ท่านเทพมาแล้ว 259-262

 บทที่ 259 หนีไม่รอดแล้ว!

โดย

Ink Stone_Romance

ใจมู่จิ่วรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ทำได้เพียงเก็บซ่อนไว้


แต่ก่อนนางรู้สึกเพียงว่าการเปิดเผยเรื่องฉางเอ๋อร์ออกมาจะเป็นภาระที่ใหญ่เกินกว่านางแบกรับไหว แต่ภายหลังตั้งแต่กลับมาจากภูเขาเรือนางกลับเริ่มมีความคิดใหม่ หากอวี้ตี้กับฉางเอ๋อร์เป็นชู้กัน แบบนั้นฉางเอ๋อร์จะไปสถานที่ฝังกระดูกของต้าอี้ทำไม? นางจะร้ายจนแม้แต่ร่างสามีที่ตายไปแล้วหลายหมื่นปียังไม่ยอมปล่อยผ่านเลยหรือ?


ในใจนางไม่เชื่อเท่าไหร่ว่าฉางเอ๋อร์จะเป็นคนแบบนั้น


ต่อจากนั้นนางเริ่มคิดถึงเรื่องที่เห็นวันนั้นในเมืองต้าหนิง ถึงแม้อวี้ตี้ลอบไปนัดพบจริง แต่พูดกันอย่างชัดเจน เขาก็ยังไม่ได้ทำอะไรผิดธรรมนองคลองธรรมกับฉางเอ๋อร์ กระทั่งยามนั่งทั้งสองคนยังมีโต๊ะขวางกั้น และยังอยู่ในระเบียงเปิดโล่ง ฉางเอ๋อร์ก็ไม่ได้มีใจยั่วยวน อาศัยเรื่องเหล่านี้จะยืนยันได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นชู้กัน?


แต่ไหนเลยนางจะกล้าพูดเรื่องเหล่านี้กับหวังหมู่ จากท่าทางของหวังหมู่ ไม่แน่ว่าในมืออาจยังมีหลักฐานอื่นอีก หากนางพูดช่วยพวกเขา ไม่แน่ว่าคนที่โดนอาจเป็นนางเอง


เรื่องนี้จึงหยุดชะงักลงแบบนี้


เรื่องจุกจิกในหน่วยจัดการอย่างไรก็ไม่หมด วันนี้มีเรื่องต้องเข้าวังพอดี คิดดูแล้วไม่ได้พบหวังหมู่มาหลายวันแล้ว มู่จิ่วจึงส่งรองผู้บัญชาการไปก่อน ตอนนี้ไม่พบหน้าจะดีกว่า นางกลัวว่าพบหวังหมู่แล้วจะเปิดปากบอกเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา


ไหนเลยจะรู้ว่ารองผู้บัญชาการเพิ่งกลับมารายงานเรื่องเสร็จ ขณะนางกำลังพลิกบันทึกคดี ก็พลันรู้สึกว่าที่ประตูมีกลิ่นหอมเพิ่มขึ้นมา จากนั้นมีเงาวูบผ่านมาตรงหน้า ประตูปิดดังปึง! ครั้นมองในห้องอีกครา มีคนใบหน้าบึ้งตึงยืนอยู่ตรงหน้า มงกุฎหงส์ เครื่องยศสายสะพาย ประดับประดาไปด้วยของมีค่า กลิ่นอายสูงศักดิ์นี้ เป็นหวังหมู่ที่นางหลบหน้ามานานนั่นเอง!


“เหนียงเหนียง!”


มู่จิ่วผลุงตัวยืนขึ้นมา ชะงักไปสามวินาที จากนั้นโน้มตัวค้ำประตูมองออกไปข้างนอก


หวังหมู่หยิบพัดขึ้นมาเคาะหัวนาง “ดูอะไร ใครก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”


มู่จิ่วกุมหัวหันกลับมา พูดอย่างอึดอัดว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าหวังให้คนมาช่วย? ข้าเพียงดูว่าด้านนอกไม่มีคนแอบฟังเท่านั้น!”


ช่างหนีไม่พ้นจริงๆ นางเป็นถึงเหนียงเหนียงมารดาแห่งสวรรค์ กลับมาหามู่จิ่วด้วยตนเอง!


หวังหมู่ยิ้มเยาะเย้ยไม่หยุด ยกสายสะพายบนร่าง ก่อนนั่งลงไปบนเก้าอี้ของนางอย่างมั่นคง “เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล่ะ?”


รู้แล้วว่านางมาเพราะเรื่องนี้


“ทูลตอบเหนียงเหนียง ช่วงนี้สืบหาอะไรไม่ได้จริงๆ เซียนหญิงในสามภพมีมากเกินไป แต่ละคนก็งดงามมากจนข้าดูไม่ออกว่าเป็นใคร”


นางโกหกได้อย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยไม่ได้ การทำงานราชการต้องเรียนรู้ไว้หน่อย แต่ก่อนนางรู้สึกว่าหลิวจวิ้นกะล่อนเกินไป แต่ตอนนี้รู้สึกว่าอาศัยอยู่ในสวรรค์ หากไม่กลายเป็นอย่างเขาคงลำบากแย่


“ดูไม่ออก?” หวังหมู่ยิ้มตาหยีมองนาง พลางกวักมือเรียก “เจ้าเข้ามา”


มู่จิ่วยืนนิ่งไม่ขยับ


หวังหมู่เงื้อพัดขึ้นมา มู่จิ่วก็ลอยเข้าไปอยู่ตรงหน้านางโดยไม่รู้ตัว!


“เหนียงเหนียง!”


ใบหน้ามู่จิ่วทุกข์ตรมอยู่ตรงหน้าหวังหมู่ แม้แต่หายใจยังรู้สึกต้องใช้เรี่ยวแรง


“ยังไม่พูดความจริงอีก?” น้ำเสียงหวังหมู่เย็นเยียบ


นางรับไม่ไหวแล้ว ไม่ว่าทางไหนก็ตายทั้งนั้น มิสู้พูดออกไปเสีย นางช่วยเหลือพวกอวี้ตี้พวกเขาก็ไม่รู้ รู้แล้วก็ไม่แน่ว่าจะรู้สึกตื้นตันใจ อีกอย่าง หน้าที่ของนางคือรับผิดชอบตามหาเป้าหมายออกมาให้ได้ เรื่องถูกหรือผิดก็ไม่ใช่หน้าที่นางจะตัดสิน? นางให้กำลังใจตนเอง ก่อนพูด “เหนียงเหนียงต้องรับประกันว่าฝ่าบาทจะไม่รู้ว่าข้าเป็นคนพูด”


หวังหมู่มองนางอย่างพินิจ “ข้าดูเป็นคนไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรหรือ?”


