ยอดหญิงสกุลเสิ่น 261.2-263.2
ตอนที่ 261-2 ความลับแห่งศาลบรรพบุรุษ
“เจ้าเองหรือฉินเจิง! โบยข้าแล้วใช่จะทำให้จิตใจที่ดำมืดของเจ้าพอใจหรือไม่ ลูกน้องสู้แม่ทัพไม่ได้ กล้านักเจ้าก็ปล่อยข้าแล้วพวกเราต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมาสักตั้ง” บนใบหน้าของเฉิงอี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม
ทว่าชายชราหลังค่อมกลับไม่ขยับ “น่าเสียดายตอนนี้คนที่ลดตัวเป็นนักโทษกลับเป็นเจ้า วิธียั่วยุไม่มีประโยชน์กับข้า เจ้าคิดว่าเจ้ายังเป็นอ๋องเคียงบ่าที่เรียกลมเรียกฝนได้ผู้นั้นหรือ อย่าตลกไปหน่อยเลย!”
เฉิงอี้ถูกเปิดโปงความคิดก็ไม่โกรธ กลับหัวเราะร่าฮ่าๆ “แล้วเจ้าดีกว่าหรือไร ฉินเจิงชายหนุ่มรูปงามที่ชื่อเสียงโด่งดังในยุทธจักรคาดไม่ถึงว่ากลายเป็นสุนัขรับใช้ของผู้มีตำแหน่งอำนาจ พูดออกไปแล้วน่าอับอายเสียจริง! หึๆ ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มรูปงามที่เคยสง่าผ่าเผยจะกลายมามีสภาพเช่นตอนนี้ เอวก็งอแล้ว หลังก็ค่อมแล้ว ใบหน้าก็กลายเป็นผิวไม้แก่ๆ วันทั้งวันเฝ้าศาลบรรพบุรุษที่ทึบทะมึนแห่งนี้ ฮ่าๆ ใครบ้างจะจำเจ้าได้” เฉิงอี้พยายามพูดเหยียดหยาม
มีบางอย่างแวบผ่านดวงตาชราภาพไป เขาแค่นเสียงกล่าว “ไม่ต้องกังวลไป เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าสักเท่าไร! เวลาของเจ้าเหลืออีกไม่กี่วันแล้ว ซึมซับมันให้ดีๆ เถิด” นึกถึงแผนการอันยิ่งใหญ่ของท่านเสนาบดี เบื้องลึกในใจเขาก็ตื่นเต้นเงียบๆ แม้ว่าเขากับท่านเสนาบดีจะไม่ใช่ญาติกัน และไม่ได้มีบรรพบุรุษเดียวกัน แต่อย่างไรเสียก็แซ่ฉินทั้งคู่ ห้าร้อยปีก่อนต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
เฉิงอี้ใจเต้น กล่าว “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เล่า เรียกเขามาให้ข้า ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
“ท่านเสนาบดีเป็นคนที่นักโทษเช่นเจ้าสามารถพบได้หรือ” ท่าทางของชายชราหลังค่อมดูถูกอย่างถึงที่สุด “ยิ่งไปกว่านั้นท่านเสนาบดีก็มีกิจธุระมากมาย ไหนเลยจะมีเวลามาพบเจ้า”
“ฮ่าๆ คงไม่ใช่ว่าฉินชังไม่อยู่ในจวนหรอกกระมัง” เฉิงอี้หัวเราะร่ากล่าว ดวงตาทั้งคู่ที่แหลมเปรียวจ้องมองบนใบหน้าชายชราหลังค่อม ไม่มองข้ามการเปลี่ยนแปลกเล็กน้อยใดๆ บนใบหน้าเขา เห็นคิ้วของเขาขยับเล็กน้อย ก็ยืนยันการคาดเดาในใจแล้ว “ไม่อยู่ในจวนจริงๆ ด้วย! ฉินเจิง เกิดเรื่องใหญ่อะไรที่นายเจ้าจำเป็นต้องไปหรือ ฝ่าบาทสังเกตเห็นความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วของเขาแล้วหรือ หรือว่าใครในจวนตายอยู่ข้างนอกอีกแล้ว” อารมณ์ของเฉิงอี้สบายใจยิ่งนัก
ทว่าชายชราหลังค่อมกลับมีน้ำโหอย่างถึงที่สุด “เจ้าค่อยๆ ทายไปเถอะ ท่านเสนาบดีกับจวนเสนาบดียังดีอยู่” พูดจบก็ออกจากห้องลับ เมื่อออกมาข้างนอกในใจเขาก็เกิดความกังวลขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้เหมือนกันว่าอาการบาดเจ็บของคุณชายน้อยจะเป็นอย่างไรบ้าง ท่านเสนาบดีไม่อยู่ในจวน ในใจเขามักจะรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก! โดยเฉพาะแขกไม่ได้รับเชิญสองคนนั้นในคืนนี้ เขามักจะรู้สึกผิดปกติอย่างยิ่ง สองคนนั้นคล้ายเพียงแค่ล่อให้เขาออกไป เมื่อเขาได้สติรีบตามกลับมา แต่กลับไม่พบเห็นอะไรทั้งสิ้น
เสิ่นเวยกับสวีโย่วที่กลับไปถึงจวนจวิ้นอ๋องก็มองหน้ากันและกัน ต่างก็ตกตตะลึงกับข่าวที่สืบได้รับในคืนนี้
“สวีโย่ว ท่านว่าคนผู้นั้นคืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้จริงหรือไม่” เสิ่นเวยเอ่ยปากถาม
สวีโย่วคิดแล้วจึงกล่าว “ไม่อาจสรุปได้” กล่าวต่อ “ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ ท่านเสนาบดีฉินคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเรียบง่ายอย่างเช่นที่เห็น” สวีโย่วรู้สึกโชคดีจริงๆ โชคดีที่ภรรยาเขาใจแคบและชอบก่อเรื่อง หากไม่ใช่นางจับตามองท่านเสนาบดีฉิน เช่นนั้นเขาก็คงมองข้ามจิ้งจอกเฒ่าที่อันตรายผู้นี้ไปแล้วจริงๆ
เสิ่นเวยเข้าใจเจตนาของสวีโย่วอย่างมาก ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ตาเฒ่าผู้นั้นพูดเป็นจริงหรือเท็จ อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้บุคคลที่เก่งกาจเพียงนั้นจะถูกท่านเสนาบดีฉินขังได้อย่างไร นางเองก็ไม่เชื่ออย่างยิ่ง!
“สืบให้ชัดเจนดีกว่า สืบดูว่าแท้จริงแล้วเมื่อยี่สิบปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยังมีท่านเสนาบดีฉินผู้นั้น ก็ต้องสืบเช่นกัน!” เสิ่นเวยขมวดคิ้วกล่าว หากตาเฒ่าผู้นั้นเป็นอ๋องเคียงบ่าจริงๆ เช่นนั้นท่านเสนาบดีที่ขังเขาไว้ก็ไม่ใช่เล็กๆ เลย! รวมถึงคดีของไท่จื่อองค์ก่อนก็ล้วนมีคำอธิบายเช่นกัน
สวีโย่วพยักหน้า “วางใจ เรื่องนี้ข้าจะต้องสืบ เพียงแต่ช่วงนี้ที่จวนเสนาบดีฉินไม่อาจไปได้อีกแล้ว เลี่ยงไม่ให้แหวกหญ้าให้งูตื่น” สวีโย่วกำชับหนึ่งประโยค
แม้เสิ่นเวยจะไม่ค่อยยินยอม แต่ก็ยังคงพยักหน้าเห็นด้วย ในดวงตากะพริบวาบ กล่าวต่อ “เรื่องนี้จะต้องบอกฝ่าบาทสักหน่อยหรือไม่”
สวีโย่วส่ายหน้าทันที “อย่าเพิ่งพูดก่อน รอสืบให้แน่ชัดแล้วค่อยพูดเถอะ” หลายปีเพียงนี้ท่านเสนาบดีฉินได้รับความสำคัญจากฝ่าบาทอย่างถึงที่สุด มิหนำซ้ำใครจะรู้ว่าข้างกายฝ่าบาทสะอาดหรือไม่ หากสร้างความตกใจล่วงหน้าเช่นนั้นจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็จะไหวตัวทัน
เสิ่นเวยยักไหล่อย่างไม่มีความคิดเห็น คล้ายจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ กล่าว “คนที่เจอคืนนี้ก็คือคนผู้นั้นที่ข้าบังเอิญเจอเมื่อคืนนั้น สวีโย่ว ท่านดูภูมิหลังของเขาออกหรือไม่” ส่วนข้ออ้างที่คนผู้นั้นบอกว่าไปขโมยของล้ำค่าที่จวนเสนาบดีเสิ่นเวยไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว นั่งเฝ้าอยู่ในจวนเสนาบดีมากว่าครึ่งเดือนกระทั่งนานกว่านั้น นี่ดึงดูดความสนใจของเสิ่นเวยอย่างเลี่ยงไม่ได้
สวีโย่วไตร่ตรองครู่หนึ่ง กล่าว “รอก่อนเถิด ข้าให้ทหารเงาตามเขาไปแล้ว”
ข่าวที่ทหารเงานำกลับมาทำให้เสิ่นเวยผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะว่าทหารเงาตามไปเพียงไม่กี่สายถนนก็คลาดกับคนแล้ว สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยผิดหวัง ลังเลครู่หนึ่งจึงกล่าว “หากข้าทายไม่ผิด เขาน่าจะเป็นหัวหน้าผู้นั้นของกลุ่มมือสังหาร หลายปีก่อนข้าเคยพบเขาครั้งหนึ่ง”
“อะไรนะ เหตุใดท่านถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้” เสิ่นเวยนั่งไม่ติดในชั่วขณะ กัดฟันด้วยความโกรธ “หากท่านบอกเร็วกว่านี้เมื่อครู่ข้าคงฆ่าเขาไปแล้ว” นางไม่ลืมเรื่องที่ปีก่อนถูกคนชุดดำลอบสังหาร หลังเรื่องจบสวีโย่วเองก็บอกว่าคนชุดดำเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมือสังหารของกลุ่มมือสังหาร เพราะว่ากลุ่มมือสังหารค่อนข้างลึกลับ บวกกับเกิดเรื่องที่ซีเจียง เสิ่นถูกกิจธุระพัวพันในชั่วขณะจึงวางเรื่องนี้ไว้ข้างๆ แต่ส่วนลึกภายในใจนางไม่มีทางลืมความอาฆาตเคียดแค้นได้ ตอนนี้บังเอิญเจอหัวหน้าของกลุ่มมือสังหาร นางปล่อยไปสิแปลก
