หมอดูยอดอัจฉริยะ 260-272
ตอนที่ 260 โยนหินถามทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“กินเถอะ แล้วค่อยดื่มเหล้า ใช้ขับไล่ไอเย็น!”
หลังจากกลับมาโฮสเทล เยี่ยเทียนก็เอาเนื้อลาและเหล้าขวดหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ในตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนก็กินยาที่เขาให้ไปแล้ว ใบหน้ามีเลือดฝาดมากกว่าก่อนหน้านี้เยอะมาก
“พี่เยี่ย ขอบคุณพี่มาก!” โจวเซี่ยวเทียนมองไปที่เยี่ยเทียนอย่างนึกขอบคุณ หยิบเนื้อลาได้ก็คว้าขึ้นมากินทันที เด็กอายุสิบแปดสิบเก้าปีเป็นตอนที่กำลังเติบโต กินหมั่นโถวและผักดองเค็มทุกวัน ทำให้เขาชะงักการเจริญเติบโตไปไม่น้อย
“เรื่องร้ายครั้งนี้ฉันจะช่วยนายขจัดมัน แต่หลังจากนั้นนายจะทำยังไง” ในปีนั้นลัทธิตระกูลโจวในฉีเหมินถือว่ามีชื่อเสียงมาก แต่พอเวลาผ่านไปจนถึงปัจจุบัน รุ่นหลังกลับยึดอาชีพขุดสุสานเลี้ยงตัวเอง ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“พี่เยี่ย ผม….ผมไม่ทำอาชีพนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ”
โจวเซี่ยวเทียนหัวเราะแหย่ๆ ออกมา ออกแรงกลืนเนื้อลาในปากลงไปในท้อง กล่าวว่า “พี่เยี่ย ผมรู้ว่าพี่ดีกับผม ผมไม่อยากปิดบังพี่ ดวงตาของแม่ผมอย่างมากก็ยืดเวลาออกไปได้อีกปีเดียวเท่านั้น หากเก็บเงินค่าผ่าตัดได้ไม่พอ แม่ของผมก็ตาบอดจริงๆแล้ว!”
ในตอนที่กล่าวถึงความยากลำบากของตนนั้น สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนยังมีความเข้มแข็ง แต่ในเวลานี้เมื่อกล่าวถึงแม่ที่รักที่อยู่ด้วยกันมา ในดวงตาพลันมีน้ำตาเอ่อรื้นขึ้นมา หยิบบาร์บีคิวเนื้อลาขึ้นมาแต่ไม่ว่ายังไงก็กลืนไม่ลงแล้ว
“อืม กินก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วเราไปดูสถานที่นั้นกัน…” เยี่ยเทียนดันเนื้อลาไปทางโจวเซี่ยวเทียนและไม่ได้คุยเรื่องนี้ต่อ
จากการพูดคุยอย่างยาวนานครั้งนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกดีต่อโจวเซี่ยวเทียนไม่น้อย ในใจก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา แต่เรื่องยุ่งยากตรงหน้ายังไม่ได้แก้ไข เยี่ยเทียนไม่อยากรีบพูดกับเขาก่อน
หลังจากได้ฟังคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็ตะลึงงันไป “พี่เยี่ย ทำ…ทำอันนี้…แต่…แต่ต้องไปตอนกลางคืนนะพี่ หมู่บ้านนั้นคนไปๆ มาๆ ไม่น้อยนะ…”
“เหลวไหล เรื่องนี้ฉันจะไม่รู้หรือไง แต่ฉันไม่ได้ไปขโมยขุดสุสานเสียหน่อย แค่ไปดูชัยภูมิสถานที่ดูพลังในพื้นที่เท่านั้น กลัวอะไรตอนเช้าตอนกลางคืน”
เยี่ยเทียนถูกโจวเซี่ยวเทียนว่าเสียไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี ในปีก่อนที่เขาติดตามนักพรตเฒ่าท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเจอพวกขุดสุสานนี่ เขาไม่ได้โง่ขนาดจะขุดลงไปในสุสานตั้งแต่หัววัน จากนั้นก็เจอคนพบเข้าแล้วก็ติดอยู่ตรงรูเข้าสุสาน
“แหะๆ ผมรู้ว่าพี่เยี่ยมีความชำนาญ พี่เยี่ย พี่กินด้วยกันสิ คนเดียวตั้งเยอะผมกินไม่หมด!”
คุยเรื่องส่วนตัวหมดเปลือกเป็นครั้งแรกกับคนแปลกหน้า นิสัยของโจวเซี่ยวเทียนก็เปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นอย่างมาก เขาในตอนนี้ถึงจะดูเหมือนเด็กวัยรุ่นอายุสิบกว่าปี ความอึดอัดบนร่างกายก็ลดน้อยลงไปบางส่วนอย่างรู้สึกได้
“อืม กินเยอะๆ หน่อย ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว ถือว่าเป็นอาหารเที่ยงแล้วกัน…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า หยิบเนื้อลามาแล้วเริ่มกิน กะเพาะของเขาใหญ่กว่าโจวเซี่ยวเทียนมาก แค่กินแป๊บเดียว เหล้าหนึ่งขวดเนื้อห้ากิโลกลับถูกสองคนกินซะจนไม่เหลือ หนึ่งในนั้นประมาณห้าถึงหกร้อยกรัมอยู่ในกระเพาะของเยี่ยเทียน
“ไปกันเถอะ ออกไปเดินย่อยกัน!”
หยิบกระดาษมาเช็ดมือแผ่นหนึ่ง เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นยืน บิดไล่ความขบเมื่อย ข้อต่อทั้งหมดในร่างกายส่งเสียงลั่นกร๊อบ โจวเซี่ยวเทียนมองจนตาค้าง
“พี่เยี่ย ไอ้แบบนี้พี่ฝึกยังไงกัน”
โจวเซี่ยวเทียนพอได้ห้าขวบก็ฝึกวิชาที่ตกทอดมากับพ่อ ไม่ได้หยุดพัก ถึงแม้วรยุทธ์จะเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้ แต่สายตาก็ไม่แย่ เยี่ยเทียนท่าทีเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ต้องเป็นคนที่ฝึกปรือวิชายุทธ์ขั้นสูงสุดแล้วถึงจะแสดงออกมาแบบนี้
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “ฉันฝึกวิชาหมัดของตระกูล ใช้แรงเข้าไปในกระดูก มองเผินๆ เหมือนวิชาหมัดนอกตระกูลเท่านั้น ตระกูลโจวของพวกนายน่าจะมีวิชาคล้ายๆกันนี่อยู่ ไม่ต้องอิจฉาฉันหรอก…”
“มีน่ะมี แต่ต้องอาศัยวิชาอิทธิฤทธิ์ร่วมด้วยจึงจะฝึกออกมาเป็นวิชายุทธ์ ตั้งแต่รุ่นปู่ทวดของปู่ทวดก็สาบสูญไปแล้ว ที่ตกทอดมาถึงพ่อของผม ก็มีแต่เคล็ดวิชาป้องกันตัวของตระกูลเท่านั้น”
สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนหมองคล้ำ ตอนเขายังเด็กๆ เวลาที่พ่อพูดถึงยุทธภพฉีเหมินเขาก็รู้สึกอิจฉา แต่หนังสือเคล็ดวิชาของตระกูลไม่ถูกเผาก็สูญหาย ลัทธิตระกูลโจวก็ไม่รุ่งเรืองเหมือนในตอนนั้นอีกแล้ว
“สูญหาย” เยี่ยเทียนตะลึงไปชั่วขณะ และหัวเราะกล่าวต่อว่า “ไม่ถูกเผาเป็นจุลก็ถือว่าดี อีกหน่อยโชคชะตานำพา ไม่แน่ว่านายอาจจะหาเจอก็ได้”
กล่าวตามจริง เยี่ยเทียนก็อยากดูสิ่งของตกทอดมาของตระกูลโจว ว่าจริงๆแล้วเป็นหนังสือเคล็ดวิชาหรือว่าเป็นสิ่งของอะไรอื่น
เยี่ยเทียนได้รับสิ่งของตกทอดมาอย่างแปลกไม่เหมือนใคร อันดับแรกไม่มีตัวอักษร อันดับต่อมาไม่มีรูปภาพ แต่เป็นข้อความที่จับต้องไม่ได้มองไม่เห็นเท่านั้น แม้แต่นักพรตเฒ่าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน เพราะตัวเขาเองก็อยากจะตามหาหลักฐานสืบทอดของทางฮวงจุ้ยให้เจอดูบ้าง
แต่หลังจากหมดยุคปฏิวัติ โดยเฉพาะในสิบปีนั้นที่อลหม่านวุ่นวาย ไม่เพียงแต่ตระกูลโจวที่เผชิญกับเรื่องร้ายๆ เกือบทั้งหมดของเคล็ดวิชาในแขนงอื่นๆที่ตกทอดล้วนแล้วแต่ถูกเผาเป็นจุลไม่มีเหลือ ล้วนแต่ขาดการการสืบทอด
หลี่ซ่านหยวนเคยพาเยี่ยเทียนไปเยี่ยมเยียนสำนักวิชาฮวงจุ้ยอื่นๆ แต่คนฉีเหมินพวกนั้นไม่เปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นก็เอาอาวุธที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้มาต้มตุ๋นหลอกลวง แต่กลับไม่เหลือคนที่สามารถพูดคุยกับธาตุในธรรมชาติได้อีกแล้ว ยุคเรืองรองของฉีเมินก็ไม่มีอีกแล้ว
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ…” โจวเซี่ยวเทียนส่ายหัว หยิบเอากล่องใหญ่ที่ล้มลงที่พื้นหยิบตั้งขึ้น
“ข้างในมีอะไร” เยี่ยเทียนถามขึ้น กล่องนั้นไม่ใช่เล็กๆ ใส่คนเข้าไปข้างในยังเหลือที่อยู่อีกมาก
“เพื่อนขโมยขุดสุสาน พี่เยี่ย ลงไปไม่มีของแบบนี้ไม่ได้เลยจริงๆ”
โจวเซี่ยวเทียนยิ้มขึ้นพลางกล่าว เปิดกล่องออกและหยิบของที่รูปทรงคล้ายหมวกขึ้นมา กล่าวว่า “พี่เยี่ย อันนี้คือไฟหัวกบ สวมไว้บนหัว นี่เป็นหน้ากากออกซิเจน แบบใช้ครั้งเดียว อยู่ได้นาน 20 นาที ตอนที่เพิ่งลงไปจะต้องสวมใส่ไว้…”
ของในกล่องนั้นของโจวเซี่ยวเทียนมีไม่น้อยทีเดียว นอกจากไฟหัวกบและหน้ากากออกซิเจนแล้ว ยังมีพลัวสั้นและพลั่วยาวและชะแลงอีกทั้งของอื่นๆ เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่าเจ้าเด็กนี่จะยกกล่องนี้ไปที่สุสานได้ยังไง
เยี่ยเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ กล่าวว่า “โฮสเทลนี้ไม่ปลอดภัย พวกเราออกไปแล้วเอากล่องนี่ไปด้วย”
เยี่ยเทียนรับประกันได้ว่า หากกล่องนี่อยู่ที่นี่รอจนกระทั่งพวกเขาออกไปแล้ว ไม่เกินห้านาที จะต้องมีคนรีบเข้ามาค้นในทันที ถ้าเป็นแบบนั้นฐานะที่เป็นโจรขุดสุสานของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่เป็นความลับอีกต่อไป
“พี่เยี่ย อันนี้…อันนี้ต้องรอตอนกลางคืนที่ไม่มีคน เช่ารถสามล้อลากไป ตอนไม่ได้” โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกยุ่งยากบ้าง กล่องใหญ่ขนาดนี้ ขืนเอาออกไปตอนกลางวันก็เป้าสายตากันพอดี
“หยิบมาแล้วไปกัน ฉันขับรถมา จะว่าไป ของพวกนี้ของนายมีเกือบครึ่งที่ต้องโยนทิ้งไป ไม่งั้นถูกตรวจค้นขึ้นมาก็เสร็จเหมือนกัน”
ตอนปีเก้าแปดขณะนั้น ถนนหลายสายจะมีบัตรผ่านถนน ยิ่งเป็นบริเวณที่ยากจนบัตรผ่านถนนก็จะเยอะตาม หากถูกตรวจพบ ก็กลายเป็นเยี่ยเทียนหาเหาใส่หัวตัวเองแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเยี่ยเทียนขับรถมา โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่สงสัยอีกต่อไป ยกกระเป๋าเดินตามเยี่ยเทียนนำหน้าเขารั้งท้ายออกไปจากโฮสเทล
สุสานโบราณที่โจวเซี่ยวเทียนกล่าวถึงทั้งหมดนั้น ห่างจากเมืองฉู่หยางก็หลายสิบกี่โลได้ อยู่ที่เมืองหยางผิงที่หมู่บ้านชื่อเถียนจ้วงทำนองนี้ หลังจากหลายชั่วโมงผ่านไป รถของเยี่ยเทียนก็มาหยุดลงตรงถนนแคบๆ ที่มีโคลนเต็มไปหมดสายหนึ่ง
ตอนที่อยู่บนถนน เยี่ยเทียนเอาเพื่อนของโจวเซี่ยวเทียนโยนทิ้งไปเกือบครึ่ง เหลือไว้แต่ไฟหัวกบกับพลั่ว โจวเซี่ยวเทียนถึงแม้จะเสียใจไม่น้อยแต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรเยอะ
“อย่าเพิ่งลงรถ ชี้ให้ฉันดูหน่อยสิ!” หลังจากมาถึงสถานที่ โจวเซี่ยวเทียนก็อยากเปิดประตูลงรถแต่กลับถูกเยี่ยเทียนเรียกไว้
ถึงแม้ไม่เข้าใจความหมายที่เยี่ยทำแบบนี้ แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ชี้ไปยังสถานที่นั้นกล่าวว่า “พี่เยี่ย ตรงนั้นแหละ นั่น ตรงนั้นมีก้อนหินใหญ่อยู่ ไปทางทิศตะวันตกประมาณยี่สิบเมตรได้!”
หลังจากมองไปรอบทิศจากหน้าต่างบนรถ เยี่ยเทียนก็อุทานออกมาว่า “หลังติดภูเขา เป็นแบบโอบล้อม ด้านตะวันตกตะวันออกมีแม่น้ำไหลผ่าน ที่แท้ก็เป็นสถานที่แอบซ่อนฮวงจุ้ยดีไว้นี่เอง เกรงว่าที่นายขุดไปเจอนั้น ไม่ใช่แม่ทัพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นบุคคลที่มีอำนาจเป็นอย่างมาก!”
อิทธิฤทธิ์ของลัทธิเสื้อป่านค่อนข้างจะหนักไปทางศาตร์วิชาการพยากรณ์ประเภทนั้น ก็ตามที่เยี่ยเทียนเข้าใจในฮวงจุ้ยของหยางจ๋ายก็ไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งมาก
แต่หลังจากเยี่ยเทียนฝึกวิชาลับแล้ว สายตาก็สามารถมองเห็นด้านบนของสุสานมมีไอพลังงานหยินหยางสองอย่างรวมตัวกันอยู่ด้านบน ที่ทำให้เขาตกใจมากไปกว่านั้น ระยะพื้นที่ของสุสานนี้ กลับมีพื้นที่กว้างพอๆกับสนามฟุตบอล
หรือก็คือ สิ่งก่อสร้างในสุสานบริเวณพื้นที่ตรงนี้ อย่างน้อยนั้นก็ประมาณพันกว่าตารางเมตรขึ้นไป บุคคลที่ตายไปแล้วจะสามารถได้รับอภิสิทธิ์พื้นที่ขนาดนี้ได้ ฐานะจะต้องไม่ใช่กระจอกแน่นอน
โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเหมือนจะเข้าใจกล่าวว่า “พี่เยี่ย ด้านล่างนี้ใช้อิฐสีดำ สงสัยว่าจะเป็นสุสานใหญ่ยุคถังหรือซ่ง ไม่ใช่ปลายราชวงศ์ถังก็ต้นราชวงศ์ซ่ง”
สุสานสมัยราชวงศ์ถังส่วนมากจะสร้างใกล้กับภูเขา ชอบขุดภูเขาให้เป็นโพรงแล้วทำเป็นสุสานของกษัตริย์ แต่ปลายถังต้นซ่งนั้นใช้อิฐก่อเป็นสุสานค่อนข้างจะเยอะ มนฐานะคนขุดสุสานที่มีความทัศนวิสัยนั้น ความรู้เฉพาะทางของโจวเซี่ยวเทียนนั้นถือว่ามีอยู่ไม่น้อย
หลังจากมองไปบริเวณนั้นอยู่ชั่วครู่ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว กล่าวว่า “ไอร้ายของสุสานนี้กันไว้ไม่ไหวแล้ว ดูท่าแล้วอาจจะต้องหาวิธีอื่น!”
“อย่างนั้น…อย่างนั้นทำยังไงดี” โจวเซี่ยวเทียนเมื่อได้ฟังก็เริ่มร้อนรน เรื่องนี้เขาเป็นก่อซะด้วย
“ไม่เกี่ยวกับนาย สุสานนี้ดูแล้วมีช่องไม่น้อยกว่าสิบ ดูท่าจะมีรุ่นพี่นายเข้าไปแล้ว อ่างเก็บน้ำที่เป็นไอดี หากไม่เพิ่มการไหลเวียน ดูท่าจะเคราะห์หนักกว่านี้”
เยี่ยเทียนดูจากสถานที่พบว่า คนที่เคยมาขุดสุสานใหญ่นี่มาก่อนมีไม่น้อยเลยทีเดียว ดูจากตำแหน่งที่ขุดเปิดหลุมก็ดูออก ข้างในมีไม่น้อยที่มีคนรู้ลึกถึงฮวงจุ้ยด้านใน เดินไปทางไอดี
แต่ว่าตั้งแต่นานมา สุสานนี้ก็เปลี่ยนเป็นพลังหยางแข็งขึ้นแต่พลังหยินกลับอ่อนลง ต่อให้เยี่ยเทียนปิดจุดหยางลงได้ แต่หากเป็นแบบนี้ต่อไป หลังจากที่พลังหยินและหยางหายไป กลับจะยิ่งทำให้เกิดภัยพิบัติมากกว่าเก่า
“ไปกัน… ” เยี่ยเทียนมองเห็นรถเทียมลามาทางนี้พอดี บิดกุญแจสตาร์ทรถ ขับตรงไปในทิศทางที่รถเทียมลานั่นอยู่
ในตอนที่เกวียนเทียมลาขยับเปิดทางให้นั้น เยี่ยเทียนหมุนกระจกลง ปากเอ่ยถามทาง ไปยังคนชราที่อยู่บนเกวียนเทียมลานั้นถามว่า “ลุง เจ้าจวงอยู่ข้างหน้าหรือเปล่าถนนเส้นนี้เดินทางไม่สะดวกเอามากๆ!”
หลังจากได้ฟังคำของเยี่ยเทียน คนแก่ก็ขยับแส้ในมือกล่าวว่า “พวกเธอสองคนจะไปเจ้าจวงเหรออยู่ข้างหน้านี่แหละ เลยเถียนจวงไปอีกสองกิโลเมตร แต่ถนนแถวนั้นยิ่งเดินทางยากกว่านี้อีกนา!”
…………
ตอนที่ 261 ไร้วาสนา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่เยี่ย พวกเราไปเจ้าจวงทำไมกัน”
เห็นเยี่ยเทียนสตาร์ทรถ ขับตรงไปข้างหน้า โจวเส้าเทียนก็ถามอย่างสงสัย เขาคิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านั้นที่เยี่ยเทียนถามชื่อหมู่บ้านไป กลับเอามาถามทางคนแก่
“นี่เรียกว่าโยนหินถามทาง ในการท่องยุทธภพสายนี้ นายยังอ่อนหัดนัก…”
ใบหน้าของเยี่ยเทียนปรากฏแววได้ดั่งใจขึ้นมาชั่วครู่ หากจะกล่าวถึงกลวิธีในการขโมยสุสาน เขาไม่เก่งเท่าโจวเส้าเทียน แต่หากพูดถึงวิธีการใยการท่องยุทธภพ ต่อให้โจวเส้าเทียนเร่งขี่ม้าก็ตามเยี่ยเทียนไม่ทันในเรื่องนี้
สุสานหลังใหญ่นี้ กินพื้นที่ไปรอบๆ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกรัฐบาลค้นพบ และหลุมทางเข้าสุสานที่พบ จะต้องถูกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ แต่เรื่องที่เยี่ยเทียนมาปรากฏตัวในย่านห่างไกลนี้ ก็คงหลบไม่พ้น
ดังนั้นเยี่ยเทียนก็เลยทำทีเป็นผ่านมา ในตอนที่มาเส้นทางนี้ เขาก็หยิบเอาป้ายทะเบียนของที่อื่นมาเปลี่ยนบนรถซันตาน่าเก่าแก่คันนี้ ตามหลักแล้วก็ถือว่าแนบเนียนมาก
ขับรถโยกเยกมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่า หลังจากมาถึงเจ้าจวง เยียเทียนก็ไม่ได้ดับรถ ขับเลยเจ้าจวงไปข้างหน้า เขารู้ว่าข้างหน้ายังมีหมู่บ้านเล็กๆ อีก
พอดีกับที่หมู่บ้านนี้มีตลาดนัด ถึงแม้จะเก็บกันไปเกือบหมดแล้ว แต่ร้านรวงนั้นไม่น้อย เยี่ยเทียนซื้อกระดาษเหลืองสองแผ่นและไก่ตัวผู้หนึ่งตัว จากนั้นก็ไปซื้อพู้กันจากสำนักพิมพ์
นอกจากนั้นเยี่ยเทียนยังซื้อเหล้าเถื่อนสองขวดและอาหารอีกบางอย่าง ก็ถือกลับมาที่รถพร้อมไก่ตัวผู้
เห็นเยี่ยเทียนหิ้วไก่ตัวผู้ขึ้นรถ โจวเส้าเทียนก็ถามขึ้นอยากแปลกใจ “พี่เยี่ย พี่ซื้อของพวกนี้มาทำอะไรนี่กะจะทำลายศพ ต้องซื้อขาลาดำสองอันด้วยถึงจะใช้ได้
เยี่ยเทียนได้หัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ระเบิดศพอะไรกัน เจ้าเด็กนี่นายคิดว่าด้านในมีผีดิบเหรอไง”
จากที่เยี่ยเทียนประเมิน ผีดิบที่ว่านี่ ก็เป็นเพียงแค่พวกขุดสุสานลงไปแล้ว เป็นภาพลวงจากการที่ถูกไอชั่วร้ายกัดกินก็เท่านั้น หลังจากโชคดีรอดมาได้ก็เลยบอกต่อกันปากต่อปาก หลายร้อยหลายพันปีผ่านมา ก็กลายเป็นตำนานน
แต่เยี่ยเทียนก็ไม่ได้อธิบายกับโจวเส้าเทียน แต่กลับขับรถออกมานอกหมู่บ้าน ขับรถเข้ามาในบริเวณตีนเขาที่ไม่มีผู้คน
หลังจากดับรถแล้ว เยี่ยเทียนก็หิ้วไก่ตัวผู้ที่ซื้อมากับถ้วยลายครามที่หยิบมาจากโฮสเทลลงจากรถ นิ้วมือข้างขวาดีดออกเล็กน้อย มีดสั้นอู๋เหินก็ถูกเยี่ยเทียนอุ้มไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ วาดจากหัวไก่ลงมา
ใช้มีดสั้นอู๋เหินฆ่าไก่ ก็เหมือนใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดไก่ แสงไอเย็นกะพริบขึ้นวูบหนึ่ง หัวไก่ก็ตกอยู่บนพื้น เลือดไก่ก็กระเด็นออกมา เยี่ยเทียนก็รีบเอาถ้วยลายครามรองเป็นการใหญ่
อาศัยจังหวะที่เลือดไก่ยังไม่เย็นตัว เยี่ยเทียนก็เอากระดาษสีเหลืองปูไว้หน้ารถ หลังจากเอาพู่กันจุ่มเลือดไก่แล้ว ก็วาดยันต์ด้วยท่าทางลวดลาย แต่บนเขาลมแรง วาดยันต์เจิ้นเสวียได้สองแผ่น เป็นเพราะกระดาษเหลืองถูกลมพัด ทำให้ไม่สามารถสร้างได้สำเร็จ
“โถ่เอ้ย ยุ่งยากจริงๆ…”
วาดยันต์จะต้องใช้พลังธาตุ เยี่ยเทียนมองไปยังโจวเส้าเทียนที่ยืนตะลึงอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ช่วยฉันจับปลายกระดาษสองข้างยึดไว้”
โจวเส้าเทียนขยี้ตา ถามว่า “พี่…พี่กำลังวาดยันต์เหรอ”
“ก็แน่นอนสิ ไม่ใช่เพราะวาดยันต์ฉันจะวุ่นวายขนาดนี้เหรอ” เยี่ยเทียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เร็วเข้า วาดเสร็จแล้วจะได้พักผ่อนซะหน่อย พวกเรายังต้องไปเถียนจ้วงอีก!”
“ได้ ได้ ผมใช้นิ้วมือนึงกดไว้ มั่นใจว่าไม่กระทบกับพี่แน่นอน!”
โจวเส้าเทียนตอบรับเป็นการใหญ่ เดินขึ้นไปกางกระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง กดขอบกระดาษสองข้างที่อยู่ในทิศทางลม ใบหน้าตื่นเต้นและมีร่องรอยตกใจอยู่
ในตอนที่โจวเส้าเทียนอายุได้หกเจ็ดขวบ เคยฟังพ่อเล่าว่า ผู้เก่าผู้แก่ตระกูลโจว สามารถวาดยันต์กำจัดปีศาจและภูติผีได้ ตอนนั้นโจวเส้าเทียนยังเด็ก ก็ฟังเป็นเรื่องนิทานไป
ถึงแม้จะโตขึ้นมาแล้ว เรื่องยันต์นี่เป็นเรื่องเหลวไหล แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะมาวาดยันต์ขึ้นต่อหน้าของตัวเอง ตอนนี้ทำให้เขาคิดถึงคำกล่าวของพ่อในตอนนั้น
พ่อของโจวเคยกล่าวว่า คนที่วาดยันต์ได้ จะต้องสื่อสารกับมวลธาตุต่างๆ ได้ ยืมธาตุมาใช้ มีแต่คนที่พิเศษไม่เหมือนใครเท่านั้น บรรพบุรุษรุ่นก่อนกว่าสิบรุ่นของตระกูลโจวก็มีแค่สองสามคนที่มีอิทธิฤทธิ์สูงถึงขั้นนี้้
แต่เยี่ยเทียนกับทำยันต์ นี่ก็หมายถึงว่าในเรื่องของอิทธิฤทธิ์นั้นก็เสมอกับบรรพบุรุษของตระกูลโจว ในยุคที่อิทธิฤทธิ์เหลือน้อยเต็มที แบบนี้เยี่ยเทียนก็ี่ราวกับว่าเป็นสัตว์ประหลาด ยากที่โจวเส้าเทียนจะไม่ตกอกตกใจ
หลังจากวาดยันต์ตรึงไอร้ายเสร็จแผ่นหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็หยิบมาประเมินอยู่ชั่วครู่ พยักหน้าอย่างพออกพอใจ “อืม แผ่นนี้ใช้ได้ เฮ้อ เปลี่ยนกระดาษอีกแผ่น!”
“งานใหญ่เสร็จเรียบร้อย ไปกันเถอะ!”
หลังจากวาดยันต์ตรึงไอชั่วร้ายติดต่อกันสามแผ่น เยี่ยเทียนถึงจะวางมือ หลังจากหยิบยันต์มาพับเก็บอย่างเบามือแล้ว ก็เอาถ้วยโยนเข้าไปในพงหญ้า
หันกลับมาเห็นโจวเส้าเทียนยังยืนอยู่ เยี่ยเทียนก็ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ขึ้นรถเถอะ ที่นี่ลมภูเขาพัดแรง หาที่พักผ่อนกินอะไรรองท้อง รอจนมืดแล้วค่อยกลับไปที่เถียนจวง”
“อา…อาจารย์!”
เยี่ยเทียนไม่คาดคิด เสียงเขาเพิ่งหยุดไป โจวเส้าเทียนกลับมีเสียง “ตุบ” ออกมา เข่าทั้งสองข้างอยู่บนพื้นข้างหน้าเขา
“อาจารย์? นายเรียกใครกัน” เยี่ยเทียนมองไปทางซ้ายและขวา เจ้าเด็กนี่หรือว่าจะถูกไอร้ายแทรกซึมสมองไม่ดีไปแล้ว
“อาจารย์ ท่านรับผมไว้เป็นศิษย์เถอะ!” โจวเส้าเทียนก็คำนับลงไป เพียงแต่หน้าผากยังไม่ทันถึงพื้น ก็ถูกเยี่ยเทียนเอาเท้ารองไว้ก่อน
“อาจารย์จะมาเรียกมั่วๆ ไม่ได้ คำนับก็ยังจะมาทำมั่วๆ ไม่ได้ เราสองคนไม่มีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กัน!”
“ไม่ พี่เยี่ย พี่เป็นผู้ที่มีวิชาสูงส่งที่สุดที่ผมเคยพบ พี่ไม่รับผมเป็นศิษย์ ผมก็จะคุกเข่าอยู่แบบนี้ไม่ลุกขึ้นแล้ว”
โจวเส้าเทียนเดิมทีก็สนใจในอิทธิฤทธิ์พวกนี้อยู่แล้ว แต่สภาพไม่เอื้ออำนวย เขาก็ไม่มีทางเข้าสู่ยุทธภพฉีเหมิน ในสายตาตอนนี้เห็นเยี่ยเทียนเป็นปรมาจารย์ของจริงจะไม่คำนับได้อย่างไร
“บ้าจริงๆ ฉันว่านายนี่อ่านนิยายกำลังภายในเยอะไปนะได้ นายก็คุกเข่าตากลมภูเขาอยู่นี่แล้วกัน ข้าไม่มีอารมณ์มายืดยาดอืดอาดกับนายอยู่ที่นี่!”
