ยอดหญิงสกุลเสิ่น 258.2-259.1
ตอนที่ 258-2 ลมเมฆแปรปรวน
ส่วนใต้เท้าฟังฟังจ้งที่ถูกท่านเสนาบดีฉินตำหนิรอบหนึ่งว่าทำงานไม่น่าเชื่อถือก็กำลังทะเลาะกับบุตรภรรยาเอกอยู่ “เจ้ามันลูกทรพี เหตุใดถึงกล้าได้เพียงนี้ เจ้าจะส่งตระกูลฟังไปตายทั้งตระกูล!” ชูแส้ขึ้นโบยลงไปบนร่างของบุตรภรรยาเอกฟังเนี่ยน
ฟังฮูหยินมีลูกชายเพียงคนเดียว ย่อมต้องเข้ามาปกป้อง “นายท่าน ท่านตีเนี่ยนเอ๋อร์ให้ตายก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นหรอก!”
ฟังจ้งโมโหยิ่งขึ้น “ฮูหยินเจ้าถอยไป วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเขาให้ได้ ลูกคนนี้กล้าหาญเกินไปแล้ว ไม่สั่งสอนไม่ได้ เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาหาเรื่องใส่ตัวเพียงใด”
ตั้งแต่ข่าวบุตรคนสุดท้องแม่ทัพอันยังมีชีวิตอยู่เปิดเผยออกมาเขาก็ตระหนักได้ว่าผิดปกติ ตอนนั้นเขาส่งคนไปฆ่าปิดปากด้วยตัวเอง จะยังปล่อยให้บุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันหนีออกมาได้อย่างไร อีกทั้งบุตรคนสุดท้องผู้นี้ยังสู้พี่ชายสองคนของเขาที่ฝึกยุทธ์ตั้งแต่เล็กไม่ได้ ชาวบ้านด่านชายแดนต่างก็รู้ว่าบุตรคนสุดท้องของแม่ทัพอันชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก ไม่สนใจในการฝึกยุทธ์
ปัญญาชนอ่อนแอที่ไร้เรี่ยวแรงเป็นไก่อ่อนเช่นนี้จะหนีการไล่ฆ่าได้อย่างไร ซ้ำยังเดินทางพันลี้วิ่งมาถึงเมืองหลวงได้อีก หากบอกว่าในนี้ไม่มีคนช่วยเขาก็คงไม่เชื่อเป็นอันขาด ใครจะรู้เมื่อสืบหา สืบไปถึงตัวลูกชายตนเอง คาดไม่ถึงว่าลูกอกตัญญูผู้นี้แอบช่วยไว้ นี่จะไม่ทำให้เขาเดือดดาลได้อย่างไร
ทว่าฟังฮูหยินกลับปกป้องลูกชายแน่นหนา ร้องขอ “นายท่าน แต่ไหนแต่ไรเนี่ยนเอ๋อร์ก็รู้ประสา เขาจะหาเรื่องอะไรได้ ต่อให้จะทำผิดอะไรจริงๆ ท่านพูดกับเขาดีๆ ให้เขาเปลี่ยนแปลงก็ได้แล้ว ไยจะต้องลงแส้ให้ได้ด้วยเล่า อีกสองเดือนเนี่ยนเอ๋อร์ก็ต้องเข้าสอบแล้ว” ลูกชายคือชีวิตของนาง ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจเห็นลูกถูกตีได้
ฟังจ้งเองก็นึกได้ว่าถึงเดือนแปดลูกชายต้องเข้าร่วมการสอบบัณฑิตระดับมณฑลแล้ว โยนแส้ลงบนพื้นอย่างแรง ชี้ฟังเนี่ยนแล้วกล่าว “ฮูหยินรู้หรือไม่ว่าลูกอกตัญญูผู้นี้ทำอะไร เขา เขาคาดไม่ถึงว่าช่วยบุตรคนสุดท้องผู้นั้นของตระกูลอันให้หลบหนีมาถึงเมืองหลวง หากเรื่องนี้ถูกท่านเสนาบดีฉินรู้เข้า ทั้งจวนของพวกเราก็จะซวย”
ฟังฮูหยินได้ยินแล้วก็ตกใจใหญ่ “เนี่ยนเอ๋อร์ เจ้ากล้าเพียงนั้นเลยหรือ” เรื่องที่สามีทำแม้นางจะรู้ไม่หมด แต่ก็รู้เป็นบางส่วน โดยเฉพาะคดีนั้นของแม่ทัพอันเมื่อสี่ปีก่อน นางอกสั่นขวัญหายอยู่เป็นเวลานาน
