กระบี่จงมา 256.3-258.1
บทที่ 256.3 ผู้ถ่ายทอดมรรคาถ่ายทอดคำสั่งสอน
โดย
ProjectZyphon
เดินออกจากพื้นที่ของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนมายังตลาดที่คึกคักเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง สอบถามเส้นทางเรียบร้อยก็เช่ารถม้าธรรมดาคันหนึ่งให้ขับไปยังเมืองใน ค่าใช้จ่ายครั้งนี้ปกติมาก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ขับไปบนถนนใหญ่สามร้อยลี้ร่วมกับพาหนะอย่างสัตว์ปีก สัตว์บก หรือม้าที่มีสายพันธ์ของเจียวหลง
จากเมืองนอกเข้าไปยังเมืองในต่างหากที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายไม่ใช่น้อยๆ
ขึ้นมานั่งบนรถม้าแล้ว กลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่คอยบอกทางแก่สารถี
เพราะในห้องโดยสารมีเทพหยินตนหนึ่งปรากฏกาย ซึ่งก็คือเทพหยินตนเดียวกับที่ปรากฏตัวนอกร้านยาฮุยเฉิน แนะนำตัวว่าแซ่จ้าว เฉินผิงอันจึงเรียกเขาด้วยความเคารพว่าท่านจ้าว
มาหยุดอยู่นอกตรอกเล็ก เฉินผิงอันก็จ่ายค่ารถ วันนี้เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้มานั่งอยู่ใต้ต้นไหว แต่นั่งเหม่ออยู่หลังโต๊ะคิดเงินในร้าน เห็นเฉินผิงอันมาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ บอกกับเฉินผิงอันว่าร้านยาเล็ก แต่เรือนด้านหลังร้านกลับใหญ่มาก เฉินผิงอันเลิกผ้าม่านก็พบว่าเรือนด้านหลังนี้มีขนาดพอๆ กับร้านยาตระกูลหยาง ด้านหลังมีลานกว้างขนาดใหญ่ที่ปูพื้นด้วยแผ่นหินสีเขียว มีห้องหลักและห้องปีกข้างสองห้อง ห้องปีกข้างล้วนว่างอยู่ เฉินผิงอันจะเลือกห้องไหนก็ได้ เขาจึงเลือกห้องที่อยู่ทางฝั่งซ้ายมือ นำกล่องกระบี่และห่อสัมภาระไปวางไว้ในห้อง แค่รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เอว เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่ใต้ชายคาของห้องหลัก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าไปเอากระบอกยาสูบโบราณอันหนึ่งมาจากไหน เขานั่งอยู่บนม้านั่งสูบยาพ่นควันโขมงเลียนแบบหยางเหล่าโถว
เพียงแต่ว่าในสายตาของเฉินผิงอัน ผู้เฒ่าสูบยาสูบ ให้ความรู้สึกลึกล้ำดุจบ่อน้ำโบราณที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
แต่เจิ้งต้าเฟิงสูบยาสูบ กลับดูน่าขัน
เฉินผิงอันนั่งอยู่หน้าประตูห้องของตัวเอง พูดถึงเรื่องที่ตัวเองเลือกโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับบอกว่าง่ายมาก รับรองว่าจะปรนนิบัติดูแลเขาเฉินผิงอันประดุจบรรพบุรุษของตัวเองอย่างแน่นอน
จากนั้นคนสองคนที่นิสัยเข้ากันไม่ได้ก็พากันเงียบงัน คนหนึ่งสูบยา คนหนึ่งดื่มเหล้า
นี่ทำให้หัวดำๆ มากมายที่สุมกันอยู่หลังม่านรู้สึกหมดสนุก เพียงไม่นานแต่ละคนก็พากันแยกย้าย
เจิ้งต้าเฟิงสูบยาด้วยความเบื่อหน่าย ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมท่านผู้เฒ่าถึงได้ชอบสูบยานัก ไม่เห็นว่ามันจะมีรสชาติอะไรเลย เขาคอยชำเลืองตามองเด็กหนุ่มผู้เงียบขรึมอยู่เป็นพักๆ ดวงจันทร์มีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว กำไรและขาดทุนก็ย่อมมีจำนวนที่ถูกกำหนดไว้ เมื่อถ้ำสวรรค์หลีจูปริแตกแล้วร่วงลงมา ตอนนี้เจ้าเด็กนี่จึงถือว่าโชคดีไม่น้อย บอกได้แค่ว่าช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเข้ามาในนครมังกรเฒ่าครั้งนี้ หากไม่เป็นเพราะการทยอยกันมาถึงของเรือข้ามฟากต้าหลีและคนจากสกุลเจียงอวิ๋นหลิน ก็ไม่แน่เสมอไปว่าฝูฉีจะพูดง่ายขนาดนี้
ส่วนเฉินผิงอันนั้นกำลังคิดเรื่องเงินห้าอีแปะ
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามขึ้นว่า “ขอถามอะไรหน่อยสิ ถ้าหากตอนนั้นอาจารย์ฉีพูดว่าเจ้าเฉินผิงอันไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ไปชั่วชีวิต เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันใช้เวลาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องยอมรับชะตากรรม”
ดูเหมือนว่าเจิ้งต้าเฟิงจะรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้ แต่จากนั้นเขาก็กลอกตามองบน ยิ่งรู้สึกเบื่อหนักกว่าเก่า
คนแบบนี้ก็เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของตนได้ด้วยหรือ? เรื่องแบบนี้ตนกับเฉินผิงอันไม่ควรจะเป็นคนที่เดินบนเส้นทางเดียวกันหรอกหรือไง?
เจิ้งต้าเฟิงยังไม่ยอมถอดใจ ถามต่ออีกว่า “ยอมรับชะตากรรมแล้วยังไงต่อ?”
คำถามนี้ไม่มีอะไรให้ต้องคิดหนัก เฉินผิงอันจึงตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “แน่นอนว่าต้องฝึกหมัดต่อน่ะสิ ยังจะทำยังไงได้อีก? ตอนนั้นข้าจำเป็นต้องฝึกหมัดเพื่อรักษาชีวิต อีกอย่างฝึกหมัดก็ไม่ใช่แค่เพื่อเลื่อนขอบเขตอย่างเดียว มันช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีพละกำลังเพิ่มมากขึ้น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี”
เจิ้งต้าเฟิงหรี่ตา ถามยิ้มๆ ว่า “แล้วถ้าเจ้าเดินไปถึงคอขวดของขอบเขตสามได้โดยไม่ทันตั้งตัว มองเห็นความหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองชายฉกรรจ์ เกือบจะหลุดคำพูดติดปากของอริยะกระบี่เฒ่าแห่งแคว้นซูสุ่ยออกมาว่า เจ้าโง่หรือไง? การฝึกหมัดคือเรื่องดี การฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ในเมื่อเจ้าไปถึงคอขวดแล้ว แน่นอนว่าต้องอยากฝ่าทะลุมันไปให้ได้น่ะสิ
เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “เจ้าจะไม่คิดถึงคำพูดสรุปแบบตอกปิดฝาโลงของอาจารย์ฉีที่บอกว่าเจ้าไม่มีทางเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ได้อย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง รู้สึกว่าเจิ้งต้าเฟิงต้องเคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อนแน่ๆ ปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดมีนิสัยประหลาดแบบนี้ได้อย่างไรกัน เฉินผิงอันยกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึก “ความรู้ของอาจารย์ฉีย่อมต้องลึกล้ำกว้างขวางอยู่แล้ว ทว่าเจตจำนงเดิมของอาจารย์ฉีก็คงเป็นเพราะหวังดีต่อข้า หากการฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องร้าย ข้าก็จะอดทนเอาไว้ แต่หากเป็นเรื่องดี แล้วตอนแรกอาจารย์ฉีคิดผิดไป ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ฝ่าทะลุขอบเขตจริงๆ น่ะหรือ?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็พึมพำอยู่ในใจว่า “หากเป็นอย่างนั้น นี่ต่างหากที่จะทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงยิ่งเคร่งเครียด ไม่สนใจจะสูบยาสูบอีกแล้ว “อาจารย์ฉีจะคิดผิดได้อย่างไร?!”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “หากข้า…ยังมีโอกาสได้ยืนอยู่ต่อหน้าอาจารย์ฉี ถามอาจารย์ว่าท่านทำผิดได้หรือไม่ เจ้าคิดว่าอาจารย์ฉีจะตอบอย่างไร?”
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนถูกฟ้าผ่า สีหน้าของเขาเจ็บปวด โยนกระบอกยาสูบทิ้ง ยกมือสองข้างขึ้นเกาหัว
เจิ้งต้าเฟิงตาแดงก่ำ ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย จ้องเป๋งไปที่เฉินผิงอัน ตวาดเสียงดัง “เฉินผิงอัน! อาจารย์ฉีมีคำพูดฝากเจ้ามาให้ข้าหรือไม่?! พูด พูดมาตรงๆ ถ้ามี ข้าก็ยินดีจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า! สิบปี ร้อยปีก็ไม่เป็นปัญหา!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มี”
เจิ้งต้าเฟิงลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งวนอยู่ในลานบ้านอย่างคลุ้มคลั่ง ฝีเท้าสับสนไม่หยุดนิ่งเหมือนมดตัวหนึ่งที่อยู่บนกระทะร้อน เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสามคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันพึมพำ “คงไม่ได้ธาตุไฟเข้าแทรกหรอกกระมัง?”