เยี่ยเทียนไม่สนใจลูกไม้นี้ของโจวเส้าเทียน หันกลับไปขึ้นรถ สตาร์ทรถถอยกลับออกไป
“เห้อ เห้อ อาจารย์ ท่านรอผมด้วยสิ…”
โจวเส้าเทียนจะดูเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ก็เป็นเด็กอายุสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ตาหันไปเห็นเยี่ยเทียนจะขับรถออกไปจริงๆ รีบลุกขึ้นมาจากพื้น ใช้มือเปิดประตูได้ขึ้นรีบขึ้นไปนั่ง
เห็นโจวเส้าเทียนขึ้นมาบนรถแล้ว เยี่ยเทียนก็เหยียบเบรก มองไปทางโจวเส้าเทียน กล่าวอย่างจริงจังว่า “นายเดิมทีเป็นสายเลือดตรงของลัทธิตระกูลโจว ถึงแม้สิ่งของสืบทอดจะหายไป แต่ฐานะของนายก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คนในฉีเหมินให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือผู้สืบทอด นายทำแบบนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าบรรพบุรุษทั้งหลายจะคิดยังไง”
“แต่…แต่ของสืบทอดของพวกเราหายสาบสูญไปนานแล้ว!”
โจวเส้าเทียนไม่มีอาจารย์ชักนำเข้าสำนัก ทั้งหมดที่เรียนมาก็มาจากที่พ่อสอนให้ตอนเด็กหรือเขาค้นหามาเอง แต่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ให้ความสำคัญ
“นายไม่ได้แซ่โจวหรือไง”
เยี่ยเทียนกล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก “ในฐานนะลูกศิษย์ของลัทธิตระกูลโจว นายควรจะคิดว่าจะเสาะหาของสืบทอดของตระกูลกลับมาได้ยังไง ไม่ใช่ว่าจะมาเรียนลัทธิเสื้อป่านจากฉัน!”
จริงๆ แล้วโจวเส้าเทียนฝึกยุทธตั้งแต่เด็ก สรรพทางกายเดิมทีก็เป็นต้นกล้าที่ดีในการเรียนวิชา แต่อายุของเขาค่อนข้างมากแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถสืบทอดลัทธิเสื้อป่านได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ปฏิเสธในฐานะลูกศิษย์ของสำนัก
“งั้น…งั้นก็ได้ พี่เยี่ย ผมจะนำพาลัทธิตระกูลโจวให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง!”
คิดว่าตัวเองกลับไปขอเข้าสำนักคนอื่น แน่นอนว่าทำผิดต่อบรรพบุรุษเป็นอย่างมาก โจวเส้าเทียนได้แต่กำจัดความคิดนี้ออกไป เขาเองก็เป็นรุ่นที่ตั้งปณิธานแน่วแน่ พร้อมกับตัดสินใจเองอย่างเงียบเงียบ จะต้องสืบทอดวิชาตระกูลโจวต่อไปให้ได้
เยี่ยเทียนพยักหน้า กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ดี ในวันข้างหน้าหากฉันมีเวลา จะไปเป็นเพื่อนนายตามหากลุ่มคนตระกูลโจวที่หนานเจียง ฉางซาดูซักรอบ!”
หลังจากกล่อมโจวเส้าเทียนได้ เห็นท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ทั้งสองคนดื่มเหล้าและกินเนื้อนิดหน่อยบนรถ เยี่ยเทียนก็ขับกลับไปยังทางขามา
หมู่บ้านในเดือนสองและเดือนสามของเหอเป่ย ลมพัดหนาวยะเยือกไปถึงกระดูก พอตกกลางคืนแต่ละบ้านก็ดับไฟกันหมก ไม่มีเห็นว่าบนถนนที่ลุมดอนของหมู่บ้านจะมีรถที่เปิดกระโปรงหน้าจอดอยู่
“พี่เยี่ย พวกเราจะลงไปในนั้นกันเมื่อไหร่”
ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มกว่าแล้ว เยี่ยเทียนและโจวเส้าเทียนก็รออยู่ที่นี่ได้สามสี่ชั่วโมงแล้ว ในระหว่างนั้นมีบางคนเดินผ่านไป ล้วนแต่ถูกเยี่ยเทียนใช้แผนการทำเป็นรถเสียตอบกลับไป
“รออีกหน่อย!”
เยี่ยเทียนมองไปทางโจวเส้าเทียน พร้อมกับกำชับว่า “ฉันลงไป ไม่ใช่พวกเราลงไป ฉันไม่มียารักษาอาการบาดเจ็บมากมายขนาดนั้นให้นายกิน นายรอดูอยู่ด้านบน หากท่าไม่ดีก็สตาร์ทรถ ฉันฟังได้ยินอยู่!”
สำหรับโจวเส้าเทียนที่ขโมยสุสานมาสามแห่งแล้วยังไม่เคยถูกจับได้ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ลอบถอนใจว่าเจ้าเด็กนี่ดวงดี แบบเขานี้วิ่งรอกรับงานไม่มีคนดูให้ ปกติแล้วจะเกิดเรื่องได้ง่าย
เห็นสีหน้าของโจวเส้าเทียนมีบางส่วนไม่ยอม เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะดีใจ “ยังดีที่นายยังพอเข้าใจฮวงจุ้ยอยู่บ้าง ตอนนี้เป็นเวลาหยาง เป็นเวลาไอร้ายเข้มข้นที่สุดของวัน ลองไปหาเรื่องตายเหรอไง”
ปกติคนที่ขโมยขุดสุสาน ล้วนต้องรอให้ผ่านเที่ยงคืนไปก่อนแล้วจึงจะลงไปยังสุสาน เห็นสภาพของโจวเส้าเทียนแบบนี้ เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที สงสารเจ้าเพื่อนคนนี้ได้รับบาดเจ็บเป็นเรื่องที่คิดมากไป
“วันนี้เป็นวันที่เหมาะแก่การลักเล็กขโมยน้อย!”
รอจนเข็มนาฬิกาชี้เวลาเที่ยงคืนแล้ว เยี่ยเทียนก็เปิดประตูรถ แหงนหน้ามองท้องฟ้า เป็นคืนเดือนมืดที่บดบังดวงดาวและพระจันทร์จนมืดมิด
“จำไว้หากเห็นคนไม่ต้องแตกตื่น บอกไปว่ารถเสีย สตาร์ทสามสี่ทีค่อยดับรถ ฉันก็จะรู้แล้ว! “เยี่ยเทียนด้านหนึ่งสั่งความโจวเส้าเทียน อีกด้านหนึ่งถอดเสื้อผ้าที่ติดตัวอยู่ออกหมด
ปกติคนขุดสุสานจะมีชุดแนบเนื้ออยู่ แต่เยี่ยเทียนมาแบบรีบร้อน ได้แต่ยืมของโจวเส้าเทียนใช้
“แย่จริง ฉันคิดยังไงถึงมาพัวพันกับเรื่องของนายเนี่ยฉันบอกให้นายรีบๆ หน่อย รีบส่งเสื้อมา!”
หลังจากเปลือยกายจนเหลือแต่กางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง ดีที่ร่างกายของเยี่ยเทียนกำยำ แต่ก็ถูกลมเย็ดพัดผ่านจนต้องสู้กับความหนาว รีบเปลี่ยนไปสวมใส่เสื้อแนบเนื้อที่โจวเส้าเทียนเอามาด้วย
“บ้าจริง ดูแล้วเป็นมืออาชีพจริงๆ!”
หลังจากยัดตัวเองลงไปในชุดที่ดูเหมือนจะเล็กไปหน่อยแล้วนั้น เยี่ยเทียนก็นำเอามีดสั้นอู๋เหินไปเสียบไว้ที่ไหล่ซ้าย หน้าอกมีกระเป๋าอยู่สองอัน สามารถใส่อาวุธสิบสองนักษัตย์และยันต์พอดี แต่กับจานหลัวนั้นก็ได้แต่ต้องถือเอาไว้แล้วล่ะ
…………
ตอนที่ 262 รูอุโมงค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
มือซ้ายถือเข็มทิศมือขวาถือพลั่ว เยี่ยเทียนมาถึงรูอุโมงค์ที่โจวเซี่ยวเทียนใช้เข้าไป เพราะกลัวคนเจอเข้า นี่เป็นรูอุโมงค์ขนาดเล็ก ที่อยู่หลังเนินเขา ด้านบนพรางตาไว้ด้วยโคลนและกิ่งไม้
เอาเข็มทิศย้ายจากบริเวณปากกระเป๋าไปยังภายในเสื้อ เยี่ยเทียนใช้พลั่วขุดโคลนที่ปิดปากรูอุโมงค์ออก รอประมาณห้าถึงหกนาที ดูว่าอากาศภายในมีการไหลเวียนพอประมาณแล้ว เยี่ยเทียนก็เอาหัวเข้าไป และเคลื่อนลำตัวและขาตามเข้าไป
รูอุโมงค์นี้หากมองจากภายนอกดูไม่ใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอกับขนาดของไหล่เยี่ยเทียนให้เข้าไปได้ แต่ภายในกลับมีที่ว่างเพิ่มอีก ด้านข้างของรูอุโมงค์ใช้ดินโคลนทำทั้งสองข้างแต่ดูแล้วไม่มีโอกาสเกิดการถล่ม
“งานด้านไหนก็ไม่ง่ายทั้งนั้น ดูท่าเมื่อก่อนตัวเองจะมีอคติกับคนขโมยสุสานมากเกินไปซะแล้ว!”
หากไม่ได้เจอกับตัวเองเหมือนตอนนี้ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าเป็นโจรขโมยสุสานนี่ก็ไม่ง่าย ไม่เพียงแต่ใช้สมอง ยังต้องใช้พละกำลังดัวย อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง รูอุโมงค์ที่ยาวเกือบสิบห้าเมตรนี้ก็ยากมากแล้ว
ใช้แขนขาร่วมกันในการพาตัวเองเคลื่อนที่มาสิบกว่าเมตรแล้วนั้น เยี่ยเทียนก็มาถึงด้านหนึ่งของสุสาน กำแพงอิฐสีดำก็บดบังทางของเขาไว้ โคลนบนกำแพงที่ติดอยู่ก็ถูกทำความสะอาดซะเอี่ยม อิฐที่ก่อซ้อนกันเป็นระเบียบปรากฏต่อหน้าเยี่ยเทียน
ไฟฉายหัวกบซึ่งค่อนข้างสว่างไปหน่อย เยี่ยเทียนพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็มองว่านี่น่าจะเป็นมุมโค้งของสุสาน
พื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างจะใหญ่หน่อย สามารถรองรับคนนั่งยองๆ สองคนได้ ที่อิฐมุมหนึ่ง มีกระดูกศรีษะตกกระจายเกลื่อนอยู่ ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าไหร่แล้ว กะโหลกถูกดินโคลนกัดจนเป็นสีออกเหลือง
“คนตายเพราะความโลภ นกตายเพราะอาหาร” เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเมื่อหลายร้อยปีก่อนหรือนานกว่านั้น ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงทำให้เหลือเพียงกระดูกที่โดดเดี่ยวนี้
บนอิฐที่มีการเคลื่อนย้ายไม่นานมานี้ มีอิฐหายไปหนึ่งอัน ตำแหน่งที่ว่างนั้นมีเข็มทิศของโจวเซี่ยวเทียนยัดอยู่ เข็มทิศเดิมที่แวววาว ในเวลานี้ความแวววาวนั้นหายไป ถึงแม้จะอยู่ใต้แสงไฟ
เยี่ยเทียนไม่ได้รีบร้อนหยิบเข็มทิศออกมา แต่กลับคุกเข่าลงบนพื้น ใช้พลังธาตุรับรู้ถึงพลังพิฆาตที่ปล่อยออกมาไม่หยุด
“ค่ายกลพลังพิฆาตที่กำลังหมุนเวียนอยู่ มีผู้สูงส่งคอยบงการ และความอาฆาตมาตรร้ายรุนแรง ในสุสานแห่งนี้ จะต้องมีคนตายมาก่อน!”
เยี่ยเทียนที่นั่งลงบนพื้น ร่างกายกระตุกให้เปลือกตาสองข้างเปิดออก ในตอนที่พลังของเขาสัมผัสกับอิฐนั้น พลังพิฆาตด้านหลังที่มีความเข้มข้นกลับจู่โจมเข้ามา อยากจะกลืนกินพลังของเยี่ยเทียน
พลังพิฆาตเหมือนกับอากาศ มีดสั้นอู๋เหินไร้ร่างไร้ความคิด พลังที่มีการโจมตีแบบนี้ จะต้องมีคนใช้ค่ายกลนำทางแน่นอน และฝีมือสูงส่ง ทำให้พลังพิฆาตพวกนี้กลายเป็นพลังที่มีความคิดขึ้นมา
พลังพิฆาตนี้ไม่เพียงแต่ง่ายต่อการหลอมรวมกับพลังของอุโมงค์ แต่ยังสามารถไหลเข้าสู่คนที่เข้ามาในสุสาน สำหรับคนโมยขุดสุสาน ที่ไม่มีวิชาติดตัว พลังพิฆาตเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการรีดวิญญาณชีวิตเท่าไหร่นัก
“กระแสพลังที่เข้มข้นขนาดนี้ ถ้าสลายไปหมดก็อดเสียดายไม่ได้ เฮ้อ ถ้ารู้มาก่อนจะเอาโคมจูเชวี่ยมาด้วยแล้ว!”
สุสานแห่งนี้ถูกขโมยขุดอย่างน้อยสิบกว่าครั้ง ฮวงจุ้ยนั้นขาดแคลนไม่ครบ ถึงแม้เยี่ยเทียนจะปิดบริเวณที่ถูกโจวเซี่ยวเทียนทำลายไปแล้วนั้น พลังพิฆาตนั้นก็จะเล็ดลอดออกมาวันยังค่ำ
ดังนั้นเยี่ยเทียนเตรียมที่จะเปลี่ยนฮวงจุ้ยของที่นี่ ทำให้พลังพิฆาตและพลังชี่ไหลออกจากสุสานพร้อมกัน แบบนี้ถึงจะรวบรวมอันตรายจากพลังพิฆาตไว้ด้วยกัน ทำให้ไม่สามารถก่อให้เกิดความเสียหายภายหลังได้อีก
แต่พลังพิฆาตก็จะถูกปล่อยทิ้งเปล่าๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกเสียดาย หากโคมจูเชวี่ยอยู่ล่ะก็ วางเอาไว้ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถดูดพลังพิฆาตเหล่านี้จนหมด กลายเป็นอาวุธวิเศษขึ้นมาก็ได้
ความคิดนี้ทำให้เยี่ยเทียนใจเต้น เขาเกิดความคิดที่จะกลับปักกิ่งไปเอาโคมจูเสวียมาที่นี่ ต้องรู้ก่อนว่าหาก กลายเป็นอาวุธวิเศษแล้ว ย่อมต้องมีค่ามากกว่าของมีค่าอื่นๆ รวมกันซะอีก
“ช่างเถอะ ที่นี่ไม่ปลอดภัย อย่าทำอะไรที่ได้ไม่คุ้มเสียเลย…”
หลังจากประเมินอยู่ชั่วครู่แล้ว เยี่ยเทียนก็ยกเลิกความคิด หากในช่วงเวลานี้ สุสานถูกคนค้นพบ โคมจูเชวี่ยของเขาก็อย่าคิดว่าจะเอากลับมาได้เลย
“เอาออกมาเลี้ยงซะหน่อยก็ไม่เลว”
ถึงแม้โคมจูเชวี่ยจะไม่อยู่ข้างกาย แต่มีดสั้นอู๋เหินเดิมทีก็เหมือนกับพลังพิฆาตในสุสาน ดูดพลังพิฆาตเข้าไปบางส่วน เป็นประโยชน์กับมีดสั้นอู๋เหิน ไม่มากก็น้อย
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็หยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋า นำมาติดบนอิฐจากนั้นก็หยิบเข็มทิศที่ติดอยู่บนกำแพงอิฐออก
“ให้ตายเถอะ พลังพิฆาตรุนแรงมาก ยันต์นี้ทานได้มากสุดก็สองชั่วยาม!”
ยังไม่ทันได้ดูเข็มทิศของโจมเส้าเทียน เยี่ยเทียนก็รับรู้ได้ถึงกระแสพลังหยางที่เยือกเย็นพุ่งทะลุกำแพงออกมา ถูกยันต์เจิ้นเสียกั้นเอาไว้ได้ สีเลือดสดบนยันต์มองเห็นได้ว่ากำลังเจือจางลง
เยี่ยเทียนหยิบอิฐก้อนที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา นำยัดกลับเข้าไปที่เดิมของมัน จากนั้นนำเอามีดสั้นอู๋เหิน ที่อยู่บนบ่าด้านซ้ายของเขาเสียบเข้าไปตรงช่องว่างของอิฐ เอื้อมมือไปหยิบยันต์แผ่นนั้นออกมา
ขาดจากการขวางกั้นของยันต์ เยี่ยเทียนพลันรู้สึกถึงกระแสพลังหยางเย็นยะเยือกที่เป็นพลังพิฆาต พุ่งทะลุกำแพงออกมาเต็มไปหมด เหมือนคลื่นจากทะเลที่ถาโถมเข้ามา ราวกับจะทำให้ตัวเองจมลงไป
แต่ว่าในเวลานี้เอง มีดสั้นอู๋เหิน ที่ถูกเสียบเอาไว้ที่ร่องอิฐ พลันส่งเสียงร้องที่ชัดแจ๋วขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ราวกลับกำลังร้องเพลง กระแสพลังที่พวยพุ่งราวกับคลื่นนั้นถูกมีดสั้นอู๋เหินดูดเข้าไปเกือบหมด
พลังพิฆาตที่ถูกกักเก็บมาเป็นพันปี ไม่ใช่ว่ามีดสั้นอู๋เหิน จะสามารถดูดเอามาได้หมดในเวลาอันสั้น ยังคงมีพลังพิฆาตจำนวนไม่น้อยที่ทะลุกำแพงออกมา ไหลเข้ามาที่มีดสั้นอู๋เหิน ทั้งสองกลายเป็นความสมดุลชั่วคราว
“ได้ผลจริงแหะ!”
หลังจากเห็นผลงานของมีดสั้นอู๋เหิน แล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงความดีใจออกมา ให้มีดสั้นอู๋เหิน อยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่ง คุณสมบัติของมันจะได้รับการผลักดันให้สูงขึ้นไปอีก ไม่แน่ว่าอาจจะขึ้นไปถึงขั้น “อายุวัฒนะ” ก็เป็นได้
ที่เรียกว่า “อายุวัฒนะ” ไม่ได้หมายถึงวันเดือนปีที่เคลื่อนคล้อย แต่หมายถึงอาวุธโจมตีประเภทหนึ่งภายในฉีเหมิน เมื่ออาวุธที่สืบทอดมาถูกเลี้ยงจนพลังอยู่ในระดับสูง ก็จะทำให้เกิดความสามารถที่เป็นอายุวัฒนะนี้ได้
แต่อาวุธที่เป็นตำนานนี้ เยี่ยเทียนเพียงแต่เคยได้ยินมาเท่านั้น แต่ไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง อาวุธโจมตีนั้นมีอยู่น้อยมาก ก็คือมีดสั้นอู๋เหิน ด้ามนี้ นั่นก็มาจากวาสนาที่พอดีกันเยี่ยเทียนถึงได้มา
“เอาล่ะ สำเร็จหรือไม่ตอนเช้าก็จะต้องเอากลับไป!”
ถึงแม้จะอยากให้มีดสั้นอู๋เหิน อยู่ที่นี่หลายวันหน่อย แต่ระยะเวลากว่าจะเช้าก็ยังมีเวลาอีกห้าถึงหกชั่วโมง เยี่ยเทียนพยายามให้มีดสั้นอู๋เหิน ดูดพลังพิฆาตเยอะขึ้นอีกหน่อย หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เยี่ยเทียนก็หันหลังอยู่ภายในอุโมงค์ ปีนกลับออกไปทางเดิม
หลังจากยื่นหัวออกไปประเมินดูรอบทิศทาง เยี่ยเทียนก็ออกมาจากอุโมงค์ อาศัยความมืดพรางกาย ค่อยๆ เปิดประตูรถอย่างไร้เสียง
“เยี่ย…พี่เยี่ย” โจวเซี่ยวเทียนทีนั่งอยู่ด้านหน้า ถูกการเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนทำให้ตกใจขึ้น เกือบเอาไฟฉายในมือทำร้ายเยี่ยเทียนไปแล้ว
พูดตามตรง งานปล่อยเวลาไปแบบนี้ของโจวเซี่ยวเทียน ยากกว่าการที่เยี่ยเทียนลงไปข้างล่างเสียอีก
เยี่ยเทียนยุ่งอยู่ด้านล่าง ก็ไม่มีหัวไปคิดฟุ้งซ่านอะไรมาก แต่โจวเซี่ยวเทียนที่อยู่ด้านบนไม่เหมือนกัน ด้านหนึ่งเป็นห่วงเยี่ยเทียน อีกด้านก็กลัวชาวบ้านผ่านมา จิตใจหวาดระแวงไปหมด
“เอ้า นี่เข็มทิศของนาย ดีที่ฉันมาเร็ว ไม่ได้เสียไปซะหมด เลี้ยงไว้ช่วงเวลาหนึ่งยังใช้ได้อีก!”
หลังจากเยี่ยเทียนขึ้นมาบนรถก็โยนเข็มทิศของโจวเซี่ยวเทียนไป ไม้แข็งที่ใช้ทำเข็มทิศวางไว้ที่นั่นเป็นเวลาสองวันเต็มๆ ด้านหลังของเข็มทิศก็เกิดรอยแตกขึ้นมา เห็นได้ว่าในสุสานนั้นพลังพิฆาตรุนแรงขนาดไหน
“ผมเลี้ยงอาวุธไม่เป็น…”
โจวเซี่ยวเทียนจับของต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้อย่างทะนุถนอม หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม ถึงเพิ่งนึกเรื่องหลักที่มาวันนี้ได้ ถามกับเยียเทียนว่า “พี่เยี่ย ด้านล่างเป็นยังไงบ้างพลังพิฆาตหยางรั่วไหลออกมารึเปล่า”
เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่เป็นไร รอประมาณตีสามฉันจะลงไปที่สุสาน เปลี่ยนฮวงจุ้ยของสุสานแห่งนี้”
กว่าจะถึงตีสามก็อีกหลายชั่วโมง เยี่ยเทียนพูดจบก็นอนพักบนรถหลับไป โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ยังต้องนั่งถ่างตาคอยสังเกตุรอบข้างต่อไป
เมื่อถึงตีสาม เยี่ยเทียนก็ลืมตาขึ้นอย่างตรงเวลา ลุกขึ้นเปิดประตูรถเดินไปยังอุโมงค์สุสานนั้น
“พี่เยี่ย ไม่ได้เอาหน้ากากออกซิเจนไปด้วย ห้ามสูดอากาศในสุสานเข้าไป!” เห็นเยี่ยเทียนไม่ได้เอาหน้ากากออกซิเจนไปด้วย โจวเซี่ยวเทียนอดไม่ได้ต้องร้องเรียกเสียงกระซิบ
สุสานนี้ปิดมาเป็นเวลากว่าพันปี ด้านในไม่เพียงแต่มีพลังพิฆาตอยู่เท่านั้น ในอากาศกลับมีเชื้อโรคและอากาศที่เป็นพิษอื่นๆอีก เพราะฉะนั้นในตอนที่คนขุดหาของโบราณ จะเปิดสุสานมักจะรอให้อากาศไหลเวียนซักชั่วเวลาหนึ่งก่อนแล้วจึงเข้าไป
แต่กับโจรขุดสุสานนั้นไม่ได้มีพิธีรีตรองขนาดนั้น งานของพวกเขาเป็นงานหนักและเวลาน้อย หลายคนมักจะสวมหน้ากากออกซิเจนเข้าไปในสุสาน นี่ก็ถือว่าเป็นโชคดีที่ตอนนี้มีนวัตกรรมนี้ออกมาให้แก่พวกขุดสุสานได้ใช้
“ฉันไม่ใช้ของพวกนั้น!” เยี่ยเทียนโบกมือ โดยไม่ได้หันไปมองเดินตรงไปยังอุโมงค์สุสาน
แต่ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าไปในอุโมงค์ แต่เดินตรงไปยังด้านข้างทางทิศใต้สุด อ้อมเนินเขาเล็กนั่นไปแล้ว ก็เอาพลั่วออกมาขุดบริเวณหนึ่งที่ดูไปก็เหมือนๆ กับบริเวณอื่น
โจวเซี่ยวเทียนตามหลังเยี่ยเทียนมา เห็นการกระทำของเยี่ยเทียนก็อดถามขึ้นอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “พี่เยี่ย นี่พี่กำลังคิดจะทำอะไรตอนนี้ก็ตีสี่แล้ว จะขุดอุโมงค์อีกก็ไม่ทันแล้วนะ”
งานขุดอุโมงค์เข้าไปในสุสานไม่ใช้งานง่ายๆ หากไปเจอสุสานที่ฝังเอาไว้ลึกมา ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันจึงจะขุดเจอ
โจวเซี่ยวเทียนนับตั้งแต่ตัวเขาเองเข้าไปในรูอุโมงค์นั้นก็สามารถคำนวนได้ หากทำคนเดียวผนวกกับตอนนี้อากาศหนาวเหน็บ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ จึงจะสามารถขุดเส้นทางเข้าไปได้
“ใครว่าฉันจะขุดอุโมงค์เข้าไป”
เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียนอย่างอารมณ์ไม่ดี แต่มือไม่ได้หยุด ในตอนที่เขาพูดจบ ด้านล่างของพลั่วก็เกิดเป็นรูอุโมงค์ดำๆ เล็กๆ ขึ้น
………………
ตอนที่ 263 เผชิญอันตราย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นรูอุโมงค์ดำมืด โจวเซี่ยวเทียนมองอย่างตะลึงงันไปชั่วครู่และกล่าวว่า “นี่…ตรงนี้ทำไมถึงมีรู”
“ฉันว่าสายตาของนายมีปัญหา นี่เป็นอุโมงค์น่ะสิ หรือจะเป็นรูกระต่าย” เยี่ยเทียนถลึงตาใส่โจวเซี่ยวเทียนไปครั้งหนึ่ง
“นายรีบกลับไปดูว่ามีคนมาหรือเปล่า ถ้ามีคนมาแล้วให้ส่งสัญญาน!”
