ยอดหญิงสกุลเสิ่น 259.2-261.1
ตอนที่ 259-2 เสิ่นเวยตัวฉกาจ
ฮ่องเต้ยงเซวียนยังไม่พิโรธ ใต้เท้าอาวุโสหนวดยาวผู้นั้นเมื่อครู่ก็ระเบิดก่อนแล้ว “คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้หนึ่งจะกล้าวิจารณ์การบริหารงานของราชสำนักตามใจปาก ท่านเป็นแม่ไก่ที่ขันยามเช้า”
เสิ่นเวยชายตามองเขาอย่างเหยียดหยันปราดหนึ่ง กล่าวอย่างดูถูก “ท่านคิดว่าแม่ไก่ยอมขันยามเช้า ไม่ใช่เพราะว่าพ่อไก่ตายหมดแล้วหรอกหรือ มิเช่นนั้นเหตุใดถึงไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจเดียวเล่า ซ่องสุมก็ซ่องสุม รวมกลุ่มก็รวมกลุ่ม ลืมไปแล้วว่าหน้าที่หลักของตัวเองก็คือการขันยามเช้า พ่อไก่เช่นนี้ไม่ฆ่ามากินเนื้อแล้วจะเก็บมันไว้ฉลองปีใหม่หรือ ฝ่าบาท ท่านเห็นด้วยหรือไม่!” เสิ่นเวยกล่าวถามฮ่องเต้ยงเซวียนด้วยความฉะฉาน
ปากร้ายจริงๆ! ขุนนางอาวุโสผู้นั้นโมโหจนสั่นไปทั่วร่าง ประหนึ่งเสิ่นเวยขุดสุสานบรรพบุรุษตระกูลเขา สายตาของขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่มองเขาก็เห็นใจยิ่งนัก เฮ้อ ใต้เท้าจางผู้นี้ก็จริงๆ เลย รู้อยู่แล้วว่าจยาฮุ่ยจวิ้นจู่รับมือยาก เข้าไปทะเลาะกับนางทำไม ต่อให้เถียงชนะแล้วอย่างไร ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง มิหนำซ้ำยังเถียงไม่ชนะ ขายหน้าจะตายชัก!
ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็หน้าดำคร่ำเครียด “เอาล่ะๆๆ เจ้ากลับจวนไปก่อน กลับไปแล้วเราจะปล่อยผิงจวิ้นอ๋องออกมา” ไม่ปล่อยออกมาได้หรือ คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้ไม่กลัวกฎหมายไม่อายฟ้าดิน ปล่อยให้นางถกเถียงโวยวายต่อไปตอนนี้ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของเขาจะต้องถูกนางยั่วโมโหจนตายไปหลายคนแน่นอน
ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่ยอมอ่อนข้อ “ไยจะต้องรอด้วยเล่า ตอนนี้ฝ่าบาทก็ปล่อยเลยสิเพคะ หากฝ่าบาทยุ่งก็เขียนพระราชโองการหนึ่งฉบับ หลานสะใภ้จะไปรับบคุณชายใหญ่ออกมาเอง ยิ่งล่าช้าคุณชายใหญ่ก็ยิ่งทรมานมากขึ้นมิใช่หรือ” คิดจะหลอกนาง ไม่มีทาง!
ฮ่องเต้ยงเซวียนเสียใจอยู่ก่อนแล้ว หากรู้ว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะมีนิสัยกล้าหาญเจาะฟ้าเป็นรูพรุนเช่นนี้ เขาเองก็จะไม่ลงโทษสวีโย่วไปที่ศาลราชวงศ์ ตอนนี้เขาเข้าใจสายตาที่สวีโย่วมองเขาตอนที่หันหลังกลับแล้ว ที่แท้แล้วเขาก็รู้ว่าภรรยาของเขาจะต้องมาหาถึงที่ใช่หรือไม่
เขานับว่าถูกสวีโย่วเด็กแสบผู้นั้นขุดหลุมพรางแล้วใช่หรือไม่
ฮ่องเต้ยงเซวียนเสียใจแทบตาย รีบเขียนคำสั่งด้วยวาจาหนึ่งฉบับโยนให้เสิ่นเวย “เอาไป เอาไป!”
เสิ่นเวยรับคำสั่งมาแล้วก็หันหลังกลับเดินออกไปข้างนอก เดินไปได้สองก้าวก็หันกลับมาอีกครั้ง มองขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนในท้องพระโรง หัวเราะหึๆ “คุณชายใหญ่ของข้าร่างกายอ่อนแอ ภายหลังหากใครกล้าคิดร้ายต่อเขาในท้องพระโรง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”
หากเป็นเพียงคำพูดข่มขู่ก็ไม่เป็นไร แต่คาดไม่ถึงว่านาง คาดไม่ถึงว่านางยกเท้าถีบประตูห้องหนังสือส่วนพระองค์จนเป็นรู “ฝ่าบาท ขออภัยเพคะ หลานสะใภ้รับคุณชายใหญ่ออกมาแล้วจะมาซ่อมประตูให้ท่าน!”
ฮ่องเต้ยงเซวียนเพียงแค่โบกมือ บอกเป็นนัยให้นางรีบไป แม้แต่ความคิดอยากจะพูดก็ไม่มีแล้ว
สายตาของคนทั้งหมดต่างก็จ้องมองรูใหญ่รูนั้นนิ่งๆ ร่างสั่นเทาเล็กน้อย หากเท้าข้างนั้นเตะลงบนร่างคงจะเจ็บยิ่งนัก! จยาฮุ่ยจวิ้นจู่คือสตรีปากร้ายที่ไม่กลัวสิ่งใด หลังจากนี้ใครจะกล้ายุแหย่นางอีก!
เสิ่นเวยไปยังศาลราชวงศ์ด้วยความกระฉับกระเฉงไร้กังวล แม้แต่พูดยังไม่ต้องพูดเยอะ มีคนพานางไปยังที่ที่ขังสวีโย่วไว้ก่อนแล้ว
เสิ่นเวยกวาดตามอง คุณชายใหญ่ของนางกำลังดื่มชาอยู่ในห้องขัง ท่าทางเช่นนั้นไหนเลยจะถูกขัง ชัดเจนว่าเสมือนมาเป็นแขก เสิ่นเวยดีใจ กวักมือให้สวีโย่ว “ไง คุณชายใหญ่ ข้ามารับท่านแล้ว”
สวีโย่วเห็นเสิ่นเวยก็ยิ้มแล้ว วางแก้วชาลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน กล่าว “ข้ากะไว้แล้วว่าเจ้าควรมาได้แล้ว ไปกันเถอะ”
ไม่รอให้คนมาเปิดประตูคุก เถาฮวาก็ยิ้มแย้มเดินไปข้างหน้า สองมือออกแรง แหกประตูคุกจนเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง สวีโย่วเดินออกมาทันที เขามองเสิ่นเวยที่อยู่ในชุดฐานันดรจวิ้นจู่เต็มยศ เอ่ยชมหนึ่งประโยค “สวยจริงๆ!”
เสิ่นเวยแสยะปาก สวยก็สวย แต่ทั้งหนักทั้งร้อนยิ่งนัก “เจียงเฮยเจียงไป๋ ยังไม่รีบพยุงนายท่านพวกเจ้าอีก ไอหยา ดูสิสีหน้าขาวซีด ต้องลำบากมากแน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าสิบวันครึ่งเดือนจะพักฟื้นให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่ จ้าวกงกงก็อย่าลืมรายงานต่อฝ่าบาท ข้าพาคุณชายใหญ่กลับไปพักฟื้นก่อน กองปัญจทิศรักษานครกลุ่มนั้นจะทำอะไรก็ทำ” เสิ่นเวยปรายตามองขันทีจ้าวที่เข้ามาพร้อมกัน กล่าวอย่างแปลกประหลาด
คนของศาลราชวงศ์ต่างก็ตะลึงงันในความสามารถที่ไม่ยอมรับผิดแต่เล่นงานฝ่ายตรงข้ามได้ของเสิ่นเวย ตั้งแต่ที่นายท่านผู้นี้เข้ามาในศาลราชวงศ์ ก็มีชาดีปรนนิบัติ ไม่กล้าแตะแม้แต่ปลายเล็บเดียว เหตุใดพอจยาฮุ่ยจวิ้นจู่พูดถึงกลายเป็นได้รับความลำบากเสียแล้วเล่า
ขันทีจ้าวกลับไปรายงาน คนทั้งหมดต่างก็สับสน เด็กผู้หญิงที่ติดตามอยู่ข้างกายสามารถแหกประตูคุกได้ง่ายดาย หรือว่าเมื่อครู่จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ถือว่าลงมือด้วยความปราณีแล้ว
เสิ่นเวยใจแข็งจะปลดภาระ บีบบังคับให้สวีโย่วพักฟื้นอยู่ในจวน อย่าว่าแต่กองปัญจทิศรักษานคร แม้แต่จะออกจากประตูจวนสักก้าวก็ไม่ได้
ตอนที่ใช้ประโยชน์ได้ก็อ่อนโยนมีไมตรี ใช้ประโยชน์ไม่ได้แล้วก็ส่งไปศาลราชวงศ์ ซ้ำยังไม่เสียเงินสักแดงเดียว ใครจะยอมเป็นขุนนางจนๆ เช่นนั้นเล่า!
ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสั้นๆ ฮ่องเต้ยงเซวียนส่งคนวิ่งมาสิบกว่ารอบแล้ว เฉลี่ยแล้วสองสามวันมาที่บ้านหนึ่งครั้ง แม้แต่หน้าสวีโย่วยังไม่ได้เห็น ทั้งหมดถูกเสิ่นเวยไล่กลับไปอย่างไม่อ่อนข้อแต่ก็ไม่แข็งกร้าว เหตุผลตามสูตร ‘คุณชายใหญ่ของข้าโรคเก่ากำเริบ กำลังพักฟื้นอยู่’ ฮ่องเต้เองก็ไม่สามารถใช้งานคนป่วยได้ ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธเดือดดาล แต่กลับไม่มีหนทางแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียก็ไม่อาจตัดหัวสองคนนี้ได้มิใช่หรือ
สุดท้ายแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฮ่องเต้ยงเซวียนคิดอย่างไร ในที่สุดก็ปล่อยตัวสวีเช่อไท่จื่อองค์ก่อนออกมาแล้ว สวีเช่อเข้ามาน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นบุตรคนโตผอมเห็นกระดูก ในใจก็รู้สึกไม่ดีนัก เอ่ยวาจาทำนองหัวอกคนเป็นพ่อด้วยความอ่อนโยนมีไมตรีอย่างยิ่ง ทำให้สวีเช่อซาบซึ้งจนแทบจะน้ำตาไหล ส่วนในใจจะคิดอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้
ตำหนักบูรพาอยู่ไม่ได้แล้ว ฮ่องเต้ยงเซวียนจึงให้บุตรคนโตกลับไปอยู่ที่จวนองค์ชายนอกวังของเขา วางแผนว่าผ่านไปสักพักหนึ่งเลือกฤกษ์งามยามดีพระราชทานบรรดาศักดิ์อ๋องให้บุตรคนโต และถือโอกาสปูนบำเหน็จให้องค์ชายที่ที่บรรลุนิติภาวะหลายคนนอกเหนือจากไท่จื่อผู้ถูกถอดยศด้วย
วันที่สองที่สวีเช่อไท่จื่อองค์ก่อนถูกปล่อยออกมา สวีโย่วก็หายป่วยดีแล้ว ยื่นสาส์นน้อมสำนักในพระมหากรุณาธคุณก่อน จากนั้นจึงพาเสิ่นเวยไปเยี่ยมท่านพี่ไท่จื่อของเขาที่จวนองค์ชาย ทำให้ฮ่องเต้ยงเซวียนโมโหจนแทบจะโยนสาส์นออกไปนอกท้องพระโรง
ขุนนางทั่วราชสำนักไม่ได้ตาบอด ไหนเลยจะยังไม่เข้าใจอีกว่าหมากครั้งนี้ผิงจวิ้นอ๋องเป็นผู้ชนะ แต่ก็เป็นไปได้ว่าฝ่าบาทร่วมมือกับผิงจวิ้นอ๋องเล่นละครตบตา จุดประสงค์ก็คือหาเหตุผลปล่อยองค์ชายใหญ่ออกมา
ผู้ตรวจการโจวเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ เร็วอย่างยิ่งก็สืบค้นคดีลักลอบขายม้าได้แล้ว ด้วยเหตุนี้ซูหันผู้ปกครองสูงสุดของเมืองชายแดนตอนเหนือก็ถูกเปิดโปง เขาดูแลงานราชการของเมืองชายแดน ฉวยโอกาสตอนที่แม่ทัพอันมัวแต่รับมือกับชนเผ่าหมานอี๋ ย่อมมีโอกาสอย่างยิ่งที่จะวางแผนชั่วลับหลัง
หากบอกว่าซูหันเพียงคนเดียวสามารถทำสำเร็จได้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด ทุกคนต่างก็ทำงานอยู่ในราชสำนัก จิตใจสัตย์ซื่อ เมื่อซูหันถูกสืบออกมา สายตาของคนทั้งหมดก็หันไปยังใต้เท้าฟังจ้งกรมกลาโหม
เหตุใดน่ะหรือ ซูหันเป็นใครกัน มีความสัมพันธ์อันใดกับฟังจ้ง เขาเป็นน้องเขยของฟังจ้ง สี่ปีก่อนฟังจ้งยังรับตำแหน่งอยู่ภายใต้บัญชาแม่ทัพอันอยู่เลย เป็นเขนขวาแขนซ้ายที่มีความสามารถของเขา หลังแม่ทัพอันตายไปได้ไม่นาน เขาก็เลื่อนขั้นมาอยู่ในกรมกลาโหมในเมืองหลวง หากจะบอกว่าในนั้นไม่มีลับลมคมนัย ใครจะเชื่อ!
ทุกคนรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจ แต่ซูหันรับโทษทั้งหมดไว้แล้ว อีกทั้งทุกคนยังรู้ว่าฟังจ้งได้เลื่อนตำแหน่งเข้ามาในเมืองหลวงเป็นฝีมือของท่านเสนาบดีฉิน ใครก็ไม่อาจไม่ดูตาม้าตาเรือไปผิดใจท่านเสนาบดีฉินได้! ผิดใจท่านเสนาบดีฉินแล้วก็เท่ากับผิดใจองค์ชายรองด้วยมิใช่หรือ แม้จะบอกว่าองค์ชายใหญ่เองก็ถูกปล่อยตัวแล้ว แต่ทิศทางลมในราชสำนักก็แรงที่สุด ผู้ที่ฝ่าบาทให้ความสำคัญที่สุดยังคงเป็นองค์ชายรองอยู่! ไท่จื่อ อย่างไรเสียก็อ่อนแอเกินไป ใครจะรู้ว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ที่ได้ครองบัลลังก์จะเป็นใคร
ซูหันรวมถึงครอบครัวถูกคุมตัวเข้าเมืองหลวงและถูกจับเข้าคุกหลวงทันที ฟังจ้งทั้งกังวลทั้งหวาดกลัว เข้าคุกหลวงแตกต่างจากคุกใหญ่ทั่วไป วิธีการไต่สวนที่นั่นโผล่ออกมาไม่ขาดสาย ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์แข็งแรงมุ่งมั่นก็สามารถงัดปากของเจ้าได้ หากน้องเขยซูหันสารภาพอะไรออกไป เช่นนั้นตระกูลฟังก็ต้องจบเห่แล้ว
อีกด้านหนึ่งก็เป็นห่วงน้องสาวของเขา น้องเขยซูหันตายก็ไม่สำคัญ แต่ยังมีน้องสาวรวมถึงหลานชายหลานสาวของเขาอยู่
อับจนหนทาง ฟังจ้งทำได้เพียงไปขอความช่วยเหลือจากท่านเสนาบดีฉินถึงที่ ทว่าท่านเสนาบดีฉินกลับยกมุมปากพูดหนึ่งประโยค “เจ้าคิดหาวิธีให้ซูหันปิดปากให้สนิทดีกว่า ตระกูลซูเสียสละเข้าไปหมดแล้ว หรือว่าจะต้องสังเวยตระกูลฟังอีกหรือ”
สีหน้าฟังจ้งแข็งทื่อ เปลี่ยนเป็นคลุมเครืออย่างถึงที่สุด ใช่แล้ว เขามาร้องของท่านเสนาบดีฉินจะมีประโยชน์อันใด แม้จะบอกว่าเรื่องที่เขากับซูหันทำจะเป็นคำบัญชาของท่านเสนาบดีฉิน แต่ก็เป็นเพียงคำพูดปากเปล่า แม้แต่หลักฐานยังไม่เหลือทิ้งไว้ เขามีสิทธิ์อะไรไปร้องขอท่านเสนาบดีฉินให้ช่วยคน คนที่ส่งจดหมายไปมากับซูหันคือตน! หากซูหันพูดอะไรในคุกหลวง คนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยก็มีเพียงตน ไม่เกี่ยวข้องกับท่านเสนาบดีฉินแม้แต่นิดเดียว
หลังฟังจ้งจากไปอย่างขวัญหนีดีฝ่อแล้ว นายทหารผู้ช่วยเริ่นหงซูก็เอ่ยปากกล่าว “ท่านเสนาบดี เช่นนั้นใช่จะไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่”
ท่านเสนาบดีฉินมองเขาปราดหนึ่ง กล่าวอย่างแฝงความนัย “ซูหันเป็นผู้ที่ต้องตาย ต่อให้ทุ่มเทแรงไปก็ไร้ประโยชน์ สามารถปกป้องฟังจ้งคนหนึ่งไว้ได้ก็ไม่เลวแล้ว หวังว่าฟังจ้งผู้นี้จะเป็นคนฉลาด มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้เมตตา”
เริ่นหงซูคิดครู่หนึ่ง รู้สึกเช่นกันว่าคำพูดของท่านเสนาบดีฉินมีเหตุผล จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
เพียงแค่สองวันซูหันก็ฆ่าตัวตายในคุกหลวง ก่อนตายเขียนจดหมายยอมรับผิด อธิบายโทษทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รับไว้เองทั้งหมด
ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธใหญ่ ประหารชายบรรลุนิภาวะที่มีสายเลือดตระกูลซูโดยตรงทั้งหมด ญาติผู้หญิงส่งออกไปขาย ไม่ก็ส่งเข้ากรมดนตรี
ส่วนอันจยาเหอ ฮ่องเต้ยงเซวียนปูนบำเหน็จให้เขาเป็นปั๋วเจวี๋ย ส่งเสริมให้เขาเรียนหนังสือพัฒนาตน สืบทอดตระกูลแทนตระกูลอัน
เสิ่นเวยเองก็โมโหอย่างยิ่ง อาจารย์ซูของนางเคยวิเคราะห์ให้นางฟังแล้ว ซูหันเป็นเพียงม้ารับใช้ที่ถูกโยนออกมา แม้ฟังจ้งผู้นั้นจะหนีไม่พ้นความเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครสำคัญอะไร เงินกองทัพหลายแสนตำลึง บวกกับเงินหลายแสนตำลังที่ลักลอบค้าของ เงินกว่าล้านตำลึงเชียว สองคนนี้ไม่มีความกล้าหาญเพียงนั้น และยังไม่มีความสามารถมากเพียงนั้น เบื้องหลังเรื่องนี้เกรงว่าจะเป็นท่านเสนาบดีฉิน หรือไม่ก็องค์ชายรองผู้นั้นมากกว่า
เสิ่นเวยหวังว่าท่านเสนาบดีฉินจะโชคร้าย แต่ท้ายที่สุดกลับตายเพียงแค่ซูหันคนเดียว แม้แต่ฟังจ้งยังมีชีวิตอยู่ดี ท่านเสนาดีฉินก็ยิ่งไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เสิ่นเวยจะไม่โมโหได้อย่างไร
เมื่อเสิ่นเวยไม่มีความสุข ก็มีคนต้องเจอหายนะแล้ว ด้วยเหตุนี้นางกลอกตาไปมา เรียกเสี่ยวตี๋เข้ามา ตัดสินใจว่าจะต้องสั่งสอนท่านเสนาบดีฉินสักหน่อยแล้ว
ตอนที่ 260-1 ท่านเสนาบดีฉินออกจากเมือ...
