ท่านเทพมาแล้ว 263-274
บทที่ 263 ดีใจอย่างยิ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วพูดไม่ออก
ดีร้ายนางก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา บอกว่านางเป็นคนโง่ได้อย่างไร?
แต่เมื่อเทียบกับการได้รู้ระดับของนางในตอนนี้แล้ว มันก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย!
หลิวหยางให้นางมาทัพทหารสวรรค์เป็นเรื่องถูกต้องแล้วจริงๆ ต้องรู้ว่าตอนที่นางมาใหม่ๆ มีบุญกุศลเกือบเท่าศูนย์!
ในใจยินดีจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเขา แต่เมื่อคิดกลับไป ก็นึกขึ้นได้ว่าในมือมีคดีของตระกูลเสือขาวอยู่ ในเมื่อลู่ยาคาดเดาว่ามีเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเกิดขึ้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่นางจะแบกรับไหวแล้ว มีกำลังเท่าไหร่ก็ทำเท่านั้น นางจึงนำความเป็นไปได้นี้บอกแก่หลิวจวิ้นอย่างเป็นทางการ นางพูดว่า “ที่อยู่ของเหลียงจีข้าจะสืบหาต่อไป แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นมา ใต้เท้าต้องช่วยข้าด้วยนะเจ้าคะ”
หลิวจวิ้นรู้สึกว่าทุกวันนี้นางวิ่งวุ่นไปทั่ว ดูยุ่งกว่าเขามากนัก แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีบื้องหลังแบบนี้อยู่ จึงกล่าว “หากเกิดเรื่องใหญ่เพียงนั้นจริง ไหนเลยยังใช้เจ้า? เจ้าเก็บแรงไว้เถอะ!”
มู่จิ่วคิดในใจ นี่ข้าพูดกับท่านให้ชัดเจนไว้ก่อนมิใช่หรือ!
นางมิใช่ไม่รู้ว่าตอนนี้คดีที่ทำอยู่เกินขอบเขตหน้าที่ของนางไปแล้ว แต่พอดีว่าอาฝูอยู่ที่บ้านนาง เฉินผิงก็ตายด้วยน้ำมือนาง คดีชิงชิวนั้นก็เพราะรีบร้อนทำเพื่อเลื่อนตำแหน่ง มิฉะนั้นแล้วไหนเลยจะตกมาถึงมือนางได้! ตอนนี้ตำแหน่งผู้บัญชาการของนาง ก็เพียงเหมาะสมสำหรับทำคดีลักเล็กขโมยน้อยเท่านั้น
แต่ได้คำพูดรับปากของเขาแล้ว นางก็วางใจ
มู่จิ่วกลับบ้านไปอย่างดีอกดีใจ แจ้งข่าวดีกับพวกเสี่ยวซิงก่อน จากนั้นค่อยไปหาลู่ยาที่ห้องปีกตะวันออก
ซื่ออินเพิ่งกลับมาจากหงชาง การไปครั้งนี้กลับไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มา
เขายังคงแสร้งทำเป็นไปหาภรรยาเพื่อไปหงชาง และยังเข้าไปในสำนักหงชางอย่างราบรื่น พบเจอกระทั่งหลิวหยาง แต่ยังคงไม่รู้อะไร เขาไปทั้งหมดสามวัน สืบได้เพียงว่าหลิวหยางเป็นจินเซียน พลังบำเพ็ญลึกล้ำ และเป็นเซียนชั้นสูงที่สั่งสมคุณธรรมดีงามผู้หนึ่ง เพื่อไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น พอถึงวันที่สามจึงกลับมา
เมื่อเขากลับมาบอกเล่าแก่ลู่ยา ลู่ยาครุ่นคิดอยู่นานก็ไม่ได้พูดสิ่งใด แต่เดิมเริ่มแรกเขาสรุปเอาว่ามู่จิ่วคุยโวเรื่องหลิวหยาง แต่หลังจากที่เขาไปสืบหาชาติก่อนของมู่จิ่วอีกครั้ง แล้วพบว่าหลิวหยางสืบมาได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ก็ไม่สามารถมองเป็นเรื่องปกติได้แล้ว คนที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้มีไม่มาก ทำไมซื่ออินไปถึงสามวันกลับสืบหาอะไรมาไม่ได้เลย?
เขาแอบซ่อนได้ดีขนาดนี้เชียว?
แต่ยิ่งแอบซ่อนได้ดี ก็ยิ่งต้องใช้พลังบำเพ็ญสูงส่ง และยิ่งแสดงว่าเขาไม่ธรรมดา
“พวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เสียงถามของมู่จิ่วพลันหยุดความคิดของพวกเขา
ซื่ออินยืนขึ้นมา
ลู่ยายิ้มแห้งๆ พูดว่า “กำลังคิดว่า” ก่อนเอ่ยอีก “ทำไมเจ้าดีอกดีใจขนาดนี้?”
พูดถึงเรื่องนี้มู่จิ่วย่อมต้องดีใจ นางหัวเราะฮิฮินั่งลงไป แล้วบอกเล่าข่าวดีที่บุญกุศลของนางสะสมถึงขั้นหกแก่พวกเขา “หลิวจวิ้นบอกว่าคนที่ใช้เวลาเพียงสองปีก็เลื่อนขั้นแล้วแบบข้ามีน้อยมาก!”
ซื่ออินรีบแสดงความยินดี
ลู่ยาก็พูด “แบบนั้นคืนนี้ต้องเพิ่มกับแกล้ม”
มู่จิ่วตีเขาทีหนึ่ง “ไม่พาข้าไปกินข้าวข้างนอกหรือ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” เพราะสืบเรื่องหลิวหยางมา ลู่ยาจึงยังกินปูนร้อนท้อง “เจ้าอยากไปกินที่ไหน?”
มู่จิ่วเท้าคางคิด ก่อนพูด “กินที่บ้านดีกว่า ไปเพียงเราสองคนก็ไม่เหมาะนัก” และเสี่ยวซิงก็เตรียมไว้หมดแล้วด้วย
ลู่ยาโน้มน้าว “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม มีเพียงพวกเราสองคนเป็นคู่หมั้นกัน” ใครใช้ให้พวกเขาโสดล่ะ?
ซื่ออินรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินเมื่อยืนอยู่ตรงนี้ อยากจะเลียบกำแพงออกไป ทว่ามู่จิ่วเห็นเข้า นางรั้งเขาไว้ “อย่าเพิ่งไป! ข้ายังมีข่าวใหม่อีก!”
เขาจึงได้แต่รั้งอยู่ต่อ
นางเล่าเรื่องที่ได้รู้จากวังหลิงเซียวก่อนหน้านี้ออกมาจนหมด
“ข้าแน่ใจว่าเหลียงจีนำอาฝูไปยังภูเขาเรือเป็นเรื่องบังเอิญ มิฉะนั้นหากนางมีความสามารถรู้ล่วงหน้า นางก็ต้องเตรียมขอร้องฉางเอ๋อร์ให้ช่วยพานางออกมาได้ แต่นางไม่ได้ทำแบบนี้ และยังใช้วิชายอดเยี่ยมลบล้างความทรงจำอาฝู นี่บอกได้เพียงว่านางอาจอยู่ในสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก นางไม่อยากให้พวกเจ้าเสี่ยงอันตรายตามหานาง”
ซื่ออินได้ยินคำพูดนี้ของนางก็ตกเข้าสู่ความเงียบ
ลู่ยาฟังจบกลับพูด “มีเหตุผลอยู่พอสมควร แต่หากสถานที่ที่เหลียงจีอยู่อันตรายถึงขนาดพละกำลังของซื่ออินก็เอาไม่อยู่ เช่นนั้นทำไมนางถึงเสี่ยงส่งอาฝูออกมา? หรือในเมื่อนางรู้สึกว่าอาฝูตกอยู่ในอันตราย เหตุใดนางถึงเลี้ยงดูเขาอย่างสงบมาได้ถึงตอนนี้?”
มู่จิ่วไร้คำพูด
ลู่ยาลงจากตั่ง ก้าวเท้าพลางเอ่ย “ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สองทาง หนึ่งคืออาฝูเจอกับฉางเอ๋อร์โดยบังเอิญ ที่จริงเขาเที่ยวเร่ร่อนที่ภูเขาเรือมานานแล้ว พอดีเจอกระต่ายหยกจึงตามนางขึ้นเกี้ยวไป หรือเหลียงจีไม่ได้อยู่ในอันตรายอะไร นางเลี้ยงดูอาฝูอย่างดีมาตลอด จากนั้นส่งเขาออกมาเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เขากลับเผ่าเดิม”
“เที่ยวเร่ร่อนมานานแล้ว?” มู่จิ่วส่ายหน้า “เป็นไปไม่ได้ ตั้งแต่อาฝูมาที่บ้านเราจนถึงตอนนี้ ไม่มีพฤติกรรมหยาบคายแม้แต่น้อย เจ้าดู เขานั่งกินข้าวอยู่ข้างโต๊ะอย่างเรียบร้อย เขาไม่ได้ระมัดระวังตัวกับคนมากนัก หนำซ้ำยิ่งขี้เล่นมาก เขาไม่ได้เที่ยวเร่ร่อนข้างนอกนานถึงสามร้อยปีแน่!”
“แบบนั้นก็เป็นได้เพียงข้อสันนิษฐานข้อหลังแล้ว” ลู่ยารับฟังแต่โดยดี “เหลียงจีไม่ได้ถูกกักขังไว้ นางมีชีวิตที่ไม่เลวนัก อาจเป็นเพราะเหตุผลบางอย่าง นางเลยไม่อยากให้คนนอกหานางเจอ ดังนั้นจึงลบความทรงจำของอาฝู จากนั้นลบล้างกลิ่นอายของตัวเองจากเสื้อผ้า…”
“ไม่!” ซื่ออินยืนขึ้นมา พูดอย่างมั่นใจ “นางไม่ทำแบบนี้แน่ ข้าเชื่อว่านางต้องไม่ทิ้งข้า! ข้ารู้!”
สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนกมากภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่าง เขากลืนน้ำลาย น้ำเสียงอ่อนลง ราวกับรู้สึกว่าตนเองตื่นตระหนกเกินไปหน่อย “ข้าคือคนที่ไม่อยากให้นางตกอยู่ในสภาพลำบากมากกว่าใครทั้งสิ้น เทียบกับนางได้พบเจออันตรายแล้ว ข้ายิ่งหวังให้นางอยู่อย่างสงบสุขมากกว่า”
“แต่ข้ารู้ ไม่ใช่ว่านางไม่ยินยอมให้ข้าไปหานางแน่…นอกจากว่านางอยู่ในอันตรายมาก นางพูดเสมอว่าข้าเป็นวีรบุรุษของนาง ส่วนนางเป็นสัตว์ป่าน้อยที่อิงแอบอยู่ใต้เท้าวีรบุรุษ ดังนั้นข้าจึงยิ่งเอนเอียงไปทางการคาดเดาของแม่นางจิ่วมากกว่า เหลียงจีคงจะพบเจออันตรายและทำอะไรไม่ได้ ถึงหาโอกาสส่งอาฝูออกมา หากนางไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย ก็คงจะไม่อยากให้ข้าไปตามหานาง”
มู่จิ่วตบไหล่เขา ถอนหายใจ
นางพอเข้าใจความรู้สึกของเขา หากเปลี่ยนเป็นลู่ยาหายตัวไปกะทันหันแล้วได้ยินคนบอกว่าเขาตั้งใจไม่พบนาง นางก็รับไม่ได้เหมือนกัน
“ความเป็นไปได้ที่ข้าพูด ไม่จำเป็นว่าต้องแย่เหมือนที่เจ้าคิด”
ลู่ยานั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ท่าทางผ่อนคลาย ก่อนพูดต่อ “สองวันนี้ข้าก็คิดอย่างละเอียดเช่นกัน เจ้าบอกว่านางไม่ได้ถูกคนลักพาตัวไป เช่นนั้นอีกความเป็นไปได้คือนางไปเอง ข้าทำได้เพียงสันนิษฐานว่าบางทีอาจเพราะเหตุผลบางอย่าง นางต้องไปทำเรื่องบางเรื่องแต่เจ้าไม่เห็นด้วย หรือกลัวว่าจะลากเจ้าเข้าไปลำบาก ดังนั้นจึงจากไปเงียบๆ”
……………………………………………………
บทที่ 264 ต้นไม้หน้าหลุมศพ
โดย
Ink Stone_Romance
“หลังจากนางไปค่อยพบว่าตนเองตั้งครรภ์ แน่นอนว่าต้องให้เด็กคลอดออกมา แต่เรื่องที่นางต้องการทำยังไม่สำเร็จ นางยังกลับมาไม่ได้ และไม่อยากลากเจ้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำได้เพียงหาวิธีส่งลูกออกมา”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไป มองอาฝูที่เล่นอยู่กับรุ่ยเจี๋ยอยู่นอกประตูก่อนพูด “ที่อาจิ่วพูดก็ไม่ผิด ก่อนหน้านี้ปริศนาที่พวกเราอยากรู้มีมากไป ดังนั้นจึงละเลยที่จะหาเบาะแสจากตัวอาฝู ตอนนี้รายละเอียดมากมายค่อยๆ ถูกตัดทิ้งไป แม้แต่ชะตาชีวิตของต้าอี้ยังมีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลง แบบนั้นขอบเขตของการคาดเดาก็แคบลงแล้ว”
“ในความเป็นจริง หลังจากอาฝูเข้าสวรรค์มาก็เร่ร่อนอยู่ระยะหนึ่ง แต่ระยะเวลานี้ก็ไม่ได้ทำให้เขามีพฤติกรรมแย่อะไร เห็นได้ว่าในสามร้อยปีนี้เหลียงจีอบรมอาฝูมาอย่างดียิ่ง หากไม่ได้อยู่อย่างสุขสงบ นางจะทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?”
“นอกจากนั้น อาฝูมีพรสวรรค์มาก แน่นอนว่าเพราะเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่หากพูดโดยไม่ปิดบัง เจ้าที่เป็นพ่อก็ไม่อาจมีพรสวรรค์อย่างเขาได้ ข้าเดาว่าตอนยังเด็กไม่เพียงแต่เขาจะอยู่อย่างสงบสุข แต่ยังอยู่ในสถานที่ที่มีพลังวิญญาณสมบูรณ์ อาจจะถึงขนาดว่าตอนเหลียงจีตั้งครรภ์เขาสองร้อยปี เขาก็เริ่มดูดซับพลังนั้นแล้ว”
“ดังนั้น ข้ายิ่งเชื่อว่าสถานที่เหลียงจีอยู่ตอนนี้ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น”
ซื่ออินมองเขา ไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับกำลังกลั้นหายใจ
นี่คือความคิดใหม่ และฟังดูแล้วเข้ากับความเป็นจริงในระดับหนึ่ง
ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีข่าวคราวใหม่ เขายินยอมลองคิดดู
มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนเอ่ย “สุดท้ายแล้วเหลียงจีไปทำอะไร?”
“นี่คงต้องถามเขาแล้ว” ลู่ยาเพยิดหน้าให้ซื่ออิน “เจ้าคิดดีๆ ว่าก่อนนางหายไปได้พูดอะไรกับเจ้า”
“ไม่มีทั้งนั้นขอรับ” ซื่ออินส่ายหน้า “นางไม่เคยพูดเลยแม้แต่น้อยว่านางต้องทำเรื่องอะไร หากนางพูด ข้าต้องทำแทนนางแน่!”
“แบบนั้นก็ใช่แล้ว”
ลู่ยาพูด “เป็นไปได้ว่าเรื่องนี้อันตรายอย่างมาก และเจ้าก็เป็นองค์ชายรัชทายาทแห่งโหย่วเจียง นางทนไม่ได้ที่จะให้เจ้าไปเสี่ยงอันตราย ดังนั้นจึงไปเอง ข้าเดาว่า อาจเป็นไปได้ที่แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่คิดว่าจะหายไปนานขนาดนี้ ดังนั้นนางจึงไม่ทิ้งแม้แต่ประโยคเดียวไว้ แน่นอนว่านี่ก็อาจเป็นข้อสรุปใหม่ ไม่จำเป็นว่านางต้องกำลังได้รับอันตราย หากแต่กำลังเสี่ยงภัยอยู่”
คิ้วของซื่ออินขมวดราวกับมะระ ทั้งใบหน้าหน้าถูกทาบทับด้วยความกังวล
ลู่ยาเดินไปตรงหน้าเขา ก่อนกล่าวอีก “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดไว้ ความรู้สึกของนางที่มีต่อพี่สาวอู่เจินลึกซึ้งมาก เจ้าคิดดู อู่เจินตายด้วยเงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ย เหลียงจีจะเต็มใจปล่อยเขาไปแบบนี้จริงๆ หรือ?”
สีหน้าซื่ออินเปลี่ยนไปซีดขาวทันที
“แต่ข้าเคยแอบส่งคนไปค้นหาที่หนานเซียงมาก่อน ข้าก็เคยสงสัยเช่นกัน แต่ที่หนานเซียงกลับไม่มีเงาของนาง!”
ในเมื่อเป็นเผ่าเทพก็ต้องมีวิธีตามหาคนของพวกเขาในแบบเฉพาะของตน ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวคนจริงๆ ไป
“เช่นนั้นเจ้าเคยจับตามองเซวียนหยวนฮุ่ยหรือไม่?”
“ข้าก็เคยสืบมาก่อน!” ซื่ออินพูด “เซวียนหยวนฮุ่ยไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลย หนำซ้ำเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในวังหนานเซียง”
ถึงแม้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เหลียงจีอาจอยู่ในวังหนานเซียง แต่ในเมื่อลู่ยาบอกว่าอาฝูเติบโตอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ แบบนั้นต้องไม่ใช่วังหนานเซียง หากในวังหนานเซียงมีแหล่งพลังวิญญาณอันสมบูรณ์ ก็ไม่อาจหลีกหนีการค้นหาของเขาได้
ลู่ยาลูบคาง ครุ่นคิดใหม่
มู่จิ่วขบคิด ลองเลียบเคียงถามดู “ไม่รู้ว่าหลุมศพของอู่เจินอยู่ที่ไหน?”
นางก็ไม่รู้ว่าตนคิดถูกหรือไม่ อย่างไรเสีย ฟังจากสิ่งที่ลู่ยาคาดเดาแล้ว นางคิดว่าหากนางเป็นเหลียงจี พี่สาวของตนตายอย่างอนาถแบบนี้ ต่อให้นางต้องการล้างแค้นก็ต้องไปดูพี่สาวก่อน เพราะหากกลับมาไม่ได้ โอกาสที่จะพูดต่อหน้าหลุมศพก็ไม่มีแล้ว
ครั้นนางพูดประโยคนี้ออกไป ดวงตาทั้งสองของซื่ออินพลันสว่าง “ไม่ผิด…หลุมศพของอู่เจิน! ทำไม่ข้าคิดไม่ถึง!”
ลู่ยาก็พูด “มีเบาะแสอะไรหรือไม่?”
“ปีนั้นหลังจากอู่เจินตาย พวกเราก็ย้ายศพกลับมาฝังอยู่ที่ทางเหนือของภูเขาจิตอสุนีบาต!”
“ภูเขาจิตอสุนีบาต?!”
มู่จิ่วตื่นเต้นขึ้นบ้างแล้ว!