“น่าแปลก พี่เยี่ยทำไมตรงนี้ถึงมีรูอุโมงค์ได้” โจวเซี่ยวเทียนที่ถูกเยี่ยเทียนไล่ให้ไปที่รถก็ยังไม่วายเกาหัวด้วยความงุนงง
หากมองจากด้านนอก รูอุโมงค์นั้นไม่ได้ต่างอะไรจากดินรอบสุสานด้านนอกที่ด้านบนมีแต่หญ้าแห้งสีเหลืองขึ้นอยู่ นอกซะจากเยี่ยเทียนมีตาที่มองเห็นทะลุได้ มิเช่นนั้นจะไม่มีทางรู้เลยว่ารูอุโมงค์อยู่ตรงไหน
พลังที่มองทะลุได้นั้นเยี่ยเทียนไม่มี แต่เขารู้วิชาที่จะสังเกตสถานที่ บริเวณที่พลังพิฆาตร้ายระเหยออกมาจากพื้น ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
รูอุโมงค์นี้ถึงแม้จะซ่อนอย่างดิบดี แต่เป็นบริเวณที่มีพลังพิฆาตดีอยู่ ในตอนนั้นคนขุดรูอุโมงค์นี้ จะต้องมีคนที่รู้เรื่องเป็นอย่างดีคอยแนะนำ เพราะตรงนี้เป็นที่เดียวที่จะเข้าไปในสุสานได้อย่างปลอดภัย
เยี่ยเทียนมองรูอุโมงค์ที่ไม่รู้ว่าขุดเอาไว้ตั้งแต่สมัยไหนแล้วภายในใจก็หดหู่อยู่บ้าง
เยี่ยเทียนไม่เคยขุดสุสานมาก่อน ครั้งนี้มาร่วมด้วยแค่ชั่วคราว จริงๆ ในใจก็คิดว่าจะได้เจอของดีหลายชิ้น แต่พอมีรูอุโมงค์นี่อยู่ แสดงว่าสุสานนี้ถูกผู้มีความสามารถมาเยี่ยมเยือนไปแล้ว คิดแล้วก็คงไม่น่ามีของดีอะไรหลงเหลือมาถึงเขา
“คนพวกนี้ไม่ได้ปิดรูแบบปิดตาย แสดงว่าพวกมันคิดที่จะลงมาอีก แต่เกิดเหตุอะไรขึ้น พวกเขาถึงไม่ลงมาที่สุสานแห่งนี้อีกด้านในหรือบางทีอาจจะมีของดีหลงเหลืออยู่”
หลังจากหยิบเอาพลั่วเข้าไปในรูอุโมงค์แล้วเยี่ยเทียนได้พบว่า นอกจากรูเล็กแคบแล้วเหมือนกับรูก่อนหน้าไม่มีผิด ช่องว่างภายในรูอุโมงค์ กลับมีมากกว่ารูที่แล้วอย่างชัดเจน เยี่ยเทียนค้อมตัวให้เตี้ยลงเล็กน้อยก็สามารถเดินไปได้
แต่ว่ารูอุโมงค์นี้ถูกขุดเมื่อนานมาแล้ว ผนังด้านในมีดินโคลนปิดอยู่อาจจะมาจากมีน้ำซึมเข้ามา เยี่ยเทียนใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงในการเปิดปากทางอุโมงค์ให้ปลอดโปร่ง
“อีกชั่วโมงเดียวฟ้าก็จะสว่าง ฉันจะต้องรีบแล้ว!” มองนาฬิกา เป็นเวลาเกือบตีสี่แล้ว เยี่ยเทียนนั่งอยู่ข้างนอกสิบกว่านาที รอจนอากาศภายในอุโมงค์ไหลเวียนแล้ว ก็เริ่มขุดเข้าไปใหม่
ชาวบ้านที่ทำไร่ทำนามักจะตื่นกันแต่เช้า ไม่แน่ว่าตอนตีห้าหรือหกโมงเช้าก็คงมีคนเดินกันให้ขวักไขว่ เยี่ยเทียนจะต้องเข้าไปที่สุสานก่อนตีห้า ทำการปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยด้านในแล้วออกมา เวลาชั่วโมงกว่า ค่อนข้างกระชั้นจริงๆ
คนที่เข้ามาในสุสานนี้ จะต้องมีประสบการณ์มาก หลังจากออกไปแล้ว ไม่เพียงแต่แอบซ่อนรูทางเข้า ในขณะเดียวกันก็เอาอิฐวางเรียงซ้อนไว้เหมือนเดิม
“ที่นี่เป็นประตูทางเข้าสุสาน!” เยี่ยเทียนเอาดินโคลนออกจากอิฐรอบด้าน ด้านหน้าปรากฏเป็นประตูสุสานรูปโค้ง
ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกดีใจ เพราะดูท่าแล้วเขาไม่ได้ประเมินผิดไป นอกจากรูอุโมงค์นี้แล้ว ยังมีอีกหลายรูแต่ไม่สามารถเข้ามาภายในได้ มีแค่คนเดียวที่เข้ามาเพราะฉะนั้นก็น่าจะยังหลงเหลือของดีอยู่บ้าง
สำหรับพวกเงินทองและของโบราณเยี่ยเทียนไม่ได้สนใจ แต่เพราะสุสานโบราณพันปี เป็นสถานที่เลี้ยงอาวุธได้ดีที่สุดที่หนึ่ง ถ้าจะต้องหาอาวุธสำหรับฮวงจุ้ย เยี่ยเทียนมาคราวนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว
ยิ่งเวลากระชั้น เยี่ยเทียนไม่มีเวลาเปิดประตูสุสานอย่างปราณีตเท่าไหร่นัก เขาคิดอยากจะใช้ชะแลงงัดอิฐก้อนใหญ่แล้วใช้มือเอาอิฐออกมาทีละก้อนทีละก้อน
หลังจากประตูสุสานเปิดแล้ว เนี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ลอยมาจากรูอุโมงค์นั่น
นี่ก็คือความแตกต่างระหว่างประตูเป็นและประตูตาย หากเปลี่ยนเป็นขุดอุโมงตรงประตูตาย ภายใต้พลังพิฆาตชั่วร้ายที่ถาโถมเข้ามา ต่อให้เป็นเยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเอาตัวเข้าไปทดลอง หรือยืนท้าทายอยู่ที่นั่น
แต่ตอนที่มีอากาศอุ่นสายหนึ่งพัดมา เยี่ยเทียนก็ใช้พลังปิดรูขุมขนบนร่างกาย ในขณะเดียวกันก็หายใจเข้าลึก ใช้กระบังลมของเขาเข้าสู่ขั้นตอนการหายใจภายใน
จะต้องรู้ว่า สุสานนี้อยู่ใต้ตินมานานนับพันปีไม่ได้เจอแสงแดด ก่อให้เกิดเชื้อโรคและอากาศพิษ เชื้อร้ายแรงบางชนิดต่อให้เป็นวิทยาการตอนนี้ก็รักษาไม่หาย
เหมือนพีระมิดอียิปต์ หลังจากปิดตายมาเป็นพันปี คนกลุ่มแรกสิบกว่าคนที่เข้าไป ภายในหนึ่งปีก็ทะยอยล้มตายทีละคน โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ สุดท้ายถูกมองว่าเป็นเพราะคำสาปฟาโรห์
แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน พวกเขาไม่ถูกพลังพิฆาตร้ายทำร้ายก็หายใจเอาพิษภายในพีระมิดเข้าไป เพียงแต่พิษพวกนั้นไม่ได้ทำให้ตายทันที ดังนั้นจึงแล้วแต่สภาพร่างกายของแต่ละคน คนจึงค่อยๆ ทะยอยล้มตายกันไป
เยี่ยเทียนถึงจะมีวิชาติดตัว ร่างกายไม่เหมือนคนอื่น แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะโลกใบนี้มีเรื่องที่ไม่รู้อีกมาก ระวังเป็นดีที่สุด
“บ้าเอ้ย นี่…นี่คงไม่ใช่สุสานของกษัตริย์หรอกใช่มั๊ย”
หลังจากรอประมาณห้าถึงหกนาที เยี่ยเทียนก็เข้าไปในประตูสุสาน หลังจากเห็นสภาพของประตูแล้ว ก็ตะลึงงันไป
เพราะหลังประตู ไม่ได้เป็นภาพของห้องสุสานที่เยี่ยเทียนคิดเอาไว้ แต่เป็นทางเดินในสุสานที่ดำมองไม่เห็นปลายทาง ความสูงของทางเดินประมาณสองเมตรได้ พอที่จะให้เยี่ยเทียนเดินไปแบบสบายๆ
บนพื้นของทางเดินของสุสานมีการปูอิฐดำในรูปทรงเดียวกันทั้งหมด ด้านข้างทางเดินเป็นอิฐดำสี่เหลี่ยมยาว ด้านบนแกะสลักรูปคนและภาพการต่อสู้ลอยนูนออกมา
เยี่ยเทียนเรียนสถาปัตยกรรมโบราณมา รูปแบบการสร้างสุสาน ก็เป็นหนึ่งในวิชาสถาปัตยกรรมโบราณ การสร้างสุสานที่ประณีตแบบนี้ ปกติก็มีแต่กษัตริย์ถึงจะมีแบบนี้ได้
หากเป็นข้าราชบริพารชั้นใหญ่ตายไปจะใช้รูปแบบการสร้างใหญ่โตแบบนี้นั่นก็เป็นการเกินไป เพราะคนรุ่นหลังจะถูกมองว่าคิดก่อการกบฏ หากโดนโทษสถานเบาก็ขุดสุสานทำลายกระดูก หากโทษสถานหนักก็ประหารทั้งโคตร
เพียงแต่สุสานแห่งนี้เป็นสุสานปลายราชวงศ์ถังต้นราชวงศ์ซ่ง แต่เยี่ยเทียนก็คิดแล้วคิดอีกก็ไม่มีฮ่องเต้ในยุคถังหรือซ่งที่ฝังไว้ที่เหอเป่ย
ในความจำของเยี่ยเทียน เหมือนกับว่านอกจากเหอเป่ยหม่านเฉิงสุสานอันดับหนึ่งขุดพบที่ซานจิ้งเป็นของหวังหลิวเซิ้ง และยังมีชิงตงหลิงอยู่นอกเหอเป่ย แต่ที่นี่ไม่มีสุสานฮ่องเต้
“ไม่สนอะไรแล้ว เข้าไปดูก็รู้แล้ว!”
ตาเหลือบไปเห็นเวลาเป็นเวลาตีสี่ครึ่งแล้ว อีกทั้งหายใจภายในอยู่ได้นานสุดก็ครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนก็ไม่กล้าเถลไถลแล้ว เดินตามทางเดินในสุสานไป
ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจของเยี่ยเทียนเกิดความรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย แต่หลังจากปล่อยพลังออกไป รอบข้างก็ดูเหมือนไม่มีอันตรายอะไร แต่ยิ่งร่างกายเดินลึกเข้าไป ความรู้สึกไม่ปลอดภัยนั้นก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ภายในใจของเยี่ยเทียนร้องเตือน ลดความเร็วการเดินลงหลายก้าว ไฟหัวกบส่องไปยังทางเดินไม่หยุด เขาเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า ภายในสุสานโบราณจะมีกลไกอันตราย หากไม่ระวัง ต่อให้เป็นคนมีประสบการณ์โชกโชนก็โดนฆ่าตายอยู่ในนั้น
หลังจากเดินไปได้สิบเมตร ผนังรอบด้านก็ดูไม่เหมือนจะซ่อนลูกธนูหรือกลไก เยี่ยเทียนค่อยคลายการระวังตัวลง
“เห้ย ที่แท้ก็อยู่ด้านล่าง!”
แต่ในตอนที่เยี่ยเทียนก้าวออกไปก้าวหนึ่งนั้น ภายในใจก็ร้องออกมาว่าแย่แล้ว เพราะเขารู้สึกว่าใต้เท้านั้นว่างเปล่า ร่างกายตกลงไปอย่างไร้การควบคุม
พื้นส่วนนี้ เป็นอิฐปูต่อจากแผ่นกระดาน ในตอนที่เยี่ยเทียนตกลงมา กระดานอีกด้านกระดกขึ้นมา ตีมาทางตัวของเยี่ยเทียนที่ตกลงมาแล้วได้ครึ่งตัว
หากนี่เป็นคนธรรมดาและไม่มีเวลาได้คิด ก็จะตกลงไปในหลุมลึกโดยทันที
แต่เยี่ยเทียนตั้งแต่อายุห้าขวบก็เริ่มฝึกวรยุทธ์ ร่างกายตอบสนองเร็วกว่าความคิด ในตอนที่ร่างกายกำลังตกลงไป ร่างกายเขาก็หมุนตัวอย่างแรงขึ้นมากลางอากาศ เปลี่ยนเป็นใบหน้าหันลงมา
ได้รับรู้ถึงแรงหมุนของหัว เยี่ยเทียนใช้มือทั้งสองข้างตบไปที่ขอบของหลุมลึก ร่างกายหยุดชะงักไม่ตกลงไปตามแรงโน้มถ่วง ลูกธนูก็ตกลงมาเหมือนห่าฝน
“ปัง!”
ตามมาด้วยเสียงน่ารำคาญดังขึ้น กระดานก็ปิดกลับไป ภายในทางเดินก็เกิดฝุ่นคลุ้งขึ้นมา แต่เยี่ยเทียนที่ออกมาจากหลุมลึกแล้ว ก็ม้วนตัวหลายตลบให้ห่างจากบริเวณที่เป็นกับดัก
“แย่จริงๆ นี่ใครมันคิดขึ้นมาเนี่ยอันตรายจริงๆ”
หลังจากหลีกออกมาได้แล้ว เยี่ยเทียนก็ปล่อยการหายใจภายในออกมา ยืนพิงของประตูทางเข้าใหญ่หายใจอย่างหนักหน่วง หน้าผากเหงื่อผุดซึม เยี่ยเทียนในใจพลันก็ระลึกถึงและขอบคุณอาจารย์ที่คุ้มครอง
เหตุการณ์เมื่อซักครู่ที่ได้พบ ทำให้เยี่ยเทียนเกือบตาย หากช้าไปอีกนิดเดียวเขาก็ต้องฝังร่างไว้ที่สุสานแห่งนี้แล้ว
จะว่าไปเยียเทียนก็ระวังตัวเองมากแล้ว กลัวว่าด้านล่างจะมีกลไก ก่อนที่เขาจะก้าวออกไปแต่ละก้าวจะต้องเอาเท้าข้างหนึ่งก้าวไปเหยียบพื้นอย่างมั่นคงก่อน หากรู้สึกว่าไม่มีกลไกแล้วจึงก้าวขาอีกข้างตามไป
แต่คนออกแบบกลไกอันนี้มีการคิดถึงจิตใจของคนรุ่นหลัง เมื่อก้าวถึงในจุดที่กลับไม่ได้แล้ว เขาจึงได้คิดกระดานรับน้ำหนักพอเมื่อรับน้ำหนักแล้วก็จะกระดกได้อย่างแม่นยำ เพราะใช้เท้าข้างเดียวเหยียบไปจะไม่มีปฏิกริยาอะไร
แต่หลังจากใช้สองเท้าเหยียบลงไป ก็จะเกินกว่าที่กระดานจะรับน้ำหนักได้ ทำให้ไม่มีเวลาป้องกันตัว ถ้าไม่ระวังก็หล่นลงไป คนที่ออกแบบกระดานหกนี้หากอยู่ในยุคปัจจุบันจะต้องเป็นนักจิตวิทยาแน่
“นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว เรื่องนี้คิดไม่ถึงมาก่อนเลยจริงๆ”
หลังจากนั่งพักบนพื้นห้าถึงหกนาทีได้ เยี่ยเทียนถึงค่อยลุกขึ้น การกระทำต่อเนื่องเมื่อซักครู่ ทำให้เขาสูญเสียแรงกายแรงใจไปเยอะพอสมควร ในใจยังรู้สึกเพิ่งฟื้นจากความตายมาหวุดหวิด
เมื่อซักครู่ได้คลายหายใจภายในแล้ว หายใจเอาอากาศในสุสานเข้าไป เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจจะหยุดแล้ว เดินเข้าไปที่กลไกเมื่อซักครู่ ยื่นขาเหยียบลงไป
ในครั้งนี้ขาของเยี่ยเทียนที่เหยียบลงไปน้ำหนักประมาณห้าสิบกิโล กระดานแผ่นนั้นส่งเสียงร้องเบาเบา แกนกลางหมุน กลับลงไปด้านล่าง
…………
ตอนที่ 264 เข้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เห้ย นี่มีคนโชคร้ายกว่าเราอีกหรือ?”
เยี่ยเทียนก้มหัวลงอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟเห็นสภาพใต้กระดานนั้นแล้วอ้าปากค้าง เพราะถ้าหากเขาตกลงไป ชีวิตเขาจะต้องจบเหมือนคนที่อยู่ข้างล่างคนนั้นแน่นอน
กับดักนี้มีความยาวประมาณสองเมตร ความกว้างประมาณหนึ่งเมตร ห้าแถวด้านล่างมีมีดอันแหลมคมแทรกเป็นแถวๆ อย่างหนาแน่น
ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นพันปี ใบมีดจึงถูกปกคลุมไปด้วยสนิม แต่เห็นได้ว่ามันก็ยังคมและใช้งานได้ดีมาก เพราะที่ข้างล่างนั้นมีหนึ่งศพนอนอยู่
ศพนั้นโดนมีดคมแทงที่หน้าอก เนื้อของศพได้เน่าเสียไปเป็นเวลานานแล้ว เหลือเพียงแค่กระดูกสีขาวๆ เท่านั้นที่กระทบประกายแสงไฟ ดวงตาที่ว่างเปล่าของเขาดูเหมือนจะบอกเล่าประสบการณ์ที่น่าเศร้าของการขโมยสุสาน
หลังจากรู้สึกกลัวได้สักพัก เยี่ยเทียนพูดว่า “แม่ง ตนเองตายไปแล้ว ก็ยังลากคนมาตายด้วยกัน เจ้าของหลุมฝังศพนี้ก็ไม่ใช่คนดีสักหน่อย”
แต่ว่าเยี่ยเทียนก็ไม่ทันคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นหลุมฝังศพของเขาเอง เขาจะอนุญาตให้คนอื่นมารบกวนความสงบสุขของเขาหรือไม่ เยี่ยเทียนคงจะทำได้ดีกว่านี้อีก เขาจะใช้ค่ายกลที่รู้จักทั้งหมดของเขา ทำให้มันเป็นที่หมดหนทางของคนที่จะมาบุกรุก
มองไปที่พื้นหลุมฝังศพที่ได้รับการบูรณะ ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกหนาวสั่นเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าในที่ลึกลงไปของหลุมฝังศพนี้ ยังมีกับดักอะไรกำลังรอตนอยู่
เดิมทีคิดว่านี่เป็นประตูเป็น ไม่คิดเลยมันเดินยากกว่าประตูตายอีก เยี่ยเทียนรู้แล้วว่าตนประเมินสติปัญญาของคนโบราณต่ำไปจริง เพราะถึงตอนนี้เขาจึงรู้สึกว่า การเดินทางครั้งนี้ของตนคิดง่ายเกินไป
“วันนี้ไปไม่ได้แล้วล่ะ กลับก่อนดีกว่า…”
หากเยี่ยเทียนเดินต่อไปคงจะต้องเสียเวลาอีกเยอะ เพราะว่าตอนนี้ก็จวนจะถึงตีห้าแล้ว ไก่เริ่มร้อง แสดงว่ามีคนจะตื่นแล้ว
ถึงแม้ว่าในใจจะไม่อยากถอยกลับ แต่เยี่ยเทียนก็ทำได้เพียงเดินออกจากถ้ำแล้วปีนขึ้นไปยังพื้นดิน
หลังจากได้สูดอากาศสดชื่นจากพื้นดิน ความรู้สึกรอดจากความตายอยู่ในใจของเยี่ยเทียนยิ่งรุนแรงขึ้น ในขณะเดียวกันความเหนื่อยล้าลึกๆ ก็ไปเข้าไปในใจของเขา
“พี่เยี่ย คุณขึ้นมาแล้วหรือ” โจวเซี่ยวเทียนมองดูสุสานตลอด เมื่อเห็นร่างของเยี่ยเทียนโผล่ออกมา ก็เปิดประตูเดินเข้ามาทัก
เยี่ยเทียนมองโจวเซี่ยวเทียน พูดด้วยเสียงต่ำว่า “อย่าพูดเยอะ เติมดินลงในหลุม และเอาหญ้าแห้งมาคลุมที่ข้างบนด้วย”
ตอนอยู่ในหลุมฝังศพก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่เมื่อออกมา แรงของเยี่ยเทียนเหมือนถูกดึงดูดไปหมด ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถเพลิดเพลินกับความรู้สึกแบบที่เดินระหว่างความเป็นและความตายได้
โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนหัวไว เพราะพอเห็นสีหน้าเยี่ยเทียนไม่ดี ก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่มอีก หยิบพลั่วที่เยี่ยเทียนหิ้วขึ้นมากลบฝังปากโพรง
การทำอาชีพขโมยสุสาน ฝังปากโพรงเป็นวิชาบังคับพื้นฐาน ฝีมือของโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่เลวนะ เพราะหลังจากเติมดินลงไปในหลุมแล้ว ใครที่เหยียบด้านบน ก็จะไม่รู้เลยว่าที่ด้านล่างมีความลึกลับอะไรซ่อนอยู่
เยี่ยเทียนกลับไปที่รถแล้วเปลี่ยนใส่เสื้อของตนเอง หยิบโคลนจากพื้นดินแล้ววางไว้บนป้ายทะเบียนรถด้านหน้าและด้านหลัง แล้วขับไปรถไปในเมือง
ส่วน มีดสั้น “อู๋เหิน” ถูกเยี่ยเทียนตั้งใจทิ้งไว้ที่สถานที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตรั่วไหล สุสานแห่งนี้อยู่มาหลายพันปีแล้วก็ไม่มีใครรู้ แล้วนี่ก็แค่หนึ่งวัน เยี่ยเทียนเชื่อว่าจะไม่มีใครพบสุสานแห่งนั้นได้
ระหว่างการเดินทาง เยี่ยเทียนเล่าประสบการณ์ที่อยู่ในข้างล่างของตนให้โจวเซี่ยวเทียนฟัง โจวเซี่ยวเทียนนอกจากจะรู้สึกตกใจหน้าซีดขาว ก็รู้สึกว่าโชคดีมาก เพราะถ้าหากว่าเขาไม่ได้เจอเยี่ยเทียน แม้ว่าจะหาทิศทางถูก ก็คงเอาชีวิตรอดมาไม่ได้แน่ๆ
“แม่ง ไม่น่าล่ะ คนที่ขโมยสุสานต่างก็มีกลิ่นดิน”
หลังจากกลับที่โรงแรม เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนรีบไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำ ถึงแม้ว่าให้คนช่วยถูทั้งตัวแล้ว แต่กลิ่นดินก็ยังอยู่ในจมูก
“สามทุ่ม มาเคาะประตูฉันนะ วันนี้ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” หลังเดินออกจากโรงอาบน้ำ เยี่ยเทียนบอกโจวเซี่ยวเทียน แล้วก็กลับไปห้องของตนเอง ไม่ทันได้กลิ่นเหม็นบนผ้าห่มก็หลับไป
ยังไม่ถึงเวลาที่นัดโจวเซี่ยวเทียนมาเรียก ในเวลาประมาณสองทุ่ม เยี่ยเทียนก็ตื่นแล้ว คงเป็นเพราะว่าเขาหลับไปสิบกว่าชั่วโมง จากที่รู้สึกจิตใจเหนื่อยล้า ตอนนี้ก็ได้ฟื้นฟูกลับมาแล้ว
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เยี่ยเทียนแอบถอนใจ “ท่าทางประสบการณ์ที่มีจะยังน้อยเกินไป ยังไปไม่ถึงขั้นที่อาจารย์บอกว่าเจออะไรก็จะไม่ตกใจหรือตื่นกลัว
ตามที่นักบวชลัทธิเต๋าพูดไว้ เมื่อก่อนเวลาคนในนิกายมหัศจรรย์ต่างๆ ต่อสู้กัน อันตรายกว่าสถานการณ์ที่ตนเจอเมื่อวันก่อนตั้งเยอะ เพราะถ้าไม่ระวัง ก็จะตายทันที
ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนไม่รู้สมัยนี้ยังมีคนของนิกายมหัศจรรย์ที่สามารถประสานกับกระแสพลังฟ้าดินจริงๆ หรือเปล่า แต่ว่าการกระทำของเขาเมื่อวานนี้ มันไม่ผ่านอย่างชัดๆ
เนื่องจากว่าเมื่อวานได้สูดอากาศในหลุมฝังศพเข้ามา ซึ่งเยี่ยเทียนไม่ได้รีบไปหาโจวเซี่ยวเทียน เพียงแต่สังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างเงียบๆ แต่หลังจากไม่ได้รู้สึกไม่สบายแม้แต่นิดเดียว เขาจึงไปล้างหน้าล้างตา แล้วก็เคาะประตูของโจวเซี่ยวเทียน
“พี่เยี่ย คุณมาแล้วหรือ ผมซื้อของกินมา กำลังจะไปเรียกคุณพอดี…”
โจวเซี่ยวเทียนเปิดประตู ไม่เห็นหมั่นโถวเย็นชืดค้างคืนเมื่อวาน บนโต๊ะมีเนื้อลาที่ปรุงสุกร้อนๆ หนึ่งถุง เมื่อรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนชอบกิน เขาไปซื้อให้โดยเฉพาะ
นอกจากนั้นยังมีเหล้าขาวในระดับสูงสองขวดที่ผลิดจากพื้นที่ท้องถิ่น คนที่ทำงานในตอนกลางคืนอย่างพวกเขา มันจำเป็นที่ดื่มสักหน่อยเพื่อไล่ความหนาว
“กินเถอะ กินอาหารเช้าเสร็จแล้วค่อยไป” เยี่ยเทียนตอนนี้ที่หิวมาก เพียงแค่ผ่านไปสิบนาทีกว่าๆ เขากินเนื้อลาไปเกือบหนึ่งกิโล เหล้าขาวหนึ่งขวด ร่างกายก็รู้สึกอบอุ่นทันที
หลังจากเยี่ยเทียนกินข้าวเสร็จ โจวเซี่ยวเทียนเอ่ยปากถามอย่างลังเล “พี่เยี่ย ไม่…ไม่งั้น วันนี้ผมลงไปข้างล่างเป็นเพื่อนกันกับพี่ดีไหมครับ”
“อย่าเลย ไว้รอรับฉันที่ข้างบนก็แล้วกัน” เยี่ยเทียนส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะในหลุมฝังศพนั้นไม่รู้ว่ายังมีอันตรายอะไรอีกบ้าง ลำพังตัวเขาแค่ดูแลตัวเองก็ลำบากมากแล้ว ถ้าพาโจวเซี่ยวเทียนลงไปด้วยก็เกรงว่าจะสร้างแต่ความวุ่นวาย
หนำซ้ำมีตั้งหลายคนเห็นรถที่จอดเสียของเค้าเมื่อวานนี้ เพราะฉะนั้นถ้าวันนี้เข้าหลุมฝังศพไม่ได้อีก เยี่ยเทียนก็จะไม่สามารถปิดกั้นกระแสพลังพิฆาต เดินทางกลับไปปักกิ่งทันที
“ตกลง พี่เยี่ย งั้นพี่ก็ระวังตัวด้วยนะ” โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างน่าเสียดาย เขารู้ตัวอยู่แล้วว่าความสามารถของตนเทียบกับเยี่ยเทียนไม่ได้สักนิด ถ้าลงไปข้างล่างก็เพียงแต่จะเป็นตัวถ่วง
“เอาของไปทั้งหมดนะ เพราะเราจะไม่กลับมาที่นี่อีก” ถึงแม้ว่าจะจ่ายค่าที่พักเพิ่มอีกวันไปแล้วเมื่อเช้า แต่เยี่ยเทียนก็ไม่คิดว่าจะกลับมาโรงแรมนี้อีก
ทั้งสองคนเดินทางออกจากโรงแรม ขับรถไปยังสถานที่ที่มาเมื่อคืน แต่ว่าครั้งนี้เยี่ยเทียนจอดรถที่ข้างถนนที่ห่างจากหลุมฝังศพประมาณหนึ่งลี้กว่า
หลังเอาเครื่องมือลงจากรถแล้ว ทั้งสองคนไม่ได้เลือกเดินทางหลัก แต่กลับเดินจากไร่มันที่เพิ่งปลูก อ้อมไปที่สุสานแทน ที่โน่นมีเนินเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง โจวเซี่ยวเทียนนอนอยู่หลังเนินเขา มันก็ไม่ง่ายที่ถูกคนอื่นพบ
หลังจากตรวจสอบรอบๆ แล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ เยี่ยเทียนพูดกับโจวเซี่ยวเทียนว่า “ฉันจะลงไปแล้วนะ แกอยู่ข้างบนก็ระวังตัวด้วย ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบหนีไปซะ”
สุสานนี้มีทางเข้าสิบกว่าที่ ถึงแม้ว่าถูกคนปิดกั้นไปหนึ่งที่เยี่ยเทียนก็ไม่กลัว แต่ว่าถ้าโจวเซี่ยวเทียนโดนคนอื่นจับได้มันก็จะยุ่งยากไปหน่อย
“พี่เยี่ย พี่วางใจเถอะ”
โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า หลังจากได้กินยาของเยี่ยเทียนแล้ว ปอดที่เจ็บปวดก็หายเป็นปกติ ขอแค่ไม่เจอตำรวจที่มีปืน โจวเซี่ยวเทียนก็ยังมีความมั่นใจในทักษะของตน
เยี่ยเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากขุดสุสานออก เขารีบเข้าไปข้างใน แต่ว่าครั้งนี้เขาใส่หน้ากากออกซิเจน เพราะสำหรับคนเราบางทีก็ไม่ควรมั่นใจตัวเองมากเกินไป
ในขณะเดียวกันในมือของเยี่ยเทียนก็เพิ่มชะแลงที่มีความยาวหนึ่งเมตรกว่า สิ่งนี้ก็ใช้เป็นการสำรวจทาง หลังจากได้เจอเรื่องเมื่อวานเยี่ยเทียนถึงเข้าใจว่า เครื่องมือของโจรขโมยสุสาน ไม่มีชิ้นไหนเหลือเฟือจริงๆ
เมื่อรู้ว่ากระดานเลื่อนอยู่ที่ไหน สำหรับเยี่ยเทียนการผ่านไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากกระดานเลื่อนพลิกมา เยี่ยเทียนก็กระโดดข้ามไปด้วยการกระโดดเบาๆ แน่นอน แรกที่ลงพื้นดินคือชะแลงในมือของเขา
หลุมนี้มีความยาวรวมประมาณยี่สิบกว่าเมตร และระหว่างความยาวยี่สิบเมตรนั้น เยี่ยเทียนพบว่ามีกระดานเลื่อนทั้งหมดสามที่
เพียงแต่นอกกระดานเลื่อนอันที่หนึ่ง ในกับดับสองที่เหลือ ไม่มีคนตายอีก คาดว่ารุ่นเก่าที่เข้ามาเมื่อก่อน ก็ได้เรียนรู้บทเรียนอย่างจริงจังอีกด้วย
แต่ว่าในหลุมมีศพคนตายเพิ่มมาอีกหนึ่งศพ ที่ข้างๆ ของศพที่กลายเป็นกระดูกขาวนั้น มีหัวลูกธนูสามเหลี่ยมมากกว่าสิบอันกระจายอยู่รอบๆ ส่วนก้านลูกธนูนั้นผุไปตั้งนานแล้ว
โดยกับดักอย่างนี้ เพียงแค่ยิงออกได้แค่หนึ่งครั้ง ทั่วๆ ไปภายใต้การเคาะพื้นดินและผนังของเยี่ยเทียนอย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ได้ถูกโจมตีด้วยฝนลูกธนู กระทั่งมาถึงหน้าประตูที่เข้าหลุมฝังศพอย่างปลอดภัย
นี่คือประตูหินที่มีความสูงประมาณสามเมตร สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหมด การสัมผัสประตูหิน จะได้รู้สึกความเย็นๆ ของหินอ่อนสีขาวอย่างชัดเจน
