ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 258-265

 ตอนที่ 258 การแลกมือ

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอหลิ่วหมิงเห็นเกาชงอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด


ในเมื่อหยางเฉียนบอกว่าเป็นการรวมตัวของอาจารย์จิตวิญญาณที่เพิ่งบรรลุเข้ามาใหม่ เกาชงก็ย่อมมีคุณสมบัติที่จะอยู่ที่นี่


แต่หลังจากชายหนุ่มหน้าดำทักทายหยางเฉียนแล้ว ก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยความอบอุ่น


“ข้าค่อนข้างแปลกใจที่ศิษย์น้องไป๋มาปรากฏตัวที่นี่ได้ เดิมทีคิดว่านิกายปีศาจมีแค่พี่หยางกับศิษย์น้องเกาชงที่บรรลุระดับเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีอาจารย์จิตวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่ถึงสามคน แต่ดูจากการแสดงออกของศิษย์น้องในแดนลึกลับแล้ว ก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ใช่สิ! ข้าเกือบลืมไป ศิษย์น้องไป๋ได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ต้องเรียกว่าศิษย์น้องหลิ่วจึงจะถูก”


“มิกล้า! ข้าเข้าระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้เพราะความโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! พี่อวิ๋น ท่านทราบเรื่องที่ข้าเปลี่ยนชื่อได้อย่างไร” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เฮ่อๆ! ในบรรดาศิษย์จิตวิญญาณจำนวนมากมายเช่นนี้ เจ้ากลับกลายเป็นอาจารย์วิญญาณได้ ถือเป็นความโชคดีได้อย่างไร เจ้าอย่าได้ถ่อมตนอีกเลย ส่วนเรื่องเปลี่ยนชื่อ พี่หยางเคยบอกพวกเราในก่อนหน้าแล้ว เจ้ากับพี่หยางมานั่งกันเถอะ พวกเรากำลังหารือแผนการรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าว


หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็เดินเข้าไปทันที


หยางเฉียนนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มแซ่อวิ๋นไปสองตัว หลิ่วหมิงนั่งตัวถัดมา


อีกข้างหนึ่งของเขาเป็นหญิงนิกายจันทราสวรรค์ใบหน้ารูปไข่ผู้นั้น


พอนางเห็นหลิ่วหมิงนั่งลงข้างๆ หน้าก็เริ่มแดงเล็กน้อย แต่ยังคงพยักหน้าให้หลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงเห็นท่าทีเอียงอายของหญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ยิ้มตอบรับกลับไป


ผลลัพธ์คือนางเขินอายมากกว่าเดิม และไม่กล้าเงยหน้ามองหลิ่วหมิงอีก


แต่จางซิ่วเหนียงที่อยู่ข้างนาง เพียงแค่มองหลิ่วหมิงอย่างเย็นชา โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา


พอชายแซ่อวิ๋นเห็นหยางเฉียนนั่งลงแล้ว เขาก็ลุกขึ้นเพื่อที่จะขยับตัวเข้าไปใกล้ แต่หยางเฉียนกลับมองเขาอย่างเย็นชาอยู่ครู่หนึ่ง


ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นชะงักในทันที หลังจากลูบจมูกตนเองแล้วก็นั่งลงที่เดิมด้วยความเคอะเขิน


“เอาล่ะ! ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วมาช้าไปหน่อย ทุกท่านช่วยบอกเนื้อหาที่หารือกันให้ข้าทั้งสองฟังหน่อยได้หรือไม่” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“เมื่อครู่ พวกเรากำลังพูดเรื่องอสูรสมุทรที่ปรากฏตัวสองครั้งในก่อนหน้านี้ ซึ่งจัดการมันได้ยากมาก ทุกท่านมีวิธีรับมืออะไรไหม?” ชายหนุ่มตาโตคิ้วแดงแห่งนิกายวาตอัคคีค่อยๆ กล่าวออกมา


“อ๋อ! ศิษย์น้องเถียนพูดถึงเจ้าตัวที่สามารถพ่นน้ำทะเลออกมาไม่ได้ไม่มีที่สิ้นสุด และทำให้อากาศบริเวณนั้น กลายเป็นพื้นที่ของปลาวาฬยักษ์ใช่ไหม!” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย


“พี่หยางรู้ชัดแจ้งเช่นนี้ หรือว่าท่านเคยพบอสูรสมุทรในการสู้รบครั้งก่อน?” ชายหนุ่มคิ้วแดงถามด้วยความแปลกใจ


“ไม่เพียงแต่ได้เจอกับมันเท่านั้น ข้าเกือบเสียชีวิตในเงื้อมมือมันกับอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่ง” หยางเฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“อืม! อสูรสมุทรตนนี้รับมือได้ยากจริงๆ ตัวมันเองไม่สามารถโจมตีได้ แต่กลับมีเนื้อหนังในการป้องกันที่น่าตกใจ ทั้งยังควบคุมน้ำทะเลอย่างชำนาญ ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ร่วมมือกับมันล่ะก็ พลังคงเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อย เดิมทีคิดว่ามีแค่ศิษย์น้องเถียนกับศิษย์น้องจางที่ได้พบกับมัน แต่ในตอนนี้กลับมีพี่หยางเพิ่มขึ้นมาอีกคน” เซวี่ยชื่อเอ่ยปากออกมา


“อ๋อ! ศิษย์น้องจางก็เคยเจออสูรสมุทรตนนี้ด้วย? ไม่ทราบว่าศิษย์น้องรับมือกับมันอย่างไร ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนั้นข้าเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแสดงวิชาหลบหนีไป” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็หันมากล่าวกับจางซิ่วเหนียงด้วยความประหลาดใจ


“ข้าทำลายการป้องกันตัวของอสูรสมุทรตนนั้นก่อน และฆ่ามันในดาบเดียว จากนั้นก็ทิ้งแขนข้างหนึ่งของอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรไว้” จางซิ่วเหนียงกล่าวอย่างสงบ


พอได้ยินเช่นนี้ ผู้คนส่วนมากต่างก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง และมองมาด้วยความประหลาดใจ


“ศิษย์น้องจางสมกับเป็นเจ้าของร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่จริงๆ หลังจากบรรลุระดับแล้ว อานุภาพของกระบี่บินแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางก็ไม่อาจเทียบได้” เซวี่ยชื่อกล่าว


ศิษย์พี่ใหญ่แห่งหอสายธารโลหิตผู้นี้ เคยได้รับความเจ็บปวดจากจางซิ่วเหนียงมาไม่ใช่น้อย หลังจากบรรลุระดับแล้ว วิชาสายธารโลหิตของเขา เข้าสู่ขั้นที่ยากจะหาที่เปรียบได้ และน่าจะเอาชนะผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เป็นสองรองใครของนิกายจันทราผู้นี้ได้ แต่ตั้งแต่หลังจากเห็นนางต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่หลายครั้ง เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปอย่างเด็ดขาด


ส่วนหยางเฉียนกับชายหนุ่มคิ้วแดงที่เคยเห็นอสูรเจ้าสมุทร ต่างก็มองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างขมขื่น


“ศิษย์พี่จาง เชี่ยวชาญวิชากระบี่บินถึงขั้นนี้ และบรรดาพวกเราก็มีแค่นางเท่านั้นที่ทำได้ ดังนั้นวิธีรับมืออสูรสมุทรของนาง เกรงว่าพวกเราคงไม่อาจใช้ได้ แต่ในเมื่ออสูรตนนี้เชี่ยวชาญวิชาควบคุมวารี พวกเราใช้เพลิงอัคคีรับมือดีหรือไม่?” เกาชงถามออกไป


“เกรงว่าจะไม่ได้ บอกทุกท่านอย่างไม่บิดบัง ข้านับว่าเป็นผู้ที่ชำนาญวิชาธาตุไฟ และยังมีอาวุธจิตวิญญาณประเภทเดียวกันคอยช่วย แต่พลังการกระตุ้นเพลิงอัคคีไม่สามารถทำลายน้ำทะเลจำนวนมากได้ในทันที ถ้าแค่รับมือกับอสูรตนนี้เพียงอย่างเดียวก็พอได้ ซึ่งใช้เวลานิดหน่อยเท่านั้น แต่บริเวณใกล้ๆ ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ อีก ดังนั้นจึงไม่อาจสังหารอสูรเจ้าสมุทรตนนี้ได้” ชายหนุ่มคิ้วแดงขมวดคิ้วกล่าว


หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าติดต่อกัน


ประจักษ์ชัดว่า ในตอนนั้นเขาก็เคยใช้วิธีการเช่นนี้ แต่มันก็ไม่ได้ผลใดๆ


“ถ้าพลังเพลิงอัคคีไม่ใช่จุดอ่อนของมันล่ะก็ ลองใช้วิชาที่เป็นธาตุน้ำดู พอทำน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำแข็ง คงจะสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของสูรตนนี้ได้” เกาชงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


“อันนี้ก็ไม่ได้ แม้ข้าจะไม่เคยลองวิชานี้ และอสูรสมุทรก็ไม่เคยโจมตีมาก่อน แต่พลังของมันไม่มีที่สิ้นสุด พลังปิดผนึกของน้ำแข็งเพียงเล็กน้อยไม่สามารถทำอะไรมันได้ ข้าเคยเข้าใกล้อสูรตนนี้ แต่กลับถูกหางของมันฟาดกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง” หยางเฉียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย


“อสูรสมุทรโหดเหี้ยมเช่นนี้ หรือว่ามันจะไม่มีจุดอ่อนใดๆ เลย” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นกล่าวด้วยความกลัดกลุ้ม


“ในเมื่อพลังน้ำแข็งและอัคคีใช้ไม่ได้ ทุกท่านเคยใช้พิษไหม” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ก็เอ่ยปากออกมาในที่สุด


“พิษ? อันนี้ไม่เคยลองจริงๆ ไม่แน่อาจจะเป็นวิธีการที่ดีก็ได้ ขณะที่อสูรสมุทรกระตุ้นน้ำทะเล มันต้องดูดพ่นน้ำทะเลออกมา เพียงแค่ใส่พิษเข้าไปในน้ำ มันก็จะถูกพิษอย่างง่ายดาย” หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ตาก็สว่างขึ้นมา


“ด้วยขนาดของอสูรสมุทร เกรงว่าพิษธรรมดาคงไม่มีผลกับมัน” เซวี่ยชื่อกล่าวราวกับคิดอะไรอยู่


“เฮ่อๆ! พูดถึงเรื่องการใช้พิษ สหายส่วนมากก็ไม่ชำนาญ แต่ด้วยพลังของนิกายคงหาพิษประหลาดได้ไม่ยาก ชนิดเดียวไม่ได้ผล ก็ใส่เข้าไปหลายๆ ชนิด เกรงว่าคงมีสักชนิดที่มีผลกับมัน ต่อให้ไม่อาจทำให้มันตายด้วยพิษ แต่ถ้าทำให้มันอ่อนแอได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี” หลิ่วหมิงกล่าว


“อืม! พี่หลิ่วกล่าวได้มีเหตุผล มันคุ้มค่าที่จะลองดู” ชายใบหน้าอัปลักษณ์ที่อยู่ข้างเซวี่ยชื่อพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา


“ขออภัยที่ข้าน้อยสายตาไม่แหลมคม สหายท่านนี้คือ……” หลิ่วหมิงมองชายอัปลักษณ์ทีหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจ


“อ๋อ! พี่หลิ่วมาช้าไปหน่อย ไม่รู้จักศิษย์น้องของข้าก็เป็นเรืองปกติ นี่คือเซวี่ยหนิง ศิษย์น้องของข้า เขามีพลังไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย ตอนนั้นเขาก็เข้าไปแดนลึกลับด้วย แต่ถูกล้อมอยู่ในสถานที่บางแห่งซะส่วนใหญ่ มิเช่นนั้น ตอนนั้นนิกายเราคงไม่ดูไร้ประสิทธิภาพเช่นนี้” เซวี่ยชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าว่าอยู่ทำไมถึงคุ้นหน้าพี่เซวี่ยหนิงเช่นนี้” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว


เวลาต่อมา พวกเขาก็หารือวิธีการรับมือกับอสูรสมุทรอีกหลายรูปแบบ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ทั้งหมด แต่พอถึงเวลาเผชิญหน้ากับมัน ก็จะได้ไม่ถึงกับไร้ซึ่งหนทางในการรับมือ


ในระหว่างเวลานี้ หยางเฉียนเล่าเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์จิตวิญญาณที่เก่งกาจของเผ่าเจ้าสมุทรให้หลิ่วหมิงฟังเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้ระวังตัวไว้


ผ่านไปอีกสักครู่ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็มองหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม และพลันกล่าวออกมา


“เอาล่ะ! เราหารือเรื่องเผ่าเจ้าสมุทรกันแค่นี้เถอะ ต่อไปจะเริ่มการแลกมือของเราได้หรือยัง ครั้งนี้ศิษย์น้องหลิ่วเข้าร่วมล่ะก็ คิดว่าคงมีสนใจเข้าร่วมไม่ใช่น้อย”


พอได้ยินเช่นนี้ สายตาจำนวนมากก็มองมาที่หลิ่วหมิงภายในพริบตา


หลิ่วหมิงไม่ได้แสดงสีหน้าผิดปกติออกมาแต่อย่างไร


“สหายหลิ่วเป็นผู้มาใหม่ ถ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ข้าจะ……” ชายหนุ่มคิ้วแดงตาเป็นประกายขึ้นมา ขณะที่เขากำลังจะกล่าวคำท้าสู้ออกมา พลันถูกใครบางคนขัดจังหวะโดยฉับพลัน


“หลิ่วหมิง เจ้ากล้าสู้กับข้าหรือไม่?” เขาคือเกาชงที่กำลังจ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ


พอคำพูดนี้เปล่งออกมา นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงในทันที


อย่างที่รู้กันดีว่า แม้จะไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอย่างชัดแจ้งในระหว่างการแลกมือ แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ ย่อมเป็นการท้าสู้ระหว่างนิกาย และไม่เคยมีการแลกมือกันภายในนิกายเดียวกันมาก่อน


แม้หยางเฉียนจะไม่แปลกใจที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ จากนั้นก็ใช้น้ำเสียงโทนต่ำกล่าวออกมา


“ศิษย์น้องเกา เจ้า……”


“ศิษย์พี่หยาง ข้ารู้ว่าท่านจะพูดอะไร แต่การแลกมือระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วจะต้องดำเนินต่อไป! ถ้าข้าแพ้ล่ะก็ ข้าจะปล่อยวางเรื่องระหว่างข้ากับศิษย์น้องหลิ่วในก่อนหน้านั้น และจะไม่กวนใจเขาอีก ตั้งแต่นี้ไปถ้าสถานที่ไหนมีเขา ข้าก็จะหลบทางให้ และไม่แย่งชิงสิ่งใดกับเขาอีก แต่หากข้าชนะล่ะก็ เขาจะต้องคุกเข่าก้มศีรษะให้ข้าต่อหน้าผู้คนสามครั้ง ให้ข้าได้ระบายความคับแค้นใจออกมา” เกาชงกล่าวด้วยสีหน้ามืดมน


พอได้ยินเกาชงกล่าวอย่างหนักแน่นเช่นนี้ แววตาหยางเฉียนก็เปลี่ยนไปหลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงสองสามที ก็ถอนหายใจแล้วไม่กล่าวอะไรออกมาอีก


ข้อพิพาทระหว่างศิษย์น้องสองคนนี้ เขาได้บอกกล่าวไปแต่แรกแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะสะสมมาจนถึงขั้นนี้


คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความแปลกใจ


“ได้! ในเมื่อศิษย์น้องเกามั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าคงต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์น้องเกาแล้วล่ะ!” หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่มองเกาชง และตอบรับอย่างไม่สะทกสะท้าน


……………………………………….


