กระบี่จงมา 255.4-255.5

 บทที่ 255.4 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด

โดย

ProjectZyphon

จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามว่า “ภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนเป็นเพราะการฝ่าทะลุขอบเขตของเฉินผิงอันชักนำมาใช่หรือไม่?”


น้ำเสียงเย็นชาของเทพหยินดังออกมาจากในเงามืดมุมกำแพง “น่าจะใช่”


เจิ้งต้าเฟิงเหน็บหนังสือไว้ใต้รักแร้ หิ้วม้านั่งและเมล็ดแตงมาที่หน้าปากตรอก นั่งลงใต้ร่มไม้คอยมองสาวงามอีกครั้ง


บุรุษสูงใหญ่ท่าทางมีบารมีซึ่งสวมเสื้อผ้าธรรมดาผู้หนึ่งเดินมาอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขามีหญิงสาวเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งเดินเยื้องย่างตามมาด้วย


บุรุษเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเจิ้งต้าเฟิง หญิงสาวหยุดยืนอยู่ด้านหลังบุรุษผู้นั้นอีกที สำหรับเถ้าแก่ร้านยาที่นั่งอยู่บนม้านั่งใช้หนังสือแทนพัดผู้นั้น นางเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจใคร่รู้


บุรุษยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เกียรติของซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่ามีค่าแค่ใบหน้าปลอมที่ใช้ปิดบังอำพรางชิ้นเดียวเท่านั้น เถ้าแก่เจิ้งมองได้ทะลุปรุโปร่งยิ่ง”


เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามาชำเลืองมองบุรุษ “ฝูฉี เจ้าไม่ได้ใส่ชุดคลุมมังกรเฒ่ามา ดูท่าคงไม่ได้มาออกคำสั่งไล่แขก”


บุรุษยิ้มพลางชี้นิ้วไปที่ด้านหลังตัวเอง “ข้าจะสวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่าล้วนไม่สำคัญ พานางมาด้วยต่างหากที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างแท้จริง”


ทั้งแสดงอำนาจบารมี ทั้งแสดงถึงการยอมอ่อนข้อให้


แสดงอำนาจด้วยการบอกว่า เมื่ออยู่ในนครมังกรเฒ่า ข้าฝูฉีไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองก็สามารถขับไล่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงไปได้แล้ว


ส่วนที่บอกว่าแสดงถึงการยอมอ่อนข้อก็คือ ฝูฉีที่มีฐานะเป็นถึงเจ้าเมืองนครมังกรเฒ่าก็ยังเต็มใจแสดงไมตรีต่อบุรุษด้วยการนำสตรีที่ขายาวมากคนหนึ่งมาปรากฎตัวต่อหน้าเถ้าแก่ใหญ่เจิ้ง


เจิ้งต้าเฟิงจ้องขางดงามของหญิงสาวอย่างเอาจริงเอาจังอยู่ครู่หนึ่งกว่าจะหันหน้ากลับไปมองกระแสคนที่เดินสวนกันไปมา “ฝูฉีเจ้าพูดจาใหญ่โตขนาดนี้ ทำไมถึงไม่สูบทะเลเมฆเข้าท้องไปด้วยเลยเล่า?”


สีหน้าของฝูฉีไม่น่ามองนัก ต้องยื่นมือไปกุมหยกประดับที่ห้อยไว้ตรงเอว สีหน้าถึงจะผ่อนคลายลง


หญิงสาวตัวสั่นงันงก นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองที่ชัดเจนขนาดนี้ของบิดา


เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะเสียงเย็น “เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน เจ้าคู่ควรจะมาเปรียบเทียบกับข้าด้วยหรือ?”


ฝูฉียิ้มรับ “ในเมื่อตอนนี้เถ้าแก่เจิ้งอารมณ์ไม่ดี ถ้าอย่างนั้นเรื่องบางเรื่อง ฝูฉีค่อยพูดภายหลังก็แล้วกัน”


ตอนนี้อารมณ์ของเจิ้งต้าเฟิงแค่ไม่ดีเสียที่ใด ต้องเรียกว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดเลยต่างหาก


เงินห้าอีแปะ!


แค่เงินห้าอีแปะที่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปล้วนเคยจับผ่านมือ แต่กลับเป็นเหมือนภูเขาใหญ่ห้าลูกที่กดทับอยู่ในใจของเจิ้งต้าเฟิง! ทุ่มเทสมองครุ่นคิดแทบล้มประดาตาย รับมือด้วยความระมัดระวัง กว่าจะหลอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นรับปากด้วยตัวเองว่าจะไม่คิดบัญชีนี้ได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงหลังจากที่เด็กหนุ่มถามคำถามสามข้อนั้น รวมไปถึงพูดประโยคว่า ‘หยางเหล่าโถวไม่เคยติดค้างใคร’ เจิ้งต้าเฟิงก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองแล้วว่า ไม่ต้องคาดหวังให้เด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงผู้นี้ทวงเงินห้าอีแปะที่ธรรมดาที่สุดจากตนอีกแล้ว เจ้าลูกหมาน้อยจากตรอกหนีผิงผู้นี้เจ้าเล่ห์จะตายไป คิดจะหลอกเขาไม่ใช่เรื่องง่าย!