เทพหยินตนนั้นลอยมาอยู่ข้างกายเขา เขาอำพรางปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในฟ้าดินเล็กๆ อย่างลานบ้านแห่งนี้ไว้นานแล้ว จึงไม่มีเสียงใดเล็ดรอดผ่านผ้าม่านตรงประตูบานนั้นออกไป
เจิ้งต้าเฟิงวิ่งชนไปรอบด้าน “อาจารย์ฉี ข้าเคยฟังท่านถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจมามากมาย ท่านต้องเคยพูดให้ข้าฟังอย่างลับๆ มาก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นข้าไม่เข้าใจก็เท่านั้น คิดสิคิด ตั้งใจคิด เจิ้งต้าเฟิง เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน…”
ในลานบ้าน บนพื้นดินเริ่มมีพายุหมุนลูกเล็กๆ หลายลูกก่อตัวขึ้นเป็นดั่งคมกระบี่คมดาบที่คมกริบ ยังดีที่เทพหยินสยบไว้อย่างระมัดระวัง ถึงได้ไม่กระแทกชนให้พื้นหิน เสาระเบียง ประตูห้องพังทลาย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าเงียบๆ พลางสังเกตภาพมหัศจรรย์ที่เจิ้งต้าเฟิงสร้างขึ้นอย่างตั้งใจ
สุดท้ายเจิ้งต้าเฟิงน้ำตานองหน้า แต่เท้าก็ยังไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่เงยหน้ามองเฉินผิงอัน “อาจารย์ฉีเคยสอนหลักการอะไรแก่เจ้า เฉินผิงอัน ลองพูดมาสิ ไม่ว่าอะไรก็ได้ แค่พูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นหลักการยิ่งใหญ่ของอริยะนักปราชญ์อย่างสามอมตะ หรือวิชาการฝึกตนการเข้าสังคมของตระกูลฉี ขอแค่เจ้าพูดออกมา…”
เฉินผิงอันกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ทำไมข้าต้องพูดด้วย?”
เจิ้งต้าเฟิงโอดครวญด้วยเสียงที่แทบจะเรียกได้ว่าวิงวอน “เจ้าคือผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้า! เฉินผิงอัน เจ้าต่างหากที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้าเจิ้งต้าเฟิง!”
เทพหยินเอ่ยเตือนเสียงเบา “เฉินผิงอัน ท่าไม่ค่อยดีแล้ว หากเจิ้งต้าเฟิงยังเป็นแบบนี้ต่อไป มีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะกลายเป็นคนบ้าที่จิตแยกออกจากร่าง ต่อให้มีสติกลับคืนมาก็ไม่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาตลอดชีวิตแล้วจริงๆ อีกอย่างก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะกำราบเขาได้ ร้านยาแห่งนี้ รวมไปถึงตรอกซอกซอยและถนนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เกรงว่าคงถูกเจิ้งต้าเฟิงทำลายพังพินาศ คนที่บาดเจ็บและล้มตายจะมีมากจนนับไม่ถ้วน”
อันที่จริงสภาพจิตใจของเฉินผิงอันไม่ได้นิ่งสงบอย่างสีหน้า แต่ผู้ถ่ายทอดมรรคานี่มันคืออะไรกัน? จะให้เขาที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ไปชี้แนะปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดคนหนึ่งน่ะหรือ? เฉินผิงอันมองพายุลมกรดในลานบ้านที่ยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหมือนธารน้ำสายเล็กที่มารวมตัวกันจนกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ สุดท้ายกลายเป็นพายุหมุนที่สูงถึงเจ็ดแปดฉื่อ ไม่ว่าจะผ่านที่ใด พื้นแผ่นหินสีเขียวก็ล้วนปริแตก
เฉินผิงอันรีบควบคุมกระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เพื่อเรียกเอาไม้ไผ่แผ่นเล็กที่เขาแกะสลักหลักการไว้มากมาย ได้แต่ใช้วิธีรักษาม้าตายเหมือนม้าเป็นโดยการไล่อ่านตัวอักษรที่อยู่บนไม้ไผ่แต่ละแผ่นให้เจิ้งต้าเฟิงฟัง แต่เจิ้งต้าเฟิงกลับทำเพียงส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวด พูดว่าไม่ถูกๆ ใต้ฝ่าเท้าของเจิ้งต้าเฟิงบังเกิดลมพาให้เท้าของเขาลอยขึ้นจากพื้น เหมือนว่าวตัวหนึ่งที่สายป่านขาดจึงล่องลอยไปมาอย่างสับสน อีกทั้งเลือดสดๆ ยังไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สภาพอเนจอนาถแทบทนมองไม่ได้
ต่อให้เฉินผิงอันจะพยายามนึกบทกวีไพเราะหรือถ้อยคำดีๆ ในบทความที่หลี่ซีเซิ่งจรดพู่กันเขียนลงไปบนผนังเรือนไม้ไผ่ แล้วพูดออกมาเสียงดัง เจิ้งต้าเฟิงก็ยังส่ายหน้า เวลานี้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเดินทางไกลท่านนี้พูดไม่ออกแม้แต่ครึ่งคำ ทำได้เพียงปล่อยหมัดโซซัดโซเซอยู่กลางอากาศ พยายามจะรักษาสติเสี้ยวสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ในสมองอย่างสุดความสามารถ
ระหว่างขอบเขตแปดและขอบเขตเก้าของผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อเทียบกับขอบเขตสามสี่และขอบเขตหกเจ็ดแล้ว ปรากฎการณ์ที่พวกเขาสร้างขึ้นมีแต่จะยิ่งใหญ่อลังการมากกว่า แต่ก็เสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าเช่นกัน
ถูกเรียกว่าด่านเคาะหัวใจ
ส่วนด่านระหว่างขอบเขตเก้ากับขอบเขตสิบก็ยิ่งน่าตะลึงพรึงเพริด ถูกขนานนามว่าชนประตูสวรรค์ ความยากในการก้าวข้ามออกไปนั้น ไม่ต้องบอกก็พอจะจินตนาการได้
เจิ้งต้าเฟิงรู้เรื่องทั้งหมดนี้ดี เขาถึงได้อิจฉาศิษย์พี่หลี่เอ้อร์ที่วันๆ แทบไม่ต้องทำอะไร ถึงได้ริษยาซ่งจ่างจิ้งที่ผ่านศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายแค่ครั้งเดียวก็เลื่อนสู่ขอบเขตสิบ!
จำนวนครั้งที่เขากับหลี่เอ้อร์ประมือกันเป็นการส่วนตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้มือข้างเดียวนับยังไม่พอ!
เหตุใดซ่งจ่างจิ้งที่อายุประมาณสี่สิบปีทำได้ แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงที่เลื่อนขอบเขตได้อย่างราบรื่นมาตลอดเหมือนผ่าลำไม้ไผ่ถึงทำไม่ได้?!
แล้วทำไมท่านผู้เฒ่าถึงต้องพูดว่าชีวิตนี้เขาไม่มีหวังที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า? ทำไมต้องซ้ำเติมเขาที่แบกภาระทางใจหนักอึ้งอยู่แล้วให้หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าเก่า?!
ทำไมอ่านบท ‘ความจริงใจ’ ก็แล้ว เคยได้รับโอกาสยิ่งใหญ่ด้วยการเห็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของตัวเองปล่อยหมัดถึงสองครั้งจนเข้าใจถึงความจริงใจอย่างทะลุปรุโปร่งก็แล้ว แต่คอขวดนั้นก็ยังไม่ขยับคลาย ให้ตายก็ข้ามผ่านมันไปไม่ได้?
เทพหยินกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว จ้องเจิ้งต้าเฟิงที่จิตใจใกล้แหลกสลายเขม็ง ดูเหมือนว่าเทพหยินตนนี้กำลังลังเลว่าควรจะลงมืออย่างเหี้ยมหาญเด็ดขาดดีหรือไม่
แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม หากขัดขวางอาการคลุ้มคลั่งของเจิ้งต้าเฟิงครั้งนี้ ถ้าเช่นนั้นอนาคตของเจิ้งต้าเฟิงก็คงจบสิ้นลงจริงๆ แล้ว
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดนิ่ง ลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ ทั่วร่างอาบไปด้วยเลือด ใบหน้ามองเห็นไม่ชัดเจนเพราะเปื้อนเลือดสีแดงสด ความเศร้าโศกกัดกินหัวใจ “อาจารย์ ข้าทำไม่ได้ ข้าทำไม่ได้จริงๆ ข้าขอโทษ…”
มองเจิ้งต้าเฟิงที่เลือดท่วมกาย เฉินผิงอันที่อับจนหนทางนึกถึงแม่นางน้อยคนหนึ่งขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ แม่นางน้อยที่สวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงอยู่ตลอดทั้งปี แม่นางน้อยผู้มีชีวิตชีวาร่าเริง บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
จำได้ว่าหลี่ไหวเคยเล่าว่า แม่นางน้อยมักจะถามคำถามที่อาจารย์ของนางตอบไม่ได้อยู่เป็นประจำ อีกทั้งอาจารย์ฉีก็ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เหมือนแรงบันดาลใจบังเกิด เฉินผิงอันจึงพึมพำเบาๆ ว่า “ศิษย์ไม่จำเป็นต้องสู้อาจารย์ไม่ได้เสมอไป”
ประโยคพึมพำที่เบายิ่งกว่าเสียงยุง
ทว่ากลับดังข้างหูเจิ้งต้าเฟิงเหมือนคลื่นลูกใหญ่ที่ตีกระทบนครมังกรเฒ่า
เจิ้งต้าเฟิงก้มหน้าลงมองกระบอกยาสูบโบราณชิ้นนั้นอย่างเหม่อลอย
เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่า ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าซึ่งไม่เคยเต็มใจพูดกับเขามากเกินความจำเป็นมองผ่านม่านควันขโมงมายังเขาด้วยสายตาเย็นชา จะต้องทำให้เจิ้งต้าเฟิงผู้หยิ่งทระนงเชื่อมั่นในตัวเองไม่เหลือความกล้าที่จะสบตากับอีกฝ่ายตรงๆ
ก่อนหน้านี้เจิ้งต้าเฟิงไม่เคยรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง คนในโลกไม่รู้ความเป็นมาของท่านผู้เฒ่า แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงรู้ คนในโลกไม่รู้ถึงวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่ของท่านผู้เฒ่า เขารู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร คนในโลกไม่รู้เรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของผู้เฒ่า แต่เขาเจิ้งต้าเฟิงกระจ่างแจ้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาเจิ้งต้าเฟิงที่มีสถานะเป็นลูกศิษย์ เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปด จะเอาคุณสมบัติที่ไหนไปจ้องตากับผู้เฒ่า?