สวีโย่วหัวเราะอย่างจนใจ ดึงเสิ่นเวยที่เกรี้ยวกราดกลับมา “ดูเจ้าร้อนใจสิ ข้าเพียงแค่บอกว่าเหมือนหัวหน้ากลุ่มมือสังหารผู้นั้น แต่ก็ไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย อย่างไรเสียครั้งนั้นที่เห็นเขาก็เมื่อหลายปีก่อนแล้ว ซ้ำยังเห็นเพียงแวบเดียว แม้แต่พูดยังไม่ได้พูดสักคำ หากจำผิดขึ้นมาเล่า”
“ไม่มีทาง!” เสิ่นเวยกัดฟันกรอดกล่าว สายตาคุณชายใหญ่ของนางสามารถมองคนผิดได้ด้วยหรือ ทำให้เขาพูดออกมาได้เช่นนั้นก็มีความมั่นใจแปดเก้าส่วนแล้ว อย่าว่าแต่แปดเก้าส่วน ต่อให้มั่นใจเพียงห้าส่วนก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง ด้วยเหตุนี้สายตาที่เสิ่นเวยมองสวีโย่วจึงคับแค้น “ท่านรู้อยู่ว่าข้ากับเขามีความแค้นใหญ่หลวง ยังไม่บอกข้าอีก มีเจตนาอันใด หรือว่าหัวหน้าของกลุ่มมือสังหารเป็นมิตรท่าน” นั่นคือความพ่ายแพ้ครั้งแรกที่นางเจอตั้งแต่ทะลุมิติมา แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บถึงข้างใน แต่บาดแผลบนผิวหนังเหล่านั้นก็ทำให้นางรักษาอยู่เป็นเวลานาน
สวีโย่วเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ตีแขนเสิ่นเวยเล็กน้อยอย่างอารมณ์ไม่ดี ดูสิเด็กน้อยพูดอะไรออกมา เป็นมิตร ใช่ในใจนางไม่เข้าใจหรือไร
แต่เห็นท่าทางงอนง้อของเสิ่นเวย สวีโย่วก็ทนว่านางไม่ได้ โอบเอวของนางกล่าวปลอบ “เจ้าไปแก้แค้นเขาก็ไร้ประโยชน์ กลุ่มมือสังหารเป็นสถานที่ที่เปิดประตูไปเพื่อทำธุรกิจ ขอเพียงแค่เสนอราคาได้ ต่อให้จะสั่งพวกเขาไปลอบสังหารฝ่าบาทพวกเขาก็กล้า นั่นคือพวกเดนตายที่มีวันนี้ไม่มีพรุ่งนี้หนึ่งกลุ่ม เรื่องนั้นเจ้ายังคงต้องหาหัวหน้าที่แท้จริง”
เห็นเสิ่นเวยยังคงไม่พอใจทั้งใบหน้า ก็รีบกล่าวรับปาก “ก็ได้ๆๆ ครั้งหน้าหากบังเอิญเจอเขาเจ้าก็ลงมือ ข้าจะเตรียมช่วยอยู่ข้างๆ แทนเจ้าดีหรือไม่ เลิกเบะปากได้แล้ว ไม่ขัดเจ้าแล้วเลิกงอนได้แล้ว”
แม้เสิ่นเวยจะรู้ว่าสวีโย่วพูดมีเหตุผล แต่ในด้านจิตใจก็ยังคงไม่ยินยอม ถลึงตาใส่สวีโย่วแล้วกล่าว “ท่านไม่ขัดก็ถูกแล้ว อย่างอื่นข้าไม่สน อย่างไรเสียคนที่ลงมือกับข้าโดยตรงก็คือมือสังหารของกลุ่มมือสังหาร ข้าไม่คิดบัญชีกับเขาแล้วจะไปคิดบัญชีกับใคร คอยดูเถอะครั้งหน้าหากเจอเขาอีก คิดว่าข้าไม่กล้าถลกหนังเขา ดึงเอ็นเขาหรือ” ส่วนหัวหน้าตัวจริง ใครจะรู้ว่าเป็นผู้ใด หัวหน้าตัวจริงยิ่งไม่อาจปล่อยไปได้ แต่ก่อนที่จะหาหัวหน้าตัวจริงเจอนางไม่ถือสาที่จะเก็บดอกเบี้ยสักเล็กน้อยจากกลุ่มมือสังหารก่อน
เสิ่นเวยวางแผนเงียบๆ ในใจว่าจะจับลูกกระต่ายตัวนั้นอย่างไรแล้ว สวีโย่วมองเสิ่นเวยที่เห็นได้ชัดว่าใจลอย ทั้งโมโหทั้งขบขัน เสียใจที่ตนปากไวเหตุใดถึงบอกนางไปเล่า
ในห้องลับของท่านเสนาบดีฉินขังผู้เฒ่าไว้หนึ่งคน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ เรื่องนี้เสิ่นเวยไม่ได้พูดกับใครทั้งสิ้น บอกก็เพียงแต่อาจารย์ซูผู้ฉลาดเฉียบแหลมของนาง
อาจารย์ซูเองก็ตกใจอย่างถึงที่สุด เขาขมวดคิ้วเดินไปมาช้าๆ อยู่ในห้อง นานอย่างยิ่งจึงกล่าว “ไม่ต้องสนว่าจะเป็นจริงหรือเท็จ เรื่องนี้ไม่อาจประมาทได้ หากเป็นเท็จ แล้วคนผู้นั้นคือใคร เหตุใดท่านเสนาบดีฉินถึงได้ขังเขาไว้ หากเป็นจริง เช่นนั้นแผนการของท่านเสนาบดีฉินก็ไม่เล็กแน่นอน”
เสิ่นเวยพยักหน้า “อืม ข้ากับคุณชายใหญ่ก็คิดเช่นนี้ สืบหาก่อน เพียงแต่อย่างไรเสียก็ผ่านมาหลายปีเพียงนั้นแล้ว ชั่วขณะคงจะไม่ได้อะไรมาก” เสิ่นเวยเสียดายเล็กน้อย กล่าวต่อ “แผนการของท่านเสนาบดีฉินไม่เคยเล็กอยู่แล้ว เพียงดูจากภาพลักษณ์ในราชสำนักขององค์ชายรอง เบื้องหลังนี้จะไม่มีฝีมือของเขาได้อย่างไร” เด็กหนุ่มที่ยังไม่ถึงยี่สิบปีคนหนึ่ง ต่อให้ฉลาดก็ไม่อาจทำทุกเรื่องได้อย่างเหมาะสม เบื้องหลังนี้จะต้องมีท่านเสนาบดีฉินจัดการช่วยเหลือเงียบๆ แน่นอน
อาจารย์ซูไตร่ตรองครู่หนึ่งกลับกล่าว “จวิ้นจู่ ผู้ชรามักจะรู้สึกบางอย่าง แผนการของท่านเสนาบดีฉินคล้ายไม่ใช่เพียงเท่านี้ คล้ายยังใหญ่กว่านี้”
“อาจารย์คิดมากไปแล้วหรือไม่ นอกจากให้องค์ชายรองขึ้นครองบัลลังก์เขายังจะวางแผนอะไรได้อีก คงไม่คิดจะช่วงชิงบัลลังก์เป็นฮ่องเต้เองหรอกกระมัง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย ตอนนี้ไม่ใช่กลียุค ตระกูลฉินของเขาจะขึ้นครองบัลลังก์งั้นหรือ ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น ท่านเสนาบดีฉินเองก็ไม่ได้โง่เพียงนั้น สนับสนุนหลานชายของตนขึ้นครองบัลลังก์ค่อนข้างน่าเชื่อถือกว่า
ทว่าคำพูดพลั้งปากของเสิ่นเวยกลับทำให้อาจารย์ซูใจเต้น “จวิ้นจู่ ท่านเคยรู้สึกหรือไม่ว่าองค์ชายรองหน้าตาเหมือนท่านเสนาบดีฉินอย่างยิ่ง เหมือนพ่อลูกยิ่งกว่าคุณชายใหญ่ตระกูลฉินผู้นั้นเสียอีก”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง” เสิ่นเวยตกใจกับการคาดเดานี้ของอาจารย์ซูจนสำลัก ไอออกมาอย่างแรง ครู่ใหญ่กว่าจะสงบลงได้ “พวกเขาเป็นญาติฝ่ายตา เหมือนกันก็ไม่แปลก! อีกอย่างไม่ว่าอย่างไรองค์ชายรองก็เป็นองค์ชายผู้ยิ่งใหญ่ อยู่ลึกเข้าไปในพระราชวัง ท่านเสนาบดีฉินเช่นเขาไหนเลยจะมีความสามารถในการเปลี่ยนตัวคน” อาจารย์ซูคิดไกลเกินไปแล้ว เสิ่นเวยส่ายหน้า
ทว่าอาจารย์ซูกลับกล่าว “แต่องค์ชายรองกลับหน้าไม่เหมือนฝ่าบาทเลยแม้แต่นิดเดียว กลับเหมือนฉินซูเฟยสองส่วน”
เสิ่นเวยแสยะปาก “ใครบอก คราวก่อนฝ่าบาทยังบ่นกับคุณชายใหญ่ว่า ในหมู่องค์ชายทั้งหมดมีองค์ชายรองที่เหมือนเขาที่สุด อาจารย์ เรื่องนี้พวกเราจะเดามั่วไม่ได้ อาจจะถูกตัดหัวเอาได้” ไม่เหมือนครั้งก่อนที่นางมีสิทธิ์ก่อเรื่องวุ่นวายในห้องหนังสือส่วนพระองค์ได้ หากนางกล้าวิ่งไปบอกต่อหน้าฮ่องเต้ยงเซวียนว่าองค์ชายรองไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเขา ฮ่องเต้ยงเซวียนก็ไม่สนว่านางจะเป็นหลานสะใภ้หรือไม่ ไม่กี่นาทีก็สามารถเผานางมอดไหม้ได้
หลักการที่เสิ่นเวยเข้าใจ อาจารย์ซูจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เขาพยักหน้ากล่าว “จวิ้นจู่วางใจเถิด ผู้ชรารู้ว่าอะไรควรมิควร” หยุดครู่หนึ่งกล่าวต่อ “จวิ้นจู่ ท่านจะลองสืบเรื่องฉินเฮ่อบิดาของท่านเสนาบดีฉินดูก็ได้ ข้าคล้ายเคยได้ยินใครเอ่ยว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับอ๋องเคียงบ่าผู้นั้น” ใครในที่นี้ย่อมต้องเป็นอำมาตย์ฟังพ่อผู้มีตำแหน่งอำนาจผู้นั้นของเขา
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่จวนผิงจวิ้นอ๋องเลี้ยงแขกแล้วเขาออกหน้าจัดการ เขาก็รู้แล้วว่าในที่สุดฐานะของตนก็ถูกเปิดเผย ภายหลังฟังว่าเรื่องที่นายท่านรองตระกูลฟังรับสินบน นายท่านรองเลี้ยงนักแสดงงิ้ว นายท่านสี่ข่มขืนหญิงชาวบ้านไม่รู้ว่าถูกใครเปิดโปง ก็ทำให้ผู้ตรวจการราชสำนักพากันกล่าวโทษ
เขาจึงทราบว่าจวิ้นจู่ของเขารู้เรื่องเขาแล้ว จวิ้นจู่ของเขาระบายความโกรธแทนเขา เขาทั้งซาบซึ้งทั้งอบอุ่นใจ! เร่ร่อนมากว่าครึ่งชีวิต ลองผิดลองถูกรับเด็กนักเรียนหญิงมาหนึ่งคน เพียงแค่เลี้ยงดูสั่งสอนลวกๆ ไม่คิดว่ากลับเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของตน
เขาเองก็ไม่คิดจะปิดบังหลบซ่อน ขอเพียงแค่จวิ้นจู่ถาม เช่นนั้นเขาก็จะเล่าความจริง หากจวิ้นจู่ไม่ถามเขาก็จะไม่พูดเยอะ เขาน่ะมองจวิ้นจู่เป็นบุตรสาวคนเล็กของตนมาตั้งแต่ต้นแล้ว!
