กระบี่จงมา 258.2-258.3

 บทที่ 258.2 ยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา

โดย

ProjectZyphon

เจิ้งต้าเฟิงมองเห็นว่าบนเสาต้นใหญ่ที่สูงเทียมฟ้าต้นหนึ่งของประตูสวรรค์ มีแม่ทัพเทพที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ห่มเสื้อเกราะสง่างามเคร่งขรึมลักษณะคล้ายน้ำค้างแข็งอยู่คนหนึ่ง แม่ทัพเทพถูกกระบี่เล่มหนึ่งปักตรึงอยู่บนเสาประตูสวรรค์ เลือดสดสีทองอร่ามไหลนองอาบเสา


ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเงยหน้ามองศพที่ตายอนาถศพนั้น


มีอยู่ชั่ววินาทีหนึ่งที่คล้ายว่าศพของแม่ทัพเทพจะฟื้นคืนชีพกลับมา ประสานสายตากับเจิ้งต้าเฟิง ริมฝีปากของแม่ทัพเทพขยับเบาๆ ราวกับกำลังพูดคำหนึ่งว่า


หนีไป!


ตอนนั้นเจิ้งต้าเฟิงเกือบจะขวัญสลาย จิตวิญญาณแตกดับ และยิ่งเกือบจะกลายเป็นคนน่าสงสารที่เพิ่งจะฝ่าทะลุขอบเขต ขอบเขตก็ถอยร่นตกต่ำ


ตอนนั้นการปรากฏตัวของฝูฉีช่วยให้เจิ้งต้าเฟิงหลุดพ้นพันธนาการนั้นมาได้ และคำถามของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ทำลายความคิดของเจิ้งต้าเฟิงลง


“เจิ้งต้าเฟิง ขอบเขตสามของข้าปูรากฐานมาได้ด้วยหมัดของคนอื่นที่ต่อยข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อรากฐานของฟ่านเอ้อร์ไม่ถือว่าดีนัก ทำไมเจ้าถึงไม่ช่วยเขา?”


เจิ้งต้าเฟิงจ้องเป๋งไปยังเจ้าคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้วหลุดหัวเราะ “เจ้ารู้สึกว่ารากฐานขอบเขตสามของฟ่านเอ้อร์ ‘ไม่ถือว่าดีนัก’?”


เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “หรือว่าแท้จริงแล้วคือ ‘ไม่ดีอย่างมาก’?”


เจิ้งต้าเฟิงเกือบจะสำลักควันตาย พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ไม่ดีกะผีน่ะสิ! ไม่พูดถึงข้าเจิ้งต้าเฟิง ศิษย์พี่รองหลี่เอ้อร์ แน่นอนว่ายังมีอ๋องเจ้าแคว้นอย่างซ่งจ่างจิ้งนั่นอีกคน หากพูดตามมาตรฐานทั่วไปของผู้ฝึกยุทธ์ในแจกันสมบัติทวีป รากฐานของฟ่านเอ้อร์ตั้งแต่ขอบเขตหนึ่งถึงขอบเขตสามล้วนปูมาดีมากพอแล้ว อีกอย่างเดิมทีฟ่านเอ้อร์เองก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ แต่เจ้ากลับพูดว่าไม่ถือว่าดีนัก? ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวในแจกันสมบัติทวีปก็ควรเอาก้อนเต้าหู้มาทุบหัวตัวเองให้ตาย หรือจะใช้สายรัดเอวของพวกผู้หญิงมาแขวนคอตายก็ได้”


เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มักจะรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่กำลังผลักภาระความรับผิดชอบ วันๆ เอาแต่หยอกเย้าพวกสตรีในร้านยา ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับฟ่านเอ้อร์สักเท่าไหร่


เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีพูดว่า “ตอนนี้ยังต้องเพิ่มเจ้าไปอีกคน หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นรากฐานขอบเขตสามของหลี่เอ้อร์อาจจะด้อยกว่าเจ้านิดหน่อยด้วย แต่เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบดีใจเร็วเกินไปนัก เจ้าก็แค่ได้ดิบได้ดีในขอบเขตสามเท่านั้น รากฐานขอบเขตเก้าของหลี่เอ้อร์เรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก ขอบเขตแปดของข้าก็พอๆ กัน แปลกใจจริง ใครกันที่มีความสามารถยิ่งใหญ่ถึงขนาดใช้หมัดปูรากฐานขอบเขตสามของเจ้าได้ดีขนาดนี้? ท่านผู้เฒ่าคงไม่ได้เรียกหลี่เอ้อร์กลับมาที่ถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อให้เขาสอนเจ้าเองกับมือหรอกกระมัง?”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “เป็นคนอื่น”


คราวนี้เจิ้งต้าเฟิงอยากรู้จริงๆ ยาก็ไม่สูบอีกต่อไป “คนผู้นั้นหล่อหลอมร่างกายและจิตใจให้เจ้าอย่างไรกันแน่?”


