หมอดูยอดอัจฉริยะ 256-259
ตอนที่ 256 รนหาที่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนที่ได้พบกับโจวเซี่ยวเทียนคราวก่อน เยี่ยเทียนก็ดูออกแล้วว่า เขามีร่างกายอย่างคนที่ฝึกวรยุทธ เลือดลมไหลเวียนดีอย่างยิ่ง แม้จะไม่ขนาดมีกำลังภายใน แต่ในวัยอย่างเขานี้ ก็เรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งแล้ว
คนประเภทนี้เวลาพูดจาแม้เสียงจะไม่ดัง แต่ฟังแล้วจะรู้สึกว่าน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพลัง แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนกลับได้ยินว่า เสียงของโจวเซี่ยวเทียนนั้นฟังดูอ่อนแออย่างยิ่ง ประโยคเดียวต้องแบ่งพูดเป็นสองท่อน เหมือนกับคนไม่มีเรี่ยวแรง
“บาดเจ็บมา เรื่องยุ่งมาก!” โจวเซี่ยวเทียนยังคงนิสัยเย็นชาเฉยเมยเหมือนเดิม พ่นคำพูดออกมาทีละคำๆ
“แต่ทำไมผมต้องช่วยคุณด้วยล่ะ? แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมจะช่วยคุณได้?” เยี่ยเทียนเริ่มจะนึกฉุนขึ้นมาแล้ว เวลาจะขอให้คนอื่นช่วยก็ต้องพูดเหมือนอยากจะขอให้ช่วยหน่อยสิ พูดมากกว่านี้อีกไม่กี่คำมันจะตายรึไง?
และจะว่าไป ถังเสวียเสวี่ยก็เข้ามาพักอยู่ในบ้านซื่อเหอย่วนแล้ว เจ้าบ้านอย่างเขาจะปล่อยไว้ไม่เหลียวแลเลยก็คงก็ไม่ได้หรอกจริงไหม? ในเมื่อเก็บค่าเช่าบ้านมาวันละหนึ่งล้านแล้ว เยี่ยเทียนก็ต้องบริการให้สมราคาหน่อยสิ
“คุณช่วยผมได้ ผมรู้ดีน่ะ!” พอได้ยินเยี่ยเทียนพูดอย่างนั้น โจวเซี่ยวเทียนก็เริ่มมีน้ำเสียงตื่นเต้นขึ้นมา แถมคราวนี้ยังพูดออกมาได้ตั้งแปดพยางค์
เยี่ยเทียนตอบอย่างไม่เกรงใจสักนิด “ถึงผมจะช่วยคุณได้ แต่ทำไมผมจะต้องไปช่วยคุณด้วยล่ะ? คุณน่ะใช้ศาสตร์ที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษไปปล้นสุสาน ผมกับคุณไม่ได้เดินสายเดียวกันหรอกนะ…”
คนโบราณให้ความสำคัญแก่ฮวงจุ้ยเรือนหยินเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่บุคคลระดับสูงอย่างเจ้าแผ่นดินหรือแม่ทัพนายพล ไปจนถึงไพร่ฟ้าประชาชน ต่างก็หวังที่จะหาตำแหน่งหยินที่ดีเยี่ยมไว้สำหรับก่อสุสานกันทั้งนั้น เพื่อคุ้มครองลูกหลานให้ได้อยู่อย่างสงบสุขและเจริญก้าวหน้า ดังนั้นในสมัยโบราณ อาชีพซินแสฮวงจุ้ยนี้จึงเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง
แต่ก็มีซินแสฮวงจุ้ยบางคนที่จิตใจคิดคด นำสิ่งที่เรียนรู้มาไปใช้อย่างทุจริต ร่วมมือกับพวกโจรขโมยเสี่ยงเข้าไปขุดสุสานของบรรพชน
ซินแสฮวงจุ้ยรู้วิธีสังเกตพลังในธรรมชาติ เวลาไปปล้นสุสานจึงย่อมง่ายดายและแม่นยำกว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว และพวกเขายังสามารถหลบหลีกกระแสพลังพิฆาตภายในสุสานได้อีกด้วย เคราะห์ร้ายจึงไม่อาจกล้ำกรายมาถึงตนได้
แต่คนเหล่านี้ในท้ายที่สุดแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คนที่จะมีจุดจบที่ดี สาเหตุก็อย่างที่ภาษิตว่าขึ้นภูเขาบ่อยครั้งสุดท้ายก็จะต้องเจอเสือ คนพวกนี้เข้าใจว่าตัวเองมีความสามารถสูงส่ง กลับไม่รู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่พวกเขาไม่อาจแตะต้องได้อยู่
ตามความคิดของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนก็คงจะเป็นอย่างนั้น ในสุสานบางแห่งเป็นที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่เขาที่มีแค่เข็มทิศฮวงจุ้ยกับเครื่องรางคุ้มกายเลย ต่อให้เป็นซินแสในสมัยโบราณที่มีอาคมแก่กล้า ก็มักจะต้องพบจุดจบในสถานที่แบบนี้กันทั้งนั้น
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้โจวเซี่ยวเทียนเงียบขรึมไป ขณะที่เยี่ยเทียนกำลังจะวางสายโทรศัพท์ ทันใดนั้นเสียงของอีกฝ่ายก็ดังมาจากปลายสาย “ในนั้นมีของที่คุณอยากได้อยู่ ผมเอาออกมาไม่ได้ กลับทำให้พลังพิฆาตรั่วออกมาแทน ถ้าคุณไม่มา ที่นี่คงถึงคราวพินาศแน่!”
“โธ่เว้ย นี่แกทำอะไรลงไปเนี่ยหา?”
พอได้ยินโจวเซี่ยวเทียนพูดดังนั้น เยี่ยเทียนก็เครียดขึ้นมาทันที อ้าปากด่าออกไปว่า “แก…แกนี่มันมีปัญญาอยู่แค่นี้ ยังจะกล้าไปทำเรื่องแบบนั้นอีกนะ”
สาเหตุที่เยี่ยเทียนเครียดขนาดนี้ เป็นเพราะเขารู้ว่า สุสานหรือสถานที่ที่เป็นหยินมากๆ บางแห่ง มักจะมีกระแสพลังพิฆาตสะสมอยู่อย่างหนาแน่น
แต่เพราะข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ พลังพิฆาตเหล่านี้จึงไม่รั่วออกสู่ภายนอก ขอเพียงไม่ไปเข้าใกล้ที่นั่น ก็จะไม่เกิดอันตรายใดๆ ต่อคนและสัตว์
แต่ถ้าในระหว่างการปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างหรือการขุดสุสานเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาครั้งหนึ่ง จนทำให้โครงสร้างฮวงจุ้ยเดิมของที่นั่นเปลี่ยนไป ก็จะส่งผลให้กระแสพลังพิฆาตรั่วออกมา อย่างเบาก็อาจทำให้พื้นที่แถบนั้นในรัศมีหลายร้อยเมตรปลูกพืชอะไรไม่ขึ้นอีกเลย อย่างหนักก็อาจทำให้คนเสียชีวิตโดยที่หาสาเหตุไม่พบ
อย่างตอนแรกที่เยี่ยเทียนซื้อเรือนหลังนี้มา แล้วทำพิธีเปิดประตูผีนั้น ที่จริงแล้วเขาทำตั้งใจจะปล่อยให้พลังพิฆาตที่สะสมอยู่ในวังต้องห้ามมาหลายร้อยปีรั่วออกมา แต่เพราะเขาควบคุมพลังนั้นให้อยู่ในบ้านหลังนี้ สิ่งแวดล้อมบริเวณนั้นจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 เยี่ยเทียนเคยท่องทัศนาจรกับอาจารย์ไปถึงหมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง และพบว่าเด็กที่เกิดที่นั่นทุกคนต่างก็เป็นโรคแคระแกร็นโดยกำเนิด แม้แต่เด็กที่เกิดจากสตรีที่แต่งออกไปนอกหมู่บ้านก็เป็นโรคนี้เหมือนกัน
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาเจ็ดแปดปีแล้ว หน่วยงานในท้องที่นั้นก็เคยยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลแล้ว และก็เคยมีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายคนมาสำรวจและเก็บตัวอย่างไป แต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ ในน้ำและดินหรือสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นเลย สุดท้ายจึงยังคงหาข้อสรุปอะไรออกมาไม่ได้
แต่หลังจากที่พรตเฒ่าเดินวนรอบหมู่บ้านนั้นไปหลายรอบ ท่านก็ยืนยันกับเยี่ยเทียนว่า ระหว่างภูเขาสองลูกนั้น มีสุสานโบราณแห่งหนึ่งถูกคนมาขุดค้น ทำให้กระแสพลังพิฆาตรั่วไหลออกมา และไหลจากหุบเขาเข้ามาในหมู่บ้านแห่งนี้
ตอนนั้นหลี่ซั่นหยวนพาเยี่ยเทียนไปเยี่ยมสัมภาษณ์คนในหมู่บ้านหลายคน และก็เป็นไปตามคาด ช่วงปลายทศวรรษที่ 70 มีชายว่างงานในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งไปขุดสุสานโบราณในหุบเขา แล้วขโมยทรัพย์สมบัติออกมาจำนวนหนึ่ง
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชายว่างงานกลุ่มนั้นก็ล้มป่วยกะทันหันและเสียชีวิตไปทีละคนๆ ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้า ไปเยือนสุสานโบราณที่ตั้งอยู่กลางหุบเขานั้นอีกเลย
ต่อมาสองอาจารย์ศิษย์เดินทางไปดูที่หุบเขา และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ สุสานแห่งนั้นถูกขุดออกมาที่ตำแหน่งประตูตาย พลังพิฆาตที่สะสมมานับพันปีจึงรั่วออกมาหมด บริเวณโดยรอบสุสานไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นเลยมานานแล้ว
สุดท้ายพรตเฒ่าก็แสดงฝีมือ อุดสุสานแห่งนั้นใหม่ เพื่อผนึกพลังพิฆาตเอาไว้ แต่เภทภัยก็เกิดไปแล้ว ผู้คนที่ได้รับผลกระทบจากพลังพิฆาตไปแล้วนั้น พรตเฒ่าก็ไม่มีหนทางไหนที่จะรักษาได้อีก
เพราะเคยพบเห็นกรณีที่กระแสพลังพิฆาตรั่วไหลมากับตาตัวเอง ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงได้โมโหขนาดนี้ ความสามารถไม่ถึงขั้น แล้วยังกล้าบุ่มบ่ามไปเปิดสุสานพวกนั้นอีก แบบนั้นก็ได้แต่เรียกว่ารนหาที่ตายเองนั่นแหละ
“คุณทำกระแสพลังรั่วออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วตอนนี้คุณน่ะอยู่ที่ไหน?”
