กระบี่จงมา 256.1-256.2

 บทที่ 256.1 ผู้ถ่ายทอดมรรคาถ่ายทอดคำสั่งสอน

โดย

ProjectZyphon

คืนนี้เดิมทีซุนเจียซู่ควรจะไปเชิญบุคคลยิ่งใหญ่บางคนของทวีปทางตะวันออกเฉียงใต้มาร่วมงานเลี้ยง ทว่าเจ้าประมุขหนุ่มเกิดตัดสินใจกะทันหัน บอกให้ตระกูลซุนที่อยู่เมืองในเลื่อนงานเลี้ยงครั้งนี้ออกไปก่อน แม้ว่าจะไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ถึงขนาดทำให้พ่อบ้านที่ดูแลจวนทางฝั่งนั้นเสนอความเห็นคัดค้านอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่ซุนเจียซู่กลับไม่มีคำอธิบายใดๆ เขาที่อยู่ในห้องหนังสือตัดขาดการเชื่อมโยงระหว่างบ้านบรรพบุรุษกับจวนตระกูลซุน จากนั้นก็ไปที่ศาลบรรพชนซึ่งอยู่ในเรือนด้านหลัง


พ่อบ้านของทางฝั่งนั้นรู้สึกทำอะไรไม่ถูก บุรพาจารย์ก่อกำเนิดของตระกูลซุนไม่อยากให้จวนตระกูลซุนต้องเจอกับเรื่องลำบากใจ ผู้เฒ่าที่ไม่เคยปรากฏตัวในจวนตระกูลซุนเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีมาแล้วเดินทางไปสั่งงานพ่อบ้านของทางฝั่งนั้นด้วยตัวเอง คนทั้งจวนตระกูลซุนถึงจะพอสงบใจลงได้บ้าง


ซุนเจียซู่ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเรียบร้อยยืนอยู่ในศาลบรรพชนเพียงลำพัง หลังจากจุดธูปกราบไหว้ป้ายบรรพชนเสร็จก็ยืนเงียบๆ คล้ายกำลังหันหน้าเข้าผนังใช้ความคิดใคร่ครวญ


ในศาลบรรพชนนอกจากป้ายวิญญาณแล้ว ยังแขวนภาพเหมือนของอดีตประมุขตระกูลซุนแต่ละรุ่นในประวัติศาสตร์ที่ล่วงลับไปแล้ว คนส่วนใหญ่ล้วนสวมใส่อาภรณ์เรียบง่ายไม่สะดุดตาเหมือนกับที่ซุนเจียซู่สวมอยู่ในเวลานี้ ตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูลซุนรุ่นนี้ถือเป็นการสืบทอดข้ามรุ่นโดยส่งต่อจากปู่มายังหลาน หลังจากที่ปู่ของซุนเจียซู่ลงจากตำแหน่งเจ้าประมุขก็เดินทางไปท่องเที่ยวที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ปีนั้นซุนเจียซู่สืบทอดกิจการยิ่งใหญ่ของตระกูลทั้งที่มีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้จึงเรียกได้ว่าจะหวานหรือขม ซุนเจียซู่ก็ล้วนรับรู้มาด้วยตัวเองทั้งหมด


ซุนเจียซู่มองภาพวาดเหล่านั้น บางคนช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ในขณะที่ตระกูลตกอยู่ในอันตรายล่อแหลม บางคนบุกเบิกเส้นทางการค้าสายใหม่ บางคนช่วยผูกมิตรสานสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนให้กับตระกูล บางคนว่างงานไม่มีอะไรทำชั่วชีวิต จนลูกหลานที่อยู่ในนครมังกรเฒ่าไม่มีหน้าไปพบผู้คน บางคนตัดสินใจผิดพลาดเดือดร้อนให้ตระกูลซุนต้องสูญเสียที่ดินในเมืองนอก กิจการของบรรพบุรุษถูกฮุบกลืนอย่างต่อเนื่อง บางคนเลือกเดินทางที่แตกต่าง มุมานะฝึกตนจนอำนาจของตระกูลตกไปอยู่ในมือของญาติวงนอก…


ซุนเจียซู่อยากรู้มากว่าในอนาคตเมื่อภาพของตนถูกแขวนไว้ที่นี่ ลูกหลานรุ่นหลังจะมองตนอย่างไร มองเขาเป็นบรรพบุรุษผู้นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ตระกูล มองเขาเป็นตัวการที่ฝังต้นตอแห่งความพินาศให้กับตระกูล หรือมองเขาเป็นคนโง่ที่พลาดโอกาสอันดีซึ่งพันปีจะพานพบสักครั้ง?


ม่านราตรีสีมืดดำ บรรพบุรุษก่อกำเนิดคนนั้นเดินเข้ามาในศาลบรรพชนช้าๆ เงียบอยู่นาน สุดท้ายก็พูดปลอบใจขึ้นมาว่า “เรื่องเดียวไม่ทำซ้ำเกินสามครั้ง เจ้าเลือกที่จะเชื่อเด็กหนุ่มคนนั้น เดิมพันเป็นครั้งที่สี่ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แพ้ในครั้งที่ห้าจึงไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดเสียใจ อันที่จริงการที่ผู้รับใช้ขอบเขตโอสถทองซึ่งมีหวังว่าจะเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นยอมเดิมพันกับเจ้าเป็นครั้งที่สี่ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะเลือกอยู่ในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนต่ออยู่แล้ว หาใช่ถูกตระกูลฝูซื้อตัวไปได้สำเร็จไม่”


ซุนเจียซู่ไม่ได้หันกลับมา ยังคงเงยหน้าจ้องนิ่งไปยังภาพวาดทั้งหลาย แต่พยักหน้ารับ “ข้อนี้ข้าคิดได้แล้ว จึงไม่ได้กลายเป็นปมในใจ ตอนที่ลงเดิมพันกับเรื่องนี้ เรื่องราวไม่ได้เปลี่ยนมาเป็นดีกว่าเดิม แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแย่กว่าเดิม ข้ายอมรับผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ถอยไปพูดอีกหนึ่งก้าว ตระกูลซุนของเรายังไม่ถึงขั้นที่ว่าขาดว่าที่ขอบเขตก่อกำเนิดไปคนหนึ่งแล้วจะเป็นจะตายให้ได้”