ตอนที่ 259 แปดมังกรโลหิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในเมื่อหลิ่วหมิงกล่าวออกมาเช่นนี้ ย่อมไม่มีใครขัดขวางการแลกมือระหว่างเขากับเกาชงได้


ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เกาชงนับว่าเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เพราะเขาเคยสังหารผู้ฝึกฝนของเจ้าสมุทรที่อยู่ระดับเดียวกันมาแล้ว


ในทางตรงกันข้าม แม้ว่าในบรรดาพวกเขาจะเคยมีคนเห็นหลิ่วหมิงลงมือมาก่อน แต่ก็เป็นเรื่องตอนเขาเป็นศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น พลังของเขาหลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ ยังไม่เคยมีคนเห็นมาก่อน


พอเกาชงได้ยินคำตอบรับของหลิ่วหมิง ก็แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หลิ่วหมิงก็ตามออกไปด้วย


คนอื่นๆ สบตากันทีหนึ่ง แล้วก็เดินตามออกไปด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน


ไม่นาน หลิ่วหมิงกับเกาชงก็สบตากันไกลๆ อยู่บนอากาศเหนือลานกว้างตรงหน้าอาราม


“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ารู้หรือไม่ เดิมทีข้าไม่ได้จงเกลียดจงชังเจ้า!” เกาชงสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะกล่าวกับหลิ่วหมิง


“อ๋อ! จริงหรือ!” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าหมิงจูคงกลายเป็นเตาหลอมพลังของข้าไม่ช้าก็เร็ว แม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ แต่ก็ไม่อาจขัดคำสั่งของอาจารย์ได้ และตนเองก็ตกอยู่ในหลุมพรางนั้นจนไม่อาจถอนตัวได้ ด้วยเหตุนี้ ก่อนหน้านั้นข้าจึงไม่กล้าให้ระดับการฝึกฝนของตนเองเพิ่มขึ้นรวดเร็วเกินไป เพื่อที่หมิงจูจะได้ไม่ต้องสละตนเอง ดังนั้นวันที่หมิงจูถูกแย่งไป กลับทำให้ข้ารู้สึกวางใจเป็นอย่างมาก ไม่นานก็ได้เตาหลอมพลังคนใหม่ และก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณอย่างราบรื่น แต่สิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งก็คือ เจ้ากับหมิงจูมีการหมั้นหมายกันไว้ และในตอนท้ายทำไมถึงให้ตระกูลไป๋ถอนหมั้นล่ะ มันทำให้หมิงจูได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก! และข้าติดค้างหมิงจูมากขนาดนี้ วันนี้คงได้แต่ใช้วิธีนี้ตอบแทนนาง! นอกจากนี้ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่า คนอื่นอาจเห็นพวกเราเป็นอาจารย์จิตวิญญาณระดับเดียวกัน แต่ถ้าพูดถึงพลังที่แท้จริง เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าเลยแม้แต่น้อย” เกาชงค่อยๆ กล่าวออกมา


หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ แม้จะปรากฏสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กล่าวออกไปด้วยท่าทีที่สงบ


“ที่แท้ศิษย์น้องเกาก็คิดเช่นนี้ ยังโชคดีที่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เจ้ายังสามารถใช้เตาหลอมพลังอันอื่นบรรลุระดับได้ แต่เรื่องที่ตระกูลไป๋ถอนหมั้นนั้น ต่างก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลของตนเอง สุดท้ายข้ากับเจ้าก็ยังอยากดูว่ากำปั้นใครใหญ่กว่ากัน แต่ข้ากลับแปลกใจว่า ทำไมศิษย์น้องเกาถึงได้มั่นใจเช่นนี้”


“ไม่ผิด! สิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดของผู้ฝึกฝนอย่างข้ากับเจ้า ก็คือพลังของตนเอง! ส่วนที่ว่าทำไมถึงมั่นใจเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าวิชาที่เจ้าฝึกฝน ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้” เกาชงกล่าวและหัวเราะเยาะออกมาก่อนที่จะทำท่ามือด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” อสรพิษยักษ์สีเลือดแปดตัวกระโดดออกจากไอหมอก


แต่ละตัวยาวสิบกว่าจั้ง ลำตัวของมันเต็มไปด้วยเกล็ด มีเขาอยู่บนหัวหนึ่งเขา ดวงตาราวกับกระดิ่ง ดูดุร้ายเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงกับอึ้งไปทันที แต่หลังจากมองอย่างละเอียดแล้ว ถึงค้นพบว่าอสรพิษที่ดูเหมือนมีชีวิตเหล่านี้ แท้จริงแล้ว เป็นแสงสีแดงไปทั้งตัว


หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นปรากฏออกมา


“เอ๊ะ! อสรพิษโลหิตทั้งแปดตัวช่างดูแปลกประหลาดยิ่งนัก คงไม่ใช่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายท่านหรอกนะ?”


พอผู้ชมด้านล่างเห็นอสรพิษสีเลือดบนอากาศทั้งแปดตัว ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากเซวี่ยชื่อที่ฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตจ้องมองอย่างละเอียดแล้ว ก็หลุดปากพูดออกมา


“เคล็ดวิชาแปดมังกรโลหิต! นี่คือวิชาอะไรกัน ใช่วิชาที่เกาชงฝึกฝนหลังบรรลุระดับหรือไม่?” หลิ่วหมิงย่อมได้ยินคำพูดของเซวี่ยชื่อ และคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว


ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดของเกาชงดังออกมาจากหมอกโลหิต


อสรพิษแปลกประหลาดส่ายหัวพ่นเปลวไฟสีเลือดเข้าหาหลิ่วหมิงเป็นจำนวนมาก


เปลวไฟสีเลือดเหล่านี้มายังไม่ทันมาถึงตัวหลิ่วหมิง กลิ่นคาวเลือดก็โชยเข้ามาในฉับพลัน จากนั้นหลิ่วหมิงก็สูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น


อย่างที่รู้ว่า เพราะเขาเคยทานสมุนไพรจิตวิญญาณไป ดังนั้นพิษธรรมดาจึงไม่มีผลต่อเขา ดูท่าเปลวไฟสีเลือดนี้คงจะไม่ธรรมดา


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และสะบัดกระบี่สั้นในมืออย่างไม่รอรี ทันใดนั้นชั้นจำกัดสิบกว่าชั้นก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา พอมีเสียงดังกังวานขึ้น เงากระบี่สีเขียวเงาหนึ่งก็เปล่งประกายออกมาและประกอบเข้าด้วยกันอย่างแปลกประหลาด


ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นเสียดกระดูกก็ปรากฏขึ้นบนอากาศ แสงกระบี่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกายออกมา


เปลวไฟโลหิตพวยพุ่งรวมตัวกัน จากนั้นก็ถูกกระบี่สั้นสีเขียวกวาดออกไปจนหมดสิ้น


อสรพิษโลหิตสองในแปดตัวที่ปรากฏบนอากาศ ถูกคลื่นกระบี่สั้นสีเขียวฟาดฟันจนระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต


ขณะนี้ อานุภาพของแสงกระบี่สีเขียวก็หมดลง และพร่ามัวหายไปในอากาศ


แต่ฉากที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ ที่ชมอยู่ด้านล่าง ต่างก็จ้องมองจนตาค้าง


“เป็นไปไม่ได้! เจ้ามีพลังแบบนี้ได้อย่างไร!” มีเสียงโมโหอย่างสุดขีดของเกาชงดังออกมาท่ามกลางไอหมอกโลหิต ดูเหมือนว่าเขาจะยอมรับผลการโจมตีเมื่อครู่ไม่ได้


หลิ่วหมิงกลับไม่แสดงสีหน้าใดๆ ออกมา เขาเพียงแค่สะบัดกระบี่จันทราหยกอีกครั้ง เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทำให้ผู้ที่ชมฉากนี้อยู่รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น


แม้แต่เขาเองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พอคิดไปคิดมาแล้ว ก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


ประการแรก เมื่อครู่เขาใช้วิธีการควบคุมกระบี่จิตวิญญาณตามบันทึกประสบการณ์ที่เย่เทียนเหมยให้ไว้ และการลงมือเมื่อครู่ก็เป็นวิธีการลงมือของผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แท้จริง ดังนั้นมันจึงให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจเช่นนี้


ประการที่สอง กระบี่จันทราหยกเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง พอสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้ อานุภาพก็ย่อมเพิ่มขึ้นหลายเท่า และเขาอาศัยความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ที่อยู่เหนือกว่าคนอื่น ทำให้กระบี่เล่มนี้เปล่งอานุภาพขั้นสูงสุดของมันออกมา


สุดท้าย หลังจากเขาฟันกระบี่ออกไปแล้ว ก็รับรู้ได้ลางๆ ว่าตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งในร่างเขาสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อกระบี่จิตวิญญาณเกินความคาดหมายของเขาไปมาก


แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นๆ เช่นเขามีพลังอันน่ากลัวมากกว่าผู้ฝึกร่างที่อยู่ในระดับเดียวกัน และมีพลังจิตที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้กระบี่เมื่อครู่แสดงอานุภาพออกมา


“พี่หยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าน้องหลิ่วอยู่สาขาเก้าทารก และไม่ใช่ผู้ฝึกฝนกระบี่!” ชายแซ่อวิ๋นหันมากล่าวกับหยางเฉียนที่อยู่ด้านข้าง


“แน่นอนว่าศิษย์น้องหลิ่วไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ตอนนั้นเขาก็เคยร่วมมือกับเราในแดนลึกลับ ตรงนี้เจ้าก็น่าจะเข้าใจดี” แม้หยางเฉียนจะสวมหน้ากาก แต่ก็ตอบกลับด้วยดวงตาที่ตื่นตะลึง


“นี่จะต้องไม่ใช่วิชาแปดมังกรโลหิตที่แท้จริงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นจะถูกทำลายง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร!” เซวี่ยชื่อที่อยู่อีกด้านกล่าวออกมาด้วยความโล่งใจ สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


เซวี่ยหนิงที่อยู่ด้านข้างกลับจ้องมองกลางอากาศด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก นิ้วทั้งสิบกำแน่นโดยไม่รู้ตัว


ส่วนจางซิ่วเหนียงกับหญิงชุดเหลืองกับมีท่าทีที่แตกต่างกันออกไป


จางซิ่วเหนียงหรี่ตามองหลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศ และกลิ่นไอกระบี่ก็พุ่งออกจากตัวของนาง ราวกับว่ากระบี่เมื่อครู่ของหลิ่วหมิงกระตุ้นให้นางอยากจะต่อสู้ขึ้นมา


หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์อีกคน จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง


ขณะนั้นเอง เกาชงก็แผดเสียงออกมาจากหมอกโลหิตอีกครั้ง!


“ฟู่!” “ฟู่!” อสรพิษโลหิตอีกสองตัวพุ่งออกจากในนั้น และเคลื่อนไหวมารวมกับอีกหกตัวอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นมังกรที่มีเขาตรงหัวสองเขา และมีสี่กรงเล็บ


พอมังกรโลหิตเปลี่ยนร่างแล้ว มันก็ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงคำรามลั่น!


ทันใดนั้นหมอกโลหิตทั้งหมดก็พวยพุ่งไปยังร่างของมังกร ทำให้ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเท่ากว่าๆ ตอนนี้มันยาวยี่สิบจั้งกว่าๆ แล้ว ขณะเดียวกันกลิ่นไออันน่ากลัวก็แผ่ออกมา


ขณะที่หมอกโลหิตถูกมังกรโลหิตดูดจนหมดสิ้นนั้น ร่างของเกาชงก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง


แต่พอผู้คนที่อยู่ด้านล่างเห็นรูปร่างของเกาชงแล้ว ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป


เกาชงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีศีรษะที่กลายเป็นสีแดงเลือด ร่างของเขายังเต็มไปด้วยอักขระสีเลือดจำนวนมาก ขณะเดียวกันเส้นเลือดก็นูนออกมาจากผิวหนัง และสั่นไหวอยู่ไม่หยุด แลดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้


“ไป!”


เกาชงไม่สนใจสายตาผู้คนที่อยู่ด้านล่าง มือทั้งสองกระตุ้นวิชาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ตะโกนเสียงต่ำออกไป


มังกรโลหิตอ้าปากพ่นลำแสงสีเลือดออกมา ขณะเดียวกันก็มีพายุบังเกิดขึ้นใต้เท้า พอร่างขนาดใหญ่ดูพร่ามัว มันก็กลายเป็นบ้ายุบ้าระห่ำกระโจนเข้ามา


หลิ่วหมิงจ้องมองฉากนี้ด้วยประกายตาอันเยือกเย็น


เขาสะบัดกระสั้นสีเขียวออกไปด้านหน้า เงากระบี่จำนวนมากหดตัวรวมกันและถูกปล่อยออกไป จากนั้นจันทราหยกก็ปรากฏออกมา และหมุนติ้วๆ ขยายใหญ่ขึ้น


พอลำแสงสีแดงปะทะกับจันทรากลมๆ ก็ถูกสำแสงสีเขียวโจมตีจนแตกละเอียดเป็นผุยผง


พอจันทราหยกเคลื่อนไหวอีกที มันก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และม้วนตัวพุ่งเข้าใส่มังกรโลหิต


“ตู๊ม!”


แสงกระบี่ขนาดใหญ่ปะทะกับมังกรโลหิต


แสงสีแดงกับสีเขียวผสานเข้าด้วยกัน มันทั้งสองต่างก็คุมเชิงกันไว้


สีหน้าเกาชงเปลี่ยนไปมาก เขารีบเปลี่ยนท่ามือในทันที และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา


โลหิตบริสุทธิ์กลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิต หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นอักขระสีเลือดก่อนจมหายไปในอากาศ


ครู่ต่อมา มังกรโลหิตตรงหน้าก็ปล่อยเปลวไฟโลหิตพวยพุ่งออกมา ขณะเดียวกันก็มีอักขระสีเลือดปรากฏขึ้นบนเกล็ดของมัน


ภายใต้สถานการณ์ที่แสงกระบี่สีเขียวถูกเปลวไฟโลหิตห่อหุ้มไว้ แสงของมันก็อ่อนลงในทันที


พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียว และชี้ไปกลางอากาศ


ทันใดนั้นพลังเวทย์ในร่างก็พุ่งทะลักออกมา


แสงกระบี่ยักษ์ที่อยู่ไกลๆ เปล่งประกายขึ้น จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวก่อนที่จะระเบิดตัวจนแตกกระจาย แท่งแหลมๆ สีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงออกมา


……………………………………….


ตอนที่ 260 การปะทะกันระหว่างกำปั้นกับกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

มังกรยักษ์ที่มีเปลวไฟโลหิตพวยพุ่ง ถูกแท่งแหลมๆ เจาะจนเป็นรูจำนวนมาก หลังจากมีเสียงร้องอย่างเวทนา มันก็กลายเป็นใบมีดโลหิตแวววาวก่อนร่วงลงไป


ขณะเดียวกัน เกาชงที่อยู่ตรงหน้าก็มีสีหน้าขาวซีดเป็นอย่างมาก เขาอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา อักขระโลหิตบนตัวหายวับไปทันที เขาดูอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก


“ดีมาก! ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะชำนาญเส้นทางการฝึกฝนกระบี่ การประลองครั้งนี้นับว่าข้าแพ้ให้กับเจ้า ต่อไปข้าเกาชงจะรักษาสัญญา ไม่เพียงแต่เรื่องของหมิงจูเท่านั้น เรื่องที่เกี่ยวพันกับเจ้า ข้าก็จะหลบทางให้” สีหน้าเกาชงดูอึ้งทึ้งเป็นอย่างมาก จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ


เขาคว้ามือข้างหนึ่งลงด้านล่าง


“ฟู่!”