ภูเขาเรืออยู่ปีกข้างของภูเขาจิตอสุนีบาต พูดแบบนี้หมายความว่าเหลียงจีส่งอาฝูไปที่ภูเขาเรือ ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด และมู่จิ่วรู้สึกอยู่ตลอดว่าที่อยู่ของเหลียงจีต้องเกี่ยวข้องกับภูเขาจิตอสุนีบาต หรือนี่จะเป็นการค้นพบใหม่?
“เอาละ อย่าเพิ่งคิดมากขนาดนั้น พวกเราไปดูก็ได้แล้ว”
ลู่ยาชันเข่ายืนขึ้น จากนั้นจึงนำกระดองเต่าบนโต๊ะมาแล้วเรียกเมฆ
มู่จิ่วบอกกล่าวกับเสี่ยวซิงเล็กน้อยก่อนออกเดินทาง
จากด้านตะวันออกถึงตะวันตกของภูขาจิตอสุนีบาตรวมหลายพันลี้ มียอดเขาด้านข้างนับไม่ถ้วน สันเขาของยอดเขาหลักเป็นแนวกั้นถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ต้นไม้ที่ทอดไปทางใต้เขียวขจีเหมือนกับพุ่มไม้ สรรพชีวิตเติบโตอุดมสมบูรณ์ แต่ด้านติดทางเหนือกลับเป็นพื้นที่กันดารต่อเนื่องไปหลายพันลี้ ทุกปีมีเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน ถึงจะมีดินแดนสีเขียวโผล่ขึ้นมา ผ่านที่กันดาร เดินทางไปอีกหลายพันลี้ ก็จะเป็นเขตแดนของแต่ละชนเผ่าและอาณาจักรในโบราณกาล
ภูเขาเรืออยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทิวเขา และอาณาจักรโหย่วซยงตั้งอยู่ทางเหนือของยอดเขาจิตอสุนีบาต ทั้งสองที่ห่างกันหลายพันลี้ วันนั้นตอนมาภูเขาเรือ ซื่ออินจึงไม่ได้พูดว่าข้ามภูเขาเดินไปอีกหลายพันลี้ก็เป็นโหย่วเจียงแล้ว
พวกลู่ยาเพียงใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสันเขา
จากนั้นซื่ออินเดินนำทางอยู่ข้างหน้า มุ่งไปทางตะวันตก พอเดินจนเกือบสุดปลายทิวเขาก็ปรากฏภูเขาเล็กรูปทรงกรวยให้เห็น ผิดกับที่รกร้างกันดารที่เพิ่งเดินผ่านมา ภูเขาเล็กนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ แต่ผืนป่ามีหลุมศพมากมาย แต่ละหลุมดูไปแล้วล้วนผ่านกาลเวลามานาน หลุมศพที่ยิ่งเก่าสลักสัญลักษณ์ที่แม้แต่มู่จิ่วก็ไม่เข้าใจ
ไม่รู้ว่าผ่านหลุมศพมาแล้วกี่หลุม เมื่อเดินมาถึงกลางป่า ฝีเท้าของซื่ออินก็หยุดลง
“นี่คือหลุมศพของอู่เจิน!”
ครั้นมองไปตามที่เขาชี้ เห็นเพียงกลางป่ามีหลุมศพหินที่ค่อนข้างใหม่ บนหลุมสลักอักษรโบราณเรียบง่ายไว้ มู่จิ่ววิเคราะห์ตัวอักษรอย่างละเอียด ดูออกเพียงแค่ตัวเจียงกับเจินเท่านั้น เดาว่าคงเป็นป้ายของอู่เจินอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหลียงจี!”
ขณะกำลังสำรวจ ซื่ออินพลันพุ่งไปหน้าหลุมศพ จับต้นหางนกยูงขนาดสองคนโอบด้านหน้าหลุมศพพลางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด!
ต้นไม้นี้เป็นพยานรักของเขากับเหลียงจี แต่กลับมาอยู่หน้าหลุมศพของอู่เจิน!
เพียงพวกเขามาก็มีการค้นพบยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
“แต่เดิมมีต้นไม้นี้หรือไม่?” มู่จิ่วถาม
“ไม่มี” ซื่ออินอดกลั้นความเจ็บปวด สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูด “เดิมทีไม่มีต้นไม้นี้! แต่ก่อนข้ามาเป็นเพื่อนเหลียงจีทุกครั้งที่นางมาที่นี่ แต่หลังจากนางหายตัวไปข้าก็ไม่ได้มาอีกเลย ข้าคิดไม่ถึงว่านางจะตั้งใจหายตัวไปเอง ดังนั้นจึงไม่คิดว่านางจะมาหาอู่เจินที่นี่เลย”
มู่จิ่วเงยหน้ามองต้นไม้นี้ เวลาห้าร้อยปี เพียงพอทำให้ต้นไม้เล็กๆ กลายเป็นต้นไม้ใหญ่สูงเทียมฟ้า
เหลียงจีใช้วิธีนี้เพื่อเตือนอะไรซื่ออินหรือไม่?
“เจ้าคิดให้ละเอียดอีกที ที่นี่มีอะไรไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีก” ลู่ยากล่าว พูดจบเขาก็นำผังเข็มทิศออกมาตรวจสอบภูมิประเทศรอบด้าน
…………………………………………………
บทที่ 265 หินวิเศษเจ็ดสี
โดย
Ink Stone_Romance
ซื่ออินไม่กล้าชักช้า รีบสำรวจไปรอบด้านโดยเริ่มจากต้นหางนกยูง
มู่จิ่วก็สำรวจรอบด้านในทิศทางที่สลับกัน
หลุมศพหินครอบคลุมพื้นที่ราวหนึ่งหรือสองมู่ ด้านหน้าหลุมศพมีรูปสลักหินสัตว์เทพนั่งยองอยู่สองตัว ลวดลายช่วงครึ่งตัวล่างของสัตว์เทพเกือบถูกตะไคร่เขียวขึ้นจนเต็ม ส่วนด้านหลังคือแท่นบูชาหยกขาว ด้านหลังไปอีกเป็นตัวหลุมศพครึ่งทรงกลม บนหลุมศพสลักลวดลายไว้มากมาย และมีตะไคร่เขียวขึ้นเช่นเดียวกัน รวมถึงรอยแตกของพื้นอิฐก็มีหญ้าขึ้นรกด้วย
ดูจากความแข็งแรงและความละเอียดลออของหลุมศพแล้ว ราชาและราชินีของโหย่วเจียงจัดการฝังอู่เจินตามรูปแบบเฉกเช่นการฝังราชินีแห่งหนานเซียง
จากตะไคร่เขียวและหญ้ารกเหล่านี้ รวมทั้งต้นหางนกยูงที่ไม่เคยถูกพบมาก่อน สามารถบอกได้ว่าไม่มีคนมาสถานที่นี้นานมากแล้ว
แต่นี่ไม่อาจบอกได้ว่าราชาอาณาจักรโหย่วเจียงไร้จิตใจ ในฐานะราชาของอาณาจักรหนึ่ง สามารถดูแลเด็กกำพร้าของขุนนางแบบนี้ ที่จริงนับได้ว่าไม่เลวมากแล้ว ราชาผู้หนึ่งคงไม่สามารถเหล่าส่งองค์ชายองค์หญิงมาทำความสะอาดหลุมศพให้บุตรสาวขุนนาง ยิ่งไม่เหมาะที่จะส่งคนในวังมาทำความสะอาดหลุมศพในนามตนเอง…หากต้องการทำความสะอาดก็ต้องเป็นหลุมศพของพ่อนาง
และในห้าร้อยปีนี้ ซื่ออินยุ่งอยู่กับการตามหาเหลียงจี เป็นธรรมดาที่จะไม่ได้สนใจเรื่องนี้
สิ่งที่มู่จิ่วใส่ใจไม่ใช่มีคนในวังโหย่วเจียงมาดูอู่เจินหรือไม่ สิ่งที่นางใส่ใจคือเหลียงจีมาที่นี่หรือเปล่า
แต่ชัดเจนมาก หญ้ารกเหล่านี้ไม่เพียงแสดงว่าไม่มีคนจากอาณาจักรโหย่วเจียงมา แม้แต่เหลียงจีก็ไม่ได้มาด้วย
ทว่าต้นหางนกยูงตรงหน้าเพียงพอจะยืนยันได้ เหลียงจีต้องเคยมาที่นี่หลังจากออกจากอาณาจักรโหย่วเจียง
ถึงแม้เป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่ง กลับยืนยันได้ว่าการหายตัวไปของเหลียงจีไม่ใช่เพราะถูกลักพาตัว แต่เป็นนางตั้งใจจากไปเอง!
ในเมื่อจากไปเอง และนางยังเคยมาที่หลุมศพของอู่เจิน ก็สามารถยืนยันการคาดเดาของลู่ยาได้ การหายตัวไปของนางครั้งนี้เป็นไปได้มากว่านางจะไปทำเรื่องที่สำคัญยิ่งเรื่องหนึ่ง อีกทั้งเรื่องนี้เกินกว่าครึ่งก็เกี่ยวข้องกับการตายของอู่เจิน
“พบอะไรหรือไม่?”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซื่ออินเดินมาอยู่ตรงหน้า มู่จิ่วจึงถามเขา
เขาขมวดคิ้วส่ายหน้า มู่จิ่วก็แบมือพูด “ข้าก็ไม่พบอะไรเช่นกัน”
นางพูดพลางมองลู่ยา ลู่ยาถือผังเข็มทิศพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเงาเขาก็เคลื่อนวูบวาบ ลอยไปยังทิศที่ไกลออกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“พวกเราไปดูกัน!”
มู่จิ่วเรียกซื่ออินให้ตามไป ถึงแม้ตามไม่ทันฝีเท้าของลู่ยา แต่ก็รู้ชัดเจนว่าเขามุ่งไปไหน
ทิศทางที่ลู่ยาไปออกจากเขตของภูเขาจิตอสุนีบาตแล้ว ในความเป็นจริง ทั้งภูเขาจิตอสุนีบาตไม่ได้มีเนินหินมากเท่าไหร่นัก แต่พอออกจากที่นี่ภูมิประเทศกลับพลันสูงขึ้น ยอดเขาทั้งผืนล้วนเป็นเนินหินเปิดเปลือย แต่ละเนินยกสูงขึ้นมาจากพื้น ระหว่างยอดเขาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่า รายล้อมด้วยเมฆหมอก สัตว์ปีกเซียนบินว่อน พลังวิญญาณที่ลอยอยู่ทำให้สดชื่นแจ่มใส เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โดยแท้!
ลู่ยาคาดเดาว่าสถานที่ที่เหลียงจีซ่อนตัวอยู่มีพลังวิญญาณอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องพูดถึงซื่ออิน เพียงมู่จิ่วมาถึงที่นี่ก็รู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านบ้างแล้ว
สถานที่พิเศษขนาดนี้ เหลียงจีคงไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่กระมัง?
อาฝูเกิดที่นี่หรือ?
ลู่ยายืนนิ่งอยู่บนยอดเขาด้านหน้า จากนั้นมองดูผังเข็มทิศที่แปลงมาจากพลังวิญญาณในมือ รอจนมู่จิ่วมาถึง จึงลงไปอย่างช้าๆ ตรงไปยังป่าไผ่เขียวชอุ่มด้านหน้าที่ยื่นออกมาจากเมฆ
ไม่นานก็มาถึงป่าไผ่ มู่จิ่วสำรวจรอบด้านหลังจากยืนได้มั่นคง ป่าไผ่เป็นป่าตามธรรมชาติที่ครอบคลุมพื้นที่เนินเขาทั้งหมด กลางป่าไผ่ขนาบด้วยลำน้ำเล็กๆ ต้นกำเนิดของแหล่งน้ำไม่รู้อยู่ที่ไหน สรุปคือยังไม่ทันได้สัมผัสแตะถูกมันก็มีไอเย็นลอยออกมาแล้ว
บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง ใต้ใบไม้แห้งเป็นหินกรวด หินเหล่านี้แต่ละก้อนสุกใสเปล่งประกาย และที่ยิ่งน่าประหลาดใจคือพวกมันส่องแสงสว่างบาดตาหลากสี
“หินเจ็ดแสง!”
มู่จิ่วยังไม่ทันสำรวจรอบๆ เสร็จ ซื่ออินก็ร้องขึ้นมา เขาจ้องมองหินสีรุ้งบนริมน้ำ ไม่รู้คิดอะไรอยู่ สีหน้าไม่เพียงตกใจ แต่ยังสงสัยอย่างมาก
“หินเจ็ดแสงคืออะไร?” มู่จิ่วถาม
ลู่ยาเดินเข้ามาพูด “หินเจ็ดแสงคือของใช้การไม่ได้ที่ศิษย์พี่หญิงของข้าคัดออกระหว่างการซ่อมแซมฟ้าในกาลก่อน เพราะถูกละทิ้งจึงกลายเป็นหินหลอมวิญญาณร้าย พวกมันชอบกินวิญญาณมนุษย์เป็นอาหาร ยิ่งกินวิญญาณเข้าไปมาก สีสันก็ยิ่งสด ปกติพวกมันเกิดอยู่เฉพาะในที่มืดและหนาวเย็นอย่างปรโลกเก้าแดน หินเจ็ดแสงที่นี่ส่องแสงแสบตา ลำน้ำก็เย็นแบบนี้ แหล่งกำเนิดน้ำนี้ต้องเป็นน้ำจากแม่น้ำแห่งความตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
แม่น้ำแห่งความตาย?
แม่น้ำแห่งความตายของปรโลกน่ะหรือ?
“แต่เมืองวิญญาณอยู่ที่เฟิงตู ที่นี่จะมีน้ำของแม่น้ำแห่งความตายได้อย่างไร?”
“สถานที่นี้ห่างจากเฟิงตูหลายหมื่นลี้ น้ำของแม่น้ำแห่งความตายของที่นี่ คงมีคนใช้พลังวิญญาณนำมันมาเลี้ยงหินเหล่านี้” ลู่ยาพูดเรียบๆ
มู่จิ่วมองหินหลากสีสว่างสดใสเหล่านี้ ดูไม่ออกจริงๆ ว่าพวกมันเป็นหินหลอมวิญญาณที่สะสมวิญญาณร้ายไว้
“หินพวกนี้เป็นของวิเศษที่ดีที่สุดในการหลอมวิญญาณ เพราะไม่เพียงแต่มีพลังสายเสวียนคง แต่ยังดูดซับวิญญาณผีได้ดีเป็นที่สุด หากนำหินที่มีอยู่เต็มแม่น้ำนี้โยนเข้าไปในเตาหลอม จะสามารถหลอมอาวุธวิเศษที่น่าเกรงขามได้ มันไม่เพียงมีความสามารถดูดซับวิญญาณ พลังวิญญาณยังบริสุทธิ์อย่างมาก พลังวิญญาณยิ่งบริสุทธิ์เท่าไหร่ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”
มู่จิ่วฟังถึงตรงนี้ก็อดพูดไม่ได้ “แบบนั้นใครทำกัน? เขาต้องการอะไร?”
ลู่ยาหยิบหินก้อนหนึ่งวางไว้กลางฝ่ามือ หรี่ตากล่าว “หากข้าเดาไม่ผิด คนผู้นี้คงเป็นคนที่ใช้แมงมุมกลืนวิญญาณสร้างใยแมงมุมที่ภูเขาคุนหลุนตะวันออกไว้กำกับตระกูลอ๋าวตระกูลอวิ๋น”
คล้อยหลังคำพูดของเขา หินที่มีสีส้มแดงสว่างไสวในมือพลันมีจิตต้นกำเนิดมากมายลอยออกมา เหมือนกับควันเผาไหม้ลอยอยู่กลางอากาศชั่วครู่ใหญ่ก่อนสลายไปจนหมด!
“ดูไผ่เหล่านี้อีกที”
เขาพูดพลางทำสัญลักษณ์มือส่งพลังออกไป พบว่าที่ที่แสงค่อยๆ ปกคลุมไปนั้น ป่าไผ่งามเขียวขจีเมื่อครู่พลันกลายเป็นโครงกระดูกตั้งฉากผืนใหญ่! กระดูกขาวเหล่านั้นแต่ละแท่งแต่ละอันตั้งอยู่ในลักษณะเดียวกับต้นไผ่ก่อนหน้านี้ ส่วนผมยุ่งเหยิงบนหัวกลายเป็นใบไผ่รก!
ถึงแม้มู่จิ่วมีความสามารถจับเล่ห์กล ก็ยังตกใจโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นเขา?” นางถาม
“เพราะปีนั้นอ๋าวเชินถูกทำร้ายก็เพราะเขาไปหลอมวิญญาณอยู่ที่ริมบึงน้ำดำ เพียงแต่สิ่งที่หลอมครั้งนั้นเป็นวิญญาณเทพ” ลู่ยาเป่าลมเข้าไปในป่าไผ่ โครงกระดูกเหล่านั้นกลับสภาพเป็นป่าไผ่เขียวขจีแบบเดิม
“ถ้าอย่างนั้น หรือตอนนี้เขาประสงค์จะหลอมวิญญาณร้าย?!” แม้แต่ซื่ออินก็อดสงสัยไม่ได้
“เป็นไปได้” ลู่ยาโยนหินที่สิ้นแสงแล้วในมือลงไปในแม่น้ำ “อย่างไรเสียหินในแม่น้ำสายยาวขนาดนี้ ก็เพียงพอจะหลอมวิญญาณร้ายออกมา”
“เจ้าหมายถึงวิญญาณเทพและวิญญาณร้ายในบรรดาวิญญาณของหกภพหรือ?” มู่จิ่วขมวดคิ้วพูด
“ไม่ผิด” ลู่ยาพูดจบก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดต่อ “เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่รู้ว่าเขาหลอมมาทำอะไร ถึงแม้วิญญาณในแต่ละภพสร้างเป็นของวิเศษอันร้ายกาจได้ แต่วิญญาณร้ายทำได้เพียงดูดซับวิญญาณ อีกอย่าง แม้วิญญาณเทพมีพละกำลังแข็งแกร่ง แต่หากเขาต้องการตั้งตนกุมอำนาจ ควรจะหลอมวิญญาณมารและวิญญาณเทพถึงจะถูก ยังมีวิญญาณเซียนอีก นี่ถึงจะเป็นวิญญาณมีฤทธิ์อย่างแท้จริง”
“การเดินทางครั้งนี้ แม้พวกเราจะพบข้อสงสัยไม่น้อย แต่กลับไม่เคยพบว่าพวกเขาลงมือกับวิญญาณเซียนมาก่อน ตั้งแต่ชิงชิวถึงทิวเขาริ้วหยก จนถึงภูเขาจิตอสุนีบาต สิ่งที่เขาลงมือด้วยล้วนเป็นวิญญาณเทพ และเบื้องหน้านี้ก็เป็นพียงวิญญาณร้ายเท่านั้น หากเป้าหมายมีเพียงสองวิญญาณนี้ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบอะไรได้”
…………………………………………………
บทที่ 266 บ้านพักของใคร?