บรรพบุรุษตระกูลซุนขยับปากจะพูดแต่ก็ไม่พูด เรื่องนี้เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของซุนเจียซู่ ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถถามได้ส่งเดช นี่ก็เหมือนกับผู้รับใช้ของตระกูลทั้งสามท่านที่ไม่ว่าจะสนิทสนมกับซุนเจียซู่มากแค่ไหน ต่อให้จะอยากรู้ขอบเขตและตบะของเด็กหนุ่มคนนั้นมากเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเปิดปากถามก่อนเด็ดขาด ทำเพียงแค่คาดเดาให้เป็นเรื่องสนุกเท่านั้น


ซุนเจียซู่แบฝ่ามือข้างหนึ่ง “ความสัมพันธ์ของข้ากับเฉินผิงอัน ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการทำธุรกิจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นหลิวป้าเฉียวเป็นเพื่อน แต่เฉินผิงอันคนนี้ประหลาดมากเกินไป ข้าอดที่จะวางเดิมพันก้อนใหญ่บนร่างของเขาไม่ไหว ช่วยไม่ได้ ข้าซุนเจียซู่เป็นพ่อค้า เป็นประมุขของตระกูลซุน ที่แท้รู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี”


ซุนเจียซู่หันตัวกลับมา ชูมือข้างนั้นขึ้น “จนกระทั่งเฉินผิงอันต่อยให้มังกรทองจากแสงอรุณกลับขึ้นฟ้าไปเป็นครั้งที่สอง จนกระทั่งตระกูลฝูหยุดอยู่เฉยรอจังหวะโจมตี ทำให้แผนการทั้งหมดของข้าว่างเปล่า กลับเป็นฝ่ายที่ถูกทำร้ายเสียเอง ข้าถึงได้รู้ว่าการเสี่ยงดวงเพื่อหวังลาภลอยนี้เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ เป็นเหตุให้ข้าต้องมองตัวเองสูญเสีย…นครมังกรเฒ่าทั้งแห่งไปคาตา”


ต่อให้เป็นบุรพาจารย์ก่อกำเนิดที่คนในโลกขนานนามว่าเซียนพสุธาก็ยังมองไม่ออกถึงความผิดปกติบนมือข้างนั้นของชายหนุ่ม


แต่ผู้เฒ่าแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่า สิ่งที่ซุนเจียซู่มองเห็นคือความจริงในท้ายที่สุด


สีหน้าของซุนเจียซู่โศกเศร้า “หากขาดแค่เฉินผิงอันที่เดิมทีก็ไม่ใช่สหายไปคนหนึ่ง หรือสูญเสียนครมังกรเฒ่าแห่งหนึ่ง ถูกต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังต้องกลืนมันลงคอไปพร้อมกับเลือด (เปรียบเปรยว่าต่อให้เสียเปรียบก็จะไม่ยอมให้คนอื่นมารับรู้ด้วย) อันที่จริงข้าซุนเจียซู่ก็ยังทนได้! เงินหมดไป ยังหามาได้ใหม่ ความสามารถในการหาเงิน ข้าซุนเจียซู่ไม่ด้อยไปกว่าใครแน่นอน!”


ผู้เฒ่าได้แต่รอฟังประโยคถัดไปเงียบๆ


ซุนเจียซู่หุบฝ่ามือ กำเป็นหมัดแน่น พูดเสียงสั่น “แต่เมื่อผ่านอุปสรรคในครั้งนี้ ข้าถึงได้ค้นพบว่าเดิมทีวิถีแห่งการหาเงินของตัวข้านั้นคือยืนหยัดเชื่อมั่นในความถูกต้องเที่ยงตรง เพราะนี่คือมหามรรคาของสำนักการค้าอย่างไม่ต้องสงสัย สอดคล้องกับคำสั่งสอนของบรรพบุรุษที่บอกว่าต้องเปิดเผยตรงไปตรงมา ถึงจะยั่งยืนยาวนานมากที่สุด แต่ข้ากลับต้องมาถูกเฉินผิงอันที่รู้จักกันไม่ถึงหนึ่งเดือนพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ควรหาทรัพย์ด้วยวิธีลัด คำสั่งสอนที่บรรพบุรุษสำนักการค้าทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลังว่า ลาภจากความเสี่ยงเหมือนสายน้ำ มาเร็วก็ไปเร็ว รุ่งโรจน์ว่องไว แต่ก็ล่มสลายรวดเร็วดุจเดียวกัน คือความจริง!”


 ซุนเจียซู่หันกลับไป ไม่ให้บุรพาจารย์เห็นใบหน้าของเขา


เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย ราวกับว่าไม่อยากให้เหล่าบรรพบุรุษเห็นสีหน้าของเขาเช่นกัน


ผู้เฒ่าขอบเขตก่อกำเนิดเดินช้าๆ มาหยุดอยู่ข้างกายซุนเจียซู่ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะหมดอาลัยตายอยาก ไม่คิดจะทำอะไรไปทั้งอย่างนี้น่ะหรือ?”


ซุนเจียซู่วางสองมือไว้ที่ริมฝีปากแล้วเป่าลมใส่เบาๆ “อยู่ดีๆ ตระกูลฝูก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ล่วงเกินไปหมดทุกคนก็มีแต่ข้าซุนเจียซู่ ซ้ำร้ายตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจด้วยว่าเฉินผิงอันเห็นข้าเป็นคนอย่างไร แล้วตัวเขาเองล่ะเป็นคนอย่างไร นี่ต่างหากถึงจะเป็นปมของปัญหา”


ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “เฉินผิงอันคิดอย่างไรกับเจ้า บอกได้ยาก แต่นิสัยของเขา เจ้ายังไม่แน่ใจอีกหรือ?”