ทว่าฟังเนี่ยนกลับดื้อรั้นไม่ยอม “ท่านพ่อ ลูกไม่สนใจเรื่องในราชสำนักของพวกท่าน ท่านฝังท่านอาอันยังไม่พอหรือไร ยังต้องไล่ฆ่าจนหมดให้ได้ ลูกไม่เข้าใจวิธีการสกปรกเหล่านั้นของพวกท่าน ลูกรู้เพียงแต่ว่าจยาเหอเป็นเพื่อนที่ดีของลูก พวกเราเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ลูกไม่อาจทนมองเขาตายเฉยๆ ได้”
“เจ้า เจ้าลูกอกตัญญูใช่จะยั่วโมโหข้าหรือไม่” ฟังจ้งถูกลูกชายโต้เถียงจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝ่าบาทรู้แล้วว่าแม่ทัพอันถูกใส่ความ ศาลต้าหลี่ สำนักตรวจตราต่างก็กำลังสืบคดีนี้อยู่ หากสืบอะไรได้ พ่อเจ้าซวยแล้วเจ้าจะรอดหรือ เจ้าลูกอกตัญญู เหตุใดข้าถึงมีลูกเนรคุณเช่นเจ้า! เจ้าบอกข้ามา หลายปีมานี้เจ้าซ่อนอันจยาเหอไว้ที่ใด”
ทว่าฟังเนี่ยนกลับเม้มปากแน่นไม่พูดแม้แต่ประโยคเดียว ยั่วโมโหจนฟังจ้งชูแส้ขึ้นอีกครั้ง ฟังฮูหยินร้อนรนจนรีบผลักลูกชาย “เนี่ยนเอ๋อร์เจ้าพูดสิ พ่อเจ้าถามเจ้าอยู่”
ฟังเนี่ยนยังคงเชิดหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “จะซ่อนไว้ที่ใดได้ ลูกไม่ได้กุมอำนาจใหญ่เหมือนท่าน นอกจากพาเขาไปซ่อนในชนบทแล้วจะยังซ่อนไว้ที่ไหนได้อีก”
หอนายโลมเขาไม่กล้าพูดแน่นอน นี่เองก็เป็นเรื่องที่เขาเสียใจที่สุด เขาคิดว่าพาจยาเหอไปอยู่ที่นั่นแล้วจะปลอดภัย แต่เขายังไร้เดียงสาเกินไป คนที่สามารถไปที่นั่นได้ส่วนใหญ่ไม่รวยก็ต้องสูงศักดิ์ ซ้ำจยาเหอยังหน้าตาดึงดูดเช่นนั้น คุณชายที่มีเพียงผลงานความรู้เช่นเขาไหนเลยจะปกป้องไว้ได้ ตอนที่รู้ว่าอันจยาเหอหนีไปได้เขาก็โล่งอกจริงๆ
“เจ้าลูกอกตัญญูดื้อรั้นไปเถอะ รอดาบตกลงบนคอเจ้าแล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” ฟังจ้งสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปด้วยความกระหืดกระหอบ ลูกชายหาเรื่องใส่ตัว เขาต้องไปชดใช้! หวังว่าท่านเสนาบดีฉินจะเห็นแก่เขาที่ยอมรับความผิดด้วยตัวเอง ไม่ถือสาเนี่ยนเอ๋อร์ได้บ้าง
เมื่อฟังจ้งไป ฟังฮูหยินก็พยุงลูกชายขึ้นมา ตบหลังของลูกชายแล้วกล่าว “เนี่ยนเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าบอกสิว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเรื่องเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องร้ายแรง เจ้าทำให้แม่กลัวแทบตาย”
ทว่าฟังเนี่ยนกลับกล่าว “ท่านแม่ เห็นชัดๆ ว่าท่านพ่อผิด ตอนนั้นพวกเราอยู่ที่ด่านชายแดนดีเพียงใด ท่านอาฟังดูแลพวกเราดียิ่งนัก แต่ท่านพ่อกลับแทงข้างหลังเขา อำนาจสำคัญเพียงนั้นเชียวหรือ หากแวดวงขุนนางล้วนเป็นเช่นนี้ ลูกจะยังสอบบัณฑิตระดับมณฑลเข้าสู่ชีวิตการเป็นขุนนางไปเพื่ออะไร”
“ลูกรัก เจ้าเบาเสียงหน่อย” ฟังฮูหยินรีบปิดปากลูกชาย “เจ้าอย่าโวยวาย หากเจ้าไม่ไปสอบขุนนาง พ่อเจ้าจะต้องตีเจ้าตาย หากตัวเจ้าไม่มีชื่อเสียงผลงาน บุตรอนุภรรยาสองคนนั้นของพ่อเจ้าก็สามารถเหยียบย่ำพวกเราแม่ลูกจมดิน เนี่ยนเอ๋อร์เจ้ารับปากข้า อย่าได้ทำเรื่องโง่ๆ เชียว!”
