ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 259-262

ตอนที่ 259 เสี่ยวซิงซิง

 

“เป็นเพราะเจ้ามันเป็นตัวแสบ ชอบมาว่าร้ายเราต่อหน้าซิงซิง [1] ?” 


 


 


จีเฉวียนยกมันขึ้นมาให้อยู่ในระดับสายตา ประกายแสงจากดวงเนตรหงส์แทบจะเสียบทะลุมันไปหลายรู 


 


 


“ซิงซิง?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “???” 


 


 


จีเฉวียนหันกลับมาสบตามองตู๋กูซิงหลันอีกครั้งหนึ่ง กระแสอบอุ่นในดวงตาพวยพุ่งออกมา “อาหลัน หลันหลัน หลันเอ๋อร์ล้วนถูกพวกเจ้าเรียกไปจนหมดแล้ว เราย่อมต้องเรียกให้พิเศษแตกต่างออกไป มีปัญหาหรือไง?” 


 


 


วิญญาณทมิฬและตู๋กูซิงหลันต่างก็กล่าวอะไรไม่ออก ดวงดาวเนี่ยพิเศษออกไปรึ ทำไมไม่เรียกดวงอาทิตย์ไปเลยล่ะ? 


 


 


เห็นตู๋กูซิงหลันยิ่งมีสีหน้างงงวย จีเฉวียนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยตรัสว่า “หากว่าเจ้าไม่ชอบล่ะก็ เราจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวซิงซิง (ดาวน้อย) ก็ได้” 


 


 


นางรู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาในทันที แทบจะล้มลงไปบนพื้น 


 


 


จะให้ร้องเพลงโอ้เจ้าดาวดวงน้อยให้เขาฟังด้วยไหม? 


 


 


“เสี่ยวซิงซิง ทั้งมีไหวพริบและงดงาม เหมาะกับเจ้ามากเลย” จีเฉวียนแย้มสรวลอย่างอ่อนโยนที่สุด ราวกับว่าแม้แต่เรื่องที่พวกนางเรียกเขาเป็นฮ่องเต้สุนัขก็ไม่ได้เอามาถือสาต่อไปแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันลอบกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมาตลอดร่าง 


 


 


ฮ่องเต้ทรงพระราชทานนาม นางยังจะปฎิเสธได้อีกหรือ? 


 


 


“โอรสสวรรค์ประทานนามมาให้ ในใจของหม่อมฉันมีแต่ความปิติยินดี” นางปาดเช็ดหยาดน้ำตา 


 


 


“เสี่ยวซิงซิงเป็นเด็กดี” จีเฉวียนใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งคีบวิญญาณทมิฬเอาไว้ อีกข้างหนึ่งลูบศีรษะของตู๋กูซิงหลันด้วยความพอพระทัยอย่างยิ่ง 


 


 


มุมพระโอษฐ์มีรอยยิ้มอยู่มิได้ขาด เดิมทีตั้งพระทัยเอาไว้ว่าจะอยู่ตามลำพังกับตู๋กูซิงหลัน ดังนั้นจึงได้ตั้งใจสลัดพวกตู๋กูเจวี๋ยกับหยวนเฟยออกไป 


 


 


ตอนนี้ก็แค่เพิ่มสัตว์อสูรขึ้นมาอีกตัวหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นอย่างไรได้ 


 


 


ถือว่ามันเป็นหัวผักกาดหัวไชเท้าไปเสียก็แล้วกัน 


 


 


สายลมในภูเขาแปลกประหลาดนัก เมื่่อครู่ยังยังอ่อนโยนอยู่แท้ๆ แต่เพียงแค่ไม่นานก็พลิกผันไปเสียแล้ว เสียงคร่ำครวญดังขึ้นมาจากเบื้องล่าง แต่เพราะลมแรงเกินไปจึงฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง 


 


 


ริมหน้าผามีเถาวัลย์งอกเงยอยู่ไม่น้อย แต่ละเส้นยาวราวกับมือผี ทั้งยังแกว่งไกวไปตามสายลม 


 


 


พืชพรรณเหล่านี้คล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยได้เห็นยามเมื่ออยู่ในป่าทึบของหนานเจียง 


 


 


พอตู๋กูซิงหลันนึกขึ้นมาได้ก็เหลือบมองดูด้านหลังกระหม่อมของจีเฉวียนแวบหนึ่ง ตอนที่อยู่ในป่าทึบของหนานเจียง จีเฉวียนถูกกระชากเส้นผมไปกระจุกหนึ่ง ตอนนี้มองดูแล้วก็ผมบางไปบ้างอยู่เหมือนกัน 


 


 


หากว่าอีกสักครู่โดนอีกครั้ง ดูท่าคงจะต้องโล้นเป็นแน่ 


 


 


แต่ว่าปัญหาที่อยู่ตรงหน้าพวกนางในตอนนี้ก็คือ ทำยังไงถึงจะไปถึงภูเขาที่อยู่ตรงกลางลูกนั้นได้ 


 


 


“นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีแคว้นฉิน เหยียน และเจ็ดแคว้นเล็กๆ ขุมอำนาจต่างๆ ล้วนส่งคนเข้ามา ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” 


 


 


จีเฉวียนตรัสอย่างพระทัยเย็น “จะเป็นโยนกระเบื้องแลกหยก [2] หรือ ตั๊กแตนจับจิ้งหรีด [3] ล้วนต้องมีเหยื่อล่อทั้งนั้น” 


 


 


ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนจนไม่อาจจะชัดไปกว่านี้ได้อีกแล้ว พวกนางจะค่อยๆ ไปอย่างช้าๆ รอให้ผู้อื่นเปิดทางไปก่อน และต่อสู้กันจนตกตายไปข้างหนึ่งแล้ว พวกนางก็ค่อยชิงสมบัติจากกองเลือด ชิงตัดหน้าผู้อื่นนั่นเอง 


 


 


ไม่เสียทีที่เป็นฮ่องเต้สุนัข เป็นพวกหมาไนพันปีแท้ๆ 


 


 


ที่ก่อนหน้านี้ตู๋กูซิงหลันติดกับอุบายของเขามาหลายรอบ ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้นี่เอง 


 


 


ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่า ท่านอาจารย์คือจิ้งจอกเฒ่าหมื่นปี คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้ก็มีคนที่สามารถเทียบเคียงกับเขาได้เหมือนกัน 


 


 


“แคว้นเซอปี่ซือคือสถานที่ที่มีภูมิประเทศงดงามที่สุดในแผ่นดินนี้ น่าเสียดายที่ล่มสลายไปนานหลายปี เปรียบเทียบกับสมบัติมากมายที่กองเป็นภูเขาเลากาแล้ว บรรยากาศระหว่างทางเช่นนี้กลับงดงามยิ่งกว่า” จีเฉวียนตรัสต่อไป และหันพระพักตร์กลับมายื่นพระหัตถ์ข้างหนึ่งให้ตู๋กูซิงหลัน “เสี่ยวซิงซิง เจ้ายินดีจะชื่นชมบรรยากาศเช่นนี้กับเราหรือไม่?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันถูกเขาเรียกเป็นเสี่ยวซิงซิง เสี่ยวซิงซิง จนนางเกือบจะลอยขึ้นฟ้าไปเป็นเซียนอยู่แล้ว 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าเขายื่นกีบหมูออกมา นางคงไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าเขากำลังเรียกนางอยู่ ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกไปคว้าชายแขนเสื้อของเขาเอาไว้ “ก็ดีนะเพคะ ฝ่าบาท~” 


 


 


พระหัตถ์ของจีเฉวียนกลายเป็นเคว้งคว้างว่างเปล่า พระองค์ขยับปลายนิ้วน้อยๆ เพื่อคลายความขัดเขิน แต่พอเห็นนางจับชายฉลองพระองค์เอาไว้แน่น ก็ไม่ต่อว่าต่อขานใดๆ อีก 


