ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 263-266

ตอนที่ 263 เราคิดถึงเจ้าอยู่เสมอ

 

ริมพระโอษฐ์ที่เย็นจนแข็งถึงกับบิดเบี้ยวไป ผ่านไปอีกพักใหญ่ถึงจะกลับสู่ปกติ


 


 


เขาสมควรจะต้องพิจารณาตนเอง ว่ากล่าวคำหวานได้ไม่กินใจเพียงพอหรือไร ทำไมพอถึงช่วงดีๆ นางถึงคอยแต่จะทำลายบรรยากาศอยู่เรื่อยไป


 


 


ลมบนยอดเขายิ่งทียิ่งพัดแรง ไม่รู้ว่าเมียเมียไปเสาะหาเสือหิมะตัวใหญ่มาจากที่ใด มันใช้อุ้งเท้าคีบเอาไว้ ซ้ำยังใช้ปากเลียเจ้าเสือหิมะที่มีขนปุกปุยจนทั่ว


 


 


เจ้าเสือหิมะมีขนขาวตลอดร่าง ศีรษะก็ใหญ่โต รูปร่างแต่ละส่วนมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ชัดเจน แต่ดวงตาข้างหนึ่งกลับบอดไป จึงดูคล้ายกับมหาโจรตัวเป็นๆ


 


 


ตอนนี้พอมันถูกเมียเมียจับเอาไว้ด้วยอุ้งเท้า ตัวของมันก็สั่นสะท้านไปทั้งร่าง กระทั่งเคราของมันก็ยังสั่นระริกไม่มีหยุด ขณะที่เมียเมียกำลังจะบี้มันลงไป มันก็ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ คำหนึ่ง


 


 


“เมี้ยววว” เมียเมียอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที อุ้งเท้าขนาดใหญ่วางอยู่บนเจ้าเสือหิมะจับมันกลิ้งไปกลิ้งมาไม่หยุด


 


 


ฮ่องเต้ทรงทำพระองค์เป็นดั่งบิดาชราผู้หนึ่ง ที่มีสีหน้าปลื้มปริ่ม “เมียเมียเก็บตัวมาตั้งแต่เล็ก ตนเองไม่มีขน ดังนั้นจึงชอบพวกสัตว์เล็กๆ ที่มีขนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพวกแมว เจ้าแมวขาวตัวใหญ่ตัวนี้ถูกใจมันมากเลย”


 


 


ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ เหลือบมองดูเสือหิมะแวบหนึ่ง เอ่อ…ท่านแน่ใจหรือว่านี่คือแมวขาวตัวใหญ่?


 


 


เสือหิมะตัวสั่นสะท้านไปหมด พอได้ยินฝ่าบาททรงเรียกขานมันเช่นนี้ ก็อยากจะถอดกรงเล็บทิ้งเสียให้หมด ดูถูกขนาดร่างกายของมันไปแล้วก็แล้วไปเถอะ แต่ตอนนี้แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นเสือของมันก็ยังถูกดูถูก


 


 


มันเองก็มีชีวิตอยู่มาร้อยกว่าปีแล้วนะ มันอาศัยอยู่บนภูเขาได้รับเหยื่อที่มีพลังวิญญาณไปแล้ว ตอนนี้จึงเริ่มมีพลังและสติปัญญาขึ้นมาอยู่บ้าง นับว่าสามารถใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิได้พอสมควร แต่ตอนนี้กลับถูกมนุษย์เรียกว่าแมวขาวตัวใหญ่?


 


 


กรงเล็บของมันกำลังจะกางออกมา เมียเมียก็เตะอย่างหยอกเย้าไปครั้งหนึ่ง ทำเอาเล็บของมันหักจนหมดสิ้น


 


 


คราวนี้เสือหิมะขาวจึงเปลี่ยนเป็นเชื่องเชื่อขึ้นมา


 


 


ฝ่าบาททรงสรวลอย่างนุ่มนวล “ซิงซิง เจ้าดูสิ เมียเมียรักมันจริงๆ”


 


 


ลูกเตะเมื่อครู่ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกเป็นฝ่ายเจ็บฝ่ามือตนเองแทน แต่นางกลับเห็นสีพระพักตร์ของจีเฉวียนมีรอยแย้มสรวลอบอุ่น ราวกับว่าเขาได้เห็นบุตรของตนเองกระทำเรื่องที่ทำให้พระองค์ทรงพระเกษมสำราญขึ้นมา


 


 


ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ นางก็คิดขึ้นมาว่า หากว่าจีเฉวียนมีลูกล่ะก็เกรงว่าคงจะเอาอกเอาใจเสียจนลอยขึ้นฟ้าอย่างแน่นอน


 


 


แล้วนางก็พาลคิดไปถึงพระราชนัดดาองค์โตที่กำลังอยู่ในครรภ์ของพระสนมซูคนงาม ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้เลยว่าหลานชายคนโตผู้นี้ในอนาคตต้องถูกเลี้ยงขึ้นมาท่ามกลางการประคบประหงมเหมือนดั่งโตขึ้นมาจากไหน้ำผึ้งอย่างแน่นอน


 


 


พอได้รับคำชมจากจีเฉวียน เมียเมียก็ยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นไปอีก มันคีบหัวที่มีขนปุกปุยของเจ้าเสือหิมะเอาไว้ ลากมาหาจีเฉวียนพลางส่งเสียงร้องเมียเมีย


 


 


หากมิใช่ว่ามันยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องสามารถมองเห็นดวงตาที่โค้งดั่งจันทร์เสี้ยวของมันได้อย่างชัดเจน


 


 


“ถ้าชอบก็เอาไปด้วย” จีเฉวียนในตอนนี้ดูไปคล้ายดั้งบิดาผู้เปี่ยมไปด้วยรักและเมตตา [1]


 


 


 


 


“ลองดูสิว่ายังมีอะไรที่ถูกใจอีกหรือไม่ เอากลับไปให้ซิงซิงสักหลายๆ ตัว เมื่อนางกลับไปที่วังจะได้ไม่เหงา” โปรดปรานสัตว์เลี้ยงก็ส่วนหนึ่ง แต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบฝ่าบาทไม่ทรงลืมเจ้าอ้วนน้อยที่ยืนอยู่ข้างพระองค์เลยสักครั้ง


 


 


สำหรับพระองค์แล้ว เสี่ยวซิงซิงที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู เหมาะกับสัตว์ตัวเล็กพวกที่มีขนเยอะๆ


 


 


“ไม่ต้องคิดเป็นห่วงหม่อมฉันหรอก จริงๆ นะเพคะ” ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ นางมีวิญญาณทมิฬและติ๊งต๊องอยู่แล้ว ไม่คิดจะมี ‘สัตว์ตัวน้อย’ อื่นๆ อีก


 


 


เป็นถึงไทเฮาของแคว้นหนึ่งแต่ถึงกับเปิดสวนสัตว์เอาไว้ในวังหลัง เหมาะสมที่ไหนกัน?


 


 


“เราคิดถึงและห่วงใยเจ้าอยู่ตลอดเวลา” จีเฉวียนแย้มสรวลเพิ่มขึ้น สายพระเนตรอันอบอุ่นแทบจะทำให้ตู๋กูซิงหลันจมน้ำตายอยู่แล้ว


 


 


ส่วนวิญญาณทมิฬที่อยู่ข้างๆ ก็ใกล้จะอืดตายแล้วเช่นกัน ดูสิว่าเจ้ามนุษย์นี้ทำอะไรลงไป?


 


 


ถึงแม้ว่าร่างเดิมของมันจะเป็นหมาป่าดำตัวหนึ่ง แต่ก็ต้องถือว่ามันเป็นหมาป่าโสดอยู่ตัวคนเดียวเหมือนกันนะ มาทำเช่นนี้เห็นใจมันบ้างหรือไม่?