นางไหนเลยจะไม่รู้ว่าสามีทำผิด แต่ออกเรือนต้องเชื่อฟังสามี เรื่องในราชสำนักใช่สตรีเรือนในผู้หนึ่งเช่นนางจะสอดมือเข้าไปได้หรือไร สามีเองก็ไม่ฟังนาง บางครั้งนางก็อยากจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น จะได้ไม่ต้องตื่นตระหนกอยู่ทุกวัน
ต่อให้ฟังเนี่ยนจะไร้เดียงสากว่านี้ก็ยังรู้สถานการณ์ในจวน เหมือนเช่นที่แม่เขาว่า เขาไม่อาจเอาแต่ใจ เขาสามารถวางภาระจากไปได้ แต่เขาไปแล้วแม่เขาจะทำอย่างไรเล่า ต่อให้จะไม่ยินดีเขาก็ทำได้เพียงตอบรับอย่างไม่ยินยอม “ทราบแล้ว ท่านแม่วางใจ ลูกจะไม่เลิกล้มการสอบ”
มีคำสั่งจากวาจาของฝ่าบาท อันจยาเหอผู้เป็นทายาทที่เหลืออยู่ของแม่ทัพอันก็เข้ามาอยู่ในจวนจงอู่โหวแล้ว อยู่ในเรือนของราชครูเสิ่น ช่วงเวลาสามวันสั้นๆ จวนจงอู่โหวก็มีมือสังหารมาหลายกลุ่มแล้ว นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าจวนจงอู่โหวง่ายดายเพียงนั้นแล้ว นี่หมายความว่าไม่เห็นฮ่องเต้ยงเซวียนอยู่ในสายตา! ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธจนย้ายพลทหารเงาเข้าไป และยิ่งยืนยันเจตจำนงที่จะสืบหาอย่างถึงที่สุดของเขา
หลังเสิ่นเวยรู้เรื่องนี้ก็อยากกลับไปอยู่ที่บ้านฝั่งมารดานางหลายวัน กล้ามาพาลถึงเขตบ้านฝั่งมารดานาง ก็หมายความว่าไม่อยากมีชีวิตแล้ว! แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่ออกเรือนแล้ว กลับบ้านฝั่งมารดาเพราะเรื่องนี้ก็ยังคงไม่เหมาะสมนักจริงๆ ด้วยเหตุนี้นางจึงส่งคนจำนวนหนึ่งไปที่เรือนของเสิ่นเจวี๋ยเงียบๆ กังวลว่ามือสังหารทำอะไรอันจยาเหอไม่ได้แล้วจะถือโอกาสระบายความโกรธกับผู้อื่น หากประสบหายนะที่ตนไม่ได้สร้างก็จะโชคร้ายยิ่งนัก!
เสิ่นเวยกำลังศึกษาแผนกลไกที่อันจยาเหอทิ้งไว้อยู่ ก็เห็นเจียงเฮยเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “จวิ้นจู่ เกิดเรื่องแล้ว นายท่านถูกฝ่าบาทขังไว้ในศาลราชวงศ์แล้ว”
“ทำไมเล่า” เสิ่นเวยตกใจจนแทบจะดึงแผนกลไกออกเป็นสองฝั่ง ฝ่าบาทไม่ใช่โปรดปรานสวีโย่วมากหรอกหรือ สวีโย่วไปยั่วโมโหฝ่าบาทได้อย่างไร หรือจะบอกว่าความโปรดปรานของฝ่าบาทเมื่อก่อนเป็นภาพลวงตา ทำให้คนอื่นดูเท่านั้น
แทบจะชั่วพริบตาเดียวในสมองของเสิ่นเวยก็มีความคิดร้อยแปดพันเก้าผ่านเข้ามา
“นายท่านเสนอในท้องพระโรงให้ปล่อยไท่จื่อผู้ถูกถอดยศออกมา บอกว่าแม่ทัพอันถูกใส่ความ อาศัยเพียงจดหมายไม่กี่ฉบับก็ลงโทษไท่จื่อผู้ถูกถอดยศแล้ว ไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง ขอให้ฝ่าบาทสืบหาหลักฐานใหม่อีกครั้ง และยังเอ่ยว่าสถานการณ์ของไท่จื่อผู้ถูกถอดยศลำบากยากแค้น คนถูกเหยียดหยามจนไม่เหลือเกียรติ ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางสายโลหิตปล่อยตัวไท่จื่อผู้ถูกถอดยศออกมา ฝ่าบาทก็ทรงพิโรธ ชี้นายท่านดุด่าว่าไม่ภัคดีอกตัญญู นายท่าโต้เถียงหลายประโยค ฝ่าบาทก็สั่งให้ขังคนไว้ในศาลราชวงศ์แล้ว” เจียงเฮยเล่าเหตุการณ์ด้วยความรวดเร็ว
“ไม่มีคนขอความเมตตาหรือ” ในใจเสิ่นเวยเริ่มมั่นใจ
เจียงไป๋กล่าว “มี ราชครูเสิ่นพ่อลูกกับคุณชายรองคุณชายสาม ยังมีราชนิกุลอีกหลายคนขอความเมตตาแทนนายท่าน นอกจากนี้ใต้เท้าผู้มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับคุณชายก็ยังร้องขอความเมตตา แต่ล้วนขอไม่ได้ ฝ่าบาทบันดาลโทสะ ไม่ว่าผู้ใดพูดก็ฟังไม่เข้าหู จวิ้นจู่ จะทำอย่างไรดี”
“ทำอย่างไรงั้นหรือ” เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา กล่าวเสียงสูง “แม่นมมั่ว เข้ามาเปลี่ยนชุดแต่งหน้าให้ข้า ตัวข้าจวิ้นจู่จะไปขอคนจากฝ่าบาทด้วยตัวเอง”
นี่มันอะไรกัน ฮ่องเต้ยงเซวียนท่านปฏิเสธไม่ได้ก็มาระบายอารมณ์กับคุณชายใหญ่ของข้างั้นหรือ นี่หรือคือคนโปรด บอบบางราวกับกระดาษจริงๆ!