โดย
Ink Stone_Romance
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอยากหลอมทีละชิ้น?” มู่จิ่วพูด
“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยามองป่าไผ่ที่ไหวไปตามลมพลางเอ่ย “หลอมวิญญาณของหกภพเป็นเรื่องที่เปลืองแรงอย่างมาก คนธรรมดาทั่วไปทำไม่ได้ จินเซียนอย่างอาจารย์ของเจ้า ทุ่มเทความสามารถทั้งหมดหลอมวิญญาณได้หนึ่งดวงก็ไม่เลวแล้ว หากไม่มีของวิเศษอันสูงส่งช่วย ก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถหลอมกายทิพย์ที่บริสุทธิ์ได้ ตอนนี้หากเขาคิดหลอมวิญญาณเซียน ต้องหลอมด้วยกันกับวิญญาณอื่น มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงประหยัดแรงได้”
มู่จิ่วก้มหน้าครุ่นคิด
วิญญาณเซียนยังไม่มีการเคลื่อนไหว หากเป้าหมายของคนผู้นั้นมีเพียงวิญญาณสองประเภทนี้ คิดตามคำพูดของลู่ยา นั่นชัดเจนว่าไม่ใช่ต้องการทำลายล้างหกภพแล้ว
เช่นนั้นเขาทำเพื่ออะไร?
ลู่ยาเคยสงสัยว่ามีใครแอบวางแผนในใจ และตอนนี้หากนำคดีของเหลียงจีและคดีก่อนหน้านี้มาเชื่อมโยงกัน อาจมีเงื่อนงำบางอย่าง ไม่ว่าเป้าหมายของคนผู้นี้คืออะไร อย่างน้อยตอนนี้เขากำลังวางแผนหลอมวิญญาณเซียนและวิญญาณร้ายที่บริสุทธิ์ อย่างน้อย เขาคงคิดจะใช้วิญญาณเซียนและวิญญาณร้ายทำอะไรบางอย่างกระมัง?
“เข้าไปดูก่อนค่อยว่ากัน”
ตอนนี้ลู่ยาเก็บหินที่มีแสงเรืองรองสองก้อนเข้าไว้ในอก จากนั้นเดินไปข้างใน
ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ ถึงแม้แสงอาทิตย์ส่วนมากถูกป่าไผ่บดบัง แต่ยังมีแสงไม่น้อยทะลุผ่านใบไผ่ลงมา หินริมลำน้ำส่องสว่างไปตามทางน้ำไหล ป่าไผ่สองฝั่งน้ำก็ยืดยาวไปอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปโค้งแล้วโค้งเล่า เดินไปแบบนี้ไม่รู้ว่ากี่ลี้ ไม่รู้ว่าถึงที่ไหนแล้ว จึงค่อยเห็นสะพานสีขาวเล็กๆ เหนือลำน้ำ
มู่จิ่วหยุดเท้าหันกลับไปมอง ก่อนพูด “แปลกนัก ในเมื่อหินเหล่านี้กับป่าไผ่เป็นสิ่งของของปรโลก ทำไมพวกมันกลับอาบแสงอาทิตย์ได้? หนำซ้ำที่นี่ยังเต็มไปด้วยพลังหยาง ยังสัมผัสพลังหยินไม่ได้เลย”
“นี่เป็นความพิเศษของหินเจ็ดแสง” ลู่ยาหยุดออยู่ที่ใต้สะพานหินเล็ก ก่อนกล่าว “หินเจ็ดแสงสะสมวิญญาณร้าย แต่มันก็เคยได้รับการเหลียวแลจากหนี่ว์วา และเคยเป็นตัวเลือกสำหรับหินซ่อมแซมฟ้า วิญญาณร้ายได้มันรับไว้ ไหนเลยยังต้องกลัวแสงอาทิตย์? ส่วนไผ่เหล่านี้สูญสิ้นวิญญาณร้ายไปนานแล้ว ไม่ต่างอะไรจากดินโคลน ยิ่งไม่กลัวเป็นธรรมดา”
มู่จิ่วพยักหน้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นก้าวข้ามสะพานนั้น
มือข้างหนึ่งของลู่ยาดึงนางกลับมา นางเข้าใจไปว่ามีกับดัก เขากลับพยักเพยิดชี้ไปยังด้านหน้า “ไม่ใช่ทางนี้” ก่อนพูดอีก “ตามหลังข้าก็พอแล้ว”
ที่แท้เขาไม่ได้คิดจะข้ามสะพานขาวนั้น แต่เดินเลียบริมลำน้ำต่อไป
ครั้นเดินไปเรื่อยๆ หินในแม่น้ำก็ค่อยๆ อับแสง กลายเป็นกองหินก้อนเล็กสีเทากลุ่มหนึ่งที่ไม่มีความพิเศษอะไร
“เกิดอะไรขึ้นอีก?” มู่จิ่วถาม
“วิญญาณร้ายในหินนี้ถูกใช้ไปหมดแล้ว นี่ก็แสดงว่ามีคนกำลังหลอมวิญญาณร้ายอยู่จริง” ลู่ยาเดินช้าๆ พูดเนิบนาบ “ด้านหน้ามีคนหรือสัตว์ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ พวกเราอำพรางกายก่อน” จากนั้นสะบัดเสื้อเซียนทอเมฆ ทันใดนั้นทั้งสามคนก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับท้องฟ้าและผืนดิน ไม่มีใครมองเห็นแล้ว
มู่จิ่วอดถามเขาไม่ได้ “วิญญาณเหล่านี้ใช้ทำอะไรได้บ้าง?”
เรียกเทพมังกรหรือ?
“ใช้ควบคุมดวงชะตาของชีวิตต่างๆ ในแต่ละภพได้ วิญญาณร้ายสามารถจำกัดหรือแม้กระทั่งทำให้ชะตาชีวิตในปรโลกเสียหาย เฉกเช่นวิญญาณเทพก็สามารถควบคุมภพเทพ วิญญาณเซียนสามารถควบคุมภพเซียน หากรวมครบทั้งหกวิญญาณก็ควบคุมฟ้าดินได้แล้ว” ลู่ยาย่ำหินเลียบข้างลำน้ำไป “แต่ความเป็นไปได้นี้ก็ยังน้อยมาก เพราะวิญญาณที่แท้จริงของหกภพถูกเฝ้าระวังอยู่ที่คลื่นจิตพสุธา”
“เช่นนั้นทำไมเขายังต้องหลอมวิญญาณร้ายล่ะ?” มู่จิ่วถามต่อ
“ถึงแม้วิญญาณร้ายที่หลอมมาไม่อาจใช้แทนวิญญาณร้ายดั้งเดิมได้ แต่มันก็หลอมมาจากวิญญาณร้าย รวมเข้ากับวิญญาณห้าประเภทที่เหลือ ถึงแม้ไม่อาจทำลายล้างฟ้าดิน ก็ยังมีกำลังสังหารอยู่ระดับหนึ่ง”
มู่จิ่วนับว่าเข้าใจคร่าวๆ แล้ว
เดินไปข้างหน้าตามทางได้สิบกว่าลี้ พลังวิญญาณที่เคลื่อนไหวก็มากขึ้นตามคาด ปลายสุดของสายตาค่อยๆ โล่งกว้าง เมื่อเดินไปจนสุดทาง กลับเห็นเพียงด้านหน้ามีภูเขาหินอยู่ ต้นกำเนิดลำน้ำก็สิ้นสุดตรงจุดที่ห่างจากตีนภูเขาไปสามจั้ง มีน้ำพ่นออกจากตาน้ำขนาดฝ่ามือ ที่นี่ไม่มีทั้งเรือนและถ้ำ เซียนและมารก็ไม่มี!
“นี่มันเรื่องอะไร?” ซื่ออินหมุนตัวมองไปรอบๆ สะกดสีหน้ากังวลที่เกิดขึ้นตลอดทาง
ลู่ยากำลังจะพูด ด้านมู่จิ่วครุ่นคิดอยู่สองวินาที พลันหยิบยันต์วิเศษออกมาจากกำไลไม้สี่แผ่น ใช้พลังปราณกระโดดขึ้นไปกลางอากาศ หลังจากร่ายรำราวกับหงส์ ทิศทั้งสี่ก็ถูกแปะไว้ด้วยยันต์วิเศษทันที
ยันต์วิเศษลอยอยู่กลางอากาศ ทิวทัศน์ทั้งสี่ด้านค่อยๆ ปรากฏออกมา กำแพงเขียวกระเบื้องดำ เรือนหรูหราสร้างจากวัสดุมีค่า ไม้ค้ำยันชายคา ทุกชุ่นทุกฉื่อ ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพบ้านที่สมบูรณ์หลังหนึ่ง
“คาถาสยบมาร? เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไร?” ลู่ยาละสายตามามองมู่จิ่ว ในดวงตาปรากฏแววประหลาดใจ
“อาจารย์ข้าสอนมา!” มู่จิ่วหยิบยันต์ขึ้นมาอีกแผ่นหนึ่งอย่างภาคูมิใจ เงยหน้าแปะไว้กลางอากาศเหนือหัวเขา
ทันใดนั้น พวกเขาไม่เพียงอยู่ในเขตพักอาศัยที่สวยงามหลังหนึ่ง แต่รอบด้านยังมีเซียนหญิงรับใช้เพิ่มมาอีกไม่น้อย เหล่าเซียนหญิงรับใช้ล้วนเป็นร่างมนุษย์ แต่ร่างเดิมกลับเป็นเสือลายเหลืองทั้งหมด!
คราวก่อนกลับไปหงชาง หลิวหยางสอนยันต์วิเศษให้นางไม่น้อย ยังสอนวิชาแยกแยะเขตแดนอันตรายให้นางมากมาย แต่ก่อนพลังวิญญาณของนางไม่พอ พลังบำเพ็ญไม่ลึกล้ำ จึงเรียนไม่ได้ แต่ปีกว่าในสวรรค์ นางไม่เพียงได้รับพลังวิญญาณมามากมายเหนือความคาดหมาย ยังได้รับพลังบำเพ็ญหนึ่งพันปีที่จิ้งจอกแดงให้มาเปล่าๆ ทำให้เพียงพอต่อการควบคุมวิชา
แต่ลู่ยากลับยังมองนางอย่างล้ำลึก ไม่เพียงเขาที่เป็นแบบนี้ แม้แต่ซื่ออินก็สงสัยไม่น้อย
“เป็นอะไร?” นางถาม
ลู่ยาคลายสีหน้าลง ก่อนตอบ “ไม่มีอะไร”
จากนั้นหันหน้ามองไปรอบๆ
ทั้งสี่ด้านไม่ต่างจากวังทั่วไปเลย นอกจากสวนป่าอาคารสร้างได้งดงามยิ่งกว่า และนอกจากเสือลายเหลืองเต็มสวนนี้แล้ว ที่เหลือก็มีเพียงท้องฟ้าที่พลันมืดลงจนทำให้รู้สึกประหลาดใจ
ภายในสวนอาศัยเพียงโคมส่องสว่าง
“นี่ต้องเป็นสถานที่พักร้อนของเซวียนหยวนฮุ่ยแน่!” ซื่ออินมองแถวอาคารที่เรียงลึกเข้าไปสุดสายตาหลังช่องประตู ในคำพูดเจือความประหลาดใจ “หรือคนที่แอบหลอมวิญญาณคือเซวียนหยวนฮุ่ย และเหลียงจีมาล้างแค้นเขาจริง?”
ลู่ยารวมสมาธิฟังเสียงรอบด้าน จากนั้นหยักนิ้วทำสัญลักษณ์มือแล้วเอ่ยขึ้น “นี่เป็นบ้านที่สร้างอยู่ใต้ผิวน้ำ น้ำนี้เป็นน้ำที่นำมาจากแม่น้ำแห่งความตาย สถานที่นี้เป็นที่หลอมวิญญาณร้าย ห่างจากหนานเซียงเพียงสองพันกว่าลี้ เซวียนหยวนฮุ่ยอยู่ในวัง ในระหว่างหนึ่งวันจะมาสักสองสามครั้งก็ทำได้ เหลียงจีน่าจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่”
พูดจบเขาก็ก้าวเท้าเดินผ่านประตูทรงกลมไปทางทิศเหนือ
สถานที่พักร้อนนี้ที่แท้อยู่แนวเหนือจรดใต้ ยิ่งเดินไปทางเหนือแสงสว่างยิ่งอับแสง และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็ยิ่งมีมากขึ้น ตอนแรกเซวียนหยวนฮุ่ยก็นิสัยเปลี่ยนไปมากจึงทรมานอู่เจิน ต้องเป็นเพราะฝึกฝนสายมารบางอย่างแน่ อีกทั้งลำน้ำจากแม่น้ำแห่งความตายอันแปลกประหลาดนี้ หินเจ็ดแสง รวมถึงบ้านเรือนล้วนแผ่พลังทะมึนที่ยากจะบรรยายออกมา สามารถยืนยันได้อย่างแน่นอนว่าเซวียนหยวนฮุ่ยเดินเข้าสู่สายมารแล้ว
และบ้านพักนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นบ้านที่ให้เหลียงจีอยู่?
………………………………………………
บทที่ 267 จริงหรือเท็จ
โดย
Ink Stone_Romance
ในใจมู่จิ่วคิดแบบนี้ แต่ปากกลับไม่กล้าพูด
เพราะทุกครั้งที่เข้าไปในลานที่พัก สีหน้าของซื่ออินจะขาวขึ้นหนึ่งส่วน หากเหลียงจีอยู่ที่นี่จริง นางต้องเสียอะไรมากมายขนาดไหนเพื่อให้ได้รับความไว้วางใจของเซวียนหยวนฮุ่ย? ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ก่อนอื่นเพื่อปกป้องอาฝู นางต้องลดเกียรติตนเองลงเชื่อฟังเซวียนหยวนฮุ่ย? และอู่เจินตายอย่างไรทุกคนล้วนรู้แจ้งแก่ใจ เซวียนหยวนฮุ่ยที่มีราคะวิปริตจะปล่อยเหลียงจีไปได้อย่างไร?
อีกอย่าง เหลียงจีรู้ชัดว่าเซวียนหยวนฮุ่ยร้ายกาจขนาดนี้ ทำไมถึงยังมาหาเขาก่อนแต่งงาน?
นางไม่กล้าพูดออกมาทำร้ายจิตใจซื่ออิน แต่ฝีเท้ากลับเร่งรีบ สามารถหานางพบได้เร็วขึ้นก้าวหนึ่งก็รู้คำตอบได้เร็วขึ้นอีกก้าว
แต่ลู่ยาเดินไปเดินมา กลับพลันทะลุผ่านบ้านทั้งหลังออกมาถึงข้างนอก
ที่นี่คือด้านเหนือสุดของเรือน แสงอึมครึมเหมือนกัน แต่สำหรับพวกเขาแล้วการมองเห็นไม่เป็นปัญหา บนลานว่างนี้มีกองหินระเกะระกะ รอบด้านมีต้นไม้งอกเงยขึ้น ลู่ยาหยุดยืนอยู่บนกองหิน จากนั้นเขาพลันสะบัดแขนเสื้อ ได้ยินเพียงเสียงตกกระทบเสียงหนึ่ง หินเต็มพื้นสลายหายไป ด้านล่างปรากฏขั้นบันไดออกมา!
“เป็นที่นี่” ลู่ยาจ้องบันไดแน่นิ่ง “เหลียงจีอยู่ข้างล่าง!”
สองเข่าของซื่ออินอ่อนแรง เกือบล้มลงไปข้างหน้า มู่จิ่วรีบพยุงเขา ก้าวเท้าลงชั้นบันไดตามกันไป
ไม่รู้ลงไปลึกเท่าไหร่ แต่แสงสว่างมืดลงทุกที ลึกลงเรื่อยๆ สุดท้ายมีน้ำรั่วลงมาจากด้านบน นับได้ว่าถึงด้านล่างสุดแล้ว พื้นด้านล่างเป็นห้องหิน ห้องหินครึ่งหนึ่งเป็นกระดานหิน อีกครึ่งคือบึงน้ำ! และกลางบึงน้ำมีคนนอนแผ่อยู่ สองมือสองเท้าถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่ตรวน! ผมดำขลับที่ยาวถึงเข่าลอยอยู่ในน้ำ ดอกหางนกยูงสีสดดอกหนึ่งที่จอนผมทิ่มแทงสายตาเหมือนเปลวเพลิง!
“เหลียงจี!”
ซื่ออินทนไม่ไหวแล้ว ชักกระบี่พุ่งไปตัดโซ่ตรวนออก!
ประกายไฟกระจายไปรอบด้านในห้องหิน น้ำตาของเขากระเซ็นภายใต้ประกายไฟตามท่วงท่าการกระโดด โซ่ตรวนเป็นพันธนาการเซียนที่มีพลังวิญญาณสะกดเซียน แต่ภายใต้กระบี่วิเศษของลูกหลานเทพสงครามก็กลายเป็นของไร้ฤทธิ์เดชไป
ร่างของเหลียงจีที่ไม่ถูกพันธนาการแล้วพลิกมาตามคลื่นน้ำ มู่จิ่วได้เห็นใบหน้านี้ เห็นเพียงคิ้วดำงดงามของนาง จมูกสวยได้รูป ถึงแม้ดวงตาทั้งสองปิดอยู่ แต่กลับมีความสงบเงียบขรึมและเสน่ห์ร้ายกาจ!
เป็นคนงามโดดเด่นอย่างที่คิดไว้
พ่อแม่ของอาฝูล้วนเป็นคนงดงามเช่นนี้!
“เหลียงจี!”
ซื่ออินคุกเข่าร้องไห้เสียงดังพลางกอดนางที่นิ่งไม่ขยับอยู่กลางน้ำ
มู่จิ่วรีบเข้าไป ดึงแขนเสื้อของลู่ยา “นางตายแล้วหรือ?”
ลู่ยาตบๆ มือนาง จากนั้นยื่นมือออกไป ร่างของเหลียงจีถูกแรงที่มิอาจต้านได้นำลอยมาทางนี้อย่างช้าๆ
ซื่ออินตามเข้ามา ไม่เข้ามากอดอีก แต่มือทั้งสองประคองเท้าเปล่าของนางไว้มั่น น้ำตาเหมือนแม่น้ำไหล โหมซัดเคียงคู่ไปกับเสียงครวญของเขาในห้องหินเล็กแคบ
มู่จิ่วไม่เข้าใจว่าทำไมเหลียงจีจึงถูกขังไว้
ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ นางควรมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างสุขสบาย จากนั้นเลี้ยงดูอาฝู ท้ายสุดค่อยส่งเขาออกมาผจญภัยเพียงลำพัง มู่จิ่วกระทั่งเคยจินตนาการว่านางพลีกายให้แก่เซวียนหยวนฮุ่ยหรือไม่ มู่จิ่วไม่คิดมาก่อนเลยว่าเหลียงจีจะถูกขังไว้ และดูไปแล้วยังถูกทรมานไม่น้อย นี่เป็นเพราะอะไรกัน?
ลู่ยาโยนยาลงไปในปากเหลียงจี จากนั้นส่งพลังปราณเข้าไป
ดีที่ทุกคนกลั้นหายใจรออยู่สักครู่ ก็เห็นนางค่อยๆ ลืมตา สายตามองไปยังใบหน้าของซื่ออินที่อยู่ใกล้นางที่สุด นางไม่ได้ประหลาดใจเท่าไหร่นัก แต่น้ำตากลับค่อยๆ ไหลรินลงมา ซื่ออินกับนางกอดกันร้องไห้ น้ำตาไหลพลางพูดคำสั้นๆ ที่มีเพียงพวกเขาเข้าใจ แต่น้ำตาแบบนี้ซื่ออินคงจะรอมานานมากแล้ว
ขอเพียงสามารถกลับมาพบกัน เรื่องอื่นล้วนไม่สำคัญอีก
มู่จิ่วกลับผ่อนคลายลงไม่ได้ ตอนนี้หาคนพบแล้ว แต่ปริศนายังไม่คลี่คลาย
ไม่ง่ายนักกว่าจะเห็นพวกเขาผละออกจากกัน นางจึงลองถามเหลียงจี “แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
เหลียงจีมองนางอย่างว่างเปล่า
ซื่ออินรีบให้นางคารวะลู่ยาทันที และเล่าเรื่องที่พบกับมู่จิ่วให้นางฟังจนหมด “มู่จิ่วเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตลูกของเราไว้ เจ้ารีบบอกนางว่าเจ้าหายตัวไปได้อย่างไร?”