วันที่ญาติผู้หญิงตระกูลซูถูกขาย เสิ่นเวยพาเสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้มาดูด้วยเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่ในเรือนข้างชั้นสองของโรงหมอข้างถนน ก้มลงมองแท่นสูงที่อยู่ไม่ไกล
เหล่าฮูหยินคุณหนูอี๋เหนียงที่เคยสวมเครื่องประดับเต็มศีรษะบุคลิกหน้าตาดี ตอนนี้แต่ละคนผมเผ้ารุงรังใบหน้ามอมแมมเสื้อผ้าขาดวิ่นขดตัวเพราะความหนาว ไม่ต่างอะไรจากขอทานหนึ่งกลุ่ม
อย่างไรเสียเสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้ก็อายุน้อย สีหน้าทนมองไม่ได้ เสิ่นเวยจึงกล่าว “เห็นแล้วหรือยัง นี่เป็นผลมาจากเหล่านายท่านในตระกูลทำชั่ว พวกเขาตายก็ตายแล้ว แต่กลับลากภรรยาบุตรสาวบุตรชายให้ลำบากไปด้วย บ่าวรับใช้เป็นง่ายเพียงนั้นเลยหรือ โดยเฉพาะญาติขุนนางต้องโทษ ตกอยู่ในมือคนที่มีความชอบผิดแปลก อาจจะได้รับความทรมานและความอับอายอย่างไรก็ได้ กรมดนตรีอยู่ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ ญาติขุนนางต้องโทษจำนวนมากฆ่าตัวตายในคืนนั้น ไม่ใช่เพราะว่าทนรับความอัปยศไม่ได้หรอกหรือ” ล้วนแต่เป็นสตรีบริสุทธิ์ทรงเกียรติ ทั้งยังเคยอยู่ดีกินดีได้รับความรักความโปรดปรานมาก่อน เพียงแค่หลุมนั้นทางด้านจิตใจพวกนางก็ก้าวข้ามไม่ได้แล้ว
เปลี่ยนหัวข้อสนทนา กล่าวต่อ “วันนี้ข้าพาพวกเจ้ามาดู ก็ไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงแค่อยากบอกพวกเจ้าว่า หลังจากนี้พวกเจ้าต่างก็ต้องเดินเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนาง ไม่ว่าจะเป็นในด้านการปฏิบัติตัวหรือเป็นขุนนางล้วนแต่ต้องเดินในเส้นทางที่สว่างไสว ก่อนหน้าการตัดสินใจทุกครั้งต้องคิดถึงภรรยาลูกๆ พี่น้องทั้งหลายในตระกูลก่อน”
ขณะที่กำลังพูด บนแท่นสูงข้างล่างก็วุ่นวายพักหนึ่ง เสียงที่แหลมเปรียวเสียงหนึ่งกำลังตะโกน “สยาเอ๋อร์ สยาเอ๋อร์!” ที่แท้แล้วข้างล่างก็มีสตรีผู้หนึ่งทนรับความอัปยศไม่ได้ฉวยโอกาสตอนที่คนไม่สังเกตล้วงปิ่นปักผมที่ซ่อนไว้ออกมาแทงลำคอทันที
ทหารผู้คุมสถบหนึ่งครา จากนั้นจึงส่งคนมาลากออกไป หญิงชราผู้นั้นวิ่งตามได้สองก้าวก็ถูกทหารกั้นกลับมา สะดุดล้มลงกับพื้น ยื่นมือร้องเรียกชื่อของลูกสาว ร้องไห้สะอึกสะอื้น ในฤดูร้อนที่อบอ้าวทำให้ในใจคนเย็นยะเยือกอย่างอดไม่ได้
“ท่านพี่ท่านวางใจ หลักการเหล่านี้พวกข้าจะจำไว้ ไม่มีทางก้าวพลาดแน่นอน” เสิ่นเจวี๋ยกล่าวอย่างตั้งใจจริง เสิ่นอี้เองก็พยักหน้าตามเช่นกัน
เสิ่นเวยเห็นแล้วก็ชื่นชมอย่างถึงที่สุด ให้กำลังใจพวกเขาหลายประโยค กล่าวต่อ “ปีนี้น้องเจวี๋ยก็อายุสิบสองแล้ว แม้จะได้รับคุณวุฒิบัณฑิตรุ่นเยาว์แล้ว แต่ก็ไม่อาจทะนงตนได้ ต้องรู้ว่าในอดีตมีเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์มากน้อยเพียงใดที่โตมาแล้วไม่ได้ต่างจากผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้นน้องเจวี๋ยความสามารถเจ้าก็นับได้ว่าอยู่ระดับกลางๆ ยังต่างชั้นจากผู้มีพรสวรรค์อยู่มาก สอบเป็นบัณฑิตรุ่นเยาว์ได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว ยังต้องสงบเสงี่ยมไว้ ตั้งใจร่ำเรียน พยายามสอบขั้นฝูซื่อให้ผ่านเป็นซิ่วไฉภายในสองปี”
จากนั้นก็กล่าวกับเสิ่นอี้ต่อ “น้องอี้เจ้าอายุน้อยกว่าเจวี๋ยเอ๋อร์สองปี ยิ่งไม่ต้องรีบร้อน ตั้งใจเรียนหนังสือกับอาจารย์ให้ดี โตกว่านี้อีกสองปีก็ลงสนามสอบดู แม้จะสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เจ้าอายุยังน้อย เพียงแค่ลงสนามฝึกความกล้าไว้ ถึงแม้ว่าฮูหยินจะต้องโทษ แต่อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นบุรุษบ้านสามของพวกเรา พวกเราบ้านสามมีเพียงพวกเจ้าสองพี่น้อง จะต้องปกป้องช่วยเหลือกันและกัน ช่วยกันประคับประครอง เช่นนี้บนหนทางการเป็นขุนนางจึงจะเดินได้ไกลยิ่งขึ้น”
เสิ่นเจวี๋ยกับเสิ่นอี้พยักหน้าพร้อมกัน โดยเฉพาะแววตาของเสิ่นอี้ที่มีความเคารพเลื่อมใสปรากฎออกมา คำพูดเหล่านี้มีเพียงพี่สี่ที่เคยพูดกับเขา มารดาและพี่ห้าเมื่อเห็นเขาก็เอาแต่พูดเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อเหล่านั้น บ้างก็ว่าต้องเด่นกว่าคนอื่น บ้างก็ให้กอบโกยความรักจากท่านพ่อ บ้างก็พูดถึงมรดกต่างๆ นานา อาจารย์เคยบอกว่า ‘บุรุษที่ดีไม่อาจกินข้าวบ้าน’ เหนือเขายังมีพี่ชาย มรดกจะเป็นของเขาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร เมื่อเขาโตขึ้นสอบผ่านสร้างชื่อเสียงผลงานเข้าสู่หนทางการเป็นขุนนางได้แล้ว ทรัพย์สินมากน้อยไหนเลยจะแย่งกลับมาไม่ได้ เขาเป็นบุรุษ ก็ควรทำตนให้น่าเกรงขาม จะมีจิตใจคับแคบจับจ้องแต่ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นเหมือนเช่นสตรีได้อย่างไร
ฟังฮูหยินที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยเตรียมออกจากบ้านก็ถูกสามีฟังจ้งขังอยู่ในบ้านไม่ให้ออก แม้แต่พ่อบ้านที่นางแอบส่งออกไปซื้อคนก็ถูกลากกลับมาแล้ว
ฟังฮูหยินร้องขอด้วยสีหน้าร้อนใจ “นายท่าน เรื่องในแวดวงขุนนางข้าไม่ยุ่ง และไม่กล้ายุ่ง น้องเขยถูกตัดสินโทษประหารชีวิตแล้ว น้องสาวกับสยาเอ๋อร์ญาติผู้หญิงเหล่านี้เพียงแค่ได้รับผลกระทบ ข้าไม่อาจปล่อยพวกนางร่อนเร่ออกไปได้ นายท่านอยากเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย เช่นนั้นก็ให้ข้าออกหน้า อย่างไรเสียใช้เงินซื้อพวกนางไว้ก็จะได้ดูแลอย่างดี”