 


 


ฮ่องเต้สุนัขที่เป็นภูเขาน้ำแข็งอันแสนจะสูงส่งนั้น ที่จริงแล้วเป็นเพียงการเสแสร้งหรอกหรือ?


 


 


ดูวิธีที่เขาใช้จีบตู๋กูซิงหลันสิ เขาทำไร้ยางอายทำอย่างไม่เลือกวิธีการ ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน


 


 


ตู๋กูซิงหลันขนลุกชันจนจะพาลร่วงหมดแล้ว


 


 


คำหวานของฮ่องเต้สุนัขบอกว่ามาเป็นต้องมา ทั้งยังมิให้ผู้คนได้ตั้งตัว


 


 


นางกระแอมเสียงครั้งหนึ่ง หันเหสายตาไปทางภูเขาเทียนซานที่อยู่ไม่ไกลออกไป


 


 


ในตอนนั้นเอง บริเวณเมฆหมอกที่อยู่รอบภูเขาเทียนซานก็มีเงาผู้คนเคลื่อนไหว


 


 


ภูเขาเทียนซานเป็นสีดำ กลุ่มเมฆเป็นสีขาว หนึ่งดำหนึ่งขาวก่อให้เกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน


 


 


กลางหมู่เมฆ เหล่านักพรตที่ฝึกวิชาเซียนจนถึงระดับเหนือธรรมดา ก็เริ่มเปิดการบุกขึ้นไปบนภูเขา


 


 


ถึงแม้ว่าจะยังอยู่ห่างออกไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่กระจายออกมาเป็นระลอกๆ


 


 


เมื่อทะลุผ่านหมู่เมฆไปได้ ที่รออยู่เบื้องหน้าพวกเขาก็คือสายลมกรรโชกแรงที่เหน็บหนาว ราวกับว่าด้านหน้ามีภูเขาน้ำแข็งตั้งอยู่ ลมหนาวเหล่านั้นพัดโหมผ่านภูเขาน้ำแข็งออกมา


 


 


“เริ่มกันแล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูความเคลื่อนไหวบนภูเขาเทียนซาน มุมปากก็ขยับขึ้นมา ตอนนี้ แม้แต่ดวงตาของนางก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นน้อยๆ


 


 


จีเฉวียนเห็นนางยิ้มออกมา ในพระทัยก็เกิดความพึงพอใจ


 


 


พระองค์ยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงชายเสื้อของตู๋กูซิงหลัน “ตรงนี้ยังไม่ใช่มุมมองที่ดีเท่าไหร่”


 


 


เพียงแค่กระตุกชายเสื้อเบาๆ ก็ดึงตู๋กูซิงหลันเข้ามาในอ้อมพระอุระ


 


 


จากนั้นจีเฉวียนก็มีรับสั่งออกมา “เมียเมีย ไปกันเถอะ”


 


 


เมียเมียขยับตัวลุกขึ้น ปีกสีดำขนาดใหญ่คู่นั้นกางออก ในขณะเดียวกันเหนือศีรษะของพวกเขาก็มีเงาดำพาดผ่าน


 


 


ปีกขนาดใหญ่เมื่อกางออกก็ยาวกว่าสามจั้ง [2] บนปีกยังมีละอองหมอกสีดำปกคลุมบางๆ ให้ความรู้สึกลึกลับที่คล้ายคลึงกับจีเฉวียน


 


 


กรงเล็บของเมียเมียกำเจ้าเสือหิมะเอาไว้ มันขยับปีกเบาๆ พอส่งเสียงร้องครั้งหนึ่งก็โผจากยอดเขาบินเข้าไปในชั้นเมฆของภูเขาเทียนซาน


 


 


เมื่อไม่ต้องกระโดดแต่อาศัยการโบยบิน เมียเมียที่เดิมทีก็สง่างามมากอยู่แล้วจึงยิ่งดูยอดเยี่ยมขึ้นไปอีก


 


 


สำหรับตู๋กูซิงหลันแล้ว ครั้งก่อนที่เคยรู้สึกเช่นนี้ คือยามที่วิญญาณทมิฬพานางพุ่งทะยานตอนที่อยู่ในโลกก่อนโน้น


 


 


เสียงลมพัดอู้อยู่ริมหู ขณะเดียวกันก็ดึงเอาความทรงจำในโลกก่อนของนางกลับมาพร้อมกัน


 


 


ยามนี้แม้จะมีละอองหิมะมากมายเกาะบนใบหน้านางก็ไม่ได้สนใจ


 


 


วิญญาณทมิฬถูไถมือสั้นๆ ของมัน ทั้งเนื้อทั้งตัวระอุอุ่นขึ้นมา


 


 


มันสามารถรู้สึกได้ ว่าเบื้องหน้ามีอันตรายรออยู่ ภูเขาเทียนซานสีดำที่ใหญ่โตลูกนี้ก็เป็นเหมือนดั่งดอกฝิ่นขนาดยักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดสำหรับมัน


 


 


ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย แต่ก็อดจะเข้าใกล้ไม่ได้


 


 


บางทีที่นี่อาจจะมีโอกาสยิ่งใหญ่รออยู่ ไม่แน่ว่าอาจจะมีหนทางกลับไปสู่โลกปัจจุบันโน้นก็เป็นได้?


 


 


ผ่านไปเพียงครู่เดียว เมียเมียก็พาพวกนางบินผ่านชั้นเมฆขึ้นมา ยิ่งเข้าใกล้เขาเทียนซาน ทั้งคลื่นพลังหยินที่หนาวเย็นและกระแสจิตวิญญาณก็ยิ่งปะปนกันจนยุ่งเหยิง


 


 


เมียเมียไม่ได้พาพวกนางเข้าไปในภูเขาเทียนซาน เพียงแต่หยุดอยู่ในระยะห่างเกือบร้อยเมตร


 


 


พวกนางลอยอยู่เหนือก้อนเมฆ คนที่ด้านล่างก็รู้สึกเพียงแค่ว่าเหนือชั้นเมฆขึ้นไปมีเงามืดเงาหนึ่งอยู่ด้านบน แต่ไม่สามารถมองให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่


 


 


ที่จริงก่อนหน้านี้เพียงครู่ใหญ่ ก็มีเงาสายหนึ่งทะลุชั้นเมฆลงมา พุ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของเขาเทียนซาน


 


 


เห็นดังนั้นจิตใจของพวกเขาก็พากันเคร่งเครียดขึ้นมา รีบติดตามเงาสายนั้นเข้าไปในเทียนซาน


 


 


ก่อนหน้านี้ยังอยู่ห่างออกไป จึงอาจไม่ได้สัมผัสได้ถึงความเข้มข้น ตอนนี้เมื่อขึ้นมาบนเขาเทียนซานแล้ว ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกถึงแรงกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก


 


 


กลิ่นอายที่มืดหม่นเกาะกุมจากปลายเท้าซึมเข้าไปในร่าง ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ กลับทำให้พวกเขาหนาวยะเยือกเหมือนจะกลายเป็นน้ำแข็งไปทั้งตัว


 


 


การที่พวกเขาป่ายปีนขึ้นมาจากตีนเขาเทียนซาน ที่จริงสูญเสียพลังงานไปมากมายแล้ว


 


 


หากเปรียบเทียบกับเหล่าแคว้นใหญ่และเหล่านักพรตที่มีตบะสูง พวกเขานับว่าอ่อนแอกว่ามากจริงๆ ป่ายปีนมาถึงตรงนี้ได้ก็เกือบจะเหลือแค่ครึ่งชีวิตแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะเกาะติดเหล่าแคว้นใหญ่ขอปันน้ำแกงบ้างสักคำ ตอนนี้ดูท่าแล้ว แม้แต่น้ำแกงก็ใช่ว่าจะได้ดื่มลงไปง่ายๆ


 


 


 


 


 


 


——


 


 


[1] 淋漓尽致 lín lí jìn zhì


 


 


[2] 10เมตร 

 

 


ตอนที่ 264 จับไปทำสัตว์เลี้ยงแสนรัก

 