มู่จิ่วทำคอให้โล่ง ครุ่นคิดสักครู่ก่อนพูด “ที่จริงวันก่อนข้าไปวังเหมันต์จันทรามา เห็นดอกโบตั๋นบนมวยผมของฉางเอ๋อร์ เหมือนกับดอกโบตั๋นซึ่งประดับอยู่บนผมของเซียนหญิงที่ข้าเห็นวันนั้น แต่ข้าไม่อาจแน่ใจได้ว่าคนที่ฝ่าบาทไปพบใช่นางหรือไม่ และข้าเดาว่าอาจจะไม่ใช่ อย่างไรก็ขอให้เหนียงเหนียงตรวจสอบ”


“ฉางเอ๋อร์?” ในสายตาหวังหมู่มีไอเย็นพาดผ่าน นางจ้องมองบานประตูที่ปิดแน่นอยู่นาน ก่อนแค่นเสียงเยาะเย้ย “ที่แท้ก็เป็นนางจริงๆ!”


มู่จิ่วกลับไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย นางสัมผัสได้ว่าก่อนหน้านี้หวังหมู่ก็คล้ายมีหลักฐานแล้ว แต่หวังหมู่ใจเย็นขนาดนี้ มิได้ยืนขึ้นและพุ่งไปหาอวี้ตี้ด้วยความโกรธทันทีตามที่จินตนาการไว้ จึงทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย


นางลองหยั่งเชิง “หรือเหนียงเหนียงรู้นานแล้ว?”


หวังหมู่กวาดตามองนาง “เจ้าไม่รู้จักชงชามาหรือ?”


มู่จิ่วถูกสั่งสอนจนไร้คำพูด รีบหาถ้วยมาชงชาให้ทันที


แต่ชงมานางก็ไม่ดื่ม เพียงหลุบตามองใบชาที่ลอยอยู่ก้นถ้วย ก่อนพูดช้าๆ “เดือนก่อน นางเคยอาศัยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่วังมาหาฝ่าบาท” พูดถึงตรงนี้หวังหมู่ก็มองมู่จิ่ว “ตอนที่ข้าไปป่าไผ่ม่วงตอนนั้น”


มู่จิ่วครุ่นคิด ตอนหวังหมู่ไปป่าไผ่ม่วงเป็นตอนที่นางไปรับอารมณ์เกรี้ยวกราดของอ๋าวเชินที่ทะเลสาบน้ำแข็ง


ยึดตามคำพูดนี้ พวกอวี้ตี้ก็ ‘เป็นชู้’ กันเมื่อไม่นานมานี้


แต่หากเปลี่ยนลู่ยาเป็นราชาที่ดูแลทั้งหกภพ และมู่จิ่วเป็นหวังหมู่ หากมีเซียนหญิงผู้หนึ่งอาศัยตอนนางไม่อยู่มาหาลู่ยา นางเหมือนจะไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้ประหลาดอะไรเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นความสัมพันธ์ปกติระหว่างผู้ใหญ่กับผู้น้อย หรือว่าการปฏิสัมพันธ์กันตามปกติก็ไม่อาจมีได้? หรือเพียงเพราะฉางเอ๋อร์งดงาม ดังนั้นหวังหมู่เลยระวังนาง?


มู่จิ่วพูด “ไม่ทราบว่าตอนที่ฉางเอ๋อร์มาพบฝ่าบาทเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน?”


หากเป็นกลางวัน แบบนั้นมู่จิ่วก็จะโน้มน้าวหวังหมู่ เฝ้าระวังเข้มงวดขนาดนี้ช่างเหนื่อยนัก และสิ่งที่ลู่ยาพูดก็มีเหตุผลของเขา หากอวี้ตี้ต้องการทำเรื่องเลวร้ายอะไรจริง ไหนเลยยังต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปถึงโลกมนุษย์? อีกอย่าง ตอนนั้นมู่จิ่วเห็นพวกเขานั่งคนละฝั่ง ก็ไม่มีพฤติกรรมเกินงามอะไรจริงๆ


“ตอนกลางคืน” หวังหมู่มองนาง สองคำนี้เหมือนก้อนน้ำแข็งที่ตรงออกมาจากปลายลิ้นนาง


มู่จิ่วนิ่งอึ้ง


“ข้าได้ยินเหล่าเด็กรับใช้พูดกัน ตอนนั้นเป็นเวลาจุดตะเกียงพอดี ฝ่าบาทดูหนังสืออยู่ในห้องทรงพระอักษร ฉางเอ๋อร์มาขอพบอย่างรีบร้อน จากนั้นผ่านไปนานถึงค่อยออกมา หลังจากวันนั้น การเคลื่อนไหวของฝ่าบาทก็มีลับลมคมใน”


หวังหมู่พูดถึงตรงนี้ก็ยืนขึ้นมา สายตาเจือความเย็นชา “สิ่งที่ข้าทนดูไม่ได้ที่สุดคือหญิงที่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว และข้าก็ไม่ชอบผู้ชายทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่รับผิดชอบ ทุกคนพูดว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิต โทษว่าข้าใจดำกับสาวทอผ้า รังแกซานเซิ่งหมู่ แต่กลับไม่เคยคิดว่าพวกนางเลือกหนทางผิดเองหรือไม่?


“ข้ามิได้ลงโทษพวกนางที่รักกับมนุษย์ แต่ลงโทษที่พวกนางไม่รักตัวเอง สำหรับผู้หญิง การทำตัวตามคำพังเพยที่ว่าแต่งกับไก่ก็อยู่กับไก่ แต่งกับสุนัขก็อยู่กับสุนัข ปล่อยให้เป็นไปตามบุญวาสนา ถึงจะเป็นการแสดงถึงความใจเด็ดของนาง หากพวกนางมองการณ์ไกลจริง ทำไมไม่โน้มน้าวให้อีกฝ่ายบำเพ็ญเป็นเซียน จากนั้นค่อยมีชีวิตอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า? แต่นี่กลับไม่สนใจสิ่งใด ละทิ้งฐานะลงไปเป็นมนุษย์”


“แท้จริงแล้วเป็นข้าที่ร้ายกาจ หรือพวกนางโง่เขลากันแน่? ชายที่พวกนางรักไม่ยินยอมรอจนเข้าสู่วิถีเซียนแล้วค่อยอยู่กับพวกนาง พวกเขาไม่มีแม้แต่ความมานะและความตั้งใจ กลับได้แต่รอให้พวกนางละทิ้งความเป็นเซียนมาอยู่ด้วยกัน นอกจากคอยแต่จะพล่ามพูดถึงข้อดีของสาวทอผ้า พาลูกสาวลูกชายมาเฝ้ารอที่ทางช้างเผือกแล้ว หนุ่มเลี้ยงวัวยังเคยทำอะไรอื่นอีกบ้าง?”