ใบมีดโลหิตที่ตกลงพื้นพุ่งทะยานขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็กลายเป็นกลุ่มแสงโลหิตตกอยู่ในมือเขา


จากนั้นเกาชงก็หมุนตัวจากไป


ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้


“ข้าว่าแล้ว ทำไมเกาชงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณไม่นาน ก็สามารถกระตุ้นแปดมังกรโลหิตในตำนานได้ ที่แท้ก็เป็นพลังจากอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้น ไม่รู้ว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร ดูท่าคงจะเพิ่มพลังให้กับการฝึกฝนเส้นทางสายโลหิตได้เป็นอย่างมาก” เซวี่ยชื่อถอนหายใจกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


“เกรงว่าจะทำให้พี่เซวี่ยชื่อผิดหวังแล้วล่ะ! ของชิ้นนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่ประมุขนิกายเราเคยใช้ในสมัยก่อน มันมีผลแค่วิชาแปดมังกรโลหิตของนิกายเราเท่านั้น” หยางเฉียนเรียกสติกลับมาได้ ก็ปราดตามองเซวี่ยชื่อก่อนที่จะกล่าวออกมา


“เฮ่อๆ! ใยพี่หยางต้องระมัดระวังเช่นนี้ด้วยเล่า หรือท่านกลัวว่าข้าจะวางแผนมุ่งร้ายต่ออาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้หรือ!” เซวี่ยชื่อได้ยินก็รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก แต่ก็ยิ้มออกมา


“พี่เซวี่ยชื่อจดจำคำพูดนี้ไว้ก็พอ” หยางเฉียนกล่าวอย่างราบเรียบ


“แต่ที่ทำให้คนรู้สึกประหลาดใจที่สุดก็คือศิษย์น้องหลิ่ว จากการแสดงวิชากระบี่เมื่อครู่ เกรงว่าผู้คนในที่นี้ คงมีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใกล้การโจมตีนี้ได้ อย่างน้อยก็ข้าคนหนึ่ง” แม้ชายหนุ่มคิ้วแดงจากนิกายวาตอัคคีจะจ้องมองบนอากาศอยู่ แต่ก็กล่าวพึมพำแทรกเข้ามา


หยางเฉียนได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรออกมา


เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจนว่า หลิ่วหมิงแสดงวิชากระบี่ออกมาได้อย่างไร และยังมีอานุภาพอันน่าตกใจด้วย


อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวชุดเหลืองได้ส่งเสียงให้กับจางซิ่วเหนียง


“ศิษย์พี่จาง วิชากระบี่ที่ศิษย์น้องหลิ่วแสดงออกมาเมื่อครู่เป็นวิชารวมหมื่นกระบี่ขั้นพื้นฐานใช่ไหม แม้ว่าจะเป็นวิชาที่ที่บอบบางที่สุด แต่มันเป็นวิธีการของนิกายเราไม่มีผิด อีกอย่าง เมื่อครู่ดูเหมือนว่าข้าจะได้กลิ่นไอกระบี่แปลกๆ อยู่จางๆ! นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน หรือว่าศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่จริงๆ?”


“ที่หลิ่วหมิงผู้นี้ใช้วิชากระบี่ได้นั้น ข้ารู้ว่าเกิดจากอะไร ส่วนการโจมตีเมื่อครู่ ทำไมถึงมีกลิ่นไอกระบี่ออกมานี้ ข้าเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ไม่เป็นไร! เชื่อว่าอีกสักครู่ข้าจะทำให้กระจ่างเอง” จางซิ่วเหนียงตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็กระทืบเท้าลงพื้นก่อนที่จะกลายเป็นรุ้งขาวพุ่งขึ้นฟ้า นางเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง


พอหลิ่วหมิงที่เพิ่งประลองเสร็จและเตรียมจะเหาะลงด้านล่างได้เห็นฉากนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


“คิดไม่ถึงว่าเจอกันแค่ไม่กี่ปี ศิษย์น้องหลิ่วก็ฝึกฝนวิชากระบี่ได้ มันทำให้ผู้ฝึกกระบี่เหมือนกันอย่างข้ารู้สึกคันไม้คันมือขึ้นมา หวังว่าศิษย์น้องจะแนะนำวิชากระบี่ให้ข้าบ้างเล็กน้อย” ดวงตาจางซิ่วเหนียงเปล่งประกายเยือกเย็น และกล่าวคำท้าสู้ออกมา


หยางเฉียน เซวี่ยชื่อ และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนตาค้าง


หลังจากพวกเขาเห็นวิชากระบี่ของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นแล้ว ถ้าจะทำให้จางซิ่วเหนียงรู้สึกสนใจขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่นางกลับท้าสู้โดยไม่คิดจะปล่อยโอกาสให้คนอื่นเลย มันทำให้คนอื่นหมดคำพูดขึ้นมา


แน่นอนว่าการที่หลิ่วหมิงถูกจางซิ่วเหนียงท้าสู้ ไม่ว่าจะมองจากทางด้านใด ก็นับว่าเป็นเกียรติแก่เขาเป็นอย่างมาก


เพราะการรวมตัวในหลายครั้งที่ผ่านมาคนจำนวนมากต่างก็อยากแลกมือกับนาง แต่นางก็รับคำท้าเพียงครั้งเดียว และไม่เคยท้าสู้คนอื่นๆ มาก่อน


และก็เป็นเพราะว่าการรับคำท้าสู้ในครั้งนั้น นางแสดงพลังออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนสร้างความกดดันให้คนอื่นๆ ไม่กล้าท้าสู้กับนาง


การรวมตัวในครั้งหลังๆ จางซิ่วเหนียงเกือบจะกลายเป็นผู้ชมโดยสมบูรณ์ ไม่มีใครกล้าไปท้าสู้กับนางอีกเลย ทำให้นางเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนในกลุ่มนี้


ตอนนี้หลิ่วหมิงกลับไม่คิดว่านี่เป็นการให้เกียรติ พอเขามองหญิงสาวตรงหน้าแล้ว ก็ส่ายศีรษะกล่าวออกมา


“ถ้าเปรียบเทียบแค่วิชากระบี่บินล่ะก็ วิธีการฝึกฝนงูๆ ปลาๆ ของศิษย์น้อง คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหาย และคงไม่ต้องประลองแล้ว”


“อืม! ฟังจากน้ำเสียงของสหายหลิ่ว คงมั่นใจว่ายังมีวิธีการอื่นที่เหนือกว่าวิชากระบี่บิน ดีมาก! นอกจากวิชากระบี่แล้ว มีวิธีการอะไรก็แสดงออกมาให้หมดเถอะ!” จางซิ่วเหนียงได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


จากนั้นนางก็คว้ามือไปด้านหลัง กระบี่หิมะขาวเล่มนั้นพุ่งออกมาจากฝัก และค่อยๆ หล่นลงบนมือของนาง


นางไม่ได้แสดงวิชาพิเศษอะไรออกมา เพียงแค่ตั้งกระบี่ยาวขวางไว้ตรงหน้า อากาศบริเวณก็ได้รับผลกระทบ จนก่อเกิดเป็นผลึกหิมะลอยวนรอบตัวนาง


ที่จริงจางซิ่วเหนียงก็รีบลงมือ โดยไม่ได้สนใจว่าหลิ่วหมิงจะตอบนางว่าอย่างไร


หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วแล้ว ถึงถอนหายใจด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าจะรับท่านสักกระบี่ก็แล้วกัน!”


จากนั้น เขาก็สะบัดกระบี่จันทราหยกอย่างไม่เกรงใจ เงากระบี่จำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง พวกมันทั้งหมดรวมตัวเข้าด้วยกัน


“ตู๊ม!” แสงกระบี่ยักษ์ม้วนตัวออกไป


มีเสียงแหลมปะปนอยู่ในสถานที่ที่แสงสีเขียววิ่งผ่าน ดูเหมือนว่าอานุภาพของมันจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นสามส่วน


“ทำได้ดี! ข้าจะให้สหายหลิ่วได้รู้ว่า อะไรคือวิชากระบี่ที่แท้จริง!” จางซิ่วเหนียงจ้องมองแสงกระบี่ยักษ์ทีมีอานุภาพอันน่าตกใจ และกล่าวออกมา จากนั้นกระบี่ยาวหิมะขาวก็ตั้งตรงอยู่ตรงหน้า ผลึกหิมะรอบด้านพุ่งเข้าใส่กระบี่ ก่อให้เกิดไอเย็นสะท้าน และลำแสงจ้าแสบตา


“ฟู่!”


กระบี่ยาวหิมะขาวถูกจางซิ่วเหนียงโยนออกไป และภายใต้การกระตุ้นของเคล็ดวิชา มันก็กลายเป็นแพรขาวก่อนที่จะพุ่งยิงไปปะทะกับแสงกระบี่ยักษ์ที่พุ่งเข้ามา


แสงกระบี่สีเขียวกับสีขาวประสานเข้าด้วยกัน แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนตาค้างก็ได้บังเกิดขึ้น


พอแสงกระบี่สีเขียวที่ดูมีอานุภาพน่าตกใจสัมผัสโดนแพรขาวเล็กน้อย มันก็ระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ


จางซิ่วเหนียงที่อยู่ด้านหลัง ก็ยกมือร่ายคาถาแล้วชี้ไปด้านหน้า


กระบี่ยาวหิมะขาวปรากฏขึ้นในแพรขาว หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ มันก็พุ่งมาทางหลิ่วหมิง


มันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ เพียงแค่พร่ามัวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง และฟันลงมาอย่างน่ากลัว


หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่คิดจะหลบหลีกแต่อย่างใด แต่กลับขยับแขนแล้วคำรามออกมา กำปั้นสีทองอร่ามพุ่งเข้าใส่กระบี่ยาวหิมะขาวจนกระเด็นออกไป ราวกับไม่กลัวถูกคมกระบี่ฟันจนขาดเป็นสองส่วน


จางซิ่วเหนียงที่อยู่ตรงหน้าเห็นเช่นนี้ ก็ไม่คิดที่จะหยุดควบคุมกระบี่บิน แต่กลับถือโอกาสฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม


“ตู๊ม!”


ขณะที่กำปั้นสีทองอยู่ห่างจากกระบี่ยาวหิมะขาวฉื่อกว่าๆ นั้น ก็พลันมีหมอกดำม้วนตัวออกจากกำปั้นในฉับพลัน พลังไร้รูปบางอย่างพุ่งทะลักออกมา


กระบี่ยาวหิมะขาวสั่นสะท้าน และถูกพลังไร้รูปปัดกระเด็นออกไป อึดใจเดียวก็กระเด็นไปไกลสิบกว่าจั้งถึงสามารถตั้งหลักได้


กระบี่ยาวในครั้งนี้ เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งและส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา ราวกับว่าจะถูกทำลายอย่างแน่นอน


จางซิ่วเหนียงมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว หลังจากจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วก็โบกมือไปด้านหน้า


กระบี่ยาวหิมะขาวพุ่งยิงกลับมา และเสียบลงฝักตรงหลังนางอย่างมั่นคง


“สหายหลิ่วไม่ธรรมดาจริงๆ ซิ่วเหนียงหวังว่าครั้งหน้าคงมีโอกาสได้รับการชี้แนะจากท่าน ศิษย์น้องเฟิ่งหลวน พวกเราไปกันเถอะ!” นางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ และเรียกหญิงสาวชุดเหลืองก่อนที่จะขี่เมฆเหาะจากไป


หญิงสาวที่ชื่อเฟิ่งหลวนได้ยินเช่นนี้ ก็รีบกล่าวลาหยางเฉียนและคนอื่นๆ ก่อนจะขี่เมฆตามไป


พริบตาเดียว หญิงสาวนิกายจันทราสวรรค์ก็หายลับไปกับตา


คนที่เหลืออยู่ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย


กระบี่ที่โจมตีเกาชงจนพ่ายแพ้ในก่อนหน้านั้นก็ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกตกใจมาก แต่ฉากใช้กำปั้นทำลายวิชากระบี่บินของจางซิ่วเหนียงกลับทำให้พวกเขาหวาดผวายิ่งกว่า


แต่หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศในขณะนี้กลับมีสีหน้าหนักอึ้งเป็นอย่างมาก เขาค่อยๆ ดึงกำปั้นสีทองกลับมา ส่วนหน้าของกำปั้นแตกร้าวไปส่วนหนึ่ง และมีรอยเลือดซึมออก


แม้ว่ากระบี่เมื่อครู่จะถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป แต่ปราณกระบี่อันแหลมคมที่กระบี่บินปล่อยออกมา กลับทำลายผิวของกำปั้นไปเล็กน้อย


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหวาดกลัวอานุภาพกระบี่บินของจางซิ่วเหนียงอยู่ไม่หยุด


เมื่อเขาดึงกำปั้นกลับมาแล้ว นิ้วทั้งห้าก็ค่อยๆ คลายออก เผยให้เห็นมุกกลมๆ ที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีดำเม็ดหนึ่ง


มันคือมุกพลังวารีเม็ดนั้น!


ที่หลิ่วหมิงกล้าใช้กำปั้นรับกระบี่บินนั้น ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าความมั่นใจในทองคำหลอมเหลว กับมุกพลังวารีที่เขากำไว้ในมือนั่นเอง


เพราะมีมุกพลังวารีช่วยไว้ เขาถึงแสดงพลังออกมาได้จนถึงขีดสุด และยังโจมตีกระบี่บินของจางซิ่วเหนียงจนกระเด็นออกไปได้


“ศิษย์พี่ทุกท่าน ตอนนี้ศิษย์น้องรู้สึกเหนื่อยแล้ว ต้องขอตัวกลับก่อน” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะผู้คนที่อยู่ด้านล่างด้วยรอยยิ้ม


จากนั้นเมฆสีเทาก็ปรากฏขึ้นตรงใต้เท้าก่อนที่เขาจะหันตัวเหาะจากไป


……………………………………….