ฮ่องเต้ยงเซวียนท่านขังลูกตัวเองสิบปี คุณชายใหญ่ของข้าหวังดี ท่านไม่ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร โต้กลับก็ได้แล้ว แต่ส่งคุณชายใหญ่ของข้าไปศาลราชวงศ์ต่อหน้าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนัก ซ้ำยังดุด่าว่าไม่ภัคดีอกตัญญู ย่าเจ้าสิ!
มิน่าเล่าใครต่างก็พูดว่าจักรพรรดิเป็นผู้ไร้เมตตาที่สุด ราชวงศ์ไหนเลยจะมีความผูกพันพ่อลูกอะไร วันนี้นางนับว่าได้เรียนรู้แล้ว
เสิ่นเวยสะกดกลั้นไฟโกรธ ปล่อยให้แม่นมมั่วกับหลีฮวาช่วยนางเปลี่ยนชุดพิธีของจวิ้นจู่ บนศีรษะสวมมงกุฎนกตี๋ บนใบหน้าแต่งหน้าอ่อนๆ ตอนที่เสิ่นเวยลุกขึ้นยืนร่างทั้งร่างต่างก็งามหรูละลานตาคนอย่างถึงที่สุด
“เถาฮวาเล่า ตามข้าเข้าวัง” เสิ่นเวยใบหน้านิ่งขรึม เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นตามอำเภอใจ ก็ทำให้คนเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุด
ตอนที่เถาฮวาวิ่งเข้ามาดีใจอย่างถึงที่สุด อีกทั้งยังภูมิใจมากเป็นพิเศษ นางมองหลีฮวาและคนอื่นๆ ปราดหนึ่ง คางเล็กๆ เชิดสูงอย่างยิ่ง! คล้ายกำลังพูดว่า ‘ดูสิ คุณหนูพาข้าเข้าวังคนเดียว คุณหนูยังคงชอบข้าที่สุด’
โอวหยางไน่พาทหารเด็กสองกลุ่มไปรวมตัวข้างนอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ราชรถของจวิ้นจู่ก็เตรียมเรียบร้อยแล้วเช่นกัน เสิ่นเวยขึ้นรถพร้อมกลุ่มผู้ติดตามหน้าหลังไปยังพระราชวัง
ก่อนหน้านี้เสิ่นเวยออกเดินทางล้วนทำเงียบๆ มากเป็นพิเศษ ไม่เคยใช้ราชรถจวิ้นจู่มาก่อน อันที่จริงเหล่าหวังเฟยจวิ้นจู่ในเมืองหลวงก็เป็นเช่นนี้ นอกจากคนที่ชอบโอ้อวดเป็นพิเศษ ใครจะว่างจัดขบวนราชรถครบชุดทุกวันกัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่เสิ่นเวยจัดขบวนเช่นนี้ ค่อนข้างยิ่งใหญ่อลังการ
ราชรถมาถึงหน้าประตูพระราชวังก็ถูกทหารรักษาพระองค์ขวางไว้ เสิ่นเวยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงจากรถแล้วก็ตบหน้าทหารรักษาพระองค์สองฉาด ดุด่าด้วยความยโสโอหัง “เบิกตาของเจ้าดูเสียบ้าง ตัวข้าจวิ้นจู่จะเข้าวังใช่องครักษ์เล็กๆ เช่นเจ้าจะวางได้หรือ”
เถาฮวาถือโอกาสลากทหารรักษาพระองค์ผู้นั้นไปข้างๆ พยุงเสิ่นเวยขึ้นรถอีกครั้ง กองทหารเด็กก็ทั้งจับทั้งขวางกองทหารรักษาพระองค์คุ้มกันรถม้าของเสิ่นเวยเคลื่อนตัวเข้าไปในพระราชวัง
เหล่าทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าประตูต่างก็ถูกขบวนรถนี้ทำให้สับสนมึนงง กลุ่มของเสิ่นเวยออกไปไกลแล้วพวกเขาเพิ่งจะได้สติกลับมา ตะโกนด้วยความร้อนอกร้อนใจ “เร็ว รีบไปรายงานผู้บัญชาการสวี” แม้จะบอกว่าคนที่เข้าไปคือจวิ้นจู่ แต่นางพาคนมาเช่นนั้น ใครจะรู้ว่านางจะทำอะไร หากมีอะไรไม่ดีจริงๆ ท้ายที่สุดคนที่รับโทษก็ยังคงเป็นพวกเขาที่เข้าเวรวันนี้มิใช่หรือ
รถหงส์เข้าไปจนถึงหน้าห้องหนังสือส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ยงเซวียนแล้วจึงหยุดลง คนที่ออกมาต้อนรับนางคือขันทีใหญ่จางเฉวียน เมื่อจางเฉวียนเห็นนายท่านผู้นี้จัดขบวนเช่นนี้ มุมปากก็กระตุกก่อน เข้าไปเคารพด้วยความนอบน้อม “อากาศร้อนเพียงนี้ จวิ้นจู่มาได้อย่างไร”
เสิ่นเวยแค่นเสียงหึหนึ่งครา ขึ้นเสียงกล่าว “จางกงกงแกล้งโง่กับตัวข้าจวิ้นจู่หรือไร ท่านยังไม่รู้อีกหรือว่าเหตุใดตัวข้าจวิ้นจู่ถึงเข้าวัง ฝ่าบาทอยู่หรือไม่ รบกวนจางกงกงไปรายงานสักหน่อย ตัวข้าจวิ้นจู่มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท” แม้จะพูดกับจางเฉวียน แต่ตอนที่เสิ่นเวยพูดก็ใช้กำลังภายใน ฮ่องเต้ยงเซวียนที่อยู่ในตำหนักย่อมได้ยินแน่นอน