เพียงแค่ประตูหินอ่อนสีขาวก็แกะสลักมังกรและนกฟีนิกซ์ที่สวยงามเหลือเกิน แต่ถูกคนขุดหลุมใหญ่ในที่กลาง ทำให้กลอนประตูที่อยู่ข้างในถูกตีหักโดยตรง
แต่ว่ามันก็ทำให้เยี่ยเทียนได้ประหยัดเวลา ยื่นมือพลักไปเบาๆ ประตูที่ดูเหมือนหนักหนามากก็เปิดมาตามมือ สถานที่กว้างขวางก็ปรากฏตรงหน้าของเยี่ยเทียน
“แม่ง ไอ้เหี้ยนี่เป็นใครกันแน่ในหลุมฝังศพยังมีลานอยู่อีกหรือ”
หลังจากใช้แสงไฟสำรวจที่ห้องฝังศพอันที่หนึ่งสักพัก เยี่ยเทียนพูดคำหยาบอย่างอดไม่ได้ สิ่งที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาคือสองห้องที่เป็นเอกลักษณ์ของสุสานในราชวงศ์ถังและซ่ง ที่ว่างในบานกลางของห้องหู มันก็พอดีประกอบเป็นหน้าลานเล็กของลานหนึ่ง
บนพื้นหลุมฝังศพที่ปูด้วยอิฐสี่เหลี่ยม มีสิ่งของกระจัดกระจาย บางสิ่งบางกระทบกับแสงไฟ สะท้อนออกเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสิ่งของฝังพร้อมกับคนตายอย่างเช่นเครื่องทองหรือเพชรพลอย
ข้างลานหน้า ที่หลังก็มีถนนด้านหน้า หลังจากผ่านประตูโค้งหินอิฐ ทันใดนั้นเยี่ยเทียนอึ้งไป ความกว้างขวางของห้องกลางนี้ที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้า มันเกินจินตนาการของเขาไปมาก
ห้องกลางทั้งห้องสูงเกือบห้าเมตร หลังคาของสุสานเป็นผนังอิฐในรูปวงแหวน กระแสพลังพิฆาตอย่างรุนแรงหนึ่งรวบรวมที่ที่หนึ่งของผนังอิฐ ที่นั่นก็คือสถานที่ที่เยี่ยเทียนวาง “อู่เหิน” ไว้
…………
ตอนที่ 265 ทำร้ายเจ้าของ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในห้องกลางที่สูงถึงห้าเมตรนี้ ถูกล้อมรอบด้วยเสาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบครึ่งเมตรหกเสา เสริมให้ห้องฝังศพทั้งหลังแข็งแกร่ง ถึงแม้ว่าเกิดแผ่นดินไหวก็จะไม่ถล่มเลย
“เห้ย ตกใจหมด”
เยี่ยเทียนใช้มือไปเคาะเสาชิ้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขา มีเสียง “ตงๆ” เหมือนเสียงเคาะไม้ออกมา ทำให้เขาโล่งใจไปนิดหน่อย เพราะเสาไม้เหล่านี้ ทั้งหมดถูกทาสีด้วยผงทองทำให้ดูเหมือนว่าเสาทั้งหมดถูกหล่อด้วยทองคำ
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเสาเหล่านี้เป็นไม้อะไร แต่ว่าผ่านไปหลายพันปีก็ไม่เน่า คาดว่าเป็นไม้ที่มีค่ามากๆ
บนหกเสาทองยังสลักลวดลายมังกร ประกอบด้วยผนังและหลังคาที่อยู่รอบๆ ต่างก็มีภาพวาดสีสันทั้งหมด ส่องแสงจากแสงไฟ ดูหรูหราสวยงามเหลือเกิน
ถึงอย่างไรเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่คนแรกที่เข้ามาที่นี่ อากาศข้างนอกที่เข้ามาได้กัดกร่อนทำให้รูปภาพหลายรูปเสียหายและหลุดไป แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะปิดบังความหรูหราและความโอ่อ่าของสุสานใหญ่พันปีแห่งนี้ได้
ห้องกลางนี้ใช้เสาทองกั้นเป็นห้องปีกข้างสามห้อง แต่ว่าสิ่งของที่ฝังพร้อมกับศพในห้องปีกข้างได้ถูกย้ายออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่เครื่องเงินเครื่องทองนิดหน่อยที่กระจายตกอยู่บนพื้น พื้นที่กว้างใหญ่จึงดูว่างเปล่า
เยี่ยเทียนรู้ว่าในสุสานโบราณของประเทศจีน โครงสร้างสุสานที่มีสองห้องจะแสดงฐานะของเจ้าของหลุมฝังศพในระดับขุนนางขึ้นไป หลุมฝังศพแห่งนี้ไม่เพียงแค่เป็นหลุมฝังศพสองห้องเท่านั้น แต่ก็ประกอบด้วยห้องข้างๆ หลายห้องและสองห้องก็หรูสมฐานะและเกียรติยศสูงส่งเกินกว่าจะจินตนาการ
“นี่คือหลุมฝังศพของใครกันแน่”
การเป็นโจรขโมยสุสานครั้งแรกในชีวิต ทำให้เยี่ยเทียนมีความคิดอย่างนักโบราณคดี เพราะว่าเขารู้สึกแปลกใจจริงๆ เจ้าของหลุมฝังศพแห่งนี้กับอาจารย์ฮวงจุ้ยคนนั้นเกิดเรื่องอะไรกัน จึงถูกคนวางค่ายกลฮวงจุ้ยไม่ให้มีผู้สืบทอดแบบนี้
บนพื้นมีแท่นที่ทำด้วยหินอ่อนสีขาวมากมาย แต่เดิมข้างบนควรมีสิ่งของบางอย่าง แต่ตอนนี้ถูกกวาดไปหมดแล้ว กระทั่งฐานของแท่นที่สลักลวดลายเป็นดอกบัวที่สวยงาม ก็ถูกขวานถากออกไปครึ่งหนึ่ง
“ฮือ ที่นี่ควรเป็นเนตรค่ายกลแล้ว แต่ว่าคนที่ตั้งค่ายกลฮวงจุ้ยนี้ ทำไมถึงเอาห้องหลังเปลี่ยนเป็นสถานที่รวบรวมกระแสพลังพิฆาตวะ”
หินอ่อนสีขาวที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้ ถ้าหากว่าในสายตาของนักโบราณคดี ต่างก็เป็นศิลปะโบราณที่มีคุณค่าสำหรับการวิจัย แต่สำหรับเยี่ยเทียน นี่เป็นจุดที่สำคัญที่สุดของค่ายกลฮวงจุ้ยแห่งนี้
สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกสับสนคือ ห้องหลังที่เป็นห้องวางโลงศพ โดยทั่วไปหมอดูฮวงจุ้ยจะตั้งให้เป็นจุดมงคล เพื่อใช้มันปกป้องความสุขของลูกหลาน
แต่ว่าตามการวางฮวงจุ้ยแห่งนี้ กลับตรงกันข้าม ถ้าเยี่ยเทียนทายไม่ผิด คนที่ออกแบบแผนผังของหลุมฝังศพแห่งนี้ จะทำให้ห้องฝังศพด้านหลังเป็นห้องที่สะสมพลัง
กระแสพลังหยินพิฆาตไหลออกจากห้องฝังศพด้านหลัง ทั้งหมดไหลมารวมกันที่หลังคาของห้องกลาง หลุมฝังศพใหญ่ทั้งแห่งไม่มีกระแสมงคลแม้แต่นิดเดียว สำหรับทายาทของเจ้าของหลุมฝังศพแห่งนี้ มันเป็นภัยพิบัติจริงๆ
มีคำพูดในทฤษฎีของฮวงจุ้ย เรียกว่า เรือนหยางกระทบถึงทั้งครอบครัว เรือนหยินกระทบถึงทั้งตระกูล เห็นได้ชัดว่าฮวงจุ้ยของหลุมฝังศพมันสำคัญแค่ไหน
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากเลือดของแม่และสเปิร์มของพ่อ ดังนั้นกระดูกของพ่อแม่จึงถูกฝังอยู่ในที่ที่มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ดีจะปกป้องลูกหลานได้ แต่ว่าถ้าเป็นตรงกันข้าม ก็จะทำให้ลูกหลานโชคร้ายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งไม่มีทายาท
เยี่ยเทียนสังเกตดูครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็ยืนยันความคิดของตนเอง แต่ว่านี่ก็ทำให้สงสัยขึ้น “นี่มันมีความเกลียดชังกันมากแค่ไหนวะถึงต้องทำแบบนี้ เจ้าของหลุมฝังศพไม่รู้เรื่องเลยนะเนี่ย”
หลุมฝังศพนี้เป็นแบบล้อมรอบด้วยสามภูเขา ทิศตะวันออกและตะวันตกมีน้ำไหล ถือว่าเป็นแบบแผนฮวงจุ้ยที่ดี แต่การจัดตั้งข้างในของหลุมฝังศพนี้ถูกคนเปลี่ยนแปลง ทำให้มันกลายเป็นจุดตาย
ส่วนหลุมฝังศพทั้งแห่งถูกสร้างขึ้นมาแบบหรูหราสวยงาม เห็นได้ชัดว่าเจ้าของหลุมฝังศพให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับมัน แต่จุดที่สำคัญคือมีคนมา ขโมยมังกรเปลี่ยนหงส์ ซึ่งแน่นอนไม่ใช่เจ้าของหลุมฝังศพสั่งให้ทำ
งั้นก็เหลือแค่เหตุผลเดียว นั่นคือเจ้าของหลุมฝังศพไปทำอะไรให้หมอดูฮวงจุ้ยที่เชิญมาออกแบบหลุมนี้ไม่พอใจ ซึ่งทำให้เขาแอบเปลี่ยนกระแสพลังหยินของฮวงจุ้ยที่ดีมากที่มีไว้ปกป้องลูกหลานให้กลายเป็นยันต์เอาชีวิตของลูกหลานแทน
อย่างไรก็ตามการตั้งค่ายกลฮวงจุ้ยพลังพิฆาตหยินร้ายแบบนี้ ก็เป็นการฝืนลิขิตสวรรค์เช่นเดียวกัน อาจารย์ฮวงจุ้ยท่านนี้ต้องมีความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อเจ้าของสุสาน จนยอมที่จะยอมรับความเสี่ยงที่จะถูกสวรรค์ลงโทษ
“มา ลองดูกันซักตั้งซิ”
รู้สึกถึงกระแสพลังพิฆาตหยินจากห้องหลังไหลไปสู่ มีดสั้น “อู๋เหิน” ที่อยู่กลางหลังคาอย่างต่อเนื่อง ในใจเยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไรดี กระแสพลังพิฆาตหยินที่สะสมมาหลายพันปี เพียงแค่วันเดียว ถูกมีดสั้น “อู๋เหิน” ดูดเข้าไปเกือบหมด
วัสดุที่ใช้ทำมีดสั้น “อู๋เหิน” เป็นวัสดุที่ดีมากอยู่แล้ว และหลุมฝังศพที่มันเคยอยู่เมื่อก่อน ก็เป็นสถานที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตหยินสูงสุดเช่นกัน ไม่เช่นนั้นมันก็จะกลายเป็นของขลังอย่างธรรมชาติไม่ได้หรอก
กระแสพลังพิฆาตหยินในจุดนั้นถูก มีดสั้น “อู๋เหิน” ดูดไปหมดแล้ว ทำให้คุณภาพของมันสูงขึ้นอีกระดับไม่ได้ ส่วนที่นี่กระแสพลังพิฆาตหยินมี่สะสมอยู่หลายพันปีไม่ได้รั่ว มีดสั้น “อู๋เหิน” ก็เหมือนหลุมดำดูดกระแสพลังพิฆาตหยินในหลุมฝังศพเข้าไปทั้งหมด
ตอนนี้ถึงแม้ว่ากระแสพลังพิฆาตหยินรั่วออกไป ก็จะไม่มีกระทบยิ่งใหญ่อะไรต่อหมู่บ้านอยู่รอบๆ อย่างมากที่สุดคือมีบางคนร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อาจจะมีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยเท่านั้น
“ให้ผมมาช่วยท่านอีกครั้งเถอะ”
เมื่อรู้สึกว่ากระแสพลังพิฆาตหยินที่ออกมาจากห้องฝังศพด้านหลังข้างไม่ค่อยมีแล้ว เยี่ยเทียนยืนที่เนตรค่ายกลในห้องกลาง บีบนิ้วด้วยสองมือ ทั้งตัวเต็มไปด้วยพลัง แล้วตะโกนว่า “หยิน”
ตามเสียงตะโกนของเยี่ยเทียน กระแสพลังของห้องกลางหมุนขึ้นอย่างรวดเร็วทันที กลายเป็นน้ำวนที่มองไม่เห็น ทำให้กระแสพลังพิฆาตที่ยังเหลืออยู่ในห้องฝังสพด้านหลัง ถูกดูดออกมาหมดเกลี้ยง
อุณหภูมิในห้องกลางดูเหมือนจะลดลงหลายองศาทันที เสียงของกระแสพลังพิฆาตที่ไหลออกมา ราวกับเสียงผีร้องไห้และหมาป่าหอนอย่างโหยหวน เยี่ยเทียนตั้งสติอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว ยกสองมือขึ้น ชักนำกระแสพลังพิฆาตไปที่หลังคาของหลุมฝังศพ
“เจิง”
มีดสั้น “อู๋เหิน” ที่ถูกเยี่ยเทียนเสียบไว้ที่ผนังอิฐบนหลังคา ส่งเสียงกังวานออกมา ราวกับคนดีใจส่วนมันก็เพิ่มความเร็วของการดูดกระแสพลังพิฆาตจำนวนมาก ในเวลาสั้นๆ แค่ห้าหรือหกนาที กระแสพลังพิฆาตก็ถูกมันดูดหมดไปเกลี้ยง
เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่า มีดสั้น “อู๋เหิน” มีประสิทธิภาพขนาดนี้ นอกจากการดีอกดีใจ คิดขึ้นมาในใจว่า “ไม่น่าล่ะ อาจารย์จึงให้การยกย่องแก่ของขลังโจมตีขนาดนั้น ถ้ามีของแบบนี้อยู่ แทนที่อาจารย์จะเสียของขลังไปชิ้นหนึ่ง ก็คงใช้จะดูดกระแสพลังพิฆาตที่หลุมฝังศพในภูเขาให้หมดเกลี้ยงโดยตรง”
ช่วงที่เยี่ยเทียนกำลังคิดอยู่ในใจ จู่ๆ ก็เคลิบเคลิ้มสักพัก ตนเหมือนกลับไปที่สนามรบโบราณแห่งหนึ่ง คนนับหมื่นต่อสู้กัน เสียงตะโกนฆ่ารอบตัวลั่นท้องฟ้า แขนขาที่ขาดกระจายไปทั่ว และทุกๆ ที่ก็เป็นทะเลเลือดภูเขาศพ ในสมรภูมิรบ
“แม่ง ต่อต้านหรือ”
เยี่ยเทียนที่ตกตะลึงอยู่ใช้แรงกัดปลายลิ้น รู้สึกเค็มๆ ในปาก รู้สึกตัวได้สติกลับมา รู้สึกโกรธจึงบีบนิ้วแล้วตะโกนว่า “เข้ามาเถอะ”
โดยการนำด้วยกระแสพลังของเยี่ยเทียน มีดสั้น “อู๋เหิน ที่เสียบอยู่ข้างบนหลังคา เจาะข้ามกำแพงอิฐสี่ชั้นเหมือนเจาะผ่านเต้าหู้ ลอยมาที่เยี่ยเทียน
มีดสั้น “อู๋เหิน” ตอนนี้มันไม่เป็นปกติ ส่งกระแสพลังพิฆาตรุนแรงกระแทกออกมาอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ที่ศูนย์กลางของหลุมฝังศพ
“เฮ้ย อุตส่าห์เลี้ยงแกมา แกยังอยากจะเนรคุณหรือ”
ตามตำราโบราณที่สืบทอดมาบอกว่า บางครั้งของขลังที่มีอานุภาพสูงจะทำร้ายเจ้าของ แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเจอ เหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมมีดสั้น “อู๋เหิน” จึงไม่อยากอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว
เมื่อมีดสั้น “อู๋เหิน” ลอยมาถึงข้างหน้าเขาแล้ว เยี่ยเทียนก็ยื่นมือขวาออกมาอย่างรวดเร็วราวฟ้าแลบ ใช้สองนิ้วจับใบมีดของ มีดสั้น “อู๋เหิน” อย่างแน่นหนา ถึงแม้ว่าใบมีดของ มีดสั้น “อู๋เหิน” ยังสั่นสะเทือนและมีเสียง “วิ๊งๆ” ออกมา แต่ก็ไม่หลุดไปจากมือของเขา
เยี่ยนเทียนใช้นิ้วมือในมือซ้ายจิ้มเข้าไปที่ตัวใบมีดของมีดสั้น “อู๋เหิน” อย่างรวดเร็ว อ้าปากพ่นเลือดสดคำหนึ่งที่อยู่ในปากลงบนใบมีดของมีดสั้น “อู๋เหิน”
เดิมที่มีดสั้น “อู๋เหิน” ยังสั่นอยู่ในมือ พอถูกเยี่ยเทียนพ่นเลือดสดคำนั้นใส่ อาการสั่นก็หยุดลงเฉยๆ กระแสพลังพิฆาตทั้งหมดถูกเก็บในตัวมีด กลายเป็นมีดสั้นที่ธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง
“โอ้โห ไม่คิดว่าต้องใช้เลือดมาบูชาจริงๆ”
รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ของเลือดตนเองกับเลือดในตัวใบมีด “อู๋เหิน” ในมือขวา เยี่ยเทียนยื่นมือเช็ดเลือดในริมฝีปาก เทคนิคลับที่เขาเพิ่งใช้ออกไปก็เพื่อใช้กำหราบพลังพิฆาต
“เจิง” มีดสั้น “อู๋เหิน” ส่งเสียงสดใสชัดเจนออกมา คราวนี้ไม่ได้สั่นอีกแล้วแต่กลับสงบนิ่งในมือเหมือนเด็กน้อย ทำให้เยี่ยเทียนสับสนไปหมด
“ช่างเถอะ ให้อภัยแกสักครั้งก็แล้วกัน” เยี่ยเทียนยิ้นและเตียมจะเก็บ มีดสั้น “อู๋เหิน” ไว้
“เจิง” มีดสั้น “อู๋เหิน” ในฝ่ามือของเยี่นเทียนจู่ๆ ก็ส่งเสียงออกมาอีกและเปลี่ยนทิศทาง ปลายมีดชี้ไปยังทางเดินด้านหลังที่ดำมืด
“ฮือของขลังเตือนภัย หรือว่ามีอะไรอยู่ข้างใน”
เยี่ยเทียนอึ้งไปสักพัก กระแสพลังพิฆาตของห้องฝังศพด้านหลังเขาก็สัมผัสได้ เหมือนกับว่ายังไม่ได้ถูกดูดออกทั้งหมด ที่นั่นถูกกระแสพลังหยินพิฆาตสึกกร่อนมาเป็นพันๆ ปี อาจจะมีของขลังที่เหมือนมีดสั้น “อู๋เหิน” อยู่ก็ไม่แน่นะ
“เข้าไปในภูเขาสมบัติและไม่สามารถกลับมามือเปล่า สิ่งของของคนรุ่นก่อนก็เป็นสิ่งของของพวกเราทุกคนอยู่แล้ว ผมเอาไปสักชิ้นก็สมควรหรือเปล่า”
เดิมเยี่ยเทียนก็ไม่ได้คิดจะขโมยของจากหลุมฝังศพ แต่ว่าสิ่งของที่สามารถทำให้ มีดสั้น “อู๋เหิน” แสดงอาการ คาดว่าไม่ใช่ของธรรมดาแน่ ทันใดนั้นก็รู้สึกตื่นเต้นร้อนใจ หลังจากข้ามผ่านห้องกลาง เขาก็เข้าไปที่ทางเดินด้านหลัง
โดยทั่วไป เจ้าของหลุมฝังศพก็จะเอาโลงศพของตนเองวางที่ห้องหลัง ถ้าหากว่าเป็นสุสานสำหรับสามีและภรรยา จะมีห้องด้านข้างหลายห้องในห้องด้านหลังเพื่อวางเจ้าของและภรรยา คนอื่นๆ
“ฮือที่นี่มีคนตายอีกได้ยังไง” เมื่อมาถึงประตูหินอ่อนสีขาวของห้องเก็บศพที่ติดต่อกับทางเดินด้านหลัง เยี่ยเทียนหยุดเท้า
เพราะว่าที่ข้างๆ ของประตูหินอ่อนสีขาว ยังมีกระดูกของคนตายกองหนึ่ง เยี่ยเทียสามารถเห็นออกได้จากเสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าลินินหยาบที่เน่าเปื่อยของเขา แน่นอนว่าเขาไม่ใช่เจ้าของหลุมฝังศพที่นี่เด็ดขาด และควรเป็นคนที่เข้ามาขโมยสุสานในภายหลัง
ตามปกติ ในหลุมฝังศพก็ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรอีก เยี่ยเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ด้วยความระมัดระวัง ใช้มือซ้ายจับมีดสั้น “อู๋เหิน” มือขวาผลักเปิดประตูหินอ่อนสีขาวที่พังแล้วอย่างช้าๆ
………………
ตอนที่ 266 ง้าวร้ายรูปจันทร์เสี้ยว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ประตูหินอ่อนสีขาวดูเหมือนหนักมากแต่ด้านล่างเป็นลูกบอลกลิ้งมีความยืดหยุ่น เยี่ยเทียนใช้มือขวาผลักเบาๆ ประตูหินก็ค่อยๆ เปิดขึ้น
“วางที่นี่ต้ังนานแล้ว”
เมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่ห้องหลุมฝังศพโดยใช้แสงไฟเหนือศีรษะของเขา กระแสพลังพิฆาตหยินที่หนาวเย็นสุดๆ ก็ปะทะหน้ามา เยี่ยเทียนรู้สึกราวกับว่ามีมีดกรีดมายังที่ศีรษะ
ครั้งนี้เยี่ยเทียนมีการป้องกันล่วงหน้า ค่อยๆ ยกมีดสั้น “อู๋เหิน” ขึ้น ทันใดนั้นก็มีกระแสพลังพิฆาตที่ไม่อ่อนกว่ากันพวยพุ่งออกจากมีดสั้น “อู๋เหิน” ทำให้กระแสพลังของห้องหลุมฝังศพทั้งห้องวุ่นวายสับสน
กระแสพลังพิฆาตสองอย่างต่อสู้กันในอากาศ โดยแสงสว่างที่ออกจากโคมไฟ เยี่ยเทียนมองเห็นสถานการณ์ในหลุมฝังศพอย่างชัดเจน
เหมือนอย่างที่เยี่ยเทียนคิด ด้านหลังหลุมฝังศพแห่งนี้แบ่งเป็นห้องเล็กอีกสี่ห้อง มีโลงศพขนาดใหญ่มากวางที่กลางห้อง
ในห้องข้างสองห้องมีโลงศพขนาดเล็กสองโลง เยี่ยเทียนรู้ทันทีว่า นี่คือโลงศพเจ้าของสุสานและภรรยาเขา ส่วนอีกสองห้องที่อยู่ข้างๆ ก็มีแต่กระดูกของคนตายซึ่งน่าจะถูกฝังพร้อมกับเจ้าของสุสาน
“หรือ…หรือว่านี่เป็นหลุมฝังศพของท่านกวนอู”
มันเหมือนเป็นปกติไม่ต่างอะไรกับหลุมฝังศพทั่วๆ ไป แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตกใจอย่างไม่รู้ตัวคือ ข้างหน้าของโลงศพนั้น มีง้าวรูปจันทร์เสี้ยว เล่มหนึ่งวางอยู่ที่นั่น
ง้าวรูปจันทร์เสี้ยว เป็นดาบด้ามยาวชนิดหนึ่ง เพราะว่าน้ำหนักของมันค่อนข้างหนัก มีพลังของการตัดและการฟันมาก ง้าวมังกรเขียวของกวนอูใช้ก็เป็นง้าวรูปจันทร์เสี้ยวที่มีชื่อเสียงที่สุด
ง้าวรูปจันทร์เสี้ยวที่ปรากฏที่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน มีความยาวตัวง้าวประมาณหกสิบเซนติเมตร มีสันง้าวหนา ถึงแม้ว่าจะผ่านมาหลายพันปีแล้ว ใบง้าวยังคมส่องแสงเป็นประกายอยู่เหมือนเพิ่งถูกหลอมออกมาจากเตา
ด้ามง้าวรูปจันทร์เสี้ยวมีความยาวประมาณแปดสิบเซนติเมตร ทั้งตัวดำมืดแต่ยังมีประกาย โดยการมองดูด้วยตาเยี่ยเทียนคิดว่า มันถูกหลอมด้วยเหล็กคุณภาพดี ในระยะห่างประมาณสามหรือสี่เมตร เยี่ยเทียนยังสามารถมองเห็นรอยแกะสลักบนใบง้าวได้อย่างชัดเจน
“นี่ไม่ถูกต้องนะ กวนอูตายที่เมืองไม่เฉิง ที่นั่นอยู่ในมณฑลหูเป่ย ถึงแม้ว่าเหอเป่ยและหูเป่ยต่างก็มีคำว่าเป่ย แต่ทั้งสองเมืองห่างไกลถึงหลายพันกิโลเมตร นี่ไม่ใช่ง้าวของกวนอูแน่ๆ”
หลังจากตกใจในตอนแรกเยี่ยเทียนก็ได้สติขึ้นง้าวที่อยู่ตรงหน้าของเขา ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกวนอูเลยแม้แต่นิดเดียว
เพราะเยี่ยเทียนรู้ว่า ง้าวมังกรเขียงที่กวนอูใช้ เป็นเพียงแค่นวนิยาย
ในยุคราชวงศ์ถัง หากตีความจากนวนิยาย บางคนทำง้าวเล่มใหญ่สำเร็จ แต่เนื่องจากหนักเกินไป จึงมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถใช้มันได้ ส่วนใหญ่จึงใช้ง้าวเป็นอาวุธในการฝึก เป็นของที่เข้าร่วมพิธีการหรือใช้เป็นอาวุธของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยภายในวังเท่านั้น
แต่เมื่อดูง้าวรูปจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ สายตาของเยี่ยเทียนก็ลุกวาว ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่อาวุธของกวนอู แต่ง้าวเล่มนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นง้าวมหาสมบัติ และก็เป็นของขลังที่หายาก
เห็นได้ว่าง้าวเล่นนี้อยู่ในหลุมฝังศพโบราณแห่งนี้มาหลายพันปีแล้วแต่ก็ไม่ขึ้นสนิม เพียงแค่กระแสพลังพิฆาตรุนแรงจากร่างง้าว ก็พอที่จะทำให้มันเป็นอาวุธร้ายเล่มหนึ่ง
ส่วนกระแสพิฆาตในง้าวยังมีรังสีอำมหิตซ่อนไหวอยู่ แสดงว่าง้าวเล่มนี้ไม่ใช่เครื่องตกแต่งหรือเครื่องประกอบเกียรติยศ มันต้องเคยกินเลือดคนเยอะแน่นอน อยู่ยงคงกระพันเหนือสนามรบ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงถูกผนึกไว้ในหลุมฝังศพมาหลายพันปี
“เจิง” ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังคิดอยู่ ในข้างหูก็มีเสียงชัดใสหนึ่งเกิดขึ้น ปลุกเขาตื่นขึ้นมา
การต่อสู้ของอาวุธร้ายทั้งสองชิ้นใกล้จะรู้ผลแล้วว่าใครจะชัยชนะหรือพ่ายแพ้ กระแสพลังพิฆาตที่ออกมาจากง้าวรูปจันทร์เสี้ยวได้กลับมารวมกันอีกครั้ง ส่วนมีดสั้น “อู๋เหิน” ที่อยู่ในมือของเยี่ยเทียนก็ได้ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังได้เปรียบ
ที่จริงแล้วในแง่ของความก้าวร้าว ง้าวรูปจันทร์เสียวเล่มนี้มียิ่งกว่า มีดสั้น “อู๋เหิน” เพราะมันเป็นอาวุธร้ายที่ใช้ฆ่าศัตรูในสนามรบมาก่อน โอกาสที่จะได้รับเลือดสดมาแช่มีมากกว่ามีดสั้น “อู๋เหิน” รังสีอำมหิตจากการฆ่ามีมาก แม้แต่เยี่ยเทียนเองยังรู้สึกสั่นสะท้าน
ถ้าหากว่ามีดสั้น “อู๋เหิน” ไม่ได้รับการเลี้ยงจากกระแสพลังพิฆาตของสองหลุมฝังศพโบราณ เมื่อครู่ก็น่าจะไม่ใช่คู่แข่งของง้าวรูปจันทร์เสี้ยวแล้ว
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำไม มีดสั้น “อู๋เหิน” จึงถูกโจรขโมยสุสานขโมยออกมาได้ จนสุดท้ายก็ถึงมือของเยี่ยเทียน แต่สำหรับการใช้อาวุธร้ายเล่มนี้ ไม่มีใครสามารถใช้ได้ยกเว้นเยี่ยเทียน มันคือต้นกำเนิดของภัยพิบัติสำหรับทุกคน
“ฮาๆ มาถูกแล้ว มันเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามาก”
เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้น ถึงแม้ว่าง้าวรูปจันทร์เสี้ยวเล่มนี้ใหญ่เกินไป ไม่สามารถพกติดตัวได้ แต่เป็นอาวุธมีค่าที่เหมาะสมในการปกป้องบ้านเรือน
ตั้งมันไว้ที่ เรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน สิ่งชั่วร้ายจะไม่กล้ำกรายเข้ามา สัตว์ที่มีกระแสพลังชีวิตน้อยก็จะหลีกเลี่ยง ถึงเวลานั้นแล้วเจ้าเหมาโถว คงจะไม่มีหนูให้จับสักตัว
เป็นของขลังด้านโจมตีที่หาได้ยากมากในวงการฉีเหมินในรอบร้อยปี แต่ภายในปีเดียวเยี่ยเทียนกลับเจอถึงสองชิ้น เขาจึงหัวเราะเสียงดังสนั่นขึ้นมาอย่างอดใจไม่ไว้ ทำให้ห้องสุสานสั่นสะเทือนมีฝุ่นกระจายไปทั่ว
แต่ว่าอยากพาง้าวรูปจันทร์เสียวเล่มนี้ออกไป เยี่ยเทียนก็ต้องทำให้มันเชื่องก่อน ของขลังมีจิตวิญญาณ โดยเฉพาะของขลังที่มีพลังพิฆาตร้าย ถ้าไม่ระมัดระวังก็จะถูกทำร้าย
ศพที่อยู่หน้าประตูนั้นก็ถูกของขลังนี้บุกเข้าจิตใจจึงตายไปแล้ว และห้องในสุสานนี้ไม่มีร่องรอยที่ถูกรื้อค้น คาดว่าเมื่อโจรขโมยสุสานเห็นเพื่อนตายไปอย่างไร้เหตุผล ก็ไม่กล้าเข้าไปในห้องเพื่อรื้อค้นเอาสิ่งของ
เยี่ยเทียนใช้มือทำให้มีดสั้น “อู๋เหิน” สงบลง หันกลับไปวางมันที่ทางเดินของสุสาน แล้วก็หันกลับไปที่ห้องเก็บศพ เดินตรงไปยังง้าวรูปจันทร์เสี้ยว
ดูเหมือนว่ามันจะรู้สึกถึงความตั้งใจของเยี่ยเทียน กระแสพลังพิฆาตกระจายออกจากง้าวพุ่งตรงไปยังเยี่ยเทียน
เคยมีประสบการณ์ในการทำให้อาวุธร้ายเชื่อง เยี่ยเทียนไม่ได้ตื่นตะหนกและไม่ได้ต่อต้านอะไร ปล่อยให้กระแสพลังพิฆาตชั่วร้ายเข้าไปในร่างกาย