เจิ้งต้าเฟิงเงยหน้าขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้ง ยื่นมือมาเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าแล้วพูดเบาๆ ว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำห้าวเหิมใดๆ ไม่ได้หัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจ เพียงแค่เดินทีละก้าวไปกลางอากาศเหนือลานบ้าน พูดกับตัวเองในใจว่า “อาจารย์ ท่านอยู่สูงสุดเหนือผู้ใด ไม่เป็นไร ศิษย์เจิ้งต้าเฟิงจะเดินทีละก้าวไปพบท่านเอง”
วันนี้มีคนเดินขึ้นฟ้า เดินทะลุทะเลเมฆผืนนั้นขึ้นไปเหยียบเหนือทะเลเมฆสูงส่งโดยตรง คนผู้นั้นขึ้นไปยังที่สูงเพื่อมองไปยังจุดที่อยู่สูงกว่า
ในนครมังกรเฒ่า สายลมหอบใหญ่พัดพาให้เมฆลอยหมุนคว้าง (คำว่าต้าเฟิงของชื่อเจิ้งต้าเฟิง แปลว่าลมหอบใหญ่ ลมแรง)
บทที่ 257.1 เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน
โดย
ProjectZyphon
เฉินผิงอันเงยหน้ามองท้องฟ้าสูง ปรากฎการณ์การฝ่าขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงยิ่งใหญ่จนถึงกับทำให้ทะเลเมฆของตระกูลฝูเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาให้เห็น แต่ว่าสุดท้ายทั้งคนและทะเลเมฆก็ค่อยๆ หายไป เขาอดถามอย่างเป็นกังวลใจไม่ได้ว่า “ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
เทพหยินตอบยิ้มๆ “ความเคลื่อนไหวต้องรุนแรงมากพอถึงจะสยบพวกหนูสกปรกและหมาไนทั้งหลายได้”
เจิ้งต้าเฟิงสั่งสมพลังไว้มากแต่เอาออกมาใช้ทีละน้อย แค่การกระทำเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้โดยตรง แน่นอนว่าเทพหยินย่อมยินดีที่ได้เห็น หากเจิ้งต้าเฟิงต้องตายก่อนวัยอันควรอยู่ที่นี่ เสินจวินทำการค้ากับคนอื่นอย่างยุติธรรมก็จริง แต่กับเทพหยินวัตถุหยินที่ออกมาจากศาลเล็กอย่างพวกมันกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากทำลายแผนการที่เสินจวินวางไว้ ทำให้เขาพิโรธโกรธา ดีดนิ้วครั้งเดียวทำให้ร่างของมันแหลกสลายทั้งที่อยู่ห่างไกลกันนับพันนับหมื่นลี้ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดเลยสักนิดเดียว
เฉินผิงอันที่ระมัดระวังตัวจนเคยชินขบคิดประโยคนี้อย่างตั้งใจ แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมากจริงๆ แต่ว่าเหตุผลแบบนี้ยังไม่เหมาะตนนำมาใช้ ไม่เป็นไร ก็เหมือนตัวอักษรที่สลักไว้บนแผ่นไม้ไผ่ขนาดเล็กทั้งหลาย สั่งสมไว้ก่อน พกพวกมันเดินทางอยู่ในยุทธภพก็ไม่ได้หนักอะไร หลักการก็เป็นเช่นเดียวกันนี้
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “คนทั้งเมืองจะรู้เรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า วันหน้าหากเจิ้งต้าเฟิงคิดจะทำอะไร ก็ไม่เท่ากับว่าจะต้องถูกคนของตระกูลฝูและห้าตระกูลใหญ่คอยจับตามองหรอกหรือ?”
เทพหยินชำเลืองมองไปทางทะเลตะวันออก ส่ายหน้าพูดว่า “ฝูฉีแบไต๋แล้ว อาศัยโอกาสครั้งนี้ เจิ้งต้าเฟิงน่าจะฉวยจังหวะทำการค้าได้หลายอย่าง ตอนที่กลับมาจากทะเลเมฆ น่าจะไม่โหมครึกโครมเหมือนตอนที่ขึ้นไปแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เก็บแผ่นไม้ไผ่เล็กๆ สีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้กลับไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น แผ่นไม้ไผ่พวกนี้มีทั้งไม้ไผ่เขียวธรรมดาที่เหลือจากการทำหีบหนังสือใบเล็กให้กับหลี่ไหวและหลินโส่วอี แต่ที่มากกว่ากลับเป็นไม้ไผ่เฟิ่นหย่งภูเขาฉีตุนที่ย้ายมาปลูกจากภูเขาชิงเสิน ซึ่งเว่ยป้อมอบให้เพราะเหลือจากการสร้างเรือนไม้ไผ่ หลังจากได้ซื้อขายที่หอชิงฝูท่าเรือข้ามฟากแคว้นซูสุ่ย จึงรู้ถึงมูลค่ามากควรเมืองของไม้ไผ่เสินเซียวจากภูเขาชิงเสิน เฉินผิงอันจึงยิ่งทะนุถนอมและเห็นค่าพวกมันมากยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้หลายครั้งที่เห็นประโยคไพเราะบนตำรา จะต้องขบคิดใคร่ครวญอยู่หลายรอบกว่าจะตัดสินใจได้ว่าจะสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่ดีหรือไม่
จู่ๆ เทพหยินก็ถามว่า “มอบไม้ไผ่แผ่นที่สลักประโยคว่า ‘เทพเซียนมีความต่าง หยินหยางแยกห่าง วิญญาณทำให้ใจสงบ จิตสร้างร่างทอง’ ให้ข้าได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าปฏิเสธอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้”
เจ้าคิดว่าเจ้าคือพวกเป่าผิง หลี่ไหวที่อยากได้อะไรข้าก็ยกให้หมดหรือไง?
แต่เฉินผิงอันก็นึกถึงคราวก่อนตอนอยู่ในตรอกเล็กแล้วเทพหยินเผยกายเปิดโปงความคิดของเจิ้งต้าเฟิงขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของหยางเหล่าโถวหรือไม่ แต่นั่นก็ถือเป็นน้ำใจครั้งหนึ่ง พอคิดถึงข้อนี้ เฉินผิงอันจึงใจกว้างขึ้นมาทันที “ตกลง ยกให้เจ้าก็ได้ ก็แค่ไม้ไผ่แผ่นเดียวเท่านั้น”
แม้เทพหยินจะไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินผิงอันถึงเปลี่ยนใจ ก่อนหน้านี้เนื่องจากเขาใจร้อน ก็เลยพูดตรงเกินไป อันที่จริงเทพหยินไม่คิดจะเอาเปรียบเฉินผิงอัน จึงอธิบายด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า “เมื่อครู่นี้ข้ายังพูดไม่จบ อันที่จริงข้าอยากจะซื้อไม้ไผ่แผ่นนั้นจากเจ้าด้วยเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะหยิบไม้ไผ่แผ่นนั้นออกมาจากวัตถุฟางชุ่น พอได้ยินคำว่าเงินฝนธัญพืชก็รู้สึกหนังหัวชาหนึบทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยว่า “ต่อให้ไม้ไผ่แผ่นนี้จะมาจากไม้ไผ่เฟิ่นหย่งภูเขาชิงเสิน แต่ขนาดก็ใหญ่แค่นี้ ไม่ควรจะให้ราคาสูงเทียมฟ้าน่าตกใจขนาดนี้กระมัง?”
เทพหยินยิ้มบางๆ “ขายให้คนอื่น อย่างมากสุดก็แค่ไม่กี่เหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น แต่สำหรับข้าแล้ว ไม้ไผ่ที่มีประโยคนี้สลักไว้ก็คือราคานี้ ทำไม รังเกียจที่ราคาสูงเกินไป จะไม่ขาย? ต้องให้ถูกกว่านี้ถึงจะขาย? ถ้าอย่างนั้นก็หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยื่นแผ่นไม้ไผ่มอบให้พลางหัวเราะร่า “ท่านผู้เฒ่าจ้าวโปรดรับไว้”
เทพหยินยื่นมือหนึ่งออกไปรับ อีกมือหนึ่งยื่นเงินฝนธัญพืชกองกันสิบเหรียญส่งออกไป เฉินผิงอันรับเงินฝนธัญพืชที่เปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเหล่านั้นมา เพ่งตาจ้องมองอยู่สองคราแล้วรีบเก็บเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น
เทพหยินเอ่ยเย้า “ไม่พิสูจน์ก่อนหรือว่าเป็นของจริงหรือไม่? เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืชปลอมบนภูเขามีไม่น้อยเลยนะ”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เดิมทีข้าก็ไม่เคยเห็นเงินฝนธัญพืชที่แท้จริงมาก่อน แล้วข้าก็เชื่อใจท่านจ้าวด้วย”
เฉินผิงอันไม่ดื่มเหล้าแล้ว เขารัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ด้านในมีชูอีกับสืออู่ไว้ตรงเอว
เงินหิมะน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินหนึ่งพันตำลึงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญเท่ากับเงินหิมะน้อยหนึ่งร้อยเหรียญ เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญจะเท่ากับเงินร้อนน้อยสิบเหรียญ นี่ก็คือหลักแลกเปลี่ยนเงิน ‘พันร้อยสิบ’ บนภูเขา ส่วนเหรียญทองแดงแก่นทองที่สร้างขึ้นเพื่อถ้ำสวรรค์หลีจูนั้นมีค่ายิ่งกว่าเงินฝนธัญพืชเสียอีก
หนึ่งเหรียญทองแดงแก่นทองเท่ากับเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญ!
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็มีความรู้สึกว่าตัวเองมีเงินหมื่นกว้านร้อยเอวจริงๆ แล้ว (กว้านคือเงินพวงที่ร้อยเชือกเข้าด้วยกัน หนึ่งกว้านมีพันเหรียญอีแปะ มีเงินร้อยเอวหมื่นกว้านจึงเปรียบเปรยถึงคนที่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี)
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “ท่านจ้าว ไม่อย่างนั้นข้าเอาแผ่นไม้ไผ่ที่เหลือให้ท่านลองดูอีกดีไหม แล้วท่านลองหาดูว่าอยากจะซื้ออันไหนอีกหรือเปล่า?”
