ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 263-266
ตอนที่ 263 เราคิดถึงเจ้าอยู่เสมอ
ริมพระโอษฐ์ที่เย็นจนแข็งถึงกับบิดเบี้ยวไป ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงจะกลับสู่ปกติ
เขาสมควรจะต้องพิจารณาตนเอง ว่ากล่าวคำหวานได้ไม่กินใจเพียงพอหรือไร ทำไมพอถึงช่วงดีๆ นางถึงคอยแต่จะทำลายบรรยากาศอยู่เรื่อยไป
ลมบนยอดเขายิ่งทียิ่งพัดแรง ไม่รู้ว่าเมียเมียไปเสาะหาเสือหิมะตัวใหญ่มาจากที่ใด มันใช้อุ้งเท้าคีบเอาไว้ ซ้ำยังใช้ปากเลียเจ้าเสือหิมะที่มีขนปุกปุยจนทั่ว
เจ้าเสือหิมะมีขนขาวตลอดร่าง ศีรษะก็ใหญ่โต รูปร่างแต่ละส่วนมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ชัดเจน แต่ดวงตาข้างหนึ่งกลับบอดไป จึงดูคล้ายกับมหาโจรตัวเป็นๆ
ตอนนี้พอมันถูกเมียเมียจับเอาไว้ด้วยอุ้งเท้า ตัวของมันก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระทั่งเคราของมันก็ยังสั่นระริกไม่มีหยุด ขณะที่เมียเมียกำลังจะบี้มันลงไป มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ คำหนึ่ง
“เมี้ยววว” เมียเมียอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที อุ้งเท้าขนาดใหญ่วางอยู่บนเจ้าเสือหิมะจับมันกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด
ฮ่องเต้ทรงทำพระองค์เป็นดั่งบิดาชราผู้หนึ่ง ที่มีสีหน้าปลื้มปริ่ม “เมียเมียเก็บตัวมาตั้งแต่เล็ก ตนเองไม่มีขน ดังนั้นจึงชอบพวกสัตว์เล็กๆ ที่มีขนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกแมว เจ้าแมวขาวตัวใหญ่ตัวนี้ถูกใจมันมากเลย”
ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ เหลือบมองดูเสือหิมะแวบหนึ่ง เอ่อ…ท่านแน่ใจหรือว่านี่คือแมวขาวตัวใหญ่?
เสือหิมะตัวสั่นสะท้านไปหมด พอได้ยินฝ่าบาททรงเรียกขานมันเช่นนี้ ก็อยากจะถอดกรงเล็บทิ้งเสียให้หมด ดูถูกขนาดร่างกายของมันไปแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นเสือของมันก็ยังถูกดูถูก
มันเองก็มีชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปีแล้วนะ มันอาศัยอยู่บนภูเขาได้รับเหยื่อที่มีพลังวิญญาณไปแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มมีพลังและสติปัญญาขึ้นมาอยู่บ้าง นับว่าสามารถใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิได้พอสมควร แต่ตอนนี้กลับถูกมนุษย์เรียกว่าแมวขาวตัวใหญ่?
กรงเล็บของมันกำลังจะกางออกมา เมียเมียก็เตะอย่างหยอกเย้าไปครั้งหนึ่ง ทำเอาเล็บของมันหักจนหมดสิ้น
คราวนี้เสือหิมะขาวจึงเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อขึ้นมา
ฝ่าบาททรงสรวลอย่างนุ่มนวล “ซิงซิง เจ้าดูสิ เมียเมียรักมันจริงๆ”
ลูกเตะเมื่อครู่ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเป็นฝ่ายเจ็บฝ่ามือตนเองแทน แต่นางกลับเห็นสีพระพักตร์ของจีเฉวียนมีรอยแย้มสรวลอบอุ่น ราวกับว่าเขาได้เห็นบุตรของตนเองกระทำเรื่องที่ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาว่า หากว่าจีเฉวียนมีลูกล่ะก็เกรงว่าคงจะเอาอกเอาใจเสียจนลอยขึ้นฟ้าอย่างแน่นอน
แล้วนางก็พาลคิดไปถึงพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังอยู่ในครรภ์ของพระสนมซูคนงาม ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่าหลานชายคนโตผู้นี้ในอนาคตต้องถูกเลี้ยงขึ้นมาท่ามกลางการประคบประหงมเหมือนดั่งโตขึ้นมาจากไหน้ำผึ้งอย่างแน่นอน
พอได้รับคำชมจากจีเฉวียน เมียเมียก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก มันคีบหัวที่มีขนปุกปุยของเจ้าเสือหิมะเอาไว้ ลากมาหาจีเฉวียนพลางส่งเสียงร้องเมียเมีย
หากมิใช่ว่ามันยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องสามารถมองเห็นดวงตาที่โค้งดั่งจันทร์เสี้ยวของมันได้อย่างชัดเจน
“ถ้าชอบก็เอาไปด้วย” จีเฉวียนในตอนนี้ดูไปคล้ายดั้งบิดาผู้เปี่ยมไปด้วยรักและเมตตา [1]
“ลองดูสิว่ายังมีอะไรที่ถูกใจอีกหรือไม่ เอากลับไปให้ซิงซิงสักหลายๆ ตัว เมื่อนางกลับไปที่วังจะได้ไม่เหงา” โปรดปรานสัตว์เลี้ยงก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบฝ่าบาทไม่ทรงลืมเจ้าอ้วนน้อยที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เลยสักครั้ง
สำหรับพระองค์แล้ว เสี่ยวซิงซิงที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เหมาะกับสัตว์ตัวเล็กพวกที่มีขนเยอะๆ
“ไม่ต้องคิดเป็นห่วงหม่อมฉันหรอก จริงๆ นะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ นางมีวิญญาณทมิฬและติ๊งต๊องอยู่แล้ว ไม่คิดจะมี ‘สัตว์ตัวน้อย’ อื่นๆ อีก
เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่งแต่ถึงกับเปิดสวนสัตว์เอาไว้ในวังหลัง เหมาะสมที่ไหนกัน?
“เราคิดถึงและห่วงใยเจ้าอยู่ตลอดเวลา” จีเฉวียนแย้มสรวลเพิ่มขึ้น สายพระเนตรอันอบอุ่นแทบจะทำให้ตู๋กูซิงหลันจมน้ำตายอยู่แล้ว
ส่วนวิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ ก็ใกล้จะอืดตายแล้วเช่นกัน ดูสิว่าเจ้ามนุษย์นี้ทำอะไรลงไป?
ถึงแม้ว่าร่างเดิมของมันจะเป็นหมาป่าดำตัวหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่ามันเป็นหมาป่าโสดอยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันนะ มาทำเช่นนี้เห็นใจมันบ้างหรือไม่?
ฮ่องเต้สุนัขที่เป็นภูเขาน้ำแข็งอันแสนจะสูงส่งนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงการเสแสร้งหรอกหรือ?