ถึงแม้เขาเร่งให้นางบอกมู่จิ่ว แต่สีหน้าน้ำเสียงกลับดูร้อนใจกว่ามู่จิ่วมากนัก
เหลียงจีได้ยินว่าอาฝูอยู่ที่บ้านมู่จิ่ว ก็พลันจับมือนางอย่างอดไม่ได้ “เรื่องนี้หากพูดข้าต้องพูดตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว เซวียนหยวนฮุ่ยมาที่นี่ได้ตลอดเวลา ค่ายกลพันมารของเขาร้ายกาจมาก ยิ่งเป็นคนที่พลังบำเพ็ญและพลังวิญญาณสูงยิ่งออกไปยาก พวกเรารีบไปก่อนค่อยว่ากัน!”
นางพูดพลางอาศัยกำลังของมู่จิ่วลุกขึ้นมา
ลู่ยากลับพลันวางมือลงบนศีรษะเหลียงจี!
เรื่องเกิดเร็วกว่าคำพูด เหลียงจีที่เมื่อครู่ไร้เรี่ยวแรงพลันบินออกไป ดวงตาส่องสว่างไปรอบด้าน นางถอยไปถึงผนังหินด้านหลังก่อนพุ่งเข้ามาอีกครั้ง สองฝ่ามือไหวไม่หยุดกลางอากาศ ดอกบัวดอกหนึ่งส่องแสงสีทอง เหมือนมีมีดอาคมที่ปักอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนโจมตีเข้ามาหาเขา!
“เหลียงจี!”
ซื่ออินมองการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ด้วยใบหน้าซีดขาว ไม่รู้ว่าควรออกไปขวางใคร!
มู่จิ่วมองเหลียงจีที่ถูกแสงทองปกคลุม ตกใจจนพูดไม่ออกเช่นกัน!
เหลียงจีตรงหน้าอย่างไรก็ไม่อาจเรียกนางเป็นหญิงอ่อนแอได้ ราวกับเส้นผมทุกเส้นเล็บทุกเล็บของนางเต็มไปด้วยไอสังหาร ทุกสายตาเจือไปด้วยพลังวิญญาณที่สามารถคว่ำยอดเขาได้ ต่อหน้าลู่ยานางไม่กลัวไม่ลนลานแม้แต่น้อย นางเหมือนกำลังร่ายรำ และเหมือนกำลังชื่นชมตนเอง การหมุนตัวทุกครั้งงดงามมาก!
แต่ทั้งร่างนางเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ความโหดเหี้ยมนี้คล้ายออกมาจากกระดูกและเลือดของนาง ชัดเจนและเข้ากันกับนางอย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง!
“นี่ไม่ใช่เหลียงจี! นี่ไม่ใช่เหลียงจี!”
ซื่ออินพึมพำ จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยน กัดฟันกระโดดขึ้นมาทันใด กลายร่างเป็นเสือขาวใหญ่สองจั้งที่น่าเกรงขาม ก่อนพุ่งไปทาง ‘เหลียงจี’ พร้อมด้วยเสียงเสือคำรามสั่นโสตประสาท
ลู่ยาไม่คิดว่าเขาจะกระโจนเข้ามา รีบเก็บฝ่ามือที่ซัดออกไปกลับเข้ามา
มู่จิ่วเพิ่งได้รับรู้ความน่าเกรงขามและกำลังการต่อสู้ของเสือขาวเทพสงคราม เทียบกับการต่อสู้หยั่งเชิงแบบไม่เจ็บไม่คันของลู่ยาเมื่อครู่แล้ว ซื่ออินกลับน่าตื่นตกใจกว่ามาก! ในห้องหินเล็กแคบนี้ได้ยินเพียงเสียงคำรามของเสือและเสียงสูงของพลังวิญญาณ ทว่าความเล็กแคบนี้ไม่เป็นอุปสรรคกับการต่อสู้ของพวกเขา
มู่จิ่วรีบถามลู่ยา “คนผู้นี้เป็นใคร?!”
“เซวียนหยวนฮุ่ย!”
ลู่ยาเพิ่งกล่าวจบ เหลียงจีก็ร้องโหยหวนออกมา กลิ้งไปกับพื้นก่อนกลายเป็นเสือลายเหลือง จากนั้นคำรามกระโดดเข้าใส่ผนังหินด้านหลังแล้วหายตัวไป!
ซื่ออินคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ต้องการจะตามไป แต่ลู่ยาเรียกเขากลับมา “ตามหาเหลียงจีสำคัญกว่า!”
พูดจบเขาดึงมู่จิ่วพลางกระโดดออกมาถึงบนพื้น จากนั้นหยักนิ้วทำนาย แล้วพุ่งไปยังทางที่มาก่อนหน้านี้!
“วิญญาณร้ายของพวกเขาหลอมใกล้สำเร็จแล้ว! หากหลอมวิญญาณสำเร็จ พวกเราต้องสิ้นเปลืองแรงไม่น้อยตอนออกไป…อาจิ่ว เจ้าไปทางตะวันออกกับทางใต้สองทิศ ซื่ออิน เจ้าเฝ้าตะวันตกกับทางเหนือไว้ เราทำลายผังแปดทิศของพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน!”
………………………………………………………
บทที่ 268 เป็นนางนี่เอง!
โดย
Ink Stone_Romance
เขาพูดพลางเดินไปและเรียกผังเข็มทิศออกมา หลังจากรู้ทิศทางแน่ชัดแล้วก็นั่งขัดสมาธิลง กระดองเต่าสองกระดองในมือราวกับมีตางอก มันพุ่งไปที่ทิศตะวันออกตะวันตกสองฝั่ง เห็นเพียงกระดองเต่าทั้งสองกลายเป็นภูเขาสองลูกกลางอากาศในพริบตา อันหนึ่งร่วงลงไปทางทิศตะวันออกตัดป่าไผ่ขาด อีกอันหนึ่งตกลงทิศตะวันตก ขวางลำน้ำที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ไว้!
น้ำในแม่น้ำแห่งความตายที่ถูกขวางพลันปั่นป่วน และยังมีคลื่นยักษ์ยาวต่อเนื่องพร้อมพลังวิญญาณโหมซัดอยู่เหนือศีรษะ
ซื่ออินยังรับมือได้ไม่มีอุปสรรค ด้านมู่จิ่วกลับต้องออกแรงบ้าง นางกัดฟันกระตุ้นดอกบัวทองบนแขนมาปกคลุมร่างของตน ทันใดนั้นแรงกดดันก็ลดลง นางกลับมามีพละกำลังอีกครั้ง
ในลานที่พักเห็นเพียงพลังวิญญาณของลู่ยาหลั่งไหลออกมาไม่หยุด มันปรากฏออกมาแบบเนิบช้า แผ่ไปทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ผ่านไปแบบนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ แสงค่อยๆ สว่างขึ้น สีดำเหนือศีรษะจางลงไป แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาทีละน้อย น้ำจากแม่น้ำแห่งความตายที่เดิมทีไหลข้ามหัวไปถูกขวางไว้สำเร็จ รอบด้านทั้งหมดสว่างขึ้น
บ้านพักนี้แต่เดิมถูกสร้างอยู่ในก้นหุบเขาลึก ตอนนี้น้ำในแม่น้ำลดไป ผาหินโดยรอบจึงปรากฏออกมา
เมื่อต้นไม้รอบบ้านได้รับแสงอาทิตย์ก็เหี่ยวเฉาไปทันที ทุกทีล้วนมีเสียงกรอบแกรบ ป่าไผ่ทั้งผืนที่เห็นก่อนหน้านี้ล้มลงมากลายเป็นกลุ่มกองกระดูกขาว สุดท้ายกลายเป็นฝุ่นธุลี
“ตอนนี้ล่ะ?” มู่จิ่วลงมาที่พื้น
หลังจากเซวียนหยวนฮุ่ยจากไป เสือลายเหลืองเหล่านั้นก็หายไปด้วย บ้านพักหลังใหญ่ที่ก่อนนี้เหมือนวัง พริบตาเดียวกลายเป็นบ้านร้าง
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือตามหาเหลียงจี แต่เหลียงจีอยู่ไหน มีเพียงลู่ยาเท่านั้นที่รู้
ลู่ยาปัดเสื้อคลุมยืนขึ้นมา ราวกับเรื่องที่เพิ่งทำเสร็จเป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่งนัก
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลันหมุนตัวกลับไปยังทางเหนือที่มีห้องหินเมื่อครู่
มู่จิ่วกับซื่ออินชะงักเล็กน้อยก่อนตามไป เห็นเพดานห้องหินถูกเปิดออกทั้งหมด ห้องหินที่เหมือนกับผาร่วงลงไปด้านล่าง บึงน้ำที่ขังเซวียนหยวนฮุ่ยไว้ก่อนหน้านี้ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่!
และคนคนนี้เสื้อผ้าทรงผมหน้าตาล้วนเหมือนกับ ‘เหลียงจี’ เมื่อครู่เป็นพิมพ์เดียวกัน สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนคือนางนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้น้ำ บนโต๊ะเหลี่ยมขนาดสองฉื่อตรงหน้ามีหินกลมวางอยู่ หินนั้นทึบไร้แสง แต่พื้นผิวไม่ต่างกับหินเจ็ดแสงข้างลำน้ำเลย!
“วิญญาณร้าย?!”
ในหัวมู่จิ่วพลันผุดคำนี้ขึ้นมา
หากหินเจ็ดแสงเป็นหินสะสมวิญญาณ แบบนั้นหินใต้น้ำตรงหน้านี้ ถ้ามิใช่หินวิเศษที่ใช้หลอมวิญญาณร้ายแล้วจะเป็นอะไร?
เซวียนหยวนฮุ่ยหลอมวิญญาณร้ายกลับต้องให้เหลียงจีนั่งอยู่ข้างๆ?
“พานางกลับสวรรค์ก่อนค่อยว่ากัน!” ลู่ยานั่งยองลงมองอยู่ข้างน้ำ ก่อนพลันลุกขึ้นมาพูดกับซื่ออิน
หลังจากซื่ออินผ่านความตื่นเต้นเมื่อครู่ ตอนนี้เห็นเหลียงจีตัวจริง ปฏิกิริยาเขาสงบลงเล็กน้อย เขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า อุ้มเหลียงจีขึ้นมาจากน้ำ รอลู่ยาหยิบหินเจ็ดแสงจากใต้น้ำขึ้นมาก็ขี่เมฆออกจากภูเขานี้ไป
มู่จิ่วยืนอยู่บนเมฆ ฟาดอสุนีบาตสายหนึ่งลงไป ยันต์วิเศษที่แปะไว้กลางอากาศห้าใบก่อนหน้านี้พลันแผดเผากลายเป็นไฟแรงกล้า
ตอนกลับถึงสวรรค์ เมฆที่ขอบฟ้าเป็นสีแดงเพลิง ซื่ออินพุ่งเข้าไปในบ้านราวกับลม
ไม่รู้ทำไมอาฝูที่กำลังกินขนมกับรุ่ยเจี๋ยถึงวิ่งอย่างบ้าคลั่งไปยังนอกประตู ต้อนรับพ่อแม่เขาที่กลับมาด้วยกันพอดี!
เขาเห็นเหลียงจีที่อยู่ในอ้อมอกซื่ออิน เหมือนมองไม่เห็นพ่อที่คอยช่วยหวีขนอาบน้ำให้เขาในหลายวันเหล่านี้ ความกังวลและความใส่ใจทั้งหมดอยู่บนร่างของแม่…นี่คือแม่ที่เลี้ยงเขามาโดยลำพังสามร้อยปี! ในสามร้อยปีนั้นนางเป็นเพียงญาติคนเดียวของเขา เขากระโดดร้องคำรามพลางน้ำตาไหล ความร้อนในดวงตาและความตื่นเต้นทำให้คนที่เห็นเจ็บแปลบใจ
“อาฝูหลีกทางเร็ว แม่เจ้าป่วยแล้ว พวกเราต้องรักษานางก่อน”
ซื่ออินปลอบเขาทั้งน้ำตา จากนั้นก้าวข้ามเขาเดินเข้าห้องตนเองไป แล้ววางเหลียงจีลงบนเตียง
พวกเสี่ยวซิงก็ออกมาหมดแล้ว มู่จิ่วที่ตามมาทีหลังรีบเอ่ย “พวกเจ้ารีบไปเตรียมเสื้อผ้าตัวในตัวนอกและผ้าเช็ดหน้าสะอาดส่งไปห้องซื่ออิน! จากนั้นดูว่าในบ้านมีหลินจือหรือไม่ หากมีให้ตุ๋นน้ำแกง หากไม่มีก็รีบไปซื้อ เหลียงจีกลับมาแล้ว!”
เสี่ยวซิงกับซ่างกวนสุ่นยังไม่ทันได้ตกใจ ก็รีบแยกกันไปทำธุระทันที
รุ่ยเจี๋ยเป็นห่วงอาฝูอย่างมาก เดินตามเขาเข้ามาในห้องเช่นกัน
ปกติขอเพียงไม่ถึงขั้นจิตวิญญาณแตกซ่าน ลู่ยาล้วนมีหนทางช่วย เรื่องนี้ทุกคนจึงไม่กังวล แม้สถานการณ์ของเหลียงจีไม่ค่อยดี หลังจากกินยาไปสองเม็ด ลมหายใจก็ค่อยๆ ขยับ ลู่ยาร่ายคาถาสงบใจให้นางแล้วค่อยส่งสัญญาณให้ทุกคนตามเขาออกมา
อาฝูนั่งมองแม่ตรงพื้นข้างหัวเตียงอย่างว่าง่าย ไม่กล้าจากไปแม้แต่น้อย
ซื่ออินเรียกเขาก็ไม่ขยับ จึงทำได้เพียงบอกเขาให้ดูแลอย่างดี
ความรู้สึกในตอนนี้ช่างยากจะบรรยาย สำหรับคนรักกัน แยกจากกันมาห้าร้อยปีไม่นับว่าสั้น เขาหลั่งน้ำตาออกมาหลายรอบที่ใต้ต้นท้อ จากนั้นหันมามองแม่ลูกที่นอกหน้าต่างหลายรอบ สองมือถึงได้กุมหน้าปาดน้ำตาออก ก่อนเดินไปยังห้องลู่ยา คุกเข่าลงตรงหน้าเขา
“เซิ่งจุนมีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงต่อซื่ออิน ทั้งตระกูลซื่ออินชั่วชีวิตนี้ไม่มีวันลืม”
ลู่ยาถือกระดองเต่าเล่นในมือพลางพูด “เรื่องนี้ยังไม่จบ เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป?”
เขาปรับลมหายใจก่อนกล่าว “ข้าตั้งใจว่าจะรอเหลียงจีฟื้นขึ้นมาก่อนค่อยพานางกลับไปแต่งงาน นางคลอดลูกของพวกเราออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องให้ฐานะอย่างเป็นทางการแก่นางก่อน จากนั้นข้าต้องไม่ปล่อยเซวียนหยวนฮุ่ยแน่ หลังจากกลับไปข้าจะส่งทัพไปหนานเซียง ต้องสับเซวียนหยวนฮุ่ยเป็นหมื่นชิ้นให้ได้!”
ลู่ยาไม่ได้พูดสิ่งใด
ซื่ออินมองเขา มู่จิ่วที่เก็บเครื่องเขียนให้เขาอยู่ด้านข้างก็มองเขาเช่นเดียวกัน
“รอเหลียงจีฟื้นมา ถามนางก่อนว่าแท้จริงแล้วเรื่องเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน” ลู่ยาวางกระดองเต่า ลุกขึ้นพูด “เจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนนาง มีความเคลื่อนไหวอะไรค่อยมาบอกข้า”
รอจนซื่ออินบอกลาออกไป เขาจึงหยิบหินเจ็ดแสงจากแขนเสื้อออกมาวางไว้บนโต๊ะ ตัวมันยิ่งดูมืดทึบไร้แสงภายใต้แสงโคม
มู่จิ่วเดินเข้ามา “หินนี้เป็นหินที่หลอมวิญญาณร้ายจริงหรือ?”
“นั่นเจ้าคิดไปเอง” ลู่ยากุมหน้าผากมองมัน “ถึงแม้มันใหญ่มากในบรรดาหินเจ็ดแสง เหมาะที่สุดในการหลอมวิญญาณร้าย แต่ข้ากลับไม่คิดว่าเซวียนหยวนฮุ่ยจะทิ้งหินที่ใช้หลอมวิญญาณร้ายไว้ง่ายๆ เขามีแผนการ ข้าเดาว่าหินหลอมวิญญาณร้ายที่แท้จริงยังอยู่ในมือเขา หรือพูดได้ว่าถูกเขานำไปแล้ว”
มู่จิ่วนั่งลงตรงข้ามเขา “พูดแบบนี้แสดงว่าเขาตั้งใจทำให้สับสน?”
“เป็นไปได้ ข้าเพิ่งดูอดีตของนางเล็กน้อยตอนตรวจชีพจร พบว่านางไม่ได้ถูกลักพาตัวไป และก็ไม่เหมือนเดินออกไปเอง” ลู่ยาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไปก่อนพูดต่อ “ปริศนาทั้งหมด ทำได้เพียงรอนางฟื้นขึ้นมาตอบ”
ถึงแม้มู่จิ่วตกใจ แต่ก็ทำได้เพียงแบบนี้
คืนนี้เหลียงจีคงนอนหลับได้ไม่เลวนัก ไอเซียนในสวรรค์ก็มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูของนางมาก
ตื่นขึ้นเช้าวันถัดมา เห็นหน้าประตูห้องอาฝูมีหญิงสวมเสื้อเขียวรูปร่างอ้อนแอ้นยืนเหม่อมองดอกไม้บานในลานบ้าน นกที่กำลังร้อง ไอเซียนที่ลอยวน และแสงอาทิตย์ที่แยงตา นางไม่ได้ทาแป้งลงชาด ผมไม่ได้เกล้า เสื้อก็เป็นเสื้อธรรมดาซึ่งไม่นับว่าดีนักที่เสี่ยวซิงซื้อมา แต่ทั้งร่างนางกลับมีความงามที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
…………………………………………………………
บทที่ 269 คนประหลาด (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“อรุณสวัสดิ์” มู่จิ่วเดินเข้าไปทักทายนาง
นางหันมา ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ ก่อนเอ่ย “อรุณสวัสดิ์แม่นาง”
เสียงนี้ไพเราะอย่างมาก เหมือนน้ำพุที่ไหลริน เหมือนนกกระจาบฝนที่ออกจากหุบเขา
เหลียงจีถูกนางมองแบบนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจ กุมใบหน้าพลางถาม “หน้าข้าสกปรกหรือ?”