……………………………………………………


บทที่ 260 เคราะห์กรรมกลับชาติเกิดใหม่

โดย

Ink Stone_Romance

“เวลาแบบนี้เพียงพอให้เขาใช้ฝึกบำเพ็ญเป็นเซียน หากเขามีความมุมานะ ข้าย่อมไม่ทำให้เขาลำบาก เพียงแค่ไม่ผิดกฎ ให้เขาเป็นเซียนก็ไม่ใช่ปัญหา พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยมีอะไรไม่ดีกัน? นี่กลับเลือกเป็นคนคลั่งรักเฝ้าอยู่ทางช้างเผือก ให้คนในโลกมนุษย์ครหาใช้คุณธรรมกดดันข้า”


“คนผู้หนึ่งไม่ยอมละทิ้งสิ่งของที่ตนต้องใจ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยินยอมทุ่มเทเพื่อมัน”


“ในใต้หล้าไหนเลยจะมีความรักที่ไม่ต้องลงแรงก็ได้มา? พวกเขาเข้าใจว่าแค่ก้าวข้ามข้อห้ามแล้วอยู่ด้วยกันก็ชนะแล้ว กลับไม่รู้ว่าข้อห้ามนี้ไม่ใช่ข้าหวังหมู่กำหนดขึ้น แต่เป็นหกภพร่วมกันกำหนดขึ้นมาในตอนแรก ข้าเพียงทำเพื่อปกป้องกฎแห่งเซียนเท่านั้น ไม่อาจไม่เตือนได้ และพวกเขากลับรอการบำเพ็ญเพียรเพียงไม่กี่พันปีไม่ได้”


“แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มนุษย์ชายที่เหล่าเซียนต้องตาเหล่านั้น มีคนไหนบ้างที่เคยลำบากเพื่อพวกนาง?


“พวกนางโง่เขลา ข้าย่อมไม่รังเกียจให้พวกนางเรียนรู้ให้เข้าใจเสียหน่อย”


นางหยุดอยู่ที่ฉากกั้นลม สายตายังคงเย็นชา แต่บนหน้ากลับไม่มีความโกรธเคืองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


มู่จิ่วไม่รู้ว่าทำไมนางพูดเรื่องเหล่านี้ออกมา แต่คำพูดกลับมีเหตุผลของนางอยู่ เรื่องเหล่านั้นที่ได้ฟังตั้งแต่เล็กจนโต ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซียนหญิงถูกตาต้องใจมนุษย์ผู้ชาย ท้ายที่สุดยังคงเป็นฝ่ายหญิงเสียมากที่ได้รับโทษเพราะผิดกฎข้อห้าม สุดท้ายก็มีไม่มากนักที่จุดจบมีความสุข ก็ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร?


ระหว่างกำลังครุ่นคิด สายตาหวังหมู่เย็นชา จากนั้นพูดต่อ “ฉางเอ๋อร์เป็นความโง่อีกแบบ! ข้าเกรงว่านางคงเข้าใจว่าใกล้ชิดฝ่าบาท แล้วฝ่าบาทจะสามารถปกป้องนางได้! ไม่คิดให้ดีว่าอำนาจในวังหลังอยู่ในมือใคร!”


มู่จิ่วก็ไม่ชอบมือที่สามซึ่งแย่งคู่ครองของผู้อื่น แต่ตอนที่หวังหมู่ตำหนิฉางเอ๋อร์แบบนี้ ในใจนางลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเจอฉางเอ๋อร์ มู่จิ่วก็ไม่ได้มีความประทับใจที่ดีอะไรต่อนาง แต่หลังจากพบนางแล้ว นางก็รู้สึกว่าบางทีฉางเอ๋อร์อาจจะไม่ได้น่าสมเพชอย่างที่คนเขาคิดกัน


นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูด “เหนียงเหนียงอย่าเพิ่งโกรธ ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ยังต้องสืบก่อนค่อยว่ากัน”


“ยังต้องสืบอะไรอีก? เจ้าเห็นกับตาตัวเองไม่ใช่หรือว่าเครื่องประดับผมนั่นเหมือนกัน?” หวังหมู่เหลือบมองนางพลางพูดเรียบๆ


“ถึงพูดแบบนี้ อย่างไรก็ไม่แน่ว่าพบกันเพื่อเรื่องพรรณนั้น” มู่จิ่วพยายามอธิบาย “ท่านคิดดู เมื่อครู่ท่านบอกว่าฉางเอ๋อร์เข้ามาในวังยามค่ำคืนอย่างรีบร้อน หากนางมาหาฝ่าบาทเพราะมีเรื่องด่วนล่ะ? อย่างไรนางก็เป็นเซียนหญิงชั้นสูง ในฐานะเจ้าวัง มีธุระมาหาก็เป็นเรื่องปกติ”


“นางเพียงอยู่ในวังเหมันต์จันทราทั้งวันไม่ทำงานอะไร จะมีเรื่องด่วนใดได้?” หวังหมู่ไม่พอใจ ขมวดคิ้ว


มู่จิ่วไม่รู้ว่าจะพูดกับนางอย่างไรดี จึงเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดอย่างตะกุกตะกัก “อันที่จริง ข้าคิดว่าฉางเอ๋อร์อาจยังมีเรื่องอื่นอยู่เล็กน้อย”


“เรื่องอะไร?” หวังหมู่ถาม


มู่จิ่วตอบ “ท่านต้องรับปากข้าก่อนว่าจะไม่บอกผู้อื่น”


“พูดมากเสียจริง!” หวังหมู่ตำหนินาง ชะงักไปสักครู่ สุดท้ายก็เอ่ย “ข้ารับปาก พูดมา!”


มู่จิ่วรีบรับคำก่อนพูด “หลายวันก่อนตอนกำลังสืบหาที่มาของอาฝู ข้าพบว่าวันที่นางพาอาฝูเข้าสวรรค์มา นางไปภูเขาจิตอสุนีบาตกับอู๋กาง แต่นางยืนกรานปฏิเสธว่าไม่ได้ไปที่นั่น นางบอกว่าไม่ได้ไปที่ไหนเลย ตอนนั้นข้ายังเข้าใจว่านางปกปิดเรื่องที่พบอวี้ตี้มา ภายหลังถึงค่อยพบว่าไม่ใช่เลย”


หวังหมู่ก็นิ่งอึ้งไป “ภูเขาจิตอสุนีบบาต?”