ตอนที่ 262-1 แม่ลูกคู่หนึ่ง
ตั้งแต่กลับมาจากเรือนอาจารย์ซู เสิ่นเวยก็คิดถึงคำพูดของอาจารย์ซู ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็เรียกเย่ว์กุ้ยเข้ามา ออกคำสั่งเสียงต่ำกับนางหลายประโยค เย่ว์กุ้ยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวทราบแล้ว”
เสิ่นเวยสั่งอีกหนึ่งประโยค “เรื่องนี้ต้องจัดการเงียบๆ อย่าให้คนอื่นเห็นเสียล่ะ”
เย่ว์กุ้ยกลัวในใจ รู้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ ในใจแอบเตือนตัวเองว่าต้องระมัดระวังยิ่งขึ้น
เสิ่นเวยให้เย่ว์กุ้ยไปบอกกล่าวจางสยงกับชวีไห่ เพื่อความปลอดภัย นางจะต้องจับจ้องคนทั้งหมดในจวนเสนาบดีฉิน นอกจากทหารลับแล้ว เพิ่มจางสยงกับชวีไห่สองกลุ่มนี้ นางไม่เชื่อว่าคนของจวนเสนาบดีฉินจะไม่ทิ้งร่องรอยเหมือนท่านเสนาบดีฉินจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นทั้งหมด ขอเพียงแค่เผยเบาะแสเงื่อนงำเพียงเล็กน้อย นางก็สามารถสืบตามปมลงไปได้
เสิ่นเซ่าจวิ้นที่เดิมควรจะถึงนานแล้ว กระทั่งการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูจบลงก็เพิ่งจะย่างกรายมาถึง เสิ่นเวยฟังหู่โถวที่ไปรับคนบอกว่าเขาพาแม่ลูกคู่หนึ่งเข้าเมืองหลวงมาด้วย มือที่ถือแก้วชาอยู่ก็หยุดชะงัก
“แม่ลูกคู่หนึ่งงั้นหรือ” เสิ่นเวยอดขึ้นเสียงสูงไม่ได้ สีหน้าก็นิ่งขรึมลง
สีหน้าของหู่โถวเองก็ไม่ดีอย่างยิ่ง “ขอรับ ฟู่กุ้ยข้างกายท่านอาเซ่าจวิ้นบอกว่าช่วยไว้ระหว่างทาง คนอยู่หน้าประตูใหญ่แล้ว ท่านอาเซ่ากุ้ยขอให้ท่านอาช่วยจัดแจงให้”
ไม่นึกว่านางเฝ้ารอเขามาเมืองหลวงทุกวัน แต่เขากลับเสียเวลาเดินทางเพราะคนที่ไม่มีความสำคัญ เสิ่นเวยรู้ตัวดีว่าทุ่มเทกายใจให้เขามากที่สุด แต่เขากลับตอบแทนนางเช่นนี้งั้นหรือ หากนางยกย่องคนที่แยกแยะความสำคัญไม่ได้เช่นนี้ เช่นนั้นนางยอมที่จะตัดหนทางสู่ยศตำแหน่งของเขาด้วยมือตัวเอง ดวงตาของเสิ่นเวยมีความเหยียดหยันแวบผ่าน
เห็นเสิ่นเวยโมโห ในใจหู่โถวก็ไม่พอใจเสิ่นเซ่าจวิ้นอย่างถึงที่สุด ท่านอาเซ่าจวิ้นผู้นี้เลอะเลือนเกินไปแล้ว ช่วยคนเป็นเรื่องดี แต่เหตุใดยังต้องพาเข้าเมืองหลวง ไม่รู้หรือว่าตัวเองมาเมืองหลวงเพื่อทำอะไร ยิ่งไปกว่านั้นเขาแต่งงานมีบุตรนานแล้ว มีสตรีเยาว์วัยติดตามอยู่ข้างกายหมายความว่าอย่างไร
แม้ว่าไม่พอใจ แต่หู่โถวก็ยังคงพูดเข้าข้างเสิ่นเซ่าจวิ้นหลายประโยค อย่างไรเสียก็เป็นคนตระกูลเดียวกัน ท่านอาเซ่าจวิ้นมีอนาคตก็ถือเป็นเกียรติสูงสุดของสกุลเสิ่นทั้งตระกูล
“ท่านอา ท่านอาเซ่าจวิ้นไม่ใช่คนไม่มีแผนการเช่นนั้น คงจะมีความลำบากใจอะไรกระมัง หรือว่าหลานไปเรียกฟู่กุ้ยมา แล้วท่านอาลองถามดูดีหรือไม่” หู่โถวกล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย
เดิมเสิ่นเวยโมโหเดือดดาล ได้ยินหู่โถวพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าแต่ไหนแต่ไรเสิ่นเซ่าจวิ้นเป็นคนประพฤติตนตามกฎระเบียบจริงๆ น่าจะไม่มีลับลมคมนัยอะไร จึงพยักหน้ากล่าว “ไปเรียกฟู่กุ้ยเข้ามา!” เรื่องนี้ถามให้แน่ชัดจึงจะถูก
หู่โถวเห็นเสวิ่นเวยยอมพบฟู่กุ้ย ก็รู้ว่านี่หมายความว่าท่านอายังยอมให้โอกาสท่านอาเซ่าจวิ้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่อย่างอดไม่ได้ รีบไปเรียกฟู่กุ้ยทันที
ฟู่กุ้ยคือเด็กรับใช้ของเสิ่นเซ่าจวิ้น สามปีก่อนเขาสอบเป็นบัณฑิตระดับมณฑลได้ก็ตามอยู่ข้างกายเขาแล้ว หากอยู่ในชนบท กลับยังพูดได้ว่าปราดเปรื่อง แต่มาถึงเมืองหลวงดินแดนศิวิไลซ์แห่งนี้ก็เทียบไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขานั่งอยู่ในห้องยามประตูใหญ่ของจวนจวิ้นอ๋อง แม้ว่าจะพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นของตนเองไว้ แต่เหงื่อบนหน้าผากนั้นก็ไหลไม่หยุด ในใจพะว้าพะวงอย่างยิ่ง
แม่จ๋า นี่คือจวนจวิ้นอ๋อง เพียงแค่ห้องยามประตูใหญ่ก็กว้างโล่งสะอาดถ่ายเทยิ่งกว่าห้องหลักที่นายท่านผู้เฒ่าหัวหน้าตระกูลอยู่แล้ว ฟังว่ากูไหน่ไนผู้นี้ของตระกูลเสิ่นเป็นจวิ้นจู่เหนียงเหนียง เช่นนั้นจะต่างอะไรจากเทพยดาบนสวรรค์
สองแม่ลูกคู่นั้นอีกฝั่งหนึ่งก็ไม่ได้ต่างกันมาก เก็บมือเก็บเท้า ดวงตาต่างก็นิ่งงัน อยากไต่ถามสถานการณ์เล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้า
ตอนที่หู่โถวมาหาคนก็มองเห็นภาพๆ นี้ เขากลับไม่ดูถูก หากเขาไม่ได้ฝึกฝนในเมืองหลวงกับท่านอามาในช่วงปีนี้ เขาก็คงไม่ได้ดีไปกว่าฟู่กุ้ยเลย เขากวาดตามองแม่ลูกคู่นั้นปราดหนึ่งก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ กล่าวกับฟู่กุ้ย “ไปเถิด จวิ้นจู่อยากพบเจ้า”
ฟู่กุ้ยลนลานในชั่วขณะ “คุณชายหู่โถว จวิ้น…จวิ้นจู่…” เขากลัวจนพูดไม่ออกแล้ว
หู่โถวเห็นท่าทางกระวนกระวายนั่นของเขา ทั้งโมโหทั้งขบขันจริงๆ “อย่างไรเสียเจ้าเองก็ติดตามท่านอาเซ่าจวิ้นอยู่ที่วิทยาลัยชิงซานสามปีแล้ว เหตุใดถึงยังมีท่าทางเช่นนี้อยู่เล่า เจ้าวางใจ จวิ้นจู่ของพวกเราใจดี ถามอะไรเจ้าเจ้าก็ตอบไปตามตรงก็พอแล้ว” เขากล่าวเตือน
ฟู่กุ้ยพยักหน้าไม่หยุด เดินตัวปลิวแล้ว ยังจมดิ่งอยู่ในความตื่นตะลึงที่จวิ้นจู่เรียกพบเขา
“พี่ชายน้อยฟู่กุ้ย พวกเราเล่า” แม่ลูกคู่นั้นเห็นคนรู้จักเพียงคนเดียวถูกเรียกไปแล้ว ชั่วขณะก็ลนลาน ไม่สนใจความกลัวแล้ว
ฟู่กุ้ยละสายตามองแม่ลูกคู่นั้น บนใบหน้าลำบากใจอย่างถึงที่สุด มองหู่โถวข้างๆ อย่างอดไม่ได้ “คุณชายหู่โถว คุณชายใหญ่ให้ผู้น้อยพาพวกนางแม่ลูกมาด้วย”
คิ้วของหู่โถวขมวดมุ่นทันที ทิ้งท้ายหนึ่งประโยค “รอก่อน” เขาไม่มีความรู้สึกดีต่อสองแม่ลูกคู่นี้เลยแม้แต่นิดเดียว
ฟู่กุ้ยเห็นหู่โถวเดินไปแล้ว ก็รีบกำชับหนึ่งประโยค “พวกเจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน” จากนั้นก็รีบตามไป
สองแม่ลูกคู่นั้นก็คิดจะตามไป แต่เห็นเด็กรับใช้ในห้องยามประตูใหญ่จ้องมองพวกนาง ก็ไม่กล้าแล้ว ทำได้เพียงหดตัวรออยู่ที่เดิมอย่างอกสั่นขวัญแขวน ในใจแอบเสียดายว่าไม่ควรตามฟู่กุ้ยมาจวนจวิ้นอ๋องอะไรนี่เลย น่าจะตามคุณชายเซ่าจวิ้นไปดีกว่า
เสิ่นเวยเองก็ไม่ทำให้ฟู่กุ้ยลำบากใจ ถามเขาว่าแม่ลูกคู่นั้นเป็นมาอย่างไรด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน
นี่ทำให้ฟู่กุ้ยที่กังวลใจมาตลอดทางถอนหายใจอย่างโล่งอกเงียบๆ แม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นอยู่ดี เพียงแค่ก้มหน้ามองพื้นหน้าเท้าตัวเอง คิดถึงคำพูดของคุณชายหู่โถว แล้วกล่าวตามความจริง “จวิ้นจู่เหนียงเหนียง แม่ลูกคู่นั้นเป็นคนที่คุณชายใหญ่ช่วยไว้ตอนที่ผ่านเมืองอินหู แม่นางผู้นั้นแซ่หวัง พ่อนางจากไปเมื่อสามปีก่อน ใช้ชีวิตพึ่งพากันและกันกับแม่ของนาง ในตระกูลอยากได้มรดกของครอบครัวนาง จึงคิดจะแต่งพวกนางสองแม่ลูกออกไป หาพ่อหม้ายอายุสี่สิบกว่าปีให้แม่นาง ในครอบครัวมีลูกห้าคน ในครอบครัวยากจนจนเหลือเพียงเตียงแค่หลังเดียว คนในตระกูลเห็นแม่นางหวังหน้าตาดี จึงแนะนำนางให้เป็นอนุภรรยาของตระกูลเศรษฐีท้องที่ สองแม่ลูกตระกูลหวังสาบานว่าให้ตายก็ไม่ยอม ระหว่างที่ฉุดรั้งกันแม่นางหวังก็คิดสั้น ชั่วขณะชนลงตรงหน้าคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่เป็นคนใจอ่อน เห็นแม่ลูกคู่นี้น่าสงสารจริงๆ จึงช่วยพูดให้ความเป็นธรรมหลายประโยค ซ้ำยังเปิดเผยฐานะจวี่เหริสั่นสะเทือนคนในตระกูลหวัง ท้ายที่สุดยังไปพูดกับผู้ปกครองเมืองอินหู”
“เช่นนั้นเหตุใดพวกนางถึงได้เข้าเมืองหลวงพร้อมคุณชายของพวกเจ้าเล่า” ฟังฟู่กุ้ยเล่าแล้ว ไฟโกรธของเสิ่นเวยก็ลดลงเล็กน้อย ช่วยคนเป็นเรื่องดี แม้ว่านางจะเจอเรื่องเช่นนี้ก็ต้องช่วยด้วยเช่นกัน
“ทูลจวิ้นจู่เหนียงเหนียง คุณชายของพวกข้าเองก็ไม่ได้คิดจะพาพวกนางเข้าเมืองหลวง คุณชายพูดชัดเจนแล้ว เขาเป็นจวี่จื่อที่เข้าเมืองหลวงเพื่อมาสอบ ตนยังมีภาระอยู่ สองแม่ลูกคู่นั้นก็ร้องไห้อ้อนวอน ทั้งยังยอมเป็นบ่าวรับใช้ คุณชายของพวกข้าล้วนไม่รับปาก” ฟู่กุ้ยพูดเรื่องนี้แล้วก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง “เป็นสองแม่ลูกคู่นี้ที่แอบตามพวกข้ามา กว่าพวกข้าจะสังเกตเห็นก็เดินทางมาได้ร้อยลี้แล้ว คุณชายก็ใจแข็งปล่อยพวกนางไปเผชิญความเป็นความตายด้วยตัวเองไม่ได้ หมดหนทางจึงพาพวกนางมาด้วย”