บนใบหน้าของจางเฉวียนยังคงมีรอยยิ้ม ราวกับพระสังขจาย “บังเอิญจริงๆ ฝ่าบาทกำลังหารือข้อราชการกับใต้เท้าหลายท่านอยู่ จวิ้นจู่ค่อยมาพรุ่งนี้ดีหรือไม่”
เสิ่นเวยย่อมไม่พอใจ กล่าวเหยียดหยาม “ค่อยมาพรุ่งนี้งั้นหรือ เช่นนั้นก็คงไม่ทันการแล้ว! จางกงกง พวกเราเองก็คบค้าสมาคมกันมาหลายครั้งแล้ว ตัวข้าจวิ้นจู่มาทำไมท่านเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ รบกวนท่านซักหน่อยเถอะ” นางรอได้ แต่คุณชายใหญ่ของนางรอได้งั้นหรือ
จางเฉวียนกำลังจะพูดอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงที่เคร่งขรึมของฮ่องเต้ยงเซวียนดังออกมาจากข้างใน “ให้จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เข้ามาเถิด”
ตอนที่ 259-1 เสิ่นเวยตัวฉกาจ
เสิ่นเวยก้าวฝีเท้าที่มั่นคง เดินเข้าไปภายในท้องพระโรงช้าๆ ทำความเคารพตามระเบียบ “จยาฮุ่ยถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”
“ลุกขึ้นเถิด!” ฮ่องเต้ยงเซวียนมองคุณหนูสี่แซ่เสิ่นที่ทั้งเพียบพร้อมทั้งงดงามสะกดตา กล่าวเสียงเรียบ “จยาฮุ่ยมีธุระหรือ”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนในท้องพระโรงต่างก็ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ข้างๆ เสิ่นเวยเห็นว่าในนั้นมีปู่นาง ในใจก็มีความมั่นใจสามส่วน ได้ยินฮ่องเต้ยงเซวียนถามนาง ในใจเสิ่นเวยก็อยากจะด่ามารดาจริงๆ หากไม่มีธุระแล้วนางจะหาเรื่องใส่ตัววิ่งฝ่าอากาศร้อนจัดมาวังทำไม ส่วนเป็นเรื่องอะไร ก็เห็นอยู่ชัดๆ แล้วมิใช่หรือ
“ฝ่าบาทไม่ใช่ขังคุณชายใหญ่ของพวกเราไว้ในศาลราชวงศ์หรอกหรือ คุณชายใหญ่ร่างกายอ่อนแออย่างยิ่ง จยาฮุ่ยจำต้องมาทูลถามสักเล็กน้อย ทูลถามฝ่าบาท คุณชายใหญ่ของข้าทำผิดร้ายแรงอันใด ถึงกับต้องขังเขาไว้ในศาลราชวงศ์เชียวหรือ” เสิ่นเวยขอคำชี้แนะอย่างตั้งใจจริง
สีหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนยังคงเรียบเฉย “วิจารณ์การบริหารงานของราชสำนัก”
ไฟโกรธของเสิ่นเวยพวยพุ่งขึ้นมาแล้ว ให้ตายสิ การบริหารงานของราชสำนักก็ต้องวิจารณ์ไม่ใช่หรือ มิเช่นนั้นฮ่องเต้ยงเซวียนจะเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนนี้มาทำไม ไม่ใช่ว่ากำลัง ‘วิจารณ์’ การบริหารงานของราชสำนักอยู่หรือไร
“ไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ของข้าพูดเข้าข้างญาติผู้พี่ไท่จื่อองค์ก่อนเล็กน้อยหรอกหรือ” บนใบหน้าของเสิ่นเวยปรากฎความเหยียดหยาม “ฝ่าบาท ควรพอได้แล้ว เพียงแค่คดีที่ถูกใส่ความ ท่านขังบุตรชายแท้ๆ ของพระองค์เองไว้สิบปี คุณชายใหญ่พูดถึงความเป็นธรรมสองประโยคท่านก็อับอายจนพิโรธแล้วหรือ ท่านขังบุตรชายของท่าน ต่อให้จะประหาร หลานสะใภ้ก็ไม่อาจตำหนิโทษได้ แต่ท่านขังคุณชายใหญ่ของข้ามีเหตุผลอันใด”
ฮ่องเต้ยงเซวียนทรงพิโรธแล้ว คุณหนูสี่แซ่เสิ่นผู้นี้กล้าพูดจริงๆ! ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั่วราชสำนักไม่มีสักคนที่กล้าโต้แย้งตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่คุณหนูสี่แซ่เสิ่นเช่นนางกล้า ซ้ำยังมั่นอกมั่นใจ พูดจบยังเรียกตัวเองว่าหลานสะใภ้ ฉวยโอกาสกระชับความสัมพันธ์กับเขา เจ้าเล่ห์จริงๆ!