ภูเขาแห่งนี้เปี่ยมไปด้วยอันตราย ยิ่งปีนขึ้นไปก็ยิ่งรู้สึกว่าพละกำลังในร่างกายถูกสูบออกไปเรื่อยๆ 


 


 


คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเขาเป็นผู้มีวรยุทธ์และนักพรต พละกำลังของร่างกายย่อมดีเยี่ยม ที่ผ่านมาล้วนเคยผ่านการปีนภูเขามาไม่น้อย แต่ว่าเมื่อมาถึงที่นี่กลับรู้สึกว่าร่างกายแก่ชราลงไป ปีนขึ้นมายังไม่ทันถึงครึ่งภูเขา ก็พากันหอบหายใจอย่างหนักหน่วงแล้ว 


 


 


เหล่านักพรตจากแคว้นใหญ่ยังมีสภาพดีกว่าอยู่บ้าง มีบ้างที่ยอดเยี่ยมกว่าก็สามารถเหาะไปในอากาศได้ 


 


 


ยามนั้นยังได้ยินคนพูดอีกว่า กระทั่งนักพรตจากภูเขาฮว่าชิ่งซานต่างก็พากันมาถึงแล้ว ภูเขาฮว่าชิ่งซานคือที่ใดกัน? 


 


 


จากคำเล่าลือในแผ่นดินเหล่านักพรตที่สูงส่งเป็นพิเศษล้วนผ่านการฝึกฝนมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซาน 


 


 


นักพรตที่ฝึกตนอยู่ในที่นั่น เกรงว่าแต่ละคนล้วนแล้วแต่เป็นระดับสุดยอดทั้งนั้น หากติดตามพวกเขาอยู่ด้านหลังย่อมต้องไม่ผิดพลาดแน่นอน 


 


 


ดูท่าแล้วนักพรตที่เหาะอยู่เหนือเมฆนั้น ก็คงจะมาจากภูเขาฮว่าชิ่งซานด้วยเช่นกัน 


 


 


ภูเขาเทียนซานดำทะมึนไปทั้งลูก ทั้งยังมีไม้ฤดูหนาวสีดำอยู่มากมาย ไม่รู้ว่ามันเป็นพืชหรืออะไรกันแน่ เพียงแค่สัมผัสโดนก็สร้างความเจ็บปวดจากผิวเนื้อไปจนถึงกระดูก 


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะระมัดระวังกันอย่างยิ่งแล้ว แต่ก็ยังมีคนถูกทิ่มแทงไปไม่น้อย 


 


 


ท่ามกลางหมู่เมฆ ตู๋กูซิงหลันมองลงไป ก็เห็นว่าบนยอดสีดำของเขาเทียนซาน มีทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง 


 


 


หิมะสีขาวที่ร่วงหล่นจากหมู่เมฆลงไปพอสัมผัสโดนน้ำในทะเลสาบก็ถูกย้อมเป็นสีดำในทันที 


 


 


หิมะที่อยู่เหนือทะเลสาบกลายเป็นชั้นน้ำแข็งสีดำ 


 


 


บริเวณรอบๆ ทะเลสาบมีไม้หนามจำนวนนับไม่ถ้วน ไม้หนามเหล่านั้นลำต้นอวบหนา แต่ละต้นมีขนาดไม่เล็กไปกว่าข้อมือของบุรุษฉกรรจ์ ขึ้นรายล้อมอยู่รอบๆ สระสวรรค์จนแน่นขนัดไปหมด 


 


 


ราวกับว่ากำลังปกป้องไม่ให้สระสวรรค์ถูกรบกวน 


 


 


เมียเมียไม่กล้าบินต่ำเกินไป มันกระพือปีกอยู่ตลอด อุ้งเท้าหน้าทั้งสองก็จับเจ้าเสือหิมะตัวใหญ่เอาไว้แน่น 


 


 


เจ้าเสือถูกบีบคอที่เป็นจุดชีวิตเอาไว้ ก็ถึงกับตาเหลือกขาว ใกล้จะขาดใจตายอยู่รอมร่ออยู่แล้ว 


 


 


นี่มันถูกสัตว์อสูรในพันธสัญญาตัวหนึ่งจับมาเป็นสัตว์เลี้ยงแสนรักหรือ? 


 


 


แค่คิดถึงจุดจบ เสือหิมะก็อยากจะน้ำตาไหล 


 


 


แต่พอมันได้เห็นภาพทิวทัศน์เบื้องล่างแล้ว ที่เมื่อครู่อยากจะร้องไห้ ก็เปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกขึ้นมา 


 


 


แม่เสือของลูกเอ๋ย! ทำไมมันถึงต้องถูกจับมาตายที่นี่? 


 


 


ภูเขาเทียนซานแห่งนี้แม้แต่พวกมันที่เป็นสัตว์อสูรยังไม่กล้าเข้าใกล้เลยด้วยซ้ำ! 


 


 


“เมี๊ยว เมี๊ยว เมี๊ยว…….” มันรีบส่งเสียงร้องออกมา 


 


 


เมียเมียก้มหัวลงมามองดูมันแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองดูฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนหลัง ส่งเสียงเมียเรียกเขาครั้งหนึ่ง 


 


 


บรรยากาศรอบสระสวรรค์แห่งนี้ดูประหลาดเกินไป มันเต็มไปด้วยกลิ่นไอของความตายและไอหยิน ให้ความรู้สึกประหนึ่งว่าที่นี่คือสุสานขนาดใหญ่ 


 


 


เป็นความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นหลุมศพของผู้คนนับพันนับหมื่น 


 


 


บรรยากาศที่น่าอึดอัดเช่นนี้ แม้แต่ตัวมันก็ยังไม่อยากจะเข้าไปใกล้ 


 


 


“ไม่ต้องกลัว” จีเฉวียนยังคงสงบนิ่ง ดวงเนตรหงส์คู่นั้นเหลือบมองลงไปด้านล่าง 


 


 


ผิวทะเลสาบมีน้ำแข็งหนาๆ อยู่ชั้นหนึ่ง มองดูสงบเงียบ 


 


 


นอกจากต้นไม้หนามที่ขึ้นอยู่แน่นขนัดแล้ว รอบด้านคล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก 


 


 


ดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นอันตรายนั้นยังไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แม้แต่บนท้องฟ้าก็ยังไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติ 


 


 


ในโลกก่อนโน้นตู๋กูซิงหลันเองก็เคยเผชิญเหตุการณ์สำคัญๆ มามากมาย สถานที่ที่มีอันตรายถึงชีวิตเช่นนี้ ยิ่งเข้าไปใกล้แรงดึงดูดก็จะยิ่งมาก 


 


 


แม้แต่สิ่งที่สามารถโบยบินในอากาศก็ไม่อาจโผบินขึ้นมาได้ 


 


 


ตอนนี้การบินของเมียเมียยังไม่ได้รับผลกระทบ พวกนางสามารถยืนดูสถานการณ์จากด้านบนได้อย่างปลอดภัย ราวกับว่าทั้งหมดมีแต่ความราบลื่น 


 


 


ราบลื่นเสียจนทำให้คนไม่สบายใจ 


 


 


นางยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน มองลงไปอย่างเงียบๆ นอกจากไอหยินและคลื่นจิตวิญญาณแล้ว ก็คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งอื่นใดอีก 


 


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในทะเลทราย เพราะการปรากฏตัวของปีศาจไร้หน้าเหล่านั้น ทำให้นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คุ้นเคย แต่ว่าพอมาถึงที่นี่กลับหายวับไปจนหมด 


 


 


พอคิดถึงเรื่องที่ภูติพฤกษาพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังไม่กล้าชะล่าใจ 


 


 


จนผ่านไปอีกพักใหญ่ ในที่สุดจึงเห็นว่ามีคนปีนขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว 


 


 


คนที่นำขึ้นมาก็คือท่านอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉิน อิ๋งฉี 