อ้อ ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้เองหรือ เสิ่นเวยพยักหน้า ขอเพียงแค่ไม่ใช่เสิ่นเซ่าจวิ้นหลงใหลมัวเมาก็พอแล้ว หากรู้ว่ายังสอบไม่ผ่านก็ลุ่มหลงในตัณหา คนเช่นนี้ต่อให้ช่วยยกเขาขึ้นไป เขาก็เดินไปได้ไม่ไกลหรอก
“ตลอดทางนี้คุณชายของเจ้าพูดคุยกับแม่นางหวังผู้นั้นเยอะหรือไม่” เสิ่นเวยยังไม่วางใจถามต่อ
ฟู่กุ้ยส่ายหน้า “ไม่เยอะขอรับ แม่นางหวังผู้นั้นกลับอยากหาโอกาสมาคุยกับคุณชาย ทั้งยังทำรองเท้าให้คุณชาย ล้วนแต่ถูกคุณชายปฏิเสธ คุณชายบอกว่าชายหญิงไม่ควรแตะเนื้อต้องตัว ไม่อาจทำลายชื่อเสียงอันดีของบุตรสาวผู้อื่นได้ แม่ลูกตระกูลหวังล้วนแต่เป็นผู้น้อยที่ออกหน้าดูแล”
เสิ่นเวยได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แม้แต่หู่โถวก็คลายกำปั้นที่กำแน่นช้าๆ แท้จริงแล้วท่านอาเซ่าจวิ้นก็ไม่ได้เลอะเลือน
“เช่นนั้นคุณชายเจ้าสั่งเจ้าไว้ว่าอย่างไร” ท่าทีของเสิ่นเวยอ่อนโยนยิ่งขึ้น ขอเพียงแค่เสิ่นเซ่าจวิ้นแน่วแน่มีเหตุมีผล นางก็ไม่ถือสาจะช่วยเขาจัดการธุระปะปัง
ฟู่กุ้ยตอบต่อ “คุณชายบอกว่า เขาไปเยี่ยมผู้อาวุโสที่จวนจงอู่โหว ไม่ควรพาแม่ลูกคู่นี้ไปด้วย อีกทั้งเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการพวกนางอย่างไร จึงให้ผู้น้อยพาพวกนางมาขอให้จวิ้นจู่ช่วย ทั่วทั้งเมืองหลวงเขาเองก็รู้จักแค่เพียงจวิ้นจู่ผู้เดียว หากไม่มีวิธีจริงๆ ก็ไม่อาจเพิ่มภาระให้จวิ้นจู่ได้เช่นกัน” ฟู่กุ้ยพูดตามคำพูดของคุณชายของเขารอบหนึ่ง
เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง กล่าว “ได้ เรื่องนี้ข้าทราบแล้ว แม่ลูกคู่นั้นข้าจะรับต่อไว้เอง เจ้ากลับไปปรนนิบัติคุณชายของเจ้าเถอะ บอกเขาว่ามีเวลาว่างก็มาที่จวนผิงจวิ้นอ๋องสักเที่ยวหนึ่ง ข้ายังมีเรื่องอยากหารือกับเขา”
ฟู่กุ้ยดีใจอย่างคาดไม่ถึง หมอบลงกับพื้นโขกศีรษะ “ผู้น้อยขอบคุณจวิ้นจู่เหนียงเหนียงแทนคุณชายเป็นอย่างยิ่ง” ขอเพียงแค่จวิ้นจู่ยอมช่วยเรื่องนี้ คุณชายก็ไม่ต้องลำบากใจอีกต่อไปแล้ว
“จวิ้นจู่ แม่ลูกคู่นั้นจะจัดการอย่างไร” หลีฮวาก้าวขึ้นไปข้างหน้ากล่าวถาม
เสิ่นเวยไม่แม้แต่จะคิดก็กล่าว “โยนให้เถาจือก็ได้แล้ว ให้นางหางานเย็บปักถักร้อยให้ทำ คอยดูสักหน่อย อย่าให้พวกนางออกจากเรือนไปเดินมั่วซั่ว”
“จวิ้นจู่ ท่านไม่ไปพบพวกนางหรือ” เหอหวาที่ปากไวก็เอ่ยปากกล่าว ในสายตาจวิ้นจู่ของนางเป็นคนดีที่เห็นใจคนจนสงสารคนอ่อนแอที่สุด แม่ลูกคู่นั้นน่าสงสารเพียงนั้น จวิ้นจู่จะต้องไปพบพวกนางหน่อยมิใช่หรือ
“น้องเหอฮวาเจ้าพูดอะไรโง่ๆ!” เถาจือตำหนิทันที “พวกนางเป็นใครกัน ควรค่าให้จวิ้นจู่ไปพบพวกนางหรือ หลังจากนี้คำพูดเช่นนี้ก็อย่าได้พูดอีก”
จากนั้นก็แสดงท่าทีต่อเสิ่นเวย “จวิ้นจู่วางใจ บ่าวจะดูพวกนางอย่างดี”
เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างพอใจ “อืม เจ้าจัดการข้ายังคงวางใจยิ่งนัก สืบหาที่มาของพวกนางให้ดี สืบดูว่าแท้จริงแล้วพวกนางมีเจตนาความคิดเช่นไร” จากนั้นก็ชี้เหอฮวาแล้วกล่าว “เจ้าน่ะ ไม่ค่อยยอมใช้สมอง เรียนรู้จากพี่หลีฮวากับพี่เถาจือของเจ้าหน่อย หากพวกนางสองคนแต่งออกไปก็ถึงตาเจ้าเป็นผู้นำแล้ว หากเจ้าเป็นเช่นนี้จะรอดหรือ”
“จวิ้นจู่ บ่าวไม่แต่งงาน” หลีฮวากับเถาจือกล่าวพร้อมกัน
เสิ่นเวยโบกมือ “ชายเติบใหญ่พึงแต่งงานหญิงเติบโตพึงสมรส ไม่แต่งงานไม่สมรสดังออกไปจะเป็นเรื่องน่าขัน คนที่มาขอพวกเจ้าหมั้นหมายล้วนแต่มาพูดกับข้านับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเจ้าสองคนอย่ามัวเขินอาย เบิกตาโตเลือกเอาเสีย ชอบคนไหนก็บอกนายของพวกเจ้ามาเลย ไม่อาจทำพวกเจ้าผิดหวังแน่นอน” แต่ไหนแต่ไรเสิ่นเวยใจกว้างกับสาวใช้ในเรือนของนางอย่างยิ่ง โดยเฉพาะคนเหล่านี้ที่ติดตามนางมาจากหมู่บ้านตระกูลเสิ่น
พูดจนหลีฮวากับเถาจือต่างก็แก้มแดงระเรื่อ ใจเต้นรัว
หัวหน้าไปมองเห็นเหอฮวายังคงมีท่าทางมึนงงทั้งใบหน้า กล่าว “เถาจือ เจ้าอธิบายให้เหอฮวาฟังหน่อย เลี่ยงไม่ให้วันไหนนางถูกคนขายแล้วยังไปนับเงินให้เขา เห็นชัดๆ ว่านิสัยโหดเ**้ยม เหตุใดถึงใจอ่อนเพียงนี้เล่า” น่ากลุ้มใจจริงๆ
เถาจือดึงเหอฮวาไปข้างๆ เริ่มอธิบาย “เจ้าน่ะ คิดแค่ว่าแม่ลูกคู่นั้นน่าสงสาร แต่สำหรับพวกเราแล้วพวกนางก็คือคนแปลกหน้าสองคน ใครจะรู้ว่าพวกนางน่าสงารจริงหรือน่าสงสารปลอม บุ่มบ่ามพามาอยู่ต่อหน้าจวิ้นจู่เช่นนี้ หากเป็นคนไม่ดีจะทำเช่นไร”
“เป็นไปไม่ได้กระมัง เมื่อครู่ฟู่กุ้ยก็บอกแล้วมิใช่หรือ พวกนางถูกคนในตระกูลบีบบังคับจนมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว” ดวงตาเหอฮวามีความสงสัย
เถาจือโมโหจนคิดจะตบหน้านางสักสองฉาก เด็กผู้หญิงคนนี้ปกติก็ดูน่าเชื่อถือ เหตุใดพอเจอเรื่องสมองถึงได้เลอะเลือนเล่า หรือว่าที่แยกเขี้ยวยิงฟันเมื่อก่อนล้วนเป็นการวางมาดตบตาคน
“ฟู่กุ้ยบอก ฟู่กุ้ยบอกก็เป็นเรื่องจริงแล้วหรือ บางทีพวกนางอาจจะหลอกแม้แต่เขากับคุณชายเซ่าจวิ้นก็เป็นได้ แม้จะเป็นเรื่องจริงแล้วอย่างไร นายท่านของพวกเราเป็นใคร แล้วพวกนางเป็นใคร ฮูหยินที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ขั้นสี่พบจวิ้นจู่ของพวกเรายังยากเลย หญิงชาวบ้านธรรมดายังหวังจะพบจวิ้นจู่ ทะนงตนเกินไปหน่อยหรือไม่” เถาจือเหยียดหยามอย่างยิ่ง
หลีฮวาเองก็ช่วยพูด “เหอฮวา ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้ว เจ้าเองก็ไม่ใช่หลี่เสี่ยวหม่านผู้นั้นแล้ว หากเจ้าไม่เปลี่ยนนิสัยใจอ่อนอีก ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะนำปัญหามาให้จวิ้นจู่ได้”
เมื่อเหอฮวาได้ยินว่าอาจจะนำปัญหามาให้จวิ้นจู่ได้ ชั่วขณะก็จริงจังขึ้นมา “จวิ้นจู่ ท่านวางใจ บ่าวจะเปลี่ยนแน่นอน บ่าวทำตรงไหนไม่ถูก ท่านเห็นว่าจะลงโทษเช่นไรก็ลงโทษเช่นนั้น บ่าวไม่อาจเป็นภาระของท่านเด็ดขาด”
เสิ่นเวยยิ้มปลอบ “หลีฮวาเถาจือก็อย่าขู่นางไปเลย ไหนเลยจะต้องจริงจังเพียงนั้น ปกติเหอฮวาก็ทำงานได้ไม่เลวอย่างยิ่งแล้ว นางอายุยังน้อย พวกเจ้าสองคนโตกว่าก็ค่อยๆ สอนนางก็พอ”
ทั้งสามตอบรับพร้อมกัน
ตอนที่ 262-2 แม่ลูกคู่หนึ่ง
เสิ่นเซ่าจวิ้นมาเร็วอย่างยิ่ง วันรุ่งขึ้นก็มาเยี่ยมถึงหน้าประตูแล้ว หู่โถวกับอาจารย์ซูต้อนรับเขา อาจารย์ซูเคยชี้แนะบทความของเขา นับได้ว่ามีบุญคุณสอนสั่ง ด้วยเหตุนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นจึงเคารพอาจารย์ซูมากเป็นพิเศษ ไม่ได้มองข้ามเพราะว่าตนเป็นหลานชายในตระกูลของราชครูเสิ่นอย่างสิ้นเชิง
อาจารย์ซูมองเขาทำความเคารพนิ่งๆ ในใจพยักหน้าเงียบๆ อืม เป็นคนรู้ประสาสำนึกบุญคุณ ความทุ่มเทของจวิ้นจู่ไม่เสียเปล่า
เสิ่นเซ่าจวิ้นเห็นเสิ่นเวยก็คำนับต่ำ “นำภาระมาให้จวิ้นจู่แล้ว”
เสิ่นเวยแค่นเสียงหนึ่งครากล่าว “ยังนับว่าเจ้าไม่ได้เลอะเลือนเกินไป หากเจ้าพาแม่ลูกคู่นั้นเข้าประตูจวนจงอู่โหว เชื่อหรือไม่ว่าท่านปู่สามารถลากเจ้าออกมาได้ทันที”
ใบหน้าของเสิ่นเซ่าจวิ้นเปลี่ยนสีในชั่วขณะ แอบโชคดีในการตัดสินใจของตน เขาเพียงแค่คิดว่าพาแม่ลูกที่ช่วยไว้ระหว่างทางผู้นั้นไปเยี่ยมผู้อาวุโสไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่ยังไม่ได้คิดว่าผลลัพธ์จะร้ายแรงเพียงนี้
“ไม่เชื่อหรือ” เสิ่นเวยเลิกคิ้วกล่าว “ไม่คิดดูบ้างว่าเจ้าเข้าเมืองหลวงมาทำอะไร พาแม่ลูกคู่หนึ่งมาด้วยอย่างกับอะไรดี โดยเฉพาะนั่นยังเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม เจ้าจะให้คนอื่นมองอย่างไร พูดอย่างไร เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นความไม่เป็นธรรมจึงชักดาบช่วยเหลือ เจ้าบอกว่าเจ้าบริสุทธิ์ แต่คนอื่นจะเชื่อหรือ ปากคนจำนวนมากย่อมเปลี่ยนถูกให้เป็นผิดได้ ข่าวลือสามารถฆ่าคนได้ เจ้าบอกว่าเจ้าลำบากลำบนสอบเป็นจิ้นซื่อได้ แล้วถูกคนขุดเรื่องเช่นนี้ออกมา ความประพฤติเสียหาย ยังจะมีอนาคตอะไรได้อีก” คำพูดนี้ของเสิ่นเวยไม่มีความเกรงใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเซ่าจวิ้นก็ยิ่งเสียใจ ยิ้มเจื่อนกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดเยอะเพียงนี้จริงๆ เพียงแค่แข็งใจไม่ได้ในชั่วขณะ” แม่ลูกคู่นั้นข้างกายไม่มีบุรุษเคียงข้าง ไม่ปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง!