ซุนเจียซู่กล่าวอย่างจนใจ “ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกว่าเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้ว ดังนั้นต่อให้หลังจบเรื่องเขาจะรู้ความจริง อะไรที่ตระกูลซุนได้รับ เขาเฉินผิงอันก็จะไม่น้อยหน้าสักส่วนเดียว สุดท้ายวันหน้าก็แค่กลายเป็นคนแปลกหน้า ไม่กลับมาคบค้าสมาคมกันอีกก็เท่านั้น แต่ตอนนี้พูดยากแล้ว ข้าไม่แน่ใจว่าเฉินผิงอันจะปฏิบัติต่อคนอื่นเหมือนกับที่ปฏิบัติต่อตัวเองหรือไม่”


ผู้เฒ่าตบไหล่ซุนเจียซู่ “เจียซู่ เจ้าฉลาดมาก แถมยังมีพรสวรรค์ เป็นเจ้าประมุขตระกูลซุนได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ต่อให้ตอนนี้จะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ แต่ข้าก็ยังคิดแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ข้าจะไม่ใช้สถานะของบรรพบุรุษออกคำสั่งแก่ประมุขตระกูล แต่จะพูดกับเจ้าดั่งที่ผู้ใหญ่ควรให้คำแนะนำแก่ผู้น้อย โยนแผนการทั้งหลาย โยนเกียรติยศของวงศ์ตระกูล รวมไปถึงสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปทิ้งไป สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นซุนเจียซู่ เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของหลิวป้าเฉียว ส่วนเฉินผิงอันก็เป็นเพื่อนที่หลิวป้าเฉียวแนะนำให้เจ้า ไม่สู้เจ้าลองนำวิถีแห่งมิตรที่เรียบง่ายที่สุดไปใช้คบหากับเขาดู ตอนนี้ยังไม่ต้องพิจารณาถึงวงศ์ตระกูลอะไรทั้งนั้น”


ซุนเจียซู่หันมาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ได้ด้วยหรือ?”


ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “ไม่ลองดูก่อนล่ะ ถึงอย่างไรเรื่องราวก็แย่ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว เรื่องบางเรื่อง ไม่ใช่ว่าเจ้าคิดหลบแล้วจะหลบได้พ้น คนเรามีชีวิตอยู่บนโลก เจอกับหลุมหนึ่งไม่น่ากลัว แค่พยายามเดินผ่านมันไปให้ได้ก็พอ จะผ่านไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อยเจ้าก็เคยลองทำแล้ว ก็อย่างที่เจ้าพูดไว้นั่นแหละ เรื่องแค่นี้ตระกูลซุนแบกรับได้ไหวอยู่แล้ว”


ซุนเจียซู่ยังลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะลองดู?”


ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองสีท้องฟ้านอกศาลบรรพชน “ไปเถอะ อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันที่เต่าทะเลภูเขาออกเดินทางแล้ว”


ซุนเจียซู่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วหมุนกายออกไปจากศาลบรรพชน แม้ว่าจะตัดสินใจได้แล้ว แต่ฝีเท้าของคนหนุ่มก็ยังไม่ผ่อนคลายสักเท่าไหร่


“คราวนี้เจ้าหนูซุนเจียซู่แพ้อย่างอเนจอนาถจริงๆ แพ้จนเขากลัวไปเลย แพ้ติดต่อกันสามครั้งรวด แพ้ด้วยเงินร้อนน้อย สูญเสียการรับใช้จากผู้ที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นก่อกำเนิดไปหนึ่งร้อยปี แพ้ให้กับตระกูลฝูที่หนักแน่นดุจขุนเขา สุดท้ายแพ้ให้กับจิตแห่งมรรคา จิตใจดั้งเดิมเริ่มสั่นคลอน คือเรื่องที่อันตรายมากที่สุด หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่ยืนอยู่ในตำแหน่งของเขา เกรงว่ามีแต่จะแย่ยิ่งกว่าเขา ป่านนี้สภาพจิตใจคงแหลกสลายไปนานแล้ว แม้แต่โอกาสจะแก้ไขก็คงไม่มี”


ผู้เฒ่าไม่จ้องมองแผ่นหลังของซุนเจียซู่อีกต่อไป เขาหันกลับมามองทางภาพวาดมากมายแล้วคลี่ยิ้ม “มีอุปสรรคครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรก็ดีกว่าปล่อยให้เขาไปก่อหายนะครั้งใหญ่ในวันหน้า วัวหายแล้วคิดจะล้อมคอกใหม่ก็ยากแล้ว ราบรื่นสมปรารถนาเกินไป เข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาดมาโดยตลอด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่วิถีที่ยืนยาว ทุกท่านคิดเหมือนกันไหม?”


ภาพเหมือนที่แขวนไว้บนกำแพงสั่งเสียงลั่นพึ่บพั่บคล้ายกำลังคล้อยตาม


……


ในนครฝู ข้างกายซ่งจี๋ซินมีรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ผู้นั้นคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา


การค้าขายระหว่างนครมังกรเฒ่ากับต้าหลีเป็นเรื่องแน่นอนตั้งแต่เมื่อครั้งที่ฝูหนันหัวเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจู การเดินทางมาในครั้งนี้ของซ่งจี๋ซินก็เป็นแค่การใช้สถานะองค์ชายซ่งมู่ของต้าหลีมาเผยโฉมหน้าในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ทั้งหมดนี้เป็นทั้งแผนการอันแยบยลของชุยฉานราชครูต้าหลี และยิ่งเป็นจุดประสงค์ของฮ่องเต้เอง ซ่งจี๋ซินนั่งเรือข้ามฟากจากหลงเฉวียนลงใต้มาเยือนนครมังกรเฒ่าในครั้งนี้ ฮ่องเต้ที่พักฟื้นบำรุงร่างกายอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีไม่ได้มีข้อเรียกร้องอะไรต่อเขา เป็นเหตุให้ตอนที่นั่งเรือมา ซ่งจี๋ซินเกิดความรู้สึกลวงตาราวกับว่าจื้อกุยต่างหากถึงจะเป็นคนสำคัญที่แท้จริงในการเดินทางไกลครั้งนี้


เขตการปกครองหลงเฉวียน นครมังกรเฒ่า (ทั้งสองคำมีคำว่าหลงที่แปลว่ามังกร)