เมื่อได้ยินเรื่องแบบนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่สามารถจะปัดให้พ้นตัวได้แล้ว และการช่วยเหลือแบบนี้ก็เป็นการสั่งสมบุญกุศลอย่างที่พรตเฒ่ากล่าวไว้ คราวนั้นตอนที่ท่านช่วยขจัดพลังพิฆาตในหมู่บ้าน พรตเฒ่าเองก็ต้องสละของขลังไปชิ้นหนึ่งเหมือนกัน แต่กลับไม่ได้รับเงินเลยสักแดงเดียว
“ผมอยู่เมืองฉวี่หยางที่เหอเป่ย ที่นั่นผมใช้เข็มทิศผนึกไว้แล้ว ในสามวันนี้คงยังไม่เกิดเรื่อง แต่อย่างมากที่สุดก็ปิดได้แค่สามวัน รอบๆ มีหมู่บ้านอยู่ ถ้าคุณไม่มา ผมก็หมดปัญญาแล้วละ!”
น้ำเสียงของโจวเซี่ยวเทียนฟังดูหม่นหมอง ลงมือคราวนี้นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้ว ตัวเองยังได้รับบาดเจ็บ และยังต้องสละเข็มทิศฮวงจุ้ยที่ได้รับสืบทอดมาอีก ยิ่งกว่านั้นผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อกระแสพลังพิฆาตรั่วออกมา ก็ใหญ่เกินกว่าที่เขารับผิดชอบไหว
ภาษิตว่า ฟ้าโปรดปรานคนดีโดยไม่มีข้อแม้ ในทางกลับกัน ฟ้าก็ต้องลงโทษคนชั่วโดยไม่มีข้อแม้เช่นกัน ผลทั้งหมดที่เกิดจากพลังพิฆาตรั่วไหลนั้น ก็จะต้องสนองคืนสู่ตัวเขาเอง
โจวเซี่ยวเทียนแม้จะฝีมือไม่เท่าไร แต่ได้รับถ่ายทอดวิชาจากบรรพบุรุษมาอย่างกว้างขวาง จึงมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี เขารู้ว่า ถ้าพลังพิฆาตรั่วไหลออกมา อย่างนั้นเขาก็คงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่ถึงหนึ่งเดือนแล้ว
ครอบครัวของโจวเซี่ยวเทียนเหลือเพียงแม่ผู้ตาบอดคนหนึ่ง แล้วเขาเองก็เปลี่ยนที่หากินไปเรื่อยๆ จึงไม่รู้จักเพื่อนร่วมอาชีพเลยสักคน เมื่ออับจนหนทาง ก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียน
“บอกที่อยู่ที่แน่ชัดมาซิ พรุ่งนี้ผมจะไปหา!” เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ถ้าเขาไม่รู้เรื่องนี้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ถ้ารู้แล้วไม่สนใจ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะพลอยเจอปัญหาไปด้วยก็ได้
“ผมอยู่ บ้านพัก XX เลขที่ 208 อำเภอเมืองฉวี่หยาง!” พอโจวเซี่ยวเทียนพูดที่อยู่ออกมาแล้ว ก็วางสายโทรศัพท์ไปทันที
“เวรเอ๊ย ซวยจริงๆ เลย!” อยู่เฉยๆ ก็มีเรื่องวุ่นวายมาถึงตัว เยี่ยเทียนเกือบจะทุ่มโทรศัพท์ทิ้งลงกับพื้นแล้ว สุดท้ายก็เดินออกไปจากห้องอย่างโมโหฮึดฮัด
“เยี่ยเทียน มีอะไรหรือ?” ถังเหวินหย่วนกำลังคุยกับเยี่ยตงผิงอยู่ในลานบ้าน พอเห็นเยี่ยเทียนท่าทางอารมณ์เสีย ก็อึ้งไปเล็กน้อย วันนี้เขาก็ไม่ได้ไปล่วงเกินเยี่ยเทียนตรงไหนนี่นา?
“ไม่เกี่ยวกับคุณหรอก”
เยี่ยเทียนโบกมือ “มีธุระนิดหน่อยน่ะ พรุ่งนี้ผมต้องไปข้างนอกหน่อย คงสักสามสี่วันกว่าจะได้กลับมา”
“คุณจะออกไปรึ?แล้ว…แล้วเสวียเสวี่ยจะทำยังไงล่ะ?” พอถังเหวินหย่วนได้ยินที่เยี่ยเทียนพูด ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที หลานสาวสุดที่รักของเขาทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าไม่มีใครมาดูแลเลยสักคน มีหวังได้หิวตายแน่ๆ
และเยี่ยเทียนก็พูดไว้แล้วว่า จะต้องใช้ยาจีนปรับสมดุลร่างกายของถังเสวียเสวี่ยด้วย นี่ถ้าเยี่ยเทียนไปแล้ว ใครจะมารักษาหลานสาวของเขาล่ะ?
“คุณนึกว่าผมอยากไปรึไง?”
เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แค่สามสี่วันน่ะไม่เป็นไรหรอก คุณมาอยู่ที่นี่สองวัน หลังจากนั้นให้ป้าใหญ่ผมมาทำอาหารให้เสวียเสวี่ยก็ได้ ผมจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด”
“เยี่ยเทียน มันเรื่องอะไรน่ะแกถึงจะต้องไปให้ได้?”
เยี่ยตงผิงก็รู้สึกเหมือนกันว่า ลูกชายทำแบบนี้ออกจะไม่เหมาะสม อย่างที่กล่าวกันว่า รับทรัพย์จากผู้อื่นแล้ว ก็ต้องช่วยขจัดเคราะห์ให้ ไม่ว่าจะมีธุระอะไร ก็ต้องจัดการทางนี้ให้เรียบร้อยก่อนถึงจะถูก
“พ่อ เรื่องนี้ถึงผมพูดไปก็คงไม่เข้าใจกันหรอก ผมจำเป็นต้องไปจริงๆ นะ…”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “เรื่องเสวียเสวี่ยน่ะไม่ต้องเป็นห่วง ไหนๆ ก็ต้องเยียวยากันเป็นเดือนอยู่แล้ว แค่สามสี่วันนี่ไม่เป็นไรหรอก”
“ก็ได้ อย่างนั้นคุณต้องรีบกลับมานะ” เป็นฝ่ายขอร้องคนอื่นก็แบบนี้แหละ ถังเหวินหย่วนไม่อาจโต้เถียงอะไรกับเยี่ยเทียนได้เลย ได้แต่พยักหน้ายินยอม
เยี่ยเทียนก็ไม่ใช่ว่าจะไปเดี๋ยวนั้นเลย ผ่านไปสองชั่วโมงเศษ เขาก็ยกยาบำรุงที่ต้มเสร็จแล้วไปให้ถังเสวียเสวี่ย หลังจากดื่มยาลงไป สีหน้าของถังเสวียเสวี่ยก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมามาก ซึ่งก็ทำให้ถังเหวินหย่วนเชื่อมั่นในวิธีการของเยี่ยเทียนมากยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อถึงตอนเที่ยง ก็มีคนทยอยนำของใช้จำเป็นต่างๆ มาส่งให้ ข้าวของเต็มรถกระบะหนึ่งคันนั้น ทำให้เยี่ยเทียนต้องกลายเป็นพนักงานขนส่งไปถึงหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
แล้วยังมีปลาห้าร้อยชั่งเต็มๆ นั่นอีก ปล่อยลงไปจนเต็มบ่อทั้งในบ่อที่ลานหน้าบ้านและหลังบ้าน คราวนี้เหมาโถวดีใจสุดๆ มันไม่ต้องลงไปในน้ำแล้ว แค่ใช้อุ้งตีนวักขึ้นมาก็ได้ปลาหนึ่งตัวแล้ว และกำลังกินอย่างเปรมปรีดิ์อยู่ที่ริมบ่อ
เมื่อเกี่ยวข้องถึงชีวิตของหลานสาวแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ดำเนินการทุกอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเลยทีเดียว เมื่อถึงประมาณสี่ห้าโมงเย็น รถคันหนึ่งก็บรรทุกวัตุดิบปรุงยาจากเมืองอันกั๋ว มณฑลเหอเป่ยมาส่งที่บ้านซื่อเหอย่วน
“แม่เจ้าโวย มีเงินนี่มันดีจริงๆ แฮะ!”