ตอนที่ 261 วิชาขี่กระบี่ปราณแกร่ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“สหายทุกท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คิดว่าคนอื่นๆ คงไม่สนใจทำการแลกมืออีก พวกเราแยกย้ายกันเถอะ ไว้ค่อยแลกมือกันในโอกาสหน้า” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา


“ได้! พอเห็นฝีมือทั้งสองครั้งของศิษย์น้องท่านแล้ว ข้าก็ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อสู้อีก” ชายหนุ่มคิ้วแดงยิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวออกมา


จากนั้นเขาก็ทำความเคารพบรรดาผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น และเหยีบเมฆสีแดงทะยานขึ้นฟ้าไป


เซวี่ยชื่อและคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้ ต่างก็พากันกล่าวลาแล้วก็จากไป


พริบตาเดียวขอบลานกว้างก็เหลือเพียงหยางเฉียนกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเท่านั้น


“พี่อวิ๋น ท่านยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ?” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ไม่มีอะไร ข้ารู้ว่าตอนนี้เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทหยินชนิดหนึ่ง ต้องใช้พลังภายนอกเข้าช่วย ประจวบเหมาะกับข้าได้ไม้พลังหยินชิ้นเล็กๆ มาพอดี มันน่าจะเหมาะกับเจ้า” ชายแซ่อวิ๋นเหยียดปากยิ้ม จากนั้นก็หยิบไม้แห้งที่มีไอสีดำแผ่ออกมายื่นให้หลิ่วหมิง


“ไม้พลังหยิน! ของชิ้นนี้มีประโยชน์ต่อข้ามาก ข้ามีสามพันหินจิตวิญญาณ คงเพียงพอที่จะจ่ายราคาสิ่งของชิ้นนี้” ยังไม่ทันได้รับไม้ดำ เขาก็ล้วงเอาถุงหนังที่ใส่หินจิตวิญญาณโยนออกไปก่อน


“ไม่ต้อง! ของสิ่งนี้ข้าเต็มใจมอบให้เจ้า!” แม้ชายหนุ่มหน้าดำจะรับถุงหนังมาแล้ว แต่ก็ส่ายหน้าโบกมือปฏิเสธอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็คิดที่จะโยนหินจิตวิญญาณกลับไป


“ถ้าพี่อวิ๋นไม่รับหินจิตวิญญาณไว้ล่ะก็ ข้าก็ไม่อาจรับไม้พลังหยินชิ้นนี้ได้” หยางเฉียนเห็นเช่นนี้ก็ตีหน้าขรึมขึ้นมา


ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นย่อมเข้าใจในความเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่าย หลังจากยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วก็เก็บถุงหนังเข้าไป


สีหน้าหลิ่วหมิงที่อยู่ภายใต้หน้ากากผ่อนคลายขึ้นมา เขายื่นมือไปรับไม้ดำ และจ้องมองด้วยความชอบใจ


“ใช่สิ! ข้าขอดูใบหน้าที่แท้จริงของท่านได้หรือไม่?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปทันที ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงกล่าวออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย


“เจ้าพูดอะไร!” หยางเฉียนที่กำลังชมไม้ในมืออยู่ต้องหยุดชะงักในทันที น้ำเสียงดูเยือกเย็นเสียดกระดูกยิ่งนัก


“เฮ่อๆ! ถ้าไม่ได้ล่ะก็ ให้คิดว่าข้าไม่เคยพูดก็แล้วกัน” ชายหนุ่มใจเต้นขึ้นมา และรีบกล่าวแก้เก้อ


“สหายอวิ๋น เจ้าอย่าลืมคำสาบานที่ให้ไว้ในตอนนั้น นอกจากข้าจะเต็มใจแล้ว ห้ามพูดเรื่องสถานนะที่แท้จริงของข้าออกไปอย่างเด็ดขาด อย่างอื่นยิ่งไม่ต้องไปเพ้อฝัน ยิ่งเจ้าลืมใบหน้าที่แท้จริงของข้าไปหมดสิ้นก็ยิ่งดี” หยางเฉียนลูบหน้ากากไปมา และกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก


“ข้าย่อมจำเรื่องนี้ได้ แต่ใบหน้าเจ้าน่าตื่นตะลึงเช่นนี้ ไหนเลยข้าจะลืมได้ลง”


ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นถอนหายใจกล่าวออกมา


“ฮึ! ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ก็ควรจำไว้ให้ดี วันที่เจ้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงของข้าเป็นครั้งที่สอง วันนั้นคือวันตายของเจ้า หยางเฉียนกล่าวอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อและขี่เมฆเหาะจากไป


ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นจ้องมองหลังของหยางจนหายไปลับตา ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งเป็นอย่างมาก


……


เงาดำเคลื่อนไหวตรงหน้าบ้านหิน!


หลิ่วหมิงร่อนลงจากฟ้า พอเขาสะบัดแขนเสื้อไปด้านหน้า พลังไร้รูปบางอย่างก็พุ่งไปผลักประตูหินออก


เขาขยับตัวอีกครั้ง!


เมื่อเขาเข้าไปในบ้านหิน ประตูก็ค่อยๆ ปิดเข้าหากัน


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ และยื่นมือข้างหนึ่งออกไปด้านหน้า


รอยแผลบนมือกลายเป็นรอยแผลจางๆ เท่านั้น


ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา แม้ไม่ต้องใช้วิชาฟื้นฟู ก็สามารถรักษาตัวเอง และจัดการกับอาการบาดเจ็บเล็กน้อยทั่วไปได้


เขาขยับนิ้วทั้งห้าไปมาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่ามันยังคล่องตัวดีอยู่ ก็รู้สึกวางใจขึ้นมามาก


หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อเพื่อดึงกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมาสังเกตดู ขณะเดียวกันภาพกระบี่ยาวหิมะขาวของจางซิ่วเหนียงเล่มนั้น ก็ผุดขึ้นในสมอง


แม้จะไม่รู้ว่ากระบี่ที่นางใช้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใด แต่คิดว่าคงไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับต้นอย่างแน่นอน มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางพอๆ กับกระบี่จันทราหยก


วิชากระบี่บินที่ฝ่ายตรงข้ามแสดงออกมามีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็รับรู้ได้ลางๆ ว่า จางซิ่วเหนียงไม่ได้แสดงอานุภาพที่แท้จริงของกระบี่บินนี้ออกมาทั้งหมด


ซึ่งกล่าวได้ว่า ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้มีความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์ห่างจากเขามาก


กล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่า วิชากระบี่บินของจากซิ่วเหนียงน่ากลัวกว่าอย่างเห็นได้ชัด


หลิ่วหมิงนึกถึงฉากที่นางโยนกระบี่ออกไป จากนั้นก็กลายเป็นแพรขาวโจมตีแสงกระบี่ที่กระบี่จันทราหยกปล่อยออกมาได้อย่างง่ายดาย


เห็นได้ชัดว่า เคล็ดวิชาการกระตุ้นให้กระบี่กลายเป็นแสงกระบี่ของจางซิ่วเหนียง สูงส่งกว่าวิธีการที่เขาใช้ในตอนนี้มาก


ดูท่าเขาต้องทำความเข้าใจเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งเล่มนั้นแล้ว เชื่อว่าในความความลึกซึ้งของคัมภีร์นี้ จะต้องมีเคล็ดวิชาขั้นสูงที่คล้ายกันบันทึกอยู่


แต่ก่อนเป็นเพราะว่าระดับการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ จึงไม่อาจทำความเข้าใจออกมาได้มากกว่านี้ แต่หลังจากกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว เชื่อว่าจะต้องได้อะไรที่มากขึ้นอย่างแน่นอน


หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ เขาเก็บกระบี่จันทราหยก และหลับตาทั้งคู่ลง


เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสว่างผุดขึ้นในสมองของเขา คัมภีร์สีทองปรากฏขึ้นในจิตรับรู้ และค่อยๆ เปิดไปทีละหน้า


เขานั่งขัดสมาธิอยู่พื้น และอ่านดูเคล็ดวิชากระบี่ปราณแกร่งอย่างรวดเร็ว


หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ


“วิชาขี่กระบี่ปราณแกร่ง! ที่แท้ก็มีวิชาฝึกกระบี่ที่ควบคุมกระบี่ทำลายศัตรูได้! ถ้าฝึกฝนวิชานี้จนถึงตอนท้าย จะสามารถสังหารศัตรูในรัศมีร้อยลี้ได้อย่างไร้ร่องรอย ทั้งยังสามารถรวมร่างกับกระบี่และทำการเหาะไปได้ ทั้งหมดล้วนพัฒนาให้เกิดเป็นวิธีอื่นๆ ที่ร้ายกาจขึ้นมา ดีมาก! ให้ข้าดูก่อนว่าความสามารถนี้ต้องฝึกฝนอย่างไร?” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำด้วยความตื่นเต้น


‘วิชาขี่กระบี่’ ที่จางซิ่วเหนียงฝึกฝน แท้จริงแล้วเป็นแค่ความสามารถในการรวมร่างกับกระบี่เท่านั้น


แต่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป ต่างก็ชอบเรียกความสามารถนี้ว่าวิชาขี่กระบี่


หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาทั้งคู่อีกครั้ง เขาพาจิตจมดิ่งเข้าไปในทะเลจิตรับรู้


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่อีกครั้ง ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา


“วิชาขี่กระบี่ฝึกฝนยากลำบากเช่นนี้! ไม่เพียงแต่ต้องจดจำท่ามือ และเคล็ดกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน แต่ยังต้องฝึกฝนร่วมกับพลังจิตอยู่ไม่หยุด จึงจะสามารถควบคุมกระบี่ได้ดั่งใจ จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างกับความมหัศจรรย์ของกระบี่ ถึงจะแสดงอานุภาพของกระบี่บินออกมาได้จนถึงขีดสุด


ตามที่บรรยายเกี่ยวกับวิชาขี่กระบี่ในคัมภีร์ แม้ว่าระดับการฝึกฝนที่แตกต่างกันจะทำให้อานุภาพของกระบี่บินแตกต่างกันเป็นอย่างมาก แต่ลำพังแค่ระดับความช่ำชองในการฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ ก็สามารถแบ่งได้เป็น ขั้นเริ่มต้น ขั้นกลาง ขั้นปลายและขั้นสมบูรณ์แบบ เป็นต้น และภายใต้การฝึกฝนระดับเดียวกัน ก็มีอานุภาพที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน


จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง ระดับความยากในการฝึกฝนวิชาขี่กระบี่นี้ ต่อให้เป็น ‘วิชาระดับสูง’ เหล่านั้นก็เทียบกันไม่ติด


แม้กระทั่งหากผู้ฝึกฝนมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ อาจจะต้องติดค้างอยู่ในขั้นเริ่มต้นก็เป็นได้


และการรวมร่างกับกระบี่ในวิชาขี่กระบี่ อย่างน้อยต้องอยู่ในขั้นกลางจึงจะแสดงความสามารถนี้ออกมาได้ และความสามารถในการบินของกระบี่บินนั้น ถ้าฝึกฝนไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบก็ไม่สามารถทำได้


ก่อนเป็นอาจารย์จิตวิญญาณ จางซิ่วเหนียงก็มีความสามารถในการรวมร่างกับกระบี่แล้ว ดูท่าร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนางคงมีคุณสมบัติที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก


จากความเห็นของหลิ่วหมิง วิชากระบี่บินของศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ที่โดดเด่นผู้นี้ ยังหยุดอยู่แค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น


มิเช่นนั้นการประลองในก่อนหน้า นางคงไม่ใช้แค่ปราณกระบี่ทำลายผิวภายนอกของกำปั้น ซึ่งไม่อาจฟันกำปั้นให้ขาดได้


แน่นอน ถ้าวิชาขี่กระบี่ของจางซิ่วเหนียงฝึกฝนจนถึงระดับอันน่ากลัวเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่อาจใช้กำปั้นไปรับไว้ได้ และเขาคงปล่อยพลังของมุกพลังวารีออกไปทั้งหมดอย่างไม่ลังเล


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิชากระบี่บินก็เป็นวิชาที่เพิ่มพลังให้เขาได้อย่างรวดเร็ว


แม้หลิ่วหมิงไม่ได้คาดหวังว่า จะฝึกฝนสำเร็จขั้นต้นในระยะเวลาสั้นๆ แค่สองสามเดือน แต่ความตั้งใจแรกคือ ให้กระบี่จันทราหยกออกตัวไปโจมตีศัตรูในระดับง่ายๆ ได้นั้น เป็นสิ่งที่เขาก็พอจะทำให้


หลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ตัดสินใจในทันที เขาหยิบกระบี่สั้นในแขนเสื้อออกมา และเริ่มฝึกฝนวิชาขี่กระบี่อย่างจริงจัง


สิ่งนี้ไม่เหมือนกับวิชาขี่อาวุธจิตวิญญาณทั่วไป ไม่ว่าเขาจะโยนกระบี่สั้นขึ้นไปในอากาศกี่ครั้งก็ตาม กระบี่สั้นก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งก่อนที่จะสั่นไหวและตกลงมา หรือไม่ก็เปล่งประกายอยู่กลางอากาศอย่างบ้าคลั่ง และปล่อยปราณกระบี่อันแหลมคมออกมา ซึ่งมันไม่สามารถรวมเป็นรูปร่างที่แท้จริงได้……


หลิ่วหมิงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในบ้านหินนานครึ่งเดือน


เมื่อเขารู้สึกว่าสามารถกุมเคล็ดลับของวิชากระบี่บินได้จำนวนหนึ่งแล้ว เสียงระฆังก็ดังมาจากนอกประตูในฉับพลัน!


หลิ่วหมิงได้รับแจ้งเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงย่อมรู้ว่านี่เป็นเสียงแจ้งเตือนว่า มีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัว


เขารีบเก็บกระบี่สั้นแล้วเดินไปผลักประตู


หลังจากก้าวยาวๆ ออกไปด้านนอก ก็ค้นพบว่าทั่วทั้งเมืองยักษ์เกิดความวุ่นวายขึ้นมา


เรือเหาะและรถศึกจำนวนมาก พากันทะยานขึ้นจากพื้นที่ของแต่ละนิกาย


บนกำแพงเมือง นักรบชุดเกราะแต่ละกลุ่มพากันพุ่งขึ้นไปบนกำแพง และตั้งธนูอาญาสิทธิ์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว และเล็งออกไปไกลๆ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา เมฆบังเกิดใต้เท้าและดันตัวเขาพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็ขึ้นมาสูงร้อยกว่าจั้ง ทำให้สามารถมองเห็นสถานการณ์บริเวณเมืองยักษ์ได้อย่างชัดเจน


หอสูงสิบกว่าแห่งบนพื้นที่รอบๆ เมืองยักษ์ ล้วนเปล่งแสงแตกต่างกันออกไป ขณะเดียวกันอาวุธที่แขวนอยู่บนนั้นก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมาอยู่ไม่หยุด และจังหวะของเสียงก็สอดคล้องกัน ราวกับว่าต่างก็ขานรับกันอยู่


และในขณะเดียวกัน จุดยุทธศาสตร์ที่หอสูงสิบกว่าแห่งล้อมรอบอยู่ ค่ายกลสีเงินขนาดมหึมากำลังก่อตัวขึ้น


มีเสียงดังโครมครามจากขอบฟ้าไกลๆ เส้นสีดำเส้นหนึ่งปรากฎออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่ขึ้น และกลายเป็นเมฆดำพวยพุ่งเข้ามา


……………………………………….