ในกระแสพลังพิฆาตของง้าวร้ายเล่มนี้ ก็มีกระแสฆ่าฟันอย่างรุนแรง ในสมองของเยี่ยนเทียนปรากฏภาพของสนามรบในสมัยโบราณปรากฏขึ้น เสียงประทะกันของดาบ ประกายของแสงดาบ ภูเขาซากศพและทะเลเลือด ปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องรอบๆ ตัวเขา
มีกระแสพลังพิฆาตเพียงเล็กน้อยเคลื่อนไหวอยู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียน แต่เยี่ยเทียนที่ได้ฝึกฝนมาได้ใช้กำลังภายในค่อยๆ รวมกระแสพลังชีวิตของตนเข้ากับกระแสพลังพิฆาตนี้ แต่ว่าความเร็วของการรวมเข้ากับง้าวรูปจันทร์เสียวนั้น ช้ากว่าที่เมื่อทำให้มีดสั้น “อู๋เหิน” เชี่องตั้งเยอะ
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ง้าวรูปจันทร์เสี้ยวที่วางอยู่ตรงหน้าของเยี่ยเทียน จู่ๆ ก็เกิดเสียงใสดังขึ้นหนึ่งครั้ง กระแสพลังพิฆาตจากร่างกายเยี่ยเทียนกระจายออกมา แล้วม้วนเก็บไว้ในง้าวทั้งหมด
ตอนนี้ ง้าวรูปจันทร์เสี้ยวได้กลายเป็นของขลังชิ้นหนึ่งแล้ว ถ้าไม่มีการกระตุ้นจากเยี่ยเทียน มันก็จะไม่สามารถปล่อยกระแสพลังพิฆาตออกมาและทำร้ายคนตามอำเภอใจได้
“ยุ่งยากจริงๆ กว่าจะทำให้อาวุธร้ายเล่มนี้เชื่อง” เห็นได้ชัดว่าเยี่ยเทียนใช้พลังไปเยอะ หน้าซีดขาวเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและสีหน้าดูอ่อนล้ามาก
หลังจากยืนพักผ่อนสักพัก เยี่ยเทียนกลับไปเอามีดสั้น “อู๋เหิน” เก็บไว้ที่ปลอกแขนซ้าย แล้วก็เดินมาถึงหน้าแท่นที่วางง้าวรูปจันทร์เสี้ยว
เยี่ยเทียนใช้มือขวาจับด้ามของง้าวรูปจันทร์เสียว ยกมันขึ้น อาวุธร้ายที่วางบนแท่นถูกเยี่ยเทียนยกขึ้นไปที่หน้าอกของเขา
ความรู้สึกของเลือดเนื้อที่เชื่อมต่อกันส่งเข้ามาที่ภายในใจของเยี่ยเทียน เสียงร้องตะโกนฆ่าฟันที่ไร้ตัวตนซึ่งส่งออกมาจากใบง้าว ไม่สามารถส่งผลกระทบต่อเยี่ยเทียนอีกแล้ว
ตอนนี้เยี่ยเทียนจึงสามารถตรวจสอบง้าวรูปจันทร์เสี้ยวได้ อย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ ด้ามของง้าวทั้งหมดถูกเคลือบด้วยเหล็กสแตนเลส ส่วนปลายถูกแกะสลักเป็นรูปหัวเสือ
ส่วนใบง้าวลื่นเรียบ กว้างและยาว รูปเหมือนจันทร์เสียว ด้านหลังมีใบมีดสองแฉก ใบมีดแทงลง การเชื่อมต่อระหว่างหัวง้าวและด้ามมีรูปร่างเป็นมังกรอ้าปาก ให้ความรู้สึกทั้งนุ่มและขรุขระพร้อมๆ กันในการจับ
“การฆ่าคน ฆ่าโดยไม่มีความปรานี จะเป็นบาปกรรมชั่วนิรันดร์”
หิ้วง้าวรูปจันทร์เสี้ยวที่มีความหนักถึงสามสิบหรือสี่สิบกิโลกรัม ความกล้าหาญเกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน ลองนึกภาพการขี่ม้าและควงง้าวแล้วลุยเข้าไปในกองทัพม้าหลายหมื่นตัว ก็ทำให้เลือดฉีดพล่านด้วยความตื่นเต้น
เยี่ยเทียนใช้ง้าวฟันไปด้านหน้า มีเสียงแรงกรีดอากาศดังขึ้น ดังนั้นถ้าง้าวเล่มนี้อยู่ในมือของผู้ชายที่แข็งแกร่ง ในสนามรบมันเป็นอาวุธร้ายที่ไม่มีอะไรเทียบได้แน่นอน
“หลุมฝังศพนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใครกันแน่ ง้าวเล่มนี้ถูกวางไว้แต่เดิมเพื่อปกป้องเจ้าของหลุมฝังศพแห่งนี้ แต่ไม่คาดคิดว่าผ่านไปพันปีจะกลายเป็นอาวุธร้ายที่ใช้ฆ่าคน แต่สุดท้ายผมกลับชิงความได้เปรียบ”
หลังจากเล่นกับง้าวสักพัก อารมณ์ตื่นเต้นของเยี่ยเทียนค่อยๆ สงบลง มองดูนาฬิกามันก็เป็นเวลาดีสามกว่าๆ แล้ว เขาก็ไม่เวลาเยอะที่จะอยู่ที่นี่
“เปิด หรือไม่เปิดดีนะ”
มองดูโลงศพสามโลงขนาดไม่เท่ากันในสุสาน เยี่ยเทียนก็รู้สึกลำบากใจ การเปิดโลงศพเป็นเรื่องง่ายมากแค่ง้าวในมือก็ใช้ได้ แต่เป็นการไม่เคารพคนตายและรบกวนบรรพบุรุษ
สำหรับโบราณวัตถุที่มีค่าจำนวนมากที่น่าจะฝังพร้อมศพในโลงศพ เยี่ยเทียนไม่ค่อยสนใจเท่าไหร เพราะว่าสัมผัสจากกระแสพลังแล้ว ในโลงศพสามอันนี้ไม่มีของขลังอีก
แต่ถ้าอยากรู้ฐานะแท้จริงของเจ้าของหลุมฝังศพแห่งนี้ ก็ต้องค้นหาตราประทับในโลงศพ โดยทั่วไปในโลงศพจะมีสิ่งของที่แสดงตัวตนของเขาอยู่
“ช่างเถอะ ไปหาที่อื่นเถอะ” เยี่ยเทียนส่ายหน้า สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่ไปรบกวนเจ้าของหลุมฝังศพที่โชคร้าย
หลังจากตายแล้วยังถูกคนวางค่ายกลพิฆาตหยินแบบนี้ คาดว่าไม่มีทายาทตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่ากระดูกของเขาจะได้รับการเก็บรักษาไว้ เยี่ยเทียนก็ไม่อยากทำลายความหวังในการขึ้นสู่สววรค์ของเขา
หลังจากเดินรอบโลงศพทั้งสามโลง เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ที่นี่ไม่มีคนเข้ามาหลายพันปีแล้ว นอกจากฐานของโลงศพที่ทำด้วยจากหินอ่อนสีขาวแล้ว ไม่มีสิ่งของที่ฝังพร้อมศพแม้แต่ชิ้นเดียว
ในห้องหลักไม่ได้เบาะแสอะไรเลย สายตาของเยี่ยเทียนมองไปที่ห้องข้างทั้งสองด้าน หรือว่าในคนที่ถูกฝังพร้อมศพมีสิ่งของอะไรเหลือไว้อยู่ก็ไม่แน่นะ
“นี่มันโหดร้ายมาก”
หลังจากที่เดินเข้าไปห้องของผู้ที่ถูกฝังพร้อมศพนั้น เยี่ยเทียนพบว่า คนที่ตายจากการถูกฝังพร้อมศพ ทุกคนถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ กระดูกจำนวนมากยังคงมีดาบหรือมีดที่ไม่ได้ถูกดึงออกมา
ฐานะของสองห้องของคนที่ถูกฝังพร้อมศพสองห้องก็ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงสวมผ้าไหมซาตินทั้งหมด อีกหนึ่งเป็นผู้ชายสวมผ้ากระสอบหยาบทั้งหมด
“ฮือคนนี้เป็นใครวะ”
เมื่อเยี่ยเทียนเห็นกระดูกกองหนึ่ง ก็อึ้งไปสักพักอย่างอดไม่ได้ เพราะว่าเสื้อที่กระดูกศพนี้สวม มันเป็นเสื้อคลุมสีเขียวแบบนักบวชเต๋าที่ยังไม่เน่าเปื่อย
……
ตอนที่ 267 โครงกระดูกของศพ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“หรือว่า…นี่เป็นผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยที่ออกแบบหลุมฝังศพ” เห็นรูปแบบของเส้นเชือกที่ห้อยบนเสื้อคลุมแบบเต๋าที่ยังไม่เน่าเปื่อย ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นในสมองของเยี่ยเทียน
จักรพรรดิโบราณเพื่อรักษาความลับและความปลอดภัยของสุสานเพื่อป้องกันไม่ให้คนรุ่นหลังมาปล้นหลุมฝังศพคนงานที่สร้างหลุมฝังศพก็จะถูกฆ่าตายทั้งหมด ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือคนงานนับแสนที่ฝังอยู่ในหลุมฝังศพของจิ๋นซีฮ่องเต้
ตั้งแต่ยุคสมัยราชวงศ์ฉินเป็นต้นมา แม้ว่าจักรพรรดิจะประกาศว่าไม่ให้มีการฝังศพพร้อมกับคนมีชีวิตอีกต่อไปก็ตาม แต่คนที่สร้างหลุมฝังศพไม่ได้อยู่ในรายการประกาศนั้น เมื่อหลุมฝังศพสร้างเสร็จแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องตาย
ส่วนผู้ที่ออกแบบหลุมฝังศพ ยิ่งอยู่ในรายชื่อที่จำเป็นต้องฆ่า ซึ่งเยี่ยเทียนคาดว่าโครงกระดูกนี้คือผู้เชี่ยวชาญฮวงจุ้ยในเวลานั้น มันสมเหตุสมผลมาก
“ขอโทษครับรุ่นพี่ เดี๋ยวรุ่นหลังอย่างผมจะสวดส่งวิญญาณ ช่วยให้ท่านไปเกิดใหม่”
เนื้อหนัง โครงกระดูกของศพที่นี่ถึงแม้ว่าเน่าเปื่อยไปตั้งนาน แต่ยังเหลือกลิ่นเหม็นอยู่บ้าง เยี่ยเทียนไม่ได้ย่อเข่าลง ใช้ง้าวในมือเล่มนั้นไปสะบัดบนศพโดยตรง เพื่อเคลื่อนย้ายกระดูก
“เป็นอย่างนี้จริงๆ”
เมื่อโครงกระดูกนั้นถูกเยี่ยเทียนขนย้าย เข็มทิศหล่นจากเสื้อคลุมแบบนักบวชเต๋า เข็มทิศนี้ซึ่งควรจะเป็นของขลัง ได้กลายเป็นไม่มีพลังอันลึกลับหลังจากการกัดเซาะในสุสานเป็นเวลาหลายพันปี
“ฮือ ยังมีนี่อีกหรือ”
หลังจากเข็มทิศลื่นอออกมา เยี่ยเทียนพบว่า ที่กระดูกแขนของนักบวชเต๋าท่านนี้ เหมือนมีสิ่งของดำๆ สักอย่าง จึงใช้ง้าวสะบัดเสื้อเขาออกทันที
“เฮ้ย นี่โดนธนูยิงไปกี่ดอกเนี่ย”
หลังจากสะบัดเอาเสื้อผ้าที่เน่าเปื่อยออก เยี่ยเทียนอึ้งไปทันที เพราะอย่างน้อยมีลูกธนูยี่สิบหรือสามสิบดอกกระจุกอยู่ในกระดูกระหว่างหน้าอกและช่องท้องของเขา ซึ่งในสมัยโบราณ การตายชนิดนี้เรียกว่าลูกธนูหมื่นดอกทะลุหัวใจ
คาดว่านักบวชเต๋าท่านนี้ก็ไม่ใช่คนใจดีเหมือนกัน เมื่อถูกฆ่าเขาต่อสู้กันอย่างรุนแรงแต่สุดท้ายกำปั้นคู่ก็ยากที่จะต้านทานสี่ฝ่ามือได้ เขาก็ถูกลูกธนูฆ่าตายในที่สุด
ไม่ว่าความสามารถส่วนตัวของเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับราชสำนัก เยี่ยเทียนส่ายหัวและเตือนตัวเองด้วยคำพูดนี้ก่อนที่จะดูกระดูกต้นขาของชายคนนั้น
ที่ฐานของต้นขาของเขา มีวัตถุสีดำขนาดเท่ากับฝ่ามือ ซึ่งควรจะมัดกับเส้นเอ็น แต่หลังจากที่ผิวหนังเน่าเปื่อย สิ่งของนั้นก็ติดอยู่ในกระดูกของเขา
“มันเป็นกล่องเหล็กหรือ” เยี่ยเทียนสัมผัสกับสิ่งของที่แบนราบเบาๆ ด้วยง้าว และมีเสียงโลหะที่โดดเด่นดังขึ้น
“หรือนี่เป็นวิชาลับของการสืบทอดจากชายคนนี้”
เยี่ยนเทียนไม่สนใจเรื่องกลิ่นเหม็นบนพื้นดินอีกต่อไป ก้มลงหยิบกล่องออกมา “หือ? ไม่ใช่กล่องเหล็ก แต่นี่เป็นไม้หรือ”
กล่องหนักมาก แต่ไม่มีเนื้อโลหะ แต่ทำจากไม้กฤษณาและมีกลิ่นหอมเล็กน้อยที่ปลายจมูก
ในใจของเยี่ยเทียนนั้นมีความตื่นเต้นสักพัก เพราะเคล็ดลับวิชาในสมัยบัจจุบันนั้นมีน้อยมาก นอกจากการสืบทอดจากครอบครัวตัวเองแล้ว เขาไม่เคยเห็นคนของนิกายลี้ลับอื่นเลย เมื่อคิดว่ากล่องไม้ในมือของเขามีแนวโน้มที่จะเป็นการสืบทอดของนักบวชเต๋ามากที่สุด หัวใจของเยี่ยเทียนก็ตื่นเต้นร้อนใจเป็นไฟ
ปุ่มทองแดงของกล่องไม้ยังเก็บไว้อย่างสมบูรณ์ เยี่ยเทียนเขี่ยปุ่มออกมา แล้วเอื้อมมือออกมาเพื่อเปิดกล่อง
“ผ้าไหม?”
เมื่อมองไปที่ผ้าไหมบางๆ ในกล่องไม้ เยี่ยเทียนก็ดีใจมาก แม้จะมีกระดาษอยู่แล้วในสมัยราชวงศ์ถัง แต่สำหรับการบันทึกที่มีค่าบางอย่าง ส่วนใหญ่จะเขียนไว้บนผ้าไหม นี่คาดว่าเป็นการสืบทอดของนักบวชเต๋าท่านนี้จริงๆ
ไม่ทันที่จะคิดรายละเอียด เยี่ยเทียนเอื้อมมือหยิบออกมา แต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นในเวลานี้ ผ้าไหมที่เขาถืออยู่กลายสภาพเป็นผงและเถ้าลอยหายไปตามการกระทำของเยี่ยเทียน
“หา? นี้…นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”
เยี่ยเทียนไม่ใช่นักโบราณคดีมืออาชีพและแม้แต่จิตสำนึกการป้องกันของโบราณวัตถุในหลุมฝังศพ ก็ยังไม่ดีเท่ากับโจวเซี่ยวเทียนซึ่งเป็นโจรปล้นสุสานกระจ้อยร่อยที่อยู่ด้านบน
เยี่ยเทียนไม่ทราบว่า วัตถุที่ถูกฝังในหลุมฝังศพเป็นเวลาหลายพันปี จะสลายตัวไปเป็นฝุ่นไปถ้าไม่ได้รับการดูแลอย่างมืออาชีพ หลังจากเผชิญกับออกซิเจน
เคยมีสุสานที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีในประเทศ เวลามันถูกเปิดขึ้น เจ้าหน้าที่โบราณคดีได้เห็นโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวหนึ่งเปลี่ยนสีอย่างช้าๆ เมื่อลมจากเครื่องเป่าลมพัดผ่านที่โต๊ะสี่เหลี่ยม มันกลายเป็นฝุ่นเถ้าทั้งหมด
“ นี่…นี่ทำยังไงดีอะ”
การสลายตัวของผ้าไหมทำให้เยี่ยเทียนกลายเป็นบ้า แม้ว่าเขาจะคาดเดาหลักการออกแล้ว แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้เพื่อไม่ให้ผ้าไหมสลาย
“ใช่แล้ว กระแสพลังหยางน่าจะสามารถรักษาผ้าไหมเหล่านี้ได้” ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงคิดได้ เขาจำได้ว่าอาจารย์เคยบอกว่า ดินที่มีพลังหยินและกระแสพลังหยินที่ไม่เคยเจอแสงแดดในหลุมฝังศพนั้น สามารถเก็บรักษาสิ่งของที่ถูกออกซิเดชันได้ทั้งหมด
เมื่อนึกถึงตรงนี้ มือขวาของเยี่ยเทียนจึงออกแรงเล็กน้อย แล้วเร่งกระตุ้นกระแสพลังพิฆาตหยินในง้าว และแล้วกระแสพลังพิฆาตหยินก็ไหลออกจากง้าวไปห่อกล่องไม้ไว้
อย่างที่เยี่ยเทียนคาดคิด หลังจากกระแสพลังพิฆาตหยินห่อกล่องไม้ การสลายตัวของผ้าไหมในนั้นก็หยุดลงอย่างกระทันหัน เมื่อเยี่ยเทียนยื่นมือไปหยิบอีกครั้ง หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น
ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อผ้าไหมสัมผัสกับอากาศ ความหนาของผ้าไหมประมาณหนึ่งนิ้วก็สลายตัวไปทั้งหมดและสองนิ้วของเยี่ยเทียนที่หยิบขึ้นมา ก็เพียงแค่บีบขี้ฝุ่นเถ้าเท่านั้น
“มันน่าเสียดาย ผมนี่เป็นลูกจองล้างจองผลาญจริงๆ” เยี่ยเทียนตอนนี้อยากจะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตาและด้วยการถอนหายใจ ฝุ่นเถ้าในกล่องก็กระจายไปทั่ว และลอยอยู่ในสุสาน
“เอ๋? ยังมีของอีก?” เมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่ด้านล่างของกล่อง ใจของเขาก็เต้นรัวอีกครั้ง เพราะพบว่ามีผ้าสีน้ำเงินหนึ่งชิ้นพับในกล่องไม้
เยี่ยเทียนไม่กล้าที่จะคว้ามันด้วยมือในคราวนี้ เขาทั้งประคองกล่องไม้ด้วยกระแสพลังหยินและปล่อยกระแสพลังหยินไปสัมผัสที่ตั้งของดินในหลุมฝังศพนี้
ดินหยินที่กล่าวถึงในฉีเหมิน หนึ่งคือไม่เคยเห็นดวงตะวันเลยและสองก็คือว่ามันจะต้องได้รับการบ่มเพาะด้วยกระแสพลังหยิน ในดินเองก็มีกระแสพลังหยินอยู่แล้ว แต่ดินก็ไม่เหมือนหยก ดินเก็บกระแสหยินได้ค่อนข้างยาก
ภายใต้การสัมผัสของเยี่ยเทียน ในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็นความแตกต่างภายใต้ก้อนอิฐที่ปูพื้น หลังจากเอื้อมง้าวออกไปขุดก้อนอิฐสี่เหลี่ยมนั้นออกมา เยี่ยเทียนบีบดินเล็กน้อยในนั้นขึ้นมา
โรยดินหยินนี้บนผ้าผืน เยี่ยเทียนแอบอธิษฐานในใจว่า “หวังว่าสิ่งนี้จะช่วยรักษาผ้าชิ้นนี้ได้!”
ปิดกล่องไม้แล้วเก็บซ่อนไว้ในเสื้อของตนอย่างแน่นหนา มองดูโครงกระดูกศพนั้น เยียเทียนก็ลังเลขึ้นมา
ในแง่หนึ่ง การตายของคนเป็นเรื่องใหญ่ฝังในดินคือได้สงบสุด ในฐานะรุ่นเก่าของฉีเหมิน เมื่อเยี่ยเทียนพบเจอแล้ว มันก็คือโชคชะตา เขาควรช่วยเขาเก็บกระดูกและฝังศพ
ส่วนเยี่ยเทียนได้รับประโยชน์อย่างมากในหลุมฝังศพนี้และต้องขอบคุณเขา หากไม่ช่วยเก็บกระดูกของเขามันก็จะไร้เหตุผล
หลังจากคิดครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนยื่นมือออกและดึงขากางเกงทั้งสองของเขาลง แล้วไหว้กระดูกของนักบวชเต๋าคนนั้น โดยพูดในปากของเขาว่า “ขออนุญาต”
ไม่คำนึงถึงกลิ่นเหม็นที่มาจากจมูกของเขา เยี่ยเทียนใส่กระดูกของนักบวชเต๋าทั้งหมดไว้ในขากางเกง คุณภาพของเสื้อชุดนี้ดีมากและยืดหยุ่น เยี่ยเทียนไม่กลัวที่จะทำให้เสื้อเสียหาย
ถึงเวลาออกเดินทาง หลังจากมองย้อนกลับไปที่โลงศพขนาดใหญ่ในสุสาน เยี่ยเทียนเดินออกจากหลุมศพด้านหลัง พร้อมกระดูกของนักบวชเต๋าและง้าว กลับไปที่พื้นโดยผ่านทางเดินในสุสาน
“ใคร?”
เยี่ยเทียนเพิ่งโผล่หัวออกมาจากอุโมงค์ เห็นโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังนอนตะแคงข้างพร้อมหญ้าแห้งที่อยู่ด้านบนศีรษะก็กระโดดขึ้น คืนนี้เขาค่อนข้างกังวลเหมือนกันเพราะกลัวว่าจะมีใครเดินเข้ามาและก็กลัวว่าเยี่ยเทียนเกิดเรื่องอะไรที่ข้างล่าง
“ตะโกนอะไร เสียงเบาๆ หน่อยสิ”
มันเกือบตีห้าแล้ว มีเสียงไก่ขันจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลเข้ามาในหู หากผ่านไปสักครู่ ถนนสายนี้ก็จะมีคนผ่านแล้ว
“พี่เยี่ย เป็นคุณเองหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกตกใจและดีใจ โดยเฉพาะหลังจากเห็นขากางเกงและง้าวของเยี่ยเทียนที่หิ้วมา โจวเซี่ยวเทียนก็ยิ้มจนตาหยี
แม้ว่าการเดินทางของเยี่ยเทียนครั้งนี้เพื่อช่วยเขาบรรเทาภัยพิบัติ แต่เขาก็ต้องใช้เวลาสองคืนติดต่อกันในการต่อสู้กับความหนาวของสายลมตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อยืนยามให้เยี่ยเทียน ซึ่งไม่มีผลงานใดๆ แต่ก็ทำงานหนัก เมื่อเยี่ยเทียนได้รับสิ่งของจากหลุมฝังศพ ไม่ว่าเยอะหรือน้อยก็จะแบ่งให้ตนนิดหน่อย
เห็นขากางเกงสองข้างตุงๆ ก็ยังมีวัตถุมีคมออกมา โจวเซี่ยวเทียนสามารถมั่นใจได้ว่ามันจะต้องเป็นเครื่องทองและเงินแน่ๆ แม้ว่าพี่เยี่ยพูดว่าจะไม่ขโมยของในสุสาน แต่สิ่งที่ขุดออกมานั้นเป็นของดีทั้งนั้น
เมื่อเห็นว่าโจวเซี่ยวเทียนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงงงวย เยี่ยเทียนก็ด่าอย่างอดไม่ได้ “แกกำลังโง่อะไรอยู่ รีบทำความสะอาดที่นี่และปิดอุโมงค์ เดี๋ยวไม่ทันแล้ว เราต้องรีบกลับปักกิ่งคืนนี้”
“เฮ้ พี่เยี่ย คอยดูนะ ผมจะทำทั้งหมดนี้เอง” โจวเซี่ยวเทียนที่ถูกปลุกให้ตื่นด้วยคำพูดของเยี่ยเทียน เอาพลั่วออกมาและเริ่มทำงาน หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที อุโมงค์นั้นก็กลับสู่สภาพเดิม
หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนจัดการอุโมงค์เรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนเสื้อใหม่ผ้าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เขาห่อกระดูกศพของนักบวชเต๋าด้วยชุดแนบเนื้อที่เขาถอดออกมา และหาเชือกป่านมามัดให้แน่น
“ไปกันเถอะ!” หนึ่งมือของเยี่ยเทียนหิ้วง้าว อีกมือหนึ่งถือกระเป๋ากระดูกศพเขาร้องบอกโจวเซี่ยวเทียนแล้วรีบไปยังที่ที่เขาจอดรถ
“พี่เยี่ย ผม…ผมช่วยคุณถือดีไหม”
ใครบอกว่าโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนเย็นชา ตอนนี้เขาก็กระตือรือร้นมาก ดวงตาของเขาก็เป็นประกายโดยไม่เคยห่างจากกระเป๋าที่เยี่ยเทียนห่อไว้
“อยากช่วยหรือ? ก็ได้” เยี่ยเทียนยิ้ม แล้วเอาง้าวที่อยู่ในมือขวายื่นให้โจวเซี่ยวเทียน
“เฮ้ย นี่…นี่เป็นอะไรถึงหนักขนาดนี้”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนถือง้าวนั้นอย่างสบายๆ โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เมื่อเขาเอาง้าวมาถือเองมือของเขาก็ร่วงลงอย่างรวดเร็ว จนแทบโจมตีที่หน้าเท้าของตน
“ทำไมเล่า? ถ้าแกถือไม่ไหวก็คืนฉันมา” เยี่ยเทียนยิ้ม
“หากแกอยากมีส่วนแบ่งสิ่งของ ตอนนี้ก็เป็นโอกาสของแก แสดงฝีมือหน่อย”
โจวเซี่ยวเทียนรีบตอบว่า “ ได้ ได้”
โจวเซี่ยวเทียนฝึกการต่อสู้ตั้งแต่เล็ก ด้วยความแข็งแกร่งของแขนทั้งสองแม้จะถือง้าวบนไหล่ของเขา เขาก็สามารถเดินตามรอยเท้าของเยี่ยเทียนได้
…………
ตอนที่ 268 รายงาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
การแบกง้าวหนักเจ็ดถึงแปดสิบกิโลกรัมวิ่งไปถึงหนึ่งไมล์ กว่าจะมาถึงรถของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็เหนื่อยและอ้าปากหอบ
แต่เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนเปิดกระโปรงหลังรถแล้วปิดมันอีกครั้ง หัวใจของโจวเซี่ยวเทียนก็สงบลงทันที พี่เยี่ยวางกระเป๋านั้นไม่เข้า มูลค่าของมันคงแพงมากแน่ๆ
เปิดประตูหลังรถ เยี่ยเทียนวางกระดูกศพเข้าไป ยื่นมือไปรับง้าวมา
ความยาวของง้าวนี้ประมาณหกสิบเซนติเมตร ตัวดาบอยู่ที่ประมาณแปดสิบเซนติเมตร รวมๆ แล้วยาวกว่าหนึ่งร้อยสี่สิบเซนติเมตร ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะนำมันมาไว้ในกระโปรงหลังรถ
สามารถวางลงในรถได้ แต่จะต้องวางไปมา มันก็จะเห็นได้ชัดเจนเกินไป ใบง้าวสั่นคลอนสามารถมองเห็นผ่านกระจกในระยะไกลได้
เมื่อดูแล้วเยี่ยเทียนก็ตัดสินใจ เขาเปิดฝาหลังรถ “โธ่เอ๊ย รถเก่าคันนี้ยังไงก็ไม่อยากเก็บเอาไว้แล้ว”
โจวเซี่ยวเทียนรู้สึกไม่เข้าใจเกี่ยวกับการกระทำของเยี่ยเทียน เยี่ยเทียนจับด้ามง้าวในมือขวา แล้วผลักไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วใบมีดที่คมและแหลมเจาะทะลุแผ่นเหล็กของกระโปรงหลังรถ และยื่นออกไปถึงที่นั่งด้านหน้า
“เห้ย นี่…อย่างนี้ก็ได้หรือ” โจวเซี่ยวเทียนงงไปหมดทันที ถึงแม้ว่าเขารู้สึกว่าง้าวนั้นหน้าตาก็ไม่เลว แต่ถ้าเอาไปขายคงได้ในราคาแปดพันหรือหนึ่งหมื่น ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะพอไปซ่อมรถหรือเปล่า
เยี่ยเทียนตบมือของเขา แล้วปิดกระโปรงหลังรถ จ้องมองโจวเซี่ยวเทียนและพูดด้วยความโกรธว่า “อึ้งไปทำไม อึ้งอะไร ยังไม่ขึ้นรถอีก”
“หือ ขึ้นรถ” โจวเซี่ยวเทียนรีบเปิดประตูที่นั่งข้างๆ คนขับเข้าไป มองผ่านกระจกหลังไปที่เบาะหลังตลอดเวลา
เยี่ยเทียนเดาความคิดของโจวเซี่ยวเทียนออก ได้แต่แอบยิ้มในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา หลังจากหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ รถพวกเขาเริ่มขับเข้าไปในเขตเมืองเป่าติ้ง
หลังจากอดทนนานมาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดโจวเซี่ยวเทียนก็อดไม่ได้แล้ว เขามองเยี่ยเทียนในสายตาที่น่าสงสาร และเริ่มตะโกนว่า “เยี่ย…พี่เยี่ย”
“มีธุระอะไรหรือ” เยี่ยเทียนตอบแต่ดวงตาก็มองตรงไปยังทางข้างหน้า
โจวเซี่ยวเทียนหายใจลึกๆ แล้วถามด้วยความกล้าหาญ “พี่เยี่ย พี่…ข้างในกระเป๋าเป็นอะไรกันแน่”
ครั้งนี้เขาเชิญเยี่ยเทียนมาช่วยเขาจัดการเรื่องที่เขาก่อปัญหาและเยี่ยเทียนก็ช่วยเขารักษาอาการเจ็บป่วยที่ปอด ตามเหตุผล ไม่ว่าสิ่งที่เยี่ยเทียนจะได้มานั้นคืออะไร ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา เพราะฉะนั้นโจวเซี่ยวเทียนจึงไม่กล้าพูดว่าอยากได้ เพียงแค่แอบถามอย่างอ้อมค้อม
“อยากรู้ ก็หยิบขึ้นมาดูเองมั้ยล่ะ” เยี่ยเทียนยิ้มพูด เด็กคนนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
“เฮ้ งั้นผมดูแล้วนะ” โจวเซี่ยวเทียนรีบตอบ และหันไปคว้าของนั้น
“ดูสิ ดูเถอะ จับไว้แน่นๆ นะ เอาวางที่ใต้เบาะดูก็แล้วกัน”
“พี่เยี่ย ผมรู้ครับ พี่วางใจได้เลย จะไม่ให้คนข้างนอกเห็นแน่ๆ”
โจวเซี่ยวเทียนปรับที่นั่งกลับไปสูงสุด อัดแน่นเข้าไปในที่วางขาหน้ารถ และเขาเอื้อมมือออกไปอย่างกระตือรือร้นปลดปุ่มที่เยี่ยเทียนพูด
เอื้อมมือไปที่ขากางเกงเสื้อรัดรูป โจวเซี่ยวเทียนยังบนว่า คืออะไรนะกลมๆ อ๋อทำไมมีสองตาด้วยวะ
“ทำไมเป็นกะโหลกศีรษะ?”