จื้อกุย อักษรหวังและอักษรจูรวมเป็นคำว่าไข่มุก


ซ่งจี๋ซินรู้ว่าเบาะแสที่เขารู้มาเหล่านี้กับข้อมูลอีกมากมายที่ยังไม่เผยตัวได้ถักทอเข้าด้วยกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่  สุดท้ายจะกลายเป็นสถานการณ์ที่หนึ่งคือล่างใต้หนึ่งคือบนเหนือ บวกกับที่สกุลเกาต้าสุยยอมถอยไปก้าวใหญ่ ผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับต้าหลี ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปมีเซี่ยสือเทียนจวินแห่งอุตรกุรุทวีปคอยขัดขวางการควบคุมที่สำนักศึกษากวานหูมีต่อพื้นที่ทางเหนือ แม้ว่าการลงมือครั้งแรกของสำนักศึกษาจะรุนแรงดุจสายฟ้าหมื่นชั่ง ยับยั้งสัญญาณของสงครามที่กำลังจะเริ่มขึ้นในหลายสิบแคว้นทางตอนกลางซึ่งรวมถึงแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ย แต่ซ่งจี๋ซินก็ยังพอจะมองเห็นภาพเส้นทางที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีบุกตะลุยไป ผ่านที่ไหนก็พังราบเป็นหน้ากลอง ควบม้าตะบึงยาวไกลลงใต้ เสียงแส้ฟาดม้าโบยก้องชายหาดทะเลทักษิณ…


สำหรับเรื่องนี้ซ่งจี๋ซินไม่เคยเอ่ยถ้อยคำใด เพียงแค่มองอยู่ในสายตา เก็บไว้ในหัวใจ


สถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปมีประโยชน์ต่อสกุลซ่งต้าหลี ไม่ได้หมายความจะมีประโยชน์ต่อตัวเขาซ่งจี๋ซิน ไม่พูดถึงเรื่องที่เขาไม่เคยมีความสัมพันธ์กับขุนนางสำคัญหรือเหล่าผู้มีคุณูปการในราชสำนัก ที่ตำหนักฉางชุนยังมีน้องชายแท้ๆ ร่วมอุทรอยู่อีกหนึ่งคน รวมไปถึงเหนียงเนียงที่ลำเอียงเข้าข้างบุตรชายคนเล็กอย่างสุดจิตสุดใจ ตอนนั้นเขาไปเยือนตำหนักฉางชุนมารอบหนึ่ง ในนามก็คือหลังจากที่เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ พลัดพรากจากกันไปนานหลายปี บุตรชายกลับเข้าวงศ์ตระกูลก็ควรต้องไปพบปะมารดาด้วยตัวเอง แต่ไม่ว่าเหนียงเนียงผู้นั้นที่อยู่ตำหนักฉางชุนจะแสดงออกว่าเสียใจมากแค่ไหน ลึกๆ ในใจของซ่งจี๋ซินกลับไม่มีความรู้สึกร่วมไปด้วย เหมือนเขากำลังมองคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ร้าวรานปริ่มจะขาดใจ โดยที่ตัวเขาไม่มีความเห็นอกเห็นใจใดๆ ตอนนั้นซ่งจี๋ซินเหมือนหุ่นไม้ที่ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา นอกจากเค้นน้ำตาออกมาได้เล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับสตรีสูงศักดิ์ที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นคนนั้นอีก นางถามหนึ่งคำ ซ่งจี๋ซินก็จะตอบหนึ่งคำ ไม่เหมือนมารดาและบุตรที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง แต่กลับเหมือนการถามตอบระหว่างกษัตริย์และขุนนางที่ห่างเหินเสียมากกว่า


บวกกับที่มีซ่งเหอน้องชายของเขาหลั่งน้ำตาอยู่ด้านข้างอีกคน การพบกันครั้งนั้นของสามแม่ลูกจึงค่อนข้างจะกระอักกระอ่วนไม่น้อย


ซ่งจี๋ซินเดินอยู่ในระเบียงรอบลานบ้านของจวนตระกูลฝูเพียงลำพัง เขาบอกว่าอยากจะเดินเล่น รองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่จึงไม่ติดตามมาอีก ตลอดทางซ่งจี๋ซินได้พบเห็นเด็กหนุ่มและสาวใช้หน้าตาดีมากมาย ไม่มีใครรู้ตัวตนของเขา ทว่าเครื่องประดับมังกรเฒ่าพลิกเมฆและหยกมังกรเฒ่าโปรยพิรุณที่ห้อยอยู่ตรงเอวของซ่งจี๋ซินก็มากพอจะทำให้เขาเดินไปไหนมาไหนในจวนตระกูลฝูได้อย่างราบรื่นแล้ว


วันนี้ไม่รู้ว่าจื้อกุยไปเที่ยวเล่นที่ไหนอีก เซียนกระบี่สวี่รั่วก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน ว่ากันว่าคนผู้นี้คือจอมยุทธ์สำนักโม่ที่มีชื่อเสียงค่อนข้างมากในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ซ่งจี๋ซินอยากจะผูกมิตรกับเขามาโดยตลอด แต่มักรู้สึกว่าสวี่รั่วที่พูดคุยยิ้มแย้มกับทุกคนเป็นคนที่คบหาได้ยากมากที่สุด ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่สนิทใจต่อกัน บางทีวันใดรอให้ตนเดินไปสู่ตำแหน่งนั้นได้จริงๆ ความสัมพันธ์คงจะดีขึ้นกระมัง? ซ่งจี๋ซินจึงอดทนเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้าม


ตลอดทางที่เดินไป ซ่งจี๋ซินชื่นชมสวนดอกไม้ ภูเขาจำลอง ศาลา หอเก๋งที่สร้างขึ้นอย่างประณีตในตระกูลฝู มองนานเข้าก็รู้สึกเบื่อ เมื่อก่อนตอนที่เขาเดินเตร็ดเตร่ทั่วเมืองเล็ก ไม่ว่าข้างกายจะมีสาวใช้จื้อกุยหรือไม่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าทัศนียภาพน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ พอคิดถึงจื้อกุย พยับเมฆในใจซ่งจี๋ซินก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม


เขากลัวว่าวันใดวันหนึ่ง นางจะไม่ใช่สาวใช้ของตนอีกต่อไป พอหันหน้ากลับไปมอง จะไม่มีเรือนกายเพรียวบางของนางอยู่อีกแล้ว


ก็เหมือนกับตอนนี้ ซ่งจี๋ซินหันหน้ามองไป เห็นแต่ระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่า มีเพียงนกแก้วในกรงที่พูดภาษาคนอย่างไม่รู้กาลเทศะอยู่ตรงนั้น แถมยังพูดภาษาถิ่นของนครมังกรเฒ่าที่ฟังยากด้วย ซ่งจี๋ซินหมุนตัวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้ากรงนก ใช้นิ้วเคาะกรงเล็กที่ทำจากไม้ไผ่แรงๆ “หุบปาก!”


นกแก้วเรียนรู้ได้เร็วมาก มันตอบกลับซ่งจี๋ซินด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปทันที “หุบปาก!”


ซ่งจี๋ซินเลิกคิ้ว พูดอีกว่า “ซ่งมู่คือท่านทวดใหญ่”


นกแก้วห้าสีตัวนั้นหมุนตัวกลับเงียบๆ หันก้นให้ซ่งจี๋ซินแล้วพูดว่า “ทวดเอ็งสิ!”


ซ่งจี๋ซินไม่โกรธกลับยังขำ อารมณ์ดีขึ้นทันตา เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม


บทที่ 256.2 ผู้ถ่ายทอดมรรคาถ่ายทอดคำสั่งสอน

โดย

ProjectZyphon

ตระกูลฝูมีหอมังกรอยู่แห่งหนึ่ง คือสถานที่ต้องห้ามของนครมังกรเฒ่า ไม่ได้อยู่ในนครฝู แต่อยู่บนหน้าผาใหญ่ริมทะเลที่อยู่ทางทิศตะวันออกที่สุดของนครมังกรเฒ่า หอมังกรที่สูงหลายสิบจั้งคือสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดของนครมังกรเฒ่า แต่บนนั้นกลับไม่มีสิ่งใด มีเพียงผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งเท่านั้นที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ ป้องกันไม่ให้คนนอกบุกรุกเข้ามาโดยพลการ


วันนี้ฝูฉีนำแขกท่านหนึ่งขึ้นมาชมทัศนียภาพบนหอสูงด้วยตัวเอง นอกจากนี้ก็มีแค่ฝูหนันหัวคนเดียวที่มาด้วย ไม่มีคนอื่นอีก


อีกทั้งที่น่าประหลาดที่สุดก็คือ พอมาถึงตีนหอมังกร ฝูฉีกลับหยุดเดิน ปล่อยให้แขกคนนั้นขึ้นไปบนsvมังกรเพียงลำพัง


หลังจากที่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคารวะทักทายฝูฉีอย่างนอบน้อมแล้วก็หันมามองฝูหนันหัวครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับไปที่กระท่อม ทำความเข้าใจกับกระแสน้ำขึ้นของมหาสมุทรเพื่อใช้กล่อมเกลาจิตใจต่ออีกครั้ง


ฝูฉีเอ่ยเบาๆ ว่า “หนันหัว ก่อนหน้านี้ที่เจ้าไม่ได้ลงมือกับเฉินผิงอันเพราะคิดว่าซุนเจียซู่เป็นคนฉลาดถึงเพียงนั้น มีแต่จะทำเรื่องที่ฉลาดยิ่งกว่าเจ้าใช่หรือไม่?”


ฝูหนันหัวตอบไปตามตรง “นอกจากคิดอย่างนี้แล้ว ข้ายังคอยถามใจตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า หากใช้สถานะของเจ้านครมังกรเฒ่ามารับมือกับเรื่องนี้ ข้าควรจะทำอย่างไร ควรนำของส่วนรวมมาใช้ส่วนตัว หรือว่า…”


สีหน้าของฝูหนันหัวกระอักกระอ่วน ไม่พูดต่ออีก


ฝูฉีเอ่ยชม “ดูท่าคำพูดที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนั้น เจ้าคงฟังเข้าหูจริงๆ ลูกหลานตระกูลฝูไม่ควรต้องรอให้ถึงวันที่จะได้เป็นเจ้านคร แล้วค่อยทำในสิ่งที่เจ้านครจะทำ หากทัศนวิสัยแค่นี้ยังไม่มี ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูล แต่ถ้ารู้จักแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ดีแต่จะรบราฆ่ากัน วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว หากเจอกับเซียนห้าขอบเขตบนขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่ตระกูลฝูเลย ต่อให้เป็นทั้งนครมังกรเฒ่า จะนับเป็นอะไรได้?”


ฝูหนันหัวตัดสินใจได้แล้วจึงกัดฟันพูด “แต่ว่าท่านพ่อ ข้าขอบเขตต่ำแค่นี้ ในอนาคตจะสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้านครอย่างสมศักดิ์ศรีได้อย่างไร?”


ฝูฉีหลุดหัวเราะ “ทำอย่างไร? ก็ทุ่มเงินเข้าสิ ตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่า อย่างอื่นอาจจะไม่มี แต่เงินน่ะมีไม่น้อยเลยจริงๆ เจ้าคิดว่าตอนนั้นข้าเลื่อนจากขอบเขตโอสถทองมาเป็นขอบเขตสิบก่อกำเนิดได้อย่างไร? วัตถุดิบวิเศษที่ข้าผลาญไปมากพอให้ซื้อถนนยาวสามร้อยลี้นอกเมืองของตระกูลซุนได้เลยด้วยซ้ำ แล้วหลังจากนั้นข้าเดินแต่ละก้าวมาจนถึงขอบเขตสิบขั้นสูงสุดได้อย่างไร? นอกจากพอจะเรียกได้ว่าขยันฝึกตนแบบถูไถแล้ว ที่มากกว่านั้นคือการทุ่มเงิน ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำอย่างไรล่ะ?”