 


 


พอก้าวเท้าออกไป ก็สัมผัสกับลมภูเขาที่ลอยมาปะทะ ลมโหมจนเถาวัลย์ประหลาดพวกนั้นยิ่งโบกสะบัด 


 


 


“ซู่ ซู่ ซู่ …..” พวกมันโบกไปตามสายลม เกิดเป็นเสียงที่ทำให้คนฟังแล้วต้องขนลุกขึ้นมา 


 


 


 


 


 


ฝีเท้าของจีเฉวียนไม่ได้หยุดลง หากแต่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงริมผา 


 


 


คราวนี้สายพระเนตรของฮ่องเต้ค่อยปรากฏไอเย็นชาขึ้นมาชั้นหนึ่ง 


 


 


เถาวัลย์เหล่านั้นก็พากันจับตาดูอยู่เฉยๆ ไม่กล้าชิงลงมือโดยง่าย 


 


 


ใต้หน้าผา เงาร่างสีเขียวสดเงาหนึ่งแขวนตัวอยู่บนก้อนหิน พอมันรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมา ก็ชักจะรู้สึกว่ากระทั่งก้อนหินที่เกาะอยู่ก็กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งไปด้วย 


 


 


มันโบกเส้นเถาวัลย์สีเขียวสด ค่อยๆ ยื่นศีรษะออกมาครึ่งหนึ่ง 


 


 


ทันทีที่โผล่หัวออกไป ก็ถูกหมอกสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาโอบรัดเอาไว้ 


 


 


สายหมอกสีดำบางๆ นั้นคล้ายดั่งเป็นเส้นเชือกนับพันนับร้อยเส้น กระหวัดมัดมันเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ลากขึ้นไปอย่างโหดร้าย ร่างกว่าครึ่งของมันถูกลากออกมาจากชะง่อนหิน 


 


 


มากองอยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ 


 


 


“เฮอะ ภูติพฤกษาเรอะ!” วิญญาณทมิฬยังคงถูกจีเฉวียนคีบเอาไว้ ตอนนี้จึงได้แต่โบกไม้โบกมือป้อมๆ ของมัน แต่ดวงตากลับเป็นประกายขึ้นมา 


 


 


มันกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง ทำท่าจอมตะกละขึ้นมาในทันที 


 


 


พวกภูติ คือจิตวิญญาณที่อาศัยอยู่ในขุนเขาจำพวกหนึ่ง พวกมันสามารถสะสมจิตวิญญาณและพลังของผืนดินและผืนฟ้าจนสร้างร่างขึ้นมาได้ 


 


 


ที่แท้เจ้าภูติพฤกษาที่อยู่เบื้องหน้านี้ก็มีระดับการบำเพ็ญเพียรที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ถึงขนาดมีรูปร่างคล้ายเป็นมนุษย์ได้แล้ว ถึงแม้ว่าผิวพรรณยังคงเป็นสีเขียวสดใส แต่อย่างน้อยๆ ก็มีใบหน้างอกเงยขึ้นมาแล้ว 


 


 


“ภูติพฤกษา หากนำไปปรุงยาสามารถกลั่นเป็นยาลูกกลอนยืดอายุ หากเอามาทำบ้านช่องห้องหับก็ช่วยปกปักษ์รักษาความปลอดภัย ประกอบอาหารก็บำรุงร่างกายอย่างยิ่ง สร้างเสริมธาตุพื้นฐาน เป็นของดี” ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายจีเฉวียน อธิบายอย่างละเอียดลออ 


 


 


“เสี่ยวซิงซิงชอบหรือ?” ขณะที่จีเฉวียนมองดูนาง ไอสีดำก็รั้งแน่นกว่าเดิม เกือบจะรัดมันจนขาดใจตายไปแล้ว 


 


 


“สิ่งมีชีวิตที่หาได้ยาก ย่อมต้องชอบอยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันคลี่ยิ้มพลางผงกศีรษะ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจับจ้องอยู่บนตัวของภูติพฤษาอย่างไม่วางตา 


 


 


หลายประโยคนี้ ทั้งสายตาที่มองมา ทำเอาภูติพฤษาตกใจจนร้องไห้แล้ว 


 


 


มันดิ้นรนอยู่บนพื้น ป่ายปัดเถาวัลย์สีเขียวไปมา ทำตัวคร่ำครวญเป็นวิญญาณโหยหวน 


 


 


“ฮือ ฮือ ฮือ ท่านเซียนทั้งหลายโปรดไว้ชีวิต เสี่ยวจิงไม่อร่อยหรอก ยังไม่ได้กลายเป็นร่างมนุษย์เลยด้วยซ้ำ ไม่มีคุณค่าใดแม้แต่น้อย” มันทางหนึ่งต่อต้านทางหนึ่งก็อ้อนวอนขอชีวิต “ท่านเซียนมาถึงที่นี่ คงจะไม่รู้ว่า ที่นี่ก็คือแดนต้องห้ามของแคว้นเซอปี่ซือ ขอเพียงพวกท่านไว้ชีวิตเสี่ยวจิง เสี่ยวจิงยินดีจะเป็นผู้นำทางให้ท่าน มิต้องให้พวกท่านต้องยากลำบาก” 


 


 


ภูติพฤกษากล่าวด้วยความจริงใจ ที่ผ่านมาบางครั้งก็มีเหล่านักพรตผ่านเข้ามาถึงที่นี่อยู่บ้าง เพียงแต่ว่านักพรตเหล่านั้นล้วนเป็นพวกดอกไม้ลายปักบนหมอน ถึงดูแล้วสวยงามแต่กลับใช้การไม่ได้ 


 


 


ภูติพฤกษาตัวเล็กๆ อย่างมันแค่สะบัดสายเถาวัลย์เข้าพัวพัน ก็สามารถทำให้พวกเขาตกใจจนฉี่ราดได้แล้ว 


 


 


พอนานวันเข้ามันก็ชักจะคุ้นเคย หลายปีมานี้มีนักพรตที่ถูกมันลากลงหน้าผาไปแล้วนับสินคน 


 


 


เดิมทีก็คิดว่าผู้ที่มาในครั้งนี้เป็นเพียงนักพรตธรรมดา ไหนเลยจะรู้ว่า มันจะกลายเป็นฝ่ายที่ถูกลากออกมา ทั้งยังมัดมันเอาไว้เสียจนหมดหนทางเคลื่อนไหว 


 


 


พอเงยหน้าขึ้นมองดูบุรุษและสตรีตรงหน้า แต่ละคนหน้าตาไม่สมควรจะผิดใจด้วยทั้งนั้น 


 


 


พวกที่หน้าตาดีมักมีความสามารถไม่น้อย พวกหน้าตาแย่ๆ ถึงสามารถจัดการได้ตามใจ เหตุผลเช่นนี้ของพวกมนุษย์กล่าวเอาไว้ไม่ผิดเลย 


 


 


ไม่รอให้มันได้มองดูจีเฉวียนอีกสักหน่อย ก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “เราต้องการข้ามหุบเหวนี้ไป หากว่าเจ้าใช้การไม่ได้ เราก็ขาดแคลนเชื้อไฟอยู่พอดี ไฟจากภูติพฤกษาย่อมต้องยอดเยี่ยมที่สุดแน่ เราก็ต้องการใช้” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 星星 : ดวงดาว 


 


 


[2] 抛砖引玉Pāo zhuān yǐn yù: ใช้สิ่งที่คล้ายคลึงกันแต่ด้อยค่ากว่ามาเป็นตัวล่อให้ได้รับสิ่งที่มีค่าเหนือกว่า  


 


 


[3] 螳螂捕蝉 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ถวนจื่อ: นั่งเป็นหลับ ขยับเป็นกิน คือคำขวัญของเรา  

 

 


ตอนที่ 260 ในทะเลสาบมีบางสิ่งที่เหนือ...