ขณะที่พูดมือก็หยิบของออกมาแแล้ว เมื่อมองเห็น โจวเซี่ยวเทียนก็สะดุ้ง กระโดดขึ้นทันที “ปัง” หัวกระแทกกับหลังคารถ
โจวเซี่ยวเทียนไม่กลัวคนตาย แต่ก็ไม่กล้าหาญขนาดนั้น เขาไม่กล้าไปปล้นสุสานคนเดียว แต่ว่านี่มันไม่มีการป้องกันอะไรใดๆทั้งสิ้น มือจับกะโหลกศีรษะ ถึงแม้ว่าเขากินดีหมีหัวใจเสือ ก็ทำให้เขากลัวมากกว่าการถือกำเนิดของพระพุทธเจ้าองค์ถึงสององค์
“กล้าทำให้ตกใจขนาดนี้เลยหรือ?”
ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เคยเข้าไปขโมยของในสุสานโบราณ โจวเซี่ยวเทียนก็สงบลง แตะที่หัวด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งกำลังพยายามเปิดหน้าต่างรถ
หลังจากเห็นการกระทำของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนจับข้อมือของเขาด้วยมือขวาแล้วพูดว่า “อย่าดูหมิ่นกระดูกของบรรพบุรุษและถ้าแกกล้าที่จะโยนหัวกะโหลกลงที่นี่ แกไม่กลัวว่าตำรวจจะตามมาหรือ”
“แต่…แต่พี่เยี่ย คุณ…คุณพากระเป๋าใส่กระดูกคนตายมาทำอะไรหรือ”
โจวเซี่ยวเทียนกำลังค้นหาอย่างไม่ตายใจที่ขากางเกงทั้งสองข้างอีกครั้ง และในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าเศร้าไม่ปกปิดความผิดหวังในหัวใจของเขาเลย
“คนรุ่นเก่าในฉีเหมินเมื่อเขามีชีวิตอยู่ ฉันก็ถือว่าได้ความช่วยเหลือจากเขาตอนที่อยู่ข้างล่าง จึงพาเขาขึ้นมาหาโอกาสที่จะส่งเขาไปฝังเพื่อให้เขาสงบสุข”
เยี่ยเทียนอธิบายสั้นๆ กับโจวเซี่ยวเทียน หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน แม้ว่าสีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนจะเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่เขาก็เคารพนับถือซากศพเป็นอย่างมาก จึงเก็บกระดูกและปิดผนึก วางมันไว้ในเบาะหลังอีกครั้ง
เมื่อเห็นการกระทำของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็รู้สึกเสียใจนิดหน่อย ที่เขาไม่ควรใช้กระดูกของคนรุ่นเก่านี้มาเพื่อล้อเลียนเขา จู่ๆ บรรยากาศในรถก็ดูเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อผ่านสถานีขนส่งเป่าติ่ง โจวเซี่ยวเทียนก็พูดขึ้นว่า “เยี่ย…พี่เยี่ย ผม…ผมไม่อยากไปปักกิ่งอีกเลย ขอลงที่นี่ก็แล้วกัน ผมจะกลับไปถังซาน”
เยี่ยเทียนเพียงแค่ได้กระเป๋าใส่ศพจากสุสานไม่มีสิ่งของมีค่า โจวเซี่ยวเทียนจึงไม่สามารถขอส่วนแบ่งได้ ถ้าอยู่กับเยี่ยเทียนอีกต่อไปก็ไม่ได้เงินไม่มีอนาคตใดๆ เพราะฉะนั้นเขาก็อยากกลับบ้านแล้ว
“ฮือ ทำไมถึงอยากไปถางซาน” เยี่ยเทียนอึ้งไปสักพัก แล้วเอารถจอดที่ข้างทาง
“ผมออกจากบ้านมาครึ่งเดือนแล้ว ผมเป็นห่วงคุณแม่” โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โกหกอะไร เขาอยู่กับแม่ต้ังแต่เล็ก นี่ก็คือครั้งแรกที่เขาออกจากบ้านเวลานานขนาดนี้
เยี่ยเทียนส่ายหน้า แล้วเอ่ยปากถามว่า “แล้วความเจ็บป่วยของแม่แกล่ะเป็นยังไงบ้างหรือว่าแกจะไปปล้นสุสานอีก”
ถึงแม้ว่าโจวเซี่ยวเทียนมีความไม่ดีเยอะแค่ไหน คำว่ากตัญญูก็เปรียบเทียบได้ทั้งหมด เขาก็อายุน้อยกว่าตนและเป็นทายาทของตระกูลโจว เยี่ยเทียนก็ไม่อยากเห็นเขาหลงผิดลึกไปเรื่อยๆ
“ผม…ผมทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่ไปปล้นสุสาน จะทำอะไรได้อีกเล่า”
โจวเซี่ยวเทียนคลุมใบหน้าด้วยมือสองข้างของเขาและเปิดเผยความอ่อนแอของเขาเป็นครั้งแรกต่อหน้าเยี่ยเทียน อย่างไรก็ตาม เขาเป็นเพียงแค่เด็กอายุสิบแปดหรือสิบเก้าเท่านั้นเอง
“ร้องไห้ทำไม ลูกผู้ชายเลือดออกได้ เหงื่อออกได้ มีเพียงอย่างเดียวที่ออกไม่ได้นั่นก็คือน้ำตา” เยี่ยเทียนตะโกนหนึ่งทีขัดจังหวะเสียงร้องไห้ของโจวเซี่ยวเทียน
โจวเซี่ยวเทียนเมื่อถูกขู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสนเขาไม่รู้ว่าอนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร และไม่เห็นความหวังใด ๆ
“แก…”
เยี่ยเทียนส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า “แกกลับไปถางซานเถอะ แล้วก็พาแม่แกมาหาฉันที่ปักกิ่ง ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาโรคคุณป้าฉันจะจ่ายให้ทั้งหมด แต่ว่าแกต้องมาทำงานให้ฉันสามปี ก็ถือว่าคืนค่ารักษาพยาบาลให้ฉันก็แล้วกัน”
“อะไรนะ” โจวเซี่ยวเทียนเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง “เยี่ย พี่เยี่ย พี่พูดจริงๆ หรือ”
ตั้งแต่พ่อของเขาเสียชีวิต โจวเซี่ยวเทียนก็ได้รับการดูถูกและตำหนิจากคนข้างนอก ไม่เคยมีใครริเริ่มที่จะช่วยเหลือเขา จึงทำให้เขามีนิสัยโดดเดี่ยวอย่างที่เยี่ยเทียนรู้จักเขา
รู้สึกถึงความอบอุ่นและเย็นชาของมนุษย์จำนวนมากในโลกใบนี้ โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะช่วยตนเอง ถ้าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนจริงๆ โจวเซี่ยวเทียนก็จะคิดว่าตนหูฝาดไปจริงๆ
“ไร้สาระ เห็นฉันว่างที่จะไปล้อเล่นกับนายหรือ” เยี่ยเทียนจ้องมองโจวเซี่ยวเทียนอย่างโกรธ
“แต่ว่า…พี่เยี่ย ผมทำอะไรก็ไม่เป็นนะ” ผู้คนที่เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นโจวเซี่ยวเทียนเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเองสูงมาก เขาปฏิเสธที่จะเป็นหนี้บุญคุณใครตั้งแต่เล็กและเขาไม่เต็มใจที่จะให้เยี่ยเทียนช่วยเหลือเขาเพราะสงสาร
สำหรับจิตวิทยาของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็รู้ดีอยู่แล้วเขายิ้มพูดว่า “พ่อฉันเปิดร้านขายของเก่า แกสามารถไปช่วยที่ร้านได้เวลาสามปีนี้ถ้าแกเก็บของขลังสักชิ้นให้ฉันได้ ฉันจะถือว่าแกไม่เอาเปรียบฉัน”
เยี่ยตงผิงมักจะบอกว่าเขาต้องการหาคนมาช่วยในร้านแต่เขาก็ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ หลังจากมีความคิดที่อยากช่วยเหลือโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนก็ตัดสินใจแล้ว
แต่เดิมโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่คุ้นเคยกับสุสานโบราณ เขาใช้จมูกดมก็รู้แล้วว่าวัตถุอันไหนขุดออกมาจากดิน นำไปทำงานในร้านของพ่อได้โดยไม่ต้องฝึกฝน คนงานที่เหมาะสมขนาดนี้ไปหาที่ไหนได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นโจวเซี่ยวเทียนยังเป็นลูกกตัญญู ตามที่คำโบราณกล่าวไว้ “ความกตัญญูจะต้องเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติเป็นอันดับแรก” เยี่ยเทียนให้ความสำคัญกับนิสัยนี้ของเขา การใช้คนแบบนี้มันก็วางใจได้
ประกอบว่าเขายังเป็นทายาทของตระกูลโจว ของฉีเหมิน ถ้าเยี่ยเทียนไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว เขาก็ต้องยื่นมือเข้าช่วยเหลือ
“พี่เยี่ย คุณ…คุณพ่อพี่จะรับผมหรือ” สำหรับในฐานะที่เป็นโจรปล้นสุสานของตน โจวเซี่ยวเทียนก็รู้สึกอายในใจลึกๆ ในใจจึงมีการดูถูกตนเองเล็กน้อย
“ฉันว่านะ ทำไมแกเหมือนผู้หญิงเลยโอ้เอ้อะไรกัน ถ้าอยากมาทำงานก็มา ไม่อยากก็ช่างเถอะ”
เยี่ยเทียนตอบอย่างโกรธๆ มองไปรอบๆ หยิบเงินออกหนึ่งร้อยหยวนจากกระเป๋าของเขาแล้วพูดว่า “ไป ไปซื้อซองจดหมายที่ร้านเครื่องเขียนนั่นแล้วก็ซื้อกระดาษมาด้วย”
“ยอม ผมยอมทำงาน พี่เยี่ย พี่รอแป๊บหนึ่งนะ ผมจะไปซื้อเดี๋ยวนี้”
แม้ว่าไม่รู้ว่าจะซื้อซองและกระดาษจดหมายมาทำไม แต่ว่าตอนนี้โจวเซี่ยวเทียนถูกห่อหุ้มด้วยความดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เงินที่เยี่ยเทียนให้เขาก็ยังไม่ได้รับและวิ่งลงไปจากรถ
หลังจากได้รับกระดาษและปากกาซองจดหมายที่ซื้อโดยโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนเขียนที่อยู่บ้านของเขาลงบนกระดาษแผ่นหนึ่งมอบให้แก่โจวเซี่ยวเทียนแล้วเปลี่ยนมือซ้ายเขียนขึ้นที่กระดาษอีกแผ่นหนึ่ง
“ฉันเป็นโจรปล้นสุสานที่มีจิตสำนึกที่ดี ขอรายงานให้รัฐบาลรู้ว่ามีสุสานโบราณที่ได้รับการปล้นหลายครั้งอยู่แห่งหนึ่ง สุสานโบราณแห่งนี้ตั้งอยู่ในเมืองหยางปิง หมู่บ้านเทียนจวางทางทิศตะวันออกห้าร้อยเมตร”
เมื่ออ่านตัวอักษรที่บิดเบี้ยวของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนงงไปหมด “พี่เยี่ย นี่พี่กำลังทำอะไร? ที่บ้านผมยังมีคุณแม่อยู่ ผมจะไม่ไปมอบตัวเด็ดขาด”
เยี่ยเทียนยกมือขึ้นแล้วใช้ปากกาเคาะที่หน้าผากของโจวเซี่ยวเทียน เขาด่าด้วยความโกรธ “ไปให้พ้น ถ้าไปมอบตัวจะให้แกไปซื้อซองและกระดาษจดหมายหรือ?”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แก๊งปล้นสุสานได้ก่ออาชญากรรมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เยี่ยเทียนรู้ว่าแม้ว่าโจวเซี่ยวเทียน ซึ่งเป็นคนปล้นสุสานที่ไม่เชี่ยวชาญเท่าไหร่ก็สามารถเจอสุสานโบราณแห่งนี้ได้ คาดว่าคนที่เชี่ยวชาญกว่า ก็จะสามารถหาพบได้ในเวลาอีกไม่นานแน่นอน
ง้าวก็ถูกเอาออกมาแล้ว เขาก็ไม่ต้องการให้คนโบราณที่อยู่ในโลงศพถูกโจรปล้นสุสานทิ้งกระดูกศพไป จึงมีความคิดที่จะแจ้งข้อมูลต่อรัฐบาล
……
ตอนที่ 269 ขาดทายาท (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“พี่เยี่ย ถ้าเราเขียนจดหมายรายงาน ตำรวจจะตามมาหาแล้วตรวจสอบอีกหรือเปล่า”
โจวเซี่ยวเทียนยังคงเป็นกังวลอยู่ในใจ เนื่องจากขนาดของสุสานนี้ใหญ่มาก ถ้าหากว่าถูกกรมส่งเสริมวัฒนธรรมรู้ ก็จะทำให้เกิดข่าวครึกโครม สำนักงานที่เกี่ยวข้องก็จะมาตรวจสอบถึงที่สุด มันจะเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่
หลังจากได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้น ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร แกคิดว่าไม่ว่าคดีอะไร ตำรวจจะถอดรหัสได้ทั้งหมดหรือไง ไม่มีเบาะแสให้ติดตามมาถึงพวกเราหรอก ไม่ต้องห่วง”…
เนื่องจากความสัมพันธ์กับลู่เชิน เยี่ยเทียนมักจะได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวน ตามที่เขารู้มาคดีที่ไม่สามารถสืบสวนได้ของทุกปี สำนักงานตำรวจน่าจะเต็มไปด้วยห้องเก็บเอกสารหลายห้อง คดีที่สืบสวนไม่ได้มีเยอะแยอะมากมาย
และเขากับโจวเซี่ยวเทียนก็ไม่มีคดีใดๆ ติดตัว ครั้งนี้มาชู่หยางก็เปลี่ยนป้ายทะเบียนรถ พักอยู่ที่โรงแรมไม่มีใบอนุญาต จึงไม่กลัวตำรวจไปตรวจสอบ
“ไปเถอะ ไปเอาจดหมายนี้ใส่ในกล่องจดหมายซะ” หลังจากเยี่ยเทียนเขียนจดหมายรายงานเสร็จ ใส่ในซองจดหมาย และพูดกับโจวเซี่ยวเทียนเมื่อยื่นให้เขาว่า “ระวังลายนิ้วมือและอย่าทิ้งไว้ข้างบน”
“ได้ครับ” เมื่อเห็นเยี่ยเทียนยืนยัน โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้า จับซองด้วยสองปลายนิ้วและลงจากรถ เห็นกล่องส่งจดหมายสีเขียวอยู่ไม่ไกลจากริมถนน
จริงๆ แล้วโจวเซี่ยวเทียนไม่รู้ เยี่ยเทียนที่ยืนยันรายงานเรื่องสุสานใหญแห่งนี้ อย่างแรกก็คือไม่อยากให้เจ้าของสุสานนั้นถูกทิ้งกระดูกไว้อย่างนั้น สิ่งของที่ฝังมาพร้อมกับศพจะได้รับการรักษาอย่างเรียบร้อย
อย่างที่สองก็คือเยี่ยเทียนก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถหาเบาะแสจากกล่องไม้นั้นได้หรือเปล่า ดังนั้นเขาจึงต้องการทราบถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าของสุสานผ่านทางการ โดยทั่วไปแล้วการค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ มักจะเปิดเผยต่อสาธารณชน
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนขึ้นรถ เยี่ยเทียนถามว่า “ให้ฉันส่งแกไปที่ถางซานหรือเปล่าแล้วรับแม่แกไปปักกิ่งด้วยกันดีไหม”
“ไม่…ไม่ต้องแล้วพี่เยี่ย ไม่ต้องรบกวนพี่แล้ว ผมพาแม่ไปหาพี่เองดีกว่า” โจวเซี่ยวเทียนโบกมืออย่างต่อเนื่อง เขาลังเลสักพักแล้วพูดว่า “พี่เยี่ย ผม…แม่ผมยังไม่รู้เรื่องของผมที่ไปปล้นสุสาน”
โจวเซี่ยวเทียนเป็นลูกกตัญญู ตอนที่พ่อและปู่ของเขายังอยู่ต่างก็เป็นนักวิชาการท้องถิ่นที่มีชื่อเสียง ถ้าแม่ของเขารู้ว่าเขาได้ทำเรื่องแบบนี้ โจวเซี่ยวเทียนคาดว่าแม่ของเขาคงจะโกรธจนตาย
“ได้ ฉันรู้แล้ว”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เอาเงินกองหนึ่งออกมาจากระเป๋า เงินมีประมาณหนึ่งพันหยวนกว่าๆ แล้วยื่นให้โจวเซี่ยวเทียนแลกล่าวว่า “บอกแม่แกว่าได้เจ้านายที่ดีในปักกิ่ง เจ้านายเป็นคนดี ที่อยู่ในบ้านก็กว้างขวางให้แกมาได้อย่างวางใจก็แล้วกัน”
เรือนใหม่ของเยี่ยเทียนไม่เหมะสำหรับโจวเซี่ยวเทียนกับคุณแม่พักอยู่ แต่เรือนเก่าของเยี่ยเทียนก็เป็นเรือนสี่ประสานเหมือนกัน ข้างในยังมีห้องว่างเยอะแยอะมากมาย ไม่ว่าโจวเซี่ยวเทียนและแม่ของเขามาอีกหลายครอบครัว เข้ามาพักก็ไม่แออัดเลย
“ขอบ…ขอบคุณพี่เยี่ย”
ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน น้ำตาของโจวเซี่ยวเทียนไหลออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาใช้มือเช็ดน้ำตา “พี่เยี่ย ผมไปแล้วนะ พี่วางใจได้ ผมจะไปปักกิ่ง จะพยายามทำงานแน่ๆ ครับ”
เมื่อมองโจวเซี่ยวเทียนลงจากรถเดินเข้าสู่สถานีรถโดยสารทางไกล เยี่ยเทียนก็ขับรถไปยังปักกิ่ง หลังจากที่เขาลงจากทางด่วนและเข้าสู่ดินแดนปักกิ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงหาสถานที่ห่างไกลและไร้ผู้คน เปลี่ยนแผ่นป้ายทะเบียนให้เรียบร้อย
“พ่อ วันนี้ไม่ได้ไปพานเจียหยานหรือ”
เยี่ยเทียนไม่ได้กลับไปที่เรือนเก่าแต่ขับรถตรงเข้าไปในโรงรถของเรือนสี่ประสาน ใครจะรู้ว่าเพิ่งเปิดประตูด้านในของลานหลัง ก็เห็นพ่อยืนอยู่หน้าประตูโดยสีหน้าไม่ดี
“ไอ้ลูกเลว ทิ้งคนป่วยไว้ที่บ้านสี่ห้าวัน ไม่คิดจะกลับมาเยี่ยมหน่อยหรือ”
หลังจากสั่งสอนลูกชายสักพัก เยี่ยตงผิงเห็นรถรักของเขาเหมือนไปลุยน้ำลุยโคลนมา ดวงตาของเขาก็จ้องเขม็ง “แกเอารถฉันไปทำอะไรมา ทำไมรถกลายเป็นอย่างนี้!?”
เยี่ยตงผิงเคยเป็นคนจน ที่เป็นหน้าเป็นตาของเขาเมื่อออกไปข้างนอก ก็คือรถคันเก่านี้ซึ่งขับมาสามหรือสี่ปีแล้ว โดยปกติมันได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เมื่อเห็นลูกชายทำให้รถเป็นอย่างนี้ ก็รู้สึกโกรธมาก
“พ่อ เงินที่อยู่ในบัญชีของพ่อไง เอาไปซื้อรถคันใหม่เถอะ รถคันนี้ก็ขายไปเถอะนะ”
เยี่ยเทียนตั้งแต่เด็กไม่กลัวที่จะถูกตี เขาไม่สนใจแม้แต่ความโกรธของพ่อ มัวแต่เปิดกระโปรงหลังรถ ยื่นมือไปจับด้ามของง้าว ดึงด้วยแรง ง้าวของขลังที่เปล่งแสงเย็นในความเรียบง่ายปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยตงผิง
“นี่…นี่แกไปได้มาจากไหน?”
เมื่อเห็นว่าในมือของลูกชายมีง้าวขึ้นมาเหมือนเล่นกล ตาของเยี่ยตงผิงก็ลุกวาวตรงเข้าไปและเอื้อมมือออกไปคว้าด้าม อยากจะเล่นกับมัน
“พ่อ ระวังนะ นี่มันหนักประมาณเจ็ดสิบหรือแปดสิบกิโล ระวังเท้าด้วย” เยี่ยเทียนเตือนพ่อของเขาและวางง้าวลงบนพื้น
“หนักขนาดนี้หรือ?”
เยี่ยตงผิงพยายามยกง้าวขึ้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีทันทีเขาเป็นชายในวัยสี่สิบปีเพียงแค่สามารถยกง้าวนี้ได้นิดหน่อย ถ้าหากว่าการถือให้มั่น นั่นก็อย่าแม้แต่คิดเลย
“ของดีอะ หัวเสือคายออกมาเป็นด้ามจับส่วนมังกรเป็นกก้านให้หัวเสือ มันเป็นของขลังครับพ่อ”
แม้ว่าเขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงกระแสพลังฟ้าดินได้เหมือนลูกชาย แต่เยี่ยตงผิงยังสามารถรับรู้ถึงความหนาวเย็นจากอาวุธร้ายเล่มนี้
หลังจากดูรายละเอียดใกล้ๆ แล้วเยี่ยตงผิงมองไปที่ลูกชาย แล้วถามว่า “เยี่ยเทียน ง้าวนี้มีมาหลายปีแล้ว มันควรจะเป็นง้าวขนาดใหญ่ในราชวงศ์ถัง สิ่งของลักษะณะแบบนี้ แกไปได้มาจากไหน?”
ลักษณะที่ปรากฏเป็นมาตรฐานที่ใช้ในการตัดสินวัตถุโบราณ ว่าสิ่งของได้รับการเก็บรักษาไว้ดีเพียงใด ที่ปรากฏต่อสายตาของเยี่ยตงผิงคือ มันเป็นสิ่งของที่สมบูรณ์แบบและไม่มีข้อบกพร่อง
เยี่ยเทียนก็ไม่อยากปิดบังพ่อของเขา เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันนขโมยมาจากหลุมฝังศพหน่ะพ่อ แต่นี่คือง้าวปกป้องเรือน วางมันไว้ที่บ้าน ในภายหลังจะไม่มีอะไรกล้าเข้าประตูเลย…”
“ไร้สาระ!” แกคิดว่าพ่อไม่เคยลงหลุมฝังศพหรือไง สิ่งของที่ขุดออกมาจากหลุมฝังศพจะมีลักษณะแบบนี้ได้ยังไง บอกมาตรงๆเถอะว่าซื้อมาในราคาเท่าไหร่”
เยี่ยตงผิงไม่สนคำพูดของลูกชาย เพราะถึงแม้ว่าหลุมฝังศพโบราณถูกรักษาไว้ดีแค่ไหน แต่มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ถูกกัดเซาะด้วยน้ำและโคลน ประกอบด้วยเวลาและอากาศ จะมีลักษณะแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นในมุมมองของเยี่ยตงผิง สิ่งนี้ควรเป็นมรดกสืบทอดของใคร ที่ถูกลูกเขาหลอกลวงมา
“จีจี…จีจี!”
ในขณะที่เยี่ยตงผิงถามลูกชายของเขา เหมาโถวไม่รู้ว่าออกมาจากไหน พอเห็นเยี่ยเทียนก็คลานขึ้นไปบนหัวของเขาทันทีและคว้าผมของเยี่ยเทียนด้วยสองอุ้งเท้าอย่างแรง
เยี่ยเทียนเอื้อมมือไปคว้าเหมาโถวลงมา และยิ้มว่า “ปลาในบ้าน แกกินหมดแล้วหรือ”
จีจี!
เหมาโถวส่ายหัวเล็กๆ อย่างแรง ราวกับว่ามันไม่อยากตอบคำถามนี้ หลังจากหลุดจากมือของเยี่ยเทียน มันเห็นง้าวขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้น ดวงดาสีดำๆ เหมือนอัญมณีก็สว่างขึ้น
แม้ว่ากระแสพลังพิฆาตหยินของง้าวนั้นถูกจำกัดไว้ข้างในทั้งหมด แต่แรงสัมผัสของเหมาโถวนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ตั้งเยอะ และมันก็ชอบที่ที่มีกระแสพลังพิฆาตหยินอยู่อยู่แล้ว
มันสามารถสัมผัสได้ว่ามีกระแสพลังพิฆาตหยินในง้าวนี้มากกว่าโคมไฟไฟจูเชวี่ยเล่มนั้น มันผละออกกจากเยี่ยเทียนแล้วก็ปีนขึ้นไปตามด้ามง้าว ไม่ยอมที่จะคลายกรงเล็บของมัน
“เจ้านี่…”
เยี่ยเทียนยิ้มแล้วส่ายหัว เขาหันหลังกลับเพื่อไปเปิดประตูด้านหลัง และหยิบกระดูกออกมาเขาพูดกับเยี่ยตงผิงว่า “พ่อ กลับไปคุยต่อที่บ้านเถอะ ครั้งนี้ผมปล้นสุสานจริงๆ ข้างในของกระเป๋านี้ก็คือโครงกระดูกศพของผู้อาวุโสท่านนั้น”
“กระดูกคนตายหรือ? แกเอาสิ่งนี้กลับบ้านทำไม?” เยี่ยตงผิงที่กำลังอยากถามสิ่งที่เยี่ยเทียนถืออยู่นั้นเป็นอะไร กลับตื่นตระหนกโดยคำพูดของลูกชาย รีบถอยหลังออกมาสองสามก้าว
เยี่ยเทียนบุ้ยปากและกล่าวว่า “หากไม่มีผู้อาวุโสคนนี้ ผมก็ไม่สามารถได้ง้าววิเศษเล่มนี้เลยนะ”
“แกมีกลิ่นโคลนนี่ นี่ไปปล้นสุสานมาจริงๆ หรือ?” เยี่ยเทียนไม่ได้อาบน้ำหลังจากออกมาจากสุสานโบราณเมื่อเช้านี้ เมื่อขับรถตรงกลับบ้านทำให้กลิ่นของร่างกายนั้นไม่สามารถปกปิดได้
“เมื่อครู่บอกพ่อ พ่อก็ไม่เชื่อนี่” เยี่ยเทียนเกลียดกับกลิ่นตัวของเขามาก และเอ่ยปากพูดว่า “พ่อ ปิดรถให้ดีๆ นะ ผมยังมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะถามพ่อ”
เยี่ยเทียนอยากรู้ประวัติ อายุของง้าว และเสื้อคลุมแบบนักบวชเต๋าในกล่องไม้นั้นมาก เขาจึงต้องการให้พ่อเขามาสำรวจหน่อย
เยี่ยเทียนมือข้างหนึ่งถือกระเป๋ากระดูกศพ เดินข้างหน้าก้าวหนึ่ง แล้วอีกหนึ่งมือหิ้วง้าวที่วางบนพื้น แต่เหมาโถวกอดง้าวด้วยสี่อุ้งเท้าอย่างแน่นๆ ยังไงก็ไม่ยอมลง
“แกเนี่ยนะ หยุดเดี๋ยวนี้เลย…”
“ทำไมรถเป็นอย่างนี้ล่ะ”
เยี่ยเทียนเพิ่งเดินออกจากโรงรถ เสียงของเยี่ยตงผิงก็ออกมาจากข้างหลัง ใบของง้าวเล่มนี้มีความหนามาก จนเกือบจะตัดเหล็กทั้งชิ้นของกระโปรงหลังรถออกมาได้
หลังจากได้ยินเสียงตะโกนของพ่อ เยี่ยเทียนก็เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อหนีกลับไปที่ห้องของตน เอาสิ่งของทั้งหมดที่อยู่บนตัวเขาวางลง แล้วก็เข้าไปห้องอาบน้ำอย่างรวดเร็ว
หลังจากอาบน้ำนานกว่าครึ่งชั่วโมง โดยถูขี้เถ้าสองชั้นบนร่างกายของเขา เยี่ยเทียนถึงออกมาจากห้องอาบน้ำ และสวมชุดฝึกซ้อมตามปกติ แล้วถึงไปที่ลานกลาง
“ เฮ้ เป็นไงบ้าง หนึ่งล้านหยวนต่อวันไม่เสียหายใช่ไหม?”