 


 


ที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาคือเหล่านักพรตในชุดแบบเดียวกัน 


 


 


มีนักพรตบางคนที่บนร่างกายถูกอาบสีสันเพิ่มเติม คาดว่าคงจะโดนพวกไม้หนามทำให้บาดเจ็บ ที่เหลือยังคงอยู่ดี 


 


 


“คุณชาย ทะเลสาบนี้แปลกประหลาดมาก คุณชายโปรดระมัดระวังตัวอยู่ให้ห่างเข้าไว้จะดีกว่า” นักพรตจากแคว้นต้าฉินรายล้อมอยู่รอยกายอิ๋งฉี คอยดูแลเขาอยู่ตลอด 


 


 


ตลอดทางมานี้กลุ่มของพวกเขานำอยู่ด้านหน้าสุด กว่าจะป่ายปีนขึ้นมาได้มิใช่เรื่องง่ายดาย 


 


 


พอมองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า หัวใจของพวกเขาก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมา 


 


 


คนกลุ่มหนึ่งอยู่เหนือหมู่เมฆ ทะเลสาบทอดตัวอยู่เบื้องหน้า หมอกขาวทะเลสาบดำขลับ ยังมีไม้หนามที่แน่นขนัดรายล้อม ดูยังไงก็ลึกลับไม่ธรรมดา 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าในทะเลสาบสีดำนั่นที่สุดแล้วมีภยันตรายใดรออยู่บ้าง? 


 


 


อิ๋งฉีจดจ้องไปยังทะเลสาบสีดำ จุดที่เป็นศูนย์กลางของทะเลสาบคล้ายจะมีกระแสน้ำหมุนวน แต่ว่าก่อนหน้านี้แรงดึงดูดที่น่ากลัวของน้ำวนนั้นยังไม่ทันได้หายไปก็ถูกทำให้กลายเป็นน้ำแข็งไปเสียก่อน 


 


 


ในทะเลสาบมีกลิ่นคาวโลหิตอยู่จางๆ แม้ว่าจะถูกน้ำแข็งปกปิดเอาไว้ กลิ่นก็ยังคงทำให้คนรู้สึกไม่ดีสักเท่าไร 


 


 


“ไม่มีผู้ใดมาถึงก่อนพวกเรา นี่นับเป็นโอกาสอันดี” อิ๋งฉีพูดพลางก็มองดูเงาที่อยู่บนท้องฟ้าแวบหนึ่ง 


 


 


จากนั้นก็เห็นเขาล้วงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ครึ่งใบออกมา 


 


 


แผนที่ขุมทรัพย์แผ่นนั้นนอกจากภาพภูเขาลำธารแล้ว สิ่งที่โดดเด่นที่สุดก็คือภูเขาเทียนซานครึ่งลูก 


 


 


เขาสะกิดปลายนิ้วให้เป็นแผล หยดเลือดลงไปจากปลายนิ้ว มันไหลกวาดผ่านเบาๆ ลงไปบนแผนที่ขุมทรัพย์ เคลื่อนไหวไปตามเส้นทางแผนที่ขุมทรัพย์ 


 


 


สุดท้ายแล้วหยดเลือดเล็กๆ นั้นเคลื่อนไปหยุดอยูที่มุมหนึ่งของสระสวรรค์ 


 


 


“สามารถเข้าไปจากจุดนั้นได้” อิ๋งฉีเก็บแผนที่ มองดูสระสวรรค์ตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นก็กำหนดเส้นทางขึ้นมา 


 


 


เหล่าจอมยุทธ์และนักพรตจากแคว้นฉินต่างรับฟัง มุ่งไปยังจุดที่เขากำหนด 


 


 


ตลอดทางขึ้นเขามานี้ พวกเขามีอุปกรณ์มาด้วยอย่างครบครัน ราวกับว่ารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะมีชั้นน้ำแข็งหนารออยู่ ดังนั้นจึงเตรียมอุปกรณ์ที่สามารถจัดการกับน้ำแข็งได้เป็นจำนวนมาก 


 


 


ในมุมลับตาอีกด้านหนึ่ง เหยียนเฉียวหลัวคลี่ยิ้มเย็นออกมา 


 


 


“ต่างก็ว่ากันว่าอ๋องสิบแปดแห่งแคว้นฉินผู้นี้เฉลียวฉลาดปราชญ์เปรื่อง คิดไม่ถึงว่าดูดีแค่หน้าตา แต่คนกลับใช้การไม่ได้” เหยียนเฉียวหลัวเบ้ปาก เก็บสายตากลับมา มองไปยังบุรุษชุดม่วงที่อยู่ข้างกายอีกครั้ง 


 


 


จากนั้นนางก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “พวกเขาทุบทำลายน้ำแข็งอย่างสะเทือนเลือนลั่นเช่นนี้ มิเท่ากับบอกให้สิ่งที่อยู่ในทะเลสาบรู้หรือว่ามีคนคิดจะบุกเข้าไป?” 


 


 


บุรุษชุดม่วงยืนอยู่ใต้พุ่มต้นไม้หนาม ปลายหนามเส้นหนึ่งเกี่ยวชายเสื้อผ้าของเขา สะกิดเส้นด้ายขึ้นมาเส้นหนึ่ง 


 


 


เขาเหลือบตาดูแวบหนึ่ง ปลายนิ้วตวัดผ่านไปเบาๆ ต้นไม้หนามที่กีดขวางเขาอยู่เมื่อครู่ก็สลายกลายเป็นละอองขี้เถ้า 


 


 


ต้มไม้หนามเหล่านี้ยามที่ถูกเผาไหม้ก็ระเหยกลิ่นที่เหมือนกับเนื้อไหม้ออกมา เหยียนเฉียวหลัวรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงกรีดร้องเบาๆ 


 


 


เพียงแต่ยังไม่ทันได้ยินให้ชัดเจน เสียงกรีดร้องนั่นก็เงียบหายไปเสียก่อน 


 


 


ในใจของนางพลันตระหนกขึ้นมา คืนนั้นนางและเหยียนหยุนถูกปีศาจไร้หน้ารายล้อมเอาไว้ จากนั้นนางก็สลบไป 


 


 


โชคดีที่ได้รับการช่วยชีวิตจากคุณชายชุดม่วงผู้นี้ ทั้งยังนำนางมายังภูเขาเทียนซานด้วยกัน ถึงแม้จะรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดา แค่ใช้เพียงปลายนิ้วก็สามารถแผดเผาต้นไม้หนามเหล่านี้ได้ นับว่าน่าตระหนกอย่างยิ่ง 


 


 


เพราะว่า…….ต้นไม้พวกนี้สร้างขึ้นจากกระดูกและเลือดเนื้อ 


 


 


“เจ้าเองก็เป็นคนที่เคยผ่านการฝึกฝนในภูเขาฮว่าชิ่งซานมาก่อน ไม่รู้สึกว่า ภูเขาลูกนี้จงใจสร้างแรงดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาหรอกหรือ?” ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง บุรุษชุดม่วงค่อยหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ในเมื่อตั้งใจจะล่อลวงเข้ามา หากว่าสิ่งนั้นไม่เคลื่อนไหว ก็แสดงว่ามิได้ตื่นตระหนก”  

 

 


ตอนที่ 265 เคยเห็นฮ่องเต้ทำตัวออเซาะห...

 

ใจของเหยียนเฉียวหลัวตื่นตระหนกกว่าเดิม ตลอดทางมานี้นางมิได้ใช้วิชาคาถาใดๆ เลยแท้ๆ แต่ว่าเขากลับรู้ว่านางมาจาภูเขาฮว่าชิ่งซาน? 


 


 


คนผู้นี้มีวิชาอาคมสูงส่ง แปลกจริงๆ ตอนที่ฝึกฝนอยู่ในเขาฮว่าชิ่งซานทำไมจึงไม่เคยได้พบเขามาก่อน นอกจากเขาฮว่าชิ่งซาน ในแผ่นดินนี้ยังมีที่ใดสามารถฝึกฝนนักพรตขึ้นมาได้อีกหรือ? 