เมื่อตรวจสมุนไพรจีนเหล่านั้นดูแล้ว เยี่ยเทียนก็แอบชื่นชมกับตัวเอง ตอนแรกเขาก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดเลยว่าถังเหวินหย่วนจะไปหาโสมภูเขาแก่ที่มีอายุมากกว่าห้าสิบปีมาได้ตั้งหลายชั่งจริงๆ
และเยี่ยเทียนก็สังเกตเห็นแล้วว่า มีโสมภูเขาจากฉางไป๋ต้นหนึ่งที่มีอายุมากถึงสองร้อยกว่าปี ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นมาแล้วที่อันกั๋ว มันเป็นสมบัติล้ำค่าของร้านยาสาขาประจำเมืองของบริษัทตัวยาแห่งหนึ่ง ตอนนั้นติดราคาไว้แปดล้านแปดแสนแปดหมื่นหยวน ไม่นึกเลยว่าจะถูกถังเหวินหย่วนซื้อมาด้วย
พอลองกะราคาของตัวยาเหล่านี้ดู สุดท้ายเยี่ยเทียนก็คำนวณสรุปออกมาได้ว่า ถ้าไม่มีเงินสักสามสิบล้าน ก็คงไม่มีทางซื้อมาได้แน่ๆ เมื่อเทียบกับคราวก่อนที่ตัวเองไปอันกั๋วอย่างกระเบียดกระเสียรแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ทำไมถึงกล่าวกันว่าเงินหมายถึงอำนาจ
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะผ่านช่วงติดขัดมาได้แล้ว แต่ตัวยาเหล่านี้ก็ยังถือว่าล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ อาจารย์ทิ้งสูตรยาเม็ดต่อชีวิตไว้ให้ตั้งหลายตำรับ ทีนี้ถ้าเขามีเวลาว่างเมื่อไรก็จะได้หลอมยาแล้ว
………………
ตอนที่ 257 โฮสเทล
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนกลางคืน ครอบครัวของคุณป้าสองของเยี่ยเทียนก็มายังเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียน ลานบ้านที่ดูเงียบเหงาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นครื้นเครงขึ้นมา หลิวหลันหลันกับถังเสวียเสวี่ยอายุพอกัน สองสาวคุยจุ๊กจิ๊กกันแป๊บเดียวก็เล่นด้วยกันแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารค่ำแล้ว เยี่ยเทียนก็กลับห้องมาคนเพียงลำพัง เทยารักษาอาการบาดเจ็บจากขวดกระเบื้องที่วางอยู่ตรงกลางตู้หนังสือ จากนั้นก็นำอาวุธสิบสองนักสัตว์ที่เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวใส่ลงในกระเป๋า
หลังจากไตร่ตรองซักครู่ เยี่ยเทียนก็เปิดตู้ที่อยู่ด้านล่างของตู้หนังสือ ใช้มือหยิบไม้แผ่นหนึ่งออกมาแล้ว ตู้เซฟที่ใส่รหัสก็พลันปรากฏออกมา
นี่เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนกำชับช่าวหวังให้ทำออกมาเป็นพิเศษ ใช้สำหรับเก็บรักษาสิ่งของที่เยี่ยเทียนคิดว่าล้ำค่า เหมือนกับเข็มทิศเวทมนตร์และคัมภีร์วิชาลับที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้าก็ล้วนแต่วางเก็บไว้ในนี้
เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทางฉู่หยางนั้นเกิดอะไรขึ้น เตรียมการรับมือไว้ก่อนน่าจะเป็นดี
ในตอนที่เยี่ยเทียนอายุสิบสองปีนั้น ในตอนที่นักพรตเฒ่ากำลังผนึกประตูแห่งความตายที่ถ้าลับหยางเสวี่ย หากว่าไม่ได้อาศัยอาวุธวิเศษหลบหนีออกมา กลัวว่าน่าจะได้รับไอชั่วร้ายเขามาทำร้ายร่างกายเป็นแน่
ถึงแม้ความสามารถของเยี่ยเทียนในตอนนี้ เทียบกับนักพรตเฒ่าในตอนนั้นนับว่าเหนือชั้นกว่ากันมาก ความเข้าใจในเคล็ดวิชาแม้แต่หลี่ซ่านหยวนก็เทียบไม่ติด แต่ก็ระวังไม่ให้มีอันตราย เยี่ยเทียนก็เกรงไม่กล้าลำพอง
แน่นอนว่าต้องพกเหรียญโบราณและมีดสั้นอู๋เหินรวมถึงอาวุธหินหยกแท่งนั้นติดตัวไว้ หลังจากหยิบเข็มทิศเวทมนตร์ใส่ลงในกระเป๋าแล้ว เยี่ยเทียนก็เดินไปกลางลานบ้าน ตะโกนเรียกพ่อของตัวเองที่กำลังคุยอยู่กับถังเหวินหย่วนออกมา
“เรื่องอะไรลับๆ ล่อๆ”
เยี่ยตงผิงวันนี้อารมณ์ดีไม่น้อย เขาและถังเหวินหย่วนหลังจากไปธนาคารด้วยกันมาแล้ว ไม่เพียงแค่โอนเงินสามล้านหยวน แต่โอนทีเดียวสี่ล้านหยวน ที่เกินออกมาหนึ่งล้านนั้น ถือเป็นค่าเช่าห้องของเขา
แต่ว่าเยี่ยตงผิงไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนรถ นอกจากทำบัตรธนาคารเพิ่มสามใบรวมหนึ่งแสนแล้ว เงินที่เหลืออีกสามล้านเจ็ดก็เก็บไว้ในบัญชีเดียวกัน ลูกชายตอนนี้อายุยังน้อย อีกหน่อยไม่แน่ว่าอาจจะต้องใช้เงิน
“พ่อ อีกเดี๋ยวผมจะออกไป เอากุญแจรถมาให้ผมเถอะ!” เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปทางพ่อของตัวเอง
“นายไม่บอกว่าจะไปวันพรุ่งนี้เหรอ” เยี่ยตงผิงมองบุตรชายอย่างไม่เข้าใจ “นายก็ไม่มีใบขับขี่ ออกไปแล้วถูกตรวจขึ้นมาก็ลำบาก…”
เยี่ยเทียนส่ายหัว กล่าวว่า “พ่อ ไม่เป็นไร สกิลการขับรถของผมพ่อยังไม่มั่นใจอีกเหรอเอารถเก่าบุโรทั่งนั่นให้ผม พอดีพ่อก็ไปซื้อรถใหม่ซักคันนึ่ง ซันตาน่าคันนั้นขับไปก็อายเขา!”
เยี่ยเทียนเดินทีเขาก็อยากออกไปในวันพรุ่งนี้ แต่ว่าคำพูดของโจวเซี่ยวเทียนเขาไม่ค่อยจะเชื่อ หากเข็มทิศเวทมนตร์อาวุธวิเศษนั้นไม่สามารถยันต์กับถ้าหยางได้แล้วล่ะก็ ถึงเวลานั้นจะจัดการก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก
เพียงแต่ว่าไปตอนนี้ รถจากปักกิ่งไปฉุ่หยางกลับไม่มีแล้ว เยี่ยเทียนได้แต่ต้องขับรถไปเอง เรื่องความปลอดอะไรกลับไม่เป็นปัญหา เนื่องจากตอนเยี่ยเทียนอายุสิบสี่สิบห้านั้น ก็ขับรถของพ่อไปกลับระหว่างตัวเมืองกับเขาเหมาซานแล้ว
“ซื้อรถดีๆอะไรกันเจ้าตัวแสบนี้พอมีเงินแล้วก็อย่าโอ้อวดไปทั่วสิ”
หลังจากได้ฟังที่ลูกกล่าวแล้ว เยี่ยตงผิงถลึงตามองลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ สั่งสอนว่า “พ่อจะบอกให้นะ ในเมืองปักกิ่งนี่คนที่มีเงินเยอะกว่านายมีมากมาย คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ว่ายังดื่มเหล้าขาวเอ้อร์กัวโถวกับถั่วลิสงเหรอ”
“ไม่ใช่ว่าผมจะโอ้อวดซะหน่อย ซื้อมาก็ให้พ่อขับไง อายุขนาดนี้ออกไปคุยธุรกิจ ขับรถเบนซ์ก็ดีกว่าซันตาน่าเหอะ”
เยี่ยเทียนหัวเราะหึๆ ยื่นมือออกมา หยิบกุญแจรถจากระเป๋ากางเกงของพ่อตัวเองออกมา กล่าวว่า “พ่อ ผมไม่ออกไปด้านหน้าแล้วนะ เดี๋ยวกลับไปฝากพ่อไปบอกหน่อยก็โอเคแล้ว!”