เพิ่งเข้าสู่ลานกลาง ก็มองเห็นถังเหวินหย่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้หินและพูดคุยกับเยี่ยตงผิง เยี่ยเทียนหัวเราะขึ้นอย่างอดไม่ได้ ถังเหวินหย่วนเพียงแค่พักอยู่ที่นี่สามหรือสี่วัน ไฝผู้สูงอายุบนใบหน้าเขาก็จางจืดไม่น้อย
“เยี่ยเทียน ฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ที่นี่เลย อย่างที่คุณพูด ฉันมาที่นี่ทุกๆ สองวันนะ” ถังเหวินหยวนกลัวเด็กคนนี้ที่ชอบเอาเงิน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ขาดเงินและมีเงินเยอะ แต่รสชาติที่ถูกคนรีดไถ รสชาตินั้นไม่สบายใจเลย
“ไม่เป็นไร พักอยู่อีกหนึ่งหรือสองวันก็ไม่เป็นไรนะ ผมจะให้คุณราคาพิเศษ”
เยี่ยเทียนโบกมืออย่างใจกว้างแล้วมองพ่อที่สีหน้าไม่ดี “พ่อ มาลานหลังหน่อยนะ ผมมีเรื่องอยากถามพ่อ”
“ เฮ้ เยี่ยเทียน โรคของเสวียเสวี่ยนั้น? ถึงแม้ว่าไม่กี่วันมานี้อาการของหลานสาวจะดีขึ้นมาก แต่เยี่ยเทียนไม่ได้ให้ยา และไม่ไปดูอาการเขา ในใจของถังเหวินหยวนยังคงมีความกังวล
“ไม่เป็นไร ผมจะต้มยาให้เสวียเสวี่ยตอนกลางคืนนะ คุณวางใจได้เลย”
ตอนนี้เยี่ยเทียนกำลังคิดถึงฐานะของเจ้าของสุสานโบราณแห่งนั้นอยู่ จะมีเวลาไหนมาคุยกับชายชราคนนี้เล่า พูดเสร็จก็ลากพ่อของเขาเข้าห้องตนอย่างรวดเร็ว
……
ตอนที่ 270 ขาดทายาท (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังตามลูกชายเข้าไปในห้อง เยี่ยตงผิงพูดอย่างไม่พอใจว่า “เหล่าถังนั้นมีอายุมากแล้ว พ่อว่าแกพูดดีๆ กับเขาหน่อยไม่ได้หรือ”
แม้ว่าไม่ได้รู้สถานะของชายชรา แต่อายุขนาดนี้ก็ควรให้ความเคารพ คนที่รู้นิสัยของเยี่ยเทียนก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่คนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่า บ้านเหล่าเยี่ยไม่มีการสั่งสอนอบรมภายในครอบครัว
“พ่อ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปให้ความเคารพคนอื่น เมื่อเหล่าถังคนนี้เริ่มต้นทำธุรกิจของเขา ก็มีเลือดเปื้อนอยู่ในมือเขาไม่น้อย ทำไมผมต้องเคารพเขาด้วยล่ะ?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก แม้ว่าเขาจะไม่ทราบประวัติการตั้งตัวของถังเหวินหย่วน แต่ดูจากโฉมหน้าของถังเหวินหย่วนในช่วงแรกก็สามารถเห็นได้ว่า ชายชราคนนี้ไม่ใช่คนดี
แต่เพียงแค่หลังจาากเขากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงแล้ว ถังเหวินหย่วนเชื่อในเทพเจ้าก็เลยทำบุญเยอะแยอะมากมาย มันก็ทำให้กระแสพลังพิฆาตหยินสลายไปไม่น้อย
“เออ ฉันพูดอะไรกับแกได้ซะที่ไหนกัน แล้วนี่เรียกฉันมาทำอะไร?” เยี่ยตงผิงทำอะไรไม่ได้กับลูกชายคนนี้จริงๆ ทุกๆ วันเต็มไปด้วยการพูดแปลกเพี้ยน
“พ่อ ฉันจ้างคนงานคนหนึ่งมาให้ทำงานที่ร้านชื่อ โจวเซี่ยวเทียน เป็นคนที่ขายโคมไฟจูเชวี่ยให้ฉันในตลาดมืดจี่เหรินครั้งที่แล้ว… “
เยี่ยเทียนก็ไม่ได้พูดถึงความเป็นมาง้าวเล่มนี้ เขาบอกพ่อแค่เรื่องโจวเซี่ยวเทียนจะมาทำงานก่อน เพราะมันไม่ใช่ร้านของเขา เยี่ยเทียนก็แค่ถือได้ว่าเป็นแค่เพียงหุ้นส่วน
“แล้วจะติดต่อกับเขาได้ยังไง?”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็ดูประหลาดใจและพูดว่า “มันก็ต้องลองดูก่อน ในอาชีพธุรกิจวัตถุโบราณที่มีความซับซ้อน และเป็นที่จับตามอง คนที่เข้ามาทำธุรกิจนี้ได้ การรักษาความลับเป็นสิ่งสำคัญ ความประพฤติต้องไม่ด่างพร้อย คนนั้นเป็นโจรปล้นสุสาน เชื่อได้หรือเปล่า”
ถึงแม้ว่าในร้านจะไม่มีวัตถุโบราณที่มีค่ามากนัก แต่การดูแลลูกค้าที่หน้าร้านจะต้องให้ความเป็นส่วนตัวมาก ถ้าหากว่าได้คนปากมาก คอยแต่ส่งเสียงบอกชาวบ้านว่าเจ้านายฝั่งนี้เพิ่งได้ของดีมา คนแบบนี้ก็ไม่เอา
“พ่อ คนนี้ไม่เหมือนกัน อย่ามองเขาเหมือนผู้ใหญ่จริงๆ แล้วเขาอายุน้อยกว่าฉันหนึ่งปี และเขาเป็นลูกกตัญญูมาก เขาไปปล้นหลุมฝังศพก็เพื่อหาเงินพาแม่ไปหาหมอ…”
เพื่อที่จะกำจัดความกังวลของพ่อ เยี่ยเทียนเล่าถึงความประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับโจวเซี่ยวเทียนอย่างรายละเอียด นี้แม้แต่เรื่องที่เขาขอความช่วยเหลือจากตนก็พูดออกมา แต่เรื่องที่เกี่ยวกับฮวงจุ้ยในการฝังศพแล แต่เรื่องตระกูลโจวแห่งฉีเหมินพูดน้อยมาก
“เฮ้ นี่เป็นเด็กดี แต่ก็เป็นเด็กโชคร้าย แต่ว่าเยี่ยเทียน สมัยนี้มีผู้คนที่น่าสงสารเยอะแยอะมากมาย คนเดียวแกช่วยได้ แต่แกจะช่วยคนทั้งหมดได้หรือ”
เยี่ยตงผิงเห็นด้วยกับความตั้งใจของลูกชายที่อยากช่วยเหลือผู้อื่น แต่ในสังคมแบบนี้ผู้ที่โชคร้ายกว่าโจวเซี่ยวเทียนมีเยอะแยะ เยี่ยตงผิงก็ไม่เห็นด้วยหรอก ถ้าลูกชายเขาอยากเป็นคนดีที่ไร้เงื่อนไข
“พ่อ พ่อดูผมเหมือนคนที่ว่างมากหรือ พบเจอใครก็ไปช่วยเขาหมด”
เยี่ยเทียนฟังแล้วเบ้ปาก กล่าวว่า “สำนักของโจวเซี่ยวเทียนกับอาจารย์ของผมมีความสัมพันธ์กันเล็กน้อย ก็เป็นคนในยุทธภพ ยังไงพบกันแล้วก็จำเป็นต้องช่วยเหลือ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เขาจะตายหรือเป็น ผมก็ไม่สนหรอก”
เยี่ยเทียนพูดความจริง เมื่อหลี่ซั่นหยวนเพิ่งออกท่องเที่ยวในยุทธภพ มีการสัมผัสกับคนตระกูลโจวจริงๆ ไม่ยังงั้นเยี่ยเทียนก็จะไม่ได้ยินเรื่องที่เกี่ยวกับตระกูลโจวจากปากอาจารย์หรอก
“ตกลง ถึงเวลานั้นก็ปล่อยให้แม่และลูกสองคนนั้นมาอยู่ที่บ้านเราเถอะ ถ้าเขามีความสามารถจริงๆ พ่อก็จะไม่เอาเปรียบเขาหรอก”
หลังจากได้ยินคำพูดของลูกชาย เยี่ยตงผิงรู้สึกวางใจและหยิบบัตรธนาคารสามใบออกมาจากกระเป๋าของเขาแล้วยื่นไปให้เยี่ยเทียน พูดว่า “ฉันทำบัตรหนึ่งล้านหยวนไว้สามใบ แกเอาไปเถอะ เงินที่เหลือก็ไปฝากไว้ที่ธนาคารทั้งหมด เมื่อแกต้องการจะถอนเงินก็มาบอกพ่อหน่อยก็แล้วกัน”
ในโลกนี้การที่ลูกจะใช้เงินพ่อเป็นเรื่องปกติ แต่พ่อใช้เงินลูกคงมีไม่กี่คนหรอก เยี่ยตงผิงก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน เขายอมให้ถังเหวินหย่วนโอนเงินให้เขา เพียงเพราะว่ากลัวเยี่ยเทียนใช้เงินฟุ่มเฟือยเท่านั้นเอง
“ผมเอาหนึ่งล้านหยวนก็พอ…”
เยี่ยเทียนส่ายหัว หลังจากดึงบัตรใบหนึ่งออกมา และคืนอีกสองใบกลับไป “พ่อ หนึ่งล้านนี้พ่อเอาไปซื้อของเก่าเถอะ ส่วนอีกหนึ่งล้านก็ถือว่าลูกส่งให้พ่อ”
เมื่อตอนที่เขาซื้อยาที่เหอเป่ย เขาใช้เงินในบัญชีของพ่อจนเกือบหมด แต่พ่อก็ไม่ได้บ่นสักคำมันก็ทำให้เยี่ยเทียนรู้แล้วว่าความรักของพ่อที่มีต่อเขาเหมือนภูเขา
“ก็ได้ งั้นพ่อจะเอาไปซื้อรถคันใหม่” เยี่ยตงผิงรับรู้ความตั้งใจของลูกก็พยักหน้าตกลงอย่างดีใจ
“พ่อ ตามความประสบการณ์ของพ่อ หลุมฝังศพนั้นเป็นของยุคไหนอะ”
หลังจากแก้ไขเรื่องของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็ดึงหัวข้อไปที่สุสานโบราณ เยี่ยเทียนนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับฐานะของเจ้าของหลุมฝังศพโบราณและสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายพันปีที่แล้ว
หลุมฝังศพอิฐส่วนใหญ่ปรากฏในเวลาระหว่างปลายราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่งโดยทั่วไป หลังจากขุดสถานที่บนพื้นดินแล้ว หลุมฝังศพที่ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมของสังคมยุคนั้น แล้วก็ใช้ดินฝังปิด…
ตั้งแต่ทำธุรกิจโบราณวัตถุนี้ เยี่ยตงผิงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และรูปแบบทางสังคมของราชวงศ์ต่าง ๆ จากคำอธิบายของลูกชาย เขาก็สามารถประเมินอายุของสุสานแห่งนั้นได้
“อย่างไรก็ตามจักรพรรดิราชวงศ์ถังส่วนใหญ่ถูกฝังในมณฑลส่านซี ส่วนเหอเป่ยเป็นเขตแดนของโยวโจว อำนาจของอาณาจักรราชวงศ์ซ่งที่นั่นอ่อนแอมากก็ยิ่งไม่มีจักรพรรดิอะไรอยู่ที่นี่เลย ขนาดและระเบียบของหลุมฝังศพแห่งนี้จึงแปลกไปเล็กน้อย
เยี่ยตงผิงไม่ได้เห็นการจัดเรียงในหลุมฝังศพด้วยตา เขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าหลุมฝังศพเป็นของใครเพียงแค่ตามคำพูดของลูกชาย โดยเฉพาะมันสร้างขึ้นตามสเปคของจักรพรรดิ ซึ่งก็ทำให้เขายิ่งงงขึ้น
“พ่อ เหอเป่ยน่าจะเป็นฐานของกบฏอันลู่ซันมาก่อนหรือเปล่า อันลู่ซันเคยได้เป็นจักรพรรดิหรือว่าจะเป็นหลุมฝังศพของเขาหรือเปล่านะ”
เยี่ยเทียนคิดเรื่องนี้มาตลอด เขาคิดว่าราวกับว่าระหว่างราชวงศ์ถังและราชวงศ์ซ่ง มีเพียงอันลู่ซันเท่านั้นที่เป็นจักรพรรดิที่ครอบครองเหอเป่ย
เยี่ยตงผิงส่ายหัวและพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ อันลู่ซันถูกลูกชายของเขาฆ่าตาย ในเวลานั้นเขาพ่ายแพ้และทุกคนตื่นตระหนก เพียงแค่ขุดหลุมใต้เตียงเพื่อฝังเขาแต่ต่อมาถึงได้มีคนอื่นขุดศพเขาออกมาภายหลัง…”
เยี่ยตงผิงรู้ดีมากเกี่ยวกับช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ช่วงนี้ อันลู่ซันป่วยเป็นโรคตา ตั้งแต่เริ่มยกทัพต่อสู้กัน การมองเห็นของเขาค่อยๆ จางลง ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ตาบอดทั้งสองข้าง และมองไม่เห็นอะไรเลย
ทำให้เขากลายเป็นคนนิสัยหงุดหงิดมาก มักไม่พอใจการทำงานของข้าราชบริพาลทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ถ้าไม่พอใจก็ลงโทษทันที่ด้วยการทุบตีหรือก่นด่า และถ้าทำผิดก็จะถูกประหารทันที โดยเฉพาะขันทีหลี่จูเอ้อร์ ที่ถูกลงโทษบ่อยที่สุด จนทำให้เขาไม่พอใจ
ในตอนนั้น “พระสนมต้วน” ผู้ได้รับการโปรดปรานจากอันลู่ซันได้ให้กำเนิดลูกชายชื่อ “อันชี่งเอิน” ซึ่งเป็นที่รักของอันลู่ซันมาก
ดังนั้น ขุนพลเหยียนจวงจึงร่วมมือกับอันชี่งซวี่ บุตรชายของอันลู่ซันและขันทีหลี่จูเอ้อร์ ก่อกบฏและฆ่าอันลู่ซัน ในวันที่ก่อกบฏพวกเขาเอาศพของอันลู่ซันฝังไว้ที่ใต้เตียงอย่างรีบร้อน เพราะในเวลานั้นพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยกองทัพราชวงศ์ถัง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างหลุมฝังศพเพื่ออันลู่ซันแน่นอน
เยี่ยตงผิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ง้าวเล่มนี้เป็นของที่เกิดในสมัยราชวงศ์ถัง พ่อจำได้ว่าเคยมีคนใช้มัน แกรอสักครู่พ่อจะกลับไปที่เรือนเก่าไปค้นหาข้อมูลก่อน”
สิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการเก็บของเก่าคือการสืบทอดอย่างเป็นระเบียบ ดังนั้นเยี่ยตงผิงจึงไม่จำเป็นต้องรู้จักคนมีชื่อเสียงทุกคนในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็ยังมีความประทับใจในสิ่งของที่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์
คนที่สามารถใช้อาวุธชนิดนี้ได้คงเป็นขุนพลที่กล้าหาญคนหนึ่งในสมัยนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นพ่อของเขารีบออกไปค้นหาข้อมูล เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว สายตาจ้องมองไปที่กล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ
มีการเขียนลายมือบนเสื้อคลุมแบบนักบวชเต๋าที่ขาดแล้วในกล่องไม้นี้ ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงไม่กล้าที่จะแตะต้องมันแม้แต่น้อยและตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เบาะแสอะไรจากพ่อ ผู้ซึ่งเป็นความหวังทั้งหมด
หลังจากคิดครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนเอื้อมมือคว้าเจ้าเหมาโถวที่กำลังกอดง้าวขึ้นมา แล้วก็โยนมันออกไปข้างนอกพูดว่า “ ไปเล่นข้างนอกเถอะ แกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในบ้านหลังนี้ภายในครึ่งชั่วโมง”
“จีจี…จีจี” เหมาโถวยืนตัวตรง โบกสองอุ้งเท้าหน้าอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าจะประท้วงความโหดเหี้ยมของเยี่ยเทียน
“กล้าไม่เชื่อฟังหรอ งั้นปล่อยให้แกไปอยู่ที่เรือนเก่าสักสองสามวันเป็นไง?” เยี่ยเทียนจ้องมองเหมาโถวที่ใช้สองอุ้งขาหน้าปิดตาและหลบหนีอย่างรวดเร็ว มันยังสนุกไปกับกระแสพลังฟ้าดินที่นี่ ไม่ว่ายังไงมันก็จะไม่ไปเรือนเก่าหรอก
“แกนี่ รู้วิธีหลีกเลี่ยงความชั่วร้ายดีนัก…”
เยี่ยเทียนหัวเราะอย่างสนุกสนานด้วยท่าทางที่ตลกของเจ้าเหมาโถว เจ้าตัวเล็กนี้แสนรู้มากมันสามารถเข้าใจได้ทุกประโยคที่เขาพูด ในช่วงเวลาที่เยี่ยเทียนปิดประตูฝึกฝนวิชามันก็ช่วยเขาแก้ความเหงาได้ไม่น้อย
หลังจากไล่เหมาโถวออกไป เยี่ยเทียนเปลี่ยนที่วางของง้าวที่อยู่บนโต๊ะเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบมีดสั้น “อู๋เหิน” ออกมาวางบนโต๊ะ ส่วนกล่องไม้นั้นวางอยู่ที่ตรงกลางของของขลังสองชิ้นนั้น
“เยี่ยเทียนยืนอยู่หน้าโต๊ะและบีบนิ้วมือมนต์เพื่อนำกระแสพลังพิฆาตหยินในง้าวและมีดสั้น “อู๋เหิน” ออกมา ทันใดนั้นอุณหภูมิในบ้านก็ลดลงอย่างรวดเร็ว กระแสพลังหยินแบบนั้นก็ไล่กระแสพลังหลิงที่อยู่เต็มห้องออกไป
“รวม!!” เยี่ยเทียนตะโกน สองมือของเขาพับ กระแสพลังพิฆาตหยินที่เต็มอยู่ทั่วห้อง ดูเหมือนจะทำตามคำสั่งของเขา ทั้งหมดก็รวมกันขึ้นมา ลอยอยู่บนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่เดียวเท่านั้น
หลังจากตั้งค่ายกลกระแสพลังพิฆาตหยินขนาดเล็กนี้สำเร็จ เยี่ยเทียนจึงเปิดกล่องไม้ เหยียดสองนิ้วจับที่มุมหนึ่งของเสื้อคลุมนักเต๋าที่ขาดแล้วยกขึ้นอย่างเบาๆ
“ไม่เป็นไรน่า วิธีที่อาจารย์สอนใช้งานได้ดีจริงๆ”
เมื่อเห็นผ้าขาดในมือไม่ได้สลายกลายเป็นฝุ่น เยี่ยเทียนดีใจมากแต่การเคลื่อนไหวในมือของเขายังคงอ่อนโยนมาก เขาค่อยๆหยิบผ้าผืนนี้ออกมาแล้ววางราบบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยกระแสพลังหยิน
ผ้าผืนนี้มีขนาดเท่ากับสองฝ่ามือของเยี่ยเทียน ข้างบนนั้นเต็มไปด้วยตัวอักษรจ้วนที่ผนึกแน่น เยี่ยเทียนมองดูอย่างตั้งใจและถอนหายใจเย็นๆอย่างอดทน นี่มัน…เขียนด้วยเลือด
ถึงแม้ว่าสีของตัวอักษรบนผ้าจะกลายเป็นสีดำมืดแต่สำหรับเยี่ยเทียนที่มีความสัมผัสไวต่อกระแสเลือด ก็สามารถมองออกได้อย่างรวดเร็ว คำร้อยคำทั้งหมดนั้น ถูกเขียนด้วยเลือด
“ข้าคือหลี่ไท่ซวี ผู้สืบทอดเชื้อสายที่แท้จริงจากหลี่ฉุนเฟิง ข้าได้เรียนรู้คัมภีร์โจวอี้ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และรู้ความลับมากเกินไปรู้ตัวดีว่าคงจะไม่ได้พบจุดจบที่ดี ข้าจะไม่ยอมได้รับการดูถูกจาก “เสี้ยว เสี้ยว” ด้วยหัวใจที่ไม่ยินยอมของข้า ต่อจากนี้ไปตระกูลหลิว จะไร้ผู้สืบสกุล ไม่มีลูกไม่มีหลาน ไม่มีทายาทตลอดไป…”
แม้ว่าราชวงศ์ถังจะมีตัวอักษรไข่แล้ว แต่ตัวอักษรทั้งหมดนี้เขียนด้วยอักษรจ้วน สำหรับเรื่องนี้เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่ยิ่งเขาอ่านมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้นเท่านั้น
……
ตอนที่ 271 ขาดทายาท (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ที่แท้ก็เป็นลูกหลานของหลี่ฉุนเฟิงหรือ? ไม่น่าแปลกที่เขาสามารถดัดแปลงค่ายกลในสุสาน ให้เกิดกระแสพลังพิฆาตหยิน ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นคนที่มีแรงอาฆาตมาก!”
หลังจากอ่านหลายร้อยคำนี้ เยี่ยเทียนก็มีความชัดเจนเกี่ยวกับที่ไปมาของเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่รู้อะไรเยอะเกี่ยวกับหลิวเหรินกงที่หลี่ไท่ซวีพูดถึงเลย จึงต้องไปเช็คข้อมูลที่เกี่ยวข้องก่อน
ปรากฏว่า หลี่ไท่ซวีเป็นอาจารย์ฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียงมากในช่วงปลายของราชวงศ์ถัง และเคยเป็นขุนนางเก่าในวังมาก่อน
หลี่ไท่ซวีเป็นคนรวบรวม ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ ปฏิทิน ข้อห้าม สิ่งที่พึงกระทำ และพิธีกรรมต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
เมื่อถึงยุคที่ราชวงศ์ถังได้เสื่อมลง อำนาจต่างๆ ได้กระจายไปสู่พวกขุนนางท้องถิ่น ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ได้เข้ามามีบทบาทต่อชีวิตผู้คน ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลี่ไท่ซวีได้เผยแพร่ศาสตร์การพยากรณ์และการทำนายทายทักออกไป ต่อมาเขาก็ออกจากวัง ไปพยากรณ์และแนะนำในหมู่ประชาชนทั่วไปในการแก้เคราะห์ให้กับตัวเอง
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อหลี่ไท่ซวีเดินทางมาถึงเขตแดนเหอเป่ย ได้ถูกหลิวเหรินกงที่เป็นขุนนางระดับสูงของเหอเป่ยในตอนนั้นเชื้อเชิญให้เขาช่วยสอนฮวงจุ้ยและสร้างสุสานให้พ่อแม่ของเขา
หลี่ไท่ซวีและหลิวเหรินกงที่รู้จักกันมาก่อน เมื่อหลิวเหรินกงขอร้องอย่างนี้ เขาจึงรับปากและหลังจากผ่านการสำรวจพื้นที่เป็นเวลาหนึ่งเดือน เขาก็พบสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยที่ดีในหมู่บ้านเถียนจวง
แต่ว่าภายหลังได้เกิดความผิดปกติขึ้น เกินความคาดหมายของหลี่ไท่ซวี เพราะหลิวเหรินกงใช้คนหนุ่มจำนวนมากเพื่อไปสร้างสุสานของพ่อแม่ของเขา สุสานนี้มีขนาดใกล้เคียงกับสุสานของจักรพรรดิเลยทีเดียว
นอกจากนั้น หลิวเหรินกงยังกักตัวหลี่ไท่ซวีไว้ในบ้าน ในเวลานั้นหลี่ไท่ซวีมีอายุมากกว่าแปดสิบปีและกำลังวังชาของเขาก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน ถึงอยากจะหนีรอดมันก็สายเกินไป
มีหรือที่หลี่ไท่ซวีจะไม่รู้ความคิดของหลิวเหรินกง พ่อแม่ของหลิวเหรินกงนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาสร้างสุสานให้พ่อแม่ ก็เพราะว่าอยากให้ตัวเองได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นจักรพรรดิในภายหลัง?
แต่ว่าตระกูลของหลี่ฉุนเฟิงนั้นล้วนรับใช้ราชสำนัก และหลี่ไท่ซวีเองก็ได้รับการชุบเลี้ยงจากองค์ฮ่องเต้เป็นอย่างดี ดังนั้นภายในจิตใจเขาจึงมีแต่ความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แล้วเขาจะยอมสร้างสุสานเส้นเลือดมังกร ให้คนชั่วร้ายอย่าง หลิวเหรินกงได้อย่างไร?
หลี่ไท่ซวีเป็นคนที่รอบรู้ในด้านการทำนายอยู่แล้ว ในครั้งนี้เขาได้ทำนายโชคชะตาตนเอง ไม่ว่าเขาจะมีส่วนร่วมกับหลิวเหรินกงหรือไม่ก็ตาม ชีวิตเขาก็จะจบอยู่ที่นี่
หลี่ไท่ซวีมีนิสัยที่แข็งแกร่งและเป็นคนรุ่นเก่าที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตอนนั้นที่รับปากกับหลิวเหรินกงจะช่วยสร้างสุสานของพ่อแม่ให้เขา เขาจึงหลอกหลิวเหรินกงที่ไม่รู้เรื่องฮวงจุ้ยเลย แอบใช้แผนเล็กน้อย สร้างหลุมฝังศพที่เหมือนแต่ไม่เหมือนขึ้นมา
หลี่ไท่ซวีไม่เพียงแต่เปลี่ยนแผนผังตำแหน่งมังกรของสุสานเท่านั้น แต่ยังบอกหลิวเหรินกงว่าพ่อแม่ของเขาไม่มีวรยุทธ์ ซึ่งจะไม่สามารถควบคุมกระแสพลังมังกรในสุสานนี้ได้ จึงต้องการอาวุธวิเศษมาวางไว้ในสุสาน เพื่อให้ลูกหลานของเขาสามารถที่จะได้ขี่มังกรและหงส์ (ครองบัลลังก์) ได้ถึง เก้าสิบห้ารุ่น
ในขณะนั้นหลิวเหรินกงเป็นเจ้าเมืองฟั่นหยาง เป็นขุนพลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเขตนี้ แต่เขาก็เป็นคนหยาบกระด้าง จะเข้าใจความรู้ของวิชาฮวงจุ้ยเหล่านี้ได้อย่างไร?
ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบหลี่ไท่ซวีไม่ได้แสดงอาการใดๆ ที่ไม่พอใจต่อหน้าเขา หลอกให้เขาเชื่อ ซ่อนง้าวเล่มนั้นไว้ในหลุมฝังศพถึงสามปี
หลิวเหรินกงไม่รู้ว่าง้าวเล่มนี้สามารถใช้ปกป้องได้เฉพาะในซุ้มประตูสุสานเท่านั้น แต่วางไว้ภายในสุสานม่ได้ ดังนั้นจึงเท่ากับว่าหลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตแล้ว ยังต้องถูกง้าวฟันทุกวันทุกคืน
ไม่กี่วันก่อนที่หลุมฝังศพจะเสร็จสมบูรณ์ หลี่ไท่ซวีก็คำนวณว่าตัวเองจวนจะตาย
แต่ว่าตอนนั้นหลี่ไท่ซวีอยู่ภายใต้การควบคุมของหลิวเหรินกงอย่างแน่นหนา ไม่มีแม้แต่พู่กันกับหมึก สุดท้ายจึงฉีกเสื้อคลุมและกัดนิ้วตัวเองเพื่อเขียนหนังสือเล่มนี้จนสิ้นชีวิต และวางไว้ในสถานที่เดียวกันกับเคล็ดวิชาลับของสำนักอาจารย์ของเขา
สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง แม้ว่าจะไม่ได้เขียนไว้บนนี้ แต่เยี่ยเทียนก็สามารถคาดเดาได้ว่าหลี่ไท่ซวีได้ต่อสู้จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ก็ทนต่อความเจ็บปวดจากพิษลูกธนูนับพันไม่ได้
“บัดซบเอ๊ย ฉัน…ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย?!”
หลังจากอ่านข้อความสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิตของหลี่ไท่ซวี เยี่ยเทียนก็ถอยหลังและตบหน้าตัวเองอย่างหนัก เขาไม่คิดว่าเขาจะพลาดโอกาสได้รับคัมภีร์ที่สุดยอดแห่งยุค
คำพูดของหลี่ไท่ซวีชัดเจนมาก ความลับของวิชาและแนวทางการฝึกและภาพประกอบ ที่อยู่ด้านหลังของคัมภีร์ที่ หลี่ฉุนเฟิงบันทึกไว้ ได้ถูกทำลายด้วยมือของตัวเอง
“โชคดีที่หลี่ไท่ซวีเคยได้รับลูกศิษย์ ภาพลับด้านหลังจึงได้สืบทอดต่อไป มิฉะนั้นถึงแม้ว่าฉันตายก็ชดเชยไม่ได้เลย!”
หลังจากมองดูบันทึกก่อนสิ้นชีวิตของหลี่ไท่ซวีอย่างละเอียดครั้งแล้วครั้งเล่า เยี่ยเทียนถึงได้รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เพราะหลี่ไท่ซวีกล่าวอย่างชัดเจนแล้วว่า มีคนสืบทอดแล้วถึงแม้ว่าเขาตายก็ตายตาหลับ
“เฮ้ ถ้าอาจารย์รู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องโกรธแล้วกระโดดออกจากหลุมฝังศพหรือเปล่า?”
ตอนนี้เยี่ยเทียนยังเสียใจมาก หลี่ซั่นหยวนใช้ทั้งชีวิตเพื่อค้นหาร่องรอยของภาพลับด้านหลังแต่ก็ไม่ได้มา ส่วนเขาได้มันอยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่กลับทำลายมันเพราะความประมาท
“เยี่ยเทียน พ่อเจอแล้ว! อาวุธนี้เคยมีคนใช้จริงๆ!” เสียงของเยี่ยตงผิงดังมาจากด้านนอกประตู ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังรู้สึกเสียดายของอยู่ จากนั้นเขาก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งบุกเข้าไปในห้องอย่างดีอกดีใจ
“พ่อ คือหลิวเหรินกงใช่หรือเปล่า? ผมรู้แล้ว!” เยี่ยเทียนตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง หน้าของเขายังไม่หายจากการตบหน้าตัวเองเมื่อครู่
“แกรู้ได้ยังไง? เฮ้ย! ลูกพ่อ เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของแก?”
เยี่ยตงผิงได้ยินแล้วจึงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นรอยนิ้วมือแดงๆ บนใบหน้าของเยี่ยเทียน เขาจึงอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้ แม้ว่าเขาจะตีเยี่ยเทียนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แต่ก็ไม่เคยตีใบหน้าเลย
เยี่ยเทียนพูดด้วยสีหน้าเศร้า “พ่อ ไม่เป็นไรครับ แค่เสียของดีไปหนึ่งชิ้น ผมรู้สึกเสียใจ!”