 

ภูติพฤกษา “???” 


 


 


มันตกใจกลัวจนแทบจะกระโจนหน้าผาตายอยู่แล้ว 


 


 


เถาวัลย์เขียวบนร่างสั่นสะท้านอยู่ตลอดเวลา ไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสอะไรเพิ่มเติม มันก็สะบัดเถาวัลย์เขียวบนร่างออกไป 


 


 


เถาวัลย์สีเขียวแต่ละเส้นแต่ละเส้นถักทอกันเองข้ามหุบเขาด้วยความรวดเร็วจนกลายเป็นสะพานเถาวัลย์สีเขียวสดสะพานหนึ่ง 


 


 


“ท่านเซียนทั้งสอง เสี่ยวจิงไม่มีความสามารถอื่นใด เถาวัลย์จากร่างของข้าแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างยิ่ง หากทั้งสองท่านมิได้รังเกียจล่ะก็ โปรดเหยียบย่างไปบนสะพานเถาวัลย์นี้เพื่อข้ามหุบเหวเถอะ” ภูติพฤกษากล่าวอย่างอ่อนน้อม มันพูดพลางก็ตัวสั่นไปพลาง 


 


 


แต่ที่จริงในใจของมันยังคงมีแผนน้อยๆ อยู่อย่างหนึ่ง 


 


 


ใต้หุบเหวลึกนี้ ไม่รู้ว่ากลายเป็นที่ฝังกลบศพของเหล่านักพรตไปมากมายเท่าไรแล้ว มันเองก็เคยใช้วิธีเดียวกันนี้หลอกให้นักพรตบางส่วนร่วงลงไปในเหวลึก หลังจากนั้นก็ค่อยดูดกลืนพลังที่ฝึกฝนมาของนักพรตเหล่านั้นจนเกลี้ยงเกลา 


 


 


หากว่ามันสามารถครอบครองพลังของท่านเซียนทั้งสองนี้ ย่อมต้องสามารถกลายร่างให้คล้ายมนุษย์ได้ในทันทีอย่างแน่นอน หรือบางที มันเองก็อาจจะมีโอกาสสามารถเข้าไปช่วงชิงสมบัติกับเขาบ้างก็เป็นได้ 


 


 


ความคิดนี้พึ่งจะผุดขึ้น ก็รู้สึกว่าร่างกายอยู่ๆ ก็เย็นยะเยือกขึ้นมา พอมันมองไปก็เห็นดวงเนตรหงส์คู่นั้นมีไอสังหารทบทวีคูณ 


 


 


ภูติพฤกษาตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง มันรีบพูดออกไปว่า “ขอท่านโปรดเชื่อในตัวของเสี่ยวจิง เสี่ยวจิงมิได้มีความคิดชั่วร้ายแม้แต่น้อย” 


 


 


ดูสิ สายตานั้นทำไมถึงได้น่าหวาดกลัวขนาดนี้ มันไหนเลยจะกล้ามีความคิดชั่วร้ายขึ้นมาอีก 


 


 


ดังนั้น จีเฉวียนถึงได้พาตู๋กูซิงหลันข้ามสะพานเถาวัลย์สายนั้นไป 


 


 


เถาวัลย์ที่ภูติพฤกษาใช้สร้างเป็นสะพานเพื่อข้ามไปนั้นงดงามอย่างมาก พวกเขาพึ่งจะข้ามไป เพื่อเป็นการประจบท่านเซียนทั้งสอง บนเส้นเถาวัลย์สีเขียวที่อยู่ด้านข้างก็ปรากฏบุปผานานาพันธุ์เบ่งบาน 


 


 


โดยเฉพาะดอกกุหลาบ แต่ละดอกสีสดราวกับซับโลหิตเข้าไป ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเข้มข้น งดงามอย่างที่สุด 


 


 


ใต้สะพานเถาวัลย์สีเขียวคือหุบเหวลึก มืดมิด ราวกับว่าความมืดมิดที่ลึกลงไปจนไร้ก้นบึ้งนั้นกำลังรอคอยพวกนางอยู่ 


 


 


“เสี่ยวซิงซิง อย่าได้มองลงไป” จีเฉวียนโอบเจ้าอ้วนน้อยข้างกายเอาไว้อย่างแนบแน่ “หากเจ้าจดจ้องหุบเหว หุบเหวก็จะจดจ้องเจ้าเช่นกัน” 


 


 


อยู่ๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าคารมนี้ของเขาคล้ายจะเป็นคำคมอยู่บ้าง 


 


 


ตรัสแล้ว จีเฉวียนก็ทรงเด็ดดอกไม้ดอกหนึ่งมาเสียบข้างหูให้นาง ตรัสพลางแย้มสรวลว่า “เสี่ยวซิงซิงงดงามมาก” 


 


 


วิญญาณทมิฬอยากจะอาเจียนหลายรอบแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจ้าฮ่องเต้สุนัขยังบอกว่าหลันหลันอัปลักษณ์อยู่เลย 


 


 


แต่ว่าตอนนี้มันกลับไม่กล้าเอ่ยปาก มันไม่รู้ว่าทำไมฮ่องเต้สุนัขถึงสามารถมองเห็นมันได้ 


 


 


“ท่านเซียนงดงามมากจริงๆ” ภูติพฤกษารีบประจบประแจงเป็นการใหญ่ จากนั้นก็เร่งให้เหล่าดอกไม้ผลิบานเพิ่มขึ้นอย่างวุ่นวาย 


 


 


พอมันเขย่าเถาวัลย์เขียวบนร่าง ก็สร้างฝนบุปผาที่สวยงามดั่งความฝันให้พวกเขาได้ชม 


 


 


กลีบดอกไม่หลากสีปลิวไปเกาะเส้นผมและหัวไหล่ ของคนทั้งสอง เดิมทีก็เป็นคู่สร้างคู่สมคู่หนึ่งอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งกลายเป็นงดงามเหมาะสมจนไม่อาจจะเปรียบเปรยได้เลย 


 


 


“มันช่างรู้จักหนทางรักษาชีวิตดีจริงๆ” วิญญาณทมิฬยังคงถูกฮ่องเต้ทรงคีบเอาไว้ในพระหัตถ์ ดูท่ามันคงถูกพี่รองแพร่เชื่อใส่เข้าแล้ว ถึงได้เอาแต่พูดมากไม่ยอมหยุด 


 


 


“หลันหลัน พอข้ามสะพานไปแล้ว ข้ากินมันได้ไหม?” 


 


 


ภูติพฤกษาถือเป็นยาบำรุงพลังชีวิตชั้นยอด เป็นของชั้นเลิศที่ช่วยให้มีชีวิตยืนยาว 


 


 


ถึงแม้ว่าชีวิตของมันก็ยาวนานอยู่แล้ว แต่ว่ามีเอาไว้เยอะๆ มันก็ไม่รังเกียจ 


 


 


“ไม่ได้” ครั้งนี้ เป็นฮ่องเต้ตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง “เราพอใจกับฝนบุปผานี้มาก” 


 


 


ภรรยาที่เป็นแม่สื่อของซุนต้มยาบอกเอาไว้ สตรีชมชอบบรรยากาศที่งดงาม 


 


 


มองดูภาพเบื้องหน้านี้ สะพานเขียวขจี มวลดอกไม้เบ่งบาน ฝนบุปผาโปรยปราย อยู่เหนือหุบเหวลึก เขาสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้า รอบด้านยังมีไอหมอกจางๆ 


 


 


บรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจหาได้ในเมืองหลวง 


 


 


มีแต่สถานที่เช่นนี้ที่งดงามคู่ควรกับเขาและเสี่ยวซิงซิง 


 


 


วิญญาณทมิฬ “….” ฮ่องเต้สุนัขไยจึงไม่บอกออกมาเลยเล่าว่าเขาพอใจวิธีประจบของเจ้าภูติพฤกษานี้มาก? 