เยี่ยตงผิงไม่รู้จะจัดการกับลูกชายคนนี้ยังไงดี ได้แต่เดินตามหลังแล้วกล่าวว่า “ฉันว่านะ นายจะออกไปไหนน่าจะบอกกันหน่อยนะ”
“เหอเป่ยฉู่หยาง…” ตัวของเยี่ยเทียนเข้าไปในโรงจอดรถแล้ว เสียงก็ลอยออกมาจากที่ไกลไกล
“เจ้าตัวแสบนี่ วันๆ อยู่ไม่สุข!” เยี่ยตงผิงกระทืบเท้า เดินกลับไปที่กลางลานบ้านด้วยสีหน้าหมดหนทาง
……
จากปักกิ่งมากฉู่หยางระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตร ทางด่วนไม่มีตรงไปถึง หลังจากเลี้ยวจากเป่าติ้งเข้าสู่ทางด่วนแล้วจะเป็นเวลากลางคือประมาณห้าทุ่มกว่าแล้ว รอจนเยี่ยเทียนไปถึงฉู่หยาง เวลาก็เลยไปจนตีสองแล้ว
เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ทางป่าตีนเขาทิศตะวันตกของภูเขาไท่หังซาน ไม่มีสถานพักผ่อนใดๆ พอถึงเที่ยงคืน บนถนนก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตซักคนเดียว เยี่ยเทียนหาคนถามทางก็หาไม่มี
ขับตามถนนไปสิบกว่านาที เยี่ยเทียนก็เหลือบไปเห็นร้านเล่นเกมส์ที่ประตูกึ่งเปิดกึ่งปิดเอาไว้ ก็จอดรถหยิบบุหรี่ไปซองหนึ่งจากนั้นก็พูดคุยกันอยู่พักใหญ่ ถึงได้ถามถึงโฮสเทลที่โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่
“แม่เอ๊ย เจ้าเด็กนี่ไม่น่าจนถึงขนาดนี้นะ”
ในตอนที่เยี่ยเทียนหาโฮสเทลนั้นพบ ก็กินเวลาชั่วโมงกว่าไปแล้ว เห็นโฮสเทลที่เป็นห้องชาวบ้านธรรมดานั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
ที่นี่เป็นอาคารเล็กมีสามชั้น กำแพงด้านนอกก็สีหลุดลอกไปไม่น้อยแล้ว ด้านนอกก็มองเห็นฮีทเตอร์วางเรียงรายเป็นแถวๆ ด้านข้างของป้าย ‘โฮสเทลซุ่นเฟิง’ ก็ยังมีป้ายห้องอาบน้ำรวม
ในใจของเยี่ยเทียนก็หงุดหงิดปนสงสัย ในตอนก่อนหน้านั้นตัวเขาเองจ่ายเงินสามหมื่นซื้อของมาจากเจ้าคนนี้ เขาไม่รู้จักหาที่พักดีๆ อยู่หรือยังไง
แน่นอนว่าโฮสเทลเก่าๆ นี้ไม่มีลานจอดรถ เยี่ยเทียนคิดอยู่ซักครู่ เขาก็จอดรถบนถนนที่ห่างจากโรงแรมไปร้อยกว่าเมตร จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเข้าไปยังโฮสเทล
เดินตรงไปยังปากทางบันไดชั้นสอง ที่ถูกทำให้เป็นห้องพัก ภายในมีแสงไฟสลัว เยี่ยเทียนมองไปทางกระจกที่คั่นอยู่แวบหนึ่ง ก็เห็นผู้หญิงสาวอ้วนท้วมที่ไม่แน่ใจว่าอายุเท่าไหร่กำลังนอนอย่างสบายใจบนโต๊ะ
“เอ้อ พี่สาว ผมอยากจะเข้าพัก ยังมีห้องเหลือไหม”
เยี่ยเทียนรู้ว่า โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่ที่นี่ จะต้องไม่ใช้ชื่อจริงแน่นอน หากตัวเขาบอกว่ามาหาคน เกรงว่าพี่สาวร่างใหญ่คนนี้จะหยิบไม้กวาดออกมาไล่ตนเองแน่
หลังจากเคาะกระจกติดต่อกันไปหลายที ผู้หญิงคนนั้นถึงผงกหัวขึ้นมา ตาหรี่มองมาทางเยี่ยเทียน กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ห้องหกคนยี่สิบหยวนต่อคืน ห้องสี่คนสามสิบ!”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยปากถามว่า “พี่สาว ผมจะนอนอย่างเดียว ไม่อยากได้ยินเสียงคนกรน มีห้องพักเดี่ยวไหม”
“อยากพักคนเดียวก็ไปโรงแรมสิ มาที่นี่ทำไม”
ผู้หญิงคนนั้นเริ่มรำคาญแล้ว เดินจากที่เมื่อซักครู่แล้วก็หยิบสมุดที่เปื้อนคราบน้ำลายออกมา พลิกไปมา พลางกล่าว “ยังมีห้องเดี่ยว คืนละแปดสิบหยวน!”
แท้จริงแล้วห้องเดี่ยวที่นี่ แพงที่สุดก็แค่ห้าสิบหยวนต่อคืน แต่ว่าสาวอ้วนนี้เห็นเยี่ยเทียนแต่งตัวไม่เลวอาจจะเชือดเขาเท่านั้น เงินที่เหลืออีกสามสิบหยวนก็กั๊กไว้เข้ากระเป๋าตัวเองไป
“ได้ แปดสิบก็แปดสิบ นี่เงิน แล้วก็บัตรประชาชน!” เยี่ยเทียนเปิดบานหน้าต่างเล็กแล้วจากนั้นก็นำเงินและบัตรประจำตัวประชาชนยื่นเข้าไป
เงินรับไว้ แต่บัตรประจำตัวประชาชนกลับถูกส่งออกมาโดยหญิงร่างอวบพร้อมกับกุญแจ “เข้าพักที่นี่ไม่ต้องใช้บัตรประชาชน เงินยี่สิบหยวนถือเป็นมัดจำแล้ว จะคืนให้ตอนออกไป ห้องที่สี่ชั้นสอง นายเดินไปเองนะ”
เยี่ยเทียนไม่ได้กล่าวอะไร หยิบบัตรประชาชนและกุญแจได้ก็หันเดินขึ้นไปชั้นสอง หลังจากเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้ว เหมือนโดนตีแสกหน้า “เฮ้ย ยิ่งอยู่ยิ่งเหมือนวนกลับไปเป็นแบบเก่า!”
เยี่ยเทียนน่าจะคิดได้ก่อนว่า จากงานนั่นที่โจวเซี่ยวเทียนทำ แน่นอนว่ายิ่งเรียบง่ายเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น หากเขากล้าไปพักในโรงแรม รอจนเกิดเรื่องแล้ว ตำรวจสืบรายชื่อคนเข้าพักในเวลานี้ แน่นอนว่าจับไม่ผิดตัว
แต่เทียบกับโฮสเทลแบบนี้ซึ่งคืนละยี่สิบสามสิบหยวน ไม่มีใครถามหาบัตรประชาชนมาใช้ขึ้นทะเบียน คนที่อยู่ก็มีดีมีเลวปนกันไป เป็นแหล่งหลบซ่อนตัวที่ดีทีเดียว
เรื่องพวกนี้เยี่ยเทียนรู้อยู่แล้ว ในตอนที่เขาและนักพรตเฒ่าตระเวนท่องเที่ยวไปในปีนั้น โดยปกติแล้วก็ล้วนพักตามที่พักแบบนี้ เพียงแต่ว่าการใช้ชีวิตสบายหลายปี เยี่ยเทียนจึงลืมเรื่องนี้ไปสนิท
ขับรถติดต่อกันห้าหกชั่วโมง เยี่ยเทียนจึงรู้สึกง่วง ถึงแม้จะรู้ว่าโจวเซี่ยวเทียนจะอาศัยอยู่ห้องที่ติดหน้าต่างตรงนั้น ก็ขี้เกียจจะไปหาเขา
เอากระเป๋าสะพายตัวเองหนุนแทนหมอน เยี่ยเทียนไม่ถอดเสื้อออกก็ล้มตัวนอนลงบนเตียง เผลอหลับข้ามไปอีกวัน พอถึงเก้าโมงกว่าของวันที่สอง ถึงได้ลุกขึ้นมาจากเตียง
โฮสเทลแบบนี้ไม่มีห้องน้ำในตัว แล้วก็ไม่มีแปรงสีฟัน ยาสีฟันวางไว้ให้ มีห้องน้ำและห้องอาบน้ำที่จัดไว้ที่ชั้นหนึ่งเฉพาะ
หลังจากอาบน้ำเสร็จ หยิบกระเป๋านั้นของตัวเอง เยี่ยเทียนก็เดินมาที่หน้าห้องที่โจวเซี่ยวเทียนพักอยู่ เอาหูแนบประตูฟังเสียงอยู่ชั่วครู่ ด้านในก็มีเสียงเบาและเสียงหายใจกระชั้นออกมาจากด้านใน ดูท่าแล้วเจ้าเด็กนี่จะบาดเจ็บไม่น้อย
ตึง!