ตอนที่ฟังฮูหยินแต่งเข้ามา น้องสาวคนเล็กผู้นี้ของฟังจ้งอายุเพียงหกปี ซ้ำมารดาของฟังจ้งก็ป่วยติดเตียงตลอดทั้งปี ดังนั้นน้องสาวคนเล็กแซ่ฟังจึงมีฟังฮูหยินเลี้ยงดูจนเติบโต เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ แต่ความจริงแล้วสนิทเหมือนแม่ลูก น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังแทบจะนับได้ว่าเป็นบุตรสาวคนโตของนาง ตอนนี้น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังประสบหายนะครั้งใหญ่ นางจะไม่กระวนกระวายใจได้อย่างไร
“นายท่าน ท่านให้ข้าไปเถิด ข้าไม่พาพวกนางกลับมาที่จวน แต่จะเลี้ยงพวกนางไว้ในหมู่บ้าน” ฟังฮูหยินร้องขอต่อ น้ำตาไหลลงมาแล้ว เวรกรรม! น้องสาวที่นางรักและดูแลจนเติบใหญ่! อยู่ในคุกยังไม่รู้ว่าได้รับความลำบากมากน้อยเพียงใด ตอนนี้โทษตัดสินแล้ว จะไม่อนุญาตให้นางดูแลสักหน่อยหรือ
“เจ้าเสียสติแล้วหรือ เจ้าจะทำลายตระกูลฟังหรือไร ไม่คิดดูบ้างว่าน้องเขยต้องโทษอันใด ญาติของเขาพวกเรายื่นมือเข้าไปได้หรือ ตอนนี้ยังไม่ทันเลี่ยงไม่ให้ถูกสงสัย เจ้าก็จะวิ่งเข้าไปแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าในที่ลับมีดวงตาคอยจับจ้องอยู่มากน้อยเพียงใด ห้ามไป!” เผชิญหน้ากับการรบเร้าไม่เลิกราของฮูหยิน ฟังจ้งรู้สึกเพียงเหนื่อยล้ากายใจ
ฟังฮูหยินถลึงตาโตอย่างเหลือเชื่อ “นายท่าน นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของท่าน น้องสาวคนเล็กที่พวกเราเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กจนโต!”
“แล้วข้าไม่รู้หรือไร แต่ก็ไม่อาจลำบากพวกเราเพราะนาง น้องคนเล็กมีเหตุผล จะต้องเข้าใจความลำบากใจของพวกเราแน่นอน” ฟังจ้งกล่าวด้วยความเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด นั่นคือน้องสาวแท้ๆ ของตน ในใจเขาเองก็ลำบากใจ “ฮูหยิน นึกถึงลูกชายของพวกเรา เขาเพิ่งจะแต่งงานได้หนึ่งปี ภรรยาเขากำลังตั้งครรภ์อยู่ เจ้าตัดใจให้พวกเขาเข้าไปพัวพันได้หรือ”
ประโยคนี้โจมตีฟังฮูหยินทันที นางล้มลงบนเตียงกุมหน้า น้ำตาไหลลงข้างแก้มราวกับลำธารสายเล็ก เดียรัจฉาน เดียรัจฉาน ล้วนแต่เป็นเดียรัจฉานทั้งหมด! ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายถึงใคร
ฟังจ้งมองฮูหยินปราดหนึ่ง สั่งสาวใช้ “ดูแลฮูหยินให้ดี” ถอนหายใจเดินออกไป
เมื่อข่าวการตายของสยาเอ๋อร์หลานสาวตาส่งกลับมา ฟังฮูหยินก็เป็นลมทันที หลังจากฟื้นแล้วก็ร้องไห้ไม่หยุด น้องสาวคนเล็กแซ่ฟังมีเพียงบุตรชายหนึ่งคนบุตรสาวหนึ่งคน ลูกชายอายุมากหน่อย ถูกตัดศีรษะแล้ว ข้างกายนางเหลือเพียงลูกสาวคนเดียวเช่นนี้ ตอนนี้ลูกสาวไม่อยู่แล้ว น้องสาวคนเล็กจะยังมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร
นึกถึงน้องสาวคนเล็กผู้มีชะตาขื่นขม ในใจฟังฮูหยินก็โศกเศร้าจนพูดไม่ออก หากรู้ว่าสยาเอ๋อร์จะคิดสั้น ต่อให้นางจะต้องสู้จนถูกนายท่านทอดทิ้งก็ต้องไปซื้อพวกนางแม่ลูกเอาไว้ให้ได้!
ฟังฮูหยินร้องไห้พักหนึ่ง หัวเราะพักหนึ่ง คืนนั้นก็ป่วยแล้ว ไข้ขึ้นสูงอย่างยิ่ง ตะโกนเรียกชื่อของน้องสาวคนเล็ก เสียงร้องแหลมเปรียว
ชั่วพริบตาก็เข้าเดือนแปดแล้ว อีกไม่ช้าการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูที่มีสามปีครั้งก็จะมาถึงแล้ว เซี่ยหมิงผู่ที่เรียนหนังสืออยู่ที่วิทยาลัยชิงซานก็สอบได้เป็นซิ่วไฉแล้ว ทั้งยังได้อันดับหนึ่งอีกหน่วย ปีนี้เขาจะเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับเขต ตามกฎ เขาต้องเข้าร่วมการสอบที่หัวเมืองตามทะเบียนบ้าน เพราะว่าสถานการณ์ของเขาพิเศษเล็กน้อย ไม่สะดวกกลับไปเจียงหนานแล้ว เสิ่นเวยจึงช่วยย้ายเขาเข้าทะเบียนบ้านที่อำเภอผิงหยางใหม่ เขาต้องสอบเป็นจวี่เหรินให้ได้จึงจะสามารถมาเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูเดือนสองปีหน้าได้
ตั้งแต่ที่ฉาฮวารู้ว่าพี่ชายของนางจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงสารทฤดูเดือนแปดนางก็นับนิ้วรอวัน ตั้งหน้าตั้งตารอพี่ชายนางมาเมืองหลวงทุกวัน เสิ่นเวยก็แหย่นาง “ฉาหวา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพี่ชายเจ้าจะสอบเป็นจวี่เหรินได้อย่างราบรื่น” หากสอบไม่ได้ย่อมไม่สามารถมาเมืองหลวงเข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในช่วงวสันตฤดูเดือนสองปีหน้าได้
ใครจะรู้ฉาฮวากล่าวด้วยมาดจริงจัง “จวิ้นจู่ พี่ชายข้าฉลาดจะตายไป จะต้องสอบเป็นจวี่เหรินได้แน่นอน” อาจเป็นเพราะโตขึ้นแล้ว หรืออาจเป็นเพราะเสิ่นเวยสั่งสอนนางอย่างสุดความสามารถ ฉาฮวาจึงไม่ขี้ขลาดเขินอายเหมือนเช่นเมื่อก่อนแล้ว แม้ว่าจะยังมีนิสัยสงบเสงี่ยมอยู่ แต่ก็สามารถช่วยเสิ่นเวยจัดการเรื่องง่ายๆ ได้จำนวนหนึ่งแล้ว กลอนกวีศิลปะอักษรก็ร่ำเรียนได้ไม่เลว แม้นางจะยังเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่สูงส่งนั้นอยู่ แต่ก็เป็นเช่นนี้แล้ว
เสิ่นเวยสั่งสอนนางดีอย่างยิ่ง นางก็เป็นคนที่มีจิตใจดีรู้จักสำนึกบุญคุณ ติดเสิ่นเวยอย่างมาก เดิมทีอักษรนางเขียนไม่ค่อยคล่อง แต่เป็นเพราะเสิ่นเวยบอกว่า ‘อักษรก็คือใบหน้าของคน’ นางก็พยายามฝึกคัดอักษรทั้งวันทั้งคืน เพราะว่าเสิ่นเวยมีวรยุทธ์ที่ไม่เหมือนใคร ทุกวันตอนเช้านางจึงตื่นเช้าตามไปฝึกด้วยตัวเอง หกล้มบาดเจ็บไม่เคยร้องไห้สักครั้ง
บางครั้งเสิ่นเวยเห็นฉาฮวาที่เป็นเช่นนี้ก็ชื่นชมมากเป็นพิเศษ กล่าวในใจ เซี่ยหมิงผู่เด็กคนนั้นต้องขอบคุณนางให้ดีเสียแล้ว