 


 


นางเหลือบมองดูเขาอีกหลายครั้ง ที่ผ่านมานางเคยแต่หวั่นไหวเพราะความงามของจีเฉวียน 


 


 


ยามนี้พอได้เห็นบุรุษชุดม่วง หัวใจก็เต้นตึกตักขึ้นมาเหมือนกัน 


 


 


ใบหน้าเรียบเนียนดั่งเนื้อหยก ดวงตาเป็นประกายดั่งหยดน้ำ คุณชายที่เสมือนดั่งหยกสลักงดงาม ทั้งโหดเ**้ยมและน่าหลงใหล 


 


 


คำเหล่านี้คงจะพออธิบายรูปลักษณ์ของเขาได้กระมัง ทั้งๆ ที่มีใบหน้างดงามดุจเทพเซียนเหนือธรรมดา แต่ว่าบรรยากาศรอบตัวเขากลับดำทะมึนและแปลกประหลาด 


 


 


คล้ายดั่งเป็นพญายมที่เฝ้ารักษาขุมนรก 


 


 


พญายม….. 


 


 


ทำไมนางถึงได้คิดถึงคำนี้ขึ้นมาได้กัน? 


 


 


ตกลงแล้วเขาเป็นผู้ใดกันแน่? 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวครุ่นคิดอย่างละเอียด ในสมองที่งุนงงและสับสนคล้ายจะจดจำได้อย่างเลือนลาง นางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้เจอที่ไหนมาก่อน แต่พอจะคิดดูให้ละเอียดก็คิดไม่ออกเสียอย่างงั้น 


 


 


ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร เขาก็คือคนที่นางไม่อาจไปหาเรื่องได้นั่นเอง 


 


 


“คุณชาย แล้วพวกเรา…” ผ่านไปอีกครู่ใหญ่เหยียนเฉียวหลัวถึงได้เก็บสายตากลับมา นางหันไปเผชิญหน้ากับเขาถามอย่างหยิ่งทนงว่า “ก็จะรออยู่อย่างนี้น่ะหรือ?” 


 


 


นางรู้ว่า อีกไม่นานจีเฉวียนก็จะมาถึงแล้ว นางรักจีเฉวียนอย่างบ้าคลั่ง คิดไม่ถึงว่าความรักครั้งนี้กลับถูกเขาเหยียบย่ำจนเป็นผงธุลี 


 


 


นางกับพี่ชายเหยียนหยุนอุตส่าห์ตั้งใจจะร่วมมือกับเขา กลับถูกเขาขุดหลุมพลางจนเกือบต้องทิ้งชีวิตไป นางจะต้องทำให้จีเฉวียนสำนึกเสียใจให้จงได้ 


 


 


สิ่งใดที่นางหมายตาเอาไว้ ชาตินี้ทั้งชาติจะอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เมื่อขึ้นมาถึงภูเขาเทียนซานแห่งนี้แล้ว นางก็ต้องการให้จีเฉวียนคุกเข่าลงต่อหน้านางสารภาพว่าเขาผิดไปแล้ว บอกว่าเขารักคนผิด 


 


 


“หากว่าเจ้าอยากตาย ตอนนี้ก็สามารถลงไปกับคนของอิ๋งฉีได้เลย” 


 


 


องค์ชายน้อยประทับยืนอยู่ใต้ต้นไม้หนาม ดวงตาสีดำขลับคล้ายดั่งความลึกลับที่ไร้ก้นบึ้ง เพียงเขาตรัสเสียงเย็นแค่ประโยคเดียว ก็ทำให้เหยียนเฉียวหลัวขนลุกขนพองขึ้นมา 


 


 


อย่างน้อยๆ นางก็เป็นถึงองค์หญิงของแว่นแคว้นหนึ่ง เคยได้พบได้เห็นคนที่แปลกประหลาดมามากมาย แต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังจะขาดอากาศหายใจ 


 


 


“คุณชายช่วยข้าเอาไว้ แสดงว่าข้าจะต้องมีประโยชน์ต่อคุณชาย” เหยียนเฉียวหลัวพยายามรักษาทีท่าเอาไว้ ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา 


 


 


“เฉียวหลัวติดค้างหนี้ชีวิตคุณชายครั้งหนึ่ง มิว่าคุณชายจะมีคำสั่งใด เฉียวหลัวก็จะทำตาม” 


 


 


เหยียนเฉียวหลัวเป็นคนที่ชาญฉลาดมาตลอด นางย่อมเข้าใจดีว่าในโลกนี้มิได้มีขนมเปี๊ยะตกลงมาจากท้องฟ้า บุรุษชุดม่วงผู้นี้ก็ไม่มีทางช่วยชีวิตนางเอาไว้เฉยๆ อย่างแน่นอน 


 


 


องค์ชายน้อยหันกลับมาทอดพระเนตรมองดูนางแวบหนึ่ง “เจ้าย่อมต้องมีประโยชน์แน่นอน” 


 


 


………………………………. 


 


 


สระสวรรค์มุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ เหล่านักพรตในแคว้นฉินวางกำลังแผนตามจุดบอกใบ้ที่อยู่ในแผนที่ขุมทรัพย์ พวกเขาต้องใช้เรี่ยวแรงมหาศาลถึงได้สามารถเจาะช่องลงไปใต้น้ำแข็งจนกลายเป็นหลุมแห่งหนึ่ง 


 


 


หลุมนี้สามารถให้คนลงไปได้ทีเดียวพร้อมๆ กันสามคน 


 


 


ชั้นน้ำแข็งของทะเลสาบหนามาก ตรงนี้คือจุดที่เปราะบางที่สุดแล้ว แต่ต้องเจาะลงไปถึงสามฉื่อ [1] ถึงจะสามารถเจาะรูได้หนึ่งรู 


 


 


เมื่อยืนอยู่ริมช่องน้ำแข็งแล้วมองลงไป ข้างใต้นั้นทุกอย่างมีแต่สีดำสนิท นอกจากน้ำแข็งที่ผิวแล้ว แม้แต่ในน้ำทะเลสาบก็เป็นสีดำ 


 


 


บนชั้นน้ำแข็งนั้นสงบราบเรียบ แต่น้ำในทะเลสาบใต้ชั้นน้ำแข็งกลับมีคลื่นพลุ่งพล่านอยู่ข้างใต้ 


 


 


เหล่านักพรตต่างรายล้อมอิ๋งฉีที่ยืนอยู่ริมช่องน้ำแข็ง แต่ละคนล้วนมีสีหน้าหนักอึ้ง 


 


 


“คุณชาย ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่ง ยังคงรออยู่ที่ด้านบนเถอะ พวกข้าจะลงไปดูลาดเลาข้างล่างเสียก่อน” หัวหน้านักพรตจากแคว้นฉินทักท้วง 


 


 


“พวกเราได้รับพระบัญชามาจากฝ่าบาท จะต้องปกป้องคุ้มครองท่านให้ปลอดภัย” 


 


 


อิ๋งฉีมิได้ตอบ เพียงแต่คุกเข่าลงไปที่ข้างๆ ปากช่องน้ำแข็ง ในมือถือเศษน้ำแข็งเอาไว้ก้อนหนึ่ง เขายื่นคอมองลงไปข้างล่าง 


 


 


ความเยือกเย็นอย่างที่สุดพวยพุ่งขึ้นมา แค่ยืนอยู่ที่ริมปากช่องน้ำแข็งก็ยังแทบจะทำให้ร่างกายกลายเป็นน้ำแข็งไป หากว่ากระโดดลงไป เกรงว่าเพียงครู่เดียวคนก็คงกลายเป็นแท่งน้ำแข็งเสียแล้ว 


 


 