เจิ้งต้าเฟิงโมโหอย่างหนัก โบกตำราที่เอามาทำเป็นพัดแรงๆ “มิน่าเล่าข้าถึงไม่ชอบไอ้หมอนี่มาตั้งแต่แรก อายุน้อยๆ แต่กลับมีจิตใจและกลอุบายลึกล้ำนัก เหมือนเด็กหนุ่มเสียที่ไหน?”


จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็หยุดบ่น แล้วพูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “หากเป็นเด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไป ไหนเลยจะมีชีวิตอยู่มาจนถึงป่านนี้”


ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทอดถอนใจ เริ่มพลิกเปิดหน้าหนังสือด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่าน เสียงหน้าหนังสือที่ถูกเปิดดังพั่บๆๆ แต่อ่านไม่เข้าหัวแม้แต่ตัวอักษรเดียว เขาพึมพำกับตัวเองว่า “หรือว่าวัตถุหยินตนนั้นพูดถูก ข้าทำตัวอวดฉลาดไปเองจริงๆ?”


เมื่อเปิดหนังสือไปอีกหนึ่งหน้าก็เป็นบท ‘ความจริงใจ’ พอดี ยังคงเป็นเรื่องเล่าตามหัวมุมถนนที่เอามาร้อยเรียงต่อกัน ผสมปนเปกันเป็นต้มจับฉ่าย ช่วงท้ายถึงแสร้งใส่หลักการยิ่งใหญ่เข้าไปสองสามประโยค ยุ่งเหยิงพัลวันไปหมด สำหรับคนที่มีความรู้ลึกล้ำแท้จริงอย่างเจิ้งต้าเฟิงแล้ว หากนำบทความมาแยกออกจากกันก็เหมือนสตรีผู้นี้มีคิ้วตางามเพริศพริ้ง สตรีผู้นั้นมีแก้มอมชมพูน่าหลงใหล สตรีอีกคนมีปากเล็กๆ สีลูกท้อ แต่ละคนต่างก็มีความงามในแบบของตัวเอง แต่หากเอามาประกอบเข้าด้วยกันส่งเดช จะไม่ใช่ความงาม แต่อาจกลับกลายมาเป็นความอัปลักษณ์ที่ทนมองไม่ได้


เจิ้งต้าเฟิงพลิกหนังสือไปอีกหน้าอย่างคนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คือช่วงสุดท้ายของบท ‘ความจริงใจ’ พอดี


ยังคงเป็นหลักการว่างเปล่าที่ยิ่งใหญ่จนไร้ขอบเขตสิ้นสุดเหมือนเดิม


“โบราณกล่าวไว้ว่าผู้มีจิตใจอันบริสุทธิ์ มักจะมีความจริงใจจนสามารถสั่นสะเทือนให้หินแข็งแยกร้าวได้ เป็นเหตุให้ความจริงใจคือรากฐานในการหยัดยืนของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อ”


“และอริยะของลัทธิเต๋าก็เคยกล่าวไว้ว่า ไม่จริงใจก็ไม่เขย่าคลอนใจคน คนจริงซื่อสัตย์ จึงจะมีความจริงใจ นี่จึงเป็นที่มาของยศ ‘เจินเหริน’ (แปลตามตัวคือคนที่แท้จริง คนที่ซื่อสัตย์จริงใจ แต่ก็แปลได้ว่าเต้าหยินที่บรรลุมรรคผล)”


เจิ้งต้าเฟิงพลิกเปิดไปยังบทถัดไปอย่างรวดเร็ว นั่นคือบท ‘ความจงรักภักดีและกตัญญู’ แล้วก็เปิดหน้ากระดาษตั้งแต่ต้นจนจบอย่างว่องไวอีกครั้ง สุดท้ายตบหนังสือประกบปิดแล้วเอามาทำเป็นพัดพัดลมเย็นๆ เข้าหาตัวอีกครา