 


 


ภูติพฤกษาเกือบจะซาบซึ้งขึ้นมาบ้างแล้ว ที่แท้การประจบเช่นนี้ก็นับว่าได้ผลจริงๆ 


 


 


ดังนั้นมันจึงพยายามผลิดอกอย่างขยันขันแข็ง จนแทบจะทำให้สะพานสีเขียวเกลื่อนกลาดไปด้วยกลีบบุปผาสีแดง 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูภาพเบื้องหน้าอยู่ๆ ก็คิดถึงตอนที่นางถูกท่านอาจารย์โยนทิ้งอยู่ในหุบเขานับหมื่นลูกขึ้นมา ตอนนั้นนางก็เคยได้เห็นฝนบุปผาโปรยปรายทั่วฟ้าเช่นกัน 


 


 


ช่วงนี้ไม่รู้ว่าทำไม นางมักจะคิดถึงท่านอาจารย์ขึ้นมาบ่อยๆ 


 


 


หากว่านางสามารถเสาะหาชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตได้มากๆ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะกลับไปยังโลกเดิมได้ 


 


 


พอคิดถึงตรงนี้ ความตั้งใจของตู๋กูซิงหลันก็ยิ่งเพิ่มพูนมากกว่าเดิม 


 


 


นางไม่มีอารมณ์จะสนใจบรรยากาศที่สวยงามอีกต่อไป สองตามองขึ้นไปยังภูเขาที่สูงที่อยู่ไกลออกไป 


 


 


ทันใดนั้น เหนือศีรษะของพวกนางสูงขึ้นไป ก็มีเสียงอินทรีร่ำร้อง ในหมู่เมฆปรากฏเงาดำเงาหนึ่งผาดผ่าน 


 


 


ท่ามกลางหมู่เมฆ เหยียนเฉียวหลัวมองลงไปยังด้านล่างด้วยสายตาเย็นชา ที่นางเห็นล้วนมีแต่ภูเขา แต่ในตอนนั้นเอง ก็สังเกตเห็นแถบสีเขียวสีแดงแถบหนึ่ง 


 


 


ดวงตาของนางยิ่งสาดประกายเย็นยะเยือกออกมามากกว่าเดิม 


 


 


บนหลังอินทรี บุรุษงดงามในชุดสีม่วงอ่อนเองก็มองลงมา เขาหรี่ดวงตาลงน้อยๆ ปลายนิ้วขยับเพียงครั้งเดียว ยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งก็พุ่งลงไป 


 


 


ยันต์สีเหลืองผลักหมู่เมฆกระจายออกไป ส่งสายฟ้าฟาดลงมาด้วยความเฉียบคมประหนึ่งลูกธนูน้ำแข็ง ยามที่ฟาดลงมาก็พุ่งตรงเข้าหาภูติพฤกษาอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามที่ยันต์สีเหลืองสำแดงฤทธิ์เข้าฟาดฟัน เส้นเถาวัลย์ของมันก็ขาดสะบั้นไปเจ็ดแปดสาย 


 


 


จากนั้นกระแสพลังยังเกาะกุมไล่ตามเส้นเถาวัลย์วิ่งตรงเข้าสู่ลำคอของมัน 


 


 


สะพานเถาวัลย์สั่นสะเทือนไปทั้งสะพาน ภูติพฤกษาเปล่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงโหยหวนนั้นดังสะท้อนไปทั่วทั้งหุบเหว เสียดแทงใจผู้คน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันล้วงเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมาในทันที ก่อนฮ่องเต้จะทันได้ลงมือ นางก็ขว้างยันต์ในมือของตนออกไปก่อนแล้ว 


 


 


ในชั่วเวลาที่คับขันนั้นเอง ยันต์ของนางก็ชิงปะทะเข้ากับยันต์ของบุรุษงามชุดม่วง 


 


 


พลังที่รุนแรงนั้นผลักภูติพฤกษาจนกระเด็นออกไปไกลหลายเมตร ทั้งๆ ที่เป็นแค่ยันต์สองแผ่น แต่พลังกลับรุนแรงประหนึ่งลูกธนูน้ำแข็งสองดอกกระแทกใส่กัน เกิดเป็นระเบิดดอกไม้ไฟที่งดงามเหนือหุบเหว 


 


 


จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘บึ้ม’ ครั้งหนึ่ง ยันต์สีเหลืองทั้งสองแผ่นเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน 


 


 


ภูติพฤกษาเก็บชีวิตกลับมาได้ ก็ตื่นตระหนกจนสั่นไปทั้งร่าง 


 


 


ใครจะไปรู้ว่าบนฟ้าก็มีท่านเซียนอีกผู้หนึ่งบินอยู่บนนั้น หากมิใช่ว่าท่านเซียนหญิงที่งดงามผู้นี้ช่วยมันเอาไว้ เกรงว่าตอนนี้มันก็คงจะกลายเป็นขี้เถ้ากองหนึ่งไปแล้ว 


 


 


ในใจของมันยังคงหวาดผวา แต่ก็ได้ต้องกัดฟันเอาไว้ ซ่อมแซมสะพานเถาวัลย์อีกครั้งหนึง “ท่านเซียนทั้งสอง การที่กรุสมบัติปรากฏขึ้นบนโลกในครั้งนี้ เกรงว่าจะต้องชักนำผู้เข้มแข็มเข้ามาไม่น้อย ขอทั้งสองท่านโปรดรีบข้ามสะพานไป บุญคุณที่ช่วยชีวิตครั้งนี้ เสี่ยวจิงจะขอบอกความลับประการหนึ่งแก่ทั้งสองท่าน” 


 


 


ว่าแล้ว มันก็ขยับเส้นเถาวัลย์ เลื้อยลงมาที่เบื้องหน้าจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน กระซิบเสียงเบาที่ริมหูของทั้งสองว่า “เมื่อเจ้าแคว้นเซอปี่ซือสิ้นไปแล้ว ก็ถูกฝังไว้ที่กลางสระสวรรค์ เพียงแต่ว่าเมื่อครึ่งปีก่อน สระสวรรค์เกิดความเคลื่อนไหว วันนั้น มีแสงสีดำพุ่งผ่านท้องฟ้า ตกลงไปในสระสวรรค์” 


 


 


“นับจากนั้น น้ำในทะเลสาบของสระสวรรค์ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเทียนซาน ก็จะยิ่งเย็นยะเยือก ไอหยินครอบคลุมทั่วฟ้า สิ่งที่กำจายออกมาแทบจะดูดกลืนทุกสิ่งบนภูเขาเทียนซานเข้าไป พวกเราเดากันว่า ในทะเลสาบมีบางสิ่งที่เหนือธรรมดาออกมา” 


 


 


“หลังจากนั้นบริเวณรอบๆ ภูเขาเทียนซาน ก็ปรากฏภูติผีปีศาจมากมายไม่มีหยุด เหล่านักพรตที่มีโชควาสนาขึ้นไปได้ถึงบนภูเขาเทียนซาน สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครได้กลับลงมาสักคน” 


 


 


ภูติพฤกษาพูดไป ก็คล้ายกับคิดเรื่องใดขึ้นมาได้ ใบหน้าที่เดิมก็เป็นสีเขียวอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งย่ำแย่ไม่น่าดูกว่าเดิม 


 


 


“ทั้งสองท่านหากต้องการเข้าไปในภูเขาเทียนซาน มีแต่ต้องใช้สถานะ ‘คนตาย’ เข้าไป ถึงจะมีโอกาสกลับออกมา” 


 


 


“ภูเขาลูกนั้นเป็นภูเขาของคนตายและดวงจิตที่ตายไปแล้ว” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