เยี่ยเทียนเคาะประตูห้องอย่างเบามือ เสียงหายใจด้านในพลันหายไปแล้ว หลังจากไม้ร้องเตียงดังขึ้นมาครู่หนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาจนจับไม่ได้
“ใคร” โจวเซี่ยวเทียนทำเสียงต่ำดังลอดออกมาจากประตู
“เปิดประตู!” หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะถูกเจ้าเด็กแสบนี่ล้างสมอง เยี่ยเทียนเวลาพูดก็หลุดออกมาทีละคำทีละคำ
“เข้ามา” หลังจากได้ยินเสียงของเยี่ยเทียน ด้านในเหมือนกับถอนหายใจเบาไปเปลาะหนึ่ง เสียงบิดกลอนประตูก็ดังขึ้นมา ประตูห้องถูกเปิดออกเป็นช่องเล็กๆ
รอจนเยี่ยเทียนเดินเข้าไปแล้ว โจวเส้าเฟินก็ยื่นหัวออกมาตรวจดูด้านนอกหนึ่งรอบ ถึงได้ปิดประตู หลังจากลงกลอนแล้วก็เอากลอนขัดประตูด้านในขัดไว้
“นายหายใจไม่เหนื่อยหรือไง”
รอจนโจวเซี่ยวเทียนเดินกลับมาแล้ว เห็นใบหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือดดวงนั้น เยี่ยเทียนที่เดิมทีเต็มไปด้วยเพลิงโทสะก็เย็นลงไป
ในฐานะที่เป็นอาจารย์เต๋าที่ได้รับสืบทอดมา ใช้ชีวิตได้อนาถขนาดนี้ ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงแม้จะไม่ชอบเขาเท่าไหร่นัก แต่ถือว่าเป็นคนที่ทำอาชีพเดียวกัน ในใจของเยี่ยเทียนก็เกิดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“เหนื่อย แต่ก็ต้องหายใจ แค่ก…แค่กๆๆ!” โจวเซี่ยวเทียนยังกล่าวไม่จบประโยคก็ไอจนตัวโยนเยี่ยเทียนรับรู้ได้อย่างแน่ชัด ไอร้ายจากธาตุหยางเย็นที่อยู่ในร่างกาย
ไม่มีเข็มทิศเวทมนตร์คุ้มครองตัว อย่างมากร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนก็แข็งแรงกว่าคนปกตินิดเดียวเท่านั้น สิ่งที่เขาเรียนบำเพ็ญมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เคล็ดพลัง ไม่มีทางยับยั้งไอร้ายจากธาตุหยางเย็นให้ซึมเข้าสู่ร่างกายได้เลย
เยี่ยเทียนส่ายศรีษะ สายตาสอดส่ายไปรอบห้อง อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ขมวดคิ้วและถามว่า “นายกินของพวกนี้เหรอ ก่อนหน้านั้นที่ได้เงินจากฉันไปไปไหนหมดแล้ว”
บนโต๊ะที่อยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง มีผักดองอยู่ไม่กี่ถุง หมั่นโถวสี่ห้าอันที่แข็งจนเป็นหิน น้ำร้อนที่อยู่ในกาน้ำชากระเบื้องก็ไม่มีไอร้อนใดๆ หลงเหลืออยู่
………………
ตอนที่ 258 สืบทอดตระกูลโจว
โดย
Ink Stone_Fantasy
โจวเซี่ยวเทียนเพิ่งจะเปิดปากพูด อาการไอรุนแรงก็ทำให้คำพูดนั้นชะงักไป ใบหน้าขาวซีดก็ปรากฏสีแดงที่ดูสุขภาพไม่ดีเอามากมากขึ้น
เยี่ยเทียนยื่นมือออกไปจับไหล่ซ้ายของโจวเซี่ยวเทียน กล่าวว่า “ขอมือซ้ายให้ฉัน!”
“อาจารย์จะทำอะไร”
โจวเซี่ยวเทียนตกใจ หดมือกลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่การกระทำนั้นไม่เร็วเท่าเยี่ยเทียน ถูกเขาจับจุดชีพจรไท่หยวน แค่รู้สึกว่าร่างกายส่วนหนึ่งชาล้มลงบนที่นอน
“อาการบาดเจ็บนี้เป็นตรงปอด และลักษณะอาการยังรุนแรงอีกด้วย!”
นิ้วมือสองนิ้วอยู่บริเวณข้อมือของโจวเซี่ยวเทียน หลังจากจับชีพจรซักครู่ เยี่ยเทียนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเป็นแบบนี้ต่อไป นายจะมีชีวิตอย่างมากที่สุดก็ครึ่งปี”
มีท่อนหนึ่งของ ‘คัมภีร์หลิงซู บทจิงม่าย’ กล่าวว่า ปอดบวมเต็มที่ พองโตและไอไม่หยุด หากไม่ทำการรักษา ไม่นานก็จะไอเป็นเลือดจนตาย คนโบราณเรียกว่าวัณโรค
วิชาแพทย์สมัยใหม่ก้าวล้ำ โรคชนิดนี้ก็ไม่ใช่โรครักษายากอีกต่อไป แค่นอนโรงพยาบาลทำการรักษาช่วงระยะเวลาหนึ่งก็สามารถหายได้ แต่ว่าเยี่ยเทียนเห็นสภาพทรุดโทรมของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว แม้แต่เงินกินข้าวก็น่าจะไม่มีแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทำการรักษา
มาอาศัยอยู่ที่โฮสเทลเพื่อหลบสายตาคนอื่น เยี่ยเทียนเข้าใจได้ แต่ผักดองกับหมั่นโถวที่วางอยู่บนโต๊ะนั่น เห็นได้ชัดว่าเงินทองของโจวเซี่ยวเทียนนั้นขัดสนอย่างหนัก เยี่ยเทียนไม่รู้จริงๆ ว่าเงินที่เขาหาได้ไปไว้ไหนหมด
“ยังมีชีวิตอยู่ได้อีกครึ่งปีเพียงพอแล้ว! ” ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนแย้มรอยยิ้มที่น่าสมเพช ถ้าดูจากอายุเขากับเยี่ยเทียนนั้นพอๆ กัน แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
เยี่ยเทียนถามอย่างรู้สึกประหลาดว่า “โรคชนิดนี้ไม่ได้รักษายาก นอนโรงพยาบาลจ่ายเงินไม่กี่พันก็พอแล้ว นายจะไม่ไปรักษาเหรอ”
“ไม่มีเงิน! ” โจวเซี่ยวเทียนตอบออกมาอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันว่านายมันน่าอัดนักรอบที่แล้วที่ได้เงินจากฉันไปสามหมื่นล่ะ”
เยี่ยเทียนโตจนป่านนี้ เดิมมีแต่คนอื่นที่ต้องปวดหัวเพราะเขา ครั้งนี้นับว่าได้เจอดาวเคราะห์แล้ว คนที่พูดคำพวกนี้ออกมา ในใจของเขาก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนแอ
สีหน้าโจวเซี่ยวเทียนไม่เกรงกลัวความตายแม้แต่น้อย ค้อนเยี่ยเทียนไปครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “เอาไปรักษาหมดแล้ว รักษาแม่!”
“นับว่ากตัญญูนะ”
เยี่ยเทียนมองหน้าโจวเซี่ยวเทียนอย่างพินิจพิจารณาในใจหักล้างกันอยู่ซักครู่และกล่าวว่า “นายเสียพ่อไปตอนยังเด็กพ่อเสียไปเร็วแม่รับผิดชอบภาระทั้งหมด แต่แม่ก็มาตาบอดตอนวัยกลางคนมาทำงานแบบนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือกใช่ไหม”
“คุณ….คุณรู้ได้ยังไง!” ใบหน้าเรียบสนิทโจวเซี่ยวเทียนที่ดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรกระตุ้นความสนใจของเขาได้ หลังจากได้ฟังคำกล่าวของเยี่ยเทียนแล้ว ในที่สุดสีหน้าก็แปรเปลี่ยน
เยี่ยเทียนหัวเราะ กล่าวว่า “เห็นจากโหงวเฮ้งหน้าของนาย ตระกูลนายสืบทอดวิชาน่าจะเป็นศาสตร์พยากรณ์สินะ นายไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอกนะ”
หน้าผากของโจวเซี่ยวเทียนอยู่สูง และหน้าผากในตำราโหงวเฮ้งก็คือ เฉียนกว้า หมายถึงบิดา ดังนั้นหน้าผากสูงแปลว่าบิดามีอาการบาดเจ็บและไร้วาสนา
ในยุคสมัยนี้ก็มีศาสตร์ทำนายโหงวเฮ้งของใบหน้าซึ่งคลาสสิคที่สุด บุคคลมีชื่อเสียงคนนั้นหน้าผากสูง เป็นคนกะโหลกหน้าสูง ตั้งแต่เด็กก็ดูโดดเด่น แต่พ่อกลับชอบดูถูกเขา ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ถูกกัน และพ่อก็มาจากไปอย่างรวดเร็ว
“นายปล้นสุสาน ก็เพื่อจะเอามารักษาแม่” หลังจากดูโหวงเฮ้งบนหน้าโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเขาไปอยู่บ้าง
โจวเซี่ยวเทียนพยักหน้าอย่างเงียบๆ กล่าวว่า “ดวงตาข้างหนึ่งของแม่มองไม่เห็นแล้ว จะต้องเปลี่ยนกระจกตา โรงพยาบาลบอกต้องใช้เงินแปดหมื่น ผม…ผมเงินไม่พอ!”
หรือบางทีเป็นถูกเยี่ยเทียนพูดแทงใจดำ โจวเซี่ยวเทียนพูดมากกว่าเดิมไม่น้อย อย่างน้อยฟังแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกๆ
“เยี่ยเทียน เปิดจุดหยาง ผมไม่ได้ตั้งใจ!” โจวเซี่ยวเทียนพลันเงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ผมไม่มีความสามารถพอที่จะปิดผนึกมัน คุณ…คุณช่วยผมได้ไหม”
โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนร่ำเรียนศาสตร์วิชา เขารู้ว่าหากเปิดจุดหยางจะทำให้สรรชีวิตวุ่นวายยากลำบาก ผลของมันไม่ใช่แค่กระทบกับตัวเขาคนเดียว
ดังนั้นเพื่อแม่ของเขา โจวเซี่ยวเทียนก็ยอมค้อมหัวให้เยี่ยเทียน แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนลึกซึ้งในเรื่องของวิชานั้นแค่ไหน แต่แค่ใช้ตามองก็เห็นได้จากครั้งที่แล้วที่ขายโคมไฟจูเสวี้ยที่มีไอร้ายอยู่ภายใน วิธีการนี้ก็ทำให้เขาคาดหวังเป็นอย่างมาก
หลังจากได้ฟังคำของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนกล่าวแบบไม่ตอบรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธว่า “นายเล่าเรื่องของนายมาก่อน ฉันไม่ได้ช่วยใครง่ายๆ !”