อ้อ จริงสิ ผู้ที่เข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในเดือนสองปีหน้ายังมีเสิ่นเซ่าจวิ้นหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกด้วย สามปีก่อนเขาสอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว เพราะว่าไม่มั่นใจในการสอบขั้นฮุ่ยซื่อจึงไม่ได้เข้าร่วมการสอบขั้นฮุ่ยซื่อในปีนั้น แต่กลับเรียนต่ออีกสามปี เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ในปีหน้าพร้อมกับเซี่ยหมิงผู่
เสิ่นเวยคิดว่าผ่านการสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดูไปการสอบคัดเลือกในช่วงวสันตฤดูก็อยู่ไม่ไกลแล้ว นอกจากจะเสียเวลาระหว่างการเดินทางแล้ว มาถึงเมืองหลวงยังต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมอีก เวลาสั้นไปยุ่งอย่างยิ่ง ดังนั้นเสิ่นเวยจึงส่งจดหมายให้เขาเข้าเมืองหลวงมาก่อนล่วงหน้า นับวันดู ก็น่าจะภายในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
สามปีก่อนหลังจากที่เสิ่นเซ่าจวิ้นสอบได้เป็นจวี่เหรินก็ไปยังวิทยาลัยชิงซาน ศึกษาต่างจากเซี่ยหมิงผู่ เขาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยสอนที่วิทยาลับชิงซาน สอนนักเรียกไปพลาง ร่ำเรียนกับนักปราชญ์ราชบัณฑิตในวิทยาลัยไปพลาง ทั้งสอนทั้งเรียน หลายปีมานี้ก็พัฒนาอย่างมาก
ได้รับจดหมายจากเสิ่นเวยผู้เป็นน้องสาวเขาก็ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยสอน กลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นเที่ยวหนึ่งก่อน บอกเจตนาของน้องสาว ทั้งตระกูลต่างก็ให้การสนับสนุนอย่างยิ่ง ปู่เขาหัวหน้าตระกูลสกุลเสิ่นกล่าว “ในเมื่อน้องเวยของเจ้าวางแผนให้เจ้าดีแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถิด ไม่ต้องเป็นห่วงบ้าน ไปถึงเมืองหลวงเจ้าก็เชื่อฟังปู่น้อยกับน้องเวย น้องเวยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์จากราชวงศ์ให้เป็นจวิ้นจู่แล้ว สามีที่แต่งงานด้วยก็เป็นจวิ้นอ๋อง เป็นเกียรติสูงสุดแห่งตระกูลเสิ่นของพวกเรา ตั้งแต่เล็กนางก็ฉลาด มีนิสัยรอบคอบ พวกเราเห็นมากับตา เจ้าเชื่อฟังนางไม่มีผิด มีนางวางแผนให้เจ้า ปู่ก็วางใจอย่างยิ่ง”
แบกความหวังอันแรงกล้าและคำตักเตือนของคนในตระกูล เสิ่นเซ่าจวิ้นก็ก้าวเดินไปบนเส้นทางสู่เมืองหลวงเพื่อไปสอบ
ตอนที่ 260-2 ท่านเสนาบดีฉินออกจากเมือ...
แม้ตระกูลเสิ่นจะไม่มีใครลงสนาม แต่ลูกเขยสามเหวินเทากับลูกเขยห้าเว่ยจิ่นอวี้แห่งตระกูลเสิ่นต่างก็ต้องสอบคัดเลือกในช่วงสารทฤดู วันที่เริ่มสอบ ในเมืองหลวงคึกครื้นยิ่งนัก ทุกคนรวมตัวกันนอกสนามสอบก้งย่วนถกเถียงกันต่างๆ นานาว่าปีนี้ใครบ้างที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะสอบติด ใครบ้างที่อาจจะได้อันดับหนึ่ง
ทว่าความครึกครื้นนี้กลับไม่ส่งผลกระทบถึงท่านเสนาบดีฉินที่เดิมใส่ใจอย่างถึงที่สุด วันที่เริ่มสอบคัดเลือกช่วงสาทรฤดูเขานำคนออกจากเมือง เพราะว่าเขาได้รับข่าว ฉินมู่หรานลูกชายคนเล็กที่ถูกเนรเทศออกไปผู้นั้นถูกลอบโจมตีกลางทาง ได้รับบาดเจ็บสาหัส เหลือเพียงลมหายใจเฮือกสุดท้าย
ท่านเสนาบดีฉินทั้งตกใจทั้งโมโหทั้งเจ็บปวด ไม่แม้แต่จะคิดก็ขอลาต่อฝ่าบาทไปหาลูกชายคนเล็กด้วยตัวเอง
อันที่จริงจะว่าไปแล้วนี่ล้วนแต่เป็นเพราะฉินมู่หรานลูกชายคนเล็กผู้นี้ไม่ได้เรื่องเกินไป ออกไปเป็นเดือนแล้ว หากเป็นคนอื่นคงถึงสถานที่เนรเทศนานแล้ว แต่ฉินมู่หรานเล่า ระยะทางห้าร้อยลี้เขาเพิ่งจะเดินไปเพียงครึ่งเดียว เดินๆ หยุดๆ พบเมืองที่เจริญหน่อยก็ยังขอพักสามวันห้าวัน ฟังเพลงพื้นเมือง กอดสตรี วันคืนผ่านไปอย่างอิสระสบายอารมณ์ยิ่งนัก
มีพ่อบ้านกับเด็กรับใช้ที่จวนเสนาบดีฉินส่งไป ฉินมู่หรานก็ไม่ได้รับความลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว เจ้าหน้าที่ที่คุมตัวก็ถูกพ่อบ้านเลี้ยงข้าวเลี้ยงสุราดี บ่อยครั้งยังมีเงินให้ย่อมต้องตามใจฉินมู่หรานแน่นอน เขาทั้งสองยังอยากจะมีชีวิตเช่นนี้ให้นานอีกหน่อย
ท่านเสนาบดีฉินเดินทางเพียงแค่ห้าวันก็ตามทันฉินมู่หรานแล้ว “ท่านเสนาบดี ท่านมาแล้ว” พ่อบ้านเห็นท่านเสนาบดีฉินลงจากรถเบ้าตาก็แดงก่ำ เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาเคารพ
“หรานเอ๋อร์เป็นอย่างไรบ้าง” ท่านเสนาบดีฉินไม่สนใจร่างกายที่เต็มไปฝุ่น ถามขึ้นก่อน
เบ้าตาของพ่อบ้านก็ยิ่งแดง “คุณชายน้อย สถานการณ์ของคุณชายน้อย ไม่ค่อยดีนัก ขาทั้งคู่หักหมดแล้ว ไม่กี่วันก่อนยังมีไข้สูง พลบค่ำเมื่อวานเพิ่งจะลดลง ท่านเสนาบดีท่านรีบเข้ามาดูเถิดขอรับ” พ่อบ้านนำท่านเสนาบดีฉินเข้ามาในโรงเตี๊ยม เดินไปพลางรายการสถานการณ์เสียงเบาไปพลาง
พวกเขาถูกลอบโจมตีเมื่อแปดวันก่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นคนโพกหน้าที่โผล่ออกมาจากไหน มีสี่คน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ฆ่าฟันพวกเขา เด็กรับใช้สี่คนที่ตามมาตายไปสามคน เจ้าหน้าที่ผู้คุมสองคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แม้แต่เขา เอวยังแทบหัก โชคดีที่มีหน่วยคุ้มกันภัยหนึ่งกลุ่มผ่านทางมา มิเช่นนั้นพวกเขาคงจะไม่มีชีวิตแล้ว
“บ่าวไม่กล้าหาเรือนเล็กแยกหลัง กลัวว่าจะไม่ปลอดภัย จึงจองห้องสองห้องในโรงเตี๊ยม คิดว่าโรงเตี๊ยมคนเยอะ อย่างไรเสียก็ปลอดภัยกว่า” พ่อบ้านกล่าวเสียงเบา
ท่านเสนาบดีฉินเห็นลูกชายคนเล็กที่หลับตาทั้งคู่บนใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ต่อให้จะเกลียดที่เขาไม่เอาไหน แต่ดวงตาก็อดร้อนผ่าวไม่ได้ น้ำตาแทบจะร่วงลงมา
“ท่านเสนาบดี” เจ้าหน้าที่สองคนกับเด็กรับใช้ที่ตามมาปรนนิบัติฉินมู่หรานรีบเคารพ