ไรท์: ชื่อตอนหน้าน่าสนใจมาก “เมียเมีย”  

 

 


ตอนที่ 261 เมียเมีย

 

“เอ๋?” ในที่สุดตู๋กูซิงหลันก็ยังจะสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว 


 


 


เมื่อครึ่งปีก่อน……..แสงสีดำ 


 


 


เมื่อปะติดปะต่อความคิดที่บังเอิญได้พบกับปีศาจไร้หน้าในกลางทะเลทราย อยู่ๆ นางก็ชักจะคิดถึงคู่แค้นเก่าขึ้นมาซะแล้วสิ 


 


 


ว่าแต่เจ้าภูติพฤกษาตัวน้อยนี้คงไม่ได้โกหกสินะ 


 


 


“ท่านเซียน เสี่ยวจิงทำได้เพียงแค่ส่งพวกท่านข้ามสะพานไป หนทางข้างหน้าพวกท่านยังคงต้องพึ่งพาตนเอง” ภูติพฤกษายังคงหวาดกลัวเรื่องเมื่อครู่อยู่ไม่หาย มันใช้เถาวัลย์เส้นหนึ่งชี้ไปด้านหน้า 


 


 


“บริเวณรอบๆ ภูเขานี้ก็มีปีศาจอยู่มากมาย ล้วนแข็งแกร่งกว่าเสี่ยวชิงด้วยกันทั้งนั้น ทั้งยังมีสัตว์อสูรอีกไม่น้อย ยิ่งเข้าใกล้ภูเขาเทียนซาน ก็ยิ่งมีอันตรายมาก ท่านเซียนทั้งสองมีความสามารถเทียมฟ้า คิดว่าคงจะสามารถรับมือได้อยู่” 


 


 


เรื่องพวกนี้เดิมทีมันไม่ได้คิดจะกล่าวออกมา แต่เพราะเมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันช่วยชีวิตมันเอาไว้ 


 


 


โลกทัศน์ของพวกภูตินั้นเรียบง่ายกว่าพวกมนุษย์มากนัก มีแค้นชำระแค้น มีบุญคุณก็ตอบแทน เรียบง่ายเช่นนี้เอง 


 


 


พวกมันไม่อาจติดค้างบุญคุณ 


 


 


ยากนักที่ฮ่องเต้มิได้ทรงสร้างความลำบากให้กับมัน กระบี่อ่อนในพระหัตถ์ถูกเก็บไว้ 


 


 


สำหรับพระองค์แล้ว เมื่ออยู่ในแคว้นเซอปี่ซือ เพียงปกป้องตู๋กูซิงหลันให้ดีก็พอแล้ว ความเป็นความตายของผู้อื่นไม่จำเป็นต้องใส่ใจให้มากไป ดังนั้นเมื่อครู่จึงลงมือช้าไปเล็กน้อย 


 


 


ผิดกับตู๋กูซิงหลัน แม้ว่าจะไม่มีพลังของหยกสรรพชีวิตแล้ว ก็ยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ 


 


 


เขาหรี่ดวงเนตรลง มองดูเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ข้างกาย ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วในร่างของนางมีพลังเช่นใดกันแน่ 


 


 


ในทันใดนั้นเอง พระองค์ก็คว้าเอวของตู๋กูซิงหลันเอาไว้ สายลมหมุนวนใต้ฝ่าเท้า สะกิดเท้าเพียงสองครั้งก็ข้ามสะพานไปแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงสายลมไหลวูบผ่านใบหู บาดเนื้อตัวจนเจ็บ 


 


 


รอจนสองเท้ายืนบนพื้นที่มั่งคงอีกครั้ง สะพานสีเขียวขจีที่อยู่ด้านหลังก็หายลับไปจากสายตาแล้ว เหนือหุบเหวมีแต่หมอกหนาๆ มีเพียงกลีบดอกไม้มากมายที่ยังคงโบยบินอย่างเคว้งคว้าง ก่อนจะค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่หุบเหว 


 


 


เงาดำที่บินอยู่สูงขึ้นไปเหนือศีรษะของพวกเขาก็จากไปแล้วเช่นกัน 


 


 


จีเฉวียนและตู๋กูซิงหลันกวาดตามองขึ้นไปอยู่ครู่หนึ่ง 


 


 


“ฝ่าบาท บุรุษดอกท้อผู้นั้นไม่อยู่แล้ว” ตู๋กูซิงหลันมองดูหมู่เมฆบนท้องฟ้า ก็คิดถึงบุรุษรูปงามชุดม่วงผู้นั้น 


 


 


จีเฉวียนปราศจากคำพูด แต่ประกายในดวงเนตรหงส์กลับเข้มขึ้นกว่าเดิม 


 


 


ครั้งนี้เขามิได้รีบร้อนพาตู๋กูซิงหลันเดินทางแล้ว เห็นเขายืนอยู่ริมหน้าผา ปล่อยวิญญาณทมิฬให้กลับไปอยู่บนบ่าของตู๋กูซิงหลัน จากนั้นพระหัตถ์ทั้งสองแสดงปางมือออกมา ริมพระโอษฐ์ร่ายคาถา 


 


 


เพียงครู่เดียว ฉลองพระองค์ก็โบกโบยขึ้นมา 


 


 


บนร่างของเขาปรากฏกลุ่มแสงสีดำที่เข้มข้นขุมหนึ่ง จากนั้นแสงสีดำก็เคลื่อนออกจากร่างของเขา ค่อยๆ กลายเป็นเงาร่างสีดำสูงสามเมตรอยู่ด้านข้าง 


 


 


เงาสีดำนั้นมีปีกสองข้าง รูปร่างคล้ายกับกิเลน [1] บนหัวของมันมีเขาที่ทั้งยาวและแหลมคมคู่หนึ่ง รอบปากยังมีหนวดสีดำมากมายหลายเส้น 


 


 


ยามที่เจ้าตัวนี้ปรากฏตัวขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ตกใจแทบจะกระโดดแล้ว 


 


 


นี่คือ….สัตว์อสูรที่จีเฉวียนทำพันธสัญญาด้วย? 


 


 


จีเฉวียนสร้างความประหลาดใจให้กับนางเป็นระลอก นางคิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะมีกระทั่งสัตว์อสูรในพันธสัญญา 


 


 


ก่อนหน้านี้ช่างเก็บงำได้ดีนัก! 


 


 


สัตว์อสูรในพันธสัญญา ในโลกปัจจุบันนั้นมีแต่ยอดนักพรตระดับสูงเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะครอบครอง สัตว์อสูรเหล่านี้ ก่อนที่จะถูกกำราบได้นั้นโดยมากล้วนดุร้ายอย่างยิ่ง หากไม่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ย่อมไม่มีทางที่จะกำราบและควบคุมพวกมันเอาไว้ได้ 


 


 


นี่ยิ่งแสดงให้เห็นชัดเลยว่า จีเฉวียนนั่นมิใช่ธรรมดา 


 


 


เจ้าตัวนี้ยังมีร่างจิตเพียงครึ่งเดียว มันคล้ายดั่งหลุมดำกลุ่มหนึ่ง สามารถมองร่างเห็นเพียงคร่าวๆ เท่านั้น แม้แต่นางก็ยังมองไม่ออกว่าเจ้าสิ่งนี้ที่จริงแล้วคืออะไรกันแน่ 


 


 


“โอ้โห สุดยอดไปเลย” วิญญาณทมิฬกอดคอตู๋กูซิงหลันเอาไว้ ยามที่เจ้าตัวนี้โผล่ออกมา มันก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่หนักหน่วง แม้แต่ตัวมันเองก็แทบจะทนไม่ไหว 


 


 


ที่แท้เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี้เก่งกาจมากเลยหรือ? แม้แต่สัตว์อสูรพันธสัญญาก็ยังมีระดับที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ 


 


 


แม้แต่มันเองก็ยังไม่เคยเห็น ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ 


 


 


จีเฉวียนมิได้ตรัสอะไร หากแต่กอดเอวตู๋กูซิงหลันเอาไว้อีกครั้ง สะกิดปลายเท้านิดเดียวก็ขึ้นไปอยู่บนหลังของสัตว์อสูรแล้ว 


 


 


สัตว์อสูรตัวนี้ถึงแม้ว่าจะมีร่างจิตเพียงแค่ครึ่งเดียว แต่ยามที่ยืนขึ้นมา ก็สามารถรู้สึกได้เลยว่าบนร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกล็ดใหญ่โตแผ่นหนา 


 


 


“เมียเมีย [2] ขึ้นไปบนเขาเทียนซานช้าๆ” จีเฉวียนออกคำสั่ง 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “เมียเมีย?” 