“เพียงแค่แข็งใจไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเห็นแม่นางผู้นั้นหน้าตาดีหรือไร” เสิ่นเวยชายตามองเสิ่นเซ่าจวิ้น “ยังมี ไม่ต้องเรียกข้าจวิ้นจู่ เรียนน้องเวยเหมือนก่อนเถอะ”
เสิ่นเซ่าจวิ้นหลุดหัวเราะ “น้องเวยคิดไปถึงไหนแล้ว พี่เป็นคนเช่นนั้นหรือไร ในครอบครัวพี่มีภรรยามีบุตรแล้ว ไม่ใช่คนที่ได้ใหม่ลืมเก่ามักมายในตัณหาเช่นนั้นแน่นอน” เขากล่าวด้วยท่าทางจริงจัง
เสิ่นเวยเห็นสีหน้าท่าทางเขาไม่เหมือนเสแสร้ง ก็วางใจลงแล้ว กล่าว “เจ้าพึงรู้ไว้ว่าการแข็งใจไม่ได้ในชั่วขณะของเจ้าเกือบจะทำลายอนาคตของตนแล้ว คิดถึงภรรยาบุตรพ่อแม่ในครอบครัวบ้าง ยังมีปู่ย่าที่ตั้งหน้าตั้งตารอเจ้าสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร ใจอ่อนเพื่อคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้อง คุ้มค่าหรือไร” เสิ่นเวยตักเตือนต่อ ใจดีไม่ผิด แต่ต้องมีขอบเขต มีวิธี คิดเช่นเขา ภายหลังเข้าราชสำนักเป็นขุนนาง จะไม่ถูกคนหลอกตายหรือ
เสิ่นเซ่าจวิ้นถูกเสิ่นเวยพูดจนละอายใจอย่างยิ่ง โค้งตัวต่ำให้เสิ่นเวยอีกครั้ง กล่าวจากใจจริง “น้องเวย พี่ผิดไปแล้ว ผิดเป็นครู หลังจากนี้พี่จะไม่ทำตัวบุ่มบ่ามเช่นนี้แล้ว จะต้องคิดหน้าคิดหลัง เรื่องนี้พี่ต้องขอบคุณน้องเวยยิ่งนัก”
เสิ่นเซ่าจวิ้นกลับไม่รู้สึกเสียหน้าอะไร หนึ่งคือ ท่านปู่กำชับแล้วว่าให้เขาฟังคำของน้องเวย สองคือ เขารู้ดีชั่ว เข้าใจว่าที่สามารถพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ได้ ก็เพราะหวังดีกับตนเอง
“หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่ท่านลุงปู่ที่อายุมากแล้วข้าก็ขี้เกียจจะสนใจเรื่องจุกจิกของเจ้า” เสิ่นเวยแค่นเสียงอีกครา “แม่ลูกคู่นั้นเจ้าวางแผนไว้ว่าอย่างไร” เสิ่นเวยถามอย่างไม่สนใจ
“ให้น้องเวยตัดสินทั้งหมด” คราวนี้เสิ่นเซ่าจวิ้นกลับตอบอย่างรวดเร็ว “พวกนางกลับเคยบอกว่าจะเป็นบ่าวรับใช้ ข้างกายพี่มีฟู่กุ้ยคนเดียวก็พอแล้ว จึงไม่ได้รับปาก หากน้องเวยยินยอม ก็ให้พวกเขาลงชื่อขายตัวเป็นทาสแบ่งงานในจวนเถิด อย่างไรเสียก็ดีกว่าให้พวกนางถูกคนกลั่นแกล้งอยู่ข้างนอก”
เสิ่นเวยเห็นเขาไม่ได้ใส่ใจแม่ลูกคู่นั้นจริงๆ ก็พยักหน้าแล้วกล่าว “ได้ เรื่องนี้เจ้าก็ไม่ต้องยุ่งแล้ว หน้าที่ของเจ้าก็คือตั้งใจเรียนหนังสือ มีเวลาว่างก็ให้เจวี๋ยเอ๋อร์พาเจ้าออกไปเดินเล่น ผูกมิตรกับสหายที่มีอุดมการณ์เดียวกันไว้ให้มาก ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูกระทั่งอนาคตในภายหน้า”
คิดครู่หนึ่งจึงกล่าวเสริมต่อหนึ่งประโยค “อาจารย์ซูเป็นผู้มีความสามารถมาก เจ้าเองก็สามารถไปขอคำแนะนำได้บ่อยๆ ช่วงนี้ท่านจวิ้นอ๋องยุ่ง รอเขาว่างแล้วข้าค่อยเตรียมการให้เจ้ามาเยี่ยมแล้วกัน!”
ส่วนการเตรียมการของเสิ่นเวย เสิ่นเซ่าจวิ้นย่อมยินดีรับ
เห็นท่าทีของเสิ่นเซ่าจวิ้นชัดเจนแล้ว เสิ่นเวยก็ไม่ได้รีบพบแม่ลูกคู่นั้นแล้ว แต่ทิ้งพวกนางไว้อีกสองวัน เถาจือเองก็มารายงาน บอกว่าหลายวันมานี้พวกนางอยู่ในห้องทำงานเย็บปักถักร้อยมาโดยตลอด ไม่มีตรงไหนที่ผิดปกติ เสิ่นเวยจึงสั่งให้คนเรียกพวกนางเข้ามา
เสิ่นเวยมองแม่ลูกคู่นี้นิ่งๆ ต่างก็สวมชุดที่กึ่งเก่าซักจนซีด บนศีรษะก็ไม่มีเครื่องประดับใดๆ ใช้เพียงปิ่นไม้รวบผมขึ้น สีหน้าท่าทางระแวดระวังและตื่นตระหนกอย่างยิ่ง แต่ว่าลูกสาวผู้นั้นกลับหน้าตาสละสลวยหลายส่วน ทั้งยังสงบนิ่งกว่าแม่ของนางเล็กน้อย
เสิ่นเวยพิงตั่ง กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ผู้ที่ช่วยพวกเจ้าเป็นญาติผู้พี่ของตัวข้าจวิ้นจู่ เขาฝากฝังพวกเจ้าให้ข้าแล้ว วันนี้ตัวข้าจวิ้นจู่จะถามเจ้าหนึ่งประโยค หลังจากวันนี้วางแผนไว้ว่าอย่างไร”
บนใบหน้ามารดาตระกูลหวังสับสน ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับรวบรวมความกล้ากล่าวถาม “เรียนถามจวิ้นจู่ผู้มีพระคุณอยู่ที่ใด”
เสิ่นเวยกล่าว “เขาย่อมอยู่ในที่ที่เขาควรอยู่ เจ้าถามถึงเขาทำไม”
แม่นางตระกูลหวังกล่าว “ชีวิตของพวกข้าแม่ลูกล้วนเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยไว้ ข้าเคยสาบานว่าชั่วชีวิตนี้จะเป็นบ่าวเป็นทาสตอบแทนผู้มีพระคุณ จวิ้นจู่ได้โปรดบอกที่อยู่ของผู้มีพระคุณ ข้ายอมเป็นสาวใช้ยกน้ำชาปรนนิบัติผู้มีพระคุณ” พูดจบก็โค้งคำนับต่ำๆ หนึ่งครา
เสิ่นเวยยิ้มแล้ว “ญาติผู้พี่ของข้าไม่ใช่คนใจร้อนอยู่แล้ว ทำความดีไม่ต้องการผลตอบแทน ไม่ต้องการให้เจ้าเป็นสาวใช้ปรนนิบัติ หากเจ้าอยากเป็นสาวใช้จริงๆ ที่เรือนข้ากลับสามารถรับพวกเจ้าแม่ลูกไว้ได้”
ดวงตาของมารดาตระกูลหวังเป็นประกาย แม้ว่าหลายวันมานี้นางจะไม่ได้ออกจากเรือน แต่ฟู่กุ้ยที่รบกวนจวนจวิ้นอ๋องอะไรนี่นางก็เห็นอยู่ในสายตาแล้ว ดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งงานของเหล่าสตรีเหล่านั้นข้างกายจวิ้นจู่ ดียิ่งกว่าคุณหนูตระกูลในท้องถิ่นข้างนอกเสียอีก หากสามารถอยู่ทำงานในจวนจวิ้นอ๋องได้ ต่อให้จะเป็นบ่าว ก็ถือเป็นวาสนาใหญ่แล้ว
นางกำลังจะตอบรับ ก็ได้ยินลูกสาวตนกล่าวขึ้น “พวกข้าแม่ลูกขอบคุณในความหวังดีของจวิ้นจู่ แต่ผู้ที่ช่วยพวกข้าแม่ลูกไว้คือคุณชายเซ่าจวิ้น ข้าจะต้องทดแทนบุญคุณข้างกายคุณชายเซ่าจวิ้นให้ได้”
เสิ่นเวยหลุดหัวเราะออกมาหนึ่งครา “แม่นางหวังพูดเล่นแล้ว อย่าว่าแต่ญาติผู้พี่บอกไว้แล้วว่าไม่ต้องการให้พวกเจ้าแม่ลูกทดแทนบุญคุณ ต่อให้ต้องทดแทนบุญคุณ เจ้าจะทำอะไรได้ เทียบกันกับคนหลายคนนี้ข้างกายตัวข้าจวิ้นจู่ดูว่าเป็นอย่างไร คนเช่นนี้ของพวกเรา ผู้ใดบ้างที่รับใช้อยู่ข้างกายเจ้านายไม่ได้เริ่มอบรมตั้งแต่อายุเจ็ดแปดปี เจ้าแม้แต่กฎระเบียบยังไม่เข้าใจ ซ้ำยังไม่เคยรับใช้คนมาก่อน อ้าปากก็จะไปรับใช้ข้างกายเจ้านายแล้ว นี่ไม่ใช่น่าขันยิ่งนักหรือ”
หลีฮวาและคนอื่นๆ เองก็ปิดปากหัวเราะ สายตาที่มองแม่นางตระกูลหวังก็ยิ่งเหยียดหยาม
หน้าของแม่นางตระกูลหวังแดงก่ำในชั่วขณะ มารดาตระกูลหวังเห็นแล้ว ก็ไม่สนใจความกลัว รีบกล่าว “จวิ้นจู่เหนียงเหนียงโปรดระงับความโกรธ เด็กคนนี้ของข้ามีนิสัยดื้อรั้น คุณชายเซ่าจวิ้นช่วยพวกเราแม่ลูกไว้ จึงจดจำไว้ว่าอยากจะทดแทนบุญคุณ”
“ไม่โกรธ ไม่โกรธ” เสิ่นเวยโบกมือ “สิ่งสำคัญก็คือญาติผู้พี่ของข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าทดแทนบุญคุณอย่างไรเล่า พวกเจ้าไม่อาจบีบบังคับให้คนลำบากใจได้ใช่หรือไม่ ตัวข้าจวิ้นจู่ฟังว่าพวกเจ้าเองก็อยู่ที่บ้านเกิดไม่ได้แล้ว อยู่ในเมืองหลวงก็ไร้ญาติขาดมิตร มิหนำซ้ำฟังที่แม่นางตระกูลหวังพูดยังไม่ถือสาจะขายตัวเป็นทาส เช่นนั้นก็อยู่ที่จวนจวิ้นอ๋องของข้าเถอะ ไม่เสียเปล่าที่ญาติผู้พี่ข้าช่วยพวกเจ้าไว้”
“ขอบคุณจวิ้นจู่เพคะ!” มารดาตระกูลหวังดีใจอย่างไม่คาดคิด
ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับไม่เห็นด้วย “ข้าขอบคุณความหวังดีของจวิ้นจู่ ในเมื่อคุณชายเซ่าจวิ้นไม่ต้องการให้ข้าทดแทนบุญคุณ เช่นนั้นพวกข้าแม่ลูกก็ออกจากจวนไปเสียดีกว่า พวกข้าแม่ลูกยังมีเงินติดตัวอยู่เล็กน้อย เช่าห้องได้หนึ่งห้อง ทำงานเย็บปักถักร้อย จะต้องเลี้ยงตัวเองได้แน่นอน” ท่าทางคาดไม่ถึงว่าไม่ประจบไม่วางก้าม
“ลูกสาวเจ้า?” มารดาตระกูลหวังร้อนใจแล้ว จับมือของลูกสาวดวงตาเต็มไปด้วยความร้อนใจ เด็กโง่เอ๋ย มีชีวิตดีๆ ให้ใช้เหตุใดถึงรั้นจะออกไปมีชีวิตลำบากเช่นนั้นเล่า สังคมนี้ พวกนางสองแม่ลูกตัวลำพังไปที่ใดก็ไม่ปลอดภัย ไหนเลยจะสบายใจเท่าอยู่ในจวนจวิ้นอ๋องแห่งนี้
ทว่าแม่นางตระกูลหวังกลับห้ามแม่ของนาง “ท่านแม่ ท่านลืมคำพูดของท่านพ่อแล้วหรือ พวกเราเป็นสุจริตชน จะขายตัวเป็นทาสได้อย่างไร”
มารดาตระกูลหวังกำลังจะพูดว่าพ่อเจ้าพูดประโยคนี้เมื่อไร ก็ได้ยินลูกสาวกล่าวกับจวิ้นจู่แล้ว “ขอบคุณพระคุณที่จวิ้นจู่จะเก็บพวกข้าไว้ยิ่งนัก พวกข้าแม่ลูกขอตัวออกจากจวน” ทำความเคารพหนึ่งครา ลากมารดาถอยออกไปแล้ว
“จวิ้นจู่ ท่านว่านี่?” เถาจือถาม
เสิ่นเวยยิ้ม โบกมือกล่าว “ช่างเถอะ ในเมื่อพวกนางไม่รับน้ำใจก็ปล่อยพวกนางไปเถอะ อ้อ จำไว้ว่าส่งคนสองคนตามพวกนางไป ข้าว่าแม่นางตระกูลหวังผู้นี้เป็นคนหวังสูง ไม่ได้เป็นคนซื่อตรงเหมือนอย่างที่นางพูด”
“จวิ้นจู่ เช่นนั้นจะ…?” เถาจือกล่าวเสียงต่ำ มือทำท่าทาง
เสิ่นเวยส่ายหน้า “ไม่ต้อง จับตาดูไว้ก็พอ”
นางเดาว่าแม่นางตระกูลหวังผู้นี้จะต้องไม่ละทิ้งความคิดจะตามหาเสิ่นเซ่าจวิ้นแน่นอน ก็ดี ถือโอกาสนี้สั่งสอนเสิ่นเซ่าจวิ้นให้ลึกซึ้งสักหน่อย ให้เขาเข้าใจว่าการใจดีไปทั่วสามารถทำร้ายตัวเองได้
ตอนที่ 263-1 จวี่เหรินอันดับหนึ่ง
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนผิงจวิ้นอ๋อง มารดาตระกูลหวังก็ดึงลูกสาวไว้ กล่าวถามด้วยความร้อนใจ “เด็กโง่ เจ้าคิดอะไรกันแน่ จวนจวิ้นอ๋องสถานที่ที่ร่ำรวยเพียงนั้นเจ้าไม่ยอมอยู่ ใช้ชีวิตข้างนอกก็ไม่ต่างจากที่พวกเราอยู่ในเมืองอินหู พวกเราแม่หม้ายลูกกำพร้าไม่มีที่พึ่งพิง แม่แก่แล้วกลับไม่กลัว แต่เจ้ายังเป็นสตรีอายุน้อย หาเรื่องจริงๆ! แม่ไหนเลยจะปกป้องเจ้าได้”