“พูดให้ชัดคือภูเขาเรือด้านข้างเขาจิตอสุนีบาต เป็นและภูเขาเรือที่ฝังร่างของต้าอี้ไว้” มู่จิ่วบอกนาง


ที่จริงนางพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อช่วยฉางเอ๋อร์ แต่ตั้งแต่พบเสื้อผ้าปิ่นทองที่เหลียงจีฝังไว้ นางยิ่งรู้สึกว่าภูเขาลูกนั้นไม่ปกติ


ทำไมเหลียงจีจงใจเลือกภูเขาเรือที่พวกฉางเอ๋อร์หยุดแวะอยู่ล่ะ?


เพราะบนเขานั้นมีบางอย่างประหลาด ทำให้พวกนางไปเหมือนกัน หรือเพราะบังเอิญเท่านั้น?


วันที่อาฝูขึ้นเกี้ยวมาต้องเป็นวันที่เหลียงจีไปถึงภูเขาเรือวันนั้นแน่…เหลียงจีต้องเลือกส่งเขาจากไปตอนที่เขาสติแจ่มชัดหรือใกล้จะตื่นเต็มที่ เพราะนางที่เป็นแม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาแน่…แบบนั้นเหลียงจีรู้มานานแล้วหรือไม่ว่าฉางเอ๋อร์จะไปที่นั่น จุดนี้ก็ไม่อาจรู้ได้


“ภูเขาเรือ?” หวังหมู่ฟังจบก็ขมวดคิ้ว “นางไปจริงสินะ…”


มู่จิ่วพูดทันที “เหนียงเหนียงคาดเดาไว้ก่อนแล้วหรือว่านางจะไป?”


หวังหมู่กวาดตามองนาง กลับไปนั่งที่เดิมก่อนพูด “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนบอกว่าเหมือนเห็นนางออกมาจากภูเขาเรือ


มู่จิ่วพยักหน้า “แบบนั้นก็ใช่แล้ว อันที่จริงเรื่องนี้เริ่มมาจากที่ข้าสืบเรื่องเสือขาว” พูดจบนางก็เล่าเรื่องซื่ออินให้หวังหมู่ฟัง จากนั้นจึงกล่าว “ข้าบังเอิญสืบเจอเรื่องฉางเอ๋อร์ไปภูเขาเรือที่ฝังกระดูกของต้าอี้ไว้ และต้าอี้ตายไปแล้วหลายหมื่นปี ถึงตอนนี้ฉางเอ๋อร์ยังไปเยี่ยมเยือนภูเขาเรือ ต้าอี้ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่”


หวังหมู่เงียบอยู่ครู่ ก่อนพูด “ความหมายของเจ้าคือ ในใจของฉางเอ๋อร์ยังคงคิดถึงต้าอี้?”


“มิใช่ว่าไม่มีความเป็นไปได้นี้” มู่จิ่วพูดอย่างเป็นกลาง


หวังหมู่ขบคิด แล้วยืนขึ้นมาพูด “เจ้าตามข้ามา”


พูดจบนางจับข้อมือมู่จิ่วทันที ก่อนหายตัวไปจากห้องนั้นทันที


เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงวังหยกฟ้าด้านในสวรรค์


วังหยกฟ้าเป็นสถานที่ที่หวังหมู่จัดการงานราชการต่างๆ หลังจากมาถึงแล้ว นางมุ่งตรงเข้าไปตำหนักทางซ้าย


ประตูตำหนักมีเขตพลังอยู่ หวังหมู่ยื่นมือไปเปิด ด้านในห้องที่เมื่อครู่เป็นกำแพงสีขาวพลันเผยให้เห็นทิวทัศน์ด้านใน เห็นเพียงรอบด้านเป็นชั้นวางหนังสือ วางม้วนคัมภีร์สูงๆ ต่ำๆ ไว้ไม่น้อย บนคานและทิศทั้งสี่รวมทั้งหมดห้าด้านมีวิญญาณเทพเฝ้าอยู่ นิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย บนชั้นหยกใต้หน้าต่างมีเพียงภาชนะสำริด ด้านบนนั้นมีกระจกฟ้าดินวางอยู่ คงเป็นคู่กันกับกระจกฟ้าดินบานนั้นของทัพทหารสวรรค์


นอกจากนี้ ทิศใต้ภายในตำหนักยังวางกระถางวัวขนดำใบใหญ่ที่ทำจากสำริดไว้ บนกระถางวางบันทึกโบราณหนาขนาดสองชุ่นหนึ่งเล่ม ด้านล่างมีกลิ่นอายของมีค่าส่องสว่างออกมาจางๆ ทิ่มแทงสายตามาก คิดแล้วต้องเป็นบันทึกโบราณล้ำค่าประเภทเดียวกับ ‘บันทึกพลังฟ้าดิน’


หวังหมู่หยิบบันทึกขึ้นมาจากชั้นก่อนพลิกดู จากนั้นหยุดสายตาอยู่ที่หน้ากระดาษแผ่นหนึ่ง “ภูเขาเรือเหมือนจะมีปัญหาอยู่”


“พบเจออะไรหรือเจ้าคะ?” มู่จิ่วได้ยินก็รีบเดินขึ้นไปข้างหน้า “มีปัญหาอะไรหรือ?”


หวังหมู่ส่งบันทึกให้นาง “พูดอย่างชัดเจนคือการเวียนว่ายตายเกิดของต้าอี้มีปัญหา”


มู่จิ่วพลิกดูส่วนที่นางชี้ ด้านบนนั้นกลับไม่ได้เขียนอักษร เพียงวาดผังดวงชะตาไว้ และผังดวงชะตานี้ราวกับยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้


นางพูด “ไม่รู้ว่าตอนนี้จิตต้นกำเนิดของต้าอี้อยู่ที่ไหนแล้ว?”


หวังหมู่เอ่ย “เดิมทีเขาสามารถกลายเป็นเซียนได้ แต่ภายหลังให้ฉางเอ๋อร์กินยาวิเศษจนหมด เขาจึงทำได้เพียงไปเวียนว่ายตายเกิด ได้รับการเซ่นไหว้บ้างในโลก เวลานี้ข้าก็ไม่รู้แน่ชัดว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่คุณงามความดีเขามีมาก ถึงแม้จะลงไปในโลกมนุษย์ ทุกชาติภพก็ย่อมเกิดเป็นคนที่โดดเด่นแน่นอน ทว่าผังดวงชะตากลับแสดงว่าช่วงนี้เขากำลังมีเคราะห์”


……………………………


บทที่ 261 ฝ่าบาทสราญรมย์

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วพลันกระจ่าง นึกขึ้นได้จึงพูด “คราวก่อนที่ฉางเอ๋อร์กับฝ่าบาทนัดพบกัน ใช่เพื่อไปพบต้าอี้ที่ชาติใหม่หรือไม่?”