ดูวิธีที่เขาใช้จีบตู๋กูซิงหลันสิ เขาทำไร้ยางอายทำอย่างไม่เลือกวิธีการ ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ตู๋กูซิงหลันขนลุกชันจนจะพาลร่วงหมดแล้ว
คำหวานของฮ่องเต้สุนัขบอกว่ามาเป็นต้องมา ทั้งยังมิให้ผู้คนได้ตั้งตัว
นางกระแอมเสียงครั้งหนึ่ง หันเหสายตาไปทางภูเขาเทียนซานที่อยู่ไม่ไกลออกไป
ในตอนนั้นเอง บริเวณเมฆหมอกที่อยู่รอบภูเขาเทียนซานก็มีเงาผู้คนเคลื่อนไหว
ภูเขาเทียนซานเป็นสีดำ กลุ่มเมฆเป็นสีขาว หนึ่งดำหนึ่งขาวก่อให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน
กลางหมู่เมฆ เหล่านักพรตที่ฝึกวิชาเซียนจนถึงระดับเหนือธรรมดา ก็เริ่มเปิดการบุกขึ้นไปบนภูเขา
ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ห่างออกไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่กระจายออกมาเป็นระลอกๆ
เมื่อทะลุผ่านหมู่เมฆไปได้ ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือสายลมกรรโชกแรงที่เหน็บหนาว ราวกับว่าด้านหน้ามีภูเขาน้ำแข็งตั้งอยู่ ลมหนาวเหล่านั้นพัดโหมผ่านภูเขาน้ำแข็งออกมา
“เริ่มกันแล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูความเคลื่อนไหวบนภูเขาเทียนซาน มุมปากก็ขยับขึ้นมา ตอนนี้ แม้แต่ดวงตาของนางก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ
จีเฉวียนเห็นนางยิ้มออกมา ในพระทัยก็เกิดความพึงพอใจ
พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงชายเสื้อของตู๋กูซิงหลัน “ตรงนี้ยังไม่ใช่มุมมองที่ดีเท่าไหร่”
เพียงแค่กระตุกชายเสื้อเบาๆ ก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้ามาในอ้อมพระอุระ
จากนั้นจีเฉวียนก็มีรับสั่งออกมา “เมียเมีย ไปกันเถอะ”
เมียเมียขยับตัวลุกขึ้น ปีกสีดำขนาดใหญ่คู่นั้นกางออก ในขณะเดียวกันเหนือศีรษะของพวกเขาก็มีเงาดำพาดผ่าน
ปีกขนาดใหญ่เมื่อกางออกก็ยาวกว่าสามจั้ง [2] บนปีกยังมีละอองหมอกสีดำปกคลุมบางๆ ให้ความรู้สึกลึกลับที่คล้ายคลึงกับจีเฉวียน
กรงเล็บของเมียเมียกำเจ้าเสือหิมะเอาไว้ มันขยับปีกเบาๆ พอส่งเสียงร้องครั้งหนึ่งก็โผจากยอดเขาบินเข้าไปในชั้นเมฆของภูเขาเทียนซาน
เมื่อไม่ต้องกระโดดแต่อาศัยการโบยบิน เมียเมียที่เดิมทีก็สง่างามมากอยู่แล้วจึงยิ่งดูยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก
สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว ครั้งก่อนที่เคยรู้สึกเช่นนี้ คือยามที่วิญญาณทมิฬพานางพุ่งทะยานตอนที่อยู่ในโลกก่อนโน้น
เสียงลมพัดอู้อยู่ริมหู ขณะเดียวกันก็ดึงเอาความทรงจำในโลกก่อนของนางกลับมาพร้อมกัน
ยามนี้แม้จะมีละอองหิมะมากมายเกาะบนใบหน้านางก็ไม่ได้สนใจ
วิญญาณทมิฬถูไถมือสั้นๆ ของมัน ทั้งเนื้อทั้งตัวระอุอุ่นขึ้นมา
มันสามารถรู้สึกได้ ว่าเบื้องหน้ามีอันตรายรออยู่ ภูเขาเทียนซานสีดำที่ใหญ่โตลูกนี้ก็เป็นเหมือนดั่งดอกฝิ่นขนาดยักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดสำหรับมัน
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย แต่ก็อดจะเข้าใกล้ไม่ได้
บางทีที่นี่อาจจะมีโอกาสยิ่งใหญ่รออยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหนทางกลับไปสู่โลกปัจจุบันโน้นก็เป็นได้?
ผ่านไปเพียงครู่เดียว เมียเมียก็พาพวกนางบินผ่านชั้นเมฆขึ้นมา ยิ่งเข้าใกล้เขาเทียนซาน ทั้งคลื่นพลังหยินที่หนาวเย็นและกระแสจิตวิญญาณก็ยิ่งปะปนกันจนยุ่งเหยิง
เมียเมียไม่ได้พาพวกนางเข้าไปในภูเขาเทียนซาน เพียงแต่หยุดอยู่ในระยะห่างเกือบร้อยเมตร
พวกนางลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ คนที่ด้านล่างก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเหนือชั้นเมฆขึ้นไปมีเงามืดเงาหนึ่งอยู่ด้านบน แต่ไม่สามารถมองให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่
ที่จริงก่อนหน้านี้เพียงครู่ใหญ่ ก็มีเงาสายหนึ่งทะลุชั้นเมฆลงมา พุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของเขาเทียนซาน
เห็นดังนั้นจิตใจของพวกเขาก็พากันเคร่งเครียดขึ้นมา รีบติดตามเงาสายนั้นเข้าไปในเทียนซาน
ก่อนหน้านี้ยังอยู่ห่างออกไป จึงอาจไม่ได้สัมผัสได้ถึงความเข้มข้น ตอนนี้เมื่อขึ้นมาบนเขาเทียนซานแล้ว ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก
กลิ่นอายที่มืดหม่นเกาะกุมจากปลายเท้าซึมเข้าไปในร่าง ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ กลับทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งตัว
การที่พวกเขาป่ายปีนขึ้นมาจากตีนเขาเทียนซาน ที่จริงสูญเสียพลังงานไปมากมายแล้ว
หากเปรียบเทียบกับเหล่าแคว้นใหญ่และเหล่านักพรตที่มีตบะสูง พวกเขานับว่าอ่อนแอกว่ามากจริงๆ ป่ายปีนมาถึงตรงนี้ได้ก็เกือบจะเหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกาะติดเหล่าแคว้นใหญ่ขอปันน้ำแกงบ้างสักคำ ตอนนี้ดูท่าแล้ว แม้แต่น้ำแกงก็ใช่ว่าจะได้ดื่มลงไปง่ายๆ
——
[1] 淋漓尽致 lín lí jìn zhì
[2] 10เมตร
ตอนที่ 264 จับไปทำสัตว์เลี้ยงแสนรัก
ภูเขาแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยอันตราย ยิ่งปีนขึ้นไปก็ยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายถูกสูบออกไปเรื่อยๆ
คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาเป็นผู้มีวรยุทธ์และนักพรต พละกำลังของร่างกายย่อมดีเยี่ยม ที่ผ่านมาล้วนเคยผ่านการปีนภูเขามาไม่น้อย แต่ว่าเมื่อมาถึงที่นี่กลับรู้สึกว่าร่างกายแก่ชราลงไป ปีนขึ้นมายังไม่ทันถึงครึ่งภูเขา ก็พากันหอบหายใจอย่างหนักหน่วงแล้ว
เหล่านักพรตจากแคว้นใหญ่ยังมีสภาพดีกว่าอยู่บ้าง มีบ้างที่ยอดเยี่ยมกว่าก็สามารถเหาะไปในอากาศได้
ยามนั้นยังได้ยินคนพูดอีกว่า กระทั่งนักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานต่างก็พากันมาถึงแล้ว ภูเขาฮว่าชิ่งซานคือที่ใดกัน?