เฉินผิงอันนิ่วหน้าเล็กน้อย เพียงแค่นึกถึงสภาพการณ์ที่ตัวเองต้องเผชิญในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วก็รู้สึกใจคอไม่ดี


เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ ว่า “แค่เล่าให้ฟังคร่าวๆ ก็พอ หากเจ้ายอมเล่า นอกจากการตกลงซื้อขายก่อนหน้านี้ ข้ายังจะมอบตำรากระบี่วิถีวรยุทธ์ที่เป็นขั้นพื้นฐานสุด แต่ถูกขนานนามให้เป็นตำราที่ ‘ไม่มีข้อผิดพลาดมากที่สุด’ ให้กับเจ้าอีกหนึ่งเล่ม ตอนนั้นท่านผู้เฒ่าซื้อมาจากเทพหยินตนหนึ่งที่ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้ากับหลี่เอ้อร์ และหลี่หลิ่วสามคนต่างก็เคยศึกษากันมาก่อน เพียงแต่ว่ามันไม่มีความหมายกับข้าเลย หลักๆ แล้วท่านผู้เฒ่าซื้อมาเพื่อให้หลี่หลิ่วมากกว่า และสำหรับเจ้าเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีประโยชน์”


เฉินผิงอันคิดแล้วก็พูดว่า “การหล่อหลอมเรือนกายและจิตวิญญาณของข้าไม่ต่างอะไรจากทุบข้าวเหนียวปั้นเป็นขนมหมาฉือ (ขนมโมจิ) ง่ายๆ แค่นี้แหละ จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นข้ายังต้องทำอะไรบางอย่าง…”


กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน แล้วชี้ไปยังแขนของตัวเอง “ข้าต้องเลาะหนัง ดึงเส้นเอ็นของตัวเองออกมาทีละชุ่นช้าๆ ดวงตาก็ห้ามกะพริบ ห้ามถลกหนังให้หมดในคราวเดียว แล้วก็ห้ามดึงเส้นเอ็นให้ขาด ทุกครั้งจะต้องมีคนคอยบอกว่าสามารถหยุดได้ตอนไหน หลังจากนั้นก็จะถูกคนแบกไปแช่ในถังยา เพื่อที่ว่าบาดแผลจะประสานตัวหายดีโดยเร็ว”


เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยถาม “รวมแล้วกี่ครั้ง? หนึ่งสองครั้ง? สามสี่ครั้ง?”


เฉินผิงอันแสยะยิ้ม “ต้องทำทุกวัน สองมือก็นับไม่พอ”


เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าเหลือเชื่อก่อน จากนั้นก็กุมท้องหัวเราะก๊าก “ดีๆๆ เห็นแก่ที่เจ้าต้องลำบากทนทรมานมามากขนาดนี้ พอข้าผู้อาวุโสนึกถึงแล้วก็ให้อารมณ์ดียิ่งนัก เดี๋ยวกลับไปข้าจะจัดระเบียบรวบรวมตำรากระบี่เล่มนั้นให้ดี รับรองว่าจะไม่เล่นตุกติกใดๆ จะมอบให้เจ้าอย่างสมบูรณ์แบบทั้งเล่มเลย!”


เฉินผิงอันเหลือกตามองสูงใส่


คนผู้นี้นี่น่าเบื่อชะมัด


แต่พอคิดแล้วก็เข้าใจได้ ถ้าไม่น่าเบื่อจริง จะมาเปิดร้านยาที่วันๆ ไม่มีรายได้มีแต่รายจ่ายอย่างนี้ได้ยังไง?


เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะอยู่พักใหญ่ กว่าจะหยุดเสียงหัวเราะได้ไม่ใช่เรื่องง่าย “รากฐานที่มีมาตั้งแต่เกิดของฟ่านเอ้อร์ไม่ได้แย่ไปกว่าเจ้า แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคุณชายน้อยตระกูลใหญ่ ผ่านการขัดเกลามาน้อย ดังนั้นรากฐานวิถีวรยุทธ์ตลอดทั้งร่างที่ไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือเนื้อหนังมังสา เมื่อเทียบกับพวกเราแล้วก็ยังถือว่าแข็งนอกอ่อนใน ไม่สามารถทนรับการทรมานอย่างที่เจ้าเผชิญมาได้ หากเจอเข้าจริงคงแตกสลายได้ง่าย”


เจิ้งต้าเฟิงใช้สองนิ้วคีบจอกสุราที่อยู่บนโต๊ะ จอกใบนั้นแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในทันที


เจิ้งต้าเฟิงพูดเรียบๆ ว่า “วิถีวรยุทธ์สำคัญกว่า หรือว่าชีวิตสำคัญกว่า?”


เฉินผิงอันเริ่มเก็บชามและตะเกียบ


อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงหนักอึ้งขึ้นมาทันที


เพราะเขาเพิ่งค้นพบว่า เรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันถูกทุบแตก น้ำบ่อนั้นลึกมาก ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งยิ่งกว่าที่จินตนาการเอาไว้


พอเห็นท่าทางที่เก็บถ้วยชามอย่างคล่องแคล่วของเฉินผิงอัน จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้สึกสงสารเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ


เฉินผิงอัน?


นอกจากแซ่ที่ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงแล้ว ชื่อนี้ดูเหมือนจะตั้งได้ดีกระมัง?


เจิ้งต้าเฟิงถามชวนคุย “เฉินผิงอัน หน้าตาเจ้าเหมือนใคร เหมือนพ่อเจ้าหรือว่าเหมือนแม่เจ้า?”


เฉินผิงอันหลุดปากตอบว่า “เคยได้ยินพวกคนเฒ่าคนแก่พูดว่าหน้าตาข้าเหมือนไปทางท่านแม่มากกว่า”


จากนั้นเฉินผิงอันก็ปรายตามองเจิ้งต้าเฟิง “แต่ไม่ว่าจะเหมือนใคร ข้าก็หน้าตาดีกว่าเจ้าแล้วกัน”


เจิ้งต้าเฟิงพูดเสียงขุ่น “ไปๆๆ ไปเก็บจานอาหารของเจ้านู่นเลย!”