ดูเหมือนชายฉกรรจ์คนนี้จะเห็นคำสอนของอริยะในตำราเป็นดั่งลมที่พัดผ่านหูไปเสียหมด


สุดท้ายเขาพูดเหมือนยอมรับชะตากรรม “ในเมื่อท่านผู้เฒ่าพูดว่าชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตเก้า ถ้าอย่างนั้นข้าจะยังดึงดันไปอีกทำไม? อุตส่าห์รอมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้แล้ว มิน่าเล่าท่านผู้เฒ่าถึงได้บอกว่าข้าหัวหมอคิดว่าตัวเองฉลาดเฉลียว แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ลำพังกับแค่หลี่เอ้อร์ก็ต่อยตีกันมากี่ครั้งแล้ว? ซ่งจ่างจิ้งต่อสู้กับศิษย์พี่แค่ครั้งเดียวก็ฝ่าทะลุขอบเขตได้เลย อันที่จริงข้าเองก็เริ่มเข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้องขอแล้วจะได้มา ข้าก็แค่แอบหวังว่าตัวเองจะโชคดีเท่านั้น ฮ่าๆ ตอนนี้ได้เห็นสาวงามอยู่ในนครมังกรเฒ่าทุกวัน คงต้องรอตายอยู่ที่ขอบเขตแปดนี่แล้ว…”


เจิ้งต้าเฟิงหลับตาลง นาทีนี้สีหน้าของชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ลอบมองทรวดทรงองค์เอวของสตรีค่อนข้างจะเซื่องซึม


หญิงสาวที่มีหุ่นซึ่งเรียกได้ว่า ‘บึกบึนแข็งแกร่ง’ บนใบหน้าทาผงประทินโฉม สวมชุดสีสันสดใสงดงาม กรามของนางใหญ่มากพอที่จะสยบปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ เมื่อนางหยุดเดินแล้วเห็นท่าทางเช่นนี้ของชายฉกรรจ์ก็ให้รู้สึกสงสาร ในใจคิดว่าเขาคงอยากจะบอกความในใจกับตน แต่คงไม่กล้า ถ้าอย่างนั้นตนจะไม่สำรวมกิริยาอย่างที่สตรีพึงกระทำอีกแล้ว นางควรจะเป็นคนเปิดปากก่อน ชายในดวงใจของนางจะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ใจ?


เพียงแต่ว่าขณะที่นางกำลังจะกระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นนั้นเอง


ชายฉกรรจ์พลันลืมตาขึ้น คว้าม้านั่งได้ก็วิ่งกลับเข้าไปในตรอกทันที


นางถอนหายใจหนึ่งครั้ง ลูบคลำใบหน้า พร่ำตำหนิตัวเอง จะโทษก็ต้องโทษรูปโฉมของตนที่เย้ายวนใจคนเกินไป แถมยังงามล่มบ้านล่มเมืองถึงเพียงนี้


จู่ๆ นางก็สะดุ้งเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ร้องปัดโธ่หนึ่งที ที่แท้พอเอานิ้วไปลูบ เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าก็ติดนิ้วมาด้วย นางจึงรีบปาดกลับไปแรงๆ


……


ฝูฉีไม่ได้ใช้วิชาอภินิหารพาบุตรสาวกลับไปยังนครฝู แต่สาวเท้าเดินเตร็ดเตร่อย่างผ่อนคลายกลับไป ด้านหลังมีรถม้าคันหนึ่งขับตามมาช้าๆ


หญิงสาวชื่อฝูชุนฮวา เป็นบุตรสาวคนโตของฝูฉี นางกับฝูตงไห่บุตรชายคนโตของฝูฉีล้วนเป็นหนึ่งในคนที่มีหวังว่าจะได้รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล


ในเมื่อเป็นเจ้าประมุข หรือจะเรียกอีกอย่างว่าผู้สืบทอดชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ฝูฉีมองดูเหมือนวัยกลางคน แต่อันที่จริงมีอายุมากถึงสี่ร้อยปีแล้ว ตบะขอบเขตสิบ แม้ว่าจะเทียบกับชื่อเสียง ‘ผู้ฝึกตนขอบเขตสิบที่แข็งแกร่งที่สุดของแจกันสมบัติทวีป’ ‘อันดับหนึ่งของห้าขอบเขตบนลงมา’ ของหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าไม่ได้ แต่เมื่อสวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่ในตระกูลได้ครอบครองอาวุธกึ่งเซียนสี่ชิ้น ฝูฉีจึงมีคุณสมบัติที่จะถูกมองว่าเป็นขอบเขตหยกดิบตัวจริงเสียงจริง