จากคำเล่าลือในแผ่นดินเหล่านักพรตที่สูงส่งเป็นพิเศษล้วนผ่านการฝึกฝนมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซาน
นักพรตที่ฝึกตนอยู่ในที่นั่น เกรงว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นระดับสุดยอดทั้งนั้น หากติดตามพวกเขาอยู่ด้านหลังย่อมต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน
ดูท่าแล้วนักพรตที่เหาะอยู่เหนือเมฆนั้น ก็คงจะมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานด้วยเช่นกัน
ภูเขาเทียนซานดำทะมึนไปทั้งลูก ทั้งยังมีไม้ฤดูหนาวสีดำอยู่มากมาย ไม่รู้ว่ามันเป็นพืชหรืออะไรกันแน่ เพียงแค่สัมผัสโดนก็สร้างความเจ็บปวดจากผิวเนื้อไปจนถึงกระดูก
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะระมัดระวังกันอย่างยิ่งแล้ว แต่ก็ยังมีคนถูกทิ่มแทงไปไม่น้อย
ท่ามกลางหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันมองลงไป ก็เห็นว่าบนยอดสีดำของเขาเทียนซาน มีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
หิมะสีขาวที่ร่วงหล่นจากหมู่เมฆลงไปพอสัมผัสโดนน้ำในทะเลสาบก็ถูกย้อมเป็นสีดำในทันที
หิมะที่อยู่เหนือทะเลสาบกลายเป็นชั้นน้ำแข็งสีดำ
บริเวณรอบๆ ทะเลสาบมีไม้หนามจำนวนนับไม่ถ้วน ไม้หนามเหล่านั้นลำต้นอวบหนา แต่ละต้นมีขนาดไม่เล็กไปกว่าข้อมือของบุรุษฉกรรจ์ ขึ้นรายล้อมอยู่รอบๆ สระสวรรค์จนแน่นขนัดไปหมด
ราวกับว่ากำลังปกป้องไม่ให้สระสวรรค์ถูกรบกวน
เมียเมียไม่กล้าบินต่ำเกินไป มันกระพือปีกอยู่ตลอด อุ้งเท้าหน้าทั้งสองก็จับเจ้าเสือหิมะตัวใหญ่เอาไว้แน่น
เจ้าเสือถูกบีบคอที่เป็นจุดชีวิตเอาไว้ ก็ถึงกับตาเหลือกขาว ใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่ออยู่แล้ว
นี่มันถูกสัตว์อสูรในพันธสัญญาตัวหนึ่งจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักหรือ?
แค่คิดถึงจุดจบ เสือหิมะก็อยากจะน้ำตาไหล
แต่พอมันได้เห็นภาพทิวทัศน์เบื้องล่างแล้ว ที่เมื่อครู่อยากจะร้องไห้ ก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นมา
แม่เสือของลูกเอ๋ย! ทำไมมันถึงต้องถูกจับมาตายที่นี่?
ภูเขาเทียนซานแห่งนี้แม้แต่พวกมันที่เป็นสัตว์อสูรยังไม่กล้าเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ!
“เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว…….” มันรีบส่งเสียงร้องออกมา
เมียเมียก้มหัวลงมามองดูมันแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองดูฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนหลัง ส่งเสียงเมียเรียกเขาครั้งหนึ่ง
บรรยากาศรอบสระสวรรค์แห่งนี้ดูประหลาดเกินไป มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายและไอหยิน ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าที่นี่คือสุสานขนาดใหญ่
เป็นความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นหลุมศพของผู้คนนับพันนับหมื่น
บรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ แม้แต่ตัวมันก็ยังไม่อยากจะเข้าไปใกล้
“ไม่ต้องกลัว” จีเฉวียนยังคงสงบนิ่ง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นเหลือบมองลงไปด้านล่าง
ผิวทะเลสาบมีน้ำแข็งหนาๆ อยู่ชั้นหนึ่ง มองดูสงบเงียบ
นอกจากต้นไม้หนามที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดแล้ว รอบด้านคล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นอันตรายนั้นยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ
ในโลกก่อนโน้นตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเผชิญเหตุการณ์สำคัญๆ มามากมาย สถานที่ที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ ยิ่งเข้าไปใกล้แรงดึงดูดก็จะยิ่งมาก
แม้แต่สิ่งที่สามารถโบยบินในอากาศก็ไม่อาจโผบินขึ้นมาได้
ตอนนี้การบินของเมียเมียยังไม่ได้รับผลกระทบ พวกนางสามารถยืนดูสถานการณ์จากด้านบนได้อย่างปลอดภัย ราวกับว่าทั้งหมดมีแต่ความราบลื่น
ราบลื่นเสียจนทำให้คนไม่สบายใจ
นางยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน มองลงไปอย่างเงียบๆ นอกจากไอหยินและคลื่นจิตวิญญาณแล้ว ก็คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในทะเลทราย เพราะการปรากฏตัวของปีศาจไร้หน้าเหล่านั้น ทำให้นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย แต่ว่าพอมาถึงที่นี่กลับหายวับไปจนหมด
พอคิดถึงเรื่องที่ภูติพฤกษาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่กล้าชะล่าใจ
จนผ่านไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดจึงเห็นว่ามีคนปีนขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว
คนที่นำขึ้นมาก็คือท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉิน อิ๋งฉี
ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือเหล่านักพรตในชุดแบบเดียวกัน
มีนักพรตบางคนที่บนร่างกายถูกอาบสีสันเพิ่มเติม คาดว่าคงจะโดนพวกไม้หนามทำให้บาดเจ็บ ที่เหลือยังคงอยู่ดี
“คุณชาย ทะเลสาบนี้แปลกประหลาดมาก คุณชายโปรดระมัดระวังตัวอยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า” นักพรตจากแคว้นต้าฉินรายล้อมอยู่รอยกายอิ๋งฉี คอยดูแลเขาอยู่ตลอด
ตลอดทางมานี้กลุ่มของพวกเขานำอยู่ด้านหน้าสุด กว่าจะป่ายปีนขึ้นมาได้มิใช่เรื่องง่ายดาย
พอมองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า หัวใจของพวกเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา
คนกลุ่มหนึ่งอยู่เหนือหมู่เมฆ ทะเลสาบทอดตัวอยู่เบื้องหน้า หมอกขาวทะเลสาบดำขลับ ยังมีไม้หนามที่แน่นขนัดรายล้อม ดูยังไงก็ลึกลับไม่ธรรมดา
ใครจะไปรู้ว่าในทะเลสาบสีดำนั่นที่สุดแล้วมีภยันตรายใดรออยู่บ้าง?