“ของดีอะไร?”
เยี่ยตงผิงตื่นเต้นขึ้นมา ปกติลูกชายไม่ค่อยสนใจของโบราณเหล่านี้เลยตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งของที่ถูกเขาเรียกว่าของดีมันต้องไม่ใช่ของธรรมดาอย่างแน่นอน
“ภาพลับด้านหลังคัมภีร์ของหลี่ฉุนเฟิง ถูกผมทำให้มันออกซิไดซ์เป็นฝุ่นเถ้าไปโดยประมาท…” เยี่ยเทียนเล่าเรื่องในหลุมฝังศพให้พ่อฟัง ตอนนี้เขาก็ต้องการใครสักคนมาฟังเขาพูด
หลังจากฟังคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็เบ้ปากพูดว่า “เฮ้อ ฉันก็คิดว่าเป็นอะไร ก็แค่เป็นหนังสือเก่าๆ เล่มเดียว ภาพลับด้านหลังมีขายที่พานเจียหยวนเยอะแยอะมากมาย พรุ่งนี้พ่อจะเอามาให้แกสักสองสามเล่ม…“
“ช่างเถอะ ผมพูดไปพ่อก็ไม่รู้เรื่องหรอก ถือว่าผมไม่เคยพูดก็แล้วกัน” เยี่ยเทียนเหลือกตาขาวไปมา ภาพลับด้านหลังที่ขายที่พานเจียหยวนนั่นหรือ ทั้งหมดก็พิมพ์ออกจากสำนักพิมพ์ มันจะเทียบกับต้นฉบับได้อย่างไร?
“ลูกพ่อ จะว่าไปแล้ว ง้าวของแกเป็นของดีจริงๆ และมันยังอยู่ในสภาพที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าโชคดีเจอคนที่ชอบสะสม ก็น่าจะสามารถขายได้ในราคาสูง!”
เยี่ยตงผิงไม่สนใจเรื่องภาพลับด้านหลังแม้แต่นิดเดียว พูดถึงแต่เรื่องง้าว พลางลากเยี่ยเทียนมาข้างๆ โต๊ะ เยี่ยตงผิงวางหนังสือภาพในมือลงแล้วพูดว่า “ดูสิ มันเหมือนกันใช่ไหม?”
“เฮ้ยพ่อ! ง้าวทั้งสองเล่มนี้เหมือนกันจริงๆ ด้วย!”
เยี่ยเทียนยื่นศีรษะไปดู ความสนใจของเขาถูกดึงดูดไปที่ง้าวในหนังสือภาพนั้น แต่ว่าพอเปรียบเทียบกับง้าวที่อยู่ตรงหน้า ในหนังสือภาพเต็มไปด้วยรอยสนิมมากมายและยังมีส่วนที่แตกหักขนาดใหญ่อยู่ที่ใบง้าว
“ลูกพ่อ ง้าวนี้ถูกใช้โดยหลิวเหรินกงในช่วงปลายของราชวงศ์ถัง แกดูที่บันทึกนี้… ” เยี่ยตงผิงเปิดหนังสืออีกเล่มในมือของเขา และชี้ตอนหนึ่งให้เยี่ยเทียนดู
ใครก็ตามที่ชอบสะสมวัตถุโบราณนั้นจะมีความสนใจในยุคสมัยโบราณ และเยี่ยตงผิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นอยู่แล้ว การค้นพบการสืบทอดของง้าวนี้ ทำให้เขาตื่นเต้นมาก
เยี่ยเทียนอ่านข้อความนั้น บอกว่าในช่วงปลายราชวงศ์ถัง หลิวเหรินกงนั้นกล้าหาญและหยิ่งผยองและใช้เวลาหลายปีในการหล่อง้าวอันล้ำค่านี้ แต่มันหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เขาจึงจำลองเล่มใหม่ตามแบบฉบับเดิม ต่อมาก็ขุดออกมาจากสถานที่แห่งหนึ่งในเหอเป่ย
“พ่อ หลิวเหรินกงนี่เป็นใครกันแน่?” ความสนใจของเยี่ยเทียน ก็ถูกดึงดูดจากเจ้าเมืองโง่ๆ คนนี้ จากภาพประกอบด้านหลัง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินว่ามีคนกล้าที่จะบังคับให้อาจารย์ฮวงจุ้ยช่วยหาจุดมังกรให้เขา
และสุดท้ายหลิวเหรินกงจะเป็นยังไง ก็เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนก็อยากรู้มาก ว่ามันไม่มีลูกหลานและขาดทายาทตลอดอย่างที่หลี่ไท่ซวีว่าจริงหรือเปล่า?
“เอาล่ะ แกดูเองก็แล้วกัน…” เยี่่ยตงผิงโยนหนังสือในมือให้กับลูกชาย
หลังจากอ่านการแนะนำตัวของหลิวเหรินกงแล้ว เยี่ยเทียนก็ถอนหายใจยาว “นี่หมายความว่าไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรมชั่วของตนได้จริงๆ อย่างที่พูดกันว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว”
หลิวเหรินกงเป็นคนเสินโจวจังหวัดเหอเป่ย ต่อมาได้ทำการก่อกบฏต่อ “หลี่เค่อย่ง” ฮ่องเต้ของราชวงศ์ถังและจิ้น กลายเป็นเจ้าเมืองหลูหลง ต่อมาได้เอาชนะเจ้าเมืองยี่ช่าง “หลูเยี่ยนเวย” และขยายอาณาเขตของเขา แล้วตั้งให้บุตรชายตัวเอง “หลิวโส่วเหวิน” เป็นเจ้าเมืองยี่ช่าง จากนั้นจึงเกิดความคิดความทะเยอทะยานอยากรวบรวมเขตแดนเหอสั่ว
แต่ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากหลิวเหรินกงได้เหอสั่วแล้ว เขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคนเย่อหยิ่งและฟุ่มเฟือย และเขาได้สร้างพระราชวังบนภูเขาต้าอันในโยวโจว หรูหรางดงามมาก และยังเลือกผู้หญิงสวยหลายคนมาอาศัยอยู่ในนี้
ในเวลานั้นที่ลานหลังบ้านของเขาได้ถูกไฟไหม้ ลูกชายของเขา “หลิวโส่วกวง” ก็ได้เป็นชู้กับ “หลัวชี” นางบำเรอของเขา ตั้งแต่นั้นมาสองพ่อลูกจึงกลายเป็นศัตรูและตัดขาดความสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม หลิวโส่วกวง ก็ไม่ใช่คนดี เขาหยิ่งและเผด็จการมากกว่าพ่อของเขาเสียอีก เขาถือโอกาสที่หลิวเหรินกงกำลังสนุกและมีความสุขอยู่ นำคนของเขาไปจับพ่อของตัวเองและขังเขาที่บ้าน แล้วก็ประกาศตัวเองเป็นเจ้าเมืองหลูหลง
ต่อมาหลิวโส่วกวงไม่สนใจคำทัดทานของเหล่าขุนนาง ยกตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ สถาปนาราชวงศ์ ต้าเยี่ยน พลิกดินเป็นฟ้า เป็นจุดที่ก่อให้เกิดปัญหาสำคัญของช่วงปลายราชวงศ์ถัง
เพียงสามปีหลังจากหลิวโส่วกวงตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ สองพ่อลูกก็ถูกจับเป็นเชลยโดยหลี่ฉุนซวี่ลูกชายของหลี่เค่อย่ง หลิวเหรินกงถูกพาไปที่ไต้โจว ใช้มีดที่แทงหัวใจ ใช้เลือดที่ไหลออกมาบูชาหลุมฝังศพของหลี่เค่อย่ง จากนั้นจึงตัดหัว
สำหรับลูกชายสองคนของหลิวเหรินกง พวกเขาทั้งหมดถูกหลี่ฉุนซวี่ฆ่าตายทั้งหมด จึงไม่มีลูกหลานสักคนของตระกูลหลิวเหลือรอดมาได้ ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดทั้งหมดของหลี่ไท่ซวีที่ว่า ไม่มีลูกหลาน ขาดทายาทตลอดกาล!
พ่อลูกตระกูลหลิวก็ไม่มีใครคาดคิดว่า แหล่งที่มาของความหายนะของครอบครัวจะอยู่ที่หลุมฝังศพของบรรพบุรุษของพวกเขา หลิวเหรินกงก็ยิ่งไม่รู้ว่าหลี่ไท่ซวีได้จัดชะตากรรมของพวกเขาให้เรียบร้อยแล้ว
“ช่างเป็นการกระทำที่บาปจริงๆ กรรมจากฟ้ายังพ้นได้ แต่กรรมที่ก่อด้วยตัวเอง คงไม่รอดและต้องตายสถานเดียว!”
หลังจากอ่านประสบการณ์ของพ่อลูกตระกูลหลิวแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกเลื่อมใสหลี่ไท่ซวีเป็นอย่างมาก การคำนวณของ ปรมาจารย์โบราณฉีเหมินลึกลับยอดเยี่ยมเหลือเกิน จึงทำให้เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจ
…………
ตอนที่ 272 ซุปเครื่องยาจีน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อนึกถึงหลี่ไท่ซวี เยี่ยเทียนก็รู้สึกปวดใจราวกับถูกบีบคั้น ภาพลับด้านหลังคัมภีร์ อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้วแท้ๆ แต่กลับหลุดมือไปได้ แล้วเมื่อไรถึงจะได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับภาพลับด้านหลังคัมภีร์อีกครั้ง?
“หรือว่า…ตัวเองจะไปหาสุสานของหลี่ฉุนเฟิงหรือไม่ก็หยวนเทียนกังเลยดีล่ะ?”
ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจของเยี่ยเทียน แต่แล้วเขาก็ต้องล้มเลิกความคิดไปทันที พูดเป็นเล่นไปได้ สุสานของคนเก่งๆ อย่างสองคนนั้นต่อให้หาเจอ หากเข้าไปแล้วก็คงมีแต่ตายสถานเดียว
“เยี่ยเทียน เป็นอะไร? มัวเหม่ออะไรอยู่น่ะ?” ระหว่างที่เยี่ยเทียนกำลังขบคิดจนฟุ้งซ่าน เสียงของเยี่ยตงผิงก็ดังขึ้นที่ข้างหู
“เอ่อ ไม่มีอะไรครับ แค่ใจลอยเฉยๆ”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เก็บบันทึกนั้นลงในกล่องไม้และปิดฝาไว้ดังเดิม แล้วหันไปพูดกับเยี่ยตงผิงว่า “พ่อ เดี๋ยว พ่อช่วยทำหิ้งวางของให้ผมหน่อยสิครับ ง้าวเล่มนี้น่ะเอาไปตั้งบูชาไว้ในห้องด้านข้างที่เรือนกลางนั่นแหละ!”
“เจ้าลูกบ้า ฮุบของดีๆ ไว้เองหมดเลยนะแก คราวหน้าถ้าไปเจออีกละก็ ต้องเหลือไว้ให้พ่อแกบ้างล่ะ!”
เยี่ยตงผิงบ่นพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดต่อว่า “ถ้าเสร็จธุระแล้ว ก็ตั้งใจจัดการเรื่องของผู้เฒ่าถังเขาให้ดีๆ หน่อย หนูเสวียเสวี่ยคนนั้นน่ะน่าสงสารออก แกเห็นไหมผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกแล้ว…”
ถังเสวียเสวี่ยถึงจะเกิดในครอบครัวเศรษฐี แต่ก็ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี จึงเป็นเด็กสาวที่น่ารักและอัธยาศัยดี ปกติเวลาพูดกับพวกผู้ใหญ่อย่างเยี่ยตงผิง ก็จะเรียกพวกเขาว่าคุณลุงคุณป้าตลอด ทำให้พวกผู้ใหญ่ตระกูลเยี่ยต่างก็เอ็นดูเธอกันทุกคน
“ครับ พรุ่งนี้ผมจะเริ่มปรับสมดุลร่างกายให้เธอเลย หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือน รับรองว่าต้องรักษาโรคเส้นลมปราณเก้า หยินขาดให้เธอได้แน่นอน…”
เยี่ยเทียนพยักหน้า รับทรัพย์จากผู้อื่นมาแล้วก็ต้องขจัดเคราะห์ให้หน่อย ถังเหวินหย่วน ทำให้ตัวเองกลายเป็นเศรษฐี สิบล้านในพริบตา ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะลงทุนลงแรงกับการรักษาโรคของถังเสวียเสวี่ยหน่อย
“จำไว้ก็ดีแล้ว” พอเยี่ยตงผิงเห็นลูกชายตกปากรับคำแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ไม่ไหวๆ พ่อต้องไปแล้ว บ้านแกนี่ พิสดารจริง อยู่นานๆ แล้วเวียนหัวแน่นหน้าอก…”
เยี่ยตงผิงรู้ว่านี่คือที่ลูกชายบอกว่าร่างกายไม่แข็งแรงเพราะขาดการบำรุง จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย รีบลุกขึ้นเดิน ไปหาถังเหวินหย่วนที่อยู่ในเรือนกลางทันที สองสามวันมานี้ทั้งสองคนเข้าๆ ออกๆ เรือนหลังนี้แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน
“พ่อ ผมไม่ส่งแล้วนะครับ เดี๋ยวผมจะงีบหลับสักหน่อย ไม่ได้นอนมาสองวันแล้วเนี่ย!”
พอเห็นพ่อเดินออกไปจากลานบ้านแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปที่ห้องนอน แล้วล้มตัวลงไปบนเตียงทันที วุ่นวายมาตั้งแต่เมื่อ คืนวานจนถึงตอนนี้ เขาจึงเหน็ดเหนื่อยจนแทบจะไม่เหลือพลังแล้ว
คราวนี้เยี่ยเทียนหลับยาวไปเลย จนกระทั่งตีสี่กว่าๆ ของวันถัดไปถึงจะตื่นขึ้นมา หลังจากลุกขึ้นมาบริหารร่างกาย ยามเช้าแล้ว เยี่ยเทียนก็ไปเลือกตัวยาที่ห้องเก็บยา
ห้องเก็บยานี้ก็คือห้องด้านข้างห้องหนึ่งที่ถูกดัดแปลงมาใช้ชั่วคราวนั่นเอง ก็ช่วยไม่ได้ เครื่องยาที่ผู้เฒ่าถังส่งมานั้นมี เยอะเหลือเกิน จึงต้องวางสุมๆ กันจนเต็มห้อง
แต่เนื่องจากภายในเรือนนี้เต็มไปด้วยปราณวิเศษจากพลังจักรวาลอย่างหนาแน่น จึงไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในการเก็บ โสมป่าที่มีอายุมากหรือเห็ดหลินจือและถั่งเช่าเหล่านั้นเลย ถึงจะแค่โยนไว้ในห้องก็ไม่สูญเสียสรรพคุณทางยา
แน่นอนว่า เพราะในบ้านมีหัวขโมยอย่างเหมาโถวอยู่ เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าวางของมั่วซั่ว อย่างโสมป่าเก่าแก่มูลค่าแปด ล้านกว่านั้น เขาก็นำไปเก็บไว้ในตู้นิรภัยของบ้านแล้ว
“ไว้พอรักษาแม่หนูคนนี้จนหายดีส่งกลับบ้านไปแล้ว เดี๋ยวว่างๆ เราก็มาปรุงยาโป๊วบำรุงร่างกายตามสูตรของอาจารย์ ให้คนในบ้านกินบ้างดีกว่า…” เมื่อได้กลิ่นยาสมุนไพรหอมไปทั้งห้อง เยี่ยเทียนก็ครุ่นคิดขึ้นมาในใจ
ป้าใหญ่อายุมากแล้ว ส่วนอาหญิงเล็กก็ร่างกายไม่แข็งแรง ไม่เหมาะจะมาอยู่ในเรือนหลังนี้เป็นเวลานานๆ แต่ถ้าจัด ยาโป๊วบำรุงตามธาตุให้พวกเธอสักเล็กน้อย ก็จะสามารถชะลอความแก่ชราและเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่จริงแล้วในศาสตร์แพทย์แผนจีนมีตำรับสูตรลับต่างๆ อยู่มากมาย ซึ่งใช้กับโรคบางอย่างได้ผลชะงัดยิ่งกว่าการ แพทย์แผนตะวันตกเสียอีก อย่างตำรับยาลิ่วเว่ยตี่หวงหวานซึ่งเป็นยาจีนที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดนั้น หากนำไปใช้รักษาอาการ หยินพร่องที่ไตหรืออาการหยินพร่องที่ตับ ก็จะเห็นประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ในยุคหลังสงครามนั้นมีการสู้รบเกิดขึ้นบ่อยครั้ง สูตรยาลับมากมายจึงตกหล่นสูญหายไปท่ามกลางเพลิงสงคราม อีกทั้งการแพทย์แผนตะวันตกก็ให้ผลลัพธ์ที่ทันตาเห็น การแพทย์แผนจีนจึงค่อยๆ ถดถอยลงไปเรื่อยๆ
เยี่ยเทียนเลือกเครื่องยาจีนที่มีฤทธิ์ขับธาตุหยินแก้หนาวมาหลายอย่าง แล้วจึงลงมือปรุงที่ห้องครัวในเรือนกลาง เขาไม่ได้จะต้มยา แต่จะตุ๋นซุปเครื่องยาจีน
ซุปเครื่องยาจีนนั้นจะเรียกว่าเป็นยาก็ได้ หรือจะเรียกว่าเป็นอาหารก็ได้เช่นกัน เป็นการนำอาหารมาใช้ร่วมกับยา ยาเสริมพลังให้อาหาร ส่วนอาหารก็ชูฤทธิ์ของยาให้เด่นขึ้น ทั้งสองอย่างเสริมกันและกัน ทำให้ได้ประโยชน์จากอาหารและยา อย่างเต็มที่ นอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงแล้ว ยังสามารถป้องกันและรักษาโรค ทำให้สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนยาวอีกด้วย
แม้ว่าในสมัยนี้ภัตตาคารใหญ่ๆ หลายแห่งจะพากันโฆษณาว่ามีซุปเครื่องยาจีนตำรับชาววังอะไรต่อมิอะไร แต่สูตรลับที่พวกนั้นมีอยู่ก็ไม่อาจเทียบชั้นกับสูตรของเยี่ยเทียนได้เลย สูตรนี้เป็นสูตรที่ปรมาจารย์ของสำนักเสื้อป่านหลายสิบรุ่นรวบ รวมสรุปออกมา เพื่อใช้ต่อกรกับโรคที่รักษาได้ยากโดยเฉพาะ
น้ำนั้นใช้น้ำพุในยามฟ้าสางจากภูเขาอวีเฉวียนซาน ส่วนข้าวก็ใช้ข้าวสาร “จิงซี” รวมกับยาจีนอีกหลายชนิด และ ต้องคอยคุมไฟให้ดี หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเศษ กลิ่นหอมที่แฝงไปด้วยกลิ่นสมุนไพรก็อบอวลไปทั่วทั้งบ้าน
“จีจี…จีจี!”
เหมาโถวโผล่มาจากมุมไหนก็ไม่ทราบ แล้วมายืนตัวตรงยกอุ้งเท้าหน้าทั้งสองข้างขึ้นมาไหว้แปลกๆ ให้เยี่ยเทียน แต่ดวงตาเล็กทั้งคู่นั้นกลับจ้องตาเป็นมันไปที่หม้อยาซึ่งกำลังปล่อยไอร้อนออกมา
เยี่ยเทียนโบกมือไล่อย่างขุ่นเคือง แล้วด่าอย่างขำๆ ว่า “ไปทางโน้นเลยไป เห็นอะไรก็อยากจะกินไปหมด ไม่กลัวท้อง แตกตายรึไง?”
วันนั้นคนที่นำเครื่องยามาส่งที่บ้าน เจ้าตัวน้อยนี้ก็มุดเข้าไปสวาปามในห้องเก็บยา ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนไปเจอแต่ เนิ่นๆ และอบรมมันอย่างดุเดือดไปยกหนึ่งแล้วละก็ วัตถุดิบหายากอย่างโสมป่าอายุร้อยปีต้นนั้นก็คงจะลงไปอยู่ในท้องมัน หมดแล้ว
“พี่เยี่ยเทียน หอมจังเลยค่ะ ที่พี่ทำอยู่คืออะไรเหรอคะ?” ไม่ใช่แค่เหมาโถว แม้แต่ถังเสวียเสวี่ยที่เพิ่งจะตื่นนอนมาก็ ถูกกลิ่นหอมนี้ชักจูงมาด้วย
“จี จีๆ!” พอเห็นถังเสวียเสวี่ยเดินมา เหมาโถวก็กระโจนไปอยู่ในอ้อมกอดของเธอราวกับสายฟ้าแลบ อย่างกับได้เจอ ญาติสนิทก็ไม่ปาน แล้วชี้อุ้งเท้าน้อยๆ ข้างหนึ่งไปที่หม้อต้มยาบนเตาไม่หยุด
ถังเสวียเสวี่ยยิ้มแย้มพลางพูดว่า “ตะกละไม่ได้นะ ถ้าพี่เยี่ยเทียนบอกให้เธอกินเมื่อไร เธอถึงจะกินได้นะ!”
“เสวียเสวี่ย ตื่นแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นใบหน้าของถังเสวียเสวี่ยที่ตอนแรกดูขาวซีดและเขียวคล้ำนั้น ตอนนี้มีเลือดฝาดขึ้นมามากแล้ว เยี่ยเทียนก็ ยิ้มแย้มตอบว่า “นี่น่ะเรียกว่าซุปเครื่องยาจีน ต่อไปนี่แหละจะเป็นอาหารประจำวันของเธอ พอกินติดต่อกันหนึ่งเดือนแล้ว พี่เยี่ยเทียนรับประกันว่าเธอจะไม่เหลือโรคอะไรอีกเลยล่ะ!”
เยี่ยเทียนสังเกตจากไอปราณบนร่างของถังเสวียเสวี่ยได้ว่า พลังปราณธาตุหยินที่เดิมทีสะสมอยู่ ในเส้นลมปราณภาย ในร่างกายของเธอนั้น ได้ค่อยๆ คลายตัวลงไปมากแล้ว
อาศัยซุปเครื่องยาจีนนี้ร่วมกับปราณวิเศษในเรือนสี่ประสาน ภายในเวลาหนึ่งเดือน ก็น่าจะสามารถสะกดปราณหยิน ในเส้นลมปราณทั่วร่างไว้ได้เกือบทั้งหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็จะเปิดเส้นลมปราณหยางให้ ซึ่งจะทำให้หยินหยางส่งเสริมกันและกัน เท่านี้โรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดก็ถือว่าหายขาดแล้ว
“จริงเหรอ”
ดวงตาของถังเสวียเสวี่ยฉายแววใฝ่ฝัน ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาเลยสักวัน อย่าว่าแต่จะไปเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกันเลย แม้แต่ถนนหนทางในฮ่องกงเธอก็ยังไม่เคยได้ไปเดินเล่นเลยสักครั้ง
“ก็ต้องจริงอยู่แล้วล่ะ เอ้าเสร็จแล้ว เรามาทานข้าวเช้ากันเถอะ!” เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่าๆ แล้วยกหม้อยาเดินไปที่ห้อง อาหาร ส่วนถังเสวียเสวี่ยก็หยิบถ้วยสองใบเดินตามหลังเขาไปอย่างรู้ความ
เจ้าเหมาโถวที่คอยตามแจอย่างกับแมลงหวี่นั้น ในที่สุดก็ยอมอยู่เป็นที่เป็นทางเสียที ถังเสวียเสวี่ยหาถ้วยเล็กๆ มาใบหนึ่ง ตักซุปเครื่องยาจีนใส่ลงไปนิดหน่อยแล้ววางไว้บนโต๊ะ แล้วเจ้าตัวน้อยก็ใช้ปากเป่าไอร้อนบนถ้วยเลียนแบบคนเสียด้วย
เมื่อเห็นถังเสวียเสวี่ยใช้ช้อนตักซุปเครื่องยาจีนเข้าปาก เยี่ยเทียนก็เอ่ยถามอย่างห่วงใย “เป็นไงบ้าง อร่อยไหม?”
“ขม!”
พอซุปเครื่องยาจีนเข้าปากไปหนึ่งคำ ใบหน้าเล็กๆ จิ้มลิ้มของถังเสวียเสวี่ยก็ย่นยู่ยี่ขึ้นมาทันที ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวจะ โดนเยี่ยเทียนต่อว่า สงสัยเธอคงจะถุยออกมาแล้ว
“เป็นไปไม่ได้มั้ง?” เยี่ยเทียนยกถ้วยดื่มลงไปหนึ่งอึกแล้วพูดว่า “ไม่ขมนี่ ยาจีนก็รสชาติแบบนี้แหละ!”
“จีจี…จีจี!”
เยี่ยเทียนพูดยังไม่ทันขาดคำ เหมาโถวก็ถุยซุปเครื่องยาจีนที่เพิ่งจะเข้าปากไปนั้นออกมาทันที แล้วก็กวัดแกว่งอุ้งเท้ามาทางเยี่ยเทียนเป็นเชิงท้วงติงไม่หยุด สุดท้ายถึงกับล้มลงไปนอนแกล้งตายบนโต๊ะเลยทีเดียว
“ไม่ต้องมาเสนอหน้าเลย!” เยี่ยเทียนคว้าคอเหมาโถวแล้วเขวี้ยงมันออกไปนอกห้องอาหาร พอเขายกถ้วยขึ้นมาดื่ม ไปอีกหนึ่งอึก คราวนี้ถึงจะพบสาเหตุ
ที่แท้เพราะเยี่ยเทียนดื่มยาจีนจนชินแล้ว ตั้งแต่อายุห้าขวบพรตเฒ่าก็ให้เขาดื่มยาจีน อาบแช่น้ำสมุนไพรเป็นประจำ ทำให้เขาเคยชินกับรสชาติแบบนี้ไปแล้ว ตอนต้มซุปเครื่องยาจีนจึงลืมเติมเครื่องปรุงลงไปด้วย
“แค่กๆ…” เยี่ยเทียนกระแอมอย่างกระอักกระอ่วน แล้วพูดขึ้นว่า “เสวียเสวี่ย พี่เยี่ยเทียนลืมนึกไปเองแหละ พวกนี้เท ทิ้งไปเถอะ แล้วเดี๋ยวพี่จะไปซื้อวัตถุดิบมาต้มให้เธอใหม่นะ!”
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่เยี่ยเทียน ถ้าพี่กินลงไปได้ เสวียเสวี่ยก็ต้องกินได้เหมือนกัน!” แม่หนูน้อยกลับทำใจแข็งขึ้นมา เพราะเธอกลัวเยี่ยเทียนจะโกรธ ก็เลยขมวดคิ้วดื่มซุปเครื่องยาจีนทั้งถ้วยลงไปจนหมด
“เอ๋? พี่เยี่ยเทียนคะ หนูรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเลยค่ะ!” หลังจากรับประทานซุปเครื่องยาจีนถ้วยนั้นลงไปแล้ว ถังเสวียเสวี่ย ก็มีสีหน้าสดใสขึ้นมา
เพราะถึงแม้ว่าการอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานนี้ จะลดความทรมานจากโรคเส้นลมปราณเก้าหยินขาดในช่วงเวลา หยินของแต่ละวันไปได้บ้าง แต่ก็ไม่ได้เห็นผลเร็วเท่ากับซุปเครื่องยาจีนนี้
เยี่ยเทียนลูบศีรษะถังเสวียเสวี่ย แล้วยิ้มแย้มบอกว่า “อย่างนั้นก็กินอีกหลายๆ ถ้วยเลยนะ เดี๋ยวพี่จะไปซื้อเครื่องปรุงอย่างอื่นมาทำให้อีก ทีนี้รสชาติก็จะไม่แย่แบบนี้แล้วละ!”
ขณะนั้นเหมาโถวที่ถูกเยี่ยเทียนจับโยนออกไปก็แอบย่องกลับเข้ามาแล้ว ปกติมันก็กินเครื่องยาทั้งดิบๆ อยู่แล้ว แล้วจะไปกลัวขมที่ไหนกัน? เมื่อครู่นี้มันเพียงแค่แสดงละครหยอกเล่นไปตามคำพูดของถังเสวียเสวี่ยเท่านั้นเอง
หลายวันต่อจากนั้น เยี่ยเทียนก็อยู่ที่เรือนสี่ประสานตลอดเวลา และต้มยาให้ถังเสวียเสวี่ยทุกวันเช้าเย็น พอผ่านไปสามสี่วัน ฝีมือของเขาก็พัฒนาขึ้น จนแม้แต่ถังเหวินหย่วนกับเยี่ยตงผิงก็ยังมาฝากท้องด้วยเป็นครั้งคราว
พออวี๋ชิงหย่ารู้ว่าเยี่ยเทียนกลับมาแล้ว ก็มาอยู่ที่เรือนสี่ประสานด้วยหลายวัน เธอเองก็รู้สึกสงสารถังเสวียเสวี่ยที่มีโรคภัยรุมเร้ามาตั้งแต่เล็กอยู่มากเหมือนกัน จึงไม่ได้ถือสาหาความเยี่ยเทียนที่ให้คนอื่นมาอยู่ในเรือนของทั้งคู่
“พี่คะ มีคนมาหาแน่ะ!”
วันนี้ตอนกลางวัน ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังนอนกลางวันอยู่ที่เรือนหลัง ถังเสวียเสวี่ยก็วิ่งเข้าห้องมาสะกิดปลุกเขา หลังจากที่อยู่บ้านเดียวกันมาหลายวัน แม่หนูน้อยก็เริ่มเรียกเขาเป็นพี่ชายตามอย่างหลิวหลันหลันบ้างแล้ว
“โจวเซี่ยวเทียน? นึกอยู่แล้วเชียวว่าแกน่ะน่าจะมาได้แล้ว!” เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เยี่ยเทียนก็เห็นโจวเซี่ยวเทียนซึ่ง กำลังหอบหิ้วสัมภาระน้อยใหญ่มาหลายใบทันที
เยี่ยเทียนทุบหมัดใส่โจวเซี่ยวเทียนเบาๆ แล้วมองไปที่หญิงวัยสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ พลางพูดว่า“คุณคงจะเป็นคุณป้าสินะครับ? รีบเข้ามานั่งในบ้านเถอะครับ!”
…………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น