อากัปกิริยานี้เจือไปด้วยความเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติ นางเป็นแม่ที่มีลูกอายุสามร้อยปีแล้ว กลับยังเหมือนหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือน มู่จิ่วตอบ “ไม่สกปรก แต่สะอาดยิ่งนัก ข้าเพียงคิดไม่ถึงว่าเจ้าเรียบร้อยขนาดนี้ ทำไมถึงเลี้ยงลูกชายที่ทั้งน่ารักและซุกซนขนาดนั้นออกมาได้ ข้ายังเข้าใจว่านิสัยแบบเจ้า เด็กที่เลี้ยงมาควรว่านอนสอนง่ายอย่างรุ่ยเจี๋ยถึงจะถูก”
เด็กสองคนที่กำลังฝึกลมปราณอยู่ด้านหน้าก้อนหินหันหน้ามา
อาฝูวิ่งเข้ามาหาแม่อย่างว่าง่าย มือเท้าเกาะอยู่กับขาเหลียงจี เหลียงจีก็ไม่รำคาญ ยื่นมือไปลูบหลังคอเขาพลางนั่งยองลง
“ตั้งแต่ตอนข้าตั้งครรภ์เด็กคนนี้ เขาก็ไม่เคยสงบเสงี่ยมมาก่อน เหมือนกับพ่อของเขา ขี้เล่นซุกซนเป็นที่สุด มดที่เดินผ่านทางเขาต้องตบ ผีเสื้อที่บินผ่านไปเขาต้องจับ พอดุเขาสักหน่อย เขาก็ยังเอาหัวดุนแขนขาออดอ้อนเจ้า”
“ข้าจนปัญญากับเขา คิดบ่อยครั้งว่าควรจะเข้มงวดกับเขาหน่อยหรือไม่ แต่ตอนไม่ขี้เล่น เขาช่างเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลก ตอนข้าเหม่อลอย เขาก็จะเลียมือเจ้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ออกไปเล่นกลับมาก็จะคาบดอกไม้กลับมาให้เจ้า ดังนั้นข้าจึงรู้สึกอยู่เสมอว่าเขาต้องเป็นคนที่สวรรค์ส่งมาอยู่เป็นเพื่อนข้าแทนพ่อของเขา”
คำพูดของนางอ่อนโยนเหมือนสายลม มู่จิ่วฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ
แต่มู่จิ่วจินตนาการไม่ได้เลยว่าเหลียงจีทำเรื่องทั้งหมดนั้นได้อย่างไรภายใต้เงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ย นางคิดมาตลอดคืน สุดท้ายก็ไม่มีข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือ
“เหลียงจี พวกเราไปเคารพเซิ่งจุนก่อนเถิด”
ซื่ออินเดินเข้ามาพอดี เขาที่อิ่มเอมไปด้วยความสุขทักทายนาง ความพอใจบนใบหน้ากับความอาลัยอาวรณ์เหมือนได้โลกทั้งใบกลับมาอีกครั้ง
ตั้งแต่เขาออกมาเหลียงจีก็มองไปที่เขา สายตาที่ก่อนหน้านี้เจือไปด้วยความสุภาพและห่างเหินพลันกลายเป็นอ่อนโยน
มู่จิ่วมองเห็นคนคู่นี้ ก็อดอารมณ์ดีขึ้นมาไม่ได้
ในเรือนทางตะวันออก รุ่ยเจี๋ยกำลังชงชาให้ลู่ยา ส่วนลู่ยากำลังพลิกหนังสืออยู่ตรงชั้นหนังสือทางทิศใต้
รอพวกเขาคารวะเสร็จเขาก็พยักหน้า ชี้เก้าอี้ในห้องให้พวกเขานั่ง จากนั้นเดินเข้ามามองสีหน้าของเหลียงจีก่อนพูด “ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรแล้ว แต่ลมปราณเสียหายอย่างหนัก อย่างน้อยต้องฟื้นฟูหลายร้อยปี” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไป เหลือบตามองซื่ออิน “อย่างน้อยในสามร้อยปีนี้ก็ไม่เหมาะจะให้กำเนิดบุตรอีก”
ซื่ออินหน้าแดงทันที เหลียงจีก็กระดากอาย
ลู่ยาทำเป็นมองไม่เห็น ก้มหน้าดื่มชาที่รุ่ยเจี๋ยชงให้ จากนั้นจึงถาม “พูดมาซิว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น เจ้าถูกเสือลายเหลืองลักพาตัวหรือเจ้าไปหาเขาเอง?”
เหลียงจีได้ยินเรื่องนี้ สีแดงเรื่อบนใบหน้าก็หายไปทันที สูดลมหายใจลึกก่อนกล่าว “ตอบท่านเทพ ข้าไม่ได้ถูกลักพาตัว และก็ไม่ได้ไปหาเซวียนหยวนฮุ่ยด้วยตนเอง”
ลู่ยาขมวดคิ้ว “พูดต่อสิ”
เหลียงจีเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ในตายังมีความกลัว “ยังต้องเล่าจากเมื่อห้าร้อยปีก่อน”
“ตอนนั้นเป็นตอนที่พวกเราใกล้จะแต่งงานกัน ในวังมีเรื่องจุกจิกมากมาย และหลายวันนั้นเป็นช่วงที่ซื่ออินไม่อยู่ที่วังพอดี จำได้ว่าข้าพาหญิงรับใช้ไปท้องพระคลังเพื่อเลือกผ้าต่วนตามปกติ ข้าเลือกไปเลือกไป โคมไฟรอบด้านก็พลันดับลง หญิงรับใช้ไม่รู้ไปไหน ตอนนั้นในท้องพระคลังพลันมีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น!”
“ใคร?” ลู่ยาถาม
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” สีหน้าเหลียงจีซีดขาว ไหล่ทั้งสองห่อเข้ามา นิ้วทั้งสิบที่ประสานกันอยู่บิดม้วนไม่หยุด “จนถึงตอนนี้ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร ตอนข้าเห็นเขาก็ดูปกติไปเสียหมด แต่เพียงเขาจากไปข้าก็จำไม่ได้ เหมือนกับเขาไม่มีหน้าตาอย่างไรอย่างนั้น”
“ตลอดหลายปีมานี้ข้าเจอเขาไม่ต่ำกว่าสิบครั้ง แต่ข้าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับใบหน้าเขาเลย! มีเพียงตอนเห็นหน้าเขาถึงจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นเขา!”
“แบบนั้นเจ้าจำการแต่งตัวของเขาได้หรือไม่?” มู่จิ่วที่เดินเข้ามาพอดีเอ่ยถาม
“สวมเสื้อสีฟ้าครามทั้งตัว ธรรมดาอย่างมาก” เหลียงจีลุกขึ้นมองนางพลางพูด “ที่เหลือก็ไม่มีอะไรอื่นแล้ว การแต่งกายของเขาธรรมดามากนัก เหมือนกับคนของเขา ไม่ว่าเป้าหมายการพูดการกระทำก็ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย!”
มู่จิ่วมองลู่ยาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกที่อวิ๋นฉัวพูดถึงคนที่ทำร้ายเขาก็บรรยายไว้เช่นนี้
ชัดเจนมาก ทั้งสองเป็นคนเดียวกัน
ลู่ยาขมวดคิ้วอยู่สักพัก ก่อนพูด “นี่เป็นหนึ่งในวิชาลวงวิญญาณ คนผู้นี้รู้วิชาสายมารไม่น้อยทีเดียว”
มู่จิ่วเพียงรู้ว่าวิชาลวงวิญญาณของเผ่าจิ้งจอกร้ายกาจอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ก็ใช้เป็น
นางชะงักเล็กน้อย จากนั้นถามเหลียงจีที่ยังคงตกอยู่ในความกลัว “ตอนเจ้าอยู่ในท้องพระคลัง เขาพูดอะไรกับเจ้าบ้างหรือไม่?”
“เขาถามข้าว่าอยากแก้แค้นให้พี่สาวหรือไม่!” เหลียงจีเงยหน้าขึ้นมาทันที เอ่ยทั้งแววตาส่องสว่าง “ตอนนั้นเพราะข้าไม่รู้ที่มาของเขา และกลัวมากเขาที่ผ่านการป้องกันหนาแน่นของอาณาจักรโหย่วเจียงมาได้ อีกอย่างข้าก็เคยชินกับการปรึกษาหารือเรื่องทุกเรื่องกับซื่ออิน ตอนนี้เขาไม่อยู่ ดังนั้นข้าจึงปฏิเสธไป”
“ข้าเชิญให้เขาออกไป ทั้งยังลองเรียกราชาและราชินี แต่ทั้งท้องพระคลังราวกับปิดแน่นด้วยกำแพงเหล็ก เสียงของข้าไม่สามารถออกไปได้เลย เสียงเคลื่อนไหวด้านนอกก็เข้ามาไม่ได้! ข้าเหมือนกับเข้าไปในโลกมืดมิดที่ไม่มีหนทางออก ทำได้เพียงปล่อยให้เขาโน้มน้าว ข้าไม่มีเรี่ยวแรงต่อต้านแม้แต่น้อย!”
กล่าวถึงตรงนี้การพูดของนางก็เร็วขึ้น น้ำเสียงตะกุกตะกักเล็กน้อย เหมือนเพียงแค่หวนคิดถึงก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังจับตามองนางอยู่ใกล้ๆ
ซื่ออินโอบไหล่นางเบาๆ ช่วยนางสงบใจ พลางพูด “บิดาของเหลียงจีเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงของโหย่วเจียง ตั้งแต่เด็กนางกับอู่เจินล้วนได้รับการฝึกวรยุทธ์ ภายหลังเข้ามาในวังโหย่วเจียง นางก็ไม่ได้ละทิ้งวิชา”
“แต่ถึงแม้เป็นแบบนั้น ข้าก็ยังคงทำอะไรเขาไม่ได้!”
เหลียงจีพูดต่อจากเขา “ เขาให้ข้ารับปากเขา ว่าจะช่วยเขาจับตาดูเซวียนหยวนฮุ่ยทำเรื่องหนึ่ง หลังจากสำเร็จแล้วเขาจะให้ข้าสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยล้างแค้น ตอนแรกข้ายังไม่เชื่อ จึงถามเขาว่าทำไมต้องให้ข้าไป? เพราะในเมื่อเขามีความสามารถแบบนี้ ต้องการควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยให้ทำเรื่องอะไรนั้นง่ายดายมาก”
“แต่เขาบอกว่าเขาไม่อยากทำแบบนั้น เพราะตัวเซวียนหยวนฮุ่ยยังมีความทะเยอทะยานของตน เขาไม่เพียงมีใจอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของอาณาจักรโหย่วซยง แต่ยังตั้งใจจะปกครองทั้งเขตทุรกันดารทางเหนือ เขาให้ข้าดูหลักฐานมากมาย ทั้งหมดเป็นบันทึกลับของในวังหนานเซียง! ข้าอยู่ในวังมานาน พอมั่นใจในการแยกแยะบันทึกจริงปลอม บันทึกเหล่านั้นล้วนเป็นกลยุทธ์ที่เซวียนหยวนฮุ่ยวางแผนยึดครองเผ่าต่างๆ ในดินแดนทุรกันดารทางเหนือ!”
“แต่เขาเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าขนาดนั้น เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่ามันเป็นของจริง?” มู่จิ่วพูด
“ข้ายืนยันได้!” เหลียงจีพูด “ตอนนั้นข้าก็คิดเหมือนกัน เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะสร้างมันขึ้นมาเพื่อหลอกข้า? แต่ดูแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้เพื่อหลอกข้า จากนั้นข้าหยดเลือดหัวใจลงไปเพื่อพิสูจน์ต่อหน้าเขา…ท่านคงรู้ พวกเราเผ่าเทพมีพลังบำเพ็ญในระดับหนึ่ง เลือดหัวใจก็มีความสามารถสูงในการสลายอาคมปีศาจ บันทึกนั้นไม่ว่าจะพิสูจน์อย่างไรก็เป็นของจริง”
…………………………
บทที่ 270 คนประหลาด (2)
โดย
Ink Stone_Romance
“แน่นอน ข้าไม่ได้เชื่อเขาจนหมดใจเพราะเหตุนี้ จนกระทั่งภายหลังข้าได้หลักฐานยืนยันจากปากของเซวียนหยวนฮุ่ยเอง ตอนนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าไม่คิดอยากร่วมมือกับเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนพี่สาวตายก็ไม่หวังให้ข้าแก้แค้นแทนนาง หากต้องการสังหารเซวียนหยวนฮุ่ยจริง ข้าก็ไม่ยินยอมถูกใครบีบคั้น ที่สำคัญที่สุดคือซื่ออินไม่อยู่ ข้าไม่คิดจะทิ้งเขาไปเสี่ยงอันตราย”
“เขากลับไม่ทำให้ข้าลำบากใจอีก แต่หลังจากนั้นผ่านไปข้าก็ล้มลงหมดสติ รอจนฟื้นมาอีกที เรื่องราวเหล่านั้นก็เหมือนกับฝันอันเลือนราง บางครั้งขาดตอนบางครั้งต่อเนื่อง แม้แต่ตัวข้าเองยังคิดว่าเป็นความฝัน”
“จากนั้น ยังไม่ทันให้ข้าคิดให้ดีก่อนว่าจะนำเรื่องเหล่านี้ไปบอกราชินีอย่างไร วันถัดมาเขาก็แปลงกายเป็นซื่ออินมาหาข้า ภาพนั้นเหมือนจริงอย่างมาก ข้าเคยเห็นวิชามายาของชิงชิว ลึกลับวิจิตรโดยแท้ แต่วิชามายานั้นไม่เป็นรองชิงชิวเลย ข้าคิดว่าเขาเป็นซื่ออินตัวจริง จึงตามเขาออกไปให้อาหารนกที่ภูเขาด้านหลังตามคำชักชวนของเขา”
“ข้าไม่รู้เลย ตอนนั้นมีเพียงข้าคนเดียวที่เห็นเขา!”
พูดถึงตรงนี้ นางยกกำปั้นขวาที่กำแน่นขึ้นมาตรงหน้า มองจากมุมของมู่จิ่วเห็นเล็บนางจิกเข้าไปในเนื้อจนเลือดไหลออกมา
มู่จิ่วสัมผัสได้ว่าหัวใจนางบีบรัดถึงขีดสุด จึงรีบชงชาให้ รอจนนางฝืนดื่มเข้าไปอึกหนึ่งถึงค่อยถาม “พูดแบบนี้หมายความว่าเจ้าถูกเขาหลอกออกมา?”
“ไม่ผิด!” เหลียงจีตัวสั่น เงยหน้าขึ้นมา “หลังจากออกไปเขายังพูดเรื่องไปเยี่ยมหลุมศพพี่สาวกับข้า ทั้งยังปลูกต้นหางนกยูงไว้ที่นั่นหนึ่งต้น! เพราะต้นหางนกยูงนี้ข้าจึงไม่สงสัยเลยว่าเขาเป็นซื่ออินตัวปลอม ตราบจนลงจากภูเขาไป เขาพลันยืนนิ่งไม่ขยับ ก่อนเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา”
“เขาจับเจ้า?”
“เขาบอกข้าว่าข้าตั้งครรภ์แล้ว!” เหลียงจีพูด น้ำตาไหลรินลงมา “หากข้าไม่ไปกับเขา เขาจะทำให้ข้ากับลูกไม่ได้เจอซื่ออินอีกตลอดไป ข้าไม่รู้ทำไมเขาถึงทำแบบนี้ ทำไมต้องเลือกข้า แต่ตอนนั้นข้าไม่มีหนทางจริงๆ”
ซื่ออินหันหลังไป หมัดหนึ่งพลันชกลงไปบนกำแพง
เหลียงจีเช็ดน้ำตาพลางมองเขา “เขาโน้มน้าวข้า รับประกันว่าไม่เพียงหลังจบเรื่องจะให้ข้าสังหารเซวียนหยวนฮุ่ย แต่ยังรับประกันว่าข้าจะไม่ถูกเซวียนหยวนฮุ่ยล่วงเกิน ข้าครุ่นคิดแล้วไม่มีหนทางหนีจากเงื้อมมือเขา เพื่อลูก ข้าทำได้เพียงรับปากไปก่อน และตามเขาไปหุบเขานั้น”
“แต่ข้าก็เตรียมตัวอย่างดี ข้าซ่อนปิ่นอันหนึ่งไว้ในกำไล หากเซวียนหยวนฮุ่ยแตะต้องข้าจริง ข้าจะเลือกสังหารตนเอง”
“แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือต่อมาหลายร้อยปีเซวียนหยวนฮุ่ยไม่ได้แตะต้องข้า ไม่เพียงเขาไม่เคยยุ่งกับข้า แต่ข้ายังใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ไม่เลว หลังจากคลอดเจ้าขาวน้อย ข้ากลัวพวกเขาจะลงมือกับลูก จึงระแวดระวังอย่างมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำ คนผู้นั้นสร้างเขตพลังให้ลานบ้านข้า เซวียนหยวนฮุ่ยเข้ามาไม่ได้ ข้าดีใจที่ได้รับการปกป้องแบบนี้ แต่อย่างไรข้าก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำแบบนี้ทำไม”
“จนไม่นานมานี้…”
“ไม่นานมานี้ทำไม?” ลู่ยาที่ไม่ได้พูดมานานส่งเสียงมา เขาเปิดฝาครอบถ้วยชาก่อนพูดช้าๆ “ไม่นานมานี้ คือสองปีก่อน?”
“ใช่เจ้าค่ะ!” สายตาเหลียงจีเต็มไปด้วยความยำเกรง “เป็นอย่างที่ท่านเทพพูด ราวสองปีก่อน มีวันหนึ่งเซวียนหยวนฮุ่ยพลันจับข้าไว้ในหุบเขาแล้วคิดจะล่วงเกินข้า! ข้าชักกระบี่ตะโกนใส่เขา หากกล้าหุนหันแตะต้อง ข้าจะเชิญนายท่านออกมาให้ความยุติธรรม! เพราะตอนนั้นฐานะของข้าคือทูตที่คนผู้นั้นส่งมา”
“ฐานะทูตนี้ก็เป็นยันต์ปกป้องชีวิตให้ข้ากับเจ้าขาวน้อยอยู่อย่างสงบภายใต้เงื้อมมือของเซวียนหยวนฮุ่ยได้!”
“แต่เซวียนหยวนฮุ่ยกลับบอกข้า วิญญาณร้ายใกล้หลอมเสร็จแล้ว รอจนวิญญาณร้ายหลอมเสร็จเมื่อใด อาคมปีศาจของเขาก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น ถึงตอนนั้นเขาจะเข้ากุมอำนาจถิ่นทุรกันดานทางเหนือทั้งหมด เผ่าพันธุ์โบราณที่เหลืออยู่ทั้งหมดจะถูกทำลาย ตายจนสิ้น! นอกจากนี้ เขายังบอกข้าว่านายท่านสัญญาว่าจะมอบข้าให้เขาเมื่อเรื่องจบลง!”
“ข้าตะลึงงันทันที! ที่แท้ลางสังหรณ์ของข้าไม่ผิด นี่คือกับดักจริงๆ! ข้าจึงรีบพูดตะล่อมเขา เริ่มหลอกล่อเขา จากนั้นเขาจึงบอกข้าว่าแต่เดิมคนผู้นั้นเลือกข้าเพราะข้ากับเซวียนหยวนฮุ่ยมีความแค้นกัน และเพราะเซวียนหยวนฮุ่ยมากตัณหา หมายตาข้ามานาน ดังนั้นจึงใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อหลอกเขามาหลอมวิญญาณให้!”