ฝูชุนฮวาเองก็อายุเกือบสามร้อยปีแล้ว นางกับฝูตงไห่พี่ชายคนโตล้วนเป็นขอบเขตโอสถทองมานานมากแล้ว อีกทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้สังหาร คนทั้งสองทำหน้าที่คุ้มครองเรือข้ามฟากลำหนึ่งให้เดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวมาร้อยกว่าปีแล้ว ประสบการณ์จึงโชกโชน เคยพบเจอปีศาจใหญ่ในทะเลลึก ตกอยู่ในอันตรายระหว่างความเป็นความตายไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง ประเด็นสำคัญคือหากลูกหลานตระกูลฝูเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองได้เมื่อไหร่ก็หมายความว่าจะสามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนได้ ดังนั้นในแจกันสมบัติทวีปจึงมีคำเล่าลือหนึ่งมาตลอด นั่นคือขอบเขตที่แท้จริงของผู้ฝึกลมปราณตระกูลฝูจำเป็นต้องขยับสูงไปอีกครึ่งขอบเขตถึงจะเป็นมาตรฐานที่ถูกต้อง


ฝูชุนฮวาลังเลอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็อดไม่ไหวถามว่า “ท่านพ่อ ทำไมถึงพาข้ามาพบคนผู้นี้ ไม่ใช่หนันหัวที่ได้มา?”


ฝูฉีตอบยิ้มๆ “ก็บอกไว้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือว่า เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของตระกูลฝู เถ้าแก่เจิ้งผู้นี้ชอบสาวงามขาเรียวยาว ในรายงานแจ้งไว้อย่างชัดเจน”


เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวไม่เชื่อคำอ้างข้อนี้


ต่อให้นางจะเป็นตัวเลือกที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดตำแหน่งเจ้าประมุขตระกูล แต่นางก็ดี ฝูตงไห่พี่ชายใหญ่หรือฝูหนันหัวน้องชายก็ช่าง พวกเขาต่างก็รู้กันดีว่า เส้นสายความสัมพันธ์ที่พวกเขาพยายามรวบรวมมาอย่างยากลำบากยังไม่เพียงพอที่จะทำให้รู้ทัศนียภาพที่แท้จริงบนยอดเขาของแจกันสมบัติทวีปได้ อีกอย่างเมื่ออยู่ภายใต้ปีกคุ้มครองของฝูฉีผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะเย็นสบาย แต่ก็ถือเป็นการพันธนาการอย่างหนึ่ง พวกเขามักจะไม่กล้าข้ามเส้น เพราะต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นคนที่น่าสงสัยในสายตาของฝูฉี


มองดูเหมือนแต่ละคนในตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่ามีอิสระเสรี แต่พวกเศษสวะในตระกูลที่ไม่มีหวังว่าจะได้แตะต้องชุดคลุมมังกรเฒ่าตัวนั้นต่างก็ถอดใจกันไปนานแล้ว แล้วก็ถูกผลักไสให้ออกจากขอบเขตแผนการของตระกูลด้วย ในความเป็นจริงแล้ว ความเข้มงวดของกฎเกณฑ์ตระกูลฝูไม่ได้เป็นรองกฎของเหล่าเชื้อพระวงศ์เลยแม้แต่น้อย


ร้อยปีที่ผ่านมานี้ ฝูตงไห่รับผิดชอบเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ในอุตรกุรุทวีป ส่วนนางฝูชุนฮวาทำหน้าที่รับผิดชอบวางแผนการรับมือกับทวีปใหญ่ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนฝูหนันหัวนั้นเดิมทีไม่มีชื่อเสียง ไม่มีการไม่มีงานให้ทำ จนกระทั่งครั้งนั้นที่เขาถูกเลือกให้ไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูโดยอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของผู้คน หลังจากนั้นถึงได้ลุกผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทางตระกูลต่างก็ทุ่มกำลังคนและทรัพยากรจำนวนมากไปให้กับน้องชายคนนี้ของนาง เห็นได้ชัดว่าฝูฉีเจ้าประมุขตระกูลไม่พอใจในการทำการค้าตลอดร้อยปีที่ผ่านมาของนางกับฝูตงไห่


ฝูชุนฮวารู้ว่าถามไปก็ไม่ได้คำตอบ จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “จะให้ข้าไปเตือนซุนเจียซู่สักคำหรือไม่?”


ฝูฉีเอ่ยยิ้มๆ “ซุนเจียซู่? ต่อให้ขอบเขตของเขาจะสู้เจ้าไม่ได้ แต่จะดีจะชั่วก็เป็นถึงประมุขของตระกูลซุน เจ้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่ง อาศัยอะไรไปสะกิดเตือนเขา? ในบ้านบรรพบุรุษของเขายังมีบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่เป็นขอบเขตก่อกำเนิดอยู่ทั้งคน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองอีกคนที่มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตก่อกำเนิด พี่ชายเจ้าพยายามดึงตัวมานานหลายปี จนกระทั่งวันนี้เพิ่งจะมีท่าทางหวั่นไหว หากตระกูลฝูไปเอาเรื่องซุนเจียซู่ตอนนี้ เจ้าคิดว่าขอบเขตโอสถทองคนนั้นจะยังมีหน้าออกจากบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนมาอยู่ที่ตระกูลฝูของเราไหม?”