เทพหยินส่ายหน้ายิ้มๆ “กระเป๋าเงินว่างเปล่า ซื้อไม่ไหวแล้ว”
อันที่จริงเงินฝนธัญพืชสิบเหรียญคือเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาหลังจากติดตามเจิ้งต้าเฟิงลงใต้มายังนครมังกรเฒ่า
การที่เขาให้ราคาสูงถึงขนาดนี้ แสดงความยินดีกับเจิ้งต้าเฟิงที่ฝ่าทะลุขอบเขตคือเรื่องหนึ่ง แต่ว่าตอนนั้นจิตวิญญาณของตนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ชื่นชอบประโยคนี้ทันทีที่ได้ยิน นี่ต่างหากถึงจะเป็นประเด็นสำคัญ เจตจำนงสวรรค์มักจะมองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ คนทั้งหมดที่อยู่ใต้หล้าอาจจะไม่เชื่อ แต่กับเขา ไม่เชื่อไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะจ่ายเงินฝนธัญพืชออกไปรวดเดียวสิบเหรียญจริงๆ แต่เป็นเพราะจำเป็นต้องทำแบบนี้ ความหมายที่ซุกซ่อนลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งได้ถึง เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางเท่านั้นถึงจะเข้าใจ
ผลคือเฉินผิงอันพูดอีกว่า “ไม่เป็นไร ท่านจ้าวลองดูก่อนว่าชอบแผ่นไหน ข้ายกให้ท่านไม่คิดเงิน”
เทพหยินหันหน้ามามองประเมินเด็กหนุ่มแล้วคลี่ยิ้มไม่พูดอะไรอีก เพียงเงยหน้าขึ้นมองทะเลเมฆอีกครั้ง รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจไม่น้อย
นครมังกรเฒ่ากว้างใหญ่เกินไป น้อยคนนักที่จะมีเวลาว่างคอยมองว่าวหรือนกที่บินผ่านท้องฟ้า ภาพที่เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นฟ้า และภาพเหตุการณ์ประหลาดที่การฝ่าทะลุขอบเขตของเจิ้งต้าเฟิงชักนำมา ชาวบ้านที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของบุรุษอาจจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางและปรมาจารย์เล็กใหญ่บนวิถีวรยุทธ์แทบทั้งหมดล้วนแหงนหน้ามองภาพนี้อย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ โดยเฉพาะตระกูลฝูที่เกิดความครึกโครมมากที่สุด ฝูฉีที่รอเด็กสาวจื้อกุยซึ่งขึ้นไปบนหอมังกรอยู่ด้านล่างถึงกับขึ้นไปที่ทะเลเมฆด้วยตัวเองเพื่อดูว่าบุคคลที่สามารถแหวกค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆได้คือใคร
เนื่องจากมีทะเลเมฆบดบัง คนนอกจึงมองโฉมหน้าที่แท้จริงของบุรุษไม่ออก ผู้ฝึกตนตำแหน่งสูงส่วนใหญ่ในนครมังกรเฒ่าแค่อยากร่วมสนุก จึงพากันคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของสุดยอดผู้แข็งแกร่งคนนั้นว่าเป็นบุรพาจารย์ตระกูลฝูที่ได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนหนึ่งชิ้นซึ่งฝ่าขอบเขตได้แล้วจึงออกจากด่าน? หรือเป็นบุรพาจารย์สกุลเจียงอวิ๋นหลินซึ่งกำลังจะเกี่ยวดองกับทายาทสายตรงของนครมังกรเฒ่าที่เคาะภูเขากระเทือนพยัคฆ์?
พ่อค้าในนครมังกรเฒ่ามีมากมายเป็นอันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีป ในฐานะศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญซึ่งเชื่อมต่อสามทวีป ที่นี่จึงมีปลาและมังกรปะปนกัน คนมีเงินมีมากมาย ผีพนันก็มีไม่น้อย การงัดข้อประชันกันระหว่างเพื่อนสนิท แม้กระทั่งการลงเดิมพันในบ่อนขนาดใหญ่หลายแห่งล้วนผุดขึ้นเป็นหน่อไม้หลังฝนตก การเดิมพันนั้นมีมากมายหลากหลาย มีทั้งเดิมพันถึงสถานะของคนผู้นี้ เดิมพันว่าคนผู้นี้จะถูกตระกูลฝูเล่นงานจนพิการหรือไม่ เดิมพันถึงเพศ หรือแม้แต่ชื่อแซ่ของคนผู้นี้…
จวนตระกูลฟ่านที่อยู่เมืองใน เจ้าประมุขคนปัจจุบันและบุรพาจารย์หลายท่านของตระกูล รวมถึงข้ารับใช้ต่างแคว้น ทุกคนล้วนเป็นผู้เฒ่าที่อายุสูงนับร้อยปีขึ้นไป ไม่มีลูกหลานที่หนุ่มสาว เวลานี้พวกเขายืนเคียงไหล่กันอยู่บนระเบียงของหอสูง ใบหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความปิติยินดี พวกเขาเริ่มพยากรณ์โดยเริ่มจากตำแหน่งที่บุคคลซึ่งอยู่บนทะเลเมฆเดินขึ้นฟ้า บวกกับรายงานสถานการณ์ก่อนหน้านี้จึงพอจะอนุมานได้ว่าคนผู้นี้ก็คือเจิ้งต้าเฟิงแห่งร้านยาฮุยเฉิน การที่เขาเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า กลายเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตยอดเขาซึ่งเป็นขอบเขตปลายทางของวิถีวรยุทธ์ได้สำเร็จ สำหรับตระกูลฟ่านแล้ว นี่ย่อมเป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า อีกอย่างหลายสิบปีในอนาคต หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เจิ้งต้าเฟิงจะต้องยังอยู่ในนครมังกรเฒ่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตระกูลฟ่านจะได้ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตยอดเขาที่ร่วงจากฟ้าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ความต่างระหว่างขอบเขตแปดและขอบเขตเก้า ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ขั้นเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคือหล่อหลอมเรือนกาย ขั้นกลางคือหล่อหลอมลมปราณ ขั้นสูงสุดคือหล่อหลอมจิตใจ แต่ละขั้นแบ่งออกเป็นสามระดับ ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ โดยเฉพาะหลังขอบเขตที่เจ็ด ความต่างระหว่างสองขอบเขตจะยิ่งเหมือนมีร่องน้ำลึกกั้นขวาง ดังนั้นบนวิถีวรยุทธ์จึงมีคำกล่าวหนึ่งสืบทอดต่อกันมาว่า ขอบเขตสูงต่อสู้กับขอบเขตต่ำ ฆ่าคนก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียว
เพียงแต่ว่าก็มีคนคิดว่าคำว่าฆ่านี้ ควรจะเปลี่ยนเป็นบาดเจ็บ จะเหมาะสมมากยิ่งกว่า
นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการแบ่งลำดับขั้นของนักเล่นในวงการหมากล้อมที่มีเก้าระดับเหมือนกัน แบ่งเป็นแข็งแกร่งเก้าและอ่อนด้อยเก้า บางครั้งนักเล่นหมากล้อมขอบเขตเจ็ดแปดจะใช้ฝีมือที่เลิศล้ำเอาชนะนักเล่นแห่งแคว้นระดับอ่อนด้อยเก้า ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เสียเลย แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในวงการหมากล้อม จะว่าไปแล้วการตัดสินลำดับขั้นนักเล่นหมากล้อมในแจกันสมบัติทวีป โดยเฉพาะระดับแปดและเก้า มักจะแค่ให้ฉีไต้จ้าว (ชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้) ของราชวงศ์มาผลัดกันประลองฝีมือ ซึ่งเดิมทีฝีมือการเล่นหมากล้อมของฉีไต้จ้าวแต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งสำนักและสถานศึกษาลัทธิขงจื๊อจะให้วิญญูชนด้านหมากล้อมออกหน้ามาเป็นผู้ตัดสิน จึงเทียบกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางไม่ติด
บุรพาจารย์ขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งของตระกูลฟ่านลูบเคราเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าหนูฟ่านมีผู้ถ่ายทอดมรรคาเช่นนี้ช่างเป็นโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ!”
เสียงหัวเราะดังครืนรอบด้าน
แล้วทันใดนั้นทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่าก็ลดตัวฮวบลงต่ำ ทุกคนแทบไม่ทันได้ตั้งตัวร่างทั้งร่างก็อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆแล้ว มองไปรอบด้านมีแต่ความเคว้งคว้าง ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีญาติมิตร มีคนบนเส้นทางเดียวกันอยู่ใกล้ในระยะประชิดก็ตาม จากนั้นก็รู้สึกกดดันเหมือนจะหายใจไม่ออก ไม่ว่าจะผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว บัดนี้การโคจรลมปราณก็ล้วนติดขัดชะงักค้างไม่มากก็น้อย ทว่าเพียงแค่ชั่วพริบตา ฟ้าดินก็กลับคืนมาเป็นปกติ เมฆหมอกหายวับไปอย่างไม่เหลือร่องรอย หลายคนที่จำศีลมานานหรือไม่ก็ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองที่รับใช้นครมังกรเฒ่าต่างอารมณ์หนักอึ้ง
เจิ้งต้าเฟิงทะยานลมจากไปด้วยขอบเขตแปดเดินทางไกล แต่กลับเดินเท้ากลับมายังตรอกเล็กด้วยขอบเขตเก้ายอดเขา
บทที่ 257.2 เป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน
โดย
ProjectZyphon
พวกผู้หญิงในร้านยาพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่ตลอดเวลา สัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติใดๆ นี่ก็คือกบใต้บ่อของคนล่างภูเขา แต่ก็เป็นความสงบสุขอีกอย่างหนึ่งของมนุษย์ธรรมดาเช่นกัน พวกนางเห็นเถ้าแก่เดินจากนอกร้านเข้ามาข้างในก็ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง ในมือของชายฉกรรจ์หิ้วสุรารสดีที่ซื้อจากถนนใกล้เคียงกลับมาด้วยสองไห เขาเลิกผ้าม่านขึ้น ค้อมตัวเดินเข้าไปในลานบ้าน โยนเหล้าไหหนึ่งขึ้นสูงส่งไปให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่ง ส่วนตัวเขาเองหยิบกระบอกยาสูบขึ้นมา นั่งลงบนขั้นบันไดด้านหน้าห้องหลักอีกครั้ง เงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทั้งไม่สูบยา แล้วก็ไม่ได้ดื่มสุราอย่างสำราญใจ
ประโยคแรกที่เขาเอ่ย ไม่ได้พูดกับเฉินผิงอันที่ผู้เฒ่า ‘แต่งตั้ง’ ให้เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขา แต่สอบถามเทพหยินว่า “เหล่าจ้าว ตอนนี้คงพูดกันอย่างตรงไปตรงมาได้แล้วกระมัง? ท่านผู้เฒ่ามีคำสั่งอะไรอีก? อีกไม่กี่วันเฉินผิงอันก็ต้องโดยสารเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาเดินทางไปจากที่นี่แล้ว เรื่องของผู้ปกป้องมรรคา ช่วยให้คำตอบที่แน่ชัดแก่ข้าได้หรือไม่?”