ไหนๆ ก็เข้ามาพัวพันเรื่องนี้แล้ว ยังไงเยี่ยเทียนก็ต้องยื่นมือเข้าช่วย แต่เขาจะต้องรู้ที่มาที่ไปของโจวเซี่ยวเทียน มิเช่นนั้นจะกลายเป็นว่าช่วยส่งๆ ไปจะถูกมองว่ายุ่งเรื่องชาวบ้านเข้า
โจวเซี่ยวเทียนเดิมทีก็ไม่อยากพูด แต่เห็นท่าทีเด็ดขาดของเยี่ยเทียน ก้มหัวลงกล่าวว่า “ผมเป็นลูกหลานรุ่นหลังของโจวตุนอี้”
เยี่ยเทียนตกตะลึง รีบถามต่อว่า “เป่ยซ่งโจวตุนอี้เหรอ”
“ใช่ น่าละอายต่อบรรพบุรุษนัก!” โจวเซี่ยวเทียนยิ่งก้มหัวต่ำลงไปอีก แต่ทว่าเยี่ยเทียนก็เข้าใจจิตใจของอีกฝ่ายในตอนนี้
โจวตุนอี้เรียกเม่าซู ฉายา เหลียนซี นักปรัชญามีชื่อในสมัยเป่ยซ่ง เป็นบรรพบุรุษของปรัชญาแนวบุกเบิกไคซานปี๋ซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการ โจวตุนอี้เกิดที่ชงหลิง มีผลงาน ‘ไท่จี๋ถูซัว’ ‘ท่งจิง’ เผยแผ่หลักหยินหยางห้าสาย อนาคตขึ้นอยู่กับสวรรค์แต่นิสัยขึ้นอยู่กับมนุษย์ รอบรู้ทุกสรรพสิ่ง
ความจริงแล้วก่อนโจวตุนอี้มีชื่อเสียงไม่ค่อยมีคนนับถือ ฐานะทางการศึกษาก็ไม่สูง คนรู้แค่ว่าเขา รอบรู้ด้านการเมือง มีจิตใจที่ชอบหลบเร้นอยู่ตามป่า ใช้ชีวิตเรียบง่าย ชอบหุบเขาลำเนาไพร แต่ไม่มีคนรู้จักแนวคิดทางปรัชญาของเขา
ต่อมาขุนนางหนานอันตำแหน่งทงพ่านเฉิงไท่จงส่งให้ลูกชายสองคนเฉิงฮ่าวและเฉิงอี๋มายังสำนักของเขา หลังจากนั้นแซ่เฉิงทั้งสองคนก็กลายเป็นนักปรัชญามีชื่อ นักปรัชญาคนดังจูซีได้ยกย่องเขาเป็นอย่างมากได้มีบทแนบท้ายได้แก่ ‘ไท่จี๋ถู’ ‘อี้ซัว’ และ ‘อี้ทง’ ทำให้ชื่อเสียงเริ่มโด่งดังขึ้นมา
แต่ว่าคนรุ่นหลังของประเทศกลับมองว่าโจวตุนอี้เป็นแค่บรรพบุรุษของปรัชญาแนวบุกเบิกไคซานปี๋ แต่ไม่รู้ว่า เขาเองก็เป็นนักดูหยินหยาง รู้ซึ้งถึงศาสตร์แขนงพยากรณ์หยินหยางห้าสายอย่างลึกซึ้ง โดยสรุปวิชาดูฮวงจุ้ยของที่สืบทอดมาของตระกูลโจว ในยุทธภพฉีเหมินก็ถือว่าได้รับการยอมรับ
โจวตุนอี้วิถีชีวิตเรียบบริสุทธิ์ วิชาที่สืบทอดมาของตระกูลโจวในสมัยก่อนก็ถือว่ามีฐานะในฉีเหมินที่สูงพอตัว และในฐานะของหลานชาย โจวเซี่ยวเทียนกลับเปลี่ยนสายไปขโมยขุดสุสาน มิน่าล่ะ เมื่อก่อนไม่ยอมเปิดปากเล่า
“วิชาสืบทอดของพวกนายไม่ได้อยู่ที่มณฑลหูหนานเหรอ ทำไมมาถึงนี้ได้”
เยี่ยเทียนเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงวิชาสืบทอดของตระกูลโจว รู้ว่าลูกหลานของโจวตุนอี้ส่วนใหญ่อยู่แถบหูหนานเจียงซี แต่หลังจากปลายราชวงศ์ชิง ตระกูลโจวก็ออกจากยุทธภพฉีเหมิน แล้วก็แทบไม่ค่อยได้ยินข่าวคราวของพวกเขาอีกเลย
“ตระกูลเราย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่มณฑลเหอเป่ยได้สี่รุ่นแล้ว ตาของผมถูกคนทำร้ายเสียชีวิต พ่อของผมก็มาเสียไปอีกคนตอนต้นปีแปดศูนย์ ก็เหลือแต่ผมกับแม่แค่สองชีวิตที่ดูแลกัน ผมก็ไม่ได้อยากไปขโมยขุดสุสาน…”
โจวเซี่ยวเทียนดูเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง ก็ไม่ตอบคำถามของเยี่ยเทียน พูดเรื่องของตัวเองที่อยากพูดออกมา อาจะเป็นเพราะในเวลาปกติไม่ค่อยได้สื่อสารกับคนอื่น พูดจาวกไปวนมา แต่เยี่ยเทียนก็เข้าใจถึงที่มาภูมิหลังของเขาแล้ว
ที่แท้ ตาทวดของโจวเซี่ยวเทียนก็คือผู้สืบทอดทางสายเลือดฝั่งภรรยาของโจวตุนอี้ แต่ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงเป็นยุคเปลี่ยนผ่านระบบการปกครอง ในตระกูลมีคนแอบดูผู้สืบทอดของโจวตุนอี้ ประจวบกับคนนอกที่เตรียมจะฉกชิงตำราที่โจวตุนอี้ทิ้งเอาไว้บางส่วน
เพื่อป้องกันการเกิดเหตุ ตาทวดของโจวเซี่ยวเทียนก็เลยพาภรรยาหันหลังจากบ้านเกิดมายังเหอเป่ย ถังซานแถบนี้และตั้งรกรากอยู่ที่นี่ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่มีความรู้แตกฉาน ไม่นานก็กลายเป็นคุณครูในสถานที่กว้างขวางแห่งนี้ ทั้งยังได้รับความเคารพนับถือจากผู้คน
โจวเทียนฉี่ซึ่งเป็นตาของโจวเซี่ยวเทียนรับสืบทอดวิชาของตระกูล เป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยคณะปรัชญาที่เหอเป่ย เดิมทีชีวิตความเป็นอยู่ของบ้านพวกเขานับว่าดี แต่ความวุ่นวายเมื่อสิบปีก่อน ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
เริ่มจากตาของโจวเซี่ยวเทียนในฐานะอาจารย์ถูกลากออกไปรุมทำร้าย ต่อมามีคนรื้อค้นลังหนังสือหลายลังที่เขาซ่อนไว้ที่บ้านคัมภีร์ลับเคล็ดวิชาตระกูลโจว
คนพวกนั้นไม่มีใครอ่านของพวกนี้ออก แต่กลับใส่ร้ายคุณตาของโจวเซี่ยวเทียนว่าเป็นตำราของพวกสังคมปิด แค่นี้ยังไม่พอยังวางเพลิงเผาลังหนังสือต้องการให้คัมภีร์เคล็ดวิชาที่สืบทอดมามลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
เดิมทีร่างกายของโจวเทียนฉี่ก็ถูกพวกคนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บหลายแห่ง เมื่อเห็นหนังสือที่สืบทอดมาสิบชั่วอายุคน กลับถูกทำลายไม่เหลือซากในรุ่นของตน ในเวลานั้นก็โกรธแค้นจนกระอักเลือดตาย
และตอนนั้นพ่อของโจวเซี่ยวเทียนที่เพิ่งแต่งงานจึงเหลือเพียงวิชาติดตัว นอกนั้นก็ตัวเปล่าเล่าเปลือย แต่ก็ไม่กล้านำออกมาใช้ ในตอนที่ป้องกันโจวเทียนฉี่ก็ถูกคนตีจนภายในบาดเจ็บ และก็เสียไปตอนโจวเซี่ยวเทียนอายุได้แปดขวบ
หลังจากนั้นก็มีนโยบายจากรัฐออกมา จึงมีเงินเยียวยาให้กับตระกูลโจวบางส่วน แม่ของโจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนทำงานในตอนที่โจวเทียนฉี่เป็นอาจารย์อยู่ในมหาวิทยาลัย
เพียงแต่คุณผู้หญิงโจวเสียใจที่สามีเสียชีวิต ดวงตาที่บอดก็เนื่องมาจากการที่มักจะร้องไห้ เริ่มจากมองเห็นไม่ชัดจนค่อยๆ กลายมาเป็นผิดปกติไป เมื่อไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ทำเรื่องลาออกมา สองแม่ลูกก็ได้แต่อาศัยเงินเกษียณอายุอันน้อยนิดประทังชีวิต
เมื่อหลายปีมานี้ ดวงตาของแม่โจวเซี่ยวเทียนก็กลายเป็นบอดสนิท โจวเซี่ยวเทียนพาแม่ไปโรงพยาบาลหาหมอ และคุณหมอบอกว่าเกิดจากการที่เยื่อบุตาอักเสบซ้ำๆ ทำให้ตาขุ่น จะต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนเยื่อบุดวงตา มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นตาบอดโดยสมบูรณ์
จะว่าไปตระกูลโจวเดิมทีก็พอมีสมบัติเก่าเก็บอยู่บ้าง แต่ในปีนั้นที่ถูกรื้อค้นก็ถูกขโมยเอาไปจนไม่เหลือ พ่อของโจวเซี่ยวเทียนก็มาเสียชีวิตลงก่อนไม่ได้ทิ้งเงินทองอะไรไว้ให้ เรื่องพวกนี้เองที่ทำให้ความกดดันพลันมาตกอยู่กับโจวเซี่ยวเทียน
ตอนที่ 259 จุดเกิดจุดตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
เดิมทีโจวเซี่ยวเทียนไม่ใช่คนที่นิสัยแปลกแยก เพียงแต่ว่าเมื่อทางบ้านเกิดเรื่องราวที่เป็นจุดเปลี่ยน จึงทำให้คุยกับคนอื่นน้อยลงไปด้วย นานวันเข้าจึงกลายเป็นคนที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปากและนิสัยเย็นชา
แต่ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาเจอเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ความอัดอั้นในใจของเขาก็เป็นที่รับรู้ได้ ในตอนนี้หาที่ระบายความทุกข์ได้จึงพรั่งพรูออกมาจนหยุดไม่ได้
เมื่อได้ฟังเรื่องราวในสิบกว่าปีที่ผ่านมาในชีวิตของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกเห็นใจขึ้นมา แต่เดิมเขาคิดว่าตัวเองตั้งแต่เล็กโตมาไม่มีแม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งแล้ว แต่เมื่อเทียบกับโจวเซี่ยวเทียน ตัวเขาเองถือว่าโตมามีชีวิตที่สุขสบายเป็นอย่างมาก
และเยี่ยเทียนยังรู้อีกว่า มองไปที่โจวเซี่ยวเทียนที่อายุอย่างมากไม่เกินยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี ปีนี้น่าจะอายุสิบแปดปี เมื่อคำนวนแล้วอายุน้อยกว่าเขาสองสามปี คนมักพูดว่าครอบครัวยากจนเด็กจะดูโตกว่าอายุ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อย ก็เริ่มกล่าวว่า “บ้านนายความรู้ลึกซึ้ง ก็ถือได้ว่าเป็นคนดูฮวงจุ้ยของฉีเหมิน น่าจะรู้ว่า ขโมยขุดสุสานคนตายจะทำให้ความสมดุลของสวรรค์เสียหาย ในอนาคตอย่าทำอีกเลยเถอะ!”