แม่นางตระกูลหวังกลับเม้มปากกล่าว “ท่านแม่ ที่นี่คือเมืองหลวง อยู่ใต้ฝ่าพระบาทโอรสสวรรค์ ไม่เหมือนเมืองอินหูของพวกเรา พวกเรามีมือมีเท้า ไยจะต้องไปพึ่งพาทานของผู้อื่นเพื่อความอยู่รอดด้วยเล่า แม้จวนจวิ้นอ๋องจะดี พวกเราเองก็ต้องขายตัวเป็นทาส หลังจากนี้บุตรหลานรุ่นหลังก็ต้องเป็นบ่าวเป็นทาส ท่านตัดใจได้หรือ”
มองเห็นความลังเลบนใบหน้าของแม่นาง แม่นางตระกูลหวังหวังหลานเอ๋อร์ก็กล่าวต่อ “อีกอย่าง คนที่ช่วยพวกเราคือคุณชายเซ่าจวิ้น คุณชายเซ่าจวิ้นเป็นคนอ่อนโยนนิสัยดี หากพวกเราเป็นบ่าวข้างกายเขาก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียเขาก็ไม่อาจทรมานพวกเรา แต่จวิ้นจู่ผู้นั้นไม่รู้จักกับพวกเรามาก่อน ลูกว่านางเองก็ไม่ใช่คนที่เป็นมิตรนัก ตระกูลที่มีอำนาจสูงส่งไหนเลยจะอยู่ง่าย พวกเราพึ่งพาตัวเองยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็เป็นอิสระ”
ไม่มีใครเข้าใจบุตรสาวไปมากกว่ามารดา แม้ว่าปากหวังหลานเอ๋อร์จะพูดจาเป็นเหตุเป็นผล แต่มารดาตระกูลหวังที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมาสิบกว่าปียังคงสังเกตเห็นบางอย่างที่แตกต่างจากในนั้นได้ นางจับมือของลูกสาว กล่าวด้วยความเป็นห่วง “หลานเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้คิดอะไรกับคุณชายเซ่าจวิ้นผู้นั้นใช่หรือไม่”
หวังหลานเอ๋อร์หลุบตาลง ไม่ได้ตอบ
มารดาแซ่หวังจะมีอะไรไม่เข้าใจ นางตบลูกสาวเบาๆ เล็กน้อย ในใจกลัดกลุ้มเจียนตาย “หลานเอ๋อร์เอ๋อ เหตุใดเจ้าถึงเกิดความคิดเช่นนี้เล่า ในครอบครัวคุณชายเซ่าจวิ้นผู้นั้นมีภรรยามีบุตรนานแล้ว เจ้าเข้าไปก็เป็นได้แค่เพียงอนุภรรยา อนุภรรยาคืออะไร นั่นก็คือของเล่น ถูกภรรยาเอกตีตายยังไม่มีแม้แต่ที่ให้อธิบาย ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายเซ่าจวิ้นมีฐานะอันใด ญาติผู้พี่ของจวิ้นจู่เหนียงเหนียง นั่นคือคุณชายจวนโหวสักแห่งหนึ่ง ต่อให้เป็นอนุภรรยาพวกเราก็ไม่มีคุณสมบัติพอ! เด็กโง่เจ้ารีบตั้งสติ เจ้าไม่อยากเข้าจวนจวิ้นอ๋องก็ไม่ต้องไป พวกเราสองแม่ลูกเช่าบ้านหาที่พักก่อน รับงานเย็บปักถักร้อยชีวิตก็พอจะผ่านไปได้ รอให้ผ่านหนึ่งปีครึ่งปีไปแม่จะหาบ้านสามีละแวกบ้านให้เจ้าสักคนหนึ่ง เจ้าค่อยมีหลานชายตัวอ้วนพีให้แม่ ชั่วชีวิตนี้ของแม่ก็เพียงพอแล้ว”
มารดาตระกูลหวังพยายามเกลี้ยกล่อม กลัวว่าลูกสาวจะเดินผิดทาง อนุภรรยาตระกูลใหญ่ตระกูลโตเป็นง่ายเพียงนั้นหรือไร โดยเฉพาะคนที่ไร้ที่พึ่งไร้การช่วยเหลือเช่นพวกนาง หากถูกตีตายก็ถูกตีตายจริงๆ อย่างไรเสียมารดาตระกูลหวังก็อายุมากกว่าลูกสาว มองทะลุกว่าเล็กน้อย หากรู้ว่าลูกสาวมีความคิดเช่นนั้น ตอนแรกไม่ว่าอย่างไรนางก็คงไม่เห็นด้วยที่จะออกมาจากเมืองอินหู
แม้หวังหลานเอ๋อร์จะไม่เอ่ยปาก แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วยกับการพูดของมารดานาง
ตั้งแต่ที่เห็นคุณชายผู้อ่อนโยนงามสง่าเช่นคุณชายเซ่าจวิ้น นางไหนเลยจะยังชอบชายกำยำร่างใหญ่เหล่านั้นอยู่อีก นางหน้าตาดี สมควรจะคู่ควรกับคนดีเช่นคุณชายเซ่าจวิ้น เป็นอนุภรรยาแล้วอย่างไร ภรรยาคนแรกของคุณชายเซ่าจวิ้นก็เป็นเพียงหญิงชนบทมิใช่หรือ รอนางกับคุณชายเซ่าจวิ้นเกิดความรู้สึกผูกพันต่อกัน มีบุตรชายบุตรสาวให้ จะไม่มีคืนวันที่ร่ำรวยของนางได้อย่างไร หญิงชนบทผู้นั้นจะทำอะไรนางได้ นางไม่ยอม ไม่ยอมถูกคนในตระกูลบังคับให้ขายออกไปมั่วซั่ว ไม่ยอมมีชีวิตที่ขมขื่นอย่างเช่นเมื่อก่อนอีก
มารดาตระกูลหวังเห็นท่าทีของลูกสาว ในใจก็สถบเวรกรรมหนึ่งครา ลากลูกสาวไปหาบ้านเช่า เดิมพวกนางคิดจะหาโรงเตี๊ยมพักเท้าก่อน แล้วค่อยๆ หาบ้านอยู่ แต่เพราะการสอบคัดเลือกช่วยสารทฤดู โรงเตี๊ยมแต่ละแห่งต่างก็เต็ม พวกนางไต่ถามมาว่าโรงเตี๊ยมหลายแห่งล้วนแต่ไม่มีห้องว่าง
ชั่วพริบตาก็จะบ่ายแล้ว มารดาตระกูลหวังร้อนใจอย่างยิ่ง หากวันนี้หาที่พักไม่ได้ พวกนางก็ทำได้เพียงเร่ร่อนอยู่ตามถนน คิดถึงผลลัพธ์นั้นต่อให้นางไม่มีประสบการณ์ก็กลัวจนตัวสั่นงันงกแล้ว
หวังหลานเอ๋อร์เองก็เสียใจอย่างถึงที่สุด นางไม่ควรบุ่นบามใช้อารมณ์เพียงชั่วครู่ออกมาจากจวนจวิ้นอ๋องเช่นนั้น พวกนางควรจะหาที่พักดีๆ ให้ได้ก่อนแล้วค่อยย้ายออกมา
สุดท้ายแล้วภายใต้ความช่วยเหลือของคนใจดีพวกนางยังคงหาลานบ้านรวมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในเขตคนจนทางฝั่งตะวันตกของเมืองได้ สภาพแวดล้อมของลานบ้านรวมขนาดใหญ่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด ลานบ้านขนาดใหญ่หนึ่งแห่งอยู่กันหลายครอบครัว แย่ยิ่งกว่าบ้านที่เมืองอินหูของพวกนางเสียอีก แต่แม่ลูกตระกูลหวังที่เข้าตาจนก็ไม่มีกระจิตกระใจจะเลือกมากอะไรแล้ว สามารถมีที่ให้พวกนางพักผ่อนได้ก็ไม่เลวแล้ว
คนที่ติดตามแม่ลูกตระกูลหวังกลับไปรายงานสถานการณ์เสิ่นเวย “จวิ้นจู่ ต้องการให้บ่าวทำอะไรบ้าง”
เสิ่นเวยโบกมือ “ไม่ต้อง พวกเจ้าตามไปก็พอ” หากพวกนางสงบจิตสงบใจก็ไม่เป็นไร หากมีความคิดลับลมคมนัยจริงๆ เช่นนั้นก็อย่าหาว่านางไม่เกรงใจ
ท่านเสนาบดีฉินไปรับลูกชายใช้เวลาในการเดินทางห้าวัน ระทางกลับกลับใช้เวลาเพิ่มขึ้นสองเท่า วันที่เข้าเมืองตรงกับวันประกาศผลการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูพอดี ทุกหนทุกแห่งศีรษะคนล้วนแน่นขนัด เป็นภาพบรรยากาศที่ครื้นเครงยินดี
ท่านเสนาบดีฉินเปิดม่านรถม้ามองไปข้างนอก มองเห็นเจ้าหน้าที่สวมชุดแดงผู้นั้นขี่ม้าผ่านมาด้วยสีหน้าเบิกบานใจทั้งใบหน้า เขาหรี่ตาลงสั่งบ่าวรับใช้คนสนิท “ซานเอ๋อร์ ไปสืบดูเสียว่าจวี่จื่อคนไหนได้อันดับหนึ่ง”
มีเด็กรับใช้สวมชุดสีเทาขานรับออกไป ไม่นานนักก็กลับมาแล้ว “เรียนท่านเสนาบดี บ่าวสืบถามมาแล้ว เจี้ยหยวนอันดับหนึ่งของขั้นนี้คือท่านซื่อจื่อท่านนั้นของจวนหย่งหนิงโหวขอรับ”
ดวงตาท่านเสนาบดีฉินกะพริบวาบ กล่าวหนึ่งประโยค “น่าเสียดาย” จากนั้นจึงนั่งกลับไปในรถ
เด็กรับใช้ย่อมไม่รู้ว่าท่านเสนาบดีฉินเสียดายอะไร เดิมเขายังสืบถามผู้ถูกคัดเลือกห้าอันดับแรกมาด้วย ในเมื่อท่านเสนาบดีไม่ถาม เขาก็ไม่พูดอย่างรู้สมควร
ท่านเสนาบดีฉินในรถหลุบตาลง กล่าวในใจ ได้ยินมานานแล้วว่าซื่อจื่อผู้นั้นของจวนหย่งหนิงโหวมีความรู้ความสามารถโดดเด่น ไม่คิดว่าจะสามารถสอบเป็นเจี้ยหยวนได้ ตอนที่เขาสอบซิ่วไฉก็ได้อันดับหนึ่งเช่นกัน หากการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าได้อันดับที่หนึ่งอีก เช่นนั้นก็ถือว่าสอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบ ต้ายงไม่มีผู้ถูกคัดเลือกที่ได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบมายี่สิบปีแล้ว เหอๆ เสิ่นผิงยวนสุนัขเฒ่าตัวนั้นกลับโชคดี ได้หลานเขยที่สอบได้ที่หนึ่งในทุกระดับการสอบมาอย่างง่ายดาย
ท่านเสนาบดีฉินพาลูกชายคนเล็กที่พิการกลับจวน เมื่อต่งซื่อได้ยินว่าชีวิตที่เหลือของลูกชายคนเล็กทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งคู่ก็เหลือกเป็นลมไปแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฉินเจ็บปวดราวกับถูกดาบฟัน มือที่สั่นระริกยังไม่กล้าแตะต้องหลานชายสุดที่รักของนาง แต่เห็นใบหน้าที่แก่ตัวเ**่ยวย่นนั่นของลูกชาย นางก็สะกดกลั้นความเจ็บปวดในใจ ไม่ได้เป็นลมเหมือนลูกสะใภ้ ยังต้องกัดฟันปลอบขวัญลูกชาย “เหล่าต้าเอ๋ย เจ้าไม่ต้องคิดมากแล้ว สมควรให้หรานเอ๋อร์พบเจอหายนะนี้ในชีวิต ตระกูลเราเจ้าเป็นเสาหลัก เจ้าไม่อาจล้มลงได้ ในจวนของพวกเราร่ำรวย จะเลี้ยงหรานเอ๋อร์สักคนไม่ได้หรือไร หยวนเอ๋อร์เองก็เป็นเด็กกตัญญู ไม่อาจทอดทิ้งพี่น้องเขาแน่นอน”
อย่ามองว่านายหญิงผู้เฒ่าฉินโมโหขึ้นมาด่าลูกชายแล้วด่าจริง แต่นางเองก็รักลูกชาย สมองยังคงมีสติอยู่ รู้ว่าความร่ำรวยรุ่งโรจน์ของจวนเสนาบดีล้วนแต่เกี่ยวข้องกับลูกชายคนโต
ฉินมู่หยวนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็รีบแสดงท่าที “ท่านพ่อวางใจ ลูกจะดูแลน้องชายอย่างดี มีลูกอยู่ น้องชายไม่อาจขาดอะไรแน่นอน” ในใจเขาเองก็ลำบากใจอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าอย่างไรนี่เองก็เป็นน้องชายมารดาเดียวกันของเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็โล่งอก น้องชายพิการแล้ว ไม่อาจวิ่งออกไปสร้างเรื่องได้อีกแล้ว
ท่านเสนาบดีฉินตบบ่าลูกชายคนโต ชื่นชมอย่างยิ่ง
เทียบกับบรรยากาศมืดมนในจวนเสนาบดีฉิน จวนหย่งหนิงโหวกลับมีบรรยากาศชื่นมื่น ตั้งแต่ที่เด็กรับใช้วิ่งเข้ามาตะโกน “อันดับหนึ่ง ท่านซื่อจื่อสอบได้เป็นเจี้ยหยวนอันดับหนึ่ง!” เบื้องบนหย่งหนิงโหวกระทั่งฮูหยินอวี้ซื่อ ฮูหยินซื่อจื่อเสิ่นเสวี่ยและคุณหนูญาติผู้น้องจ้าวเฟยเฟยและนายคนอื่นๆ เบื้องล่างบ่าวรับใช้ที่ทำความสะอาดทั้งหลาย ต่างก็ดีอกดีใจ เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
“ปูนบำเหน็จ ลูกชายข้าไม่เป็นสองรองใคร ทุกคนในจวนเพิ่มเงินเดือนหนึ่งเดือน” ในน้ำเสียงของหย่งหนิงโหวแฝงไปด้วยความดีใจ
“เรื่องมงคลที่ใหญ่เพียงนี้ควรจะปูนบำเหน็จหนักๆ นอกจากเพิ่มเงินเดือนหนึ่งเดือนแล้ว ยังต้องเพิ่มเสื้อผ้าหนึ่งชุดให้ทุกคนด้วย” แต่ไหนแต่ไรอวี้ซื่อที่ขี้เหนียวก็ใจกว้างขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
“เช่นนั้นลูกเองก็ขอผสมโรงด้วย เพิ่มเนื้อให้บ่าวรับใช้ทุกคนในจวน” เสิ่นเสวี่ยก็ยิ้มแย้มเบิกบาน สามีมีอนาคต นางเองก็มีเกียรติด้วยเช่นกัน!