“และก่อนหน้านั้น ข้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำอะไรกันอยู่! ข้าเพียงรู้ว่าบ้านพักนั้นทำลายไม่ได้ หากทำลายไปก็หมายความว่าเซวียนหยวนฮุ่ยทำลายข้อตกลงระหว่างพวกเขา
“ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของข้าอันตรายขนาดไหน หลังครุ่นคิดอยู่ทั้งคืน ข้าถึงตัดสินใจส่งเจ้าขาวน้อยออกไปก่อน”
“แต่ข้าไปไม่ได้ เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือข้าไม่ใช่เจ้าขาวน้อย ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็หนีไม่พ้น ข้าใช้เลือดหัวใจครึ่งหนึ่งล้างความจำของลูกและกลิ่นอายข้าบนเสื้อผ้าจนหมดสิ้น เพราะข้ากลัวพวกเขาจะตามเจอจากกลิ่นอายของเจ้าขาวน้อย จากนั้นหาโอกาสใช้เวลาที่ไม่มีคนจับตามองสั้นๆ นำเขาไปซ่อนไว้ใต้ต้นหางนกยูงที่ภูเขาเรือ!”
“ข้าไม่รู้ว่าลูกจะเป็นอย่างไร? แต่ข้ารู้ว่าเขาอาจจะไปตายข้างนอก แต่หากรั้งอยู่ต่อต้องตายแน่นอน!”
“ข้าหวังว่าเขาจะออกจากภูเขาได้และส่งข่าวออกไป! หากสวรรค์ไม่ละทิ้งข้า ซื่ออินต้องหาข้าเจอ!”
“แต่รอจนข้ากลับถึงหุบเขาไม่นาน พวกเขาสัมผัสได้จากชีพจรที่อ่อนแรงของข้าว่าข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไปแล้ว ขณะเดียวกันก็เดาว่าข้าส่งข่าวออกไปแล้วเช่นกัน คนผู้นั้นโกรธอย่างมาก ทำร้ายเซวียนหยวนฮุ่ย เซวียนหยวนฮุ่ยหันมาลงความโกรธกับข้า จับข้าขังไว้ที่ใต้แม่น้ำแห่งความตายนั้น”
เรื่องราวในภายหลังนางพูดอย่างเร็ว แต่เทียบกับเรื่องร้ายในตอนแรกแล้วกลับยังเบากว่า ราวกับนางไม่คำนึงถึงความลำบากที่ตนเองได้รับ ส่งอาฝูออกไป…เจ้าขาวน้อยสำหรับนางแล้วถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
ซื่ออินโอบนาง กลัวและกล่าวโทษตนเอง แต่ที่มีมากกว่าคือความเจ็บปวด
หญิงที่อ่อนแอผู้หนึ่งสามารถปกป้องตนเองกับลูกได้ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนั้น ก็นับว่าไม่ง่ายแล้วกระมัง?
มู่จิ่วกัดฟัน “คนผู้นี้ควรถูกฟ้าดินลงโทษ! กล้านำเด็กมาข่มขู่แม่!”
เหลียงจีได้ยินคำนี้ก็อดไม่ได้ ลุกขึ้นมาจากอกซื่ออินช้าๆ ก่อนขมวดคิ้วพูด “ที่จริงข้ากลับไม่เกลียดเขา”
“เพราะหลังจากที่ข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไปแล้ว สิ่งที่ข้ากังวลที่สุดคือเขาจะสังหารข้าก่อน แต่เขากลับไม่ทำ และยังนำความโกรธไปลงกับเซวียนหยวนฮุ่ย ถึงแม้เขาไม่ได้ห้ามเซวียนหยวนฮุ่ยขังข้า แต่มีวันหนึ่งเขาพลันมาที่ห้องหินข้างล่าง ป้อนยารักษาวิญญาณให้ข้า เพราะตอนนั้นข้าถูกเซวียนหยวนฮุ่ยทำร้ายบาดเจ็บแล้ว”
ทุกคนอดประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
สีหน้าของซื่ออินยิ่งซีดขาว “แบบนั้นเขากับเจ้า…”
เหลียงจีมองเขา “ใจของข้าที่มีต่อเจ้า เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ? เขาไม่มีความคิดอื่นใดกับข้าเลย ข้าก็เหมือนกัน…แม้แต่หน้าเขาข้ายังจำได้ไม่ชัดเจน ข้าจะมีใจเป็นอื่นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้ครอบครัวของข้าลำบากอีก แต่ตอนที่เขาป้อนยาข้า ข้ากลับได้ยินคำพูดหนึ่งของเขาอย่างรางเลือน”
………………………………………………
บทที่ 271 คนประหลาด (3)
โดย
Ink Stone_Romance
“เขาพูดอะไร?”
ซื่ออินกับลู่ยาถามขึ้นพร้อมกัน
เหลียงจีขมวดคิ้วแน่นก่อนตอบ “เขาพูดว่า มีชีวิตอยู่ต่อเถอะ เสือน้อยยังปลอดภัยดีอยู่”
สามคนในห้องนิ่งอึ้ง
“ตอนนั้นน้ำเสียงที่เขาใช้พูดอ่อนโยนมาก คล้ายทอดถอนใจ เหมือนพูดกับตนเอง ฟังอย่างไรก็ฟังไม่ออกถึงความประสงค์ร้าย” เหลียงจีตื่นเต้นอยู่บ้าง “ข้าไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร แต่คำพูดนี้กลับทำให้ข้ามีกำลังใจที่จะยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง หากไม่มียานั้นปกป้องข้าจากความโหดร้ายของเซวียนหยวนฮุ่ย ข้าคงรอไม่ถึงตอนที่พวกเจ้ามา!”
ถึงตอนนี้ทุกคนออกจะตะลึง
คนที่ทั้งหลอกนางและลักพาตัวนางไปห้าร้อยปี สุดท้ายกลับปลอบโยนนาง และยังให้ยาปกป้องวิญญาณแก่นาง! นี่ช่างประหลาดนัก!
คนผู้นั้นกำลังเล่นอะไรกันแน่?
ลู่ยาจ้องตานางอยู่นาน ก่อนละสายตากลับไป
สิ่งที่นางพูดเป็นจริง ไม่ได้โกหกแม้แต่คำเดียว
หากนี่ไม่ใช่คำโกหกก็น่าตกตะลึงแล้ว ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าเสือน้อยยังอยู่ดี แสดงว่าเขารู้ที่อยู่ของอาฝู ในเมื่อรู้ ทำไมเขาถึงไม่มาลักพาตัวกลับไป? ประเด็นคือในเมื่อเขาไม่มีเจตนาร้าย ทำไมต้องควบคุมเซวียนหยวนฮุ่ยให้หลอมวิญญาณร้ายแทนเขา? วิญญาณร้ายนี้ไม่ใช่สิ่งของของทางสายธรรมอะไรเลย
“ตอนเขามาป้อนยาให้เจ้าคือเมื่อใดกัน?” เขาถาม
เหลียงจีคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ประมาณสี่ห้าเดือนก่อนเจ้าค่ะ”
“นั่นมิใช่ตอนที่พวกเราสืบเรื่องคุนหลุนตะวันออกหรือ?” มู่จิ่วต้องทำงาน จึงละเอียดอ่อนกับเรื่องเวลานัก
ลู่ยาพยักหน้า คิดเล็กน้อยแล้วถามอีก “เช่นนั้นวิญญาณร้ายหลอมสำเร็จแล้วหรือ? ตอนพวกเราพบเจ้า ทำไมเจ้าถึงอยู่กับหินหลอมวิญญาณได้?”
“คงเป็นเพราะยังขาดกำลังไฟอยู่บ้าง” เหลียงจีพูด “มิฉะนั้นแล้วเซวียนหยวนฮุ่ยคงไม่มาอีก ตอนนั้นหลังจากพวกเขารู้ว่าข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไป ข้าเข้าใจว่าพวกเขาจะย้ายสถานที่ ทว่าก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น คนผู้นั้นเพียงแค่สร้างปราการเซียนซ่อนบ้านพักนั้นไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าพวกท่านยังมองอาคมปีศาจออก”
“ส่วนทำไมข้าถึงอยู่กับหินหลอมวิญญาณ นั่นไม่ใช่หินหลอมวิญญาณที่แท้จริง แต่เป็นหลุมพรางที่เซวียนหยวนฮุ่ยสร้างไว้ เขาคงไม่รู้มาก่อนว่าคนที่มากับพวกท่านคือสามมหาเทพแห่งสวรรค์อันสูงส่ง ดังนั้นเขาจึงวางแผนใช้วิญญาณร้ายกระตุ้นเหล่ามารใต้ดินยามที่พวกท่านมาหาข้า และใช้มันมาทำลายพวกเราไปพร้อมกัน!”
“แต่ตอนที่เซิ่งจุนพบร่างที่แท้จริงของเขา เขาอับจนหนทางหนีไปอย่างรีบร้อน ดังนั้นจึงไม่ทันลงมือ แต่หินหลอมวิญญาณที่แท้จริงคงถูกเขาเอาไป เพราะเขาเคยพูดว่าจะใช้วิญญาณร้ายนั้นเลื่อนขั้นอาคมปีศาจ”
มู่จิ่วกับลู่ยาสบตากัน ก่อนพยักหน้า
ครั้นมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจเรื่องได้พอสมควรแล้ว ไม่ว่าคนผู้นี้เกี่ยวข้องกับคดีก่อนหน้านี้หรือไม่ ครั้งนี้สืบออกมาแน่ชัดแล้วว่ามีคนแบบนี้อยู่เบื้องหลังจริงและมีเป้าหมายชั่วร้ายบางอย่างแน่
“แต่ข้ายังไม่เข้าใจ ในเมื่อหลอกเจ้าออกจากวังแล้ว ทำไมเขาต้องทำวกวนปลูกต้นหางนกยูงไว้หน้าหลุมศพอู่เจินอีก?” มู่จิ่วกอดอก พูดอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน” เหลียงจีขมวดคิ้ว “พูดถึงตรงนี้ หากไม่ใช่เพราะต้นหางนกยูงต้นนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าพวกท่านจะพบว่ามีสิ่งผิดปกติ”
“ไม่ผิด” มู่จิ่วพยักหน้า “หากพวกเราไม่พบต้นหางนกยูงนั้นคงไม่หยุดอยู่ที่นั่นนาน เมื่อไม่มีต้นไม้ก็ไม่รั้งรอ โอกาสที่ลู่ยาจะตามรอยไปถึงหุบเขานั้นก็น้อยนิด บวกกับที่เจ้าพูดเมื่อครู่ ภายหลังเขายังให้ยาปกป้องร่างกายแก่เจ้า ดูจากเรื่องนี้แล้วเหมือนกับคนผู้นี้ตั้งใจทิ้งเบาะแสของเจ้าไว้ให้ซื่ออิน”
ซื่ออินตกตะลึง
“แต่เขาทำแบบนี้เพื่ออะไร?” มู่จิ่วยิ่งตกอยู่ในความสับสน
ดูจากวิธีที่เขาลงมือ คล้ายจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่หากไม่ใช่คนดี แล้วทำไมเขาต้องช่วยเหลียงจี? ยังบอกนางว่าอาฝูปลอดภัยดี? หรือเขารู้ว่าอาฝูอยู่ไหน? ก็แสดงว่าเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ว่ามู่จิ่วกับลู่ยากำลังสืบเรื่องเขาอยู่? รู้ว่ากำลังสืบหา เขาก็ยังไม่ให้เซวียนหยวนฮุ่ยวางมือ? ทั้งยังสนับสนุนความทะเยอะทะยานในการครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือต่อ?
เป้าหมายของเขาแท้จริงคืออะไร
นางสูดลมหายใจเข้าลึก ยิ่งสงสัยในตัวคนที่ยังไม่เคยเห็นหน้าผู้นี้มากขึ้น
“แบบนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์ไปภูเขาเรือ?” ตอนนี้ลู่ยาถามเหลียงจีอีก
“ข้าเดาได้” เหลียงจีตอบ “ก่อนข้าส่งเจ้าขาวน้อยออกไป ข้าได้ยินพวกเขาพูดว่าหากต้องการครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ต้องตัดชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาต นี่คงเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่คนผู้นั้นให้สัญญาไว้กับเซวียนหยวนฮุ่ย และชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาตก็คือชีพจรวิญญาณของต้าอี้ ข้าคิดว่าหากพวกเขาต้องการลงมือ ช้าเร็วสวรรค์ก็ต้องรู้การเคลื่อนไหว”
“ดังนั้นข้าจึงส่งเจ้าขาวน้อยไปยังภูเขาเรือ โอกาสที่เขาจะพบกับคนของสวรรค์มีสูงมากนัก ดังนั้นข้าถึงได้เลือกฝังของไว้ที่ใต้ต้นหางนกยูง ไม่นึกเลยว่าเขาจะพบฉางเอ๋อร์ที่ภูเขาเรือจริง”
ลู่ยาพยักหน้าเงียบๆ หยักนิ้วทำนาย ก่อนพูด “เรื่องอื่นเอาไว้ก่อน”
“เซวียนหยวนฮุ่ยมีใจอยากครอบครองถิ่นทุรกันดารทางเหนือ การหลบหนีครั้งนี้เกรงว่าต้องมีการเคลื่อนไหวทันที พวกเจ้ายังต้องรีบกลับไปรับมือ ในเมื่อชะตาชีวิตของต้าอี้ถูกแก้ไขแล้ว แบบนั้นต่อให้ชีพจรวิญญาณของภูเขาจิตอสุนีบาตถูกตัดขาดสวรรค์ก็ไม่รู้ พวกเจ้าเอาสิ่งนี้ไป มันสามารถปกป้องวังของพวกเจ้าให้ไร้ภัย แต่หากต้องการปกป้องทั้งเผ่าหรือกระทั่งความสงบสุขของทั้งถิ่นทุรกันดารทางเหนือ ยังต้องให้พวกเจ้าพยายามกันเอง”
พูดจบเขาก็หยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้พวกเขาพลางกล่าว “ติดไว้ที่ทิศเหนือ”
“ผู้น้อยรับคำสั่ง!”
ซื่ออินกับเหลียงจีคุกเข่ารับยันต์ทันที
ลู่ยาพยักหน้าพลางพูด “อาจิ่วต้องสรุปคดี ก่อนไปพวกเจ้าพาอาฝูตามนางไปที่หน่วยสักรอบ ถึงเวลานั้นหากมีเรื่องอะไรก็ส่งข่าวมาได้”
ซื่ออินเหลียงจีคุกเข่าก้มคารวะอีกครั้ง เมื่อลุกขึ้นก็ค้อมตัวให้มู่จิ่ว ก่อนเดินไปทางหน่วยงาน
มู่จิ่วทั้งตื่นเต้นและเจ็บปวดใจ สิ่งที่ตื่นเต้นคือพวกเขาคนรักได้กลับมาครองคู่กัน สิ่งที่เจ็บปวดคือในที่สุดนางกับอาฝูก็ถึงวันต้องจากลา ตลอดทางไปหน่วยนางเดินช้ามาก ปากเรียกอาฝูให้เดินช้าๆ ตลอด ใบหน้าฝืนแสดงว่าดีใจแทนพวกเขา แต่ในใจกลับบีบรัด เจ็บราวกับถูกมีดเชือดเฉือนอยู่
เมื่อมาถึงห้องทำงานของหลิวจวิ้น นางรายงานเรื่องราวกับเขาอย่างเรียบง่าย
เป็นถึงองค์ชายรัชทายาทกับชายาของเผ่าพันธุ์เสือขาว หลิวจวิ้นจึงลุกขึ้นต้อนรับ มู่จิ่วกลับอยู่ที่มุมห้องกอดอาฝูพลางกำชับเขา “กลับไปอย่ามัวแต่ห่วงกินเนื้อ ต้องเรียนรู้จากพ่อแม่และเหล่าอาว่าจะเป็นองค์ชายที่เหมาะสมอย่างไร จำไว้ว่าต้องปกป้องอาณาจักรของเจ้า ต้องกตัญญูต่อปู่ย่า ต้องฝึกฝนอย่างเชื่อฟัง แล้วต้องคิดถึงข้าด้วยนะ!”
คนที่พูดคุยกันไม่อาจไม่มองมาทางมุมห้องอยู่บ่อยครั้ง
อาฝูหดหู่อย่างมากเช่นกัน อุ้งเท้ากอดแขนนางแน่น ดวงตาสีฟ้าหม่นคลอไปด้วยหยาดน้ำ มองแล้วท่าทางเหมือนจะไหลลงมา
หนึ่งคนหนึ่งเสือกระซิบกระซาบกัน มู่จิ่วกอดหัวอาฝูไว้พลางใช้หางตาที่เปียกชื้นถูหน้าผากเขา “จากนี้ไปเจ้าก็ชื่อเจ้าขาวน้อย เจ้าขาวน้อย เจ้าข้าวน้อย รอเจ้าโตแล้วต้องกลับมาหาพวกเรานะ”
………………………………………………
บทที่ 272 เจ้าเบื่อข้า?
โดย
Ink Stone_Romance
หลังออกมาจากหน่วย ซื่ออินกับเหลียงจีก็พาอาฝูกลับถิ่นทุรกันดารทางเหนือ
มู่จิ่วยืนอยู่ตรงนอกประตูสวรรค์แดนใต้อยู่นานถึงค่อยกลับมา
เมื่อกลับมาถึงบ้าน พวกเสี่ยวซิงต่างก็นั่งเหม่ออยู่ในลาน ตรงหน้าวางถาดข้าวและของเล่นของอาฝูไว้ เด็กที่อยู่ด้วยกันมาเกือบสองปีพลันจากไปแบบนี้ ช่างทำให้รู้สึกว่าบ้านว่างเปล่าขึ้นมาเสียจริง
“พวกเราควรดีใจแทนอาฝู ในที่สุดเขาก็เจอพ่อแม่แล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวถูกคนรังแก!” นางเดินไปหอบถาดข้าวและของเล่นขึ้นมา “ข้าช่วยเขาเก็บไว้ก่อน ภายหน้าหากเขาคิดถึงพวกเราแล้วกลับมาเยี่ยมเยือน จะได้ไม่ถึงกับไม่มีของเล่น” นางเชื่อว่าอาฝูต้องกลับมาเยี่ยมนางแน่ เขาจะทำใจทอดทิ้งพวกนางได้อย่างไร
เสี่ยวซิงนั่งเหม่ออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวิ่งตึงตึงเข้าไปในห้องอาฝู กอบเอาหมอนผ้าห่มที่เขานอนออกมา “แบบนั้นข้าช่วยเขาซักผ้าห่มก่อน ถึงตอนนั้นเขากลับมาจะได้มีใช้!”