ฝูหนันหัวปากอ้าตาค้าง


ง่ายแค่นี้เอง?


ฝูฉีเอาสองมือไพล่หลัง เงยหน้ามองเรือนกายผอมบางที่เดินทีละก้าวขึ้นไปบนหอมังกร ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “นอกจากข้าที่เห็นดีในตัวเจ้าแล้ว ความเห็นของนางที่ต่อให้จะเป็นเพียงคำพูดที่พูดโดยไม่ตั้งใจ ก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด จะเรียกว่าเป็นคำตัดสินสุดท้ายก็ไม่เกินจริงเลย คนและเรื่องราวบางอย่างของตระกูลฝูนครมังกรเฒ่า ตอนนี้เจ้ายังไม่อาจสัมผัสได้ แต่หลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจมากขึ้น และทัศนียภาพที่แท้จริงบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปก็จะค่อยๆ ทยอยเปิดเผยสู่เบื้องหน้าสายตาของเจ้า”


ดวงตาฝูหนันหัวฉายประกายร้อนแรง


รอยยิ้มของฝูฉีคลุมเครือ “และหลังจากนั้นสักวันหนึ่งเจ้าจะค้นพบว่ารอบกายมีแต่กลิ่นคาวเลือด”


คนต่างถิ่นที่เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นผู้นั้น คือเด็กสาวคนหนึ่ง พอเดินไปถึงยอดบนของหอมังกร ใบหน้าของนางก็นองไปด้วยเลือด น้ำตาที่เป็นสีเลือดหลั่งลงมาจากดวงตาสีทองของนางไม่ขาดสาย


นางที่ยืนตระหง่านอย่างเดียวดายกวาดตามองไปรอบด้าน


ทวีปใหญ่เก้าแห่ง ห้าทะเลสาบ สี่มหาสมุทร บนภูเขาล่างภูเขามีแต่หลุมฝังศพ ล้วนแต่เป็นศัตรูคู่แค้น!


……


วันนี้เฉินผิงอันยังคงมาตกปลาตอนกลางคืนอยู่เหมือนเดิม จากนั้นก็เริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูตามเวลาอย่างที่เคยปฏิบัติ รอจนกระทั่งฟ้าสว่างก็จะลืมตามองไปยังกลางอากาศเหนือทะเลทิศตะวันออก เพียงแต่ว่าคราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้หาเรื่องให้ลมปราณสีทองพุ่งลงมา แต่เขากลับยิ้มกว้าง ยืนโบกมือไปทางนั้นคล้ายกำลังทักทายคนคุ้นเคย


เฉินผิงอันเก็บคันเบ็ดและข้องใส่ปลา เดินย้อนกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผลคือเจอซุนเจียซู่มายืนรอตนอยู่ที่ริมน้ำ


เขากำลังรอเฉินผิงอัน อันที่จริงเฉินผิงอันเองก็กำลังรอเขาซุนเจียซู่อยู่เหมือนกัน


ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกเล็กของเมืองใน เจิ้งต้าเฟิงยั่วยุให้เขาถอดหน้ากากที่อำพรางโฉมหน้าแท้จริงออก จากนั้นเทพหยินก็โผล่มาขัดขวางเจิ้งต้าเฟิง


คำพูดเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลซุน เฉินผิงอันลองขบคิดอย่างละเอียดก็สัมผัสได้ถึงปราณสังหารที่ซุกซ่อนอยู่


ผิดหวัง? แน่นอนว่าต้องมี


ไฟโทสะสูงเทียมฟ้า? ไม่ถึงขนาดนั้น


หลิวป้าเฉียวแนะนำซุนเจียซู่ให้ตนรู้จักเป็นเพราะความหวังดี แต่จะเต็มใจมาที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนหรือไม่คือการตัดสินใจของเขาเฉินผิงอันเอง สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วยังคงเป็นเพราะสัญชาตญาณของคนที่แสวงหาข้อดีหลีกเลี่ยงข้อเสีย เพียงแต่ว่าเมื่อย้อนกลับมาดู การตัดสินใจนี้อาจจะไม่ได้แย่ที่สุด แต่ก็ไม่ได้ดีที่สุดเหมือนกัน


จุดประสงค์ของคำสอนแห่งวิถีการค้าที่ตระกูลฝูและตระกูลซุนยึดปฏิบัติคืออะไร? อันที่จริงตอนที่พูดคุยกัน ซุนเจียซู่ได้เปิดเผยให้รู้บางส่วนแล้ว


ภาพลักษณ์ของซุนเจียซู่ในใจเฉินผิงอันจึงพร่าเลือนอีกครั้ง อีกทั้งในใจเขายังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงและป้องกัน


คนคนหนึ่งที่มีนิสัยซื่อบริสุทธ์ ไม่ได้หมายความว่าเขาจะโง่เขลา หากคิดจะเป็นคนดีที่แท้จริงก็ต้องรู้ก่อนว่าอะไรคือคนชั่ว คนดีคนหนึ่งมีชีวิตอยู่ได้เป็นอย่างดีก็คือความปรารถนาดีสูงสุดที่มีต่อโลกใบนี้


สิ่งที่ตื้นเขินเหล่านี้ เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องให้ตำราเป็นผู้บอก ไก่บินหมากระโดดในตลาด เรื่องหยุมหยิมยิบย่อยของพวกเพื่อนบ้าน การปัดแข้งปัดขากันเองของสหายร่วมเรียนในเตาเผามังกรก็ล้วนอธิบายถึงเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรือ?


 ซุนเจียซู่มองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่ขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยังไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ยกมือทาบประสานคารวะ


เฉินผิงอันเบี่ยงเท้าหลบการขออภัยที่ดูคล้ายจะไร้สาเหตุของซุนเจียซู่


พอซุนเจียซู่ยืดตัวขึ้นมาก็ไม่ถือสาการกระทำนี้ของเฉินผิงอัน เขายิ้มเจื่อนพูดว่า “เฉินผิงอัน ข้าช่วยจัดการติดต่อเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวา (แก้ไขจากเรือนกกุ้ยฮวาเป็นเรือเกาะกุ้ยฮวา) ตระกูลฟ่านไว้ให้เจ้าแล้ว ตระกูลซุนของข้าไม่มีหน้าจะเชิญให้เจ้าขึ้นเต่าทะเลภูเขาแล้ว”


เฉินผิงอันถาม “ซุนเจียซู่ นี่เป็นเพราะอะไร?”