 


 


“นี่เป็นชื่อของมัน เจ้าจะเรียกมันว่าเมียน้อยก็ได้” จีเฉวียนตรัสอย่างพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสี พระทัยก็ไม่ตื่นเต้น 


 


 


มุมปากของตู๋กูซิงหลันถึงกับเหยเกไปแล้ว 


 


 


พูดกันตามจริงเลยนะ นางรู้สึกว่าจีเฉวียนกับหยวนเฟยสมควรจะเป็นพี่น้องกัน ก็ดูรสนิยมในการตั้งชื่อของคนทั้งคู่สิ 


 


 


ตัวหนึ่งก็หวังฉาย ตัวหนึ่งก็เมียเมีย เข้าขากันดีมากเลย 


 


 


ทันใดนั้นนางก็รู้สึกขึ้นมาว่าชื่อของวิญญาณทมิฬยิ่งใหญ่เกรียงไกรขึ้นมาเลยทีเดียว แม้แต่ติ๊งต๊องก็ยังฟังดูทันสมัยกว่าเลย 


 


 


เมื่อได้รับพระบัญชา เมียเมียก็หุบปีกเอาไว้ด้านข้าง ขยับอุ้งเท้า วิ่งตึงตึงมุ่งหน้าเข้าไปในป่า 


 


 


ยามมันวิ่งคล้ายกับการก้าวกระโดดไปข้างหน้า เชิดหัวยืดอก ทุกครั้งที่ขยับอุ้งเท้าเป็นต้องส่ายสะโพกโยกหางครั้งหนึ่ง 


 


 


แต่เมื่อประกอบกับร่างกายที่ใหญ่โตโอฬารของมัน ดูไปแล้วจึงมิได้แปลกประหลาดสักเท่าไร 


 


 


ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬได้แต่ทำสีหน้าปวดใจอย่างทำอะไรไม่ได้ 


 


 


เดินไปได้ไม่ทันไร ก็บังเอิญเจอกับจระเข้ยักษ์ ที่โผล่หัวใหญ่ๆ ออกมาพุ่มหญ้ารกชัฏตัวหนึ่ง 


 


 


จระเข้ยักษ์ยังไม่ทันได้อ้าปากขึ้นมา ก็ถูกสัตว์อสูรของจีเฉวียนกระทืบด้วยเท้าเดียวจนแหลกเละไปแล้ว 


 


 


กลิ่นคาวโลหิตพวยพุ่งขึ้นมา ฟุ้งกระจายไปทั่วพงหญ้า 


 


 


ในที่สุดมันก็หยุดลง มองดูใต้อุ้งเท้าที่เลอะเทอะไปด้วยเลือดสดๆ มันตกตะลึงไปครู่ใหญ่ก็ส่งเสียงร้องออกมาครั้งหนึ่ง “เมีย~” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันและวิญญาณทมิฬ “!!!” 


 


 


เสียงแบบนี้มัน ให้ตายเถอะแม่เอ๊ย 


 


 


นี่ที่ฮ่องเต้สุนัขตั้งชื่อให้มันว่าเมียเมียก็นับว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง 


 


 


“ฝ่าบาท มันเป็นแกะหรือเพคะ?” ตู๋กูซิงหลันทั้งตื่นตระหนกและขัดเขินนางอดจะใช้ฝ่ามือทาบอกไม่ได้ 


 


 


จีเฉวียนส่ายพระเศียร “ตอนยังเด็กมันดื่มนมแกะจนเติบโต เลยร้องเมียเมียมาจนติด” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” สัตว์อสูรสุดรักสุดหวงนี้เขาเลี้ยงดูมันตั้งแต่เด็กจนโต? 


 


 


“เมียเมียมีนิสัยอ่อนโยน บางครั้งไม่ทันระวังไปเหยียบสิ่งมีชีวิตตาย มันกำลังสำนึกเสียใจ” จีเฉวียนตรัสอย่างเป็นเรื่องสามัญธรรมดา 


 


 


พอตรัสพึ่งจบไป ก็เห็นเมียเมียก้มหัวลง ทันใดนั้นก็อ้าปากกว้าง กลืนกินร่างของจระเข้ยักษ์ลงท้องไปในคำเดียว 


 


 


วิญญาณทมิฬสะดุ้งตกใจจนเกือบจะฉี่ราด 


 


 


แบบนี้ที่บ้านพ่อเรียกว่านิสัยอ่อนโยน? ฮ่องเต้สุนัขเข้าใจคำว่าอ่อนโยนสองคำนี้ผิดไปหรือไม่? 


 


 


ตู๋กูซิงหลันเองก็ทำปากเหวอ รู้สึกว่าที่ก่อนหน้านี้ตนเองไปหาเรื่องตายต่อหน้าจีเฉวียน แต่แล้วยังไม่ได้ถูกเขาฆ่าตาย ต้องนับว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์แล้ว 


 


 


“เมียเมียติดตามเราอยู่เสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตก็รู้ดีว่าไม่ควรทำอะไรให้สิ้นเปลือง ถึงมันจะสำนึกเสียใจ แต่ว่าร่างของเจ้าจระเข้ตัวนี้ทิ้งเอาไว้ก็มีแต่จะบูดเน่าเสียเปล่า มันกินลงไปก็ช่วยเก็บกวาดไปเรื่องหนึ่ง” 


 


 


ฝ่าบาทยังคงตรัสโดยพระพักตร์ไม่เปลี่ยนสีต่อไป 


 


 


ระหว่างที่พูดคุยกัน เมียเมียก็เริ่มกระโดดโลดเต้นขึ้นมา ราวกับแกะที่เสียสติ มันพุ่งไปทางซ้ายแล้วก็ย้ายไปทางขวาเข้าไปในกลางป่าลึก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันนั่งอยู่บนหลังของมัน รู้สึกหัวสั่นตัวคลอนราวกับนั่งรถไฟเหาะ 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าฮ่องเต้สุนัขคอยกระหนาบอยู่ข้างกายนางตลอดเวลา นางกับวิญญาณทมิฬคงจะถูกเหวี่ยงหล่นลงไปนานแล้ว 


 


 


กระโดดไปสักพัก เมียเมียที่อ่อนโยนก็เหยียบงูหลามดำตัวเขื่องตายไปอีกตัว 


 


 


งูหลามดำถูกเหยียบจนกระดูกหักไปหลายท่อน แต่ร่างของมันยังคงพยายามฝืนต้านทาน ก็ถูกเมียเมียใช้อุ้งเตะหัวขาดกระเด็น 


 


 


มันก้มหัวลงไปด้วยความรู้สึกผิด ใช้จมูกเขี่ยดูเล็กน้อย พอแน่ใจว่าตายแน่นอนแล้ว ก็อ้าปากชุ่มเลือดขึ้นมา งูเหลือมดำก็ถูกมันกลืนลงไปจนเกลี้ยงเกลา 


 


 


วิญญาณทมิฬรู้สึกหัวชา มันรู้สึกว่าตนเองคงต้องยอมถอยออกจากตำแหน่งจอมตะกละเสียแล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 麒麟 


 


 


[2] 咩咩 : เสียงแม่แกะร้องเรียกลูก  

 

 


ตอนที่ 262 รุ่งเรืองสู่ล่มสลาย

 

ต่อให้เป็นเจ้าติ๊งต๊องก็ยังสู้เจ้านี่ไม่ได้เลย!