“เราผู้เป็นอ๋องจะต้องลงไปเป็นคนแรก” ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาถึงได้เอ่ยออกมา ก่อนที่จะมายังที่นี่เขาได้ตระเตรียมงานไปมากมาย ผู้ที่สามารถเข้าไปในขุมทรัพย์ได้เป็นคนแรกจึงจะมีคุณสมบัติได้รับโชคลาภมหาศาล 


 


 


เขาไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นแย่งโอกาสนี้ไป การที่มายังแคว้นเซอปี่ซือรอบนี้ต่อให้ต้องเสี่ยงชีวิตก็ต้องเอายาอายุวัฒนะกลับไปให้พระเชษฐาให้ได้ 


 


 


เหล่านักพรตเห็นว่ารั้งเอาไว้ไม่อยู่ ก็ได้แต่ยอมแพ้ 


 


 


อย่าได้เห็นว่าคุณชายฉีผู้นี้ รูปร่างผอมบาง อุปนิสัยนั้นดื้อรั้งอย่างยิ่ง เรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้ว ไม่มีทางยอมเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย 


 


 


นิสัยหนักแน่นมั่งคง กระทำเรื่องใดมุ่งมั่นจริงจัง นี่เป็นข้อดีของคุณชายฉี 


 


 


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณชายโปรดรับลูกแก้ววารี [2] นี้ไป ข้าจะรอคอยคุณชายอยู่ตลอด ใต้ทะเลสาบมีอันตรายใดบ้างพวกเราไม่อาจรู้ ขอคุณชายโปรดระมัดระวังให้มากเข้าไว้” หัวหน้านักพรตพูดพลางก็ล้วงเอาไข่มุกสีขาวราวหิมะออกมาด้วยความระมัดระวังส่งมอบให้กับอิ๋งฉี 


 


 


อิ๋งฉีรับไข่มุกมา ก็เห็นว่าไข่มุกสีขาวทอประกายแสงสว่างจางๆ ชั้นหนึ่ง แสงสว่างนั้นห่อหุ้มร่างทั้งหมดของอิ๋งฉีเอาไว้ จากนั้นก็เห็นเขากระโดดลงไปในสระสวรรค์ 


 


 


ยามที่คนดำดิ่งลงไปนั้น ก็ทำให้น้ำกระเพื่อมเป็นระลอก 


 


 


เหล่านักพรตแห่งแคว้นฉีต่างก็ไม่กล้าชักช้า ส่งคนติดตามอีกนับสิบลงไปด้วย 


 


 


เหล่านักพรตที่เหลือต่างก็เฝ้าอยู่รอบช่องน้ำแข็ง ไม่เปิดโอกาสให้ขุมอำนาจอื่นได้เข้าไป 


 


 


เหนือหมู่เมฆขึ้นไปตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน 


 


 


“คุณชายฉีผู้นี้ ช่างมีความกล้าหาญล้นเหลือเสียจริง” ตู๋กูซิงหลันสีหน้าหนักใจ “ฝ่าบาทและเขาถือเป็นสหายเก่าแก่กัน เห็นคนจะตายจะไม่ช่วยหรือเพคะ?” 


 


 


สระสวรรค์ดูไปสงบราบเรียบ แต่อันตรายที่อยู่ข้างใต้นั้น แม้แต่นางก็ไม่กล้าละเลยโดยง่าย 


 


 


จีเฉวียนได้ฟังแล้ว ก็เลือกเอาแต่ประเด็นสำคัญขึ้นมา พระองค์กระตุกชายเสื้อของนางแรงๆ “เสี่ยวซิงซิง นอกจากเราแล้ว ห้ามไม่ให้เจ้าไปห่วงใยบุรุษอื่นอีก” 


 


 


เมียเมียกระพือปีกส่งเสียงร้องยาวๆ ออกมาครั้งหนึ่ง แสดงว่ามันเห็นด้วย 


 


 


จากนั้นก็ลากเจ้าเสือหิมะที่ถูกกุมคอหนีบลมหายใจเอาไว้ให้มาเข้าพวกด้วยกัน กรงเล็บของมันบีบหัวของเสือหิมะเอาไว้ 


 


 


เสือหิมะเจ็บปวดจนต้องข่มเขี้ยว รีบร้องเสียงเหมียวออกมาครั้งหนึ่ง 


 


 


ใช่ ใช่ ใช่ พี่สาวตัวอ้วนคนงาม ควรจะใส่ใจแต่เพียงเจ้านายของลูกพี่เท่านั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันแทบจะกระอักเลือดคั่งออกมา ภาพที่แปลกประหลาดเช่นนี้ทำให้ทั้งปากและตาของนางชักกระตุก 


 


 


วิญญาณทมิฬเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก 


 


 


เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นคำก็เสี่ยวซิงซิง สองคำก็เสี่ยวซิงซิงเรียกจนมันปวดกระเพาะไปหมดแล้ว 


 


 


“อิ๋งฉีเป็นคนมีบุญ ชะตาชีวิตยิ่งใหญ่ ไม่ตายหรอก” จีเฉวียนตรัสต่อไป 


 


 


ว่าแล้วพระองค์ก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกวาดพระเนตรมาทางตู๋กูซิงหลัน “เจ้าให้ยันต์คุ้มภัยไปกับเขาไม่ใช่หรือ? เรายังไม่มีเลย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” ลูกพี่ ท่านแน่ใจหรือว่าท่านต้องการยันต์คุ้มภัย? 


 


 


“ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปเมืองลี่โจว ยังเคยให้เราเลยไม่ใช่หรือ? ที่นี่ก็อันตรายมากนะ เรายังไม่มีเลย?” 


 


 


จีเฉวียนไม่ยอมปล่อยนาง ดวงเนตรหงส์จดจ้องมองนางจนแทบจะทะลุ 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “!!!” เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เก็บงำความสามารถได้ลึกล้ำยิ่งนัก 


 


 


นี่แสดงว่าทุกสิ่งที่นางทำลงไปก่อนหน้านี้ เขาล้วนล่วงรู้ รวมไปถึงเรื่องที่นางส่งยันต์คุ้มภัยไปลอบคุ้มครองเขาด้วย 


 


 


นางไม่ควรจะคันมือคันไม้ไปยุ่งให้มากความจริงๆ จะต้องเป็นเพราะความห่วงใยอย่างไม่ตั้งใจของนาง ทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้เกิดอบอุ่นใจจนคันคะเยอขึ้นมา 


 


 


“เรารู้ว่าเราเก่งกาจ แต่ว่าหากมียันต์คุ้มภัยของเสี่ยวซิงซิง เราก็จะไม่มวันพ่ายแพ้” จีเฉวียนยังคงกระตุกชายเสื้อของนางต่อไป แม้แต่น้ำเสียงก็นุ่มนวลลงอีกหลายส่วน 


 


 


เคยเห็นฮ่องเต้ทำตัวออเซาะหรือไม่? 


 


 


ถ้าไม่เคยเห็น ตอนนี้ก็ควรล้างตาดูให้ดี 


 


 


ดูพระพักตร์ที่เป็นดั่งภูเขาน้ำแข็งนั่นสิ ตอนนี้กลับทำหน้าออดอ้อนออเซาะออกมาได้ ทำคนเห็นแล้วจะบ้าตาย 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] ประมาณเกือบ 1เมตร 


 


 


[2] 避水珠 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: ลูกเต้ทำได้ดีมาก มีการพัฒนา รุกคืบ 


 


 


(อารมณ์ดี ไรท์ก็ต้องเล่านิทาน ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องเลย) 


 


 


ลูกแก้ววารี: (避水珠) ลูกแก้วนี้ตามตำนานจีนว่ากันว่า มีฤทธิ์ปกป้องผู้ครอบครองจากสายน้ำทั้งปวง เมื่อเก็บไว้กับตัวก็ทำให้สามารถหายใจหรือเดินทางในน้ำได้อย่างอิสระเหมือนบนบก เปิดทางบนคลื่น ผ่านเข้าไปในวังมังกรได้ เป็นลูกแก้วธาตุน้ำ เกิดจากดวงตาของมังกรวารี 


 


 


ตอนต่อไป? “แก่ชรากันหมด?” 