หย่งหนิงโหวลูบหนวดด้วยสีหน้าชื่นชมทั้งใบหน้า กล่าว “เจ้าเป็นสตรีมีคุณธรรม ซื่อจื่อโชคดีที่ได้เจ้าดูแล”
อวี้ซื่อที่แต่ไหนแต่ไรไม่ถูกกับเสิ่นเสวี่ยก็พยักหน้าเช่นกัน “โชคดีที่ได้ลูกสะใภ้กวดขันอวี้เอ๋อร์ให้อ่านหนังสือพัฒนาตน” ท่าทียิ้มแย้มอ่อนโยนนั้นทำให้เสิ่นเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานเล็กน้อย ตั้งแต่ที่นางแต่งเข้ามาก็ไม่เคยเห็นแม่สามีทำสีหน้าดีๆ เช่นนี้ให้นางมาก่อน!
“นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำ” เสิ่นเสวี่ยหลุบตากล่าวเสียงอ่อนโยน
ท่าทางนอบน้อมนี้ทำให้หย่งหนิงโหวยิ่งพอใจ ส่วนอวี้ซื่อเองก็เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าลูกสะใภ้ผู้นี้ยังคงถูกชะตาเล็กน้อย กล่าวกับนางอย่างนุ่มนวล “ตอนนี้อวี้เอ๋อร์เป็นจวี่เหรินแล้ว ลูกสะใภ้เจ้าก็ต้องดูแลร่างกายให้ดี พยายามมีหลานชายอ้วนพีให้พวกเรา” สายตาของนางทอดมองไปยังท้องที่ผอมแบนของเสิ่นเสวี่ย เสียดายอย่างถึงที่สุด หากเสิ่นซื่อสามารถมีข่าวดีได้ ก็เท่ากับมีมงคลคู่มาเยือนบ้านพร้อมกันมิใช่หรือ
ทว่าหย่งหนิงโหวกลับลูบหนวดกล่าว “แม้ว่าทายาทจะสำคัญ แต่เดือนสองปีหน้าก็เป็นการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูแล้ว ไม่อาจประมาทได้ หากซื่อจื่อสามารถสอบได้ที่หนึ่งอีก เช่นนั้นความรุ่งโรจน์ของจวนหยงหนิงโหวของพวกเราก็ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ลูกสะใภ้เจ้ายังต้องลำบากเพิ่ม ดูแลท่านซื่อจื่อให้ดี”
เสิ่นเสวี่ยพยักหน้า “เจ้าค่ะ ท่านพ่อวางใจ ลูกจะต้องกวดขันซื่อจื่อให้ขยันหมั่นเพียรยิ่งขึ้น พยายามให้เป็นที่หนึ่งอีกในปีหน้า”
“ดีๆๆ บุตรดีสะใภ้ดี!” หย่งหนิงโหวหัวเราะร่าอย่างสบายอารมณ์
มีเพียงจ้าวเฟยเฟยที่ดวงตากะพริบวาบ ผ้าเช็ดหน้าในมือบิดจนเป็นเกลียว
จวนจงอู่โหวเองก็มีบรรยากาศชื่นมื่น เช้าตรู่ก็ส่งเด็กรับใช้หลายคนออกไปดูประกาศ ตอนครึ่งเช้าข่าวก็ส่งกลับมาแล้ว ท่านเขยสองคนที่ลงสนามสอบปีนี้ต่างก็สอบติดแล้ว ท่านเขยห้าในนั้นยังคงสอบได้อันดับหนึ่งเป็นเจี้ยหยวน อันดับของท่านเขยสามเองก็ไม่ได้ด้อย ได้อันดับที่ยี่สิบเอ็ดเชียว
สวี่ซื่อจัดเตรียมของขวัญอวยพรต่างๆ ส่วนนายท่านทั้งหลายฝั่งนั้นก็ดื่มสุรากันแต่เนิ่นๆ แล้ว โดยเฉพาะนายท่านสามเสิ่นหงเซวียน รอยยิ้มบนใบหน้าไม่หุบลงเลย ลูกเขยเขาได้อันดับหนึ่ง เขาผู้เป็นพ่อตาย่อมมีเกียรติเช่นกัน!
เสิ่นเวยย่อมได้ข่าวเช่นกันแล้ว เว่ยจิ่นอวี้กลับโชคดี ในใจเสิ่นเวยมีความคิดนี้แวบผ่าน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เรื่องของขวัญอวยพรย่อมมีอาจารย์ซูจัดการ ตอนนี้ในสมองนางล้วนมีแต่เรื่องท่านเสนาบดีฉินกลับเมืองหลวง เชือกเส้นนั้นที่ผ่อนคลายลงของนางก็แน่นตึงขึ้นมาทันที
แม้ว่าองค์ชายใหญ่จะถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว แต่กลับอยู่รักษาร่างกายเพียงแค่ในจวน ฝ่าบาทไม่ออกคำสั่งเขาย่อมไม่อาจรับงานใดๆ ได้ ทั้งจนทั้งว่างเปล่า ใต้บังคับบัญชาแม้แต่คนให้เรียกใช้ยังไม่มี
บ้านฝั่งมารดาของเจียงซื่อพระชายาองค์ชายใหญ่นับได้ว่ามีกำลังสนับสนุน แต่สิบปีแล้วที่ไม่ได้ไปมาหาสู่ ใครจะรู้ว่าจุดยืนของตระกูลเจียงจะเป็นเช่นไร
เสิ่นเวยคำนวณไปคำนวณมา ในใจก็กลัดกลุ้มอย่างยิ่ง หากมีตัวเลือกอื่นนางจะต้องไม่ยืนฝั่งองค์ชายใหญ่แน่นอน ไม่มีอำนาจแม้แต่นิดเดียว ต้อให้นางจะมีสามเศียรหกกรก็ไร้ประโยชน์! แต่ไม่ยืนอยู่ฝั่งองค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้ ใครให้คุณชายใหญ่ของนางมีศีลธรรมเช่นนั้น ดันไปแขวนคอตายอยู่บนต้นไม้ต้นนี้ของคุณชายใหญ่เสียแล้วเล่า
ตอนที่ 263-2 จวี่เหรินอันดับหนึ่ง
วันที่สามหลังจากประกาศผลสอบ เสิ่นอิงกับเสิ่นเสวี่ยก็จูงสามีกลับบ้านฝั่งมารดา เสิ่นเวยเองก็กลับมาเช่นกัน นางกลับมาคนเดียว ช่วงนี้สวีโย่วค่อนข้างยุ่ง เดิมเขาจะลางานกลับมาเป็นเพื่อนนาง เสิ่นเวยไม่อนุญาต ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงตกลงกันดีแล้ว รอสวีโย่วเลิกงานแล้วค่อยไปรับนางที่จวนจงอู่โหวกลับจวน
กลับมาครั้งนี้เสิ่นเสวี่ยสลัดความสุขุมออกไป เปิดเผยอย่างยิ่ง ห่างออกไปไกลก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะของนาง เสิ่นเวยยกมุมปากรู้สึกน่าขันยิ่งนัก ก็แค่เว่ยจิ่นอวี้สอบได้หนึ่งไม่ใช่หรือ ต้องขนาดนี้เลยหรือ ระยะทางยาวไกลเพิ่งจะก้าวเท้าก้าวแรกเอง ต่อให้สอบขั้นฮุ่ยซื่อเตี้ยนซื่อปีหน้าได้เป็นจอหงวนแล้วอย่างไร จอหงวนมากน้อยเพียงใดที่ตลอดชีวิตก็เป็นได้เพียงคนไร้ค่าในตำแหน่งขุนนางขั้นหกขั้นเจ็ด ผู้ที่เลื่อนขั้นเป็นอำมาตย์เก้าขุนส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่ได้อันดับกลางๆ ในการสอบคัดเลือกขุนนาง
ทว่าเสิ่นเสวี่ยกลับไม่ได้คิดเช่นนี้ นางคิดว่าตนเองถือว่าเงยหน้าอ้าปากได้แล้ว ถือว่ากดหัวพี่สาวได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเสิ่นเวยกลับมาคนเดียว ในใจนางก็รู้สึกยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่น กล่าวอย่างเสแสร้ง “ท่านพี่สี่ เหตุใดพี่เขยสี่ถึงไม่กลับมาพร้อมท่านเล่า” ท่าทางเป็นห่วงเสิ่นเวยอย่างยิ่ง
เสิ่นเวยไม่อยากสนใจนางจริงๆ จัดการไปหลายรอบเพียงนั้นแล้ว เหตุใดถึงจำบทเรียนไม่ได้เล่า
“อ้อ พี่สี่เจ้ายุ่งน่ะ ข้าก็ไม่ใช่ไม่รู้ทาง กลับบ้านฝั่งมารดายังต้องให้เขาบอกก็ไม่ไหวหรอกกระมัง” เสิ่นเวยกล่าวอย่างไม่สนใจ
สวี่ซื่อรีบกล่าว “นั่นน่ะสิ หลานเขยสี่มีหน้าที่การงานแล้ว กิจธุระในที่ว่าการย่อมสำคัญที่สุด เชียนเอ๋อร์ก็ยุ่งเหมือนกันมิใช่หรือ ยุ่งจนแม้แต่งานสมรสยังต้องเลื่อนแล้วเลื่อนอีก”
เสิ่นเวยกล่าวถาม “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ งานสมรสของญาติผู้พี่ใหญ่กำหนดแล้วหรือ”
เอ่ยถึงเรื่องนี้ใบหน้าสวี่ซื่อก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “กำหนดแล้ว กำหนดไว้เป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนล่า ถึงตอนนั้นเชียนเอ๋อร์กลับมาแต่งงานก็ยังสามารถฉลองปีใหม่ในบ้านได้พอดี พอถึงเดือนเจิงก็ให้พวกเขาสองสามีภรรยาไปซีเจียงพร้อมกัน”
“ฤกษ์ดี” เสิ่นเวยชมหนึ่งครา ทันใดนั้นก็กล่าวต่อ “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ถึงตอนนั้นญาติผู้พี่ใหญ่กลับมาท่านก็ส่งจดหมายมาให้หลานบ้าง ไม่เจอกันนานแล้ว คิดถึงญาติผู้พี่ใหญ่นัก”
“ได้ๆๆ ไม่ลืมแน่นอน” สวี่ซื่อย่อมยินดีที่ได้เห็นลูกชายสนิทกับหลานสาว
เสิ่นเสวี่ยมองเห็นพี่สาวกับท่านป้าสะใภ้ใหญ่คุยกันอย่างถูกคอ ในดวงตาก็มีความริษยาแวบผ่าน ทันใดนั้นก็กลับคืนสู่ปกติ กล่าวคล้อยตาม “ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ยังมีหลานด้วยคน ท่านซื่อจื่อของพวกเราเลื่อมใสญาติผู้พี่ใหญ่ยิ่งนัก ถึงตอนนั้นก็ให้เขาเรียนรู้วรยุทธ์กับญาติผู้พี่ใหญ่เสียหน่อย เขาน่ะวันทั้งวันเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสือ ข้าเป็นห่วงว่าร่างกายเขาจะรับไหวได้อย่างไร” เสิ่นเสวี่ยพูดไปพูดมาก็โอ้อวดอย่างอดไม่ได้
เสิ่นเวยหลุบตาไม่พูด ทว่าสวี่ซื่อกลับกล่าว “นี่ก็เพราะว่าหลานเขยห้ารู้ประสา เรียนหนังสือก็ต้องมุมานะมิใช่หรือ ดูสิหลานเขยห้าของพวกเราได้เป็นเจี้ยหยวนแล้วมิใช่หรือ ข้างนอกใครบ้างไม่อิจฉา”
คำพูดหลายประโยคพูดจนเสิ่นเสวี่ยหัวเราะคิกคัก ยิ้มพลางกะพริบตาเขยิบเข้ามาพูดกับเสิ่นเวย “ท่านพี่สี่ ฟังว่าไม่กี่วันก่อนพี่เขยสี่ถูกฝ่าบาทขังไว้ในศาลราชวงศ์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ พี่เขยสี่ทำเรื่องอันใดยั่วโมโหฝ่าบาทเข้าเสียแล้ว” ท่าทางกระวนกระวายใจ