อิ๋งฉีจดจ้องไปยังทะเลสาบสีดำ จุดที่เป็นศูนย์กลางของทะเลสาบคล้ายจะมีกระแสน้ำหมุนวน แต่ว่าก่อนหน้านี้แรงดึงดูดที่น่ากลัวของน้ำวนนั้นยังไม่ทันได้หายไปก็ถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน
ในทะเลสาบมีกลิ่นคาวโลหิตอยู่จางๆ แม้ว่าจะถูกน้ำแข็งปกปิดเอาไว้ กลิ่นก็ยังคงทำให้คนรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร
“ไม่มีผู้ใดมาถึงก่อนพวกเรา นี่นับเป็นโอกาสอันดี” อิ๋งฉีพูดพลางก็มองดูเงาที่อยู่บนท้องฟ้าแวบหนึ่ง
จากนั้นก็เห็นเขาล้วงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ครึ่งใบออกมา
แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นนอกจากภาพภูเขาลำธารแล้ว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือภูเขาเทียนซานครึ่งลูก
เขาสะกิดปลายนิ้วให้เป็นแผล หยดเลือดลงไปจากปลายนิ้ว มันไหลกวาดผ่านเบาๆ ลงไปบนแผนที่ขุมทรัพย์ เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางแผนที่ขุมทรัพย์
สุดท้ายแล้วหยดเลือดเล็กๆ นั้นเคลื่อนไปหยุดอยูที่มุมหนึ่งของสระสวรรค์
“สามารถเข้าไปจากจุดนั้นได้” อิ๋งฉีเก็บแผนที่ มองดูสระสวรรค์ตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นก็กำหนดเส้นทางขึ้นมา
เหล่าจอมยุทธ์และนักพรตจากแคว้นฉินต่างรับฟัง มุ่งไปยังจุดที่เขากำหนด
ตลอดทางขึ้นเขามานี้ พวกเขามีอุปกรณ์มาด้วยอย่างครบครัน ราวกับว่ารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมีชั้นน้ำแข็งหนารออยู่ ดังนั้นจึงเตรียมอุปกรณ์ที่สามารถจัดการกับน้ำแข็งได้เป็นจำนวนมาก
ในมุมลับตาอีกด้านหนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวคลี่ยิ้มเย็นออกมา
“ต่างก็ว่ากันว่าอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉินผู้นี้เฉลียวฉลาดปราชญ์เปรื่อง คิดไม่ถึงว่าดูดีแค่หน้าตา แต่คนกลับใช้การไม่ได้” เหยียนเฉียวหลัวเบ้ปาก เก็บสายตากลับมา มองไปยังบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายอีกครั้ง
จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “พวกเขาทุบทำลายน้ำแข็งอย่างสะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้ มิเท่ากับบอกให้สิ่งที่อยู่ในทะเลสาบรู้หรือว่ามีคนคิดจะบุกเข้าไป?”
บุรุษชุดม่วงยืนอยู่ใต้พุ่มต้นไม้หนาม ปลายหนามเส้นหนึ่งเกี่ยวชายเสื้อผ้าของเขา สะกิดเส้นด้ายขึ้นมาเส้นหนึ่ง
เขาเหลือบตาดูแวบหนึ่ง ปลายนิ้วตวัดผ่านไปเบาๆ ต้นไม้หนามที่กีดขวางเขาอยู่เมื่อครู่ก็สลายกลายเป็นละอองขี้เถ้า
ต้มไม้หนามเหล่านี้ยามที่ถูกเผาไหม้ก็ระเหยกลิ่นที่เหมือนกับเนื้อไหม้ออกมา เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ
เพียงแต่ยังไม่ทันได้ยินให้ชัดเจน เสียงกรีดร้องนั่นก็เงียบหายไปเสียก่อน
ในใจของนางพลันตระหนกขึ้นมา คืนนั้นนางและเหยียนหยุนถูกปีศาจไร้หน้ารายล้อมเอาไว้ จากนั้นนางก็สลบไป
โชคดีที่ได้รับการช่วยชีวิตจากคุณชายชุดม่วงผู้นี้ ทั้งยังนำนางมายังภูเขาเทียนซานด้วยกัน ถึงแม้จะรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แค่ใช้เพียงปลายนิ้วก็สามารถแผดเผาต้นไม้หนามเหล่านี้ได้ นับว่าน่าตระหนกอย่างยิ่ง
เพราะว่า…….ต้นไม้พวกนี้สร้างขึ้นจากกระดูกและเลือดเนื้อ
“เจ้าเองก็เป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนในภูเขาฮว่าชิ่งซานมาก่อน ไม่รู้สึกว่า ภูเขาลูกนี้จงใจสร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาหรอกหรือ?” ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง บุรุษชุดม่วงค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ในเมื่อตั้งใจจะล่อลวงเข้ามา หากว่าสิ่งนั้นไม่เคลื่อนไหว ก็แสดงว่ามิได้ตื่นตระหนก”
ตอนที่ 265 เคยเห็นฮ่องเต้ทำตัวออเซาะห...
ใจของเหยียนเฉียวหลัวตื่นตระหนกกว่าเดิม ตลอดทางมานี้นางมิได้ใช้วิชาคาถาใดๆ เลยแท้ๆ แต่ว่าเขากลับรู้ว่านางมาจาภูเขาฮว่าชิ่งซาน?
คนผู้นี้มีวิชาอาคมสูงส่ง แปลกจริงๆ ตอนที่ฝึกฝนอยู่ในเขาฮว่าชิ่งซานทำไมจึงไม่เคยได้พบเขามาก่อน นอกจากเขาฮว่าชิ่งซาน ในแผ่นดินนี้ยังมีที่ใดสามารถฝึกฝนนักพรตขึ้นมาได้อีกหรือ?
นางเหลือบมองดูเขาอีกหลายครั้ง ที่ผ่านมานางเคยแต่หวั่นไหวเพราะความงามของจีเฉวียน
ยามนี้พอได้เห็นบุรุษชุดม่วง หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาเหมือนกัน
ใบหน้าเรียบเนียนดั่งเนื้อหยก ดวงตาเป็นประกายดั่งหยดน้ำ คุณชายที่เสมือนดั่งหยกสลักงดงาม ทั้งโหดเ**้ยมและน่าหลงใหล
คำเหล่านี้คงจะพออธิบายรูปลักษณ์ของเขาได้กระมัง ทั้งๆ ที่มีใบหน้างดงามดุจเทพเซียนเหนือธรรมดา แต่ว่าบรรยากาศรอบตัวเขากลับดำทะมึนและแปลกประหลาด
คล้ายดั่งเป็นพญายมที่เฝ้ารักษาขุมนรก
พญายม…..