สีหน้าฝูชุนฮวาซีดขาว กลัวว่าบิดาจะเข้าใจผิดคิดว่านางประสงค์ร้ายต่อพี่ชาย


ฝูฉียิ้มบางๆ “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้ารู้จักนิสัยของเจ้าดี อันที่จริงการที่ครั้งนี้ซุนเจียซู่คล้อยไปตามสถานการณ์ วางเดิมพันลงข้างเฉินผิงอันก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงตระกูลฝูของพวกเรา เกรงว่าเขาคงกลัวแต่พวกเราจะไม่ไปหาเรื่องเขาซะมากกว่า หากตระกูลซุนสมปรารถนา พอกลับไปที่บ้านบรรพบุรุษก็ทำท่าว่าถูกตระกูลฝูใช้อำนาจเข้าข่ม เจ้าเชื่อหรือไม่ว่า ไม่จำเป็นต้องให้ซุนเจียซู่เกลี้ยกล่อมอะไร ขอบเขตโอสถทองที่อนาคตยาวไกลคนนั้น เดิมทีตระกูลซุนก็มีบุญคุณต่อเขาอยู่แล้ว หากมีเรื่องในครั้งนี้ เขาก็ต้องเลือกที่จะอยู่ในตระกูลซุนต่ออย่างแน่นอน”


ฝูชุนฮวาเอ่ยถาม “ซุนเจียซู่ไม่กลัวว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะตายด้วยน้ำมือพวกเราหรือไร?”


ฝูฉีเงยหน้ามองม่านฟ้า “เจ้าคิดแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป เพียงแต่ว่าวันใดที่เจ้าได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าก็จะมีโอกาสได้รู้เรื่องจริงบางอย่างที่อยู่ระดับสูงเหนือศีรษะ”


ฝูชุนฮวาเงยหน้ามองทะเลเมฆผืนนั้นตามจิตใต้สำนึก


ฝูฉีคลี่ยิ้ม “ยังมีที่สูงกว่านี้อีก”


จิตใจของฝูชุนฮวาสั่นไหวนิดๆ แหงนหน้ามองไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง


ผู้ใดที่เป็นขอบเขตโอสถทองก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า


ก่อนหน้าที่จะกลายเป็นขอบเขตโอสถทอง ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าประโยคที่เปี่ยมไปด้วยความห้าวหาญนี้กล่าวได้สาแก่ใจที่สุด ทว่าพอกลายเป็นขอบเขตโอสถทองได้อย่างแท้จริง ถึงได้ค้นพบว่านี่เพิ่งจะเป็นแค่ครึ่งภูเขาของผู้ฝึกลมปราณเท่านั้น แค่นี้เท่านั้น


จู่ๆ ฝูฉีก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา “เมื่อเทียบกับตระกูลซุนและซุนเจียซู่แล้ว ตระกูลฝูของเราและข้าฝูฉีมีความกล้าหาญและสติปัญญามากกว่า ตอนนี้ข้าต้องออกจากนครมังกรเฒ่าไปรับแขกผู้มีเกียรติหลายคนที่มาจากทางทิศเหนือ เจ้าไปหาฝูหนันหัว บอกเขาว่าเฉินผิงอันอยู่ที่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ข้าอยากรู้ว่าเขาจะเลือกอย่างไร เรื่องนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าเขาจะกลายเป็นเจ้านครมังกรเฒ่าได้หรือไม่ แน่นอนว่าจะเป็นตัวตัดสินด้วยว่าเจ้าจะมีหวังได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่าหรือไม่ หวังว่าตอนที่ข้ากลับมานครมังกรเฒ่า จะสามารถเลือกในสิ่งที่ถูกต้องได้แล้ว”


ฝูฉีโบกมือ “เจ้านั่งรถกลับเมืองไปเถอะ”


ฝูชุนฮวาทำตามคำสั่ง ส่วนบิดานางนั้นทะยานร่างขึ้นสูง หายวับเข้าไปในค่ายกลใหญ่ทะเลเมฆอย่างสง่างามแล้ว และน่าจะมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ


ฝูชุนฮวาไม่มีเวลามาสนใจว่าแขกมีเกียรติแบบไหนที่มีค่ามากพอให้เจ้านครมังกรเฒ่าออกจากเมืองไปรับด้วยตัวเอง พอเข้ามานั่งในห้องโดยสาร นางก็เริ่มคิดพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้


อันดับต่อไปนางควรจะเลือกอย่างไรถึงจะได้ผลเก็บเกี่ยวมหาศาลมากที่สุด? แล้วฝูหนันหัวน้องชายนางจะเลือกอย่างไร?