เทพหยินส่ายหน้า “เสินจวินแค่กำชับข้าว่า หากเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จก็จงดื่มด่ำกับความสุขไปซะ แต่หากล้มเหลวก็ให้จับเจ้าโยนลงทะเลเป็นอาหารปลา”
เจิ้งต้าเฟิงใช้มือสองข้างขยี้แก้มอย่างแรง “มารดาของข้าเอ๋ย ก็ยังงงอยู่ดี”
เจิ้งต้าเฟิงเอากระบอกยาสูบเก่าแก่มาวางไว้ในอ้อมอก เปิดผนึกดินบนไหเหล้าออก ก้มหน้าสูดสวบหนึ่งทีประหนึ่งมังกรสูบน้ำ สุราก็รวมตัวกันเป็นเส้นหนึ่งเส้นแล้วพุ่งเข้าไปในปากของเจิ้งต้าเฟิงด้วยตัวเอง เจิ้งต้าเฟิงเช็ดปาก แหงนหน้ามองไปยังทะเลเมฆผืนนั้น “เหล่าจ้าว เจ้าว่าท่านผู้เฒ่าจะเดาถึงภาพเหตุการณ์ที่ข้าได้พบเห็นในการฝ่าทะลุขอบเขตครั้งนี้หรือไม่? คาดการณ์ได้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะฝ่าด่านเคาะหัวใจไปถึงด้านชนประตูสวรรค์ได้ในรวดเดียว? เคยคิดได้หรือไม่ว่าตอนที่ข้าพบภาพเหตุการณ์บริเวณใกล้เคียงกับประตูใหญ่ ข้าเกือบจะ…”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ จากนั้นก็ก้มหน้าลงดื่มเหล้า แต่แล้วจู่ๆ ก็ยิ้มหน้าบาน “ไม่แน่ว่าคำพูดประโยคนั้นของท่านผู้เฒ่าอาจจะมีความหมายสองชั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว ‘ไม่มีหวังเลื่อนสู่ขั้นเก้าไปตลอดชีวิต’ ฮ่าๆ ท่านผู้เฒ่านี่เกเรจริงๆ …”
มุมปากของเทพหยินกระตุก
รู้สึกว่าเจิ้งต้าเฟิงรนหาที่ตายจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงเหมือนถูกคนบีบคอ เหลียวมองไปรอบด้านอย่างคนร้อนตัว ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่กลางลานบ้าน หันหน้าไปทางทิศเหนือ พึมพำกับตัวเองว่า “ท่านผู้เฒ่า ท่านอย่าได้ถือสาเลยนะ ศิษย์เจิ้งต้าเฟิงฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ แต่กลับไม่สามารถเล่าเรื่องที่น่ายินดีนี้ต่อหน้าท่านได้ ในใจให้ละอายยิ่งนัก ท่านผู้อาวุโสท่านฉลาดปราดเปรื่อง เป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ขอท่านอย่าโกรธ ศิษย์ทำได้เพียงจุดธูปสามดอกกราบสามครั้งเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ!”
ในมือของเจิ้งต้าเฟิงถือธูปไว้สามดอกจริงๆ เขาคำนับสามครั้งไปยังทิศทางของต้าหลีที่อยู่ห่างไปไกล
เฉินผิงอันฉงนสนเท่ห์อย่างยิ่ง หยางเหล่าโถวสั่งสอนลูกศิษย์สองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวอย่างหลี่เอ้อร์และเจิ้งต้าเฟิงได้อย่างไร
แต่พอคิดถึงพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีที่มีนิสัยแตกต่างกันไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ เฉินผิงอันก็ไม่ประหลาดใจอีกต่อไป
แต่ก่อนหน้าที่เจิ้งต้าเฟิงจะจุดธูปกราบไหว้ เขามีท่าทางที่ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง เฉินผิงอันมองเห็นอย่างชัดเจน เจิ้งต้าเฟิงยกแขนขึ้นมาข้างหนึ่ง ยื่นมือข้ามศีรษะอ้อมไปด้านหลัง ราวกับว่าตรงนั้นซ่อนธูปสามดอกเอาไว้ ตอนดึงมือกลับจึงติดมือเขามาด้วย
เจิ้งต้าเฟิงทำทุกอย่างนี้เสร็จก็นั่งกลับไปนั่งบนม้านั่งอย่างเกียจคร้าน ราวกับตัดสินใจแล้วว่าจะเสวยสุขจริงๆ เขาจ้องหน้าเฉินผิงอัน เฉินผิงอันก็จ้องตาเขา
คนหนึ่งคล้ายจอมอันธพาลที่ติดหนี้คนอื่น แต่ให้ตายก็ไม่ยอมใช้คืน
คนหนึ่งคล้ายกำลังพูดว่าเจ้ากล้าไม่คืนเงินข้า ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ก็จะทำให้เจ้ารำคาญจนตายแทน
เทพหยินมองคนทั้งสองแล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้าใจวิถีทางโลกในปัจจุบันสักเท่าไหร่
เสียงหนึ่งดังขึ้นทำลายสถานการณ์ มีคนเลิกผ้าม่านขึ้น แต่กลับไม่ได้เดินเข้ามาในลานบ้านทันที มือข้างหนึ่งของเขาเลิกผ้าม่านขึ้นสูง มืออีกข้างหนึ่งหิ้วเหล้าหมักกุ้ยฮวาที่ดีที่สุดของนครมังกรเฒ่ามาหนึ่งไห ลำพังเพียงแค่ไหเหล้าที่งามประณีตใบนี้ก็สามารถขายได้หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาริมฝีปากแดงก่ำเห็นว่าในลานบ้านยังมีคนนอกอยู่ จึงเกิดความลังเล เขายืนอยู่ที่เดิม ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์เจิ้ง…ข้าเข้าไปได้หรือไม่?”
หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในร้านยาฮุยเฉิน เทพหยินก็หายตัวไป
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าเป็นคนวัยเดียวกับตน มองออกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวคนหนึ่ง ตอนนี้น่าจะยังเป็นขอบเขตสาม สังเกตจากการหายใจระหว่างที่พูดคุย การสั่นไหวเบาๆ ของกล้ามเนื้อทั่วร่างเมื่อเปิดปากพูด รวมไปถึงปราณเลือดลมที่แผ่ออกมาข้างนอก รากฐานวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มแห่งนครมังกรเฒ่าผู้นี้ปูมาได้แน่นหนาพอสมควร แต่มีตำหนิค่อนข้างเยอะ ‘ทางเดินม้าลาดตระเวน’ ในช่องโพรงลมปราณที่มีปราณแท้จริงบริสุทธิ์อยู่มากมายดูคล้ายจะไม่กว้างมากพอ และไม่ราบเรียบมากพอ…
เฉินผิงอันรู้สึกตกใจ
เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองสามารถมองขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของคนอื่นได้ด้วย
จนกระทั่งบัดนี้ เฉินผิงอันถึงได้ตระหนักว่าตนเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ของวิถีวรยุทธ์แล้วจริงๆ
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ถือสาอาการเหม่อลอยของเฉินผิงอัน เขากวักมือเรียกเด็กหนุ่มพร้อมคลี่ยิ้ม “รู้อยู่แล้วว่าปิดบังท่านปู่ของเจ้าไม่ได้ แต่ข้าไม่อยากจะตำหนิเจ้าหรอกนะ ของขวัญแสดงความยินดีมีแค่เหล้ากุ้ยฮวาที่ตระกูลฟ่านหมักเองไหเดียวเนี่ยนะ? สุกเอาเผากินไปหน่อยหรือเปล่า? ข้าเป็นคนที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องใหญ่สักเท่าไหร่ แต่กลับพิถีพิถันในเรื่องเล็กๆ เสมอมา เจ้าเอาเหล้าทิ้งไว้แล้วรีบกลับตระกูลฟ่านไปบอกปู่เจ้าว่า คนเราจะขี้เหนียวเกินไปไม่ได้”
เด็กหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดอย่างจนใจว่า “อาจารย์เจิ้ง เป็นเพราะข้าได้ยินท่านปู่พูดถึงเรื่องนี้ เลยแอบขโมยเอาเหล้ามามอบให้ท่าน นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของผู้อาวุโสตระกูลข้า ไม่อย่างนั้นอาจารย์รอให้วันหน้าข้าได้สืบทอดเรือเกาะกุ้ยฮวาลำนั้นก่อน แล้วข้าจะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้ท่านอีกที? เหล้าไหนี้ข้าขโมยมาจากที่บ้าน กลับไปจะให้ท่านปู่ข้ารู้ไม่ได้เด็ดขาดเชียว แต่ข้าจะกลับไปขอของขวัญจากที่บ้านมามอบให้ท่านอาจารย์เดี๋ยวนี้แหละ…”
เด็กหนุ่มวางไหเหล้าลงแล้วก็วิ่งตุปัดตุเป๋จากไป
เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ห้ามปรามเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านที่รีบร้อนจากไป เขาชำเลืองตามามองเฉินผิงอันที่ปราศจากความกระตือรือร้นเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก ในใจคิดว่าเป็นเด็กหนุ่มเหมือนกัน ดูเจ้าเด็กตระกูลฟ่านสิ ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ใจกว้างเปิดเผย พูดง่าย มีแต่ข้อดีเต็มไปหมด แล้วหันมาดูเจ้าเฉินผิงอัน หนี้เก่าแค่ห้าอีแปะ เจ้ากลับจดจำได้นานขนาดนี้ แถมผิวยังไม่ขาว คร่ำครึเคร่งเครียด ทั้งตัวมีแต่ข้อเสีย!