ทำไมนางถึงได้คิดถึงคำนี้ขึ้นมาได้กัน?
ตกลงแล้วเขาเป็นผู้ใดกันแน่?
เหยียนเฉียวหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ในสมองที่งุนงงและสับสนคล้ายจะจดจำได้อย่างเลือนลาง นางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้เจอที่ไหนมาก่อน แต่พอจะคิดดูให้ละเอียดก็คิดไม่ออกเสียอย่างงั้น
ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็คือคนที่นางไม่อาจไปหาเรื่องได้นั่นเอง
“คุณชาย แล้วพวกเรา…” ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เหยียนเฉียวหลัวถึงได้เก็บสายตากลับมา นางหันไปเผชิญหน้ากับเขาถามอย่างหยิ่งทนงว่า “ก็จะรออยู่อย่างนี้น่ะหรือ?”
นางรู้ว่า อีกไม่นานจีเฉวียนก็จะมาถึงแล้ว นางรักจีเฉวียนอย่างบ้าคลั่ง คิดไม่ถึงว่าความรักครั้งนี้กลับถูกเขาเหยียบย่ำจนเป็นผงธุลี
นางกับพี่ชายเหยียนหยุนอุตส่าห์ตั้งใจจะร่วมมือกับเขา กลับถูกเขาขุดหลุมพลางจนเกือบต้องทิ้งชีวิตไป นางจะต้องทำให้จีเฉวียนสำนึกเสียใจให้จงได้
สิ่งใดที่นางหมายตาเอาไว้ ชาตินี้ทั้งชาติจะอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เมื่อขึ้นมาถึงภูเขาเทียนซานแห่งนี้แล้ว นางก็ต้องการให้จีเฉวียนคุกเข่าลงต่อหน้านางสารภาพว่าเขาผิดไปแล้ว บอกว่าเขารักคนผิด
“หากว่าเจ้าอยากตาย ตอนนี้ก็สามารถลงไปกับคนของอิ๋งฉีได้เลย”
องค์ชายน้อยประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้หนาม ดวงตาสีดำขลับคล้ายดั่งความลึกลับที่ไร้ก้นบึ้ง เพียงเขาตรัสเสียงเย็นแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้เหยียนเฉียวหลัวขนลุกขนพองขึ้นมา
อย่างน้อยๆ นางก็เป็นถึงองค์หญิงของแว่นแคว้นหนึ่ง เคยได้พบได้เห็นคนที่แปลกประหลาดมามากมาย แต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ
“คุณชายช่วยข้าเอาไว้ แสดงว่าข้าจะต้องมีประโยชน์ต่อคุณชาย” เหยียนเฉียวหลัวพยายามรักษาทีท่าเอาไว้ ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา
“เฉียวหลัวติดค้างหนี้ชีวิตคุณชายครั้งหนึ่ง มิว่าคุณชายจะมีคำสั่งใด เฉียวหลัวก็จะทำตาม”
เหยียนเฉียวหลัวเป็นคนที่ชาญฉลาดมาตลอด นางย่อมเข้าใจดีว่าในโลกนี้มิได้มีขนมเปี๊ยะตกลงมาจากท้องฟ้า บุรุษชุดม่วงผู้นี้ก็ไม่มีทางช่วยชีวิตนางเอาไว้เฉยๆ อย่างแน่นอน
องค์ชายน้อยหันกลับมาทอดพระเนตรมองดูนางแวบหนึ่ง “เจ้าย่อมต้องมีประโยชน์แน่นอน”
……………………………….
สระสวรรค์มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เหล่านักพรตในแคว้นฉินวางกำลังแผนตามจุดบอกใบ้ที่อยู่ในแผนที่ขุมทรัพย์ พวกเขาต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลถึงได้สามารถเจาะช่องลงไปใต้น้ำแข็งจนกลายเป็นหลุมแห่งหนึ่ง
หลุมนี้สามารถให้คนลงไปได้ทีเดียวพร้อมๆ กันสามคน
ชั้นน้ำแข็งของทะเลสาบหนามาก ตรงนี้คือจุดที่เปราะบางที่สุดแล้ว แต่ต้องเจาะลงไปถึงสามฉื่อ [1] ถึงจะสามารถเจาะรูได้หนึ่งรู
เมื่อยืนอยู่ริมช่องน้ำแข็งแล้วมองลงไป ข้างใต้นั้นทุกอย่างมีแต่สีดำสนิท นอกจากน้ำแข็งที่ผิวแล้ว แม้แต่ในน้ำทะเลสาบก็เป็นสีดำ
บนชั้นน้ำแข็งนั้นสงบราบเรียบ แต่น้ำในทะเลสาบใต้ชั้นน้ำแข็งกลับมีคลื่นพลุ่งพล่านอยู่ข้างใต้
เหล่านักพรตต่างรายล้อมอิ๋งฉีที่ยืนอยู่ริมช่องน้ำแข็ง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหนักอึ้ง
“คุณชาย ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง ยังคงรออยู่ที่ด้านบนเถอะ พวกข้าจะลงไปดูลาดเลาข้างล่างเสียก่อน” หัวหน้านักพรตจากแคว้นฉินทักท้วง
“พวกเราได้รับพระบัญชามาจากฝ่าบาท จะต้องปกป้องคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย”
อิ๋งฉีมิได้ตอบ เพียงแต่คุกเข่าลงไปที่ข้างๆ ปากช่องน้ำแข็ง ในมือถือเศษน้ำแข็งเอาไว้ก้อนหนึ่ง เขายื่นคอมองลงไปข้างล่าง
ความเยือกเย็นอย่างที่สุดพวยพุ่งขึ้นมา แค่ยืนอยู่ที่ริมปากช่องน้ำแข็งก็ยังแทบจะทำให้ร่างกายกลายเป็นน้ำแข็งไป หากว่ากระโดดลงไป เกรงว่าเพียงครู่เดียวคนก็คงกลายเป็นแท่งน้ำแข็งเสียแล้ว
“เราผู้เป็นอ๋องจะต้องลงไปเป็นคนแรก” ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยออกมา ก่อนที่จะมายังที่นี่เขาได้ตระเตรียมงานไปมากมาย ผู้ที่สามารถเข้าไปในขุมทรัพย์ได้เป็นคนแรกจึงจะมีคุณสมบัติได้รับโชคลาภมหาศาล
เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นแย่งโอกาสนี้ไป การที่มายังแคว้นเซอปี่ซือรอบนี้ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตก็ต้องเอายาอายุวัฒนะกลับไปให้พระเชษฐาให้ได้
เหล่านักพรตเห็นว่ารั้งเอาไว้ไม่อยู่ ก็ได้แต่ยอมแพ้
