภาพถัดไปในอีกห้าวันให้หลัง ยิ่งใหญ่ตระการตามาก ขอให้ทุกคนห้ามพลาดเด็ดขาด
ระหว่างที่เกาะกุ้ยฮวาขับเคลื่อนผ่านหน้าผาหินไปช้าๆ จู่ๆ ก็มีวัตถุลักษณะคล้ายลูกบอลผ้าปักลายลูกหนึ่งร่วงดิ่งลงมา แล้วพุ่งไปหาคนหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งชมทัศนียภาพอยู่บนยอดเขา
คนผู้นั้นยื่นมือไปรับลูกบอลปักลายผ้าลูกนั้นมาตามจิตใต้สำนึก เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเหม่อลอย ไม่รู้ว่าทำไมสำนักตระกูลเซียนแห่งนั้นถึงต้องทำแบบนี้
ผู้ฝึกลมปราณเด็กสาวจากตระกูลฟ่านทำหน้าตกตะลึง จากนั้นก็ตะโกนขึ้นเสียงดังอย่างรีบร้อน “คุณชาย ผู้อาวุโสบนเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราเคยบอกไว้ว่า นี่คือวิธีการรับลูกเขยของตระกูลเซียนที่มีบุตรสาว พวกเขาเลือกท่าน นี่คือโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าที่ร้อยปีจะพานพบสักครั้ง! คุณชายหากท่านยังไม่มีภรรยาจะต้องตอบรับให้ได้ ต่อให้มีแล้ว…สรุปคือมีเพียงเทพธิดาผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลเซียนเท่านั้นถึงจะสามารถโยนลูกบอลปักลายผ้าให้กับเรือข้ามฟากที่แล่นผ่านมาได้ โชควาสนาครั้งนี้จะปล่อยให้ผ่านเลยไปไม่ได้เด็ดขาด คุณชายต้องปฏิบัติอย่างระมัดระวัง…”
เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่ในมือถือบอลผ้าปักลายและกำลังเงยหน้ามองไปยังมุมหนึ่งบนผนังหน้าผากำลังผ่านประสบการณ์การถามตอบในทะเลสาบหัวใจ
จากนั้นดูเหมือนคนหนุ่มจะผ่านการทดสอบ แถบผ้าเส้นหนึ่งที่รัดพันลูกบอลจึงคลี่ออก ปลายฝั่งหนึ่งของแถบผ้าผูกเข้าที่ข้อมือของชายหนุ่ม ปลายอีกฝั่งหนึ่งพุ่งไปยังยอดเขาอย่างรวดเร็วแล้วพาชายหนุ่มบินล่องลอยไปยังหอสีรุ้งแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปบนยอดเขา กลางหอสีรุ้งมีหญิงสาวหน้าตางดงามสะคราญโฉมคนหนึ่ง สองแก้มของนางแดงปลั่ง ในมือกำปลายแถบผ้าไว้ด้านหนึ่ง ข้างกายมีสตรีแต่งงานแล้วที่บุคลิกไม่ธรรมดา ท่วงท่าประหนึ่งเซียนซือยืนห้อมล้อมอยู่หลายคน ใบหน้าของพวกนางอมยิ้มน้อยๆ คล้ายกำลังอวยพรให้กับคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานคู่นี้
เฉินผิงอันมองทุกอย่างนี้อยู่ในสายตา มองบุรุษหนุ่มคนนั้นเดินขึ้นฟ้าด้วยก้าวเดียว ทั้งไม่มีความรู้สึกอิจฉาริษยา แล้วก็ไม่ได้ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจังให้กับความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างเลื่อนลอย ก่อนหน้านี้ชายคนนั้นยืนห่างจากเขาไปแค่ไม่กี่สิบก้าวพอดี เมื่อผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านถามว่าเขาแต่งภรรยาหรือยัง บุรุษผู้นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคงเป็นเพราะโชคดีมาเยือนถึงที่ จึงตัดขาดและทอดทิ้งภรรยาที่รออยู่ที่บ้านอย่างเด็ดขาดโดยไม่แยแสอีก