หวังหมู่ไม่ตอบรับอะไร เห็นชัดเจนว่านางยังไม่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจระหว่างฉางเอ๋อร์กับอวี้ตี้ทั้งหมด


“ถึงแม้ต้าอี้เจอเคราะห์กรรม ใช่ว่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับนาง?”


เรื่องนี้มู่จิ่วกลับพูดไม่ถูก


ปีนั้นฉางเอ๋อร์กับต้าอี้รักกันจึงได้ลงเอยกัน ถึงแม้หลงผิดชั่ววูบทิ้งต้าอี้ไป ก็ไม่จำเป็นว่าความรู้สึกนี้จะหายไปอย่างหมดจดจริง ถึงแม้ไม่มีใจแล้ว แต่อาจละอายใจก็เป็นไปได้


สิ่งที่นางสนใจคือภูเขาเรือ ตามที่คาดเดาเมื่อครู่ หากเหลียงจีรู้แต่แรกว่าฉางเอ๋อร์จะไปที่นั่น ต้องได้เบาะแสอะไรมาล่วงหน้าบ้าง แล้วเบาะแสของนางมาจากไหนล่ะ? นางอาศัยอยู่ที่โหย่วเจียงตั้งแต่เล็ก ไม่เพียงไม่คุ้นเคยกับฉางเอ๋อร์ อีกทั้งเป็นไปได้อย่างมากว่าแม้แต่สวรรค์ก็ไม่เคยมา แบบนั้นอาจเป็นไปได้ว่านางได้ยินเรื่องจะมีการเคลื่อนไหวบางอย่างในภูเขาเรือ เช่นนี้ฉางเอ๋อร์ต้องมาที่นี่แน่


การคาดเดาแบบนี้ เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าอย่างน้อยเหลียงจีไม่ได้ถูกจับขังจนขยับไปไหนไม่ได้


“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” หวังหมู่ถาม


นางรู้ว่าหวังหมู่มีอคติตั้งแต่เรื่องฉางเอ๋อร์หักหลังต้าอี้แล้ว จึงไม่เก็บมาใส่ใจ เพียงพูดว่า “ตอนนี้ข้ากำลังทำคดีอาณาจักรโหย่วเจียง ข้ารู้สึกเสมอว่าเหลียงจีน่าจะซ่อนตัวอยู่แถบภูเขาอสุนีบาต ดังนั้นนางจึงเสี่ยงตายส่งอาฝูไปภูเขาเรือ จากนั้นอาศัยเกี้ยวของฉางเอ๋อร์พาอาฝูออกมา ไม่ทราบเหนียงเหนียงรู้หรือไม่ว่าช่วงนี้ภูเขาอสุนีบาตมีการเคลื่อนไหวอะไร?”


ลู่ยาไม่ได้จัดการดูแลเรื่องในหกภพ ทำเพียงตัดสินถูกผิดในฟ้าดิน คงมีเรื่องมากมายที่เขาไม่รู้


แต่ถึงแม้หวังหมู่ไม่มีอำนาจ แต่นางอยู่ศูนย์กลางงานราชการของหกภพ เรื่องที่เกี่ยวข้องกันนางต้องกระจ่างชัดราวกับมองมือตัวเองแน่ อย่างเช่นม้วนบันทึกข้อมูลพวกนี้ นางกับอวี้ตี้ก็มีร่วมกัน


หวังหมู่คิดๆ ก่อนพูด “แต่ก่อนร่างของต้าอี้ฝังอยู่ทางตะวันออกของยอดเขาอสุนีบาต เพื่อกำหนดชะตากรรมของถิ่นทุรกันดารทางเหนือ หลังจากฝังเขาลงแล้วยังได้รับการดูแลจากฟ้าดิน ผ่านลมฝนมาหลายหมื่นปีก็สงบสุข ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ยินว่าที่นั่นมีเรื่องใดเกิดขึ้น


“เช่นนั้นฉางเอ๋อร์ไปทำอะไรที่นั่น?” คงไม่ได้ไปเยี่ยมหลุมศพหรอกกระมัง?


หวังหมู่ไม่พูดอยู่นาน ดูออกว่านางก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้


นางพลันเงยหน้าขึ้นมา หมุนตัวไปยังกระถางวัวขนดำนั้น แล้วเปิดบันทึกโบราณด้านบนขึ้นมาอ่านดู


บันทึกโบราณไม่ได้ทำจากกระดาษและไม่ได้ทำจากผ้า แต่ทำจากแผ่นหยกบางราวกับปีกจักจั่น แผ่นหยกแต่ละหน้ามีแสงสว่างลอยอยู่ หวังหมู่พลิกไปหยุดอยู่ที่หน้าหนึ่ง คิ้วขยับเล็กน้อยก่อนพลันพูด “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!”


“เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ?” มู่จิ่วก็รีบเดินเข้าไป


“ตอนนี้ต้าอี้เพิ่งไปเกิดที่ยุคต้าหนิงในโลกมนุษย์ เป็นราชาแห่งดินแดนสงบสุข แต่ตอนนี้เขากลับตกอยู่ในอันตราย ชะตาชีวิตเขาจะสิ้นสุดลง”


พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหวังหมู่ก็หนักอึ้ง


“สิ้นสุดลง?” มู่จิ่วชะงัก ว่ากันตามเหตุผล คนแบบต้าอี้ควรมีชีวิตยืนยาวนับหมื่นๆ ปี จะสิ้นสุดลงได้อย่างไร? หนำซ้ำต้าหนิงคืออาณาจักรที่คืนนั้นนางสะกดรอยตามอวี้ตี้ไปยังโลกมนุษย์ไม่ใช่หรือ? พูดแบบนี้ ฉางเอ๋อร์กำลังลำบากทำเพื่อต้าอี้ นางนัดอวี้ตี้มาที่เมืองต้าหนิงก็เพราะต้าอี้จริงๆ?


“หมายความว่าไม่มีชาติถัดไปอีกแล้ว” หวังหมู่เงยหน้าขึ้น ตอนนี้ดวงตาหงส์คู่นั้นมองไปแล้วเยียบเย็น “ต้าอี้ต้องไม่มีชะตาชีวิตแบบนี้แน่นอน ชะตาชีวิตของเขาข้าจำได้อย่างชัดเจน ทุกชาติภพพรั่งพร้อมทั้งเงินทองและอำนาจสงบสุข ถึงแม้ลำบากบ้างก็ต้องได้ชะตาชีวิตที่ดียิ่งกว่ามา ต้องมีคนลอบแก้ไขแน่นอน!”