อย่าได้เห็นว่าคุณชายฉีผู้นี้ รูปร่างผอมบาง อุปนิสัยนั้นดื้อรั้งอย่างยิ่ง เรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางยอมเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
นิสัยหนักแน่นมั่งคง กระทำเรื่องใดมุ่งมั่นจริงจัง นี่เป็นข้อดีของคุณชายฉี
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายโปรดรับลูกแก้ววารี [2] นี้ไป ข้าจะรอคอยคุณชายอยู่ตลอด ใต้ทะเลสาบมีอันตรายใดบ้างพวกเราไม่อาจรู้ ขอคุณชายโปรดระมัดระวังให้มากเข้าไว้” หัวหน้านักพรตพูดพลางก็ล้วงเอาไข่มุกสีขาวราวหิมะออกมาด้วยความระมัดระวังส่งมอบให้กับอิ๋งฉี
อิ๋งฉีรับไข่มุกมา ก็เห็นว่าไข่มุกสีขาวทอประกายแสงสว่างจางๆ ชั้นหนึ่ง แสงสว่างนั้นห่อหุ้มร่างทั้งหมดของอิ๋งฉีเอาไว้ จากนั้นก็เห็นเขากระโดดลงไปในสระสวรรค์
ยามที่คนดำดิ่งลงไปนั้น ก็ทำให้น้ำกระเพื่อมเป็นระลอก
เหล่านักพรตแห่งแคว้นฉีต่างก็ไม่กล้าชักช้า ส่งคนติดตามอีกนับสิบลงไปด้วย
เหล่านักพรตที่เหลือต่างก็เฝ้าอยู่รอบช่องน้ำแข็ง ไม่เปิดโอกาสให้ขุมอำนาจอื่นได้เข้าไป
เหนือหมู่เมฆขึ้นไปตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน
“คุณชายฉีผู้นี้ ช่างมีความกล้าหาญล้นเหลือเสียจริง” ตู๋กูซิงหลันสีหน้าหนักใจ “ฝ่าบาทและเขาถือเป็นสหายเก่าแก่กัน เห็นคนจะตายจะไม่ช่วยหรือเพคะ?”
สระสวรรค์ดูไปสงบราบเรียบ แต่อันตรายที่อยู่ข้างใต้นั้น แม้แต่นางก็ไม่กล้าละเลยโดยง่าย
จีเฉวียนได้ฟังแล้ว ก็เลือกเอาแต่ประเด็นสำคัญขึ้นมา พระองค์กระตุกชายเสื้อของนางแรงๆ “เสี่ยวซิงซิง นอกจากเราแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าไปห่วงใยบุรุษอื่นอีก”
เมียเมียกระพือปีกส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แสดงว่ามันเห็นด้วย
จากนั้นก็ลากเจ้าเสือหิมะที่ถูกกุมคอหนีบลมหายใจเอาไว้ให้มาเข้าพวกด้วยกัน กรงเล็บของมันบีบหัวของเสือหิมะเอาไว้
เสือหิมะเจ็บปวดจนต้องข่มเขี้ยว รีบร้องเสียงเหมียวออกมาครั้งหนึ่ง
ใช่ ใช่ ใช่ พี่สาวตัวอ้วนคนงาม ควรจะใส่ใจแต่เพียงเจ้านายของลูกพี่เท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันแทบจะกระอักเลือดคั่งออกมา ภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้ทั้งปากและตาของนางชักกระตุก
วิญญาณทมิฬเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคำก็เสี่ยวซิงซิง สองคำก็เสี่ยวซิงซิงเรียกจนมันปวดกระเพาะไปหมดแล้ว
“อิ๋งฉีเป็นคนมีบุญ ชะตาชีวิตยิ่งใหญ่ ไม่ตายหรอก” จีเฉวียนตรัสต่อไป
ว่าแล้วพระองค์ก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกวาดพระเนตรมาทางตู๋กูซิงหลัน “เจ้าให้ยันต์คุ้มภัยไปกับเขาไม่ใช่หรือ? เรายังไม่มีเลย”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ลูกพี่ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านต้องการยันต์คุ้มภัย?
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปเมืองลี่โจว ยังเคยให้เราเลยไม่ใช่หรือ? ที่นี่ก็อันตรายมากนะ เรายังไม่มีเลย?”
จีเฉวียนไม่ยอมปล่อยนาง ดวงเนตรหงส์จดจ้องมองนางจนแทบจะทะลุ
ตู๋กูซิงหลัน “!!!” เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เก็บงำความสามารถได้ลึกล้ำยิ่งนัก
นี่แสดงว่าทุกสิ่งที่นางทำลงไปก่อนหน้านี้ เขาล้วนล่วงรู้ รวมไปถึงเรื่องที่นางส่งยันต์คุ้มภัยไปลอบคุ้มครองเขาด้วย
นางไม่ควรจะคันมือคันไม้ไปยุ่งให้มากความจริงๆ จะต้องเป็นเพราะความห่วงใยอย่างไม่ตั้งใจของนาง ทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้เกิดอบอุ่นใจจนคันคะเยอขึ้นมา
“เรารู้ว่าเราเก่งกาจ แต่ว่าหากมียันต์คุ้มภัยของเสี่ยวซิงซิง เราก็จะไม่มวันพ่ายแพ้” จีเฉวียนยังคงกระตุกชายเสื้อของนางต่อไป แม้แต่น้ำเสียงก็นุ่มนวลลงอีกหลายส่วน
เคยเห็นฮ่องเต้ทำตัวออเซาะหรือไม่?
ถ้าไม่เคยเห็น ตอนนี้ก็ควรล้างตาดูให้ดี
ดูพระพักตร์ที่เป็นดั่งภูเขาน้ำแข็งนั่นสิ ตอนนี้กลับทำหน้าออดอ้อนออเซาะออกมาได้ ทำคนเห็นแล้วจะบ้าตาย
——
[1] ประมาณเกือบ 1เมตร
[2] 避水珠
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: ลูกเต้ทำได้ดีมาก มีการพัฒนา รุกคืบ
(อารมณ์ดี ไรท์ก็ต้องเล่านิทาน ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย)
ลูกแก้ววารี: (避水珠) ลูกแก้วนี้ตามตำนานจีนว่ากันว่า มีฤทธิ์ปกป้องผู้ครอบครองจากสายน้ำทั้งปวง เมื่อเก็บไว้กับตัวก็ทำให้สามารถหายใจหรือเดินทางในน้ำได้อย่างอิสระเหมือนบนบก เปิดทางบนคลื่น ผ่านเข้าไปในวังมังกรได้ เป็นลูกแก้วธาตุน้ำ เกิดจากดวงตาของมังกรวารี
ตอนต่อไป? “แก่ชรากันหมด?”
คำเตือน: โปรดเตรียมชุดดำน้ำและแว่นตาให้พร้อม
ตอนที่ 266 แก่ชรากันหมด?