ตอนที่ 262 การจู่โจมของเผ่าเจ้าสมุทร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่เมฆดำปรากฏออกมานั้น ด้านล่างของมันก็สั่นไหวอย่างรุนแรง คลื่นวารีพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวพื้นดินขนาดใหญ่ก็กลายเป็นทะเลสีขาวโพลน ขณะเดียวกันเสียงคำรามต่างๆ ก็ดังออกมา อสูรสมุทรรูปร่างแปลกประหลาดแต่ละตน ค่อยๆ ปรากฏตัวออกมาบนผิวทะเล ตัวเล็กสุดมีขนาดไม่เกินชุ่นกว่าๆ ตัวใหญ่สุดมีขนาดราวกับเขาลูกเล็ก


ขณะนี้ เผ่าเจ้าสมุทรที่มีร่างครึ่งมนุษย์ครึ่งมัจฉาค่อยๆ ลงมาจากเมฆดำกลางอากาศ บ้างก็เดินบนน้ำ บางก็เหยียบอสูรสมุทรบางตัวอยู่ แลดูมีอานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้อง ท่านประมุขเรียกเจ้ากับข้าไปหา” ขณะที่หลิ่วหมิงใจลอยอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของหยางเฉียนดังขึ้นข้างหู


เขาก้มหน้ามองลงไป


หยางเฉียนที่อยู่บนกำแพงกำลังโบกมือมาทางเขา ประมุขนิกายปีศาจ ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างก็ยืนอยู่ที่นั่น


เขาถอนหายใจเบาๆ และร่อนลงบนกำแพง


“เพราะกำลังสนับสนุนมาถึงแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงไม่คิดที่จะปักหลักอยู่อย่างเดียว พวกเราจะทิ้งคนไว้ในเมืองครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ต้องออกไปสู้รบกับเผ่าเจ้าสมุทรกันสักครา เพื่อเสริมขวัญและกำลังใจให้กับพวกเรา ศิษย์น้องหลิน ศิษย์น้องฉู่! พวกเจ้าอยู่เฝ้าเมืองกับศิษย์จำนวนหนึ่ง คนอื่นๆ ตามข้าไปให้หมด อาจารย์อาเยี่ยน และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ต่างก็อยู่ดูแลเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ฝนระดับผลึกของฝ่ายตรงข้ามจู่โจมโดยฉับพลัน ทุกคนระมัดระวังกันหน่อย เผ่าเจ้าสมุทรพวกนี้กำลังฮึกเหิม และกระหายการฆ่าเป็นอย่างมาก คงไม่เสียเวลาพูดอะไรกับพวกเรา” พอหลิ่วหมิงมาถึง ประมุขนิกายปีศาจก็กำชับออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าหลายวันมานี้ เขาเข้าใจเผ่าเจ้าสมุทรมากขึ้น


หลิ่วหมิง และอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ของนิกายปีศาจย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ พวกเขาพากันขึ้นไปยังเรือเหาะที่อยู่บริเวณนั้น


ด้านอื่นๆ นิกายจันทราสวรรค์ หอสายธารโลหิต และนิกายอื่นๆ ต่างก็มีเหตุการณ์พอๆ กัน ศิษย์จำนวนมากบ้างก็ขี่เมฆ บ้างก็ขึ้นไปบนเรือเหาะด้วยท่าทีเหี้ยมเกรียม


เมื่อร่างหลิ่วหมิงอยู่บนเรือเหาะกระดูกที่ยาวสิบกว่าจั้ง ก็พลันมีเสียงประมุขนิกายปีศาจดังเข้ามาในหู


“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้าเป็นคนสำคัญในการควบคุมปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในสนามรบ ให้รีบกลับเข้าไปในเมือง ห้ามอวดดีโดยเด็ดขาด เจ้าเป็นหนึ่งในท่าไม้ตายของนิกายเรา จะต้องปกป้องตัวเองให้ปลอดภัยเป็นอันดับแรก!”


หลิ่วหมิงได้ยินก็มองไปยังประมุขนิกายปีศาจ และพยักหน้าด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


การออกศึกในครั้งนี้ เขาไม่ได้คิดจะไปเสี่ยงอันตรายท่ามกลางการต่อสู้ เพราะด้วยระดับของเขา อาจจะเอาชนะผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าเจออาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางล่ะก็ คงยากที่จะเอาชนะได้ ยิ่งถ้าเจอกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลายล่ะก็ เกรงว่าจะต้องคิดหาวิธีในการเอาตัวรอดแล้ว


ขณะนี้ ศิษย์เจ็ดแปดคนบนเรือกระดูกก็คารวะหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม หลังจากเขาออกคำสั่งไปแล้ว เรือกระดูกก็พุ่งยิงออกไปพร้อมกับเรือลำอื่นๆ ของนิกายปีศาจ


พริบตาเดียว กองหน้าของแต่ละนิกาย ก็อยู่ห่างจากเผ่าเจ้าสมุทรไม่ถึงลี้กว่าๆ


มีเสียงดังกังวานจากนิกายจันทราสวรรค์ ทันใดนั้นแสงกระบี่จำนวนมากพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่แสงค้ำฟ้าที่ยาวร้อยกว่าจั้ง พื้นผิวของมันเปล่งประกายสีขาว และหล่นลงบนอากาศตรงหน้า


“ฟิ้ว!”


พอกระบี่ยักษ์ฟันออกไปมันก็แตกกระจายออกมาเป็นเสี่ยงๆ


น้ำทะเลที่อยู่ห่างออกไปลี้กว่าๆ กลับแยกตัวออกท่ามกลางเสียงที่ดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี ร่องน้ำยักษ์ยาวหลายลี้ปรากฏขึ้นบนพื้น


เผ่าเจ้าสมุทรกันอสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้น กลายเป็นฟองเลือดในพริบตา


ขณะเดียวกัน มีเสียงตะโกนของเผ่าเจ้าสมุทรจำนวนมากดังมากจากน้ำทะเลอีกกลุ่มหนึ่ง จากนั้นมีแสงสีฟ้าเปล่งประกายบนพื้นผิว หยดน้ำสีฟ้าลอยออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีฟ้า


จากนั้นนิ้วทั้งห้าก็แยกออกจากกัน และกดลงกลางอากาศ


“ตู๊ม!”


ทางด้านศิษย์หุบเขาเก้าช่อง ทันทีที่พลังไร้รูปกดดันลงไป รถเหาะ เรือเหาะที่อยู่ภายในรัศมีลี้กว่าๆ ก็ถูกตบจะแตกกระจาย ศิษย์ที่อยู่บนนั้นเสียชีวิตจนหมดสิ้น


อาจารย์จิตวิญญาณของหุบเขาเก้าช่องเห็นเช่นนี้ ก็ดูหน้าเสียเป็นอย่างมาก


ทางด้านนิกายวาตอัคคี ภายใต้การร่ายคาถาของศิษย์อัจฉริยะ วิหคเพลิงขนาดตัวยาวเกินกว่าร้อยจั้งได้ปรากฏออกมา มันแค่กระพือไปยังฝ่ายตรงข้ามอย่างแรง ลูกศรขนวิหคเพลิงก็พุ่งยิงออกไป


“ฟิ้วๆ!”


เปลวเพลิงระเบิดตัวท่ามกลางเผ่าเจ้าสมุทร และกลายเป็นเมฆอัคคีปกคลุมอสูรสมุทร และเผ่าเจ้าสมุทรจำนวนมากไว้ ผู้ที่หลบไม่ทันก็ค่อยๆ เผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน


ทางด้านหอสายธารโลหิต บรรดาศิษย์ต่างก็อ้าปากพ่นหมอกโลหิตออกมา จากนั้นมันก็กลายเป็นหอกโลหิตขนาดใหญ่สิบกว่าเล่ม แต่ละเล่มยาวเจ็ดแปดจั้ง และพุ่งยิงออกไป


เสียงดังกึกก้องในอากาศ คราบโลหิตสิบกว่าคราบเปล่งประกายบนผิวทะเลตรงหน้า เผ่าเจ้าสมุทรและอสูรเจ้าสมุทรที่สัมผัสกับคราบโลหิต ล้วนระเบิดตัวออกมา


และทางฝั่งเจ้าสมุทรกลับมีฝ่ามือยักษ์สีฟ้าเพิ่มขึ้นมามากกว่าเดิม และมันก็โจมตีแต่ละนิกายอย่างโหดเหี้ยม


ทั้งสองยังไม่ทันได้ต่อสู้กันจริงๆ ก็มีคนเสียชีวิตไปจำนวนมากแล้ว


แต่ด้วยระดับความเร็วในการโจมตีของทั้งสองฝ่าย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในพริบตาเดียวเท่านั้น


ไม่นานคนของนิกายกับคนของเผ่าเจ้าสมุทรก็อยู่ห่างกันไม่ถึงร้อยกว่าจั้ง ศิษย์ที่อยู่แนวหน้าสามารถมองเห็นใบหน้าดุร้ายของเผ่าเจ้าสมุทรอย่างชัดเจน


“ลงมือ!”


อาจารย์จิตวิญญาณวัยกลางคนของนิกายวาตอัคคี ออกคำสั่งในฉับพลัน


ทันใดนั้น ศิษย์ในนิกายเกือบร้อยคนก็ค่อยๆ หยิบยันต์เป็นปึกๆ ออกมา และโยนไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง


ภายใต้การเปล่งประกายของยันต์เหล่านี้ มันกลายเป็นไอสีเหลืองหายไปในพื้นดินระหว่างนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทร


ศิษย์นิกายวาตอัคคีกระตุ้นเคล็ดวิชาอยู่ไม่หยุด


“ตู๊มต๊าม!”


แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนพื้น กำแพงดินผุดขึ้นมา และขยายขนาดอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นกำแพงหนาสองจั้ง สูงสิบกว่าจั้ง พริบตาเดียวมันก็เปลี่ยนจากดินเป็นหิน และดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก


น้ำทะเลตรงหน้าปะทะเข้าใส่กำแพงหนาๆ น้ำทะเลส่วนเล็กๆ ม้วนตัวผ่านด้านบนกำแพง ส่วนที่เหลือก็ลดความเร็วลงมามาก อานุภาพอันรุนแรงเมื่อครู่ชะงักลงทันที


อสูรสมุทรหลายตนที่พุ่งมาตามน้ำ ก็ชนกำแพงเข้าอย่างจัง เพราะหลบไม่ทัน


ผู้ฝึกฝนที่แข็งแกร่งก็แค่ถูกดีดกระเด็นกลับไป และรู้สึกวิงเวียนศีรษะชั่วครู่ ส่วนผู้ที่อ่อนแอหน่อยก็ชนจนเลือดออกศีรษะ ซึ่งได้รับบาดเจ็บไม่เบา


ศิษย์ของแต่ละนิกายเห็นเช่นนี้ ก็ดีใจเป็นอย่างมาก พวกเขารีบกระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์ หรือปล่อยวิชาใส่อสูรสมุทรกับเผ่าเจ้าสมุทรอยู่ไม่หยุด


“รนหาที่ตาย!”


ไม่รู้ว่าเผ่าเจ้าสมุทรคนใดตะโกนออกมาด้วยความโมโห!


จากนั้นอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรที่มีใบหน้าสีเขียวเกราะสีแดง ก็ขี่ปลาหมึกหนวดแปดเส้นยาวสามสิบกว่าจั้งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังน้ำทะเล เขาแค่เหยียบหัวปลาหมึก หนวดทั้งแปดของอสูรสมุทรตนนี้ก็ดูพร่ามัว และหวดใส่กำแพงอย่างรวดเร็ว


มีเสียงดังสนั่นขึ้นมา!


แสงสีขาวจ้าแสบตาเปล่งประกายบนกำแพง จากนั้นก็มีเสียงแตกร้าวดังออกมา บังเกิดรูขนาดเท่าอ่างน้ำบนกำแพง


น้ำทะเลบริเวณนี้ทะลักเข้าตามรู


ขณะเดียวกัน กำแพงส่วนอื่นๆ ก็มีเต่ายักษ์ ปลาหมึก และอสูรสมุทรแข็งแกร่งประเภทอื่นๆ ปรากฏออกมา และถูกบังคับให้ทำลายกำแพงจนกลายเป็นรู


ทันใดนั้นคลื่นยักษ์ก็กรรโชกเข้ามาอีกครั้ง


ชั่วเวลานั้น พื้นที่บริเวณนั้นเต็มไปด้วยคลื่นทะเลซัดสาด


ขณะนี้ ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็สละอาวุธที่ใช้ในการเหาะ หยิบอาวุธอาญาสิทธิ์ออกมาโจมตี


ทางด้านเผ่าเจ้าสมุทร เมฆดำได้สลายไปอย่าง เผยให้เห็นผู้ฝึกฝนเผ่าเจ้าสมุทรจำนวนมากที่ต่างก็ขี่อสูรสมุทรอยู่ พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายเข้าต่อสู้กันราวกับกระแสน้ำทะลัก และพอปะทะกันก็มีเงาร่างสิบกว่าเงาร่วงหล่นลงมา


การต่อสู้ดุเดือดเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกาย ย่อมแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป พอมีการตะลุมบอนกันตรงหน้า เขาก็สละเรือกระดูก และขี่เมฆยืนเคียงบ่ากับหยางเฉียน


ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกล ประมุขนิกายปีศาจ กับอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ต่างจ้องมองศึกตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ศิษย์น้องเหลย ศิษย์น้องจู พวกเจ้าไปช่วยทางด้านทิศตะวันตก ทางนั้นมีเผ่าเจ้าสมุทรระดับของเหลวปรากฏตัวออกมาสองคน” ไม่นานประมุขนิกายปีศาจก็สั่งออกไป


ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกับจูชื่อได้ยินก็รีบขี่เมฆไปยังสนามรบทางด้านทิศตะวันตกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


“ศิษย์น้องหลิน ศิษย์น้องฉู่ พวกเจ้าไปสังหารเต่ายักษ์ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเถอะ! ศิษย์นิกายเราที่อยู่ทางนั้นทำอะไรพวกมันไม่ได้เลย”


“ทราบ!”


“หยางเฉียน เจ้าไปช่วยทางด้านหุบเขาเก้าช่องเถอะ!”


……


ผ่านไปไม่นาน บริเวณที่ประมุขนิกายปีศาจอยู่ก็เหลือคนอยู่ไม่กี่คน ซึ่งหลิ่วหมิงกับเกาชงก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย


ขณะนี้ การต่อสู้ก็ลุกลามเข้ามา และเกิดการต่อสู้เป็นกลุ่มๆ ที่มีขนาดแตกต่างกันไป


บางกลุ่มมีเผ่าเจ้าสมุทรสิบกว่าคนโจมตีศิษย์ที่เป็นมนุษย์จำนวนมาก บางกลุ่มมีศิษย์ที่เป็นมนุษย์ร่วมมือกันโจมตีอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรหนึ่งคน


ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกของทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันด้วย ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นว่างเปล่าขึ้นมาทันที


ขณะนั้นเอง ผิวทะเลทางด้านนิกายปีศาจก็กระเพื่อมมา จากนั้นก็มีเสียงที่ทำให้รู้สึกอึดอัดดังออกมาติดต่อกัน ราวกับว่ามีอะไรหนักๆ กำลังค่อยๆ ปีนขึ้นมา


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง จ้องมองไปยังที่มาของเสียงด้วยความประหลาดใจ


หลังจากน้ำทะเลแยกตัวออก ฝ่ามือสีน้ำเงินก็ยื่นออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ มันคว้าตัวศิษย์หอสายธารโลหิตคนหนึ่งไว้ได้อย่างรวดเร็ว และขยี้จนระเบิดออกมาเป็นหมอกโลหิต


“มอ!” เสียงวัวคำรามดังขึ้นมา!


สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่มีหัวเป็นคนร่างเป็นวัวปีนขึ้นมาเป็นจำนวนมาก พวกมันสูงเจ็ดแปดจั้ง พื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีฟ้า และต่างก็ถือกระบี่ยักษ์สีดำ


สัตว์ที่เหมือนกันเหล่านี้ ยังคงปีนขึ้นมาติดๆ ซึ่งมีทั้งหมดราวๆ สามสิบสี่สิบตัว


พวกมันควงกระบี่ใส่กลุ่มการต่อสู้ในบริเวณนั้น ทุกทิศทางที่มันกวัดแกว่งออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีศิษย์คนใดสามารถรับมือไว้ได้นาน ซึ่งถ้าไม่ถูกฟันจนเป็นสองส่วน ก็ถูกมันขยี้จนตัวแตกกระจาย


วิชาและอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ศิษย์แต่ละนิกายโจมตีลงบนตัวมัน กลับถูกเกล็ดหนาๆ ต้านทานไว้ได้ มันจึงได้รับความเสียหายไม่มาก


“หลิ่วหมิง เจ้าไปจัดการปีศาจสมุทรที่เพิ่งโผล่มาใหม่นี้เถอะ! ศิษย์ทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน” พอประมุขนิกายปีศาจเห็นฉากนี้ ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา และในที่สุดก็หันมาสั่งหลิ่วหมิง


……………………………………….