มู่จิ่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี


ถึงแม้นางไม่คุ้นเคยกับต้าอี้ แต่เขาเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง และยังเป็นวีรบุรุษที่มีโศกนาฏกรรม อยู่ๆ ใครจะมาเปลี่ยนชะตาชีวิตของเขากัน? ใครจะมีความสามารถนี้? ใครที่มีปัญหากับเขาแบบนี้? ทำไมถึงจงใจเลือกเขา…


หรือเป็น…


“ฉางเอ๋อร์?!”


หวังหมู่พลันส่งเสียงออกมา เสียงไม่ดังนัก แต่กลับทำให้มู่จิ่วที่กำลังครุ่นคิดอยู่ตกใจ


ไม่แปลกที่พวกนางทั้งสองจะคิดเห็นตรงกัน ที่จริงมีเพียงฉางเอ๋อร์น่าสงสัยที่สุด ต้าอี้ตายไปแล้วหลายหมื่นปี จู่ๆ นางไปทำอะไรที่ภูเขาเรือ? และจากนั้นยังนัดอวี้ตี้ออกไปต้าหนิงเพื่ออะไร? หวังหมู่บอกว่าตอนนางมาหาอวี้ตี้อย่างรีบร้อนเป็นตอนที่หวังหมู่ไปป่าไผ่ม่วง เหตุใดฉางเอ๋อร์นัดเจออวี้ตี้บ่อยขนาดนี้?


อวี้ตี้สามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตเฉินผิงได้ แน่นอนว่าต้องเปลี่ยนชะตาชีวิตของต้าอี้ได้!


หรือฉางเอ๋อร์ไม่ได้เสียใจที่ขึ้นมาเป็นเซียนคนเดียว แต่ในใจยังอยากจะกำจัดต้าอี้ให้สิ้นซากมาตลอด?


เป้าหมายที่นางไปหาอวี้ตี้อย่างกะทันหัน เพียงเพราะต้องการให้เขาเปลี่ยนชะตาชีวิตของต้าอี้?


มู่จิ่วสับสนอยู่บ้าง


“พวกเราไปวังหลิงเซียว!”


เสียงของหวังหมู่หนักแน่น เดินออกจากตำหนักไป


มู่จิ่วเงียบไปนาน ก่อนตามออกไปทันที


แต่แรกสิ่งที่นางกลัวคือหวังหมู่แพร่งพรายเรื่องนางสะกดรอยตามอวี้ตี้ แต่ตอนนี้ชัดเจนว่าไม่มีอะไรน่ากังวลแล้ว


วังหลิงเซียวไม่ใกล้ แต่หวังหมู่ใช้วิชาย่นระยะทาง ไม่นานก็มาถึงหน้าวัง


อวี้ตี้กำลังจัดการงานอยู่ที่ตำหนักด้านหลัง ในห้องมีเพียงเซียนหญิงรับใช้สองคนโบกพัด


เห็นหวังหมู่มากะทันหัน อวี้ตี้และเซียนหญิงรับใช้ล้วนตกใจ


เมื่อมองไปยังมู่จิ่วที่อยู่ด้านหลังนาง อวี้ตี้ก็หยุดมือก่อนเอ่ยถาม “พวกเจ้ามาได้อย่างไร?”


หวังหมู่ไม่ได้ตอบคำ ทำหน้าเย็นชาเดินเข้าไปนั่ง แล้วโยนบันทึกหยกไปตรงหน้าเขาเบาๆ “ช่วงนี้ฝ่าบาทสุขสำราญนัก!”


เหล่าเซียนหญิงรับใช้รีบถอยออกไป


อวี้ตี้หยิบบันทึกหยกนั้นขึ้นมา เพียงมองก็ตกตะลึง “เจ้ารู้หมดแล้ว?”


“พูดแบบนี้แสดงว่าฝ่าบาทไม่อยากให้ข้ารู้?” สีหน้าหวังหมู่เปลี่ยนไปทะมึนทันที ราวกับอาจจะทำลายวังหลิงเซียวนี้ได้ทุกเมื่อ


มู่จิ่วถอยไปยืนนิ่งอยู่ไกลหน่อยอย่างรู้งาน นางตามมาไม่ได้หมายความว่านางอยากเป็นหน่วยกล้าตาย ภายใต้สถานการณ์ที่สำเร็จถึงเป้าหมาย หากยังมีโอกาสนางต้องคว้าไว้ให้มั่น


“ข้าต้องมองฝ่าบาทใหม่เสียแล้ว” เสียงของหวังหมู่บางเบาและเชื่องช้า “ตอนนี้หกภพสงบสุข ท่านเป็นราชาในยุคที่เจริญรุ่งเรือง เพียงเข้าใจว่าฟ้าดินนี้ยาวนาน ก็ดูถูกราษฎรได้ตามอำเภอใจหรือ? ปีนั้นท่านสาบานต่อหน้าป้ายปราชญ์บรรพชน กล่าวขานถึงชื่อนักปราชญ์เหล่านั้น ที่แท้ท่านก็ลืมไปแล้ว”


อวี้ตี้พูดไม่ออกอยู่บ้าง ลุกขึ้นมาจากเบาะไหม “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? ข้าเคยลืมตอนไหน?”


“ยังบอกว่าไม่ลืม?!” หวังหมู่กดเสียงหนักพูด “ข้าถามท่านหน่อย ใครเป็นคนเปลี่ยนชะตาชีวิตของต้าอี้? ฉางเอ๋อร์ใช้วาจาหวานกล่อมให้ท่านลุ่มหลงหรือ?!”


“ใช้วาจาอะไร!” อวี้ตี้กุมหน้าผาก ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยว่า “หรือเจ้าเข้าใจว่าข้าเปลี่ยนชะตาชีวิตของต้าอี้?”


“ไม่ใช่ท่านจะเป็นใคร?!” หวังหมู่โกรธอย่างไม่อาจควบคุมได้ “ท่านสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของเฉินผิงลูกนอกสมรสนั่น จะไม่อาจเปลี่ยนชะตาชีวิตของต้าอี้ได้อย่างไร?!”