นักดูฮวงจุ้ยที่ทำงานในสายอาชีพนี้ เดิมทีก็ถูกสวรรค์ริษยา หากไปเกี่ยวข้องกับเหตุอื่นๆ นั่นเท่ากับเป็นการท้าทายชะตาชีวิตตัวเอง เช่นเดียวกับที่ ‘ปอด’ โจวเซี่ยวเทียน บาดเจ็บ ก็มาจากมุทะลุจนเจอตอเข้าให้
หลังจากได้ฟังที่เยี่ยเทียนกล่าวแล้ว โจวเซี่ยวเทียนส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ทำงานนี้ฉันก็ไม่รู้จะทำงานอะไรนี่นา แรกเริ่มเดิมทีก็แค่คิดว่าขโมยขุดสุสานนี้แล้วพอให้ได้เงินค่าผ่าตัดให้แม่ก็จะวางมือ แต่…แต่ไม่คิดว่า…”
โจวเซี่ยวเทียนเดิมทีก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสังคมกับใคร แม้ว่าจะมีความรู้เรื่องฮวงจุ้ยและการพยากรณ์อยู่บ้าง แต่ในเมืองหลวงกลับไม่มีโอกาสให้ได้เอาออกมาใช้งาน เขาเคยคิดว่าจะไปตามชนบทเพื่อเปิดตลาด แต่ใครจะเชื่อเด็กอายุแค่นี้กันล่ะ
สุดท้ายก็ไร้หนทางจนต้องเลือกมาทำอาชีพขุดสุสานนี่ โดยเฉพาะหลังจากได้เงินสามหมื่นมาจากเยี่ยเทียนแล้ว โจวเซี่ยวเทียนก็เห็นความหวังที่จะเอาเงินมารักษาดวงตาของแม่
โจวเซี่ยวเทียนรู้ดีว่าการขโมยขุดสุสานนั้นทำลายความสมดุลของสวรรค์ ดังนั้นจึงใช้เวลาถึงสามเดือนเก็บมานิดเดียว เตรียมจะวางมือหลังจากจบงานนี้
แต่โจวเซี่ยวเทียนไม่คิดมาก่อนว่า ภายในสุสานจะมีไอพลังร้ายซ่อนอยู่ ซึ่งมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้ เกินกว่าความสามารถที่เขาจะรับมือไหว
“นายนี่มันเป็นเด็กที่โชคร้ายจริงๆ!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจออกมา ในสมองพลันนึกเรื่องอะไรเรื่องหนึ่งออก เริ่มกล่าวว่า “ใช่แล้ว ตอนนั้นยื้อแย่งอาวุธวิเศษกับฉันตั้งหลายชิ้นในตลาดมืดนั่น ไม่ใช่ว่าเรียกราคาได้สามหมื่นห้าเหรอทำไมแค่เจ็ดแปดหมื่นควักออกมาไม่ได้”
พวกคนที่ท่องไปทั่วหล้า แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีคำไหนที่พูดจริงอยู่แล้ว มักจะพูดจริงสิบส่วนโกหกหนึ่งส่วนอยู่แล้ว ใช้คำพูดหลอกล่อในตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเพื่อให้คนแยกไม่ออก ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนคิดถึงเรื่องเมื่อครานั้น ดวงตาไม่วายออกอาการสงสัย
“อาวุธหยกพวกนั้นเป็นของวิเศษ” ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนปรากฏรอยยิ้มเจื่อนๆ กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นผมก็ไม่มีเงิน แต่ผมรู้ว่าอาวุธหยกนั้นเป็นของดี อยากซื้อมาไว้ขายต่อ”
“ไม่มีเงิน นายกล้าเกทับได้ยังไง” เยี่ยเทียนขัดขึ้น
“ผมซื้อขายกับเถ้าแก่จี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ตามหลักแล้วสามารถกู้เถ้าแก่ได้สองแสน ดังนั้นผมเลยเสนอราคาสามแสนห้า!”
“คำพูดนายมันไม่สมเหตุสมผล…” เยี่ยเทียนส่ายหัว “นายรีบร้อนจะหาเงินมารักษาตาให้แม่ ทำไมไม่ขอกู้เงินจากจี่หรานมาก่อนล่ะ”
“ยืมเงินจากเขาก็ต้องบอกเรื่องความเป็นมาของพวกเราให้เขารู้หมด หากคืนเงินให้เขาไม่ได้ตามกำหนดเวลา ของที่ขุดเจอจากสุสานภายในสามปีจะต้องขายให้เขาก่อน ราคาแล้วแต่เขาจะกำหนด ดังนั้นถ้าไม่จวนตัวจริงๆ ผมไม่อยากไปยืมเงินจากเขา!”
ยืมเงินจากจี่หราน ก็เหมือนกับเซ็นสัญญาทาสขายตัวเอง โจวเซี่ยวเทียนยังไม่ถึงกับอับจนหนทางขนาดนั้น ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่ได้ขอยืมเงินจากนี่หราน
แต่ในตอนระหว่างที่ประมูลครั้งนั้น โจวเซี่ยวเทียนเห็นอาวุธหยกจำพวกนั้นไม่ธรรมดา คิดว่าหากซื้อไว้กับตัวและหาโอกาสปล่อยออกไป ก็จะสามารถคืนเงินที่ยืมจี่หรานมาและล้างมือกลับตัวได้ ดังนั้นในตอนนั้นจึงเสนอราคาแข่งกับเยี่ยเทียนไป
แต่ตอนที่เยี่ยเทียนเสนอไปถึงห้าแสน เขาก็รู้สึกว่าต่อให้จะอยากได้ขนาดไหนแต่เงินไม่เอื้ออำนวย ได้แต่จ้องมองของเหล่านั้นเข้ากระเป๋าเยี่ยเทียนอย่างเงียบๆ
“เจ้าเด็กนี่นี่มันหลอกตุ๋นชัดๆ เลยนี่”
คิดว่าเป็นเพราะโจวเซี่ยวเทียนทำให้ตัวเองต้องจ่ายเงินแพงกว่าเดิมหลายแสน ในใจของเยี่ยเทียนก็รู้สึกหงุดหงิด แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อในคำกล่าวของอีกฝ่ายซะหมด แต่กลับหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้น
“สหายจี่ ผมเยี่ยเทียน….” หลังจากโทรติดเบอร์จี่หรานแล้ว เยี่ยเทียนถามว่า “ถามอะไรนายหน่อย ได้ยินว่าทั้งสองฝ่ายเมื่อทำการซื้อขายในตลาดมืด สามารถยืมเงินจำนวนหนึ่งจากนายได้ ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จกันแน่”
‘อืมๆ ฉันรู้แล้ว ขอบคุณสหายจี่ ฉันอยู่นอกเมือง รอกลับไปปักกิ่งค่อยว่ากันแล้วกัน!” หลังจากได้ฟังความในโทรศัพท์ซักพัก เยี่ยเทียนพยักหน้าติดต่อกัน ปฏิเสธความคิดของจี่หรานที่จะชวนเขากินข้าว ก็วางสายไป
“นี่มันโลกมืด เจ้าเด็กนี่ไม่แค่เล่นของโบราณ แม้แต่กู้เงินนอกระบบก็ทำมาแล้ว” เยี่ยเทียนส่ายหน้า เชื่อคำพูดของโจวเซี่ยวเทียนแล้ว
สามารถยืมเงินจากจี่หรานได้ ซื้อขายทั้งสองฝ่ายล้วนได้หมด แต่ก็มีแบ่งเป็นระดับ เช่นลูกค้าแบบเยี่ยเทียน ยืมเงินสดจากเขาสามล้านห้าล้านล้วนไม่มีปัญหา แต่กับโจวเซี่ยวเทียน สูงสุดก็แค่สามแสน
และจี่หรานเก็บดอกเบี้ยสูงมาก ไม่ได้คิดเป็นเดือนแต่คิดเป็นวัน ต้องจ่ายดอกเบี้ยทุกวัน เรื่องนี้แม้แต่โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่คิดจะยืมเงินแล้วมาเสนอราคาสู้กับเยี่ยเทียนในครานั้นแน่
หลังจากไล่เรียงต้นสายปลายเหตุเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเทียนก็กล่าวว่า “ถือว่าฉันเชื่อคำพูดนายแล้ว คุยเรื่องที่นี่กันดีกว่า”
สุสานนี้อยู่ที่หยางผิงข้างหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ฉันเทียวลอยชายไปลอยชายมาอยู่สามเดือนแล้ว ด้านล่างจะต้องมีสุสานใหญ่อยู่แน่นอน”
“และบริเวณนั้นด้านหลังติดกับภูเขาเถี่ยซาน มู่ซานและหวังซาน เป็นไปในลักษณะโอบล้อม ทางทิศตะวันออกและตก และมีแม่น้ำซาเหอไหลผ่าน เป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีที่สุดที่หนึ่ง!”