จากคำพูดของเด็กหนุ่ม มากพอจะให้เฉินผิงอันเข้าใจเรื่องวงในได้มากมาย
เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดจากตระกูลฟ่านแห่งนครมังกรเฒ่าที่ลงเดิมพันข้างต้าหลีเหมือนกับตระกูลฝู ตอนนี้กราบเจิ้งต้าเฟิงเป็นอาจารย์ ในอนาคตจะได้ครอบครองเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาลำนั้น
บวกกับคำพูดที่เทพหยินเปิดเผยก่อนหน้านี้ จึงรู้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะทำการค้ากับเจ้านครฝูฉี
เฉินผิงอันโล่งใจได้เล็กน้อย ไม่ว่าบุคคลยิ่งใหญ่เหล่านี้จะมีไส้กี่ขด (เปรียบเปรยถึงแผนการอันสลับซับซ้อน) การที่ครั้งนี้ตนเลือกเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวด้วยเรือข้ามฟากของตระกูลฟ่านก็น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่มากนัก
ในอนาคตนครมังกรเฒ่าจะมีเทพเซียนตีกัน หรือว่ามีกลุ่มปีศาจสร้างความวุ่นวาย ก็เป็นเรื่องที่พวกเขาต้องคิดพิจารณากันเอาเอง เฉินผิงอันแค่ต้องอดทนรออยู่ในร้านยาก่อนไม่กี่วัน จากนั้นค่อยขึ้นเรือข้ามฝากเกาะกุ้ยฮวาลำนั้น เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว ไปหาแม่นางหนิงที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นำกระบี่เล่มที่สะพายอยู่ด้านหลังไปมอบให้นาง…
เจิ้งต้าเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้า เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เจ้าเด็กตระกูลฟ่าน กลับมา เจ้าจะทำหน้าด้านไปขอของขวัญมาแทนข้าจริงๆ หรือนี่?”
อันที่จริงเด็กหนุ่มจะกลับไปพูดอะไรที่บ้าน เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจเลยสักนิด เขาแค่รู้สึกว่าอยู่ในลานบ้านเดียวกับเฉินผิงอันค่อนข้างจะน่าเบื่อ ไม่สู้คว้าเอาตัวเด็กหนุ่มที่ร่าเริงสดใสมาช่วยแก้เหงาจะดีกว่า จะได้ไม่ต้องคอยนั่งจ้องตากับเฉินผิงอัน ประเด็นสำคัญคือเขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าจะทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลไม่ได้ และลึกๆ ในใจยังรู้สึกวูบไหวอยู่เล็กน้อย
เด็กหนุ่มที่เกือบจะวิ่งออกไปนอกตรอกเล็กถูกคนคว้าคอเสื้อด้านหลังกะทันหัน ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง ทำเอาเขาใจหายวาบ นึกว่าเจอนักฆ่า แต่พอได้ยินเสียงของอาจารย์เจิ้งดังขึ้นในหัวใจ เด็กหนุ่มก็หัวเราะหึหึ โบกมือบอกเป็นนัยแก่ข้ารับใช้ขอบเขตโอสถทองของตระกูลผู้นั้นว่าไม่ต้องตื่นเต้น เด็กหนุ่มหมุนตัวกลับวิ่งเร็วๆ กลับไปที่ร้านยาฮุยเฉิน เอ่ยเรียกหญิงสาวทั้งหลายที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันว่าพี่สาวสองสามคำก็เลิกม่านเดินเข้าไปในลานบ้าน มีเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วอ่อนหวานดุจเสียงนกร้องดังไล่หลังเขามา
เด็กหนุ่มชอบบรรยากาศแบบนี้จริงๆ
แน่นอนว่าจอมยุทธ์หญิงและเทพธิดาทั้งหลายในตระกูลฟ่านงดงามมากกว่า มีกลิ่นอายของเซียนมากกว่า แต่เด็กหนุ่มรู้มานานแล้วว่า รอยยิ้มของพวกนางที่มอบให้ตนไม่เหมือนกับรอยยิ้มของพี่สาวพวกนี้
ฝ่ายหนึ่งยิ้มให้เจ้าประมุขตระกูลฟ่านในอนาคต อีกฝ่ายหนึ่งยิ้มให้เด็กหนุ่มที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน
เด็กหนุ่มไม่ได้มีอคติกับฝ่ายแรก แต่ชอบฝ่ายหลังมากกว่า
เฉินผิงอันยกม้านั่งมาให้เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มรีบเดินเร็วๆ ไปรับไว้ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะ”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มตอบ “ไม่ต้องเกรงใจ”
จากนั้นเด็กหนุ่มที่หิ้วม้านั่งก็หันมามองเจิ้งต้าเฟิง “อาจารย์ ข้าควรจะนั่งตรงไหน?”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ เอ่ยสัพยอก “ไปนั่งตรงม่านไม้ไผ่ที่หน้าประตู ช่วยดูต้นทางให้หน่อย”
“ตกลง”
เด็กหนุ่มวิ่งไปที่หน้าประตูอย่างร่าเริง อีกทั้งยังนั่งด้วยท่าที่สำรวมอีกด้วย เอวของเขายืดตรง อกผึ่งผาย ตาและจมูกหลุบลงจ้องหัวใจ มือสองข้างวางทาบกันไว้บนหัวเข่า แม้ว่าเด็กหนุ่มจะพยายามวางท่าให้เคร่งขรึมจริงจัง แต่รอยยิ้มก็ยังผุดขึ้นในดวงตาทั้งคู่อย่างห้ามไม่ได้ ดวงตาของเขาใสกระจ่างดุจธารน้ำที่ไหลริน เวลาอารมณ์ดีดวงตาก็เหมือนพูดได้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็เช่นกัน ไม่ใช่ดวงตาประเภทที่เป็นดั่งบ่อน้ำลึก ไม่มีมาดของผู้สูงศักดิ์พูดช้าอะไรทั้งนั้น
ทันใดนั้นเฉินผิงอันก็รู้สึกอิจฉาเด็กหนุ่มคนนี้
บนร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้มาครอบครอง
ตอนนั้นซิ่วไฉ่เฒ่าเหวินเซิ่งที่ดื่มเหล้าเมามายถูกเขาแบกไว้บนหลัง ตบไหล่เขาแรงๆ แล้วพูดกับเขาว่า บนไหล่ของเด็กหนุ่มควรแบกกิ่งหลิวกิ่งหยางและทัศนียภาพปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ต้องคิดถึงบุญคุณความแค้นของครอบครัวของบ้านเมือง หรือบทความคุณธรรมอะไรทั้งนั้น
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่หน้าประตูก็คือคนแบบนี้
เฉินผิงอันทำไม่ได้
ดูเหมือนว่าเจิ้งต้าเฟิงจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ผิดปกติของเฉินผิงอัน แม้จะไม่รู้ความคิดที่แน่ชัดของเขา แต่ชายฉกรรจ์คิดแล้วก็ยิ้ม โยนเหล้าหมักกุ้ยฮวาไหนั้นกลับไปให้เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านยิ้มๆ
เด็กหนุ่มยิ้มเจิดจ้า “อาจารย์เจิ้ง ข้ากล้าดื่มแค่คำเดียวนะ”
เฉินผิงอันชูน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ขึ้นสูง ยิ้มตามไปด้วย “มาดื่มด้วยกัน”
เด็กหนุ่มคนนั้นอึ้งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นคำนี้ข้าจะดื่มให้มากหน่อย! อ้อ ใช่แล้ว ข้าชื่อฟ่านเอ้อร์ ไม่ใช่ชื่อเล่นนะ ชื่อฟ่านเอ้อร์จริงๆ เพราะก่อนหน้าข้ามีพี่สาวคนหนึ่ง ชื่อว่าฟ่านจวิ้นเม่า ดังนั้นข้าจึงชื่อฟ่านเอ้อร์…เอาเถอะ อันที่จริงไม่ว่าข้าจะมีพี่สาวหรือไม่ พ่อแม่ข้าตั้งชื่อนี้ให้ข้า ทำให้ข้าเสียใจยิ่งนัก (เอ้อร์ นอกจากแปลว่าสอง หรือลำดับรองแล้ว ยังแปลว่าโง่ได้อีกด้วย) เจ้าล่ะ บอกชื่อได้ไหม?”