“เจ้า…”


อวี้ตี้ชี้นาง ใบหน้าขาวพลันแดงขึ้น


มู่จิ่วแอบร้องว่าไม่ดีแล้ว! แต่จะซ่อนก็ไม่ทันอีก จึงทำได้เพียงเคลื่อนมาทางหวังหมู่ ยืนนิ่งอย่างใจจดใจจ่อ


…………………………………………………………


บทที่ 262 นี่คือความจริง

โดย

Ink Stone_Romance

อวี้ตี้กัดฟันชี้นาง อดกลั้นกลืนความโกรธนี้เข้าไป และพูดกับหวังหมู่ดีๆ “ภรรยาข้า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ชะตาชีวิตของต้าอี้ไม่ใช่ข้าเปลี่ยนจริงๆ ระหว่างข้ากับฉางเอ๋อร์ก็ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ต้นเหตุของเรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้ นางมาขอร้องให้ข้าช่วยเพราะรู้ว่าต้าอี้มีเคราะห์กรรมนี้ ข้าจะทำเรื่องที่ผิดต่อวิถีฟ้าได้อย่างไร?”


มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นมา


หวังหมู่ฟังถึงตรงนี้ก็หมุนตัวมา สีหน้าเย็นชากวาดตามองเขา ก่อนพูด “ท่านพูดจริงหรือ?”


“โกหกสักครึ่งคำก็ไม่มี!” อวี้ตี้เอ่ย


จากนั้นเขาเริ่มเล่าเรื่องจากคืนวันนั้นว่าฉางเอ๋อร์มาขอร้องให้ช่วยอย่างไร เล่าถึงว่าเขาไปสืบหาเรื่องราวกับมหาเทพตงเยวี่ย และเล่าเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขากับฉางเอ๋อร์ไปต้าหนิงเพื่อสืบเรื่องเกี่ยวกับต้าอี้อย่างหมดเปลือก รายละเอียดในเรื่องล้วนไม่ต่างจากที่มู่จิ่วเห็นมาแม้แต่น้อย


“หากข้ากล้ามีเรื่องปิดบัง พรุ่งนี้ก็ย้ายข้าออกจากวังหลิงเซียวได้เลย!”


หวังหมู่จ้องเขาอยู่นาน สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าไปช้าๆ ก่อนผ่อนคลายลงเอนไหล่พิงตั่งไหม


มู่จิ่วครุ่นคิดอยู่นาน ค่อยเดินออกมาพูด “แต่ปีก่อนทำไมฉางเอ๋อร์ถึงไปสถานที่ฝังกระดูกของต้าอี้ที่ภูเขาเรือ?”


จนตอนนี้อวี้ตี้ถึงได้มีเวลามาสนใจนาง เห็นนางเสนอหน้าออกมาอย่างรนหาที่ตาย ก็กัดฟันถลึงตาหยิบหางนกยูงบนโต๊ะขึ้นมา ทำท่าจะพุ่งเข้าไป!


มู่จิ่วหลบอยู่ฝั่งหวังหมู่ จึงไม่ได้รับอันตราย


“นางพูดถูก ในเมื่อฉางเอ๋อร์มาหาท่านไม่ใช่เพื่อเปลี่ยนชะตาชีวิตต้าอี้ แบบนั้นนางไปภูเขาเรือทำอะไร?!”


หวังหมู่ทำหน้าตึงทันที


อวี้ตี้จนปัญญา เอ่ยว่า “ที่จริงนางพบมาระยะหนึ่งแล้วว่าชะตาชีวิตของต้าอี้ถูกเปลี่ยน เพราะเรื่องปีนั้นนางจึงรู้สึกผิดต่อต้าอี้มาตลอด กลัวผู้คนหัวเราะเยาะนาง จึงไปจัดการด้วยตนเอง”


“นางไปภูเขาเรือเพื่อตามหากระดูกทิพย์ของต้าอี้ เจ้าก็รู้ หากสามารถนำเอากระดูกทิพย์ของต้าอี้มาได้ในเวลาเดียวกับที่เขาเกิด จะสามารถแก้ไขชะตาชีวิตเขาได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจนถึงเวลานั้นแล้วนางกลับทำไม่สำเร็จ”


“ทำไมไม่สำเร็จ?” มู่จิ่วยื่นหน้าออกมาจากหลังหวังหมู่


อวี้ตี้แยกเขี้ยวใส่นางอีก แต่ถูกหวังหมู่ทำตาขวางใส่ จึงทำได้เพียงพูดทันทีว่า “ปัญหาอยู่ที่ข้าสืบหาไม่เจอว่าใครเป็นคนเปลี่ยนชะตาชีวิตเขา และไม่รู้ว่าเขาใช้วิชาของสำนักไหน ส่วนพลังที่ควบคุมอยู่เบื้องหลังชะตาชีวิตแข็งแกร่งอย่างมาก ทำให้ข้าได้แต่ไปร้องขอความช่วยเหลือจากเซิ่งจุนรอง ยืมลมปราณของท่านมาหยุดไม่ให้จิตต้นกำเนิดของต้าอี้สลายไป”


เซิ่งจุนรอง? หุนคุนจู่ซือ?


คิดไม่ถึงว่าอวี้ตี้ยังไปร้องขอความช่วยเหลือถึงสวรรค์อันสูงส่ง นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว มู่จิ่วพยักหน้า คำพูดของอวี้ตี้ทำให้คิดถึงคนผู้นั้นที่ควบคุมชะตาชีวิตของตระกูลอวิ๋น วิชาเหมือนกันขนาดนี้ ไม่ใช่คนเดียวกันหรอกหรือ? หรือจะเหมือนกับที่ลู่ยาพูด คดีเหล่านี้มีคนคิดชั่วร้ายวางแผนไว้นานแล้ว?


“คนผู้นี้คือใคร? เขามีความแค้นใดกับต้าอี้?”


นางยังไม่ทันเปิดปาก หวังหมู่กลับถามขึ้นมาแล้ว


“ไม่รู้” อวี้ตี้ส่ายหน้าถอนหายใจ “ไท่ซ่างเหล่าจวินก็ไม่สามารถหาร่องรอยของเขาได้เลย แต่แน่ใจได้ว่าต้องเป็นผู้สูงส่งแต่บรรพกาลคนหนึ่ง ข้ายังพบอีกว่า ชะตาชีวิตของต้าอี้ถึงแม้ถูกแก้ไขให้สิ้นสุดลง แต่ไม่ได้ให้สูญสลายไปในตอนนี้ เพียงแค่ถูกเปลี่ยนให้หลุดออกจากการเวียนว่ายตายเกิด หมายความว่าวิญญาณของเขายังคงอยู่ เพียงแต่หลุดออกจากวัฏสงสารเท่านั้น”


มู่จิ่วยิ่งฟังยิ่งงุนงง “หรือมีคนต้องการใช้วิญญาณของต้าอี้?”


อวี้ตี้กับหวังหมู่ล้วนมองมาทางนาง แต่ไม่ได้พูดสิ่งใด


ผ่านไปนาน หวังหมู่จึงค่อยพูดขึ้น “ในเมือพวกเจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องปิดบังข้า?”