“เอาไป เอาไป เอาไป ฝ่าบาททรงยอดเยี่ยม ฝ่าบาททรงไร้พ่าย” ตู๋กูซิงหลันรีบหยิบเอายันต์คุ้มภัยแผ่นหนึ่งออกมา ติดเอาไว้บนพระหัตถ์
อิ๋งฉีมีแผ่นหนึ่ง เราก็มีแค่แผ่นเดียวหรือ?” ฝ่าบาททรงกำยันต์แผ่นนั้นเอาไว้ เบ้พระโอษฐ์ สีพระพักตร์บ่งบอกว่าไม่พอพระทัย
ซุนต้มยาเคยบอกเอาไว้ เมื่ออยู่กับสตรีไม่อาจใช้ไม้แข็ง ยามที่สมควรอ่อนก็ต้องอ่อน
ฝ่าบาททรงจดจำอย่างใส่พระทัย
เพราะว่าภรรยาของเขาคือแม่สื่อของทางการ ทั้งยังเคยจับคู่แต่งงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ สำเร็จมาแล้วคู่หนึ่ง
คุณชายที่ชื่อเสียงเน่าเหม็นไปทั่วทั้งถนนผู้หนึ่งหลงรักคุณหนูใหญ่ที่เป็นกุลสตรีมีการศึกษาของจวนราชครู
คุณชายไม่ได้เรื่องผู้นั้นพยายามตามติดจีบนางอย่างยากลำบากถึงสามปีก็ยังไม่ได้ผล คุณหนูใหญ่เกือบจะแต่งให้กับผู้อื่นไปแล้ว โชคดีที่ได้ภรรยาของซุนต้มยาออกศึก เพียงแค่เวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ช่วยให้คุณชายผู้นั้นจีบคุณหนูใหญ่จวนราชครูได้เป็นผลสำเร็จ
หลังแต่งงาน ทั้งสองคนรักใคร่อย่างหวานชื่น เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องดีงามที่เล่ากันไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงให้ความเชื่อถือภรรยาแม่สื่อของซุนต้มยาอย่างยิ่ง
เนื่องเพราะหากเปรียบเทียบกับคุณชายไม่ได้เรื่องผู้นั้น พระองค์ก็เห็นว่าคุณสมบัติของพระองค์ยังล้ำเลิศกว่ามาก
ในเมื่อมีเวลาย่อมไม่กลัวว่าจะเป็นเรื่องยาก ขอเพียงแค่เขายืนหยัดต่อไป หนทางย่อมต้องมีอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าดวงดาวที่มีหัวใจเป็นหินผู้นี้จะไม่หวั่นไหว
ไม่เห็นหรือว่า แค่เขาแกล้งทำเป็นอ่อนลงสักหน่อย นางก็หันมาประคบประหงมเขาแล้ว
ยามนี้ฝ่าบาททรงพระอารมณ์ดีอย่างยิ่ง การมาแคว้นเซอปี่ซือครั้งนี้ แม้จะบอกว่ามาตามหาสมบัติ แต่ที่จริงแล้วเป็นการมาท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำกับซิงซิงต่างหาก
ตอนนี้ช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ยังมากกว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเมื่อตอนอยู่ในวังรวมกันทั้งหมดเสียอีก อีกอย่างนางก็ชักจะมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวบ้างแล้ว
ฝ่าบาททรงพอพระทัยมาก
ตอนที่เห็นเขาทำปากมุ่ยออกมานั้น ตู๋กูซิงหลันก็แทบจะสาปส่งเขาแล้ว
สวรรค์ได้โปรดเถอะ จีเฉวียนกลายเป็นผีดิบหรือยังไง?
นางรีบหยิบยันต์คุ้มภัยออกมาอีกเจ็ดแปดแผ่น ติดลงไปให้เขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
เพราะกลัวว่าจะติดไม่แน่น ก็เลยใช้น้ำลายของตนเองช่วยแปะด้วยอีกแรง เอาให้ติดแน่นทนนาน
ลูกพี่ผู้นี้ไม่อาจเป็นผีดิบไปนะ นางยังหวังให้เขามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่
จีเฉวียนเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ราวกับกลัวว่าตนเองจะเกิดเรื่องจริงๆ อารมณ์ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
ถึงขนาดไม่ใส่พระทัยที่ตู๋กูซิงหลันถุยน้ำลายมาใช้แปะยันต์
พระโอษฐ์บางมีรอยแย้มสรวลจางๆ มุมพระโอษฐ์ก็ขยับยก
พระองค์ทรงทราบดีว่าที่ผ่านมานางเขียมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยันต์สุดรักสุดหวงพวกนี้ ไม่เคยให้กับใครโดยง่าย
ดูสิ ตอนนี้ไม่ต้องพูดซ้ำก็ให้พระองค์มาตั้งมากมาย เกรงว่านอกจากพระองค์แล้วผู้อื่นคงจะไม่มีโอกาสได้รับยันต์คุ้มภัยมากมายถึงเพียงนี้แน่นอน
กระทั่งติดยันต์ลงไปบนก้นจนเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสระสวรรค์
‘ตูม!’