ตอนที่ 263 ศึกครั้งแรกกับเผ่าเจ้าสมุทร

โดย

Ink Stone_Fantasy

“รับทราบท่านประมุข! ปีศาจอสูรสมุทรเหล่านี้มอบให้ข้าเถอะ!” หลิ่วหมิงย่อมเห็นปีศาจอสูรสมุทรกำลังโจมตีศิษย์นิกายปีศาจอยู่ เขาจึงรีบตอบรับในทันที


ปีศาจอสูรสมุทรที่กล่าวถึง ย่อมหมายถึงอสูรสมุทรที่เปิดจิตวิญญาณแล้ว


มันมีการแบ่งระดับการฝึกฝนเหมือนกับปีศาจอสูรบนโลกมนุษย์โดยทั่วไป แม้จะเป็นปีศาจอสูรที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าไม่ได้เปิดจิตวิญญาณจนสมบูรณ์ ต่อให้จะมีพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายภูเขาได้ ก็จะถูกเรียกว่าปีศาจอสูร


ในทางตรงกันข้าม ถ้าปีศาจอสูรเปิดจิตวิญญาณที่แท้จริงแล้ว ต่อให้ร่างกายจะอ่อนแออย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ถูกเรียกว่าเผ่าปีศาจ


แต่โดยส่วนมากปีศาจอสูรแบ่งกลุ่มไม่เหมือนกัน ต้องให้ถึงระดับพลังที่มั่นคงแล้ว จึงจะเปิดจิตวิญญาณได้ และเมื่อมีจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปฝึกฝนอีก สามารถเรียนวิชาที่เหมาะสมได้บ้างแล้ว


กล่าวได้ว่า เผ่าปีศาจแข็งแกร่งกว่าปีศาจอสูรธรรมดามาก


แต่เห็นได้ชัดว่าปีศาจเผ่าสมุทรที่มีหัวเป็นวัวนี้ ล้วนเปิดจิตวิญญาณทั้งหมดแล้ว ไม่เพียงแต่จะกวัดแกว่งกระบี่อย่างโหดเหี้ยม บนตัวของมันยังมีจุดแสงสีฟ้าเปล่งประกายออกมารวมตัวเข้าด้วยกัน ทำให้การสู้รบยิ่งดุเดือดมากขึ้น โดยไม่มีทีท่าว่าจะหนื่อยล้าเลย


ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะอยู่ เขาชักกระบี่จันทราหยกออกจากแขนเสื้อในทันที


“ฟู่!” “ฟู่!”


ศิษย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรที่ขวางทางอยู่ ถูกฟันขาดเป็นสองส่วนในทันที


จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวสองสามทีมาปรากฏตัวตรงหน้าปีศาจอสูรที่กำลังกวัดแกว่งกระบี่ยักษ์จนทำให้ศิษย์นิกายปีศาจต้องถอยไปเป็นระยะๆ


เสียงคำรามดังขึ้น!


พริบตาที่หลิ่วหมิงปรากฏตัวนั้น มันก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว มันจึงสะบัดกระบี่ยักษ์ในมือออกไปอย่างรุนแรง


“หวึ่ง!”


ด้วยขนาดรูปร่างอันน่ากลัว ในสายตามัน หลิ่วหมิงดูอ่อนแอเป็นอย่างมาก ราวกับว่าการโจมตีในครั้งนี้ง่ายดายราวกับปิดประตู


หลิ่วหมิงนำกระบี่สั้นมาตั้งไว้ตรงหน้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


มันต้านทานกระบี่ยักษ์ไว้อย่างเงียบๆ


“ตู๊ม!”


พอกระบี่ยักษ์กับกระบี่จันทราหยกปะทะกัน พลังที่แข็งแกร่งกว่ากระบี่ยักษ์หลายเท่าก็ทะลักออกมา


ปีศาจสมุทรหัววัวรู้สึกร้อนที่มือทั้งสองข้าง จากนั้นกระบี่ยักษ์บนมือก็หลุดออกไป ขณะเดียวกันไหล่ทั้งสองก็ชาขึ้นมา ร่างขนาดใหญ่ของมันต้องถอยกรูดไปติดๆ


ขณะนี้ หลิ่วหมิงสะบัดกระบี่ยักษ์ในมือ ลำแสงสีเขียวม้วนตัวออกจากปลายกระบี่ ขณะเดียวกันร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่หลังปีศาจสมุทรตนหนึ่ง


“ตุ๊บ!”


โลหิตพุ่งออกจากลำคอของปีศาจสมุทร หัวของมันกลอกกลิ้งตามพื้นอย่างรวดเร็วร่างของมันล้มลงไปในพริบตา โลหิตพุ่งออกจากลำคอเป็นสายๆ


ปีศาจสมุทรที่มีรูปร่างบึกบึน และมีการป้องกันที่น่าตกใจ ถูกหลิ่วหมิงสังหารได้อย่างง่ายดาย


จากนั้น ร่างหลิ่วหมิงก็ผุดๆ หายๆ อยู่บริเวณปีศาจสมุทร พริบตาเดียวปีศาจสมุทรเจ็ดแปดตัวก็ถูกเขาสังหาร


แต่พอเขาเคลื่อนไหวมาปรากฏตัวอยู่ข้างปีศาจสมุทรตนหนึ่ง ก็พลันมีเสียงดังมาจากด้านหลังราวกับว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งยิงเข้ามา


สีหน้าหลิ่วหมิงดูหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ร่างของเขาดูพร่ามัวขึ้นมา


แท่งสามเหลี่ยมที่มีเปลวเพลิงสีขาวพุ่งทะลุจากด้านหลังของหลิ่วหมิง พอมันหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็พุ่งผ่านหน้าอกไปอีกครั้ง


แต่ขณะนี้ร่างหลิ่วหมิงได้กายเป็นจุดแสงสีขาวสลายออกไป


แท่งสามเหลี่ยมที่พุ่งทะลุมามื่อครู่ ได้แต่ทะลุผ่านเงาร่างลางเลือนของหลิ่วหมิงเท่านั้น


ในขณะเดียวกัน ร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิง ก็มาปรากฏตัวในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้ง เขาจ้องมองชายเผ่าเจ้าสมุทรด้วยสายตาเยือกเย็น


ชายเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้านในใจ เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มีเสียงดังซู่ๆ มาจากด้านใน คิดไม่ถึงว่าเพียงอึดใจเดียวจะมีแท่งสามเหลี่ยมอีกสามสี่แท่งพุ่งยิงออกมา ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชา พวกมันทั้งหมดก็กลายเป็นลำแสงห้าสีพุ่งยิงออกไป


แท่งสามเหลี่ยมเหล่านี้เพียงแค่พร่ามัว ก็มาถึงด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันไอร้อนก็ม้วนตัวออกมา


กระบี่สั้นในมือหลิ่วหมิงหมุนติ้วๆ ทันใดนั้นปราณกระบี่จำนวนมากก็ผสานเข้าด้วยกัน จันทราหยกปรากฏออกมาตรงหน้า


ลำแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา และค่อยๆ จมหายเข้าไปในจันทราหยก


ทันใดนั้นมีเสียงดังออกมาติดต่อกัน!


แท่งกระดูกสามเหลี่ยมทั้งห้าแท่งระเบิดออกมาพร้อมกันในจันทราหยก เปลวเพลิงสีขาวพวยพุ่งอยู่ในนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นเมฆอัคคีโอบล้อมร่างหลิ่วหมิงไว้


ชายเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมาด้วยความพอใจ


แท่งกระดูกทั้งห้าของเขาดูไม่ธรรมดา ในความเป็นจริงแล้ว เป็นแค่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสุดยอดเท่านั้น แต่ข้างในกลับซ่อนเปลวเพลิงอันร้อนแรงที่กลั่นมาจากปราณแกร่งไว้


แต่คนทั่วไปจะนึกถึงได้อย่างไรว่า คู่ต่อสู้ระดับของเหลวจะไม่ได้ใช้อาวุธจิตวิญญาณ ซึ่งเมื่อปะทะกับอาวุธจิตวิญญาณ ย่อมทำให้แท่งกระดูกระเบิดออกมาทันที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เปลวเพลิงสีขาวภายในสามารถฆ่าศัตรูได้โดยไม่คาดคิด


วิธีการที่ชายเผ่าเจ้าสมุทรใช้นี้ เคยสังหารคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันมามากแล้ว การโจมตีในครั้งนี้ก็ยังได้ผลดีเช่นเดิม


“นี่เป็นท่าไม้ตายของเจ้าล่ะสิ! เฮ่อๆ! ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ มันทำให้ข้าผิดหวังมากจริงๆ วิธีการเช่นนี้ ข้าใช้ในสมัยเป็นศิษย์จิตวิญญาณมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว”


ในขณะที่ชายเผ่าเจ้าสมุทรคิดว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อาจรอดพ้นไปได้นั้น ก็มีเสียงของหลิ่วหมิงดังมาเปลวเพลิงสีขาว


“อะไรกัน! ทำไมเจ้าถึงยังไม่ตาย!” ชายเผ่าเจ้าสมุทรได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง กลิ่นไอเย็นสะท้านก็ม้วนตัวออกจากเปลวเพลิงสีขาวอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ดับเปลวสีขาวไปจนหมดสิ้น และมีเงาร่างสีฟ้าเปล่งประกายออกมา!


มือหลิ่วหมิงถือกระบี่ แต่มีผลึกแสงที่ก่อตัวเป็นม่านแสงสีน้ำเงินปกคลุมร่างเขาไว้ ซึ่งมันก็คือปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ดที่เขาฝึกฝนนั่นเอง


ปราณแกร่งชนิดนี้เป็นธาตุหยินเย็น บวกกับพลังของหลิ่วหมิงที่คู่ควรกัน มันจึงมีพลังป้องกันไม่ใช่น้อย ซึ่งสามารถต้านทานเปลวเพลิงสีขาวไว้ได้


แน่นอน ที่หลิ่วหมิงกล้าทำเช่นนี้เป็นเพราะว่าเขาได้กำมุกพลังวารีไว้แต่แรกแล้ว และยังเค้นปราณวารีไร้รูปออกมาเป็นจำนวนมาก


มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายเช่นนี้


ชายเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ เมื่อเห็นหลิ่วหมิงไม่เป็นอะไร เขาย่อมรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก แต่หลังจากมีสีหน้าเปลี่ยนไปมาแล้ว ก็ถูฝ่ามือด้วยสีหน้าดุร้ายในทันที


“ฟู่!”


เปลวไฟสีขาวลุกไหม้ออกจากร่างของเขา ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์อัคคีในทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงทุ้มต่ำออกจากร่างเขา


“ข้าไม่เชื่อว่าเปลวเพลิงสวรรค์พ่ายของข้า จะถูกปราณแกร่งของมนุษย์ผู้หนึ่งควบคุมไว้ได้!”


พอกล่าวจบ เขาก็ยกมือทั้งสองขึ้น ทันใดนั้นเปลวเพลิงสีขาวได้ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นวาฬยักษ์สีขาวก่อนที่จะกระโจนไปยังฝั่งตรงข้าม


พอวาฬตัวนี้อ้าปากในระหว่างที่กำลังพุ่งเข้ามา!


หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบร้อนขึ้นมาทันที มันทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก


“น่าสนใจ!”


หลิ่วหมิงตาเป็นประกาย ใบหน้าเผยความรู้สึกน่าสนใจออกมาเป็นครั้งแรก แต่ครูต่อมาเขาก็สะบัดกระบี่สั้นในมือ เงากระบี่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเป็นจำนวนมาก มันพร่ามัวรวมกันเป็นหนึ่ง “ตู๊ม!” แสงกระบี่ยักษ์ม้วนตัวออกไป


สถานที่ที่แสงสีเขียวพุ่งผ่าน จะมีเสียงแหลมดังออกมาแว่วๆ!


วาฬสีขาวตัวนั้นร้องออกมาอย่างเวทนา ร่างของมันถูกแสงกระบี่สีเขียวทำลายจนแตกละเอียด


พอชายเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกว่ามีแสงเย็นสะท้านตรงหน้า แสงกระบี่ก็มาถึงด้านหน้าเขาทันที เมื่อเขาคิดจะใช้วิธีการป้องกันอะไรก็ไม่ทันการเสียแล้ว


“แย่แล้ว!”


เขาส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ จากนั้นก็ถูกแสงกระบี่โอบล้อมไว้ ปราณแกร่งที่กลายเป็นเปลวเพลิงสีขาวห่อหุ้มร่างไว้ยืนหยัดได้เพียงชั่วครู่ จากนั้นก็ระเบิดตัวออกมา


ชายเผ่าเจ้าสมุทรได้แต่ร้องเวทนาอย่างสุดขีด จากนั้นก็ถูกแสงกระบี่ปั่นจนกลายเป็นผุยผงก่อนหล่นร่วงลงพื้นไป


คิดไม่ถึงอาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ จะถูกหลิ่วหมิงแสดงวิชากระบี่สังหารได้โดยง่าย ซึ่งมันรวดเร็วกว่าที่หลิ่วหมิงคิดไว้เล็กน้อย


“วิชากระบี่ช่างแหลมคมยิ่งนัก มิน่าล่ะ! ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับสูงต่ำ ต่างก็กล่าวถึงวิชากระบี่”


หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำสองสามประโยค จากนั้นก็คว้ากำไลมือสีดำที่มีเปลือกหอยจำนวนมากเลี่ยมฝังอยู่ออกมาจากสายฝนโลหิตมา


ก่อนหน้านั้น เขาเคยได้ยินหยางเฉียนพูดว่า สิ่งของที่อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรใช้บ่อยๆ ส่วนมากจะเป็นกำไลแขน


ของวิเศษชนิดนี้เมื่อผ่านการใส่และถอดออกร้อยกว่าครั้งแล้ว ก็จะถูกทำลายจนแตกร้าวออกมาเป็นเสี่ยงๆ แต่ยังคงใช้ได้ดีกว่ายันต์วิเศษทั่วไป ด้วยเหตุนี้อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรถึงชอบใช้ของสิ่งนี้โจมตีบ่อยๆ


แต่พริบตาที่เขาใส่กำไลเข้าไปในแขนเสื้อนั้น ความรู้สึกอันตรายสุดขีดบางอย่างก็ทะลักออกมาจากหัวใจ


ราวกับว่าครู่ต่อมา ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะเข้ามาในไม่ช้า


หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา หลังจากกวาดสายตาดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก็พบว่านอกจากกลุ่มการต่อสู้กลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ไกลๆ แล้ว ก็ไม่มีเงาร่างของศัตรูตนใดอีกเลย


เขากวาดสายตาไปมาไม่กี่ทีก็ขยับร่างด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป เขาพุ่งไปยังอากาศด้านข้างจนเกิดเป็นเงาซ้อนทับกัน


“ฟู่!”


ปากใหญ่ที่มีฟันแหลมยาวหลายชุ่นโผล่ออกมาในฉับพลัน และงับลงตรงที่ที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ แต่กลับงับได้แต่ความว่างเปล่า ซึ่งเฉียดร่างหลิ่วหมิงไปเพียงเล็กน้อย


หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา กระบี่สั้นสีเขียวในมือฟันปราณกระบี่สีเขียวที่ยาวจั้งกว่าๆ ใส่ปากขนาดใหญ่


“เต๊ง!”


ค้อนยักษ์ปรากฏตรงหน้าปากขนาดใหญ่ และต้านทานปราณประบี่สีเขียวไว้ได้อย่างง่ายดาย


หลิ่วหมิงตีลังกาถอยกลับไป


“ตู๊ม!”