“ข้าไม่ได้พูดแล้วหรือ ฉางเอ๋อร์ขอร้องข้าให้เก็บเรื่องนี้ไว้ ข้าไหนเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าถือเรื่องนี้เป็นเรื่องเป็นราว หากเจ้าไม่เชื่อ สามารถไปถามมหาเทพตงเยวี่ยเอาได้”


หวังหมู่เหลือบมองเขา ถึงแม้บนใบหน้ายังไม่พอใจ แต่ชัดเจนว่าไม่กังวลสงสัยแล้ว


หวังหมู่พึมพำ “ดูแล้วข้าคงเข้าใจนางผิดแล้ว”


อวี้ตี้รีบพูด “ไม่โทษเหนียงเหนียง หากจะโทษก็โทษที่ข้าไม่คิดให้รอบคอบ!”


หวังหมู่เหลือบมองเขา เม้มปากยิ้มขึ้นมา


มู่จิ่วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่


ทางนี้กระจ่างชัดเรื่องฉางเอ๋อร์กับภูเขาเรือแล้ว แต่ยังคงไม่รู้ว่าเหลียงจีรู้ล่วงหน้าได้อย่างไรว่าฉางเอ๋อร์จะไปภูเขาเรือ ทว่าตอนนี้ดูแล้วคงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ในเมื่อฉางเอ๋อร์ร้องขออวี้ตี้ให้ปิดบังเรื่องไว้ ความเป็นไปได้ที่เรื่องราวจะแพร่งพรายออกไปก็น้อยมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหลียงจีรู้ได้อย่างไร?


อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ว่าไม่มีเรื่องพรรณนั้นระหว่างอวี้ตี้กับฉางเอ๋อร์ นางก็วางใจแล้ว


ไม่เพียงนางไม่ต้องสะกดรอยตามอีก แต่ไม่ต้องปวดหัวแทนหวังหมู่ด้วย ระหว่างสามีภรรยาควรต้องไว้ใจกันให้มากหน่อย! ไม่ใช่ว่าผู้ชายทุกคนต้องชอบมีชู้ และไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนที่เคยทำผิดจะยิ่งหลงเดินทางผิดไปไกล ถึงแม้ฉางเอ๋อร์มีความผิด แต่ยังใส่ใจต้าอี้แบบนี้ได้ ก็ทำให้นางสบายใจขึ้นมาก


ออกมาจากวังหลิงเซียว หวังหมู่ก็นำผ้าทอสีเหลืองให้นาง


ถึงแม้อวี้ตี้อยากสั่งสอนนางอย่างมาก แต่มีหวังหมู่ขวางอยู่ข้างหน้า เขาก็เหมือนกับหมดหนทาง บวกกับหวังหมู่รับปากจะทำน้ำแกงให้เขาด้วยตนเองเพื่อปลอบใจ ปากเขาไม่พูดอีก ในตากลับแสดงออกถึงความสมใจ ปล่อยมู่จิ่วไปสักครั้งหนึ่ง


เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาใหม่ ตอนบ่ายนางจึงมุ่งตรงไปหาซือมิ่งซิงจวิน นำคำสั่งของอวี้ตี้ส่งให้เขา และยังมองเขาเปลี่ยนชะตาชีวิตของเฉินผิงกับตาตนเอง จากนั้นค่อยกลับไปหน่วยงาน ครั้นนึกถึงบุญกุศลส่วนนั้น จึงมุ่งไปหาหลิวจวิ้น หลิวจวิ้นได้ยินนางพูดถึงได้นึกเรื่องนั้นออก เขาถามนางว่าทำไมนานขนาดนี้ถึงเพิ่งจัดการเสร็จ? นางจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง


“ยังมีเรื่องนี้อีก?” ตอนหลิวจวิ้นได้ยินชื่อนี้ก็ขมวดคิ้ว


“ใช่เจ้าค่ะ ทำให้ข้าทั้งกังวลและกลัวอยู่นานขนาดนี้ แต่ดีที่เรื่องคลี่คลายแล้ว ฝ่าบาทก็ละเว้นข้า” นางวางใบชะตาชีวิตที่ซือมิ่งซิงจวินแก้ไขแล้วบนโต๊ะ จากนั้นเดินมาเร่งเขา “ใต้เท้ารีบดูบันทึกผลงานของข้าที ดูว่าข้ายังขาดบุญกุศลในการสำเร็จเป็นเซียนอีกเท่าไหร่?”


หลิวจวิ้นมองค้อนนาง ชี้ไปยังบันทึกปกสีเขียวในชั้นด้านหลัง


มู่จิ่วรีบนำมันออกมา พลิกดูแล้วก็ส่งให้เขา


หลิวจวิ้นหาหน้าของนางเจอ ก็เติมเรื่องคดีของตระกูลอ๋าวลงไป ในแถวที่แสดงบุญกุศลพลันปรากฏแสงสีน้ำเงินส่องออกมาบางๆ


“ยังไม่เลว เข้ามายังไม่ถึงสองปีก็มาถึงแสงสีน้ำเงิน ตั้งใจทำก็ไม่ไกลจากการเลื่อนขั้นแล้ว”


บนใบหน้าหลิวจวิ้นมีความพอใจอยู่บ้าง


มู่จิ่วปรบมือพูด “ดียิ่งนัก!”


วาสนาเซียนแบ่งเป็นเจ็ดขั้น ชาด แสด แดง เขียว ฟ้า น้ำเงิน และม่วง ขอเพียงบำเพ็ญถึงแสงสีชาดก็หมายความว่าวาสนาเซียนเต็มแล้ว รอเพียงบำเพ็ญถึงก็สามารถข้ามผ่านด่านเคราะห์เป็นเซียน


ตอนนี้พลังบำเพ็ญและพลังฤทธิ์ของนางพอเพียงนานแล้ว ขาดเพียงบุญกุศล เวลาสองปีมาถึงขั้นหก แท้จริงไม่ง่ายเลย! …นี่เป็นแสงน้ำเงินเชียว!


แต่ดีใจอยู่ครู่หนึ่งนางก็หยุด “นับไปแล้วข้าเพิ่งทำคดีใหญ่สองคดีอย่างเป็นทางการ ทำไมถึงเลื่อนขั้นเร็วขนาดนี้ ถึงขั้นหกแล้ว?”


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้” หลิวจวิ้นปิดบันทึก คิดสักครู่ก่อนพูดอีก “ไม่แน่ว่าปกติเรื่องโง่ๆ ทั้งหลายที่เจ้าทำก็ถูกนับด้วยกระมัง”


………………………………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)