บทที่ 255.5 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด

โดย

ProjectZyphon

ฝูชุนฮวาค้นพบว่าความคิดของตัวเองยุ่งเหยิงพันกันเป็นปม ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ช่วงชิงมาได้เพียงเล็กน้อย ยังอยู่ห่างจากสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ตนคาดการณ์ไว้อีกไกลมาก


พอไปถึงจวนส่วนตัวของฝูหนันหัวผู้เป็นน้องชาย ฝูชุนฮวาก็ยังคิดไม่ตก ได้แต่ใคร่ครวญหาถ้อยคำที่จะนำคำพูดประโยคนั้นของฝูฉีผู้เป็นบิดามาบอกต่ออย่างระมัดระวัง แต่ก็มีเพิ่มมีลด มีเสริมมีปรุงแต่งเข้าไปด้วย


แน่นอนว่าฝูหนันหัวไม่ได้เชื่อนางทั้งหมด แต่ความหมายคร่าวๆ ของฝูฉี ฝูชุนฮวาไม่กล้าพูดจาส่งเดช ฝูหนันหัวตั้งใจฟังคำบอกเล่าของพี่สาวฝูชุนฮวาตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด ขณะที่กำลังจะลุกขึ้นยืนแล้วก้าวเดินเพื่อใช้ความคิดด้วยความเคยชินก็พลันนั่งกลับลงไปดังเดิม กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าคิดได้แล้ว จะต้องกำจัดเฉินผิงอัน!”


ฝูชุนฮวาเริ่มงัดนิ้วตัวเองเล่น “เถ้าแก่เจิ้งที่ร้านยาฮุยเฉิน อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเจ็ดขั้นสูงสุด หรืออาจถึงขั้นเป็นปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตแปด มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลฟ่านของเมืองใน บวกรวมกับตระกูลซุนของซุนเจียซู่ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือบุรพาจารย์ตระกูลซุนที่มีขอบเขตก่อกำเนิด แม้ว่าโอสถทองอีกสามท่านจะไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซุนได้รับความเดือดร้อน แต่หากจำเป็นจริงๆ ซุนเจียซู่ก็อาจจะโน้มน้าวคนทั้งสามให้ช่วยลงมือได้ ยังมีพวกขุนนางต่างแคว้นที่มารับใช้ตระกูลซุนอยู่ในเมืองในอีก หนันหัว เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ หรือ?”


ฝูหนันหัวสีหน้าเรียบเฉย “ข้าแค่คิดว่าควรจะกำจัดเด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนั้นโดยให้จ่ายค่าตอบแทนน้อยที่สุดได้อย่างไร”


ฝูชุนฮวายิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “งานแต่งงานของเจ้ากำลังจะมาถึง ไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นรึ? อีกอย่างในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นมาจากถ้ำสวรรค์หลีจู ก็เท่ากับว่าเป็นประชากรของต้าหลี เจ้าไม่กลัวว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบยาวไกล ทำลายภาพลักษณ์ของตระกูลฝูแห่งนครมังกรเฒ่าที่มีอยู่ในใจฮ่องเต้ต้าหลีหรอกหรือ?”


ฝูหนันหัวไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแค่ตั้งใจใช้ความคิด


สุดท้ายฝูชุนฮวายิ้มหวาน “ฝูหนันหัว สุดท้ายนี้เจ้าลองคิดดูเถอะว่าที่พี่สาวพูดเรื่องพวกนี้ เป็นเพราะหวังให้เจ้าลงมืออย่างเฉียบขาด หรือว่าเป็นเพราะไม่อยากให้เจ้าดึงดันทำตามใจตัวเองโดยพลการ?”


ฝูหนันหัวเอาแต่เงียบอย่างเดียว


รอยยิ้มบนใบหน้าของฝูชุนฮวาเริ่มจืดจางลงทุกที สุดท้ายก็ไม่เหลือรอยยิ้มอีกเลย นางมองน้องชายที่จู่ๆ ก็โดดเด่นขึ้นมาด้วยสายตาเย็นชา ก็แค่เศษสวะคนหนึ่งที่กินภูเขาเงินภูเขาทองทั้งลูกของตระกูลเข้าไปก็ยังได้แค่ขอบเขตหก ยังจะกล้าปรารถนาในตำแหน่งเจ้านครมังกรเฒ่าอีกหรือ? เขาก็คู่ควรที่จะช่วงชิงชุดคลุมมังกรเฒ่าชิ้นนั้นกับนางและฝูตงไห่ที่เป็นขอบเขตโอสถทองด้วยหรือไง?