ตอนแรกที่อาฝูเพิ่งมานางคัดค้านอย่างหนัก แต่ตอนนี้เขาเหมือนกับเนื้อที่งอกขึ้นมาบนร่างนาง ขอแค่เพียงสัมผัสก็ทำไม่ได้แล้ว แต่จนปัญญา คนเขามีพ่อแม่ ความรู้สึกจะลึกซึ้งเพียงใดก็ยังต้องถอยให้กับสายสัมพันธ์ครอบครัว นางเชื่อว่าอาฝูเป็นเสือตัวเดียวในชีวิตนี้ที่นางไม่กลัว
รุ่ยเจี๋ยและซ่างกวนสุ่นก็ตามเข้าไปทำความสะอาดห้องอาฝู จากนั้นลงกลอนห้อง ไม่ให้คนเข้าไปอีก ถึงอย่างไรแต่ละคนมีคนละห้องก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้ในใจยอมรับที่อาฝูจากไป แต่ด้านพฤติกรรมกลับยังไม่เคยชิน
ทุกวันตอนมู่จิ่วไปหน่วยจะรู้สึกว่าถนนกว้างขึ้นมาก แต่ก่อนมีอาฝูไปเป็นเพื่อน ตลอดทางไม่เงียบเหงา มองเขาวิ่งไปวิ่งมา ถึงแม้ปากจะพร่ำบ่นไม่หยุด แต่ในใจกลับเต็มตื้น ตอนนี้เขาไม่อยู่ แม้แต่เดินก็ยังเร็วขึ้นมาก หลิวจวิ้นอยู่ที่ประตูเห็นนางรีบร้อนเข้าหน่วยงานหลายครั้ง ยังพูดอย่างยินดีว่านางพัฒนาแล้ว
ทุกวันตอนเช้าเสี่ยวซิงก็ชินกับการไปเอาเงินที่ทัพทหารสวรรค์ ทุกครั้งเดินไปได้ครึ่งทางถึงเพิ่งนึกออกว่าอาฝูไม่อยู่แล้ว หลังจากกลับมาทำอาหารเช้าเสร็จ ก็จะร้องบอกอาฝูให้ไปเรียกทุกคนมากินข้าว แต่มักจะพบว่าด้านหลังไม่มีเสียงตอบกลับอยู่นาน ถึงได้คิดออกว่าตอนนี้ผู้ที่คอยตอบหายไปแล้ว
เป็นเช่นนี้จนรุ่ยเจี๋ยก็อึดอัดอยู่หลายวัน
แต่อย่าว่ากล่าวพวกเขาเลย แม้แต่ลู่ยาเอง ทุกครั้งที่เห็นรุ่ยเจี๋ยนั่งอยู่คนเดียวบนเบาะรองนั่งก็รู้สึกเหงาขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขารังเกียจการรับศิษย์ ตอนนี้กลับรู้สึกว่ารับศิษย์สักหลายคนก็ไม่ใช่เรื่องแย่
อย่างน้อยต่อไปหากเขามีลูกชายก็มีศิษย์พี่หลายคนปกป้อง ไม่ต้องกังวลใจเท่าไหร่
เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ ถึงแม้ไม่ได้พูดออกไป แต่ก็ชี้แนะรุ่ยเจี๋ยอย่างตั้งใจมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ก่อนนี้รับปากกับมู่หรงเสี่ยนเรื่องรับศิษย์เพราะเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ตอนนี้เพื่อบ่มเพาะสั่งสอนผู้เชี่ยวชาญการเปลี่ยนผ้าอ้อม และเพื่อลูกชายในอนาคตของเขาจะได้รับการดูแลอย่างเอาใจใส่มากขึ้น ไม่มากก็น้อยเขาต้องตั้งใจสักหน่อย สมดั่งว่าความรักของพ่อดุจขุนเขา แน่นอนว่าเพื่อให้มู่จิ่วดูน่าเกรงขามมากขึ้นอีกนิดเวลาออกนอกบ้านด้วย…ทุกวันนี้เห็นนางเข้าๆ ออกๆ คนเดียว ในใจเขาก็รับไม่ได้
เป็นถึงคู่หมั้นของลู่ยา ด้านหลังจะไม่มีแม้แต่พาหนะและผู้ติดตามได้อย่างไร?
ดังนั้นการจากไปของอาฝูครั้งนี้ จึงทำให้แม้แต่การสั่งสอนวิชาเขาก็ตั้งใจขึ้นไม่น้อย
แต่ไม่ว่าตั้งใจมากเพียงใด ก็ยังใช้เวลาของเขาไปไม่เท่าไหร่ในการดูแลศิษย์เพียงคนเดียว
เวลาที่เหลือเขาจึงอยู่เป็นเพื่อนมู่จิ่ว
เขารู้สึกว่าถึงคราวที่พวกเขาจะได้ใช้เวลาด้วยกันแล้ว
“ยากที่จะมีเวลาว่างแบบนี้ มิสู้พวกเราไปเที่ยวที่ไหนสักหลายวัน?” เขาถาม
ออกไปเที่ยวเล่นสักครู่ค่อยกลับมา ไม่แน่ว่าความคิดถึงที่มีต่ออาฝูอาจจางลงไปมาก
มู่จิ่วกวาดตามองเขา ไม่ได้พูดอะไร
สองปีนี้มักจะออกไปข้างนอกบ่อยๆ ยังออกไปไม่พออีก? อีกอย่าง ตอนนี้นางยังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ บอกว่าจะไปก็ไปได้หรือ?
ลู่ยาพูดอีก “แบบนั้นข้าพาเจ้าไปพบเหล่าศิษย์พี่ของข้าที่สวรรค์อันสูงส่ง?”
ถึงแม้มิใช่ว่าต้องไปพบ แต่พานางกลับไปเยาะเย้ยหุนคุนคนโสดนั่นก็ดี ใครใช้ให้ตอนแรกเขาว่าลู่ยาแก่แล้ว?
มู่จิ่วชะงักไป
ตามหลักเหตุผลนางควรไปพบ แต่จุดสำคัญคือนางยังไม่ได้เตรียมตัวเลย ตอนนี้พลังบำเพ็ญนางต่ำเกินไป ต่างจากลู่ยามาก ถึงแม้พวกเขาไม่รู้สึกอะไร แต่ลู่ยาก็จะลำบากใจ และนางอาจประหม่า ไม่ระวังอาจเสียมารยาทเอาได้ อย่างไรนางก็ควรขึ้นเป็นเซียน ใช้ฐานะของเซียนอย่างเป็นทางการไปพบจะเหมาะสมกว่า
“ไม่ก็ให้ชิงหลวนมาร่ายรำให้เจ้าดู?” ลู่ยารู้สึกว่าตนเองหมดมุกเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่รู้ว่าการเอาใจเด็กสาวก็เป็นเรื่องต้องใช้สมองเช่นกัน
“พอเถอะ!” มู่จิ่วเหลือบมองเขา “ทุกครั้งได้ยินเจ้าบอกไปดูการร่ายรำ ข้าก็จินตนาการว่าเจ้าใช้ชีวิตอย่างหรูหรา สำมะเลเทเมาร้องรำทำเพลงอยู่ในวังชิงเสวียนเหมือนกับซางโจ้วหวัง[1] เจ้าพูดมาตรงๆ หญิงนางรำมากขนาดนั้น มีคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหรือไม่?”
ลู่ยารู้สึกว่าโดนดูถูก “ข้าจะมีสัมพันธ์อันดีกับพวกนางได้อย่างไร?”
“แบบนั้นเจ้าเลี้ยงหญิงนางรำไว้มากขนาดนั้นทำไม?”
“ไม่ต้องให้ข้าเลี้ยง เป็นคนรับใช้เก่าแก่คอยดูแลทั้งนั้น” ลู่ยาแก้ตัว “บรรพชนทุกรุ่นของพวกนางล้วนติดตามอาจารย์ข้ามา มีตั้งมากที่ข้าไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร จะอย่างไรพวกนางก็ติดตามพวกข้ามารุ่นต่อรุ่น” ก่อนกล่าวอีก “เจ้าคงไม่ได้หึงแม้แต่พวกนางหรอกนะ? ข้าไม่เคยมองพวกนางเกินเลย”
มู่จิ่วมองค้อนเขา
ไหนเลยจะหึงได้ นางเพียงรู้สึกว่าเขาที่เป็นถึงเทพชั้นสูงผู้หนึ่ง กลับเลี้ยงดูหญิงนางรำไว้ในอาณาเขตเซียนของตน…ชีวิตที่สุขสำราญแบบนี้ หากไม่ได้ยินก็นึกไม่ถึง พอได้ยินก็ตกใจ
“ต้องทำอย่างไรเจ้าถึงจะพอใจ?” ลู่ยาพูดอย่างหมดเปลือก
มู่จิ่วเหลือบมองเขา “มิสู้เจ้าร่ายรำให้ข้าดู?”
ลู่ยาทำหน้าทะมึนถลึงตาใส่นางอยู่นาน ก่อนหมุนตัวออกไปเดินเล่นข้างนอก
มู่จิ่วกลับมีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งอยู่หลายส่วน
อยู่ด้วยกันแบบนี้หลายวัน บรรยากาศในบ้านถึงค่อยๆ ดีขึ้น
งานเลี้ยงลูกท้อของหวังหมู่จัดขึ้นหลังจากนี้สิบวัน มู่จิ่วก็โชคดีได้รับเทียบเชิญ ถึงแม้ได้เพียงนั่งรอบนอกงาน และได้รับเชิญในฐานะผู้ติดตามหลิวจวิ้น แต่ก็นับว่าเท่ากับได้รับเกียรติสูง
นางนำเทียบเชิญกลับมาอวด พวกเสี่ยวซิงมาแย่งกันดู ส่วนลู่ยากลับเฉยๆ
“งานเลี้ยงลูกท้อมีแต่ชายไม่ดี เจ้าเป็นหญิงที่มีสามีแล้วจะไปทำไม?”
“ชายไม่ดีอะไร ซีฟางฝอจู่ ไท่ซ่างเหล่าจวิน ไท่ป๋ายซิงจวินเอย พวกเขาล้วนมาร่วมงานทั้งนั้น ยังมีโพธิสัตว์เหวินซู โพธิสัตว์พู่เสียน โพธิสัตว์กวนอิม โพธิสัตว์ตี้จั้งล้วนมาร่วมงานกันหมด หญิงที่มีสามีแล้วคนนี้อย่างข้านับเป็นอะไรได้ เพียงไปเลื่อมใสรัศมีของเหล่าเทพก็คุ้มค่าแล้ว” มู่จิ่วไม่สนใจใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหึงหวงของเขา พูดพลางหัวเราะร่วน
ลู่ยาเหลือบมองนาง “เจ้าคิดว่าพวกเขาหน้าตาดีกว่าข้าจริงหรือ?”
“ไม่ใช่” มู่จิ่วพูด “แต่ข้าเจอเจ้าทุกวัน รู้สึกว่ามุมมองต่อเทพชั้นสูงนั้นพร่าเลือนไปบ้าง ข้าต้องออกไปเดินดูข้างนอกบ่อยๆ ดูว่าเทพเซียนที่ตำแหน่งต่ำกว่าเจ้าวางท่าอย่างไร และดูว่าเทพเซียนที่หน้าตาไม่เทียบเท่าเจ้ามีวิธีทำเรื่องไม่สบอารมณ์อย่างไร เพื่อใช้เป็นตัวกระตุ้นเรียกความเคารพและเลื่อมใสที่มีต่อเจ้ากลับมา มิฉะนั้นแล้วเจอเจ้าทุกวัน ข้าจะรู้สึกว่าเจ้าธรรมดามาก”
ลู่ยาเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ “เจ้าคงไม่ได้เบื่อข้าเร็วขนาดนี้กระมัง?”
………………………………………………………
[1] ซางโจ้วหวัง หรือ พระเจ้าโจ้วแห่งราชวงศ์ซาง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซาง มีนิสัยเหี้ยมโหด ลุ่มหลงสนมต๋าจี่จนไม่สนใจราชการบ้านเมือง ภายหลังถูกโจวอู่หวังปราบปรามและตั้งราชวงศ์โจวขึ้นแทน
บทที่ 273 ทำไมเป็นเจ้า!
โดย
Ink Stone_Romance
มู่จิ่วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ “พูดยาก”
ลู่ยาอ้าปากงับจมูกนาง จึงได้กำปั้นนางมาสองกำปั้น
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ลู่ยาก็ยังกังวลเรื่องมู่จิ่วไปร่วมงานเลี้ยงลูกท้อนั้นเล็กน้อย
ประเด็นคืองานเลี้ยงลูกท้อของหวังหมู่เหมือนกับงานชุมนุมวีรบุรุษในหกภพ มีเหล่าคนหนุ่มมากความสามารถหน้าตาหล่อเหลาเยอะนัก ถึงแม้ตัวเขาเองมีความมั่นใจในตัวเองยิ่งนัก แต่ก็ยากจะป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน อย่างไรใจหญิงสาวก็ยากแท้หยั่งถึง
เขาจึงควรแสดงความกังวลของเขากับมู่จิ่วอย่างจริงจัง
มู่จิ่วตีหน้าเขาพลางพูด “วางใจเถอะ ข้าแค่หยอกเจ้าเล่น แม้แต่คนแบบอาจาย์ข้าข้ายังไม่หวั่นไหว แล้วจะหวั่นไหวกับคนอื่นได้อย่างไร? สรุปคือชั่วชีวิตนี้ของข้าเกิดก็เป็นคนของเจ้า ตายก็เป็นผีของเจ้า”
ลู่ยาจึงได้วางใจลงบ้าง
แต่ยังกังวลอยู่หลายส่วน เพราะถึงแม้นางไม่ยุ่งกับคนอื่น ก็ไม่แน่ว่าคนอื่นอาจจะมายุ่งกับนาง แบบนั้นผลสุดท้ายไม่เหมือนกันหรือ?
ยังมีอีก อะไรเรียกว่าคนแบบอาจารย์นาง?
พูดถึงหลิวหยาง เขาพลันนึกขึ้นได้เรื่องที่ให้ซื่ออินไปทำที่หงชาง ผลคือเขาไม่ได้อะไรกลับมาเลย
ซื่ออินบอกว่าไม่พบว่าหลิวหยางมีอะไรผิดปกติ ดูแล้วก็เป็นจินเซียนที่บรรลุธรรมผู้หนึ่ง เขาไม่เชื่อนัก ที่จริงเขาดูเก่งกาจมากในใจมู่จิ่ว ถึงแม้บอกได้ว่าเป็นเพราะความเคารพด้วย แต่เขาสามารถสืบหาชาติก่อนของมู่จิ่วและผลออกมาก็ไม่ผิดเพี้ยน เขาทำได้ขนาดนี้แสดงว่าต้องมีส่วนที่ไม่ธรรมดา
คิดแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจไปดูเองดีกว่า
แต่เรื่องนี้ไม่อาจให้มู่จิ่วรู้ ไม่อาจให้นางรู้เด็ดขาดว่าเขาแอบไปสืบเรื่องอาจารย์นาง
วันนี้ตอนเช้ารอนางไปหน่วยงานแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากห้อง พูดกับเสี่ยวซิงช้าๆ ว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่น ไม่ต้องรอข้ากินข้าว”
เสี่ยวซิงกำลังคิดจะไปเดินเล่นกับซ่างกวนสุ่นพอดี จึงไม่ได้คัดค้านใดๆ
ลู่ยาออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ พริบตาเดียวก็ถึงหงชาง
หงชางในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากที่มาครั้งก่อน สงบเงียบเหมือนเดิม พลังวิญญาณเต็มสมบูรณ์ เหล่าสัตว์ปีกปีศาจล้วนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม รอบด้านเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข เพียงแต่เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ต้นไม้บนเขาราวกับถูกย้อมสี ใบไม้แดงเหมือนแสงอรุโณทัย ต้นหญ้ากลายเป็นสีเหลืองแล้ว ผลไม้ป่าบนเขาก็มีมากขึ้น
เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเห็น เขาผนึกตนเองให้กลายเป็นจินเซียนก่อน และใช้พลังของจินเซียนกลายร่างเป็นใบไม้แห้งลอยตามลมขึ้นไปบนภูเขา
ตอนนี้การอำพรางร่างไม่ปลอดภัยเท่าการแปลงกายมา เพราะอำพรางร่างสิ้นเปลืองพลังฤทธิ์กว่าการแปลงกายมากนัก อีกทั้งเวลาอำพรางร่าง แต่ละการเคลื่อนไหวล้วนผลักอากาศด้านหน้า ทว่าแปลงกายนั้นไม่ต้อง รวบรวมพลังเล็กน้อย แปลงกายเป็นรูปธรรม ก็ทำให้เล็ดรอดจากการมองเห็นและได้ยิน ไม่กระทบกับการเคลื่อนไหวของอากาศโดยรอบ
แน่นอน นี่เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรย หากเจอเข้ากับคนแบบตัวเขา โอกาสหลบหนีก็ยังน้อยนิดอยู่ดี
แต่หลิวหยางจะเป็นคนระดับพวกเขาไปได้อย่างไรเล่า?