ค้อนยักษ์สีเงินอีกอันทุบลงมาพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ แต่กลับพบกับความว่างเปล่า


“เอ๋! ดูท่าข้าจะประมาทเจ้าเกินไป มิน่าล่ะไอ้สวะเมื่อครู่ถึงถูกเจ้ากำจัดได้อย่างง่ายดาย” น้ำเสียงเหนื่อยหน่ายที่แฝงไปด้วยความตกใจดังจากอากาศบริเวณนั้น


“ท่านเป็นใคร ใยต้องหลบๆ ซ่อนๆ!” หลิ่วหมิงจ้องมองอากาศเหนือปากขนาดใหญ่แล้วถามออกไปอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันกระบี่สั้นสีเขียวก็ถูกตั้งขวางไว้ตรงหน้า มือทั้งสองถูกสีทองห่อหุ้มจนถึงข้อมือในพริบตา


……………………………………….


ตอนที่ 264 ลี่ซา

โดย

Ink Stone_Fantasy

พายุบ้าระห่ำบังเกิดขึ้นบริเวณรอบๆ ปากขนาดใหญ่ ฉลามวาววับขนาดหลายจั้งปรากฏตัวออกมา


อสูรสมุทรไม่เพียงแค่มีรูปร่างโปร่งแสงใสแจ๋ว แม้แต่โครงกระดูกในร่างก็โปร่งใสด้วยช่นกัน ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงความลึกลับแปลกประหลาดของมัน


ด้านบนของฉลามยักษ์โปร่งแสง ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรสวมชุดคลุมสีขาว มือทั้งสองถือค้อน ปรากฏตัวออกมา


ค้อนยักษ์ทั้งสองมีขนาดใหญ่มาก พื้นผิวของมันเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรมีใบหน้าหล่อเหลา มีผมยาวสีเขียว หน้าผากมีอักขระแปลกประหลาดที่มีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ มันพองยุบราวกับว่ามีชีวิต ร่างของเขาแผ่กลิ่นไอที่ทำให้คนรู้สึกเย็นสะท้านออกมา


“ระดับของเหลวขั้นกลาง!


พอพลังจิตหลิ่วหมิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของฝ่ายตรงข้าม ก็รับรู้ได้ในทันที


“ข้าคือลี่ซาจากเผ่าเกล็ดเงิน ในเมื่อสหายเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ ก็มีสิทธิ์ที่จะบอกชื่อแซ่ต่อหน้าข้าได้แล้ว” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรกล่าวอย่างราบเรียบ และนำค้อนทั้งสองมาปะทะกันตรงหน้า


“เต๊ง!” คลื่นอากาศม้วนตัวไปทั่วทิศ


ราวกับว่าลี่ซาผู้นี้จะมีพลังไม่จำกัด


สีหน้าหลิ่วหมิงดูหนักอึ้งขึ้นมา และค่อยๆ กล่าวออกมา


“ข้าน้อยหลิ่วหมิงจากนิกายปีศาจ! มาดการพูดจาของท่านดูไม่เบา หวังว่าความสามารถของท่านคงจะไม่เบาเหมือนกับคำพูด!”


พอกล่าวจบ กระบี่สั้นในมือก็พร่ามัวทันที อึดใจเดียวก็ฟันปราณกระบี่ออกไปสิบกว่าสาย และรวมเป็นหนึ่งเดียวจนกลายเป็นแสงกระบี่ขนาดใหญ่ก่อนที่จะม้วนตัวออกไป


ลี่ซาเห็นเช่นนี้ก็แสดงแววตาดุร้ายออกมา เขาทุบค้อนทั้งคู่ออกไปทันที


“ตู๊ม!”


แม้แสงกระบี่สีเขียวจะแหลมคมเป็นอย่างมาก แต่ภายใต้การโจมตีอันรุนแรงของค้อนยักษ์สีเงิน มันก็สลายตัวและดับไป


ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็หมุนตัวในทันที เขาสะบัดค้อนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็เขวี้ยงออกไปพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ “ฟู่!”


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีเงินเปล่งประกายตรงหน้า ค้อนอีกอันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาถึงหน้าเขา ระดับความรุนแรงเช่นนี้แม้แต่เขาก็ต้องหน้าถอดสีขึ้นมา


พริบตาที่พายุบ้าระห่ำโจมตีมาถึงตรงหน้า เขาก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาล่องลอยขึ้นมา และหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็คิ้วขมวดทันที แต่ก็คว้ามือไปในอากาศอย่างรวดเร็ว


ค้อนยักษ์ที่หลิ่วหมิงหลบไปได้ ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงดังหวึ่งๆ และพุ่งมาทางหลิ่วหมิง


ทันใดนั้น บังเกิดพายุบ้าระห่ำขึ้นมา ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยเงาร่างของค้อน


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็ล่องลอยไปตามลมราวกับใบไม้ ไม่ว่าเงาค้อนจะหนักแค่ไหนก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้


ลี่ซาเห็นเช่นนี้ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และทำท่ามือด้วยมือข้างเดียวในทันที พอฉลามโปร่งแสงสะบัดหาง มันก็หายตัวไปท่ามกลางแสงสว่างที่เปล่งประกาย


ขณะเดียวกัน แขนอีกข้างของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทร ก็เขวี้ยงค้อนอีกอันออกไปจนกลายเป็นเงา


พริบตาเดียว ข้างๆ หลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยเงาค้อนหนักๆ เป็นจำนวนมาก


แม้ร่างกายเขาจะลี้ลับมหัศจรรย์ แต่ก็ดูล่อแหลมขึ้นมา หลายครั้งที่หลบค้อนอีกอันได้ แต่กลับเกือบถูกค้อนอีกอันทุบเข้าให้


แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้านกลับเป็นฉลามโปร่งแสงแปลกประหลาดที่หายไปนั้น


วิชาซ่อนตัวของฉลามตนนี้มหัศจรรย์เป็นอย่างมาก ก่อนหน้านั้นเขาเกือบเสียชีวิตในปากของมัน


หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว และแตะมือข้างหนึ่งไปยังหน้าผาก พลังจิตอันแข็งแกร่งม้วนตัวออกไปในทันที ขณะเดียวกันกระบี่สั้นสีเขียวในมือก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และถูกแทนที่ด้วยธงเล็กสีฟ้าอ่อนๆ มันสะบัดตามลมและขยายใหญ่จั้งกว่าๆ


ขณะนี้ ค้อนอีกอันก็แผดเสียงยาวและทุบลงบนศีรษะ


หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมา เขาไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับโบกธงสีฟ้าไปยังด้านหน้า ทันใดนั้นอักขระสีฟ้าจำนวนมากก็ลอยออกมา ม่านวารีสีฟ้าปรากฏออกมาเป็นชั้นๆ พริบตาเดียวก็ปกคลุมร่างหลิ่วหมิงไว้


“ตู๊ม!”


ภายใต้การทุบลงมาของค้อน ทำให้ม่านวารีสองชั้นถูกทุบจนแตกกระจาย และถูกม่านวารีชั้นที่สามต้านทานไว้ได้


ลี่ซาที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ ก็แผดเสียงยาวออกมา มือทั้งสองทำท่ามือกระตุ้นอย่างรวดเร็ว


ค้อนอีกอันก็พร่ามัวมาปรากฏตัวเหนือม่านวารีสีฟ้า และทุบลงมาอย่างรุนแรง มันปะทะกับค้อนยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าพอดี


อานุภาพของค้อนทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่ง และระเบิดตัวออกมาในทันที จนทำให้ม่านวารีสีฟ้าถูกโจมตีจนสลายไป


แต่ครู่ต่อมา ลี่ซาที่กระตุ้นค้อนเงินทั้งสองก็หดรูม่านตาลง


มีแต่ความว่างเปล่าในม่านวารีชั้นที่สาม ไหนเลยจะมีเงาร่างของฝ่ายตรงข้าม


ขณะนั้นเอง บนอากาศที่อยู่ห่างจากชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรไปไม่ไกล พลันมีจุดแสงสีฟ้าลอยออกมา หลังจากรวมตัวกันแล้ว เงาร่างสีฟ้าจางๆ ก็ลอยขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด


ลี่ซาหันมาจ้องมองเงาร่างสีน้ำเงิน และเหยียดยิ้มเยือกเย็นออกมา


“ฟู่!”


ปากขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบริเวณเงาร่างสีน้ำเงิน มันงับเอวของเขาจนเป็นสองส่วน


มันคือฉลามโปร่งแสงที่ซ่อนตัวตนนั้น


แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรจะแสดงสีหน้าใดๆ ออกมา ชิ้นส่วนเงาร่างสีน้ำเงินก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงิน และหายไปในอากาศ


ขณะนี้ ร่างของฉลามโปร่งแสงถึงปรากฏออกมาในบริเวณนั้นโดยฉับพลัน


“วิชาเงาวารี ธงวารีบริสุทธิ์ของเผ่าเกล็ดเขียว ทำไมถึงตกอยู่มือของมนุษย์ได้” ลี่ซาเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากออกมา


ขณะนั้นเอง ไอดำก็ปรากฏตัวเหนือฉลามโปร่งแสง หลังจากมันหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นระลอกคลื่นสีดำที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังจากในนั้น แสงสีทองเปล่งประกาย กำปั้นสีทองพุ่งออกมาจากในนั้น และทุบใส่หัวอสูรสมุทรเข้าอย่างจัง


“ตู๊ม!” เสียงดังสนั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!


แสงสีทองระเบิดออกมาในพริบตา


ปีศาจอสูรร้องอย่างเวทนา หัวของมันยุบและกระจุยออกมา เศษเลือดและกระดูกจำนวนมากกระจายไปทั่วทิศ และร่วงหล่นลงพื้น


ประจักษ์ชัดว่าอสูรตนนี้ตายอย่างไม่ต้องสงสัย


จากนั้นก็มีเงาร่างพร่ามัวในไอสีดำ หลิ่วหมิงออกมาจากในนั้นด้วยที่สีหน้าสงบ


“เจ้าทำลายอสูรที่ข้ารักไป ข้าจะเอาชีวิตเจ้าชดเชย!” ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้ทัน ทันใดนั้นเขาก็โมโหขึ้นมาเป็นอย่างมาก


ฉลามโปร่งแสงที่ทำได้แต่หลบซ่อนนี้ เขาต้องใช้พลังจำนวนมากในการบ่มเพาะมัน ซึ่งถ้าบ่มเพาะถึงระดับที่มั่นคง มันจะมีพลังแฝงของปีศาจอสูรระดับผลึก ตอนนี้มันถูกสังหารตายต่อหน้า จะให้เขาไม่โมโหได้อย่างไร


ชายหนุ่มทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ค้อนยักษ์ทั้งสองที่อยู่ไกลๆ พุ่งกลับมาในทันที และพร่ามัวมาตกอยู่ในมือของเขา


ลี่ซาประกบค้อนทั้งคู่ไว้ตรงหน้า และร่ายคาถาอย่างรวดเร็ว


เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา! สายฟ้าจากฟ้าพุ่งลงมารัดพันค้อนทั้งสองไว้


ขณะเดียวกันร่างของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรก็ขยายใหญ่ขึ้น ครู่เดียวก็สูงขึ้นมาหลายเท่า ค้อนยักษ์ทั้งสองพร่ามัวกลายเป็นเงาค้อนสีเงิน


ลี่ซาเคลื่อนไหวแขนอยู่ไม่หยุด แต่พอก้าวเท้ายาวๆ ออกไป ก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ


สายฟ้าจำนวนมากทะลักออกจากเงาค้อนและเปล่งประกายไปทั่วทิศ อานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก!


“วิชาประเภทสายฟ้า!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย


ถ้าพูดถึงหลายหมื่นวิชาบนโลกใบนี้ มีวิชาแบบไหนที่พอจะเทียบได้กับวิชากระบี่ล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นพลังสายฟ้าแล้วล่ะ


แน่นอน หลิ่วหมิงเองก็นึกไม่ถึงว่า คู่ต่อสู้ตรงหน้าจะฝึกฝนความสามารถได้ถึงระดับนี้ และภายใต้การรวมพลังกับค้อนอันน่าหวาดกลัวทั้งสอง อานุภาพมันยิ่งน่าหวาดกลัวจนถึงขีดสุด มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถรับได้


ดูท่าถ้าไม่ใช้ท่าไม้ตายล่ะก็ คงได้แต่ถอยหลบไปเท่านั้น


หลิ่วหมิงคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่ลังเลใจอะไรอีก พอสะบัดแขนเสื้อ มุกกลมสีดำก็พุ่งออกมา และหล่นลงมาในฝ่ามือสีทอง


มืออีกข้างก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นผลึกแสงเป็นจุดๆ ก็พุ่งออกมา มันกลายเป็นม่านแสงสีฟ้าห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกันแท่งวารีแวววาวแท่งหนึ่งก็ก่อตัวอย่างรวดเร็ว และแผ่ไอเย็นอันน่าตกใจ


แต่ลี่ซาทำราวกับมองไม่เห็นทั้งหมดนี้ เขายังคงก้าวผ่านอากาศพุ่งมาหาหลิ่วหมิงเช่นเดิม ทุกย่างก้าวล้วนหนักแน่นเป็นอย่างมาก พริบตาเดียวก็อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่กี่จั้ง


เขาคิดจะกวัดแกว่งสายฟ้าจากเงาค้อนเพื่อโอบล้อมหลิ่วหมิงไว้


แต่ขณะนั้นเอง ดวงตาหลิ่วหมิงกลับเป็นประกายขึ้นมา เขากระแทกแท่งวารียักษ์ยาวครึ่งจั้งตรงหน้าออกไป


บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


แท่งวารียักษ์กลายเป็นลำแสงแวววาวพุ่งออกไปตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทร


ลี่ซาคำรามเสียงต่ำออกมา ค้อนยักษ์ทั้งสองทุบแท่งวารีจนแตกกระจายและกระเด็นไปทั่วทิศ


แต่ในท่ามกลางไอเย็นสีขาวโพลน กลับมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” เข็มเล็กละเอียดแวววาวพุ่งยิงออกมา


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้าน เขาตีลังกาเพื่อจะถอยหลบทันที แต่ขณะนั้นเอง เขาพลันรู้สึกว่าร่างกายเย็นสะท้าน การเคลื่อนไหวช้าลง


ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ขึ้นในบริเวณนั้น ชั้นน้ำแข็งบางๆ ก่อตัวขึ้น พริบตาเดียวก็เกือบจะแข่งแข็งชายหนุ่มไว้ที่เดิม


วิชาแท่งวารีที่ถูกหลิ่วหมิงฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ บวกกับพลังจากปราณแกร่งพลังน้ำเงินอันดับเจ็ด พอมันระเบิดออกมาก็แผ่ไอเย็นสะท้านอย่างรุนแรง ซึ่งเหนือความคาดหมายของคนทั่วไปมาก


ครั้งลี่ซารู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอันตรายถึงชีวิต แต่หลังจากแปลงร่างแล้ว พลังของเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก


เขาคำรามออกมา สายฟ้าจากค้อนทั้งสองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง จนขับไอเย็นบริเวณนั้นออกไป แต่พริบตาที่ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น กลับไม่สามารถหลบหลีกเข็มเงาหยกที่พุ่งยิงเข้ามาได้


ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรหายใจเข้าลึกๆ และพ่นไอสีขาวบริสุทธิ์ออกมา และรับเข็มเงาหยกตรงหน้าไว้ได้พอดี


แม้เข็มเงาหยกจะแหลมคมเป็นอย่างมาก แต่พอถูกไอสีขาวนี้ต้านทานไว้ จนต้องชะงักไปชั่วขณะ


ลี่ซาเห็นเช่นนี้ ก็เบี่ยงศีรษะในฉับพลัน


“ฟิ้ว!”