สำหรับเจ้าเด็กคนนี้ ข้าผู้อาวุโสไม่น่าจะเห็นอกเห็นใจเขาเลย


……


ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าแท่นมังกรริมชายหาดตะวันออกของนครมังกรเฒ่า ฝูฉีเจ้านครเดินทางขึ้นทะเลเมฆไปตรวจสอบปรากฎการณ์ประหลาดเป็นนานไม่ยอมกลับมา ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองที่สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ริมทะเลคนนั้นจึงออกจากสถานที่ฝึกตนมาอยู่ข้างกายฝูหนันหัวนายน้อยของนคร ฝูหนันหัวถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง เมื่อมองตามสายตาของผู้เฒ่าไปก็เห็นว่าห่างไปไกลมีบุรุษคนหนึ่งที่วางกระบี่พาดขวางไว้ทางด้านหลังกำลังเดินตรงมาช้าๆ ท่าทางของเขาผ่อนคลายคล้ายคนต่างถิ่นคนหนึ่งที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ฝูหนันหัวมองไม่ออกถึงความตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย จึงถามเบาๆ ว่า “ตบะของคนผู้นี้สูงมากหรือ?”


ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองสามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวช่วยพิทักษ์หอมังกรให้กับตระกูลฝูได้ พลังการต่อสู้ย่อมไม่ธรรมดา อาวุธอาคมสองชิ้นของเขามีทั้งรุกและรับ คือผู้แข็งแกร่งที่มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของนครมังกรเฒ่า เวลานี้สีหน้าของผู้เฒ่าไม่มีความผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย เขากล่าวด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “ดูท่าแล้วจะสูงอย่างถึงที่สุด”


ฝูหนันหัวตื่นตะลึงเล็กน้อย ประโยคนี้พูดได้อย่างมีนัยยะ ไม่ใช่ที่คำว่าสูงอย่างถึงที่สุด แต่เป็นคำว่า ‘ดูท่าแล้ว’ นี่หมายความว่าขนาดผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองก็ยังมองไม่ออกถึงศักยภาพที่แท้จริงของอีกฝ่าย อีกทั้งยังมีแต่จะสูงกว่าไม่ต่ำกว่าขอบเขตเก้าโอสถทองของผู้เฒ่า ที่น่ากลัวที่สุดก็คือแขกที่ไม่ได้รับเชิญผู้นั้นพกกระบี่มาด้วย ต่อให้เป็นก่อกำเนิดที่อยู่เหนือโอสถทอง หากเจอกับผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังการสังหารของตบะขอบเขตสิบแล้วจะเป็นยังไง ไม่ต้องบอกก็พอจะรู้ได้


ฝูหนันหัวถามอีกครั้ง “เขามาพร้อมเจตนาร้าย?”


ขอบเขตโอสถทองส่ายหน้า “เหมือนจะไม่ใช่”


คนผู้นั้นเดินเอื่อยเฉื่อยตรงมา ไม่สนใจกฎเกณฑ์ของพื้นที่ต้องห้ามที่ตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าตั้งไว้แม้แต่น้อย เขาข้ามค่ายกลบ่อสายฟ้าที่มองไม่เห็นมาโดยตรง แล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผู้เฒ่ากับฝูหนันหัว บุรุษใช้ข้อศอกสองข้างยันบนฝักกระบี่ที่วางพาดขวางไว้ด้านหลัง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าชื่อสวี่รั่ว มาจากต้าหลี ตอนนี้มาเป็นแขกของตระกูลเจ้า”


ฝูหนันหัวเข้าใจได้โดยพลัน ตอนนั้นที่เรือข้ามฟากลดตัวลงจอดในนครฝู ตนไม่มีคุณสมบัติให้ไปรับแขกผู้มีเกียรติจากต้าหลีพร้อมฝูฉีผู้เป็นบิดา ในตระกูลมีเพียงคนแค่หยิบมือเท่านั้นที่ได้ไป ‘รอรับเสด็จ’ ฝูหนันหัวไม่กล้าทำตัวอวดฉลาดกับเรื่องแบบนี้ ในเมื่อบิดาไม่ต้องการให้เขาเผยโฉม นั่นก็แสดงว่าต้องมีความหมายที่ลึกล้ำซ่อนอยู่ เขาจึงได้แต่แสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด ทว่าชื่อเสียงยิ่งใหญ่ของสวี่รั่วนั้น ฝูหนันหัวเคยได้ยินมานานแล้ว ไม่ใช่สวี่รั่วแห่งต้าหลี แต่เป็นสวี่รั่วแห่งสำนักโม่ พอได้ยินคนผู้นี้แนะนำตัว เขาก็รีบสะกดกลั้นระลอกคลื่นที่กระเพื่อมอยู่ในหัวใจ ยกมือขึ้นคารวะทันที “ฝูหนันหัวคารวะผู้อาวุโสเซียนกระบี่”


สวี่รั่วยิ้มกุมหมัดคารวะตอบ


พอยืดตัวขึ้นตรง ฝูหนันหัวก็หันไปยิ้มพูดกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง “ท่านปู่ฉู่ ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”


ไม่คิดว่าหลังจากหายตกตะลึง ผู้เฒ่าจะกุมมือโค้งตัวคารวะนิ่งอยู่เป็นนาน แสดงความนอบน้อมจริงใจเสียยิ่งกว่าเด็กรุ่นหลังอย่างฝูหนันหัวซะอีก “ฉู่หยางลูกหลานอกตัญญูแห่งสกุลฉู่ชุ่ยเวยจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางขอเป็นตัวแทนตระกูลขอบพระคุณจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ที่ช่วยชีวิต!”