เขาเข้าไปในเขตพลัง เห็นด้านหน้าเป็นต้นพลับใหญ่ต้นหนึ่งอยู่นอกกำแพงลาน ตอนนี้ลูกพลับแดงเต็มต้นเหมือนโคมมังกรแขวนอยู่บนต้นไม้ สองคนอ้วนเตี้ยที่อ้วนจนแก้มทั้งสองย้อยลงมาแล้วกำลังหอบหายใจเหยียบไหล่ พลางถือลำไม้ไผ่เตรียมปีนขึ้นไปบนกำแพงเพื่อสอยลูกพลับ เขาโยกลำไม้ไผ่ข้ามหัว ลำไม้ไผ่พลิกไปนอกกำแพง คนก็ร่วงลงไปกับพื้น
ลู่ยาเหนื่อยหน่ายอยู่บ้าง เป่าปราณเซียนออกไปช่วยพวกเขาเด็ดสิบกว่าลูกลงพื้น จากนั้นเคลื่อนเข้าประตูต่อ
แต่ละถ้ำพักอาศัยของหงชางส่วนใหญ่ก็เหมือนกับสำนักอื่น โถงอยู่ด้านหน้า ลานอยู่ด้านหลัง ลานใหญ่หน้าประตูสำนักไว้ใช้รวบรวมพล รับแขก หรือจัดการเรื่องภายในสำนัก ด้านหลังเป็นเรือนของผู้อาวุโสแต่ละคนที่ตั้งอยู่แต่ละยอดเขา แต่เพราะหงชางมียอดเขาหลักเพียงหนึ่งเดียว และยอดเขาก็ใหญ่มากพอ ดังนั้นจึงตั้งอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เรือนพักที่อยู่สูงที่สุดดูไปแล้วชัดเจนว่าเป็นระดับชั้นสูง
เขาเคยไปห้องสนครวญมาก่อน พริบตาเดียวเขาก็เจอลานด้านนอกเรือนของหลิวหยาง
ตอนนี้ลมฤดูใบไม้ร่วงกำลังพัดโชย หลิวหยางสวมเสื้อลำลองดูหนังสืออยู่บนตั่ง ในห้องจุดกลิ่นกฤษณา ริมกำแพงมีกิ่งเบญจมาศกำลังออกดอกวางอยู่หลายกิ่ง ใต้หน้าต่างวางพิณโบราณไว้ตัวหนึ่ง นอกหน้าต่างมีเสียงลมพัดป่าไผ่ บนพื้นใบไผ่มีกระเรียนเซียนสองตัวเดินเล่นอยู่ เซียนเต่าที่รับผิดชอบกวาดพื้นกำลังแบกไม้ขนไก่พิงต้นกล้วยงีบหลับ ทั้งในและนอกลานล้วนสงบอย่างมาก
ลู่ยาเข้าไปในประตู มองไปรอบด้านจากในห้อง มองไปที่เท้าหลิวหยาง บนร่างเขา จากนั้นก็ที่ใบหน้า…ไม่อาจไม่ยอมรับได้ ใบหน้านี้ดูดีอย่างแท้จริง คิ้วตาสง่างาม จมูกโด่งเป็นสัน ถึงแม้ริมฝีปากทั้งสองบาง กลับไม่แสดงความเด็ดขาดแม้แต่น้อย ใบหน้าด้านข้างดูไปแล้วค่อนข้างทรงภูมิอ่อนโยน…
ในใจเขารู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าอาจิ่วอยู่กับชายคนนี้ถึงสองพันปี
สองพันปีเชียว
เขาสะกดกลั้นอารมณ์ สัมผัสชีพอีกฝ่ายอย่างละเอียด
ชีพจรสงบมาก ในเบื้องต้นพลังบำเพ็ญลึกล้ำยิ่งนัก พลังวิญญาณก็ดี
แต่เพราะยังไม่กล้าปล่อยพลังของเขาออกไป ดังนั้นจึงดูไม่ออกถึงแก่นแท้
หลิวหยางอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ ไม่รู้สึกถึงลู่ยา ดวงตาทั้งสองของหลิวหลางมองหน้าหนังสือ ไม่ขยับอยู่นาน ทันใดนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมองไปนอกหน้าต่าง จากนั้นหยิบกระดองเต่าขึ้นมาสองชิ้น ก่อนทำนายบนโต๊ะ
ลู่ยาไม่รู้ว่าเขากำลังทำนายอะไร บนใบหน้าก็ดูไม่ออก
แต่จับตามองเขาไปแบบนี้ กลับพลันรู้สึกว่าเงาร่างนี้คุ้นเคยนัก…
“อาจารย์ จื่อเย่าเจินเหรินแห่งภูเขาหลิวซุนมาเยี่ยมขอรับ”
ตอนนี้ที่หน้าประตูพลันมีเสียงแจ้งของมู่หัวลอยเข้ามา
หลิวหยางรับคำ สายตายังจับจ้องอยู่บนผังดวงชะตาอยู่ชั่วครู่ เขาเก็บกระดองเต่าก่อนยืนขึ้น สะบัดเสื้อเดินออกไป
ครั้นถึงปากประตูเขาพลันพูด “ปิดหน้าต่างเสีย ลมพัดแล้ว ระวังพัดฝุ่นเข้ามา”
มู่หัวตอบรับ สั่งการเซียนเต่าตรงระเบียงทางเดินให้ปิดประตูและเดินไปตรงระเบียงทางเดิน
ตอนนี้ลู่ยายังยืนอยู่ในมุมชั่วคราว ตอนนี้หลิวหยางไม่อยู่ เขาสามารถอำพรางร่างได้แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ดูไปแล้วอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีพิเศษอะไร ภูเขานี้ก็ไม่มีอะไรประหลาด อย่างมากก็เพียงกระดูกเซียนปนเปื้อนไปหน่อย หรือมู่จิ่วแค่โอ้อวดไปเท่านั้น ไม่ก็เขาคาดเดามั่วไปเอง?
เซียนเต่าถือไม้ขนไก่เดินเข้ามา
ลู่ยาเดินเล่นอยู่ในห้องราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น มองไปทางนี้มองไปทางนั้น
ในห้องเก็บกวาดได้อย่างสะอาด เทียบกับวังชิงเสวียนของเขาแล้วยังสะอาดกว่าสามส่วน บนกำแพงแขวนภาพอักษร บนโต๊ะวางเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ ของที่นับได้ว่าโบราณก็ไม่มี เซียนเต่ากวาดเสร็จก็ออกไป เขามองไปรอบด้าน กำลังคิดว่าจะไปดูหลิวหยางที่กำลังรับรองแขกอยู่หรือไม่ สายตาก็ตกไปยังขวดดินเผาเคลือบขวดหนึ่งบนตู้ที่มุมกำแพง จึงเดินเข้าไปทันที
ขวดนี้ขนาดเท่าลูกแตงโม รูปร่างใหญ่ คอเล็ก ปากแคบ ตัวขวดเป็นเนื้อละเอียด บนผิวมีเพียงรอยนิ้วมือเล็กอันหนึ่งใหญ่อันหนึ่ง ลักษณะธรรมดาอย่างมาก
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ยกมือขึ้นกวาดไปบนขวด
ขวดนั้นพลันเปลี่ยนเป็นโปร่งแสง…ไม่ ก็ไม่โปร่งแสงเสียทั้งหมด! เพราะตรงกลางของมันยังซ่อนไม้เท้าเทพหนึ่งด้าม ไม้เท้าเทพพันขึ้นจากไหม และไหมทุกเส้นพันขึ้นมาอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน มองอย่างละเอียดอีกที แต่ละเส้นล้วนมีพลังวิญญาณอยู่ด้วย…
“ใครอยู่ที่นั่น?!”
กำลังพิจารณาอย่างละเอียด ด้านนอกพลันมีเสียงตะโกนเข้ามา จากนั้นหน้าต่างก็เปิดออก เงาสีเทาสายหนึ่งผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วก่อนร่วงลงบนพื้น!
ลู่ยาชักมือกลับทันที จ้องมองสิ่งนั้นบนพื้น จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน ชี้เด็กอายุสิบกว่าขวบเกล้าผมจุกสองข้างที่ลุกขึ้นมาช้าๆ หลุดปากพูดว่า “ทำไมเป็นเจ้า!”
……………………………………………………
บทที่ 274 โชคร้ายที่สุด
โดย
Ink Stone_Romance
จื่อจิ้งกุมก้นก่อนลุกขึ้นมาจากพื้น กำลังคิดจะหาที่ซ่อน ไหนเลยจะรู้ว่าในห้องยังมีคนอยู่ เขาเงยหน้ามองไป มองครั้งนี้ดวงตาเกือบหลุดจากเบ้า “เป็นเจ้า!”
คำพูดอะไรลู่ยาก็ไม่อยากพูดแล้ว หน้าตึงดึงอีกฝ่ายเข้ามาในมือ และยื่นนิ้วทั้งห้าอีกข้างเรียกไฟสมาธิออกมา เตรียมจัดการให้เป็นผุยผง
บนโลกนี้คงไม่มีของหรือเรื่องอะไรที่ทำให้เขาไม่พอใจได้เท่ากับกระดิ่งเวรนี่แล้ว คราวก่อนปล่อยมันไป ครั้งนี้กลับกล้ามาทำเรื่องดีๆ ของเขาเสียอีก อย่าคิดว่าเขาจะปล่อยมันไป!
จื่อจิ้งตกใจ เขาไหนเลยจะคิดว่าเทพผู้ชั่วร้ายอยู่ที่นี่? เห็นลู่ยาตรงเข้ามาหมายจะทำให้ตนเองตายอย่างไม่มีลูกหลานสืบทอด ก็รีบพูด “ข้าบอกท่านไว้นะ ข้าได้รับคำสั่งจากเซิ่งจุนรองมา! หากท่านทำข้าเสียเรื่อง ข้าจะกลับไปฟ้องเรื่องท่าน!”
ลู่ยายิ้มเย็นเผยให้เห็นฟัน “เจ้าคิดว่าข้าจะกลัวหรือ?”
จื่อจิ้งสะอึก ก่อนพูดอีก “แบบนั้นข้าจะไปตีกลองกงกง! จะไปฟ้องกับท่านอาจารย์ผู้ก่อตั้ง!”
“เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปถึงสวรรค์หรือ?” ลู่ยากัดฟันแน่น
ครั้งนี้จื่อจิ้งลนลานจริงๆ แล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรคนผู้นี้ล้วนทำได้หมด รับประกันได้ยากว่าจะไม่ลงมือ!
ไม่ใช่แค่ทำให้เขาล้มหัวคะมำไม่กี่ที ตกหลุมไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองหรือ ทำไมถึงแค้นเคืองจื่อจิ้งไม่เลิก!
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้นเขานอนหลับอยู่ที่วังจิตกระจ่างดีๆ เป็นตัวลู่ยาเองที่มือสั่นทำเขาตกเสียหายแล้วโดนคำสาปจากตัวเขา นี่จะโทษใครได้?
คราวก่อนเกือบเผาเขาจนเป็นเถ้า ยังคิดจะเอาอย่างไรอีก?!
“หาให้ทั่ว ดูว่าใครลอบเข้ามา!”
ตอนนี้ประตูห้องพลันถูกเปิดออก มู่หัวพาศิษย์น้องหลายคนเข้ามา
จื่อจิ้งรีบเกาะแขนลู่ยา “รีบอำพรางข้า! มิฉะนั้นแล้วข้าจะตะโกนออกไปว่าท่านอยู่ที่นี่!”
ลู่ยาถลึงตาใส่เขา อยากซัดมือจัดการเขาให้จบๆ ไป แต่คิดดูแล้วถึงแม้มือเท้าไวขนาดไหน ก็ไม่แน่ว่าอาจมีพลังวิญญาณรั่วไหลออกไป จึงหยุดมือไว้
มู่หัวเป็นซ่านเซียนแล้ว และมีพลังบำเพ็ญล้ำลึก เซียนปีศาจทั่วไปอำพรางร่างย่อมหนีไม่พ้นสายตาเขา แต่ตอนนี้ลู่ยาปลดปล่อยฐานะเทพของตัวเองแล้วอำพรางตัวอยู่ในห้อง ดังนั้นพวกเขาจึงหาไม่เจอแม้แต่น้อย
กลุ่มคนเข้าๆ ออกๆ หลายรอบ ทั้งลองแทงกระบี่สังหารจิตก็ไม่พบอะไรประหลาด จึงพากันถอยออกไป
จื่อจิ้งร่วงลงมาจากร่างลู่ยา ถอนหายใจพลางพูด “ข้าเจอท่านแล้วโชคร้ายที่สุดจริงๆ เลย”
สายตาคมกริบของลู่ยากวาดมองไป จื่อจิ้งโชคร้าย? ยังมีหน้ามาพูด!
“ในเมื่อโชคร้ายขนาดนี้แล้ว แบบนั้นมิสู้โชคร้ายให้พอ!” ลู่ยาคว้าคอเสื้อด้านหลังของเขา ดึงเขาขึ้นมากลางอากาศ พลางเดินออกไปข้างนอกพร้อมเอ่ย “ช่วงนี้ข้าว่างอย่างมาก ไม่รังเกียจที่จะเล่นเป็นเพื่อนเจ้า”
จื่อจิ้งดิ้นรนพลางพูด “ท่านไม่ถามว่าข้ามาทำอะไรก็หาเรื่องข้าแล้ว?”
ลู่ยาหยุดฝีเท้า ถึงได้นึกออกว่าเมื่อครู่เขาเพิ่งพูดอะไรบางอย่าง บอกว่าเขารับคำสั่งของหุนคุนมา จึงถามขึ้น “เจ้ามาทำอะไร?”
จื่อจิงกลอกตา “ท่านพูดก่อนว่าท่านมาทำอะไร?”
ลู่ยายกเขาเดินออกไปข้างนอก
“เอาละ เอาละ ข้าพูด ข้าพูด!” จื่อจิ้งโกรธกริ้วอย่างมาก “ท่านปล่อยข้าลงก่อนสิ!”
ลู่ยาไม่ปล่อย
หน้าตาเขาไม่พอใจ พูดอย่างเกลียดชังว่า “คราวก่อนท่านพาคนที่มีสัมพันธ์อันดีด้วยคนนั้นกลับมา เซิ่งจุนเคยเห็นนาง เพราะท่านบอกว่าพลังในร่างนางบริสุทธิ์ และยังฝึกพลังสายเสวียนหลิง จึงสงสัยว่าอาจารย์ของนางเป็นสายของสำนักพวกเรา”
ลู่ยาเหลือบมองเขา ไม่หวั่นไหวแต่อย่างใด
หุนคุนเป็นต้นกำเนิดพลังสายเสวียนหลิง เหล่าศิษย์ในสำนักถึงตอนนี้มิใช่ว่ามีถึงพันหมื่นแล้วหรือ? ถึงแม้เป็นสำนักสายพลังเสวียนหลิงก็ไม่มีอะไรพิเศษ สิ่งสำคัญคือเขาอยากรู้ว่าหลิวหยางคือใคร?
จื่อจิ้งทำได้เพียงพูด “เซิ่งจุนสงสัยว่าเขาเป็นศิษย์พี่จุ่นถี”
“จุ่นถี?”
ลู่ยาได้ยินสองคำนี้ถึงนับได้ว่ามีปฏิกิริยา
เขาไม่ได้ยินชื่อนี้มากี่ปีแล้ว!
ตั้งแต่เจียอิ่นเต้าเหรินกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นพระพุทธเจ้า รับช่วงต่อเปลี่ยนลัทธิประจิมเป็นศาสนาพุทธแล้ว จากนั้นชื่อเสียงของเจียอิ่นเต้าเหรินก็โด่งดังขึ้นทุกวัน ชื่อของจุ่นถีเต้าเหรินเริ่มไม่มีคนกล่าวถึง กระทั่งหลายหมื่นปีมานี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปไหน มีคนกล่าวว่าเขาตายไปในสงครามกับเจียอิ่นเต้าเหรินครั้งนั้น มีคนกล่าวว่าเขากลับเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด และยังมีคนกล่าวว่าเขาถูกเจียอิ่นเต้าเหรินขังไว้กลางบึงพระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ)
การแก่งแย่งระหว่างพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ว่าใครในสวรรค์อันสูงส่งก็ไม่เหมาะจะช่วย ตอนแรกหุนคุนหว่านล้อมด้วยคำพูด ภายหลังใช้กฎของสำนักตำหนิ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าถูกหรือผิด คนหนึ่งเพื่อรักษาลัทธิ รักษาความหมายของคำสอนแต่เดิมไว้ อีกคนต้องการแนวทางใหม่ เพื่อสร้างตรรกะความคิดของศาสนาพุทธให้ยิ่งสมบูรณ์ จะกดดันผู้ใดก็ใช่ที
จนกระทั่งเกิดสงครามนั้น เจียอิ่นเต้าเหรินชนะ และจุ่นถีกลับไม่รู้หายไปไหน นี่ก็เป็นเหตุผลที่ภายหลังหุนคุนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในสำนักอีก จุ่นถีคือศิษย์คนโตของเขา เจียอิ่นคือศิษย์คนที่สอง สูญเสียใครไปล้วนเหมือนถูกตัดแขนตัดขา และคนที่หายไปกลับเป็นจุ่นถี ถึงกับทำให้จวบจนทุกวันนี้เขาไม่เคยรับศิษย์อย่างเป็นทางการอีก ยินยอมใช้ชีวิตปลูกผักจะดีกว่า
“พวกเจ้าคิดถึงเขาได้อย่างไร?”
“ความจริงสงสัยนานแล้ว!”
จื่อจิ้งเบะปากเหลือบมองเขา ราวกับมองคนโง่ “แต่ก่อนซุนหงอคงเคยเรียนวิชาอยู่ที่เขาฟางชุ่น ตอนนั้นกราบไหว้ผูถีจู่ซือเป็นอาจารย์ เซิ่งจุนสงสัยว่าผูถีจู่ซือเป็นร่างแปลงของจุ่นถีเช่นกัน”
“แต่ตอนเขาไปหา กลับพบว่าภูเขาฟ่างชุ่นไร้ซึ่งผู้คนแล้ว อีกทั้งภูเขาฟ่างชุ่นก็ห่างจากที่นี่ไม่กี่ร้อยลี้ หลิวหยางคนนี้ปิดซ่อนได้มิดชิดแบบนี้ ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผูถีหนีจากภูเขาฟ่างชุ่นมาซ่อนตัวที่นี่หรอกหรือ?”
ผูถีก็คือจุ่นถี?
ลู่ยาครุ่นคิด เขาไม่เคยเจอผูถีมาก่อน แต่ในความทรงจำเคยได้ยินหุนคุนพูดถึง
แต่พูดถึงจุ่นถี…เขาพลันนึกถึงไม้เท้าเทพในขวดก่อนหน้านี้ ปีนั้นจุ่นถีตีทงเทียนเจี้ยวจู่ลงไปในขุยหนิว สิ่งที่ใช้คือไม้เท้าเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งที่ถูกผนึกในขวดซึ่งเขาเห็นเมื่อครู่คือไม้เท้าเทพศักดิ์สิทธิ์?
แบบนั้นต้นไม้เจ็ดอัญมณีกับไผ่หกสัมผัสของเขาล่ะ?
“ปีนั้นศิษย์พี่จุ่นถีดีต่อท่านนัก ท่านกลับลืมเขาจนสิ้น!” จื่อจิ้งยิ่งดูถูก
ลู่ยาถลึงตาใส่เขาอีก จากนั้นหมุนตัวเดินไปบนภูเขา
อายุของจุ่นถีกับเขาห่างกันไม่มาก ปีนั้นปฐมวิญญาณเก็บเขาจากดอกบัวได้ก่อน จากนั้นไม่กี่หมื่นปี จุ่นถีที่เป็นวิญญาณก่อนกำเนิดสวรรค์ก็ใช้ร่างเด็กทารกจุติมาขึ้นเขา ตอนนั้นหุนคุนศึกษาบรรลุพอดี ปฐมวิญญาณจึงให้หุนคุนรับเขาเป็นศิษย์ ส่วนตอนนั้นลู่ยาก็เพิ่งบำเพ็ญได้เป็นเด็กคนหนึ่ง
ตอนนั้นบนโลกยังไม่มีคน รอบด้านล้วนเป็นวิญญาณต้นกำเนิดในจักรวาล การเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของปฐมวิญญาณ พวกเขาไม่เพียงมีคนน้อย แต่ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหนก็ล้วนได้รับความเคารพ ด้วยเวลาว่างมีมากนัก จึงค่อยๆ ทำให้ลืมเรื่องรุ่นจนกลายเป็นเพื่อนเล่นกัน ตอนนั้นนิสัยของเขาน่ารัก…ไม่สิ จนถึงตอนนี้นิสัยเขาก็น่ารัก พวกหุนคุนล้วนยอมลงให้เขา ดังนั้นจุ่นถีที่ต่ำกว่าขั้นหนึ่งจึงยิ่งยอมลงให้เขา
เขาเป็นอาจารย์ของอาจิ่วจริงหรือ?
ขณะกำลังสงสัย ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้น ครั้นกลับไปถึงบนภูเขา ทุกอย่างเหมือนดังเก่า
เขาใช้พลังโบกไปยังต้นพลับใหญ่นั้น เห็นเพียงต้นไม้พลันส่องสว่างไปรอบๆ กลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สูงราวจั้ง! ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์แตกออกเป็นเจ็ดกิ่ง แต่ละกิ่งเต็มไปด้วยดอกบัวเขียวครามมากมาย บัวแต่ละดอกเคลื่อนไหวไปตามลมเหมือนกังหันลมน้อยๆ…
“ต้นไม้เจ็ดอัญมณี!”
จื่อจิ้งหลุดปากร้องออกมา “เป็นศิษย์พี่จุ่นถีจริงๆ!”
สีหน้าลู่ยาบึ้งตึง เก็บพลังวิญญาณกลับมาก่อนเดินต่อไปยังห้องสนครวญ
……………………………………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น