ท่านเสนาบดีฉินโบกมือ สะบัดชุกคลุมนั่งลงข้างเตียง มือใหญ่ๆ ลูบใบหน้าที่ไม่มีสีเลือดเลยแม้แต่น้อยของลูกชาย ในใจเศร้าโศกอย่างถึงที่สุด “เขาไม่ฟื้นเลยหรือ” ในน้ำเสียงมีความแหบพร่าสามส่วน
พ่อบ้านเห็นท่าที ก็รีบกล่าวอธิบาย “ฟื้นแล้ว เช้าวันที่สี่ก็ฟื้นแล้ว เพียงแต่คุณชายน้อยกลัวเจ็บ เจ็บจนนอนไม่หลับ หมดหนทางจริงๆ บ่าวจึงหาหมอขอยาแก้ปวด คุณชายน้อยจึงนอนหลับได้อย่างสงบ”
นายท่านเสนาบดีฉินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกหนึ่งครา ยังรู้จักเจ็บก็ดี หากไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเจ็บ เช่นนั้นก็แย่แล้ว
“หมอหลวงเจียง บุตรข้าต้องรบกวนให้ท่านช่วยดูแล้ว” ท่านเสนาบดีฉินลุกขึ้นประสานมือคารวะหมอหลวงเจียงที่แบกตะกร้ายาอยู่ นี่คือหมอหลวงที่เขาเข้าวังขอซูเฟยเหนียงเหนียงเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
หมอหลวงเจียงเองก็ประสานมือกล่าวหนึ่งประโยค “มิบังอาจ นี่คือหน้าที่ของข้าน้อย” ก้าวเข้าไปตรวจอาการของฉินมู่หราน
เมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่ได้ร้ายแรง สีหน้าของหมอหลวงเจียงเปลี่ยนก่อนอันดับแรก กล่าวอย่างนิ่มนวล “ท่านเสนาบดี ชีวิตของคุณชายน้อยไม่เป็นอันตราย เพียงแต่หลังจากนี้เกรงว่าคุณชายน้อยอาจทำได้เพียงนอนอยู่บนเตียง” อายุยังน้อยเพียงนี้ น่าสงสารยิ่งนัก! หมอหลวงเจียงมองฉินมู่หรานบนเตียง บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเห็นใจ
ท่านเสนาบดีฉินได้ยินก่อนว่าลูกชายคนเล็กไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต คิ้วที่ขมวดมุ่นเพิ่งจะคลายออกก็ได้ยินประโยคหลังของหมอหลวงเจียง อดสะอึกในใจไม่ได้ “หมอหลวงเจียง เหตุใดถึงพูดเช่นนี้”
หมอหลวงเจียงกล่าว “คุณชายน้อยไม่เพียงแต่ขาหักสองข้าง กระดูกสันหลังยังฉีกสาหัส หากขาหักอย่างเดียวก็ไม่เป็นไร ต่อกระดูกรักษาให้หายอาจเพียงแค่เดินได้ไม่คล่องแคล่วนัก แต่กระดูกสันหลังฉีก ท่านเสนาบดีอาจจะไม่ค่อยเข้าใจนัก กระดูกสันหลังเชื่อมเส้นประสาทในร่างกาย หากส่วนนั้นถูกฉีก มนุษย์ก็จะไม่มีทางยืนได้อีก” เขาอธิบายเสียงเบา
“ไม่มีวิธีอื่นหรือ” ท่านเสนาบดีฉินไล่ถามอย่างไม่ตายใจ
หมอหลวงเจียงส่ายหน้า “อย่างน้อยข้าน้อยก็ไม่มีความสามารถพอ” เขาเข้าใจความรู้สึกของท่านเสนาบดีฉิน แต่เขาก็ไม่มีความสามารถจริงๆ ไม่เพียงแต่เขา ต่อให้จะเป็นฮว่าถั่วก็ไม่มีหนทางเช่นกัน
หมอหลวงเจียงถือเป็นผู้มีฝีมืออันดับหนึ่งในสำนักหมอหลวงแล้ว แม้แต่เขายังพูดว่าไม่มีความสามารถ เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางแล้วจริงๆ หัวใจหนึ่งดวงของท่านเสนาบดีฉินตกลงก้นเหว เขามองลูกชายคนเล็กที่ไม่รู้สึกตัวบนเตียง มือข้างลำตัวก็กำแน่นสนิท
หรานเอ๋อร์ยังอายุไม่ถึงสิบห้า อีกหลายสิบปีหลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตนอนอยู่บนเตียง นี่ช่างโหดร้ายเพียงใด! ลูกชายคนเล็กที่ใช้ชีวิตกระโดดโลดเต้นของเขากลายเป็นคนพิการ นี่จะให้เขายอมรับได้อย่างไร หากรู้ก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ แม้จะต้องสู้จนฉีกหน้าจ้าวเฉิงซวี่ ก็ต้องช่วยลูกชายออกมาให้ได้! เขาไม่ควรจะสนใจมากเกินไปอย่างสิ้นเชิง หากเปลี่ยนหรานเอ๋อร์ออกมาให้เร็วกว่านี้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ท่านเสนาบดีฉินเสียใจแล้ว เสียใจอย่างถึงที่สุด
หากเขารู้ว่าใครแตะต้องลูกชายของเขา เขาจะต้องสับคนผู้นั้นเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้น ความน่าสะพรึงกลัวกะพริบผ่านดวงตาของท่านเสนาบดีฉินไป
“เช่นนั้นบุตรของข้าต้องลำบากให้หมอหลวงเจียงช่วยแล้ว” ท่านเสนาบดีหันหาหมอหลวงเจียงอีกครั้ง คิดแล้วคิดอีกจึงกล่าว “อาการบุตรของข้าสามารถเดินทางได้หรือไม่ หากต้องพักฟื้น ต้องใช้เวลนานเพียงใด”
หมอหลวงเจียงมองท่านเสนาบดีฉินที่ชั่วพริบตาก็แก่ลงหลายปี ในใจก็เห็นใจอย่างถึงที่สุด เขาเองก็เป็นพ่อคน ย่อมต้องเข้าใจความเจ็บปวดในใจท่านเสนาบดีฉิน ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ ต่อให้มีตำแหน่งสูงอำนาจมากแล้วอย่างไร มีลูกชายที่ไม่เอาไหนคนหนึ่ง ยังต้องทุกข์ใจอยู่ทุกเมื่อ
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวช้าๆ “มีข้าน้อยติดตามไปด้วย ขอเพียงแค่เดินทางช้าหน่อย ในรถปูผ้านวมหลายๆ ผืน ระหว่างเดินทางก็ไม่เป็นไรแล้ว”
ท่านเสนาบดีฉินพยักหน้า หันหลังกลับสั่งคนไปเตรียมจัดการการเดินทางกลับเมืองหลวง เมืองเล็กๆ ที่รกร้างกันดานแห่งนี้ไหนเลยจะมียาดี ทำได้เพียงกลับเมืองหลวงหรานเอ๋อร์จึงจะสามารถได้รับการดูแลที่ดีกว่านี้ได้
เมื่อเสิ่นเวยได้รับข่าวท่านเสนาบดีฉินออกจากเมืองหลวง ก็ดีใจจนกัดหูสวีโย่ว “คุณชายใหญ่สวี โอกาสตอบแทนบุญคุณของท่านมาถึงแล้ว”
คิ้วทั้งคู่ของสวีโย่วเลิกขึ้น บอกเป็นนัยให้นางพูดต่อ
เสิ่นเวยชูนิ้วนับเลข “พระชายาองค์ชายใหญ่ตั้งครรภ์ เป็นข้าที่ให้หมอหลิวศึกษาและปรุงยารักษาครรภ์ สั่งให้คนส่งเข้าไปในตำหนักโยวหมิงเงียบๆ ท่านถูกฝ่าบาทขังไว้ในศาลราชวงศ์ เป็นข้าที่ไม่เกรงกลัวบารมีฮ่องเต้ สละชีวิตช่วยท่านออกมา ยังมีที่องค์ชายใหญ่ถูกปล่อยออกมาได้ ก็เป็นเพราะข้าทุบค้อนเตือนความจำฝ่าบาท ไอหยา เหตุใดข้าถึงเก่งเพียงนี้ คุณชายใหญ่ท่านว่าท่านต้องตอบแทนทวีคูณหรือไม่” เสิ่นเวยปิดทองบนใบหน้าอย่างหน้าไม่อายยิ่งนัก ตาดวงโตที่ใสกระจ่างกะพริบปริบๆ มองสวีโย่ว ท่าทางเช่นนั้นใช้คำมาอธิบายก็คงเป็นคำว่าบ้องแบ๊ว!