สวี่รั่วหลุดหัวเราะพรืด เคราะห์ภัยที่เกิดขึ้นในสกุลฉู่ชุ่ยเวยปีนั้น เขาสวี่รั่วก็แค่ผ่านทางไปพบเข้า จึงให้ความช่วยเหลือโดยช่วยรับหน้าการพัวพันเอาเรื่องจากตระกูลเซียนบนภูเขาแห่งหนึ่งที่ชื่อมีคำว่าสำนักแทนตระกูลฉู่ เขาโบกมือกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันขนาดนี้ ข้าก็แค่ยึดตามหลักปฏิบัติของสำนักโม่เท่านั้น”


ผู้เฒ่ายังคงไม่ยืดตัวขึ้น เขาพูดเสียงสั่นว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ก็คือพระคุณยิ่งใหญ่ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธ์ใหญ่สวี่ลงมือช่วยเหลือ ฉู่หยางก็คงกลายเป็นสุนัขไร้บ้านไปจริงๆ แล้ว ต่อให้วันหน้าอยากจะระลึกถึงบรรพบุรุษหวนกลับวงศ์ตระกูลก็คงเป็นเพียงความฝันเพ้อฝัน จอมยุทธ์ใหญ่สวี่มีความจริงใจและมีน้ำใจ ย่อมไม่เก็บเรื่องแบบนี้มาใส่ใจ แต่ฉู่หยางไม่กล้าทำตัวเป็นคนเนรคุณเด็ดขาด!”


สวี่รั่วกล่าวอย่างอ่อนใจ “ความจริงใจข้ารับไว้แล้ว แต่เจ้าเอาแต่ค้อมเอวอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง”


ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถที่ใบหน้าแก่กว่าสวี่รั่วถึงหนึ่งรุ่นเก็บท่าคารวะใหญ่นั้นลง มองไปทางเซียนกระบี่ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเอาภูเขาและแม่น้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาผสานเข้ากับปณิธานกระบี่ แล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอจอมยุทธ์ใหญ่ที่แจกันสมบัติทวีป ฉู่หยางสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว ความอัดอั้นไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ที่มีต่อตระกูลฝู ในที่สุดวันนี้ก็สลายหายไปเสียที!”


ฝูหนันหัวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


ไม่เสียแรงที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งขอบเขตโอสถทองในนครมังกรเฒ่า นิสัยเจ้าอารมณ์จริงๆ แถมยังไม่เห็นแก่บุญคุณกันด้วย!


นอกเหนือจากความจนใจแล้ว ความคิดร้อยพันยังประดังประเดเข้าหาฝูหนันหัว ในอดีตตอนที่ฉู่หยางขอบเขตโอสถทองเดินทางมาถึงที่นครมังกรเฒ่านั้นมีนิสัยโอหังเย่อหยิ่ง เพราะเรื่องเล็กเรื่องเดียวก็เกิดความขัดแย้งกับตระกูลแซ่ใหญ่ตระกูลหนึ่งของนครมังกรเฒ่า ต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำ ฉู่หยางใช้กำลังของตัวเองคนเดียวต่อสู้กับคนเป็นกลุ่มโดยที่ไม่ตกเป็นรอง ถึงท้ายที่สุดเป็นฝูฉีที่ลงมือด้วยตัวเอง เขาต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนผู้นี้ด้วยตัวเองก่อน จากนั้นก็ทุ่มภูเขาเงินภูเขาทอง แล้วค่อยยกพื้นที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมอย่างหอมังกร ถึงทำให้ฉู่หยางยอมฝืนใจกลายเป็นหนึ่งในผู้รับใช้ของตระกูลฝู ต่อห้ตระกูลฝูจะจริงใจถึงขนาดนี้ ฉู่หยางก็ยังพูดกับตระกูลฝูตามตรงว่า วันหน้าไม่ว่าตระกูลฝูมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่ไม่เกี่ยวกันพับการล่มสลายของตระกูล เขาฉู่หยางจะไม่มีทางลงมือช่วยเหลือเด็ดขาด หากใครในตระกูลฝูกล้าเอาเรื่องบุญคุณมาข่มขู่ให้เขาตอบแทน ก็อย่าโทษหากเขาจะแตกหักไม่เห็นแก่หน้าใคร สุดท้ายตระกูลฝูจึงยอมฝืนใจยอมรับข้อเสนอ


ทว่าผู้ฝึกตนขอบเขตโอสถทองที่มีหวังว่ากลายเป็นเซียนพสุธา เวลานี้กลับมีสภาพจิตใจและความคิดเช่นเดียวกับตอนที่เป็นฉู่หยางผู้ลึกล้ำเกินจะหยั่งซึ่งฝูหนันหัวเคยพบเห็นตอนยังเป็นเด็ก


จู่ๆ ฝูหนันหัวก็เกิดความใคร่รู้ว่า จอมยุทธ์สำนักโม่ผู้นี้จะมีคนที่เขาเลื่อมใสด้วยใจจริงหรือเปล่า? เวลาที่พบเจอกับคนผู้นั้นจะยอมลดตัวเองให้เป็นเพียงผู้น้อยที่แหงนหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความเต็มใจหรือไม่?


ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถจินตนาการภาพนั้นออกได้เลย


สวี่รั่วไม่สนใจจะพูดคุยปราศรัยกับผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทอง เขาเดินตรงขึ้นไปบนหอมังกร


ฉู่หยางไม่มีแม้แต่ความคิดจะออกเสียงเอ่ยเตือน ฝูหนันหัวอยากจะเปิดปากพูด แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดเหล่านั้นกลับลงท้องไปอย่างรวดเร็ว


บทที่ 258.3 ยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา

โดย

ProjectZyphon

เมื่อทะเลเมฆของนครมังกรเฒ่าร่วงดิ่งลงมา ฝูฉีก็รีบกลับมาที่นี่ มาปรากฏกายอยู่ข้างฝูหนันหัว มองสวี่รั่วที่เดินขึ้นไปข้างบน สีหน้าของเจ้านครมังกรเฒ่าผู้นี้ไม่มีแววของความไม่สบอารมณ์แม้แต่น้อย กลับกันยังพาฝูหนันหัวกลับเมืองโดยตรง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองพยักหน้าบอกเป็นนัยแก่ฝูฉี จากนั้นก็กลับไปที่กระท่อมริมทะเลของตัวเองเพื่อตั้งใจฝึกตนต่อไป


ฝูฉียอมวางใจปล่อยให้สวี่รั่วเข้าใกล้เด็กสาวจื้อกุย


ไม่เพียงแค่เพราะรู้ว่าตัวเองขัดขวางเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในแผ่นดินกลางไม่ได้ ยังเป็นเพราะสถานะสำนักโม่ของสวี่รั่วอีกด้วย


จอมยุทธ์สำนักโม่เดินทางท่องไปในยุทธภพ เดิมทีนี่ก็เป็นป้ายอักษรทองที่ส่งเสียงดังก้องอยู่แล้ว


สวี่รั่วเดินมาได้เกินครึ่งทาง เด็กสาวก็เดินลงมาจากหอมังกรแล้ว เด็กสาวสวมชุดเรียบง่าย ใบหน้าที่ฉายความงดงามนั้นไม่มีเลือดสดไหลนองและดวงตาสีทองอีกแล้ว


คนทั้งสองมาพบกันที่ครึ่งทาง สวี่รั่วหยุดเดิน ก่อนจะเดินลงไปด้านล่างพร้อมกับเด็กสาว พลางเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาอริยะลัทธิขงจื๊อบางคน การที่เจ้าขึ้นมาบนหอแห่งนี้ก็คือการท้าทายกฎเกณฑ์”


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่ออยู่ต่อหน้าสวี่รั่ว เด็กสาวกลับไม่ปิดบังอำพรางเหมือนตอนอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูและเมืองหลวงต้าหลี สีหน้าของนางเย็นชา “ในเมื่อข้าสามารถมีชีวิตรอดปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำบ่อนั้นได้ แถมยังมีชีวิตรอดออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็หมายความว่าเรื่องการมีชีวิตอยู่ของข้าคือสิ่งที่อริยะของทั้งสี่ฝ่ายให้การยอมรับโดยปริยาย จะขึ้นมาบนหอสูงแห่งนี้หรือไม่ สำคัญนักหรือ?”


ไม่รอให้สวี่รั่วพูดอะไร จื้อกุยที่ถามเองก็ตอบเองว่า “ข้าว่าไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยสักนิดเดียว”


สวี่รั่วร้องอ้อหนึ่งที แล้วก็ไม่มีประโยคถัดไปอีก


เด็กสาวเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ในบรรดาเมธีร้อยสำนัก ปีนั้นมีเพียงสำนักโม่ของเจ้า…”


สวี่รั่วผลักกระบี่ออกจากฝักสองชุ่นในเสี้ยววินาที ทั่วทั้งหอมังกรล้วนถูกน้ำของแม่น้ำสายใหญ่ที่มองไม่เห็นห่อหุ้มไว้อย่างมิดชิด พลังอำนาจยิ่งใหญ่จนเป็นเหตุให้คลื่นของมหาสมุทรที่เดิมทีโถมกระทบฝั่งอย่างดุเดือดถอยไปด้านหลังด้วยตัวเอง ผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองที่ฝึกตนอยู่ในกระท่อมลืมตาโพลง แต่แล้วก็รีบหลับตาลงอย่างรวดเร็ว


เด็กสาวส่งเสียงจุ๊ๆ พลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “เวทกระบี่ของเจ้าเลิศล้ำมาก อีกทั้งยังจะสูงส่งได้ยิ่งกว่านี้ แต่พลังอำนาจยังเทียบกับบรรพบุรุษสำนักโม่ของพวกเจ้าไม่ได้”


สวี่รั่วขมวดคิ้ว “แค่พอสมควรก็พอแล้ว ได้คืบจะเอาศอกไม่ใช่เรื่องดี ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือใต้หล้าไพศาล”


เด็กสาวหรี่ตาลง เบ้ปากพูด “ก็ใช่น่ะสิ ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร ที่นี่ก็คือโบราณสถานของสมรภูมิรบโบราณแห่งหนึ่ง ทุกพื้นที่กลาดเกลื่อนไปด้วยโครงกระดูก กองรวมกันแล้วยังสูงกว่าภูเขาสุ้ยซานของแผ่นดินกลางเสียอีก เลือดสดมากกว่าน้ำในแม่น้ำสายใหญ่ที่เจ้าชักนำมาด้วยซ้ำ”


สวี่รั่วหยุดเดิน พูดเสียงมีโทสะอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “อาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาไม่เคยสอนเจ้าหรือไง?!”