“บังอาจนัก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ท่านเองก็เหิมเกริมเกินไปแล้วหรือไม่ ต่อหน้าฝ่าบาทบังอาจพูดเช่นนี้ได้อย่างไร ผิงจวิ้นอ๋องจะเป็นอย่างไรก็มีฝ่าบาทจัดการ ใช่เรื่องที่สตรีผู้หนึ่งเช่นท่านจะวิจารณ์ได้หรือ” มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้เคารยาวผู้หนึ่งก้าวออกมาตำหนิเสิ่นเวยด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว
เสิ่นเวยมองครู่หนึ่ง อืม ไม่รู้จัก ตอบโต้กลับไปทันที “เหิมเกริมงั้นหรือ ตอนที่ตัวข้าจวิ้นจู่เหิมเกริมท่านยังแอบอยู่ในกองผ้าไหมอยู่เลย ท่านถามฝ่าบาทดูสิว่าพระองค์รังเกียจที่ข้าเหิมเกริมหรือไม่” หากนางไม่เหิมเกริม จะคว้าชัยชนะที่ชายแดนซีเจียงนำชีวิตที่สงบสุขอย่างน้อยสิบปีมาได้อย่างไร ฝ่าบาทกับท่านปู่นางยังปรารถนาให้นางเหิมเกริมขึ้นอีกด้วยซ้ำ
สายตาของเสิ่ยเวยกวาดมองใบหน้าของฮ่องเต้ยงเซวียนเล็กน้อย กล่าวขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้าท่านนี้บอกว่าตัวข้าจวิ้นจู่เป็นสตรีผู้หนึ่ง ตัวข้าจวิ้นจู่ยอมรับ แต่สตรียุท่านแหย่ท่านหรือ ย่ายายของท่านไม่ใช่สตรีหรือ ไม่มีสตรีแล้วจะมีท่านหรือ เป็นมนุษย์ไม่รู้จักสำนึกบุญคุณแล้วยังทำงานในราชสำนัก จะทำหน้าที่ได้ดีหรือ ดูท่านสิอายุก็มากแล้ว เหตุใดแม้แต่หลักการแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ” แววตาของเสิ่นเวยดูถูก
“ท่าน ท่าน เป็นผู้มีปัญญาแต่ทำตัวหน้าไม่อาย! สตรีปากร้าย!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไว้เคราโมโหจนหน้าแดงคอแข็ง ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนอื่นๆ ในท้องพระโรงพากันก่ายหน้าผาก จยาฮุ่ยจวิ้นจู่ปากร้ายจริงๆ! มีเพียงปู่นางที่หลุบตารอยยิ้มกะพริบผ่าน
“สตรีปากร้ายก็ดีกว่าแม่หม้ายมิใช่หรือ ฝ่าบาท เรื่องในราชสำนักหลานสะใภ้ไม่ยุ่ง เดิมชีวิตของพวกข้าสามีภรรยาก็ผ่านไปอย่างสุขสบายเพียงใด แต่ท่านก็ดึงดันจะให้คุณชายใหญ่เข้าราชสำนักให้ได้ ตอนนี้เป็นอย่างไร ท่านเอาคนไปไว้ที่ศาลราชวงศ์เสียแล้ว หลานสะใภ้ขอให้ท่านรีบปล่อยคุณชายใหญ่ของข้าออกมา งานผู้บัญชาการอะไรนั่นพวกข้าไม่เป็นแล้ว พวกข้าจะกลับบ้านไปปิดประตูจวนใช้ชีวิตอยู่ในนั้นคงไม่ว่ากันใช่หรือไม่” เสิ่นเวยใช้วิธีน่าไม่อาย
“ต่อหน้าฝ่าบาทจยาฮุ่ยจวิ้นจู่โวยวายไร้เหตุผลเช่นนี้ ทำอย่างกับอะไรดี” ใต้เท้าอาวุโสเครายาวผู้นั้นนิ้วมือสั่นระริกก่นด่าเสิ่นเวย
เสิ่นเวยปรายตามองเขาปราดหนึ่งด้วยสายตาหยามเหยียด ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือจริงๆ พูดจาฉอดๆ ไม่รู้หรือว่าน่ารำคาญ หากไม่ใช่ว่าเห็นแก่ที่เขาอายุมากแล้ว นางก็คงจะตบหน้าไปนานแล้ว
“ตัวข้าจวิ้นจู่ใกล้จะเป็นหม้ายแล้วยังต้องสนใจว่าเป็นระเบียบหรือไม่อะไรอีก ฝ่าบาท ท่านเองก็อย่างรังเกียจที่ข้าพูดจาไม่น่าฟัง หลานสะใภ้จะพูดไว้ตรงนี้ หากข้าเป็นหม้าย คนทั้งหมดก็อย่าได้คิดว่าจะรอด หากคุณชายใหญ่ถูกลงโทษจนตาย หลานสะใภ้มีชีวิตต่อไปก็ไร้ความหมายแล้ว ก่อนตายลากคนไปรับโทษด้วยก็คงไม่เป็นไรใช่หรือไม่” เสิ่นเวยจ้องมองฮ่องเต้ยงเซวียน คุกคามหน้าตาย