เด็กน้อยคนนี้กล้าพูดจริงๆ สวีโย่วหัวเราะเบาๆ หนึ่งครา เพราะเรื่องที่นางโวยวายใหญ่ในห้องหนังสือส่วนพระองค์ เมื่อไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทยังเรียกเขาเข้าวังไปด่า บอกว่า ‘เจ้าเองก็ดูแลคุณหนูสี่แซ่เสิ่นบ้าง กำเริบไปกันใหญ่แล้ว อย่างไรเสียก็ไว้หน้าเราบ้าง ต่อหน้าเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ความเกรงขามของเราอยู่ที่ใด’
“ว่ามา เวยเวยอยากให้ข้าทำอะไร ขึ้นเขาคมดาบลงทะเลเพลิงข้าล้วนแต่เชื่อฟังคำสั่งของเจ้า” สวีโย่วกล่าวหยอกล้อ
เสิ่นเวยดีใจแล้ว หัวเราะคิกคักกล่าว “เขาคมดาบทะเลเพลิงไม่จำเป็น คืนนี้พวกเราไปเดินเล่นที่จวนเสนาบดีฉินสักรอบหนึ่งเถอะ!” ฉวยโอกาสที่ท่านเสนาบดีฉินไม่นั่งบัญชาการอยู่ในจวน ไม่แน่ว่านางอาจจะสืบหาเรื่องน่าสนใจอะไรได้
อีกทั้งคราวก่อนนางแอบย่องเข้าจวนเสนาบดีคนเดียว สวีโย่วเตือนนางเข้มงวดแล้ว ทั้งยังจัดการนางอย่างรุนแรงหนึ่งรอบ ตอนนี้นางเชื่อฟังแล้ว ในเมื่อแอบสวีโย่วไม่พ้น เช่นนั้นก็พาเขาไปด้วยกันเสียเลย ยังมีแรงงานฟรีเรียกใช้ได้ ดียิ่งนัก!
“ได้สิ!” สวีโย่วตอบรับอย่างง่ายดาย เขานึกถึงครั้งที่ทั้งสองคนแอบย่องเข้าจวนเสนาบดีฉินคราวก่อน ท้ายที่สุดก็ย่องไปถึงบนเตียง แววตามีเปลวเพลิงลูกเล็กสลัวๆ แวบผ่าน ส่วนเสิ่นเวยที่มีความสุขกลับไม่ได้สังเกตแม้แต่นิดเดียว
คืนนั้น หลังจากระฆังยามสามตีบอกเวลา เสิ่นเวยกับสวีโย่วก็สวมชุดท่องราตรีใส่หน้ากากเดินเล่นไปยังจวนเสนาบดีฉิน คราวนี้เส้นทางที่สวีโย่วพานางไปแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่หลบองครักษ์และด่านลับที่ลาดตระเวนได้เช่นเคย การคาดการณ์ที่แม่นยำเช่นนี้ทำให้เสิ่นเวยสงสัยอย่างยิ่งว่าหมอนี่ก่อนมาส่งคนมาสืบสถานการณ์แล้วใช่หรือไม่ หากไม่ใช่กังวลว่าตอนนี้อยู่ในจวนเสนาบดีฉิน เสิ่นเวยคงจะทรมานให้สารภาพไปนานแล้ว
หึ ไม่ต้องพูด ลางสังหรณ์ของเสิ่นเวยยอดเยี่ยมจริงๆ สวีโย่วให้ทหารมังกรมาสืบการป้องกันที่จวนเสนาบดีฉินก่อนมิใช่หรือ เหตุใดแม้แต่สวีโย่วก็ยังจับจ้องจวนเสนาบดีฉินเล่า ไม่ใช่เพราะว่าเขาแต่งงานกับภรรยาที่มีความอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งซ้ำยังไม่ถูกกับท่านเสนาบดีฉินไม่ใช่หรือ เพื่อทำให้ภรรยามีความสุข ผิงจวิ้นอ๋องของพวกเราก็ต้องพยายามเช่นกัน
ตอนที่ 261-1 ความลับแห่งศาลบรรพบุรุษ
สวีโย่วพาเสิ่นเวยไปยังศาลบรรพบุรุษที่มุมฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของจวนเสนาบดีฉิน เพิ่งจะเลือกตำแหน่งอำพรางลงยืนได้ ก็เห็นว่ามีนักท่องราตรีผู้หนึ่งลอยเข้ามา “ไง เจ้ามาแล้ว! เอ๋ พาผู้ช่วยมาด้วย” ท่าทางเหมือนพบคนรู้จัก คนผู้นี้ก็คือคนโง่ผู้นั้นที่เสิ่นเวยบังเอิญเจอคราวก่อน
เสิ่นเวยจ้องมองเขาปราดหนึ่ง ไม่ได้สนใจเขา กลับเป็นสวีโย่วที่มองเขาอยู่สักพัก
คนผู้นั้นเห็นคนทั้งสองไม่สนใจเขา ก็ยักไหล่ไม่ได้ใส่ใจ แต่กล่าวเสียงต่ำแทน “ผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นที่เฝ้าศาลบรรพบุรุษวิทยายุทธ์สูงเป็นพิเศษ ข้ามาหลายครั้งแล้ว ไม่มีวิธีจัดการเขาแม้แต่นิดเดียว”
เสิ่นเวยเหลือบมองเขาอีกปราดหนึ่ง กล่าวในใจ นางก็ว่าเหตุใดถึงบังเอิญเจออีกแล้ว ที่แท้แล้วหมอนี่ก็มาบ่อยนี่เอง! คิดถึงคำพูดของคนผู้นี้ เสิ่นเวยก็ดึงแขนเสื้อของสวีโย่ว
สวีโย่วพยักหน้าให้เสิ่นเวย ไม่เห็นว่าเขาทำอะไรเลย ก็เห็นเงาร่างที่เหมือนผีสองเงาในที่มืดแวบออกไป ตรงไปที่ศาลบรรพบุรุษ ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงต่อสู้ หลังจากนั้นก็เห็นเงาร่างหลังค่อมเงาหนึ่งไล่เงาสองสายก่อนหน้านี้พลางสู้พลางวิ่งออกไปไกล
แววตานักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นปรากฏความชื่นชม ชูนิ้วโป้งให้สวีโย่วกับเสิ่นเวย “สหายฝีมือดี” ในใจแอบเสียใจที่เหตุใดเขาจึงไม่รู้จักใช้กลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำนี้เล่า แต่จะว่าไปลูกน้องของเขาก็พามาเพียงน้องเล็กหนึ่งกลุ่มใหญ่เท่านั้น
เสิ่นเวยกับสวีโย่วเมินเขาอย่างใจตรงกัน “ไป เข้าไปดู” สวีโย่วจับมือของเสิ่นเวยแล้วกล่าวเสียงเบา ภรรยาของเขาพร่ำบ่นถึงศาลบรรพบุรุษนานแล้ว หากวันนี้ไม่พานางเข้าไปดูสักหน่อย นางคงจะนอนหลับไม่สนิท
สวีโย่วโอบเอวของเสิ่นเวย เข้าไปในศาลบรรพบุรุษอย่างเงียบๆ ดวงตานักท่องราตรีผู้นั้นกะพริบวาบตามเข้าไปเช่นกัน เสิ่นเวยหันกลับมามองเขาปราดหนึ่ง กลับไม่ได้พูดอะไร ใครจะรู้ข้างในศาลบรรพบุรุษจะมีอะไร เพิ่มขึ้นมาอีกคนก็แบ่งเบาความเสี่ยงได้มิใช่หรือ หากคนผู้นี้มีเจตนาไม่ดี สองต่อหนึ่งพวกเขาก็ยังมีสิทธิ์ชนะมากกว่า โดยเฉพาะนางเพิ่งเห็นการเตรียมการของสวีโย่ว เขาสามารถพาทหารลับสองคนเข้ามาได้ เช่นนั้นก็สามารถพาทหารลับมากกว่านี้มาได้ด้วยเช่นกัน
คนทั้งสามแวบร่างเข้าไปในศาลบรรพบุรุษ ในศาลบรรพบุรุษจุดเพียงไฟสลัวไว้หนึ่งดวง ธูปในกระถางธูปเพิ่งจะเผาไปเพียงครึ่งชุ่น ดูท่าแล้วผู้เฒ่าหลังค่อมผู้นั้นเพิ่งจะปักมันลงในกระถางธูป
เสิ่นเวยมองแท่นบูชาที่วางอยู่ข้างบนปราดหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเสาะหาในศาลบรรพบุรุษ ลูบคลำบนผนัง เหยียบย่ำบนพื้น นางกำลังหากลไกห้องลับอยู่ หาอยู่พักหนึ่งไม่ได้เงื่อนงำ เสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้พาอันจยาเหอมาด้วย หากอันจยาเหออยู่ น่าจะดูบริเวณผิดปกติในศาลบรรพบุรุษแห่งนี้ออกได้
ในขณะที่เสิ่นเวยกำลังหงุดหงิด ก็เห็นเพียงนักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นเดินเข้าไปหลายก้าว คลำหาในหมู่แท่นบูชาจำนวนมากแล้วกดลง ได้ยินเพียงเสียง ‘ผึ่ง’ เสียงหนึ่ง บนพื้นข้างเท้าของเสิ่นเวยก็ปรากฏปากอุโมงค์หนึ่งออกมา เสิ่นเวยตกใจจนกระโดดไปอยู่ข้างๆ ทันที
คนผู้นั้นหัวเราะหึๆ “ขออภัย” แต่ในน้ำเสียงความจริงใจในการขอโทษกลับไม่มีแม้แต่นิดเดียว
เสิ่นเวยถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่งอย่างแรง สวีโย่วก็จ้องมองเขาอย่างเย็นยะเยือกและหวาดระแวง คนผู้นั้นเห็นท่าทีก็รีบกล่าวอธิบาย “ข้านั่งเฝ้าที่นี่มากว่าครึ่งเดือนแล้ว จึงจับทางจุดนี้ได้แล้ว” ในน้ำเสียงภูมิใจอย่างถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้สวีโย่วกับเสิ่นเวยจึงลดความสงสัยไปได้ครึ่งหนึ่ง ดวงตาของเสิ่นเวยกะพริบวาบเล็กน้อยชี้คนผู้นั้น จากนั้นก็ชี้ปากอุโมงค์ที่ปรากฏอยู่บนพื้น ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง หมายความว่าให้เขาลงไปก่อน