เด็กสาวไม่หยุดเดิน ฝีเท้าของนางแผ่วเบาว่องไว “สอนสิ เขาชอบสอนคนอื่นมากที่สุดเลยล่ะ แต่ข้าไม่ชอบฟังก็เท่านั้น”


สวี่รั่วเดินติดตามมาด้านหลังเงียบๆ วินาทีที่เด็กสาวก้าวออกจากบันไดขั้นสุดท้าย ปณิธานกระบี่แม่น้ำที่พลังอำนาจมากไพศาลก็หายวับไปในบัดดล


กวักมือเรียกก็มา ง่ายดายสมใจปรารถนา


ตอนนั้นที่สวี่รั่วรับมือกับเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตหยกดิบ เขาก็แค่ผลักกระบี่ออกจากฝักมาเล็กน้อย ใช้ปณิธานกระบี่ภูเขาสูงมาต้านทานกระบี่นั้นของเว่ยจิ้น มองดูเหมือนฝีมือสูสีทัดเทียมกัน แต่เห็นได้ชัดว่าสวี่รั่วยังไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มกำลัง


อันที่จริงสวี่รั่วไม่เคยชักกระบี่ออกจากฝักเต็มๆ เล่มมานานหลายปีแล้ว


ตอนนั้นที่เมืองหงจู๋ของราชวงศ์ต้าหลี สวี่รั่วเจอกับบุรุษสวมงอบไม้ไผ่คนนั้น ระหว่างที่คนทั้งสองดื่มเหล้าด้วยกัน สวี่รั่วคิดจะขอคำแนะนำจากบุรุษหนึ่งกระบี่ ทว่าชายผู้นั้นเพียงพูดยิ้มๆ ว่า เจ้าอย่าได้สิ้นเปลืองจิงชี่เสินของกระบี่ในฝักเลย เก็บสะสมต่อไปเถอะ


สวี่รั่วจึงรู้ทันทีว่าตนห่างชั้นกับบุรุษผู้นั้นมากถึงเพียงไหน


หากไม่เพราะติดที่สถานะลูกศิษย์ของสำนักโม่ สวี่รั่วเองก็อยากไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากเหมือนกัน


เซียนกระบี่ที่อยู่ด้านบนกำแพงเมืองแห่งนั้นกับเซียนกระบี่ของเก้าทวีปใหญ่ในใต้หล้าไพศาลคือคนละเรื่องกันเลย


แล้วสวี่รั่วจะไม่ปรารถนาอยากไปที่นั่นได้อย่างไร?


หรือว่าควรจะอาศัยโอกาสนี้ไปที่ภูเขาห้อยหัวดูสักครั้ง?


สวี่รั่วใจกระตุก รู้สึกว่าน่าจะทำได้


แต่พอชำเลืองตามองแผ่นหลังของเด็กสาว สวี่รั่วก็ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ช่างเถอะ เด็กสาวที่มองดูเหมือนบอบบางไม่อาจต้านทานลมตรงหน้าผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมัน


อีกอย่างอายุอานามของนางก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว


สวี่รั่วหยุดฝีเท้าลง ราวกับว่าไม่คิดจะคุ้มกันพานางกลับจวนตระกูลฝูอีก


เด็กสาวหันหน้ากลับไปมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย


แต่สวี่รั่วก็ยังยืนเฉยอยู่ที่เดิม


เด็กสาวจึงคิดแค่ว่านิสัยเซียนกระบี่ของเขากำเริบขึ้นมาเลยไม่อยากจะสนใจตน นางไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงหันกลับแล้วเดินหน้าต่ออีกครั้ง


สุดท้ายสวี่รั่วก็หมุนตัวกลับ เดินย้อนขึ้นไปบนหอมังกร เดินไปถึงจุดที่สูงที่สุด ที่นี่เคยเป็นสถานที่สุดท้ายในโลกที่มังกรแท้จริงขึ้นบก จากนั้นก็เผ่นหนีไปยังทิศเหนือตลอดทาง บุกเบิกเส้นทางมังกรเดินเส้นนั้น สุดท้ายไปตายอยู่ในราชวงศ์ที่อยู่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีป ไม่สามารถลงทะเลหนีข้ามทวีปไปยังอุตรกุรุทวีปได้สำเร็จ


สวี่รั่วไม่รู้ว่าครั้งนี้ เด็กสาวที่เรียกตัวเองว่าหวังจูจะเดินไปได้ไกลสักเท่าไหร่


……


เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านจะออกเดินทางยามสายัณห์ของวันนี้


ฟ่านเอ้อร์มาส่งเฉินผิงอันเดินทางโดยเฉพาะ คนทั้งสองนั่งรถม้าคันเดียวกันเดินทางไปยังนอกนครมังกรเฒ่าตั้งแต่เช้าตรู่


เจิ้งต้าเฟิงน่าจะเอาสัมภาระห่อหนึ่งมาวางหน้าประตูห้องของเฉินผิงอันตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว พอโยนเสร็จ เถ้าแก่ผู้นี้ก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมากินอาหารเช้า ตะวันลอยสูงสายโด่งก็ยังนอนหลับอุตุ ตัดสินใจแล้วว่าจะนอนจนกว่าจะเต็มอิ่ม แล้วก็ไม่สนใจฟ่านเอ้อร์ที่มาเคาะประตูเรียกและเฉินผิงอันที่เตรียมจะมาบอกลา