ฮ่องเต้ยงเซวียนเห็นนางยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ คิ้วขมวดมุ่นกล่าว “พูดเหลวไหลอันใด ใครบอกเจ้าว่าเราจะฆ่าผิงจวิ้นอ๋อง เชื่อแต่ข่าวลือ ดูสภาพของเจ้าตอนนี้สิ! ราชครูเสิ่น!” ฮ่องเต้ยงเซวียนเองก็วางมาดตนเป็นผู้อาวุโส กวาดสายตามองเสิ่นผิงยวนปราดหนึ่ง เจตนานั้นชัดเจนอย่างยิ่ง หลานตัวร้ายของเจ้า เจ้าก็ไม่รู้จักจัดการ
ทว่าเสิ่นผิงยวนกลับกล่าว “ทูลฝ่าบาท จยาฮุ่ยจวิ้นจู่เป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว” นัยยะในคำพูดก็คือควรมีบ้านสามีดูแล
ฮ่องเต้ยงเซวียนอึกอักอยู่ครู่ใหญ่พูดอะไรไม่ออก ทว่าเสิ่นเวยกลับไม่สนความรู้สึกของฮ่องเต้ยงเซวียน กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ “เข้าศาลราชวงศ์แล้วจะอยู่ดีได้อย่างไร คุณชายใหญ่ของข้าร่างกายอ่อนแอเพียงนั้น ไม่ต้องเฆี่ยนโบย เพียงแค่อยู่ในศาลราชวงศ์หนึ่งคืนก็ทำลายชีวิตไปได้มากกว่าครึ่งแล้ว นี่ต่างอะไรจากการฆ่าเขา”
หยุดครู่หนึ่งจึงกล่าวต่อ “คุณชายใหญ่ของข้าเพียงแค่พูดแทนไท่จื่อองค์ก่อนสองประโยค ไม่ถึงกับต้องประหารชีวิตหรอกกระมัง อีกอย่างสำหรับไท่จื่อผู้ถูกถอดยศ ฝ่าบาทต่อให้ท่านจะไม่ชอบใจ หลานสะใภ้ก็ยังต้องพูดสักสองประโยค เป็นเลือดเนื้อตนเอง ขังไท่จื่อองค์ก่อนสิบปีเพียงเพราะโทษที่ปราศจากหลักฐานก็เพียงพอแล้ว ควรจะปล่อยออกมาได้แล้วกระมัง” ในเมื่อคุณชายใหญ่ของนางใส่ใจไท่จื่อผู้ถูกถอดยศเพียงนั้น นางย่อมต้องช่วยด้วยเช่นกัน
“จยาฮุ่ยจวิ้นจู่โปรดระวังคำพูด ไท่จื่อองค์ก่อนวางแผนก่อกบฏมีหลักฐานมัดตัว” นายท่านเสนาบดีฉินที่ตลอดมาไม่เอ่ยปากพลันกล่าวขึ้น
เสิ่นเวยเหลือบมองเขา “หลักฐานมัดตัวหรือ ด้วยจดหมายขาดๆ ไม่กี่ฉบับนั้นน่ะหรือ ท่านใต้เท้าเสนาบดีต้องการเท่าไรตัวข้าจวิ้นจู่ก็ทำออกมาให้ท่านได้” เสิ่นเวยมองใบหน้าที่แสร้งทำเป็นเคร่งขรึมใบนั้นของท่านเสนาบดีฉิน ในใจก็เอือมระอา “ท่านเสนาบดีไม่เชื่อหรือ มาๆๆ วันนี้ข้าจะเปิดหูเปิดตาพวกท่าน”
เสิ่นเวยชะโงกหน้ามองบนโต๊ะส่วนพระองค์ของฮ่องเต้ยงเซวียน มองเห็นสาส์นกราบทูลหนึ่งฉบับของท่านเสนาบดีฉินพอดี นางก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวยกพู่กันขึ้นมา “ฝ่าบาท หลานสะใภ้ขอใช้พู่กันพระองค์หน่อยนะเพคะ”
มุมปากฮ่องเต้ยงเซวียนกระตุก เจ้าหยิบขึ้นมาจุ่มหมึกแล้ว เรายังพูดได้อีกหรือว่าไม่ให้ยืม ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็อยากรู้อย่างยิ่งว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะทำอะไร จึงไม่ได้ส่งเสียงอนุญาตเป็นนัย
เสิ่นเวยเพ่งมองสาส์นกราบทูลของท่านเสนาบดีฉินปราดหนึ่ง จากนั้นก็ยกพู่กันเขียนตวัดลงบนกระดาษ ไม่นานนักก็วางพู่กันลง ดูอย่างละเอียดเล็กน้อย กล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “เวลาฉุกละหุก เลียนแบบไม่ค่อยเหมือน แต่ว่าก็เพียงพอแล้ว ฝ่าบาทท่านลองทอดพระเนตรดู!”