เข็มเงาหยกเฉียดผ่านหูข้างหนึ่งของเขาไป โดยที่ไม่มีโลหิตไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว


ถึงอย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรเหงื่อตกออกมา แต่พอแหงนหน้าขึ้นไปมองก็อดหรี่ตาไม่ได้


……………………………………….


ตอนที่ 265 ผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกโรง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงมาอยู่ห่างจากเขาสามจั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ และกำลังจะชกกำปั้นมาทางเขา


แต่ยังไม่ทันได้ชกออกไป พลังมหาศาลที่ทำให้ชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรรู้สึกหวาดกลัวก็ทะลักออกมาก่อน


ลี่ซาขยับแขนทั้งสองโดยไม่ต้องคิด เพื่อนำค้อนยักษ์ทั้งสองมาบังตรงหน้า


“ตู๊ม!”


กำปั้นสีทองชกลงระหว่างค้อนทั้งสองอย่างหนักแน่น


ลี่ซารู้สึกชาที่แขนทั้งสอง และค้อนทั้งสองก็แยกตัวออกจากกันโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ขณะเดียวกันเขาก็ร่นถอยออกไป จนไม่สามารถตั้งหลักได้ชั่วขณะ


เขารู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก แต่ก็แสดงสีหน้าดุร้ายในฉับพลัน และพ่นโล่ขนาดเล็กสีเลือดออกมา มันเพียงแค่หมุนติ้วๆ จากนั้นก็กลายเป็นม่านแสงสีเลือดปกคลุมเขาไว้


“ฮ่าๆ! มีโล่โลหิตแดงนี้แล้ว เจ้าอย่าคิดว่าจะทำอะไรข้าได้” ลี่ซาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้เขาถึงตั้งหลักได้


ขณะนี้หลิ่วหมิงดึงกำปั้นกลับมาและกางนิ้วทั้งห้าออก มุกกลมๆ สีดำพุ่งออกจากในนั้น และกลายเป็นไอหมอกสีดำโจมตีลงบนม่านโลหิต


ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


พอม่านแสงสีเลือดถูกมุกกลมๆ โจมตีจนแตกกระจาย มันก็พร่ามัวไปโจมตีหน้าอกของชายหนุ่มเผ่าเจ้าสมุทรอย่างรุนแรง


ลี่ซาร้องออกมาอย่างเวทนา รูเลือดขนาดเท่าปากถ้วยปรากฏบนหน้าอกของเขา ปราณแกร่งไม่สามารถปกป้องร่างเขาได้เลยแม้แต่น้อย เขาแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา ร่างของเขาพองแล้วก็ยุบก่อนที่จะระเบิดตัวกลายเป็นฝนโลหิต


อาจารย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรผู้นี้ ถูกหลิ่วหมิงสังหารไปแล้ว


หลิ่วหมิงอาศัยโอกาสนี้เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็ออกจากรัศมีของฝนโลหิตได้ จากนั้นก็คว้ามือออกไปข้างหนึ่ง


“ฟู่!” “ฟู่!” เข็มเงาหยก มุกสีดำ และกำไลเปลือกหอยพุ่งยิงกลับมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อมันทั้งหมดก็หายเข้าไปในนั้น


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองค้อนยักษ์สีเงินที่ดูไม่ธรรมดาทั้งสอง หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็โยนยันต์เก็บของออกไปสองผืน


แสงสว่างม้วนตัวผ่านไป อาวุธขนาดใหญ่ทั้งสองถูกเก็บเข้าไปในนั้น


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อออกไป เพื่อเก็บยันต์เก็บของ แต่ขณะนั้นพลันได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโมโห


“ไอ้มนุษย์ต่ำทราม บังอาจฆ่าหลานชายข้า ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!”


เสียงนี้ดังราวกับเสียงฟ้าร้อง!


แม้หลิ่วหมิงจะมีพลังเวทย์ที่บริสุทธิ์และพลังจิตที่แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องโอนเอนจนเกือบตกลงจากอากาศ


ขณะเดียวกัน มีเสียงแผดยาวดังจากด้านหลังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร เงาร่างพร่ามัวราวกับปีศาจพุ่งยิงเข้ามา มันเปล่งประกายเพียงไม่กี่ที ก็มาถึงกลางสนามรบ


เผ่าเจ้าสมุทรที่ขวางทางอยู่ต่างก็ถูกชนจนกระเด็น เบาหน่อยก็แค่เนื้อหนังถลอกปอกเปิก หนักหน่อยก็กระดูกหักและเสียชีวิต


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้สติจากการวิงเวียนศีรษะ เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที สถานที่ที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีผู้อาวุโสร่างผอมแห้งสวมชุดคลุมสีเงินปรากฏออกมา ดวงตาราวกับนกเขาทั้งสองจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเขียวปัด


หลิ่วหมิงมีสีหน้าหนักอึ้ง เขาพลิกฝ่ามือโดยไม่ต้องคิด กระบอกเหล็กสีดำมืดมิดปรากฏออกมา และพอเสียงกลไกลดัง “คร่อกแคร่ก!” ตาข่ายไหมแวววาวก็แผ่คลุมไปยังด้านหน้า ขณะเดียวกันก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายในมืออีกข้าง อึดใจเดียวก็ฟันกระบี่ออกไปสิบกว่าครั้ง


เขาขยับเท้าทั้งสองอย่างไม่รอรี และพุ่งตัวออกไปราวกับลูกธนู


“คิดจะหนีหรือ? เอาชีวิตของเจ้ามาก่อนเถอะ!”


ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งตะคอกออกมา เขาคว้ามือไปทางหลิ่วหมิงโดยไม่สนใจตาข่ายไหมแวววาวกับปราณกระบี่สิบกว่าสายเหล่านั้น


“ฟู่!”


เปลวแสงสีฟ้าพุ่งออกจากตัวเขา พอตาข่ายไหมกับปราณกระบี่สีเขียวเข้าใกล้ ก็ถูกเปลวแสงนี้เผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่หลบออกไปสิบกว่าจั้งกลับรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังมหาศาลระเบิดออกมา จนทำให้เขากระเด็นออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของเขาก็หนักขึ้นและหยุดลงอยู่กับที่


ฉากนี้ทำให้ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งอุทาน “เอ๋!” ออกมาเบาๆ แต่ต่อมาก็เผยสีหน้าดุร้าย และค่อยๆ งอนิ้วทั้งห้า


“ช้าก่อน!”


ขณะนั้นเอง มีเสียงคนผู้หนึ่งดังมาจากด้านหลังของนิกายปีศาจ ต่อมาก็มีไอสีดำพวยพุ่งเหนือตัวผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง มือปีศาจยักษ์ที่เต็มไปด้วยขนสีเขียวพุ่งออกมาราวกับสายฟ้าแลบ และจับศีรษะของผู้อาวุโสไว้


สีหน้าของผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ฝ่ามือที่ยื่นออกมารีบเปลี่ยนทิศทางไปยังกรงเล็บปีศาจเหนือศีรษะ


“ตู๊ม!


กรงเล็บปีศาจกับฝ่ามือของผู้อาวุโสระเบิดควันสีเขียวออกมา ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวออกไปรอบทิศทาง กลุ่มการต่อสู้ที่อยู่บริเวณนั้นได้รับคลื่นสั่นสะเทือนจนล้มระเนระนาด ผู้ที่มีพลังเวทย์น้อยหน่อยก็หยุดแสดงวิชาจนร่วงลงมาจากอากาศ


หลิ่วหมิงที่อยู่ใกล้หน่อย แม้จะบังคับตนเองให้นิ่งได้ แต่เมื่ออยู่ในท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ ก็รู้สึกเหมือนกับมีคมมีดมากรีดตรงหน้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก


สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงหวาดผวาอย่างสุดขีด


ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ผู้ลงมือต้านทานที่อยู่เบื้องหลังก็คืออาจารย์อาเยี่ยนนั่นเอง แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีฝีมือพอฟัดพอเหวี่ยงเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างแน่นอน


เมื่อครู่ผู้อาวุโสระดับผลึกได้ลงมือกับเขา สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย หลังจากคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว เขาก็รีบหลบหนีไปในท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ


ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้กับกรงเล็บปีศาจในอากาศปราดตามองหลิ่วหมิงที่หนีไปท่ามกลางพายุบ้าระห่ำ


ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา และขยับแขนอีกครั้งก่อนที่จะชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางหลิ่วหมิง


“หยุดนะ!”


เสียงอาจารย์เยี่ยนที่เต็มไปด้วยความโมโหดังมาจากกลุ่มไอสีดำกลางอากาศ ส่วนกรงเล็บปีศาจก็คว้าลงไปพร้อมกับพายุบ้าระห่ำ แต่เห็นได้ชัดว่ามันสายเกินไปแล้ว


แสงสีฟ้าเปล่งประกายขึ้นตรงหน้าผู้อาวุโสร่างผอมแห้ง เล็บดำชิ้นเล็กๆ พุ่งออกไปด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว!” เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่พยายามหนีเพื่อเอาชีวิตรอดนั้น พลันรู้สึกเย็นสะท้านในใจ จากนั้นก็รู้ร้อนตรงหลัง ร่างของเขากระโจนออกจากการโจมตีอันแข็งแกร่งนี้ ขณะเดียวกันก็ต้องกระอักเลือดออกมา


ขณะนี้ เขารู้สึกเจ็บปวดที่หลังเป็นอย่างมาก ราวกับว่าถูกแท่งแหลมๆ แทงเข้าอย่างรุนแรง


พอผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเห็นหลิ่วหมิงโซเซไม่กี่ทีแล้วก็ปีนขึ้นมาโดยไม่เป็นอะไรเลย เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ในขณะที่คิดจะลงมือกับหลิ่วหมิงอีกครั้งด้วยความโมโหนั้น พลันมีแสงสีขาวปรากฏออกมาบริเวณนั้น และล้อมรอบตัวเขาไว้


“เย่เทียนเหมย!”


ขณะนี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งกระโดดตัวราวกับเหยียบโดนหางเข้า พอสะบัดแขนเสื้อทั้งสอง เคียวเกี่ยวข้าวสีทองสองด้านก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกันเขาก็หมุนตัวติ้วๆ กลายเป็นเงาร่างสีทอง


ถึงอย่างไรก็ตาม พอลำแสงสีขาวฟันลงบนร่างของเขา ก็มีเสียงแหลมแสบหูดังออกมา


ผ่านไปเพียงชั่วครู่ ก็มีเสียงดัง “เพล้ง!” ร่างสีทองถูกลำแสงสีขาวปั่นจนระเบิด แต่พอมีลำแสงเปล่งประกายในนั้น สายรุ้งสีฟ้าอันน่าตกใจก็ถือโอกาสพุ่งออกมา มันพร่ามัวไม่กี่ทีก็หลบหนีไปไกลแล้ว


ขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามแปลกประหลาดดังมากลางอากาศ ลำแสงสีเขียวพุ่งลงจากฟ้า และปะทะใส่สายรุ้งที่กำลังหลบหนีพอดี


มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากสายรุ้งอันน่าตกใจ แต่มันเพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งหลบหนีต่อ และพริบตาเดียวก็กลับมาถึงกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร


ขณะนี้ มีเสียงอาฆาตแค้นของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งดังขึ้นมา


“บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านเซียนกับสหายเยี่ยนข้าจดจำไว้ในใจแล้ว และยังมีเจ้าเด็กที่สังหารหลานของข้าเมื่อครู่ ข้าจะถลกหนังดึงเอ็นของเจ้าในไม่ช้าก็เร็ว เพื่อที่จะได้ระบายความแค้นในใจ”


น้ำเสียงของผู้อาวุโสก็ค่อยๆ ห่างออกไป จากนั้นก็หายไปเลย


สิ่งนี้ทำให้แต่ละนิกายที่กำลังต่อสู้กับผู้ฝึกฝนของเผ่าเจ้าสมุทรต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ และค่อยๆ หยุดการต่อสู้ลง


ในช่วงเวลานั้น มีเงาร่างคนผู้หนึ่งโผล่ออกมาจากไอสีดำ ผู้อาวุโสมวยผมสามจุกสวมชุดคลุมสีเทาพุ่งลงมาจากฟ้า ซึ่งก็คืออาจารย์อาเยี่ยนนั่นเอง


พริบตาที่ปรากฏตัวขึ้น เขาไม่ได้สนใจหลิ่วหมิงเลย แต่กลับโบกมือไปยังลำแสงสีขาวและกล่าวออกมา


“ขอบคุณท่านเซียนเย่ที่ยื่นมือเข้าช่วย มิเช่นนั้นศิษย์หลานหลิ่วคงยากที่จะพ้นด่านเคราะห์ในครั้งนี้ไปได้”


“ตอนนี้พวกเราแต่ละนิกายร่วมมือกัน เฒ่าประหลาดลี่กล้าเข้าสนามรบลงมือกับผู้น้อย โดยที่ไม่สนใจข้อตกลงที่ทำกันไว้ ข้าจึงไม่อาจนิ่งดูดายได้”


พอกล่าวจบ ลำแสงสีขาวก็หายวับไป หญิงสาวใบหน้าสวยงามสวมชุดสีขาวปรากฏออกมา นางคือเย่เทียนเหมยแห่งนิกายจันทราสวรรค์นั่นเอง


แต่สายตานางที่มองหลิ่วหมิงกลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


อย่างที่รู้กันว่า การใช้เล็บโจมตีของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งในก่อนหน้านั้น ต่อให้นางเป็นผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับเดียวกัน ก็ไม่กล้าใช้เนื้อหนังของตนเองมาต้านทาน


แต่พอหลิ่วหมิงถูกโจมตี ก็แค่กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็ไม่เป็นอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าครั้งนี้ท่านเซียนไม่ออกโรงช่วย เกรงว่าคงยากที่จะบีบให้เฒ่าประหลาดลี่ถอยไปได้ ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้ามาขอบคุณผู้อาวุโสเย่ที่ช่วยชีวิตเถอะ!” อาจารย์อาเยี่ยนส่ายศีรษะกล่าวออกมา และกวักมือมาทางหลิ่วหมิง


“ข้าน้อยขอขอบคุณผู้อาวุโสเย่ที่ยื่นมือเข้าช่วย!” หลิ่วหมิงฝืนทนความเจ็บปวดตรงหลังเพื่อลุกขึ้นมากล่าวกับเย่เทียนเหมยอย่างนอบน้อม


“ไม่เป็นไร! คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี ศิษย์หลานหลิ่วไม่เพียงแค่ฝึกฝนวิชากระบี่สำเร็จ แต่ยังเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณด้วย!” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“มิกล้า! ถ้าไม่มีคำชี้แนะจากท่านในปีนั้น ข้าน้อยคงยังไม่เข้าสู่เส้นทางการฝึกฝนกระบี่” หลิ่วหมิงยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม


“อะไรนะ! ศิษย์หลานหลิ่วเรียนวิชากระบี่จากท่านเซียนเย่หรือ?” อาจารย์อาเยี่ยนได้ยินก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแตรสัญญาณดังมาจากข้างหลังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร จากนั้นเผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทรต่างก็พากันถอยออกไปราวกับกระแสน้ำที่ไหลทะลัก


เมฆดำกลางอากาศ น้ำทะเลบนพื้นก็ถอยออกไปด้วยเสียงดังโครมคราม พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นสีดำอีกครั้งก่อนที่จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


……………………………………….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)