ซุนเจียซู่ลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็นั่งยองลงไป หันหน้าเข้าหาแม่น้ำ หยิบก้อนหินข้างเท้าขึ้นมาแล้วโยนลงน้ำไปเบาๆ “ก่อนหน้านี้ข้าหวังร่ำรวยจากการเสี่ยงอันตราย อยากได้ลาภลอยก้อนใหญ่ จงใจปกปิดความสามารถการในควบคุมนครมังกรเฒ่าของตระกูลฝูกับเจ้า ให้เจ้าสวมหน้ากากที่ไม่มากพอให้ปกปิดโฉมหน้าแท้จริง แถมยังให้เจ้าเดินออกมาจากหอสูงที่มีคนของตระกูลฝูจับตามองอย่างใกล้ชิด ก็เพื่อเดิมพันว่าฝูหนันหัวที่มีนิสัยดึงดันเหมือนเด็กจะเก็บกลั้นความแค้นไว้ไม่อยู่ ระดมกำลังคนมากมายมาสังหารเจ้า หลังจากนั้นต่อให้ต้องเสียตระกูลซุนไปครึ่งหนึ่ง ข้าก็ต้องปกป้องเจ้าเฉินผิงอันไว้ให้ได้ หลังจบเรื่อง เจ้าที่นั่งเรือไปเยือนภูเขาห้อยหัวได้อย่างปลอดภัยก็จะรู้สึกติดค้างน้ำใจใหญ่เทียมฟ้ากับข้าซุนเจียซู่ ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งสิ่งตอบแทนที่ตระกูลซุนได้รับมีแต่จะมากกว่าสิ่งที่สูญเสียไป”


เฉินผิงอันยังคงถือคันเบ็ดและหิ้วข้องใส่ปลายืนอยู่ที่เดิม ถามคำถามที่เป็นประเด็นสำคัญ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะรักษาชีวิตของข้าไว้ได้?”


ซุนเจียซู่ยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะโดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมา “คนและเรื่องราวบางอย่างที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโลก ฝูหนันหัวยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะได้รับรู้ แต่ในฐานะเจ้าประมุขตระกูลซุน ข้าซุนเจียซู่สามารถรู้ได้ แน่นอนว่าฝูฉีเจ้านครมังกรเฒ่าก็ยิ่งรู้ดีกว่าใคร การแข่งขันด้านจิตใจและปณิธานของเด็กรุ่นหลังครั้งนี้ ข้าแค่เดิมพันด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูล วางท่าว่าต่อให้ต้องพินาศวอดวายไปพร้อมกับตระกูลฝูก็ไม่เสียดาย ถ้าอย่างนั้นหลังจากที่ฝูฉีลงมือสะกิดเตือนตระกูลซุนอย่างรุนแรงไปแล้ว ในช่วงเวลาที่เหตุการณ์กำลังร้อนระอุ เขาจะต้องเป็นฝ่ายหยุดมือไปเอง เจ้าเฉินผิงอันก็จะแค่ตกใจแต่ไร้อันตราย ไม่มีทางตาย ส่วนข้าซุนเจียซู่ก็จะสามารถอาศัยโอกาสนี้กลายเป็นสหายที่ร่วมทุกข์กับเจ้า”


จนกระทั่งบัดนี้ ไฟโทสะถึงสุมแน่นเต็มอกของเฉินผิงอัน สีหน้าของเขามืดทะมึน โคจรลมปราณอย่างเงียบเชียบเพื่อสะกดกลั้นความโมโหไว้ในทะเลสาบหัวใจอย่างสุดกำลัง


ซุนเจียซู่โยนก้อนหินออกไปอีกก้อน “หลายปีมานี้ตระกูลซุนมีชื่อเสียงเจริญรุ่งเรือง ภายนอกมองดูเหมือนว่าพยายามช่วงชิงความแข็งแกร่งอยู่กับตระกูลฝู แต่ข้ามองไปไกลยิ่งกว่านั้นนิดหน่อย นอกจากตระกูลฝูที่ใจคิดแต่จะสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ต้าหลีแล้ว ในบรรดาห้าแซ่ใหญ่ ตระกูลฟ่านตามหลังตระกูลฝูไปติดๆ อีกสามตระกูลที่เหลือก็มีที่พึ่งเป็นของตัวเอง มีทั้งสำนักศึกษากวานหู มีตระกูลเซียนในอุตรกุรุทวีป มีตระกูลผู้ดีลำดับสูงสุดในทวีปใหญ่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทุกคนต่างก็หาที่พึ่งและทางหนีทีไล่ มีเพียงตระกูลซุนของข้าที่ยกเม็ดหมากค้างไว้ไม่ยอมวางลง เพราะข้าเองก็หมายตาสกุลซ่งต้าหลีอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าข้าหาหนทางไม่พบ เมื่อก่อนข้าเคยให้ข้ารับใช้ตระกูลขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งไปที่เมืองหลวงต้าหลี อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ต้าหลีเลย แม้แต่ประตูใหญ่จวนอ๋องของซ่งจ่างจิ้งก็ยังเข้าไปไม่ได้ แค่พ่อค้าคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนคนถือหัวหมูที่หาศาลเจ้าไม่เจอ ช่างทำให้คนสิ้นหวังยิ่งนัก”


เฉินผิงอันถามคำถามที่สอง “เจ้าไม่เห็นข้าเฉินผิงอันเป็นเพื่อนก็เป็นเรื่องปกติ แล้วหลิวป้าเฉียวล่ะ?”