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไปทางหอหลากสี รู้สึกได้ว่าสตรีเทพเซียนที่โยนลูกบอลมาอาจจะมีตบะสูงมาก ทว่าสายตาของนางน่าจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
กลับมาถึงเรือนเล็กกุยม่าย ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ ดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มจานเล็ก “นึกไม่ถึงว่าจะมีการโยนลูกบอลปักลายลงมาจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่เจ้า น่าเสียดาย น่าเสียดายเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่าในประวัติศาสตร์ของเกาะกุ้ยฮวา เหตุการณ์ที่คนในหอสีรุ้งบนยอดเขาโยนลูกบอลปักลายผ้าลงมา หากบอกว่าร้อยปีจะพานพบสักครั้งก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่นิดเดียว น่าเสียดายก็แต่เจ้าไม่มีวาสนาจะได้รับโชคแบบนี้…”
เฉินผิงอันแยกเขี้ยว ผู้เฒ่าหยุดหัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “อันที่จริงสิบทัศนียภาพของเกาะกุ้ยฮวามีโชควาสนาเล็กใหญ่แฝงเร้นอยู่ แน่นอนว่าได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง ต้องดูที่โชคชะตาของแต่ละคน ก็เหมือนกับลูกบอลปักลายจากหอสีรุ้งบนเกาะเซียนกลางทะเลแห่งนี้ ใครจะไปคิดว่าผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตถ้ำสถิตคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์การฝึกตนธรรมดา จะกลับกลายเป็นคนโชคดีในท้ายที่สุด?”
ผู้เฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากพูดถึงเก้าทัศนียภาพอื่น คงไม่จำเป็นต้องสนใจ ต่อให้ไม่มีความคิดที่หวังว่าจะลองเสี่ยงโชคก็ไม่เป็นไร เพราะมีเพียงทัศนียภาพในลำดับถัดมาเท่านั้นที่จำเป็นต้องไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวาด้วยตัวเองดูสักครั้ง ยิ่งอยู่ใกล้กับน้ำทะเลนอกเรือข้ามฟากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะหากใครได้ครอบครองโชควาสนาครั้งนี้จริงๆ นั่นก็คือมหาลาภที่ต่อให้เป็นขอบเขตโอสถทองหรือก่อกำเนิดก็ล้วนต้องอิจฉาอย่างถึงที่สุด”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “เรื่องการเสี่ยงดวงนี้ ข้าคงไม่หวังแล้ว อยู่ฝึกกระบี่ในเรือนมั่นคงกว่ามาก”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าถลึงตาขึงขัง “ไป จำเป็นต้องไป ต่อให้เป็นโอกาสที่เลือนรางเต็มที เจ้าก็ต้องไปร่วมความครึกครื้นให้ได้ บนเส้นทางการฝึกตนไม่ควรคาดหวังให้ทุกเรื่องราบรื่นเป็นไปตามใจปรารถนาก็จริง แต่ก็ควรจะมีความคาดหวังเล็กๆ น้อยๆ บ้าง เจ้าลองไปสักครั้ง ทั้งได้ชมทิวทัศน์แล้วก็ได้เสี่ยงดวง ต่อให้ไม่ได้เจอกับโชควาสนาครั้งใหญ่ แล้วเจ้าจะเสียหายอะไร? เจ้านี่นะ! จำไว้ว่า คำว่า ‘ถ้าหาก’ เป็นคำที่ผู้ฝึกลมปราณหวาดกลัวมากที่สุด แต่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกลมปราณปรารถนามากที่สุดแม้ในยามหลับฝัน…”