ฝูหนันหัวหยุดความคิดทั้งหมดลง เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ท่วงท่าประดุจเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้ำไหล มาดของเขาสุขุมสง่างาม ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ฝูชุนฮวา เรื่องสกปรกระหว่างเจ้ากับฝูตงไห่ ไม่ได้มีแค่มารดาของเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้ แต่ข้าสงสัยนักว่า เรื่องสกปรกระหว่างฝูตงไห่กับสาวใช้คนสนิทของเจ้า เจ้ารู้เรื่องด้วยหรือไม่?”


ฝูชุนฮวาแสยะยิ้ม “น้องชายคนดี รอให้ข้าหรือฝูตงไห่ได้เป็นเจ้านครเมื่อไหร่ ต้องเลี้ยงดูเจ้าเป็นอย่างดีแน่”


ฝูหนันหัวทำราวกับว่าไม่เข้าใจคำขู่ที่ซุกซ่อนอยู่ เขายิ้มอย่างสง่างาม “ก่อนจะถึงเวลานั้น พวกเราสองพี่น้องต้องร่วมมือกันอย่างจริงใจเสียก่อน มาช่วยกันวางแผนว่าควรจะสังหารเฉินผิงอันอย่างไรดีกว่า ว่าไหม? ถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าก็เดาความคิดของท่านพ่อไม่ออก ไม่รู้ว่าข้าจะเลือกอย่างไร จะเลือกเดินไปหาตำแหน่งเจ้าประมุขหรือออกห่างจากมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องนี้ ท่านพ่อกำลังทดสอบข้า ขณะเดียวกันก็กำลังทดสอบเจ้าอยู่เหมือนกัน พี่สาวคนดี เจ้าต้องรับมืออย่างระมัดระวังนะรู้ไหม!”


ฝูชุนฮวาหรี่ตาลง สีหน้ามืดทะมึน


หลังจากฝูหนันหัวลุกขึ้นยืน เขาก็หันหน้าไปมองทางประตูใหญ่ พูดในใจตัวเองว่า “ซุนเจียซู่ เพื่อขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่ง เจ้าก็ขายเฉินผิงอันที่เกือบสังหารข้าแล้ว การค้าครั้งนี้คุ้มค่าหรือไม่ หรือจะบอกว่า…”


คิดมาถึงตรงนี้ ฝูหนันหัวก็ส่ายหน้าเบาๆ เป็นไปไม่ได้ ซุนเจียซู่ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย


แต่ถ้าเป็นไปได้ล่ะ?


จนกระทั่งบัดนี้ฝูหนันหัวถึงได้เริ่มลังเล ในใจยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ


ส่วนฝูชุนฮวาที่มองไปยังน้องชายซึ่งนางเห็นเขาเติบโตมาตั้งแต่เล็ก แต่จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนมาเป็นเหมือนคนแปลกหน้า ในที่สุดนางก็เริ่มกริ่งเกรงเขาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง


……


ฝูฉีทะยานลมไปทางทิศเหนือเพียงลำพัง ห่างไปไกลพันลี้ถึงหยุดการบินทะยาน สุดท้ายพลิ้วกายลงบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งจากภูเขาอู๋ถงหลงเฉวียนต้าหลี


บนเรือมีสวีรั่วจอมยุทธ์สำนักโม่ที่พาดกระบี่เป็นแนวขวางไว้ด้านหลังกับรองเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาหลินลู่ที่มีชาติกำเนิดเป็นเจียวสูงวัย


มีสองคนนี้พิทักษ์เรือข้ามฟาก ต่อให้เดินทางไปยังภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่มีปัญหา


คนที่คนทั้งสองเดินทางมาให้การคุ้มกันคือชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่ง หรือจะพูดให้ถูกคือองค์ชายต้าหลีซ่งมู่เพียงคนเดียว


เด็กสาวที่มีนามว่าจื้อกุยยืนหลุบตาลงต่ำอยู่ด้านหลัง ‘ซ่งจี๋ซิน’ คุณชายของตัวเอง ตั้งแต่ต้นจนจบจื้อกุยไม่ได้มองฝูฉีแม้แต่ครั้งเดียว อาจเป็นเพราะฝูฉีไม่ได้สวมชุดคลุมมังกรเฒ่า บวกกับที่เจ้านครมังกรเฒ่าผู้นี้ไม่ได้บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง เขาไปยืนคุยอยู่กับเซียนกระบี่สวี่รั่วที่หัวเรือ ดังนั้นนางจึงจำเขาไม่ได้?