ในหัวของซุนเจียซู่คิดถ้อยคำไว้เป็นร้อยเป็นพัน แต่กลับไม่มีคำใดที่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้


ซุนเจียซู่มองไปทางแม่น้ำด้วยสีหน้าขมขื่น


พูดจี้ใจดำก็เป็นเช่นนี้เอง


ขนาดบรรพบุรุษสกุลซุนที่แอบจับตามองคนทั้งสองอย่างลับๆ ยังรู้สึกวิตกกังวลแทนซุนเจียซู่


ซุนเจียซู่ก้มหน้าลงเล็กน้อย ยกสองมือเท้าคาง ในเมื่อไม่มีวิธีดีๆ ให้รับมือ พ่อค้าที่ฉลาดสุดๆ คนนี้ก็เลือกที่จะพูดไปตามสิ่งที่ใจตัวเองคิด “ข้าย่อมเห็นเขาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนี้ไปก็อาจเป็นไปได้ว่าจะมีเจ้าเฉินผิงอันเพิ่มมาเป็นศัตรูคนหนึ่ง สูญเสียเพื่อนอย่างหลิวป้าเฉียวไปคนหนึ่ง”


เฉินผิงอันถามคำถามข้อที่สาม “ที่บอกเรื่องพวกนี้เพราะไม่กล้าฆ่าข้า? กลัวว่าในอนาคต เมื่อคนผู้นั้นย้อนกลับมายังใต้หล้าไพศาลจะเหยียบบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนจนเละเป็นหน้ากลอง?”


ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “ข้าไม่ได้อยากฆ่าเจ้า”


เขาหันหน้ากลับมา ฝืนส่งยิ้มให้ “เฉินผิงอัน ประโยคนี้เจ้าเชื่อหรือไม่?”


เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถาม


ซุนเจียซู่ลุกขึ้นยืน คล้ายได้ปลดภาระหนักหมื่นจินลงจากบ่า ไม่ได้มีสีหน้าเซื่องซึมอีกต่อไป ในที่สุดก็กลับมามีมาดของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่าอีกครั้ง “อะไรที่ควรพูด อะไรที่ไม่ควรพูด ข้าก็พูดไปหมดแล้ว หลังจากนี้ไม่ว่าเจ้าเฉินผิงอันจะทำอะไร ข้าก็ไม่เสียใจแล้ว ความรับผิดชอบเล็กน้อยแค่นี้ ข้าซุนเจียซู่ยังพอมีอยู่”


เฉินผิงอันถอนหายใจ “เก็บสัมภาระเสร็จแล้ว ข้าจะไปที่ร้านยาฮุยเฉินเมืองใน หลังจากนั้นจะนั่งเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านเดินทางไปยังภูเขาห้อยหัว”


ซุนเจียซู่พยักหน้ารับ “ตกลง”


คนทั้งสองเดินตามกันกลับไปยังบ้านบรรพบุรุษเงียบๆ จากนั้นเฉินผิงอันก็สะพายห่อสัมภาระ อาศัยความทรงจำที่เหลืออยู่ เดินออกไปยังเส้นทางดินสายนั้นจริงๆ


ซุนเจียซู่กินอาหารเช้าเพียงลำพัง ยังคงเป็นโจ๊ก ผักดองและหมั่นโถว บรรพบุรุษตระกูลซุนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กำลังจะเปิดปากพูด แต่ซุนเจียซู่กลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้หลิวป้าเฉียวฟังโดยเร็วที่สุด”


ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “กลัวว่าเฉินผิงอันจะชิงฟ้องก่อน ถึงเวลานั้นจะยิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม? หรือเป็นเพราะจิตใจตัวเองไม่อาจสงบนิ่ง ถ้าไม่พูดก็ไม่สบายใจ?”


ซุนเจียซู่หยุดตะเกียบ ครุ่นคิดอย่างตั้งใจแล้วตอบอย่างสัตย์จริง “ดูเหมือนว่าจะทั้งสองอย่าง”


ผู้เฒ่าถามหยั่งเชิง “ในเมื่อทำแล้วทำไมไม่ทำให้ถึงที่สุด เล่นตุกติกบนเรือข้ามฟากเกาะกุ้ยฮวาเสียเลย?”


หลังจากคลายปมในใจได้แล้ว สีหน้าของซุนเจียซู่ก็สดชื่นขึ้นไม่น้อย เขาส่ายหน้ายิ้มๆ “จะใช้ความผิดหนึ่งไปปกปิดอีกความผิดหนึ่งไม่ได้ ข้าไม่กล้าหวังว่าตัวเองจะโชคดีอีกแล้ว”


พอได้ยินคำตอบนี้ ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะโล่งใจยิ่งกว่าซุนเจียซู่เสียอีก จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “การเสียเปรียบครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า ภายใต้สถานการณ์ใหญ่ เดินนำไปก่อนหนึ่งก้าวย่อมดีที่สุด จะไม่เคยทำความผิดใหญ่ๆ เลยก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน มีกิจการมีครอบครัวพร้อมสรรพแล้ว จะเอาแต่คิดทุ่มเสี่ยงดวงในการเดิมพันครั้งสุดท้ายไม่ได้ทุกครั้งหรอกนะ”


ซุนเจียซู่ยิ้มตอบ “บ้านใดมีคนแก่ เหมือนมีสมบัติล้ำค่า!”


ผู้เฒ่าลุกขึ้น “เจ้าค่อยๆ กินไปเถอะ ปรับสภาพจิตใจตัวเองให้ดี ช่วงนี้อย่าให้อารมณ์ในใจแปรปรวนมากนัก”


ซุนเจียซู่วางตะเกียบในมือลง ลุกขึ้นยืนส่งอย่างนอบน้อม รอจนผู้เฒ่าเดินออกไปจากห้อง เขาถึงได้นั่งกลับลงไปใหม่อีกครั้ง ก้มหน้าก้มตากินข้าวเช้าต่อ


รสชาติขมขื่นเกินจะทน


ส่วนข้อที่ว่าถ้าซุนเจียซู่รับมือไม่ได้ จะต้องถูกบรรพบุรุษตระกูลซุนถอดตำแหน่งเจ้าประมุข ข้อนี้หนึ่งคนหนุ่มหนึ่งคนแก่ที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงข้ามกันต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ อีกทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่เหมาะสม


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)