เรือข้ามฟากของนครมังกรเฒ่ารวมเรือเกาะกุ้ยฮวาด้วยแล้วก็มีทั้งหมดหกลำ ซึ่งต่างก็ไม่ได้จอดอยู่สุดปลายทางของถนนใหญ่นอกเมืองเส้นที่ตระกูลซุนเป็นผู้สร้าง แต่อยู่บนเกาะขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนทะเลทางทิศใต้สุด จำเป็นต้องเปลี่ยนมานั่งเรือข้ามฟากไปที่เกาะขนาดใหญ่แห่งนั้น ห่างจากนครมังกรเฒ่าอันเป็น ‘หัวมังกร’ บนบกของแจกันสมบัติทวีปสามร้อยกว่าลี้


จอดรถที่ริมชายฝั่งก็มีรถม้าอีกคันของตระกูลฝูมาจอดรออยู่นานแล้ว คนวัยเดียวกันสองคนนั่งอยู่ในห้องโดยสาร ฟ่านเอ้อร์ควักถุงเงินถุงหนึ่งมาส่งให้เฉินผิงอันด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ พูดเสียงเบาว่า “ที่บ้านควบคุมเข้มงวดมาก ข้าไม่มีเงินเลย จริงๆ นะเฉินผิงอัน ข้าไม่ได้หลอกเจ้า แล้วก็ไม่ใช่เพราะข้าฟ่านเอ้อร์ขี้เหนียวด้วย ทองหยวนเป่าพวกนี้ล้วนเป็นเงินอั่งเปาของข้า เงินอั่งเปาพวกนี้เป็นเงินไม่มาก แถมยังเป็นพวกผู้ใหญ่ที่สนิทคุ้นเคยกันดีแอบเอามาให้ บวกกับที่ไม่มีเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยอะไรของบนภูเขา ท่านพ่อท่านแม่ข้าถึงได้ยอมหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ นี้เจ้าต้องรับเอาไว้นะ ยังมีเหล้ากุ้ยฮวาหมักสองไหนี้ด้วย เจ้าเอาไว้ดื่มระหว่างเดินทาง ท่านปู่สารถีจะช่วยเก็บซ่อนไว้ในวัตถุฟางชุ่นของเขาให้ก่อน พอไปถึงที่เกาะกุ้ยฮวา เขาจะแอบมอบให้เจ้า เพราะอาจารย์เจิ้งเคยพูดไว้แล้ว เมื่อเกาะกุ้ยฮวาของพวกเราออกเดินทางจะต้องปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีแน่ สุราเล็กน้อยแค่นี้ย่อมมีให้ดื่มอยู่แล้ว แต่ว่านี่คือน้ำใจของข้าฟ่านเอ้อร์เอง ยังไงก็ไม่เหมือนกัน”


เฉินผิงอันส่ายหน้า “เงินข้าคงไม่รับไว้ แต่เหล้าน่ะเอาแน่นอน”


ฟ่านเอ้อร์เสียใจและกลัดกลุ้มเล็กน้อย “ทำไมล่ะ? เจ้าก็ไม่ใช่คนประเภทที่รังเกียจเงินน้อยนี่นา? พวกเราเป็นเพื่อนสนิทกันขนาดนี้ ต่อให้ละลายเงินพันชั่งก็ไม่ต้องกะพริบตาไม่ใช่หรือ? อันที่จริงตลอดทางที่เดินทางมานี้ข้านึกเสียดายระยะเวลาห้าหกปีที่เก็บออมมาด้วยความยากลำบากด้วยนะ”


เฉินผิงอันกระแทกไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ กดเสียงต่ำถามว่า “ในนครมังกรเฒ่ามีสุราบุปผาหรือไม่ (สมัยโบราณเรียกสุราที่หญิงคณิการ่วมดื่มด้วยว่าสุราบุปผา) ? วันหน้าพอพวกเราโตขึ้นอีกนิด…”


ฟ่านเอ้อร์ดวงตาเป็นประกาย เข้าใจได้ในทันที “วางใจเถอะ สองปีต่อจากนี้ข้าจะเก็บสะสมทองหยวนเป่าไว้เยอะๆ”


เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีเพื่อนที่สนิทมากคนหนึ่ง เขาบอกว่าสุราที่อร่อยที่สุดในหล้าก็คือสุราบุปผา หากไม่เคยดื่มเหล้านี้แม้แต่ครั้งเดียวก็ไม่คู่ควรให้เรียกตัวเองว่าเซียนสุรา…ฟ่านเอ้อร์ ถึงเวลานั้นพวกเราแค่ดื่มเหล้ากันอย่างเดียวนะ!”


ฟ่านเอ้อร์ตอบรับเป็นการเป็นงาน “แน่นอนอยู่แล้ว!”