ทันทีที่เสียงระเบิดนั้นดังขึ้นมา พวกคนที่ยังปีนขึ้นมาไม่ถึงยอดภูเขาก็พากันตกตะลึงจนหัวใจกระโดดออกมา
พวกเขารีบเร่งปีนป่ายขึ้นมาบนยอดเขา ตลอดทางมานี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงดังเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งใดออกมาแล้วอย่างแน่นอน
เหล่าคนที่รีบปีนป่ายขึ้นมา ก็พากันไปรายล้อมอยู่รอบๆ ช่องน้ำแข็งตรงมุมตะวันออกเฉียงใต้นั้น
เหล่านักพรตของแคว้นต้าฉินเฝ้าอยู่รอบช่องน้ำแข็ง พวกเขาจึงไม้กล้าเคลื่อนไหวชั่วขณะ
อีกทั้งยังไม่ทราบสถานการณ์ที่ชัดเจน จึงเพียงแต่จับตาดูอยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น
อยู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดออกมา ทำให้เหล่านักพรตเองก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งอีกต่อไป
เสียงระเบิดพึ่งจะขาดหาย ก็มีเสียงระเบิดตามมาอีกครั้งหนึ่ง
“คุณชาย!” เหล่านักพรตแคว้นต้าฉินพากันหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนลงไปในช่องน้ำแข็ง
ข้างใต้นั้นนอกจากน้ำสีดำในทะเลสาบที่เคลื่อนไหวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นสิ่งใดตอบกลับมา
เหล่านักพรตตะโกนเรียกอีกสองครั้ง ก็เห็นว่าแผ่นน้ำแข็งรอบๆ ช่องน้ำแข็งเริมปริแตก “เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…”
เสียงเปรี๊ยะๆ นั้นเหมือนกับเสียงกระจกที่แตกร้าว เริ่มจากใต้ฝ่าเท้ากระจายตัวออกไป
มีช่องน้ำแข็งเป็นจุดศูนย์กลาง แตกร้าวออกไปจนทั่วทั้งทะเลสาบ
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตื่นตระหนก แยกย้ายกันถอยหลังออกไป
แต่พวกเขาออกไปได้ไม่ทันถึงสองก้าว น้ำแข็งหนาใต้ฝ่าเท้าก็แตกออกเสียแล้ว
ได้ยินเสียง ‘โครมคราม’ ผิวน้ำแข็งทั้งหมดก็แตกกระจาย
น้ำสีดำในทะเลสาบซัดกระเซ็นขึ้นมากลืนพวกนักพรตที่ยืนอยู่บนน้ำแข็งลงไปอย่างไร้ความปราณี
เหล่านักพรตของแคว้นต้าฉินย่อมมีผู้ที่มีความสามารถ ก่อนที่จะถูกน้ำดูดกลืนลงไป แต่ละคนก็พกพาลูกแก้ววารีคนละลูก บนร่างเกิดประกายแสงสว่างจางๆ ครอบคลุม ปกป้องพวกเขาจากน้ำสีดำในทะเลสาบ
แต่เหล่าคนจากประเทศเล็กและขุมอำนาจต่างๆ ที่มาเฝ้าดูต่างก็ไม่ได้โชคดีเช่นนี้
กว่าพวกเขาจะปีนขึ้นเขามาได้ก็สูญเสียพละกำลังไปเกินกว่าครึ่ง ตอนนี้ยิ่งไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ทยอยร่วงหล่นลงไปในทะเลสาบ
ความเย็นเสียดกระดูกทะลวงเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูก ผู้คนพากันตะเกียกตะกาย แต่น่าเสียดายยิ่งดิ้นรนร่างกายก็ยิ่งแข็งทื่อ
รอบแรกนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องบอกว่าสระสวรรค์ได้กลืนกินผู้คนสามร้อยกว่าคนลงไปแล้ว
“อ๊าก หน้าของเจ้า ผมของเจ้า!”
คนที่กำลังดิ้นรนอยู่ อยู่ๆ ก็พากันกรีดร้องออกมา
“สวรรค์ ทำไมเจ้าถึงได้แก่ลง แก่เฒ่าลงไป?”
“ข้า…ข้าก็แก่กว่าเดิม!”
พวกเขาส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก กลางสระสวรรค์สีดำ แต่ละคนต่างดิ้นรนตะเกียกตะกาย เส้นผมสีดำกลายเป็นสีขาวโพลน ผิวหนังของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเ**่ยวย่น
ผู้คนทั้งหลายต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกตะลึง
แม้แต่เหล่านักพรตแคว้นฉินเหล่านั้นก็มิได้รอดพ้นจากคำสาปสูบอายุขัย
เพียงแต่ความเร็วในการแก่ชราของพวกเขาช้ากว่าผู้อื่น สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังแก่ชราลงไปเรื่อยๆ
“สิ่งที่อยู่ในทะเลสาปของสระสวรรค์นี้กำลังดูดเอาพลังชีวิตของพวกเราไป”
ยามคับขัน นักพรตจากแคว้นต้าฉินยังคงครองสติเอาไว้ได้
ถึงแม้ว่าพวกเขาเองก็กำลังตกตะลึง แต่ว่าแต่ละคนกำลูกแก้ววารีเอาไว้แน่น ในใจก็พากันเป็นห่วงคุณชายที่กระโดลงไปในทะเลสาป
คุณชายจะต้องเผชิญอันตรายอยู่ใต้น้ำเป็นแน่
ใต้น้ำ อิ๋งฉีและนักพรตต้าฉินทั้งสิบคนถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวน
ใต้ทะเลสาบเป็นความมืดมิดผืนหนึ่ง มืดเสียจนไม่อาจมองเห็นนิ้วมือทั้งห้า
ยังดีที่ในร่างของพวกเขาพกพาไข่มุกราตรี
เพียงแต่ว่าแสงสว่างจากมุกราตรีมีขอบเขตจำกัด เมื่ออยู่ในน้ำก็ยิ่งขมุกขมัว
“คุณชาย เมื่อครู่คล้ายกับว่าพวกเราเจออะไรบางอย่างเข้าแล้ว” เหล่านักพรตรายล้อมอิ๋งฉีอยู่เป็นชั้นๆ แรงกดดันในน้ำรุนแรง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีลูกแก้ววารี ที่สามารถช่วยปกป้องพวกเขาจากน้ำสีดำ แต่ยิ่งพูดจาก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน
ที่สำคัญคือเรี่ยวแรงภายในร่างกายคล้ายถูกบางสิ่งสูบออกไป รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ยิ่งทีก็ยิ่งอ่อนล้า
อิ๋งฉีไม่พูดไม่จา มือหนึ่งล้วงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ครึ่งใบออกมา อีกมือหนึ่งก็ถือไข่มุกราตรีเอาไว้ส่องดูสภาพใต้น้ำด้านล่าง
รอบๆ ตัวพวกเขาคล้ายมีบางสิ่งล่องลอยอยู่ทั่วๆ เมื่อครู่พวกเขาไม่ทันระวังเผลอไปสัมผัสมันเข้า มันแข็งๆ ทั้งยังส่งเสียงระเบิดขึ้นสองครั้ง
พอหันกลับไปดูก็ไม่เจออะไรแล้ว
แต่กลับรู้สึกได้ว่ากระแสน้ำรอบตัวยิ่งทียิ่งไหลเร็วกว่าเดิม แรงกดดันยิ่งทียิ่งเพิ่มขึ้นมา สิ่งที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำยิ่งทีก็ยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขา
อิ๋งฉีใช้ไข่มุกราตรีส่องออกไปเพ่งสายตาไปเบื้องหน้าคิดจะมองดูให้ชัดเจน
พอเพิ่งจะยกมือขึ้นมาเหนือศีรษะ ก็เห็นใบหน้าคนที่เ**่ยวแห้งปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา
ดวงตาที่มีแต่เบ้าตาสีดำลึกโบ๋จดจ้องเขาเอาไว้ ปากก็แสยะยิ้มให้กับเขา
พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะแม้แต่อิ๋งฉีเองก็ยังตกใจจนผวา
พอเขาหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเหล่านักพรตที่อยู่รอยกายหายไปไหนหมดแล้ว ตอนนี้ทุกสิ่งรอบๆ ตัวเหลือแต่ใบหน้าคนที่เ**่ยวย่น
และร่างกายลีบๆ ที่บิดเบี้ยวเท่านั้น
——
คุยกันนิดนึง:
ไรท์: ใครก็ได้ช่วยพาอิ๋งฉีขึ้นไปจากน้ำที แม่ยังไม่อยากให้เขาตาย (แม่ก็จะได้ขึ้นไปด้วย แม่กลัว)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น