เดิมฮ่องเต้ยงเซวียนก็ยืนอยู่ข้างๆ เสิ่นเวยอยู่แล้ว ย่อมต้องเห็นการกระทำของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่าใบหน้าจะเรียบเฉย แต่ในใจกลับตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เขารู้ว่ามีคนสามารถเลียนแบบลายมือของผู้อื่นได้ ถึงขั้นใช้แทนของจริงได้ แต่เขาไม่คิดว่าคุณหนูสี่แซ่เสิ่นจะเลียนแบบลายมือของเสนาบดีฉินด้วยอายุที่น้อยเช่นนี้เวลาที่สั้นเช่นนี้ได้เสมือนต้นแบบ
มือหนึ่งของฮ่องเต้ยงเซวียนถือสาส์นกราบทูลของเสนาบดีฉิน อีกมือหนึ่งถือฉบับคัดลอกของเสิ่นเวย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จึงส่งให้ท่านเสนาบดีฉินดู “เจ้าเองก็ลองดูเถิด”
ท่านเสนาบดีฉินรับมาด้วยสองมือ เพียงมองแค่ปราดเดียว บนใบหน้าก็เผยความประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้ม “จยาฮุ่ยจวิ้นจู่มีความสามารถ!” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ข้างๆ ก็เขยิบเข้ามาดูข้างเขา ต่างก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน มีเพียงปู่นางที่เหลือบมองนางปราดหนึ่งอย่างมีเลศนัย เด็กดื้อ ยังซ่อนความสามารถเช่นนี้ไว้ด้วยหรือ
เสิ่นเวยลูบจมูกยิ้มเจื่อน นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาสให้แสดงมาโดยตลอดหรือ ไม่ใช่ว่าตั้งใจซ่อนไว้แอบไว้เสียหน่อย ท่านปู่อย่าได้ใจแคบเกินไปเลย!
สายตาละมองไปบนร่างของท่านเสนาบดีฉินก็เปลี่ยนทันที “มีความสามารถอะไรกัน เพียงแค่ฝีมือต่ำต้อยใช้หลอกคนเล่นก็เท่านั้นเอง หากเป็นยอดฝีมือด้านนี้มีเพียงอาจารย์ของข้าที่เหมาะสมที่สุด อ้อจริงสิ อาจารย์ของข้าแซ่ซู ชื่อหย่วนจือ ท่านอำมาตย์ฝังเคยได้ยินหรือไม่” เสิ่นเวยเห็นว่าในนี้มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่หน้าตาคล้ายอาจารย์ซูหลายส่วนอยู่ด้วย จึงเดาได้ว่าคนผู้นี้คืออำมาตย์ฝัง อดหยั่งเชิงเล็กน้อยไม่ได้
เสิ่นเวยเดาถูกต้อง คนผู้นี้ก็คืออำมาตย์ฝัง ครั้งก่อนแม้ว่าลูกชายกลับมาจากจวนผิงจวิ้นอ๋องจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่พ่อบ้านที่ตามไปด้วยกลับรายงานเขาทุกเรื่อง ตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินจยาฮุ่ยจวิ้นจู่เอ่ยถึงผู้ที่คล้ายกับว่าจะเป็นบุตรคนโตที่ถูกไล่ออกจากบ้านผู้นั้นของเขา คิ้วเขาไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว “อาจารย์ของจวิ้นจู่ตัวข้าอำมาตย์จะรู้จักได้อย่างไร”
“ไม่รู้จักเช่นนั้นก็ดี!” เสิ่นเวยหัวเราะเยาะ คำนับกลับหนึ่งประโยค จากนั้นก็หันหน้าพูดเรื่องเมื่อครู่นี้ต่อ “ฝ่าบาทท่านดูสิ หลักฐานที่ว่าต่างก็ไม่มีแรงจูงใจ ท่านเสนาบดีฉินเองก็อย่าได้พูดขอความเมตตาแทนจานซื่อตำหนักบูรพาอะไรเลย เขาตายไปนานแล้ว ใครจะยืนยันได้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจใส่ร้ายไท่จื่อองค์ก่อน บอกว่าไท่จื่อองค์ก่อนสมรู้ร่วมคิดกับอ๋องเคียงบ่าวางแผนก่อกบฏยึดราชวงศ์งั้นหรือ น่าขันยิ่งนัก มีทางดีๆ ให้เดินไม่เดิน จะเดินทางโคลนตมเล็กๆ แทน ไท่จื่อองค์ก่อนเป็นคนโง่หรือไร หรือว่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ด้านบุ๋นบู๊ทั่วราชสำนักเป็นคนโง่” เสิ่นเวยเหยียดหยามอย่างไม่เหลือน้ำใจเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างไรเสียในศึกซีเหลียงนางก็สร้างคุณูปการใหญ่หลวง ฮ่องเต้ยงเซวียนก็ไม่สามารถประหารนางได้ ดังนั้นนางจึงไม่หวาดกลัว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น