 


 


ขนาดตู๋กูซิงหลันยังได้แต่กลืนน้ำลายลงไป นางมองดูหัวงูยักษ์ที่ถูกเหยียบเละเสียจนจะกลายเป็นซอสเนื้อ ก็ชักจะรู้สึกรับไม่ไหวขึ้นมา


 


 


นางชักจะเชื่อแล้วว่าความรู้สึกที่ฮ่องเต้สุนัขมีให้นางนั้นคงจะเป็นเรื่องจริงอยู่บ้าง


 


 


มิเช่นนั้นไม่ต้องให้เขาลงมือ แค่ส่งเจ้าเมียเมียนี่ออกมาก็สามารถทำให้นางลอยไปสวรรค์ได้แล้ว


 


 


“ไม่ต้องกลัว เมียเมียใจดีมากจริงๆ” ฮ่องเต้เอาแต่ย้ำเตือนอยู่ข้างกายนางตลอด


 


 


ใช่สิ ใจดีมากเลย ไม่เห็นหรือว่าตลอดทางที่กระโดดไปกระโดดมานี้ มันเหยียบสัตว์อื่นตายไปเจ็ดแปดตัวแล้ว


 


 


ยิ่งลึกเข้าไปในป่า พลังวิญญาณยิ่งมาก สิ่งมีชีวิตก็ยิ่งหลากหลาย


 


 


พงหญ้าสูงเท่าตัวคน ใบไม้แต่ละใบใหญ่เท่าร่มคันเล็กๆ


 


 


อากาศชื้นจัด ทั้งยังมีหยดน้ำค้างไหลลงมาจากใบไม้อยู่ไม่ขาด


 


 


ฮ่องเต้ทรงถอดฉลองพระองค์ชั้นนอกของตนเองออกมา คลุมไว้เหนือพระเศียร ให้พระองค์และตู๋กูซิงหลันหลบอยู่ด้านใน


 


 


“น้ำในป่าส่วนมากมีพิษ หากหล่นลงมาโดนใบหน้าก็อาจจะทำให้เสียโฉมได้


 


 


น้ำค้างหยดติ๋งติ๋งลงมาตลอดเวลา แต่ละครั้งเป็นต้องทำให้วิญญาญทมิฬต้องรู้สึกเหมือนถูกราดด้วยน้ำเย็น


 


 


วิญญาณทมิฬที่ไม่เกิดเรื่องอะไรทั้งสิ้นก็อดที่จะกรอกตาบนไม่ได้ มันไม่เห็นที่จะหน้าเละเสียโฉมตรงไหนเลย?


 


 


ความสามารถในการพูดโกหกของฮ่องเต้สุนัขช่างไร้ขีดจำกัดจริงๆ


 


 


ตอนนั้นก็เป็นเพราะฝีปากแบบนี้แหละที่สามารถทำให้รองมหาเสนาบดีผู้นั้นป่วยจนลุกไม่ขึ้น


 


 


ตอนนี้ก็ยังจะเอาคำพูดเหลวไหลเลอะเทอะเหล่านั้นมาไล่จีบตู๋กูซิงหลันอีก


 


 


ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันแทบจะแนบติดกับเขา แค่ผินใบหน้าไปเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นดวงพักตร์งดงามที่ไร้ตำหนินั้นได้


 


 


ขนตายาวๆ ของเขามีละอองน้ำเกาะอยู่ ดวงตาเป็นประกายสดใสดั่งลูกแก้ว เมื่ออยู่ในป่าแห่งนี้ก็สะท้อนสีเขียวจางๆ ออกมา


 


 


ขณะที่นางกำลังใจลอยอยู่นั้น เมียเมียที่แสนจะใจดีก็กระโดดโลดเต้นอีกครั้ง


 


 


“เมีย~ ”


 


 


รอบนี้พอมันกระโดด เลยทำให้ตู๋กูซิงหลันโผเข้าไปหาจีเฉวียน ริมฝีปากแดงดุจกลีบดอกไม้ของนางประทับลงไปบนมุมพระโอษฐ์


 


 


ฮ่องเต้พลิกพระหัตถ์โอบเอวนางเข้ามาในทันที จากนั้นก็ขยับเข้าไปจุมพิตมุมปากของนางครั้งหนึ่ง


 


 


พระอารมณ์ดีอย่างยิ่ง “เสี่ยวซิงซิง จะเป็นฝ่ายจู่โจมหรือ?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…..” พูดไปท่านก็คงไม่เชื่อ มันเป็นเพราะฝีมือของเจ้าเมียเมียต่างหาก


 


 


“อยากจูบเรา จะจูบเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแอบจู่โจมหรอก” ฮ่องเต้สุนัขทำเป็นไม่รู้เรื่องใดๆ ทั้งสิ้น มุมพระโอษฐ์ขยับยก “หากว่าเสี่ยวซิงซิงชมชอบการจู่โจมแบบนี้ละก็ เราก็ยินดีจะร่วมมือ”


 


 


ตู๋กูซิงหลันปวดฟันไปหมดแล้ว


 


 


นางกรอกตาอยู่ในใจไปหลายรอบ หากไม่ใช่เพราะว่าเขาหน้าตาดีเหลือเกินแล้วล่ะก็ คำพูดแบบนี้ วิธีการเช่นนี้ มันเลี่ยนเกินไปแล้วจริงๆ


 


 


จีเฉวียนเชยคางของนางขึ้นมา ประทานจุมพิตลงไปที่มุมปากของนางอีกครั้ง


 


 


“จูบเราครั้งหนึ่ง เราต้องเอาคืนเป็นสองครั้ง”


 


 


จุมพิศดุจแมลงปอแตะผิวน้ำ ทำให้หัวใจผู้คนคันนิดๆ


 


 


คงเพราะถูกเขาจูบไปหลายทีแล้ว ตู๋กูซิงหลันจึงชักจะไม่ค่อยกังวลมากเท่าไร


 


 


นางหันหน้าไปทางอื่น ไม่คิดจะต่อความอีก


 


 


วิธีการหยอกนิดหยอดหน่อยกับมารดาเลี้ยงตัวน้อยเช่นนี้ ไม่นับว่าสง่างามในที่ใด


 


 


เมื่อมองออกไป ก็เห็นว่าเมียเมียกำลังพาพวกนางปีนขึ้นไปบนยอดเขาเรื่อยๆ


 


 


บนยอดเขามีหิมะเกาะบางๆ


 


 


ภูเขาแห่งนี้มีสี่ฤดู เชิงเขาเป็นหน้าร้อน ยอดเขาเป็นหน้าหนาว


 


 


ยามนี้บนท้องฟ้ามีละอองหิมะตกลงมาน้อยๆ บนพื้นจึงลื่นมาก บนยอดเขามีทั้งลมทั้งหิมะ จึงหนาวเย็นอย่างที่สุด


 


 


ตลอดทางที่ผ่านมาเมียเมียกินสัตว์อสูรต่างๆ มาไม่น้อย ตอนนี้จึงต้องเรอออกมาชุดใหญ่ จากนั้นก็นั่งหมอบอยู่บนยอดเขามองดูทิวทัศน์โดยรอบ


 


 


มันอ้าปากแลบลิ้นเลียอากาศอยู่ไปมา จนหนวดยาวๆ รอบๆ ริมฝีปากพลอยกระดุ๊กกระดิ๊กไปด้วย


 


 


ยิ่งมันทำกริยาเช่นนี้ ดูไปแล้วยิ่งคล้ายแพะตัวใหญ่จริงๆ


 