 


 


คำเตือน: โปรดเตรียมชุดดำน้ำและแว่นตาให้พร้อม  

 

 


ตอนที่ 266 แก่ชรากันหมด?

 

“เอาไป เอาไป เอาไป ฝ่าบาททรงยอดเยี่ยม ฝ่าบาททรงไร้พ่าย” ตู๋กูซิงหลันรีบหยิบเอายันต์คุ้มภัยแผ่นหนึ่งออกมา ติดเอาไว้บนพระหัตถ์


 


 


อิ๋งฉีมีแผ่นหนึ่ง เราก็มีแค่แผ่นเดียวหรือ?” ฝ่าบาททรงกำยันต์แผ่นนั้นเอาไว้ เบ้พระโอษฐ์ สีพระพักตร์บ่งบอกว่าไม่พอพระทัย


 


 


ซุนต้มยาเคยบอกเอาไว้ เมื่ออยู่กับสตรีไม่อาจใช้ไม้แข็ง ยามที่สมควรอ่อนก็ต้องอ่อน


 


 


ฝ่าบาททรงจดจำอย่างใส่พระทัย


 


 


เพราะว่าภรรยาของเขาคือแม่สื่อของทางการ ทั้งยังเคยจับคู่แต่งงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ สำเร็จมาแล้วคู่หนึ่ง


 


 


คุณชายที่ชื่อเสียงเน่าเหม็นไปทั่วทั้งถนนผู้หนึ่งหลงรักคุณหนูใหญ่ที่เป็นกุลสตรีมีการศึกษาของจวนราชครู


 


 


คุณชายไม่ได้เรื่องผู้นั้นพยายามตามติดจีบนางอย่างยากลำบากถึงสามปีก็ยังไม่ได้ผล คุณหนูใหญ่เกือบจะแต่งให้กับผู้อื่นไปแล้ว โชคดีที่ได้ภรรยาของซุนต้มยาออกศึก เพียงแค่เวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ก็ช่วยให้คุณชายผู้นั้นจีบคุณหนูใหญ่จวนราชครูได้เป็นผลสำเร็จ


 


 


หลังแต่งงาน ทั้งสองคนรักใคร่อย่างหวานชื่น เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องดีงามที่เล่ากันไปทั่วทั้งเมืองหลวง


 


 


ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงให้ความเชื่อถือภรรยาแม่สื่อของซุนต้มยาอย่างยิ่ง


 


 


เนื่องเพราะหากเปรียบเทียบกับคุณชายไม่ได้เรื่องผู้นั้น พระองค์ก็เห็นว่าคุณสมบัติของพระองค์ยังล้ำเลิศกว่ามาก


 


 


ในเมื่อมีเวลาย่อมไม่กลัวว่าจะเป็นเรื่องยาก ขอเพียงแค่เขายืนหยัดต่อไป หนทางย่อมต้องมีอย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวว่าดวงดาวที่มีหัวใจเป็นหินผู้นี้จะไม่หวั่นไหว


 


 


ไม่เห็นหรือว่า แค่เขาแกล้งทำเป็นอ่อนลงสักหน่อย นางก็หันมาประคบประหงมเขาแล้ว


 


 


ยามนี้ฝ่าบาททรงพระอารมณ์ดีอย่างยิ่ง การมาแคว้นเซอปี่ซือครั้งนี้ แม้จะบอกว่ามาตามหาสมบัติ แต่ที่จริงแล้วเป็นการมาท่องเที่ยวชมภูเขาและสายน้ำกับซิงซิงต่างหาก


 


 


ตอนนี้ช่วงเวลาที่พวกเขาได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง ยังมากกว่าช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันเมื่อตอนอยู่ในวังรวมกันทั้งหมดเสียอีก อีกอย่างนางก็ชักจะมีแนวโน้มที่จะอ่อนไหวบ้างแล้ว


 


 


ฝ่าบาททรงพอพระทัยมาก


 


 


ตอนที่เห็นเขาทำปากมุ่ยออกมานั้น ตู๋กูซิงหลันก็แทบจะสาปส่งเขาแล้ว


 


 


สวรรค์ได้โปรดเถอะ จีเฉวียนกลายเป็นผีดิบหรือยังไง?


 


 


นางรีบหยิบยันต์คุ้มภัยออกมาอีกเจ็ดแปดแผ่น ติดลงไปให้เขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า


 


 


เพราะกลัวว่าจะติดไม่แน่น ก็เลยใช้น้ำลายของตนเองช่วยแปะด้วยอีกแรง เอาให้ติดแน่นทนนาน


 


 


ลูกพี่ผู้นี้ไม่อาจเป็นผีดิบไปนะ นางยังหวังให้เขามีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองอยู่


 


 


จีเฉวียนเห็นนางมีสีหน้าจริงจัง ราวกับกลัวว่าตนเองจะเกิดเรื่องจริงๆ อารมณ์ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก


 


 


ถึงขนาดไม่ใส่พระทัยที่ตู๋กูซิงหลันถุยน้ำลายมาใช้แปะยันต์


 


 


พระโอษฐ์บางมีรอยแย้มสรวลจางๆ มุมพระโอษฐ์ก็ขยับยก


 


 


พระองค์ทรงทราบดีว่าที่ผ่านมานางเขียมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะยันต์สุดรักสุดหวงพวกนี้ ไม่เคยให้กับใครโดยง่าย


 


 


ดูสิ ตอนนี้ไม่ต้องพูดซ้ำก็ให้พระองค์มาตั้งมากมาย เกรงว่านอกจากพระองค์แล้วผู้อื่นคงจะไม่มีโอกาสได้รับยันต์คุ้มภัยมากมายถึงเพียงนี้แน่นอน


 


 


กระทั่งติดยันต์ลงไปบนก้นจนเรียบร้อยแล้ว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากมุมตะวันตกเฉียงใต้ของสระสวรรค์


 


 


‘ตูม!’


 


 


ทันทีที่เสียงระเบิดนั้นดังขึ้นมา พวกคนที่ยังปีนขึ้นมาไม่ถึงยอดภูเขาก็พากันตกตะลึงจนหัวใจกระโดดออกมา


 


 


พวกเขารีบเร่งปีนป่ายขึ้นมาบนยอดเขา ตลอดทางมานี้ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่อยู่ๆ ก็มีเสียงดังเกิดขึ้น จะต้องมีสิ่งใดออกมาแล้วอย่างแน่นอน


 


 


เหล่าคนที่รีบปีนป่ายขึ้นมา ก็พากันไปรายล้อมอยู่รอบๆ ช่องน้ำแข็งตรงมุมตะวันออกเฉียงใต้นั้น


 


 


เหล่านักพรตของแคว้นต้าฉินเฝ้าอยู่รอบช่องน้ำแข็ง พวกเขาจึงไม้กล้าเคลื่อนไหวชั่วขณะ


 


 


อีกทั้งยังไม่ทราบสถานการณ์ที่ชัดเจน จึงเพียงแต่จับตาดูอยู่ที่ด้านนอกเท่านั้น


 


 


อยู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดออกมา ทำให้เหล่านักพรตเองก็ไม่อาจรักษาความสงบนิ่งอีกต่อไป


 


 


เสียงระเบิดพึ่งจะขาดหาย ก็มีเสียงระเบิดตามมาอีกครั้งหนึ่ง


 


 


“คุณชาย!” เหล่านักพรตแคว้นต้าฉินพากันหน้าเปลี่ยนสี ตะโกนลงไปในช่องน้ำแข็ง


 


 


ข้างใต้นั้นนอกจากน้ำสีดำในทะเลสาบที่เคลื่อนไหวแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นสิ่งใดตอบกลับมา


 


 