แม้คนผู้นั้นจะไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็อับจนหนทาง ล้วงไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ดออกมาส่องแสง ลงไปจากปากอุโมงค์ก่อนแล้ว
สวีโย่วชะโงกหน้าลงไปมอง เห็นคนผู้นั้นยืนอย่างปลอดภัยแล้ว จึงพาเสิ่นเวยเดินลงไปตามบันไดด้วยความระมัดระวัง
ไข่มุกราตรีส่องประกายริบหรี่ เสิ่นเวยมองเห็นว่านี่คือห้องลับที่ไม่ใหญ่มากหนึ่งห้อง เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด มีเก้าอี้ไม้โบราณหนึ่งตัว อย่างอื่นคล้ายกับว่าไม่มีอะไรแล้ว
“นี่ ชนรุ่นหลัง!” เสิ่นเวยกำลังผิดหวังเล็กน้อย จู่ๆ เสียงที่แสบแก้วหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ
“ท่านเป็นใคร” นักท่องราตีจอมโง่ผู้นั้นชูไข่มุกราตรีเดินสองก้าวไปยังที่ที่เสียงดังออกมาแล้ว เสิ่นเวยจึงเห็นว่าในห้องลับแห่งนี้ยังขังคนไว้ผู้หนึ่ง ชายชราที่แก่อย่างถึงที่สุดผู้หนึ่ง หากเขาไม่เอ่ยปากพูดเอง เสิ่นเวยยังคิดว่านี่คือรูปปั้นแกะสลักรูปหนึ่งเสียอีก
“พวกเจ้าชนรุ่นหลังสามคนหาที่นี่เจอได้ก็นับว่ามีความสามารถเล็กน้อย ตาเฒ่าหลังค่อมผู้นั้นข้างนอกไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย” ดวงตาของชายชราผู้ถูกขังขยับ เสียงแหบแห้งจนทำให้เสิ่นเวยอยากปิดหู แสบแก้วหูเกินไปแล้วจริงๆ ราวกับเสียงล้อรถเบรกกะทันหันสัมผัสกับพื้นถนน
“ส่วนผู้ชราเป็นใครน่ะหรือ หึๆ พูดออกมาแล้วคงจะต้องทำให้เหล่าชนรุ่นหลังสะดุ้งตกใจแน่นอน ผู้ชราคืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้” ชายชราผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงแสบแก้วหูนั้นของเขาต่อ
“อะไรนะ” เสิ่นเวยกับนักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นเอ่ยปากพร้อมกัน แม้แต่สวีโย่วที่แต่ไหนแต่ไรหน้าตายดวงตาก็หดเล็ก “ท่านคืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้งั้นหรือ อ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ที่ก่อกบฏกับราชวงศ์นำทัพออกไปไกลผู้นั้นน่ะหรือ” เสิ่นเวยตกใจอย่างยิ่ง นางคิดว่านี่คือเรื่องที่ไม่น่าเชื่อที่สุดตั้งแต่นางทะลุมิติมายังยุคต้ายง
“ชนรุ่นหลังกลับเคยได้ยินชื่อของผู้ชรา ถูกต้อง ผู้ชราก็คืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้” ในดวงตาของชายชรามีบางอย่างแวบผ่าน เสิ่นเวยกำลังจะตั้งใจมอง เขาก็กลับคืบสู่ความสงบนิ่งไร้คลื่นลมอีกครั้งแล้ว
“เป็นไปไม่ได้! หากท่านเป็นอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้เหตุใดถึงถูกท่านเสนาบดีฉินขังไว้ที่นี่เล่า อีกทั้งสิบปีก่อนท่านไม่ใช่วางแผนลับยึดอำนาจก่อกบฏร่วมกับเฉิงฮองเฮาไท่จื่อหรือ” นักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นพลันกล่าว
“สิบปีก่อนหรือ เหอะ ผู้ชราถูกขังอยู่ที่นี่เกือบยี่สิบปีแล้ว ยึดอำนาจก่อกบฏอะไรกัน แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ผู้ชราไม่เคยทำมาก่อน” ท่าทีของผู้ชรานั้นตื่นตระหนกเล็กน้อย “รีบบอกผู้ชรามา เฉิงฮองเฮากับไท่จื่อเป็นอย่างไรบ้าง” ท่าทางร้อนใจนั้นทำให้ใบหน้าของเขามองดูแล้วน่ากลัวยิ่งขึ้น
ในใจเสิ่นเวยเกิดความสงสัยหลายส่วน หากคนผู้นี้คืออ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว… นางกำลังจะเอ่ยปากพูด ก็ได้ยินเสียงของสวีโย่วดังขึ้นมาแล้ว “เฉิงฮองเฮาตายไปเมื่อสิบปีก่อนแล้ว ผู้คอตาย ส่วนไท่จื่อ ก็ถูกฝ่าบาทขังไว้สิบปี ช่วงนี้เพิ่งจะถูกปล่อยออกมา”
“ฉินชัง ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์” ชายชราที่ก่อนหน้านี้สงบนิ่งมีสติกระจ่างแจ้งก็เดือดดาลขึ้นมา ตะคอกเสียงต่ำ ร้องโหยหวน ประหนึ่งสัตว์ป่าได้รับบาดเจ็บ โซ่ที่ล่ามมือล่ามเท้าไว้ส่งเสียงดังกังวาน
เสิ่นเวยเขยิบเข้าใกล้สวีโย่วอย่างอดไม่ได้ ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสาร ฟังว่าชั่วชีวิตของอ๋องเคียงบ่าเฉิงอี้ไม่ได้แต่งงาน ตั้งแต่เล็กก่อนหน้าที่จะก่อกบฏกับราชวงศ์ก็ไม่ได้แต่งงานเลย ในชีวิตก็มีเฉิงฮองเฮาลูกเลี้ยงผู้นี้ เฉิงฮองเฮากับไท่จื่อองค์ก่อนเปรียบเสมือนญาติเพียงสองคนของเขา ตอนนี้รู้ว่าพวกเขาคนหนึ่งตาย คนหนึ่งถูกทรมาน ใครจะรับไหวเล่า
“รีบไป มีคนมาแล้ว” จู่ๆ สวีโย่วก็เอ่ยปาก ดึงเสิ่นเวยวิ่งไปยังทางออกห้องลับ นักท่องราตรีจอมโง่ผู้นั้นตะลึงงัน รีบตามไปเช่นกัน
ถูกสวีโย่วกอดไว้ในอ้อมอก ผ่านไหล่ของเขาเสิ่นเวยก็มองชายชราที่เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีสติ ในดวงตาซับซ้อนมากเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนเพิ่งจะออกจากศาลบรรพบุรุษ ชายชราหลังค่อมผู้ดูแลศาลบรรพบุรุษที่ถูกล่อออกไปผู้นั้นก็ก้าวเข้ามาแล้ว เขายกตะเกียงน้ำมันนั้นที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาตรวจดูทั่วด้านหนึ่งรอบ ไม่เห็นร่องรอยใดๆ จากนั้นเขาก็ยืนเงี่ยหูฟัง คิ้วขมวดมุ่น เปิดกลไกถือตะเกียงน้ำมันลงไปในห้องลับ
“ผู้แซ่เฉิง เจ้าเป็นบ้าอะไรอีกแล้ว” ชายชราหลังค่อมถามอย่างเย็นเยียบ
ผู้แซ่เฉิงผู้นี้เองก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ช่วงสองเดือนมานี้มักจะร้องตะโกนบ้าคลั่งไร้เหตุผลกลางดึก คาดว่าชะตาคงใกล้จะขาดแล้วสินะ! โชคดีที่ศาลบรรพบุรุษแห่งนี้อยู่ในที่เปลี่ยว ห้องลับก็เก็บเสียง มิเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวที่มากเพียงใด
ทว่าเฉิงอี้กลับพ่นคำด่าใหญ่ “ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าต้องไม่ตายดี เจ้าจะไร้ผู้สืบสกุล บุรุษตระกูลฉินเป็นทาสทุกชาติ สตรีเป็นนางโลมทุกสมัย ฉินชังหลังเจ้าตายไปแล้วจะต้องลงนรกสิบแปดขุม ถูกเผามอดไหม้ทุกวันๆ ฉินชังเสี่ยวเอ๋อร์เจ้าต้องถูกห้าม้าแยกศพ…”
ชายชราหลังค่อมเห็นเฉิงอี้ยิ่งด่าก็ยิ่งไปกันใหญ่ โมโหจนหยิบแส้โบยลงบนตัวเขา ความรู้สึกที่เจ็บปวดทำให้เฉิงอี้ค่อยๆ ได้สติกลับมา ดวงตาใสกระจ่างขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น