เฉินผิงอันพูดอย่างระมัดระวัง “อาจารย์หม่า ข้าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าตบหน้าผากตัวเอง ลุกขึ้นพูดว่า “เจ้านี่มันน่าโมโหจริงๆ! สองวันนี้เจ้าฝึกกระบี่ด้วยตัวเองไปเลย ข้าต้องออกไปผ่อนคลายอารมณ์ข้างนอกซะบ้าง วันๆ อยู่กับน้ำเต้าตันอย่างเจ้า ข้าอัดอั้นจะตายอยู่แล้ว”
สองวันหลังจากนั้นผู้เฒ่าก็ไม่ได้เผยโฉมหน้าจริงๆ เฉินผิงอันจึงฝึกกระบี่เพียงลำพัง
หลังจากนั้นผู้เฒ่าก็กลับมาที่เรือนเล็กกุยม่ายด้วยท่าทางอ่อนเพลียจากการเดินทาง พอพบหน้าเฉินผิงอันก็บอกว่าเฉินผิงอันฝึกฝนได้ไม่เลว จงขยันตั้งใจฝึกต่อไป ส่วนเขาหายตัวไปอีกครั้ง
เฉินผิงอันคิดแค่ว่าผู้เฒ่ามีธุระให้ต้องไปทำ จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่
ภายหลังก็มาถึงทัศนียภาพแห่งที่ห้าบนทะเลของเส้นทางการเดินเรือเกาะกุ้ยฮวา ร่องน้ำเจียวหลง
เพราะผู้เฒ่าเคยเอ่ยเตือนครั้งหนึ่ง เฉินผิงอันจึงหยุดพักครึ่งวัน เขาบอกกล่าวให้จินซู่รู้ก่อนล่วงหน้า เที่ยงวันของวันนั้นจินซู่จึงมารอที่หน้าประตูเรือน บอกเตือนเฉินผิงอันว่าสามารถลงจากเขาไปชมทิวทัศน์ได้แล้ว เพราะเป็นแขกกุ้ยของตระกูลฟ่าน เรือนกุ้ยกงมีเส้นทางเดินลงภูเขาที่ค่อนข้างเงียบสงัดโดยเฉพาะ บนทางมีแขกบางตา เฉินผิงอันเดินเคียงไหล่ไปกับจินซู่อยู่บนถนน แม่นางกุ้ยฮวาช่วยแนะนำความเป็นมาของร่องน้ำเจียวหลงเส้นนั้น
กลางร่องลึกเส้นนั้นที่อยู่ในทะเลเป็นที่พักพิงของเจียวหลงจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นทายาทรุ่นหลังของเจียวหลงที่ระบบสายเลือดปะปนกัน และในบรรดาพวกมันก็มีเจียวน้ำที่สมชื่ออยู่ส่วนหนึ่งซึ่งมักจะอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทะยานขึ้นไปกลางอากาศ พลิกเมฆลอดสายฝนอยู่เหนือแผ่นดินของทวีปใหญ่ ไปกลับครั้งหนึ่งไม่รู้ว่าต้องทะยานลมไกลกี่หมื่นลี้ รอจนกลับมาถึงรังก็เหน็ดเหนื่อยหมดแรง อีกทั้งเจียวหลงยังไม่มีพันธนาการจากกฎเกณฑ์และไม่มีทวยเทพที่เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่เบื้องบน พวกมันจึงชอบสำแดงวิชาอภินิหาร โปรยฝนลงมาจนก่อให้เกิดอุทกภัย ดังนั้นจึงมักจะกลายเป็น ‘เจียวชั่ว’ ในสายตาของมนุษย์โลก ถูกผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นไล่สังหารอย่างบ้าคลั่ง การที่พวกผู้ฝึกลมปราณทำเช่นนี้ทั้งเป็นการอุทิศตนเพื่อปวงประชาแทนสวรรค์ แล้วก็เพื่อครอบครองสมบัติก่อนกำเนิดที่มีมูลค่าควรเมืองทั่วร่างของเจียวหลง
เฉินผิงอันฟังแล้วก็ให้ตกตะลึง รีบสาวเท้าเร็วๆ ไปยังตีนเขาของเกาะกุ้ยฮวา เขาเกิดมาในถ้ำสวรรค์หลีจูซึ่งเป็นสถานที่ที่มังกรแท้จริงตัวสุดท้ายในโลกตายไป แน่นอนว่าต้องเคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเจียวและมังกรมาก่อน สัตว์วิเศษที่อยู่ในร่องเจียวหลงเหล่านั้นจะถือเป็นลูกหลานของมังกรที่แท้จริงได้หรือไม่?