เหล่านักพรตตะโกนเรียกอีกสองครั้ง ก็เห็นว่าแผ่นน้ำแข็งรอบๆ ช่องน้ำแข็งเริมปริแตก “เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ…”


 


 


เสียงเปรี๊ยะๆ นั้นเหมือนกับเสียงกระจกที่แตกร้าว เริ่มจากใต้ฝ่าเท้ากระจายตัวออกไป


 


 


มีช่องน้ำแข็งเป็นจุดศูนย์กลาง แตกร้าวออกไปจนทั่วทั้งทะเลสาบ


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างพากันตื่นตระหนก แยกย้ายกันถอยหลังออกไป


 


 


แต่พวกเขาออกไปได้ไม่ทันถึงสองก้าว น้ำแข็งหนาใต้ฝ่าเท้าก็แตกออกเสียแล้ว


 


 


ได้ยินเสียง ‘โครมคราม’ ผิวน้ำแข็งทั้งหมดก็แตกกระจาย


 


 


น้ำสีดำในทะเลสาบซัดกระเซ็นขึ้นมากลืนพวกนักพรตที่ยืนอยู่บนน้ำแข็งลงไปอย่างไร้ความปราณี


 


 


เหล่านักพรตของแคว้นต้าฉินย่อมมีผู้ที่มีความสามารถ ก่อนที่จะถูกน้ำดูดกลืนลงไป แต่ละคนก็พกพาลูกแก้ววารีคนละลูก บนร่างเกิดประกายแสงสว่างจางๆ ครอบคลุม ปกป้องพวกเขาจากน้ำสีดำในทะเลสาบ


 


 


แต่เหล่าคนจากประเทศเล็กและขุมอำนาจต่างๆ ที่มาเฝ้าดูต่างก็ไม่ได้โชคดีเช่นนี้


 


 


กว่าพวกเขาจะปีนขึ้นเขามาได้ก็สูญเสียพละกำลังไปเกินกว่าครึ่ง ตอนนี้ยิ่งไม่ทันได้ตั้งตัว ก็ทยอยร่วงหล่นลงไปในทะเลสาบ


 


 


ความเย็นเสียดกระดูกทะลวงเข้าไปในเลือดเนื้อและกระดูก ผู้คนพากันตะเกียกตะกาย แต่น่าเสียดายยิ่งดิ้นรนร่างกายก็ยิ่งแข็งทื่อ


 


 


รอบแรกนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องบอกว่าสระสวรรค์ได้กลืนกินผู้คนสามร้อยกว่าคนลงไปแล้ว


 


 


“อ๊าก หน้าของเจ้า ผมของเจ้า!”


 


 


คนที่กำลังดิ้นรนอยู่ อยู่ๆ ก็พากันกรีดร้องออกมา


 


 


“สวรรค์ ทำไมเจ้าถึงได้แก่ลง แก่เฒ่าลงไป?”


 


 


“ข้า…ข้าก็แก่กว่าเดิม!”


 


 


พวกเขาส่งเสียงร้องอย่างตื่นตระหนก กลางสระสวรรค์สีดำ แต่ละคนต่างดิ้นรนตะเกียกตะกาย เส้นผมสีดำกลายเป็นสีขาวโพลน ผิวหนังของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเ**่ยวย่น


 


 


ผู้คนทั้งหลายต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกตะลึง


 


 


แม้แต่เหล่านักพรตแคว้นฉินเหล่านั้นก็มิได้รอดพ้นจากคำสาปสูบอายุขัย


 


 


เพียงแต่ความเร็วในการแก่ชราของพวกเขาช้ากว่าผู้อื่น สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ากำลังแก่ชราลงไปเรื่อยๆ


 


 


“สิ่งที่อยู่ในทะเลสาปของสระสวรรค์นี้กำลังดูดเอาพลังชีวิตของพวกเราไป”


 


 


ยามคับขัน นักพรตจากแคว้นต้าฉินยังคงครองสติเอาไว้ได้


 


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาเองก็กำลังตกตะลึง แต่ว่าแต่ละคนกำลูกแก้ววารีเอาไว้แน่น ในใจก็พากันเป็นห่วงคุณชายที่กระโดลงไปในทะเลสาป


 


 


คุณชายจะต้องเผชิญอันตรายอยู่ใต้น้ำเป็นแน่


 


 


ใต้น้ำ อิ๋งฉีและนักพรตต้าฉินทั้งสิบคนถูกดูดเข้าไปในวังน้ำวน


 


 


ใต้ทะเลสาบเป็นความมืดมิดผืนหนึ่ง มืดเสียจนไม่อาจมองเห็นนิ้วมือทั้งห้า


 


 


ยังดีที่ในร่างของพวกเขาพกพาไข่มุกราตรี


 


 


เพียงแต่ว่าแสงสว่างจากมุกราตรีมีขอบเขตจำกัด เมื่ออยู่ในน้ำก็ยิ่งขมุกขมัว


 


 


“คุณชาย เมื่อครู่คล้ายกับว่าพวกเราเจออะไรบางอย่างเข้าแล้ว” เหล่านักพรตรายล้อมอิ๋งฉีอยู่เป็นชั้นๆ แรงกดดันในน้ำรุนแรง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีลูกแก้ววารี ที่สามารถช่วยปกป้องพวกเขาจากน้ำสีดำ แต่ยิ่งพูดจาก็ยิ่งเหนื่อยอ่อน


 


 


ที่สำคัญคือเรี่ยวแรงภายในร่างกายคล้ายถูกบางสิ่งสูบออกไป รู้สึกได้ถึงร่างกายที่ยิ่งทีก็ยิ่งอ่อนล้า


 


 


อิ๋งฉีไม่พูดไม่จา มือหนึ่งล้วงเอาแผนที่ขุมทรัพย์ครึ่งใบออกมา อีกมือหนึ่งก็ถือไข่มุกราตรีเอาไว้ส่องดูสภาพใต้น้ำด้านล่าง


 


 


รอบๆ ตัวพวกเขาคล้ายมีบางสิ่งล่องลอยอยู่ทั่วๆ เมื่อครู่พวกเขาไม่ทันระวังเผลอไปสัมผัสมันเข้า มันแข็งๆ ทั้งยังส่งเสียงระเบิดขึ้นสองครั้ง


 


 


พอหันกลับไปดูก็ไม่เจออะไรแล้ว


 


 


แต่กลับรู้สึกได้ว่ากระแสน้ำรอบตัวยิ่งทียิ่งไหลเร็วกว่าเดิม แรงกดดันยิ่งทียิ่งเพิ่มขึ้นมา สิ่งที่ลอยคว้างอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำยิ่งทีก็ยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขา


 


 


อิ๋งฉีใช้ไข่มุกราตรีส่องออกไปเพ่งสายตาไปเบื้องหน้าคิดจะมองดูให้ชัดเจน


 


 


พอเพิ่งจะยกมือขึ้นมาเหนือศีรษะ ก็เห็นใบหน้าคนที่เ**่ยวแห้งปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเขา


 


 


ดวงตาที่มีแต่เบ้าตาสีดำลึกโบ๋จดจ้องเขาเอาไว้ ปากก็แสยะยิ้มให้กับเขา


 


 


พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดไปชั่วขณะแม้แต่อิ๋งฉีเองก็ยังตกใจจนผวา


 


 


พอเขาหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าเหล่านักพรตที่อยู่รอยกายหายไปไหนหมดแล้ว ตอนนี้ทุกสิ่งรอบๆ ตัวเหลือแต่ใบหน้าคนที่เ**่ยวย่น


 


 


และร่างกายลีบๆ ที่บิดเบี้ยวเท่านั้น


 


 


 


 


——


 


 


คุยกันนิดนึง:


 


 


ไรท์: ใครก็ได้ช่วยพาอิ๋งฉีขึ้นไปจากน้ำที แม่ยังไม่อยากให้เขาตาย (แม่ก็จะได้ขึ้นไปด้วย แม่กลัว)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)