 


เมื่อมองจากยอดเขาลงไป ก็ยิ่งเป็นภาพที่สวยสดงดงามเกินบรรยาย


 


 


ภูเขาลูกนี้ยังไม่ใช่ลูกที่อยู่สูงที่สุด แต่ก็มีระดับเดียวกับทะเลหมอกแล้ว


 


 


ราวกับว่าได้อยู่บนสวรรค์ ทะเลหมอกสีขาวมากมายม้วนตัวเป็นคลื่นอยู่ด้านหน้า ไม่ไกลจากที่ที่พวกเขาอยู่คือภูเขาเทียนซานที่เป็นจุดศูนย์กลาง


 


 


ส่วนบนของภูเขาเทียนซานล้วนอยู่เหนือหมู่เมฆขึ้นไป มองเผินๆ ดูดำทะมึนไปหมด ราวกับว่าภูเขาทั้งลูกถูกสีดำย้อมลงไป


 


 


ทั้งๆ ที่เห็นว่าบนท้องฟ้ากำลังมีหิมะตก แต่พอตกลงมาบนภูเขาเทียนซาน กลับกลายเป็นสีดำไปหมด


 


 


“ภูเขาเทียนซานลูกนั้น เดิมทีเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของแคว้นเซอปี่ซือ” จีเฉวียนพาตู๋กูซิงหลันมายืนอยู่บนหัวไหล่ของเมียเมีย มองดูเทียนซานที่ห่างไปไม่ไกล ฉลองพระองค์ตัวนอกยังคลุมอยู่เหนือศีรษะของทั้งคู่ ลมบนยอดเขาพัดมาไม่ขาด ทำให้ฮ่องเต้ที่แต่เดิมก็มีพระวรกายเย็นยะเยือกอยู่แล้วยิ่งหนาวเย็นกว่าเดิม


 


 


ยังดีที่เจ้าอ้วนน้อยข้างพระองค์ร่างกายอบอุ่นเป็นปกติ สำหรับจีเฉวียนตอนนี้นางอบอุ่นเหมือนเตาอุ่นใบน้อยเลยทีเดียว


 


 


จีเฉวียนยืนแนบชิดกับนาง หยิบยืมไออุ่นจากนางอย่างอาจหาญมาเสริมความอบอุ่นให้กับร่างกายของตนเอง


 


 


แคว้นเซอปี่ซือเป็นแคว้นที่ประหลาดนัก คนในแคว้นนี้มีอายุยืนยาว ครอบครองทรัพยากรเหล่านี้ ใช้อย่างไรก็ไม่มีวันหมดสิ้น แต่สุดท้ายแว่นแคว้นกลับล่มสลายเพราะความเกียจคร้าน เจ้าเชื่อหรือไม่?”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน ‘เชื่อกับผีนะสิ มันจะมีเรื่องที่ทั้งแคว้นพากันขี้เกียจจนตายได้ที่ไหนกัน?’


 


 


นับตั้งแต่เข้ามาในหุบเขา ก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณที่เข้มข้น นางก็รู้แล้วว่าความลับที่ทำให้มีอายุยืนยาวของแคว้นเซอปี่ซือนั้นจะต้องเกี่ยวพันกับพลังวิญญาณเหล่านี้แน่


 


 


ส่วนเรื่องที่พากันขี้เกียจจนตายไปทั้งแคว้นนั้น ช่างไร้สาระจนเกินไปแล้ว


 


 


นางส่ายศีรษะ “สวรรค์มีความยุติธรรมเสมอ ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่คงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ การมีชีวิตยืนยาวเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี”


 


 


“หรืออาจบางที สวรรค์ได้มอบช่วงชีวิตที่ยืนยาวให้กับพวกเขา แต่กลับดึงเอาบางสิ่งไป ฝ่าบาททรงสนพระทัยในสาเหตุการล่มสลายของแคว้นเซอปี่ซือหรือเพคะ?”


 


 


จีเฉวียนเงียบงันไปชั่วครู่ ค่อยตรัสตอบว่า “เรามักจะครุ่นคิดว่า ภายภาคหน้าแคว้นต้าโจวจะมีอนาคตเช่นไร”


 


 


ในขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น จะต้องรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ทำให้แคว้นต้าโจวกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่ ขยายไปในทุกทิศทุกทาง


 


 


แต่เมื่อเขาจากไปแล้ว ชะตาของต้าโจวจะกลายเป็นเช่นไร?


 


 


“ที่ว่าข้ามผ่านประวัติศาสตร์นานนับศตวรรษล้วนเป็นแค่อุดมคติ ความเป็นไปในโลกล้วนจากกระจัดกระจายเป็นหลอมรวม จากหลอมรวมเป็นแตกแยก น้ำมากไปก็หลากล้น พระจันทร์กลมแล้วยังต้องเว้าแหว่ง สมบูรณ์แล้วบกพร่อง ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไม่หยุดนิ่ง ฝ่าบาทเพียงกระทำทุกสิ่งในยามนี้ให้ดีก็พอแล้ว เรื่องของอนาคตก็ปล่อยให้ลูกหลานจัดการชะตาชีวิตของพวกเขาเองเถอะ ถึงท่านจะเป็นฮ่องเต้แต่ก็ไม่อาจอยู่ได้ไปชั่วนิรันดร์”


 


 


ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะกล่าวอะไรที่เป็นจริงเป็นจังเช่นนี้ ทำให้จีเฉวียนต้องมองดูนางอีกหลายรอบ


 


 


ปกติแล้วการแสดงออกของตู๋กูซิงหลันย่อมมิใช่เช่นนี้


 


 


“ตกลงแล้วเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?” เมื่อมองดูใบหน้าที่กลมดั่งซาลาเปาของนาง เขาก็อดจะไถ่ถามไม่ได้


 


 


ตู๋กูซิงหลันตกตะลึงไปครู่หนึ่ง สมองที่โดนลมหนาวพัดโชยใส่อยู่ตลอดพลันได้สติขึ้นมาไม่น้อย


 


 


ที่จีเฉวียนถามนางเช่นนี้ หรือเพราะรู้แล้วว่าภายใต้เนื้อหนังที่ห่อหุ้มนี้เป็นดวงจิตอีกดวงหนึ่ง?


 


 


แต่ก็ช่างเถอะ คนที่มีฝีมือแข็งแกร่งเช่นเขา ปิดบังไปยังจะได้อะไร?


 


 


ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบพระองค์ ก็ได้ยินจีเฉวียนตรัสว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ต่อไปภายภาคหน้าก็คือสตรีของเรา”


 


 


“เสี่ยวซิงซิง ที่ผ่านมาเราล้วนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง หัวในของเราเหน็บหนาวตั้งแต่เล็กจนโต เราหวังว่า ในอนาคตเมื่อรวบรวมแผ่นดินได้แล้ว เจ้าจะอยู่เคียงข้างเราเหมือนตอนนี้ มองดูแผ่นดินร่วมกัน”


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “ไม่เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันหนาวมากแล้ว!”


 


 


ว่าแล้วนางก็ใช้มือลูบลงไปบนพระศอ ฝ่ามือของนางก็เย็นเป็นน้ำแข็ง ไม่ได้ดีไปกว่าเขาสักเท่าไหร่ “ดูสิเพคะ หนาวจนแข็งไปหมดแล้วใช่ไหม?”


 


 


เมื่อครู่จีเฉวียนสู้อุตส่าห์กลั่นอารมณ์ออกมา อยู่ๆ ก็ถูกนางทำลายบรรยากาศเสียหมดสิ้น


 


 


สตรีผู้นี้…..ช่างรู้จักยั่วโมโหผู้คนดีนัก!


 


 


 


 


——


 


 


* รุ่งเรืองสู่ล่มสลาย 盛极必衰 shèng jí bì shuāi

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)