ที่แท้ด้านนอกเกาะใหญ่ที่บดบังการมองเห็นจากนครมังกรเฒ่าคือเกาะอีกแห่งหนึ่ง บนเกาะมีหอเรือนตั้งเรียงราย มีต้นกุ้ยขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นหอมอบอวลชวนให้คนผ่อนคลาย


กลางทะเลที่เชื่อมเกาะสองแห่งมีทางเชื่อมที่กว้างใหญ่อยู่เส้นหนึ่ง รถม้าหรูหราหลายคันได้แต่จอดไว้ที่ถนนฝั่งนี้ ทว่ารถม้าที่เด็กหนุ่มสองคนนั่งโดยสารมากลับขับตรงไปยังเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา พาให้สายตาสงสัยของคนมากมายจับจ้องมองมา แต่พอมีผู้ฝึกลมปราณจำสารถีเฒ่าที่ขับรถม้าได้ก็ไม่มีใครกล้าบ่นอะไรอีก


รถม้าจอดลงช้าๆ ฟ่านเอ้อร์และเฉินผิงอันสองคนเดินลงจากรถ ฟ่านเอ้อร์พูดหน้าหงอย “เฉินผิงอัน ข้าคงไม่ไปส่งเจ้าขึ้นเรือแล้ว ช่วงที่ผ่านมานี้ข้าขโมยเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ท่านพ่อเก็บซ่อนไว้มา เหล้าพวกนี้กว่าเขาจะซ่อนจากสายตาแม่ใหญ่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นี่ดันมาถูกข้าขโมยเสียหมด วันนี้กลับไปต้องลงโทษให้ข้าไปอยู่ในห้องบรรพชนอีกแน่ๆ …”


เฉินผิงอันรีบพูดทันที “เจ้าอย่าไปขุดดินมากินเด็ดขาด คราวก่อนข้าหลอกเจ้าว่าเอามากินแทนข้าวได้ ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นนะ”


ฟ่านเอ้อร์อึ้งงันเป็นไก่ไม้ พูดหน้าบึ้ง “เมื่อคืนวานข้าไปขุดมาซ่อนใต้เตียงตั้งสองจินกว่า นี่ข้าเสียเวลาขุดเปล่าหรือ?”


เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง รับเหล้าสองกามาจากมือของสารถีเฒ่าผู้มีใบหน้าเมตตา เดินถอยหลังไปยังเกาะกุ้ยฮวา พูดกับฟ่านเอ้อร์ด้วยรอยยิ้มว่า “ไปแล้วนะ!”


ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับแรงๆ โบกมือบอกลา คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงตะโกนเสียงดัง “เฉินผิงอัน ข้ารู้สึกว่าชื่อของเจ้าดีมากเลย พอๆ กับชื่อของข้าที่เวลาพ่อแม่ตั้งให้ต่างก็ไม่ใส่ใจ!”


เฉินผิงอันหน้าดำ หมุนตัวกลับวิ่งไปบนทางภูเขาขึ้นเกาะ


ฟ่านเอ้อร์ลำพองใจนิดๆ “ใครใช้ให้เจ้ามาหลอกข้าว่ากินดินแทนข้าวได้”


ฟ่านเอ้อร์หมุนตัวกลับ พูดกับสารถีเฒ่ายิ้มๆ ว่า “ท่านปู่หม่า ไปกันเถอะ ตรงไปที่ศาลบรรพชนเลย!”


เด็กหนุ่มรู้สึกว่าครั้งนี้ตนกล้าหาญอย่างยิ่ง ดูท่าเหล้าที่ดื่มและขโมยไปจะไม่ได้เสียเปล่า ทั่วร่างของเขาจึงมีแต่กลิ่นอายของวีรบุรุษ!


ผู้เฒ่าที่กลั้นยิ้มมาโดยตลอดกล่าวว่า “คุณชายฟ่าน ท่านพ่อท่านบอกแล้วว่า ครั้งนี้ไม่ต้องไปรับโทษที่ศาลบรรพชน”


ฟ่านเอ้อร์ยกสองมือกุมหัว ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี


ผู้เฒ่ามองนายน้อยของตัวเอง แล้วก็หันไปมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่อยู่บนเกาะกุ้ยฮวาเรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกว่าวันนี้อากาศดีเป็นพิเศษ


ทุกก้าวที่เฉินผิงอันเดินขึ้นเขาก็คล้ายว่าได้ขยับเข้าใกล้แม่นางคนนั้นทีละนิด


ดังนั้นยิ่งเดินฝีเท้าจึงยิ่งเร็วราวกับบิน เดินไปจนถึงยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา หันมองไปรอบด้านก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งอย่างห้ามไม่ได้ จากนั้นเขาก็จงใจสะกดกลั้นลมหายใจเฮือกนี้เอาไว้


เพราะจู่ๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคที่ผู้เฒ่าในเรือนไม้ไผ่พูดตรงริมหน้าผา


“ยามที่พ่นลมหายใจเฮือกนี้ออกมา ต้องทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี! ต้องทำให้เทพเซียนคุกเข่าโขกหัวให้ ต้องให้ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนบนโลกรู้สึกว่าเจ้าก็คือท้องนภาที่อยู่เหนือสุดเบื้องบน!”


จากนั้นเฉินผิงอันก็นึกถึงประโยคหนึ่งของอริยะกระบี่ผู้เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ย


หากมีแม่นางคนหนึ่งพูดกับเจ้าว่า เฉินผิงอัน เจ้าเป็นคนดี…ฮ่าๆ ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคนก็จบเห่แน่แล้ว!


เฉินผิงอันรู้สึกท้อแท้เล็กน้อย ยกมือเกาหัวทันที


สุดท้ายเขานึกถึงประโยคหนึ่งที่ตัวเองเคยพูด “บิดาข้าแซ่เฉิน มารดาข้าก็แซ่เฉิน เพราะฉะนั้นข้าชื่อ…เฉินผิงอัน”


เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งยอง ดื่มเหล้าดับความกลุ้ม อดพึมพำประโยคหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ว่า “เฉินผิงอัน เจ้าโง่หรือไง?!”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)