เด็กหนุ่มดื่มเหล้าอึกใหญ่ ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไอสำลักติดๆ กัน ดูท่าชื่อนี้จะทำให้เขาเสียใจจริงๆ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าแล้วก็ยิ้มตอบว่า “ข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย”
บทที่ 258.1 ยอดบนสุดของเกาะกุ้ยฮวา
โดย
ProjectZyphon
เรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านลำนั้นจะออกเดินทางในอีกหกวันให้หลัง ส่วนเต่าทะเลภูเขาของตระกูลซุนได้ออกเดินทางไปก่อนแล้ว เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะเห็นรูปร่างของเต่าทะเลภูเขาด้วยตัวเองสักครั้ง แต่พอคิดถึงว่าช่วงนี้มีคนมากมายมารวมตัวกันอยู่ในนครมังกรเฒ่า อีกทั้งเจิ้งต้าเฟิงยังเพิ่งฝ่าทะลุขอบเขต สร้างความครึกโครมใหญ่เทียมฟ้า จึงบอกกับตนว่าอย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่น กลืนใจแห่งความสงสัยใคร่รู้นี้ไปพร้อมกับเหล้าซะ
สองวันถัดมา เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านยังคงมาที่ร้านยาฮุยเฉินทุกวัน และจะต้องถือเหล้าหมักกุ้ยฮวามาขอวิชาความรู้จากเจิ้งต้าเฟิง แม้ว่าเจิ้งต้าเฟิงจะเป็นคนที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังนัก แต่เวลาพูดถึงเรื่องวิถีวรยุทธ์กลับเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ถึงแม้ถ้อยคำที่ใช้จะมีลูกไม้ชั้นเชิงเยอะไปบ้าง แต่เฉินผิงอันที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ กลับรู้สึกว่ามีประโยชน์ต่อการฝ่าทะลุขอบเขตวิถีวรยุทธ์ของเด็กหนุ่มตระกูลฟ่านเวลานี้มาก บอกว่าเป็นคำชี้แนะที่ล้ำเลิศซึ่งมีค่าดุจทองดุจหยกก็ไม่มากเกินไป เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่เจิ้งต้าเฟิงอธิบายไม่มีประโยชน์อะไรต่อเฉินผิงอัน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าทำให้ในใจเฉินผิงอันเกิดข้อสงสัยอีกต่างหาก
เจิ้งต้าเฟิงไม่ถือสาที่เฉินผิงอันมาร่วมรับฟังความรู้เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เกี่ยวข้องกับคอขวดของขอบเขตสาม เขาถึงขั้นอยากให้เฉินผิงอันรู้สึกคันยิบๆ ในใจจนอดไม่ไหวกระโดดออกมาถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้เด็กหนุ่มตระกูลฟ่านด้วยซ้ำ ถึงเวลานั้นก็สบายเขาเลยล่ะ ตนจะได้วิ่งไปที่ร้านด้านหน้า ช่วยคลายเหงาให้กับพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย น่าเสียดายก็แต่เฉินผิงอันแค่ฟังโดยไม่เอ่ยอะไร เขาแสร้งทำเป็นโง่งม ราวกับไม่ภาคภูมิใจในวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสี่ของตัวเองแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้เจิ้งต้าเฟิงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม ดูเอาสิ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าหลวงจีนเข้าฌาน ยิ่งกว่านักพรตเต๋าที่นั่งลืมตนแบบนี้ จะทำให้เขาเจิ้งต้าเฟิงผู้มีเสน่ห์ รักอิสระเสรีชื่นชอบได้อย่างไรไหว?
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันถือเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาเกินครึ่งตัว หากไม่เป็นเพราะได้ดื่มเหล้าหมักกุ้ยฮวาหนึ่งไหทุกวัน เจิ้งต้าเฟิงก็คงให้เฉินผิงอันม้วนเสื่อหอบผ้าหอบผ่อนไสหัวออกไปจากร้านยาที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาแห่งนี้นานแล้ว ย้ายไปเป็นแขกผู้มีเกียรติที่ตระกูลฟ่านซะ จะห่มหนังพยัคฆ์วางอำนาจบารมีอยู่ที่นั่นอย่างไรก็ตามใจเจ้า
วันนี้พอฟ่านเอ้อร์ได้ฟังคำอธิบายไขข้อข้องใจจากเจิ้งต้าเฟิงจบ ชายฉกรรจ์ก็รีบเผ่นไปหยอกเย้าเล่นสนุกกับพวกหญิงสาวที่ร้าน เด็กหนุ่มจึงหันมาพูดคุยกับเฉินผิงอันแทน คนวัยเดียวกันสองคนนั่งรับลมเย็นๆ อยู่ใต้ชายคา
เมื่อเทียบกับซุนเจียซู่ที่รับภาระสำคัญเป็นประมุขของตระกูลแล้ว คำพูดและการกระทำทุกอย่างของซุนเจียซู่รอบคอบรัดกุม ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมวสันตฤดู เด็กหนุ่มฟ่านเอ้อร์กลับอ่อนเดียงสากว่ามาก แต่ก็ไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่ไม่รู้ความทุกข์ยากในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดเสียเลย เด็กหนุ่มฉลาดเฉลียว เปิดกว้างร่าเริง อีกทั้งยังได้รับการอบรมสั่งสอนจากตระกูลมาเป็นอย่างดี มีความเป็นไปได้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นคนใจใหญ่ ดูได้จากชื่อที่ตั้งให้เขา
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มพูดถึงฟ่านจวิ้นเม่าพี่สาวของตัวเอง น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส ต้องรู้ว่าเขากับพี่สาวมีพ่อเดียวกัน แต่คนละแม่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาเกิดมาในตระกูลของผู้สูงศักดิ์ร่ำรวย แต่ฟ่านเอ้อร์กลับยังสนิทสนมกับ ‘แม่ใหญ่’ สตรีที่เป็นประมุขหญิงของตระกูลอย่างมาก มักจะพูดว่ามารดาแท้ๆ ของตนตามใจเขาจนเหลิงเกินไป เป็นเรื่องดีก็จริง แต่น่ากังวลว่าตนจะไม่โตเป็นผู้ใหญ่เสียที แม่ใหญ่รักและเอ็นดูตนมาก แต่ก็เข้มงวดเรื่องกฎระเบียบ แบ่งแยกถูกผิดชัดเจน การเรียนมีความก้าวหน้า ฝึกวรยุทธ์ประสบความสำเร็จ ปฏิบัติต่อคนอื่นวางตัวเข้าสังคมได้ดี แม่ใหญ่จะต้องมีรางวัลให้แล้วบอกว่าทำดีตรงไหน แต่หากทำผิดพลาด แม่ใหญ่ก็จะปฏิบัติต่อตนเหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง จะไม่ตวาดสั่งสอนดุด่า แต่จะอธิบายกับเขาอย่างใจเย็น ดังนั้นฟ่านเอ้อร์จึงเคารพรักแม่ใหญ่ผู้นี้จากใจจริง
ฟ่านเอ้อร์ยินดีเล่าเรื่องความทุกข์ความสุขของวัยเด็กหนุ่มกับเฉินผิงอันจากต้าหลีที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน
เฉินผิงอันรับฟังคำบอกเล่าของฟ่านเอ้อร์อยู่เงียบๆ อย่างตั้งใจ ตอนแรกฟ่านเอ้อร์ยังเป็นกังวลว่าเฉินผิงอันจะรำคาญ ภายหลังเห็นว่าเฉินผิงอันชอบฟังจริงๆ ฟ่านเอ้อร์ก็อดที่จะดื่มเหล้าเพิ่มอีกหลายคำไม่ได้
ภายหลังเฉินผิงอันเองก็เล่าเรื่องมากมายของหลงเฉวียนบ้านเกิดให้ฟ่านเอ้อร์ฟัง เล่าเรื่องตอนที่เขาเป็นช่างปั้นเครื่องปั้น เล่าเรื่องเวลาขึ้นเขาลงห้วย
คำถามที่ฟ่านเอ้อร์เอ่ยถามหลังจากฟังจบมักจะเติมไปด้วยจินตนาการบรรเจิดเสมอ “เฉินผิงอันเจ้าต้องกินดินด้วยหรือ? อร่อยเหมือนข้าวไหม? ช่างเถอะ ขอแค่ให้อิ่มท้องได้ก็พอแล้ว! เจ้าสอนข้าหน่อยสิว่าดินแบบไหนถึงจะอร่อย วันหน้าเวลาข้าถูกลงโทษให้อดอาหาร ระหว่างที่เดินไปห้องบรรพชนจะได้กำดินไปด้วยกำใหญ่ๆ!”
“เจ้าสามารถเผาเครื่องเคลือบชิ้นหนึ่งด้วยฝีมือตัวเองคนเดียวได้? เฉินผิงอัน วันหน้าเมื่อข้าเข้าพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เจ้าต้องมอบเครื่องปั้นให้ข้าชิ้นหนึ่งนะ แค่ของเล็กๆ อย่างจอกชาจอกเหล้าก็พอแล้ว ไม่ต้องพิถีพิถันมากนัก แค่มีรูปร่างหยาบๆ ที่พอให้คนมองออกว่าเป็นอะไรก็พอ ข้าจะได้เอาไปโอ้อวดให้คนอื่นดู บอกว่าเพื่อนข้าเป็นคนทำเอง พวกเขาต้องอึ้งงัน อิจฉาข้าแทบตายแน่ๆ”
“เพดานฟ้า (เพดานที่เปิดอ้าจนมองเห็นท้องฟ้า) คืออะไร? เวลาฝนตกหิมะตกจะทำอย่างไร? แล้วข้างในบ่อน้ำที่อยู่ตรงกับเพดานฟ้าสามารถเลี้ยงปลา เต่า กุ้ง ปูได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบคำถามฟ่านเอ้อร์ไปทีละข้อ สุดท้ายยิ้มพูดด้วยประโยคที่ทำให้ฟ่านเอ้อร์ดีใจมากที่สุด “ข้ามีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อหลิวเสี้ยนหยาง ตอนนี้เขาได้ดิบได้ดีแล้วล่ะ เดินทางไกลไปอยู่ทักษินาตยทวีปเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นวางกับดักหรือทำธนู เขาก็ล้วนเป็นคนสอนข้า วันหน้าจะแนะนำให้พวกเจ้าสองคนได้รู้จักกัน”
ฟ่านเอ้อร์พยักหน้ารับรัวๆ เป็นไก่จิกเมล็ดข้าวสาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวังรอคอย
เขาเริ่มคิดคำนวณแล้วว่า หากในอนาคตมีวันหนึ่งเฉินผิงอันพาหลิวเสี้ยนหยางมาเป็นแขกที่บ้าน ควรจะจัดหาที่พักอย่างไรให้พวกเขา แต่ละวันจะดื่มเหล้าอะไร กินอาหารอะไร ไปเที่ยวเล่นที่ไหนในนครมังกรเฒ่าบ้าง…
หลังจากนั้นมีวันหนึ่งที่ฟ่านเอ้อร์ไม่ได้มาร้านยาฮุยเฉิน
ยามสนธยาของวันนี้ ร้านยาปิดกิจการแต่หัววัน เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงกินอาหารเต็มโต๊ะที่สตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งทำไว้ให้ในห้องหลักของเรือนด้านหลัง เจิ้งต้าเฟิงอยากจะอาศัยความหล่อเหลาของตัวเองล่อลวงไม่ให้พี่สาวคนนั้นคิดเงิน จะได้มีหน้ามีตาต่อหน้าเฉินผิงอัน คาดไม่ถึงว่าสตรีแต่งงานแล้วจะไม่ไว้หน้า พูดจาอย่างเด็ดเดี่ยวว่าห้ามขาดแม้แต่อีแปะเดียว
เจิ้งต้าเฟิงมือหนึ่งถือตะเกียบ อีกมือหนึ่งถือถ้วย ทั้งกินข้าวทั้งดื่มเหล้าพร้อมกันสองอย่างไม่มีขาด เอ่ยถามชวนคุย “เจ้าคุยอะไรกับเจ้าเด็กตระกูลฟ่านทั้งวันไม่จบไม่สิ้น สนุกหรือไง?”
เฉินผิงอันเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดแล้วกลืนลงท้อง วางตะเกียบลง “สนุกสิ”
เจิ้งต้าเฟิงพ่นลมออกจมูก แต่สุดท้ายก็ยังอดไม่ไหวเปิดปากพูดว่า “ข้าเพิ่งออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูมาได้ไม่กี่วัน เจ้าก็งมสมบัติได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ? ได้มายังไง ไหนเล่าให้ฟังหน่อยสิ? เหยียบโชคขี้หมาเดินมาตลอดทางจนถึงที่นี่เลยใช่ไหม?”
เฉินผิงอันโต้กลับ “ข้าไม่สนิทกับเจ้า”
เจิ้งต้าเฟิงชำเลืองตามามอง “แล้วสนิทกับฟ่านเอ้อร์รึ?”
เฉินผิงอันตอบ “สนิทกว่าเจ้าแล้วกัน”
เจิ้งต้าเฟิงแยกเขี้ยว “ท่านผู้เฒ่ายินดีขายสืออู่ที่เก็บรักษาไว้มานานให้กับเจ้า นับว่าดีต่อเจ้าไม่น้อยเลยจริงๆ”
คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป
ในเมื่อเป็นฝ่ายเปิดปากพูดก่อนแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็ไม่คิดจะรักษาหน้าตาอะไรอีก เขาถามอีกว่า “แยกเดินทางใครทางมันกับเจ้าคนฉลาดซุนเจียซู่ผู้นั้นแล้วรึ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
เจิ้งต้าเฟิงเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าซุนจื่อผู้นี้มีเงินมาก ไม่คิดจะกู้คืนความสัมพันธ์หน่อยรึ? เป็นเพื่อนกับเขา ต่อให้เป็นแค่เพื่อนกิน วันหน้าเมื่อมาเยือนนครมังกรเฒ่า รับรองเจ้าว่าไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องกินดื่ม”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ปล่อยให้เป็นแบบนั้นไปนั่นแหละ”
ลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินผิงอันก็เอ่ยเสริมขึ้นอีกว่า “ซุนเจียซู่ไม่ใช่คนเลวร้าย ก็แค่ไม่มีคุณธรรมในบางเรื่องเท่านั้น หากข้าเป็นพ่อค้าคงไม่กล้าทำการค้าใหญ่กับเขา เพราะคนอย่างเขา ไม่ว่าจะกับใครก็ล้วนมีการประเมินราคา ตั้งมูลค่าไว้เสมอ เวลาไหนควรทำการค้าอะไร ซุนเจียซู่ล้วนรู้ชัดเจนดี ต่อให้ความสัมพันธ์จะดีหรือสนิทสนมกันมากแค่ไหน หากถึงท้ายที่สุดแล้วก็เป็นแค่การค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น ใครจะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ขายคนแลกกับเงิน? ข้าอาจจะมองเขาผิด เข้าใจเขาผิด แต่ไม่ว่าซุนเจียซู่จะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับข้าแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงพูดยิ้มๆ “เขาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าคิด และแน่นอนว่าไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าคิดด้วย วันหน้าคนผู้นี้จะร้ายกาจมาก วันนี้เจ้าพลาดเขาไป เป็นทั้งความสูญเสียของเขาซุนเจียซู่ แล้วก็เป็นความสูญเสียของเจ้าด้วย ถ้าเจ้าไม่เชื่อ พวกเราก็มาคอยดูกัน”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าหมายถึงความสูญเสียด้านเงินทอง?”
เจิ้งต้าเฟิงยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งตัวยาว “แล้วจะมีเรื่องไหนอีกล่ะ? คนใต้หล้ามาเบียดเสียดอยู่ด้วยกันเพื่ออะไร? ชื่อเสียง ไม่ใช่เรื่องของเงิน? ฝึกตน ไม่ต้องใช้เงินหรือ? ทุกอย่างล้วนใช้เงินทั้งนั้น”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ถ้าเป็นแค่เรื่องของเงินก็ยิ่งไม่ต้องคิดมากเลย”
เจิ้งต้าเฟิงเข้าใจความหมายในคำพูดของเฉินผิงอัน ตัดใจจากเงินไม่ได้ แต่ก็ตัดอาลัยจากเงินได้ง่ายที่สุด มองดูเหมือนขัดแย้งกันเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ได้ขัดแย้ง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เส้นทางสายใหญ่ใต้ฝ่าเท้าของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ฝึกตน ล้วนสำคัญที่ความสมดุลระหว่างสองเท้าทั้งสิ้น ขอแค่ทำได้ถึงจุดนี้ ต่อให้กระโดดไปข้างหน้าก็สามารถเดินขึ้นไปถึงบนยอดเขาได้เหมือนกัน
เคยเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา แต่แล้วต้องแยกทางกันเดิน ใช่จะแบ่งได้เสมอไปว่าระหว่างเฉินผิงอันกับซุนเจียซู่ใครสูงใครต่ำ ใครดีใครร้ายกว่ากัน ก็แค่เดินไปบนเส้นทางที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับนิสัยจิตใจของเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ เจิ้งต้าเฟิงมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ก็แค่ของสิ่งเดียวกัน สำหรับคนหนึ่งเป็นดั่งสารหนู กับอีกคนหนึ่งเป็นดั่งน้ำตาลหวานเท่านั้น หลี่เอ้อร์ชอบ เขาไม่ชอบ แต่ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ เพราะเขาจำต้องยอมรับว่า การที่เฉินผิงอันเดินทีละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ย่อมต้องมีเหตุผลหลักการเป็นของตัวเอง อีกอย่างใต้หล้านี้จะมีคนสักกี่คนที่สามารถเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของเขาเจิ้งต้าเฟิงได้?
ท่านผู้เฒ่าเป็นได้ แต่ไม่เต็มใจจะเป็น แค่ยอมรับในความสัมพันธ์ฉันท์อาจารย์และศิษย์เท่านั้น ด้วยไม่อยากใคร่ครวญเสียเวลาอยู่กับคำว่ามรรคา
ส่วนเฉินผิงอันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเต็มใจ ทว่าความบังเอิญในโลกก็น่าสนใจอย่างนี้นี่แหละ
เจิ้งต้าเฟิงอดนึกถึงภาพเหตุการณ์บางอย่างที่ลึกล้ำกว่าเดิมขึ้นมาไม่ได้ บางเหตุการณ์อยู่ใกล้จนมองเห็นได้กับตาของตัวเอง บางเหตุการณ์ยังอยู่ห่างไปไกล ชายฉกรรจ์พลันเกียจคร้านหมดความสนใจ จึงตัดสินใจหยุดบทสนทนาที่ไม่มีรสชาติ สู้อาหารบนโต๊ะนี้ก็ยังไม่ได้โดยการเอ่ยว่า “เงินห้าอีแปะที่ติดเจ้าไว้ ข้าจะต้องคืนให้เจ้าก่อนเจ้าจะขึ้นเรือเกาะกุ้ยฮวา และจะคืนให้อย่างยุติธรรม คิดรวมบัญชีไปพร้อมกับการฝ่าทะลุขอบเขตของข้าในครั้งนี้ด้วย ในเมื่อท่านผู้เฒ่าไม่ได้พูดถึงเรื่องผู้ปกป้องมรรคาอย่างชัดเจน อีกทั้งข้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองคือผู้ปกป้องมรรคาของเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคิดว่าไม่มีเรื่องนี้อยู่ อย่างน้อยกับเจ้าเฉินผิงอันก็เป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันไม่มีความคิดเห็นที่แตกต่างจึงพยักหน้ารับ
เจิ้งต้าเฟิงหยิบกระบอกยาสูบโบราณขึ้นมา เริ่มพ่นควันโขมง พอสูบยานานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน รู้สึกว่าไม่เลวเหมือนกัน มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้ชอบสูบมันนัก
สายตาของเจิ้งต้าเฟิงฉายความเลื่อนลอย
ตอนนั้นที่ฝ่าทะลุทะเลเมฆ อีกนิดเดียวเจิ้งต้าเฟิงก็เกือบจะมีวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ฝ่าทะลุสองขอบเขตได้ในวันเดียว แต่ทว่าเจิ้งต้าเฟิงได้เห็นภาพเหตุการณ์หนึ่งเหนือทะเลเมฆเสียก่อน
ทำให้เขาล้มเลิกความคิดนั้น
ระหว่างขอบเขตเก้าและสิบของผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัว จำเป็นต้องชนประตูสวรรค์ ประตูสวรรค์จากธรรมชาติที่มองเห็นได้ นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เจิ้งต้าเฟิงเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุดว่า ประตูสวรรค์ที่ตัวเองมองเห็นต้องไม่เหมือนกับของผู้อาวุโสด้านวรยุทธ์ทุกคนที่ได้เลื่อนขอบเขตสิบไปก่อนแล้วอย่างแน่นอน
ประตูสวรรค์นั้นปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ
เพียงแต่ว่าไม่ได้มีแค่ประตูสวรรค์ก็เท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น