เสิ่นเวยยิ้มแล้ว เจ้าว่าเจ้าเสิ่นเสวี่ยโอ้อวดเรื่องตัวเองยังไม่พอ ทำไมจะต้องเหยียบเท้านางให้ได้จึงจะพอใจ นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาหลายเดือนแล้ว หากเจ้าเป็นห่วงจริงๆ เหตุใดตอนนั้นถึงไม่มาดูที่บ้านเล่า
“ไม่รู้ผ่านไปนานโขเท่าไรแล้ว น้องเสวี่ยยังจำได้อยู่อีกหรือ คุณชายใหญ่ของข้าถูกขังอยู่ในศาลราชวงศ์จริง แต่ว่าวันนั้นก็ถูกปล่อยตัวแล้ว รู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงถูกปล่อยตัว พี่สี่ของเจ้าเป็นคนที่ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น ไปทะเลาะกับฝ่าบาทอย่างไรเล่า!” เสิ่นเวยพูดอย่างเรียบง่าย
ปรายตามองเสิ่นเสวี่ยปราดหนึ่งแล้วกล่าวต่อ “น้องเสวี่ย ตั้งแต่เล็กเจ้าก็ลำดับความสำคัญไม่ได้ อย่าหาว่าพี่ว่าเจ้า มีเจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้ เจ้าเองก็ควรใส่ใจน้องเขยให้มากสักหน่อย เหตุใดพี่ถึงได้ยินว่าน้องเขยจะแต่งอนุภรรยาแล้วเล่า อีกทั้งยังเป็นคุณหนูญาติผู้น้องแซ่จ้าวผู้นั้นในจวนพวกเจ้าอีกด้วย เจ้าน่ะ เหตุใดถึงปล่อยให้ปีศาจน้อยตัวนั้นฉวยโอกาสเล่า” บนใบหน้าเสิ่นเวยจริงใจยิ่งนัก!
เมื่อคำพูดนี้ออกไป หน้าของเสิ่นเสวี่ยก็เปลี่ยนในชั่วพริบตา แม้แต่นายหญิงผู้เฒ่ากับสวี่ซื่อก็ประหลาดใจ “เสวี่ยเอ๋อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน แม่สามีเจ้าไม่ใช่ดูคู่หมั้นให้คุณหนูญาติผู้น้องผู้นั้นในจวนพวกเจ้าอยู่หรือ”
สีหน้าเสิ่นเสวี่ยลำบากใจอย่างยิ่ง นิ้วมือที่กำผ้าเช็ดหน้าขาวซีด อธิบายด้วยความอึดอัดใจ “ไม่ใช่เพราะว่าหลานไม่ตั้งครรภ์หรอกหรือ แม่สามีเห็นว่าลูกผู้น้องให้กำเนิดได้ จึงตัดสินใจให้ท่านพี่รับลูกผู้น้องเป็นอนุภรรยา”
ความจริงเป็นเช่นไร ความจริงก็คือจ้าวเฟยเฟยแพศยาน้อยผู้นั้นฉวยโอกาสตอนที่สามีของนางดีใจจนดื่มสุราไปสองแก้วปีนขึ้นเตียงของเขา เห็นชัดๆ ว่านางเป็นหญิงชั่วหน้าไม่อายเอง แต่ยังร้องห่มร้องไห้ตำหนิว่าสามีของนางทำลายความบริสุทธิ์ของนาง ไม่เคยเห็นคนที่หน้าหนาเช่นนี้มาก่อน
“เสวี่ยเอ๋อร์ เจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ” นายหญิงผู้เฒ่ากล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าแต่งงานเข้าไปยังไม่ครบปีเลย ไม่ตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องปกติ รีบไปทำไมกัน ต่อให้จะยกคนให้หลานเขย ข้างกายเจ้าไม่ใช่มีสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนไปหรือไร คุณหนูญาติผู้น้องอะไรนั่น ไม่ต้องดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร เรื่องใหญ่เช่นนี้เหตุใดเจ้าถึงไม่บอก” นายหญิงผู้เฒ่าเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
สวี่ซื่อเองก็กล่าว “เสวี่ยเอ๋อร์ ย่าเจ้าพูดถูก หลานเขยจะแต่งอนุต้องเลือกจากสาวใช้ที่ติดตามออกเรือนของเจ้า สัญญาทาสของพวกนางอยู่ในมือเจ้า ไม่ต้องกลัวนางจะทรยศต่อเจ้า หากคุณหนูญาติผู้น้องคนนั้นกลายเป็นอนุภรรยาของหลานเขย พวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้อง ย่อมต้องมีความผูกพัน ถึงตอนนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรก็ลำบาก!”
สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยดำทะมึนแล้ว ไม่โอ้อวดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว กล่าวอย่างอึกอัก “ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าเองก็ไม่อยาก แต่แม่สามีผู้นั้นของข้าเป็นคนตัดสินใจ ท่านพี่เองก็มีความสุข ข้ายังมีหนทางใดอีก”
นางห้ามไม่ให้เจ้าเฟยเฟยหญิงชั่วผู้นั้นเข้าเรือนไม่ได้แล้ว แต่นางเองก็โวยวายอย่างหนักไปหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังโวยวายต่อหน้าหย่งหนิงโหวพ่อสามี ดังนั้นความคิดที่จ้าวเฟยเฟยอยากใช้ฐานะเป็นอนุภรรยาสูงศักดิ์กระทั่งเป็นภรรยารองจึงคว้าน้ำเหลว อยากเข้าเรือน ได้ ทำได้เพียงเป็นอี๋เหนียงทั่วไปเท่านั้น นางอยากจะดูว่าเจ้าจ้าวเฟยเฟยเป็นคุณหนูญาติผู้น้องอยู่ดีๆ ไม่เป็น ดันจะเป็นอี๋เหนียงกึ่งบ่าวรับใช้ให้ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ต้องเสียใจภายหลัง ความเคียดแค้นแวบผ่านใบหน้าของเสิ่นเสวี่ยไป
“เจ้านะเจ้า แม่สามีผู้นั้นของเจ้าก็สติเลอะเลือน” นายหญิงผู้เฒ่าชี้เสิ้นเสวี่ย กล่าวอย่างคับแค้นใจ แต่ไม้กลายเป็นเรือไปแล้ว เห็นแก่หลานเขยห้าที่สอบได้เป็นเจี้ยหยวนกลับไม่ได้พูดอะไรอีก
เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยที่เศร้าสลดใจนิ่งๆ กลอกตาไปมาก็หันไปคุยกับเสิ่นอิงพี่สามของนาง ไม่ใช่แผลเป็นที่นางใจดำต้องการจะเปิดโปงเสิ่นเสวี่ยจริงๆ สมน้ำหน้าเสิ่นเสวี่ยจริงๆ หากนางไม่วางแผนคิดจะเหยียบย่ำตน คนก็ขี้เกียจจะยุ่งเรื่องของนางอยู่แล้ว
แต่ว่าเสิ่นเสวี่ยเองก็โง่จริงๆ เป็นคุณหนูที่แต่งงานออกจากจวนจงอู่โหวเหมือนกัน พี่สามยังเป็นบุตรอนุภรรยา ออกเรือนเร็วกว่านางด้วยซ้ำ ก็ไม่ตั้งครรภ์เหมือนกันมิใช่หรือ แต่ดูข้างกายพี่เขยสามสิ สะอาดสะอ้าน อย่าว่าแต่อนุภรรยา แม้แต่สาวใช้อนุภรรยายังไม่มี มิหนำซ้ำความสัมพันธ์ของพวกเขาสองสามีภรรยายังดีอย่างยิ่ง
นางเสิ่นเสวี่ยกลับเก่งนัก วันทั้งวันแยกเขี้ยวยิงฟัน พอเจอเรื่องจริงจังก็ขี้ขลาด เป็นคนโง่ที่เก่งแต่ในบ้าน!
ผ่านการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูไป บุคคลที่ยุ่งที่สุดในเมืองหลวงก็คือแม่สื่อ ปัจจุบันแม้ว่าการหาเขยหน้าป้ายผู้สอบได้ไม่ได้นิยมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ตระกูลที่ในครอบครัวมีลูกสาวหลานสาวที่อายุเหมาะสมเหล่านั้นก็แอบเลือกคนไว้แล้ว คิดอยากจะฉวยโอกาสนำผู้มีความสามารถมาสู่วงศ์ตระกูล
ส่วนจวี่จื่อที่สดใหม่จากเตาเหล่านั้นเล่า ไม่เพียงแต่ได้แต่งงานกับหญิงงาม แต่ยังสามารถได้รับความช่วยเหลือจากบ้านพ่อตาอย่างง่ายดาย มีประโยชน์ต่อการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้าด้วยเช่นกัน ย่อมต้องยินดีอย่างถึงที่สุด ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ก็เกิดบุพเพสันนิวาสหลายต่อหลายคู่
มีคนกำลังจะถาม เหตุใดถึงหมั้นหมายเร็วเพียงนี้ รอให้ถึงการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูปีหน้า กระทั่งรายชื่อการสอบขั้นเตี้ยนซื่อออกมาก่อนแล้วค่อยหมั้นหมายจะไม่ดีกว่าหรือ หึ รอถึงตอนนั้น กับข้าวก็เย็นชืดหมดแล้ว วงศ์ตระกูลที่มีอิทธิพลทั่วไปเจ้าจะแย่งผู้มีอำนาจได้หรือ
เรื่องที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือเจียงเฉินคาดไม่ถึงว่าหมั้นหมายแล้ว คนที่หมั้นหมายไม่คิดว่ายังคงเป็นคนในตระกูลท่านเสนาบดีฉิน พ่อของหญิงสาวเป็นขุนนางขั้นหกในกรมพระคลัง
เสิ่นเวยไม่ค่อยถูกกับท่านเสนาบดีฉินเล็กน้อยเจียงเฉินเองก็ทราบดี นางกลับไม่คิดว่าเจียงเฉินจะหักหลังนาง เพียงแต่แปลกใจเล็กน้อยว่าแท้จริงแล้วเจียงเฉินคิดจะทำอะไร แต่ก็เพียงแค่คิดเช่นนี้ เจียงเฉินเป็นนายท่านราชบัณฑิตแล้ว ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้ย่อมต้องมีวิธีคิดของเขา นางยุ่งมากเพียงนั้นไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นเพียงสตรีแซ่ฉินคนหนึ่ง น้องสะใภ้ของคุณชายใหญ่นางยังเป็นหลานสาวของท่านเสนาบดีฉินมิใช่หรือ หากคิดดูให้ดี จวนตระกูลต่างๆ ในเมืองหลวงส่วนใหญ่ล้วนมีความสัมพันธ์สลับซับซ้อนกันอยู่แล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น