เพียงไม่นานเฉินผิงอันก็มาถึงตีนเขา ตรงท่าเรือมีเรือลำเล็กหลายลำจอดอยู่ เรือเหล่านั้นล้วนเป็นของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฟ่านที่มักจะพายเข้าไปยังร่องน้ำเจียวหลง เกาะกุ้ยฮวารับประกันว่าการล่องเรือไปยังร่องลึกของมหาสมุทร ขอแค่ผู้โดยสารไม่ส่งเสียงดัง ไม่ใช้เวทอภินิหารไปรบกวนเจียวหลงที่อยู่ก้นมหาสมุทรโดยพลการ ก็จะไม่มีทางเกิดเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ขึ้นเด็ดขาด ต่อให้มีอันตรายเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองบนเกาะกุ้ยฮวาก็จะลงมือให้ความช่วยเหลือในทันที
แขกกุ้ยขึ้นเรือไม่จำเป็นต้องควักเงิน
อันที่จริงต่อให้จำเป็นต้องจ่ายเงินเกล็ดหิมะ เฉินผิงอันก็เต็มใจจ่ายเงินนี้ เขาขึ้นเรือเล็กลำหนึ่งไปพร้อมกับจินซู่ คนพายเรือคือผู้เฒ่าคนหนึ่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าไม้พายไม้ไผ่ยาวจั้งกว่าในมือของผู้เฒ่าสลักอักขระยันต์ไว้แถวหนึ่ง ตัวอักษรสี่ตัวในนั้นคล้ายอักษรโบราณลักษณะเหมือนไส้เดือน ค่อนข้างคล้ายคลึงกับประโยคว่า ‘ควรทำอะไรก็ทำ’ ของยันต์ที่ชื่อว่า ‘ยันต์ตัดโซ่’ ที่บันทึกไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ มีระดับสูงมาก อีกอย่างช่วงท้ายของยันต์ ‘ตำราสีชาด’ นี้ก็บอกกับคนรุ่นหลังว่า หากเขียนยันต์สำเร็จ กระดาษยันต์จะมีรอยเลือดซึมออกมา คนที่เขียนยันต์ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวล เพราะนี่คือการแสดงให้เห็นว่าการเขียนยันต์ครั้งนี้สำเร็จแล้ว
เฉินผิงอันจึงสอบถามจินซู่ถึงชื่อของยันต์ที่เขียนไว้บนไม้พาย นางมีสีหน้ามึนงง ราวกับไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้มาก่อน จึงหันไปถามคนพายเรือ ผู้เฒ่าตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้คงบอกไม่ได้อย่างชัดเจน วันแรกที่ตระกูลฟ่านบุกเบิกเส้นทางการเดินเรือก็ดูเหมือนว่าบนไม้พายจะมีตัวอักษรสีแดงพวกนี้อยู่แล้ว ไม่มีคำบอกเล่าที่แน่ชัด ตอนที่อาจารย์ของข้ามอบเรือลำเล็กและไม้พายให้กับข้าก็ไม่ได้บอกเล่าความเป็นมาของมัน เกาะกุ้ยฮวาของเราแค่เรียกมันว่าไม้พายตีมังกร สามารถทำให้เจียวหลงตกใจถอยหนีลงไปใต้น้ำได้ อันที่จริงเรื่องพวกนี้คนพายเรืออย่างพวกเราล้วนไม่เชื่อ พวกเราน่ะ เชื่อสิ่งนี้มากกว่า…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น