ในตอนที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียนแสดงความมั่นใจออกมา คัมภีร์สืบทอดลัทธิตระกูลโจวจะเน้นไปทางการดูฮวงจุ้ยของชัยภูมิ ถึงแม้สิ่งที่เขาเรียนมาจะขาดๆ เกินๆ ไม่ครบสมบูรณ์ แต่ว่ามั่นใจในสายตาของตัวเองมาก
“ในตอนที่นายเปิดถ้ำสุสาน เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น”
เยี่ยเทียนกล่าวถามอย่างไม่แสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ สุสานบนหุบเขาเดิมทีก็เป็นจุดหยาง ยิ่งเป็นจุดที่มีฮวงจุ้ยดีเท่าไหร่ก็ยิ่งมีพลังหยางมากเท่านั้น และหลายพันหลายร้อยปีมานี้เปลือกโลกเคลื่อนตัว แค่การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อาจจะทำให้ถ้ำที่เป็นมงคลกลายเป็นสถานที่ที่พลังหยางเลวร้ายที่สุดก็ได้
สีหน้าของโจวเซี่ยวเทียนปรากฏความกลัวขึ้นมา กล่าวถามว่า “สุสานบนเขานั่นก่อนหน้านั้นก็เคยถูกคนบุกเข้าไปมาแล้ว ตรงจุดเกิดที่นั่น มีช่องขุดขโมยของอยู่ ดูจากร่องรอยน่าจะเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ผมเจาะทะลุช่องที่มีอยู่แล้วนั้น ในตอนที่กำลังเข้าไปในปากถ้ำของสุสาน ปรากฏโครงกระดูกหนึ่ง…”
คนขุดสุสานคนตาย ไม่มีทางหวาดกลัวซากศพแน่นอน โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่ใจกล้ามากคนหนึ่ง ตอนนั้นก็ดึงโครงกระดูกไปไว้อีกทาง กำลังเตรียมชุดกำแพงห้องที่ปิดผนึกถ้ำไว้นั้น
กำแพงกั้นห้องแบ่งออกเป็นสี่ชั้น วุ่นวายอยู่ค่อนคืน โจวเซี่ยวเทียนก็เหงื่อออกเหม็นโฉ่ ในที่สุดก็ขุดชั้นที่สามเป็นรู
แต่โจวเซี่ยวเทียนคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่เขาหยิบอิฐในกำแพงชั้นที่นั้น ก็มีกระแสไอหยางเย็นสายหนึ่งลอยล้นทะลักออกมาจากช่องนั้น ในอึดใจนั้นก็ทำให้โจวเซี่ยวเทียนที่เหงื่อออกโทรมกายรู้สึกเกหมือนตกอยู่ในหุบเขาหิมะ
ในตอนนั้นโจวเซี่ยวเทียนรู้สึกได้แต่รอบตัวมีลมหยางพัดเป็นระลอก ข้างหูได้ยินเสียงครวญครางหมาหอน เลือดทั่วสรรพางย์กายราวมถูกทำให้แข็งเป็นก้อน ในตอนนี้เอง เข็มทิศเวทมนตร์ที่ตัว ก็ปล่อยกระแสความอุ่นออกมาป้องกันร่างกายของโจวเซี่ยวเทียน
คนที่รู้จักฮวงจุ้ยของสุสานเป็นอย่างดีอย่างโจวเซี่ยวเทียนรู้ดี ตัวเองกำลังก่อเรื่องยุ่งยากขึ้นแล้ว ที่นี่ไม่ใช่จุดเกิดที่จะเข้าสุสาน แต่เป็นจุดตายที่มีพลังหยางไหลเวียน เขาก็รู้ดีว่าตัวเองก่อเรื่องใหญ่ขนาดไหน
หลังจากฝังผู้ตายแล้ว เป็นกลิ่นศพที่ลอยออกมาจริงจะค่อยๆจับกับอากาศในถ้ำก่อให้เกิดพลังเกิด ผ่านการแลกเปลี่ยนกันของหยินหยางก่อเกิดเป็นทาง กระทบกับโลกหลังความตายและด้านซ้ายขวาส่งผลกับญาติๆ ที่ยังอยู่บนโลก
และลมในถ้ำก็คือพลังหยาง ทั้งสองสิ่งจะต้องหมุนเวียนกันตามระดับของฮวงจุ้ยภายในสุสาน ถึงจะเกิดพลังโชคลาภ ทั้งสองสิ่งหากมีการแบ่งแยกกันชัดเจนและก็หลอมรวมกัน
แต่หลุมที่โจวเซี่ยวเทียนอยู่นั้น เป็นสถานที่ที่พลังหยินไหลเวียนพอดี เมือเปิดออก ก็ทำให้ไอชั่วร้ายที่กักเก็บมาเป็นพันพันปีเล็ดลอดออกมา ไม่แช่แข็งเขาไว้ที่ตรงนั้นก็เพราะยังดีที่มีอาวุธวิเศษเข็มทิศเวทมนตร์
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนรู้ว่าตัวก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว ก็รีบยัดอิฐก้อนนั้นกลับเข้าไป แล้วก็ถมกำแพงสามชั้นที่เจาะไปก่อนหน้าอุดเข้าไปใหม่ แต่ระดับฮวงจุ้ยถูกทำลายแล้วไม่ใช่ว่าจะสามารถปิดผนึกกันได้ง่ายๆ
โจวเซี่ยวเทียนเข้าใจดี การกระทำของเขานั้นแค่ทำให้ไอร้ายที่จะเล็ดลอดออกมาช้าลงไปเท่านั้น เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ในตอนนั้นกลั้นใจทิ้งเข็มทิศเวทมนตร์ของบรรพบุรุษที่สืบทอดมาไว้ที่นั่น
แต่ภายในเข็มทิศเวทมนตร์เก็บกักพลังดีเอาไว้ เมื่อมาเปรียบเทียบกับไอร้ายในสุสานที่เก็บมาเป็นพันพันปี ก็ถือว่าน้อยมาก อย่างมากสุดก็สามวัน อาวุธวิเศษก็จะถูกกัดกร่อนกลายเป็นภาชนะธรรมดา และไอความชั่วร้ายในสุสานก็ยังจะไหลรั่วออกมาอยู่ดี
“ในตอนที่นายเข้าไปที่พลังสุสาน ไม่ได้สังเกตุชัยภูมิเหรอ”
เยี่ยเทียนหมดคำพูดกับการกระทำยางอย่างของโจวเซี่ยวเทียน ภายในสุสานพลังหยินหยางแบ่งแยกชัดเจน ขอแค่คนที่รู้จักดูพลังชัยภูมิเป็น ก็จะแยกออกได้ทั้งนั้น เจ้าเด็กโง่นี่ทำไมถึงได้วิ่งไปทางที่เป็นถ้ำหยางประตูตายได้กัน
“ผมใช้เข็มทิศเวทมนตร์ดูแล้ว ไม่…ไม่คิดว่าจะผิด…”
โจวเซี่ยวเทียนกล่าวเสียงแผ่ว แต่ก็ทำให้เยี่ยเทียนเข้าใจความเป็นมา อาจารย์ดูฮวงจุ้ยในปัจจุบันได้สูญเสียความสามารถในการสื่อสารกับพลังหยินหยางทั้งสองไป อาศัยอาวุธและผนวกกับเปลือกโลกที่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่จะผิดพลาดก็หนีไม่พ้นว่าจะเยอะหน่อย
มองไปยังหมั่นโถวเย็นชืดบนโต๊ะ เยี่ยเทียนส่ายหัว หยิบยาตันออกมาพร้อมกล่าวว่า “พอแล้ว นายเอายานี่ไปบดให้ละเอียดเป็นน้ำแล้วกินเข้าไป ฉันจะออกไปซื้อของกินหน่อย”
โจวเซี่ยวเทียนเป็นคนกตัญญูรู้คุณ ผนวกกับเข้าสู่สายอาชีพขุดสุสานนี่ก็เพราะตอนนั้นไม่มีทางเลือก ก็ถือว่าเยี่ยเทียนตกลงใจที่จะช่วยเขาครั้งนี้เป็นหลัก และหากดูจากอีกแง่สำคัญอีกอย่างคือโจวเซี่ยวเทียนเป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพคนเดียวที่เขาเคยเจอ
โยนยาลูกกลอนโยนให้โจวเซี่ยวเทียนแล้วเยี่ยเทียนก็ออกจากโฮสเทลไป หาร้านบาร์บีคิวเนื้อลา ไม่ได้ซื้อแบบบาร์บีคิวแต่ซื้อเนื้อลาร้อนๆ มาห้ากิโลกรัม ของอันนี้เป็นยาบำรุงชั้นดี สามารถกำจัดไอเย็นได้
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น