เรือข้ามฟากลำนี้ลอดเข้ามาในทะเลเมฆเหนือนคร จากนั้นก็ลดตัวลงในนครฝู


หลังจากที่ฝูฉีจัดการหาที่พักให้แขกจากต้าหลีกลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว เขาก็มาที่จวนส่วนตัวของฝูหนันหัว แล้วจึงเห็นว่าบุตรชายที่มีสีหน้าเซื่องซึมกำลังยืนพิงเสามังกรวนต้นหนึ่ง


ฝูฉีเอ่ยถาม “ทำไมคนทั้งตระกูลฝูถึงไม่มีความเคลื่อนไหวกันเลย?”


ฝูหนันหัวเงยหน้ามองบิดา “ข้าคิดอะไรมากมาย แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดไปซะหมด ตระกูลฝู นครมังกรเฒ่า ต้าหลี ถ้ำสวรรค์หลีจู ซุนเจียซู่ ฝูตงไห่ ฝูชุนฮวา…”


แต่แล้วจู่ๆ ฝูฉีก็หัวเราะขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เจ้าก็จะได้เป็นเจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไปอยู่ดี?”


สีหน้าของฝูหนันหัวทึ่มทื่อ


ฝูฉีเบี่ยงกาย ก้มหน้าลงคล้ายกำลังต้อนรับใครบางคนอย่างนอบน้อม


เด็กสาวคนหนึ่งสูดเอากลิ่นอายของ ‘ปราณมังกร’ เข้าปากเฮือกใหญ่อย่างไร้ความยำเกรง นางเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่เหมือนคนเคลิบเคลิ้มเมามาย จากนั้นก็นั่งแปะลงไปบนเก้าอี้ แล้วยกสองมือขึ้นปรบเบาๆ


เมื่อชุดคลุมมังกรตัวหนึ่งลอยขึ้นบนร่างของนาง ไอหมอกก็ลอยคลุ้งทำให้ชุดนั้นเหมือนถูกซักอยู่ท่ามกลางไอน้ำ


หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นยืน ชุดคลุมมังกรตัวนั้นขยับสวมใส่บนร่างของนางด้วยตัวเอง มังกรทองท่ามกลางทะเลเมฆเก้าตัวบนชุดเริ่มเคลื่อนไหวว่ายวนอย่างมีชีวิตชีวา


นางสลัดรองเท้าหุ้มแข้งทิ้ง ยกขาขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ เมื่อสวมชุดคลุมมังกรที่หนาใหญ่ตัวนั้น ทำให้นางดูตลกอย่างเห็นได้ชัด นางขมวดคิ้วกล่าวเหมือนคนได้รับความอยุติธรรมว่า “แม้ไม่มีพันธนาการจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังต้องแสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือมดตัวน้อยตัวหนึ่ง ช่างลำบากยิ่งนัก ช่วยไม่ได้ ข้ายังเอาชนะพวกเขาบางคนไม่ได้ เจ้านักพรตน่ารังเกียจ หร่วนฉง ซ่งจ่างจิ้ง จวี้จื่อสำนักโม่ที่ลึกลับเกินจะหยั่งคนนั้น เซียนกระบี่สวี่รั่ว ฯลฯ …เฮ้อ สรุปก็คือมีหลายคนเลยล่ะ ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้ดีกว่า ที่นี่ดีจริงๆ ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปในสมัยที่เพิ่งเหยียบแผ่นดิน…แม้ว่าจะผ่านไปนานหลายปี ปราณมังกรก็ยังเหลืออยู่อีกไม่น้อย ตระกูลฝูของพวกเจ้าทำได้ไม่เลวเลย วันหน้าต้องตกรางวัลให้ รางวัลชิ้นใหญ่ด้วย!”


ฝูหนันหัวมองใบหน้าเยาว์วัยที่คุ้นตาของเด็กสาว จากนั้นหันไปมองบิดาที่มีสีหน้าสงบนิ่ง สุดท้ายถึงจ้องเป๋งไปยังชุดคลุมมังกรเฒ่าที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตัวนั้น


ฝูหนันหัวค้นพบว่าตัวเองที่ก่อนหน้านี้เกือบจะเป็นบ้า ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นบ้าจริงๆ แล้ว


นางเหลียวมองไปรอบด้าน “เพื่อให้มาที่นี่ได้อย่างราบรื่น ข้าต้องเจอกับความอยุติธรรมมากมาย แต่เรื่องที่น่าน้อยใจที่สุดก็คือ คำว่าราบรื่นที่ว่านั้น ยังคงเป็นเจ้านักพรตหน้าเหม็นที่มอบให้ข้า…”


จู่ๆ นางก็ชี้หน้าฝูหนันหัวแล้วพูดด้วยเสียงเฉียบขาด “เจ้ามดตัวน้อย ได้ยินว่าแค่เฉินผิงอันคนเดียว เจ้าก็ยังไม่กล้าสังหาร! เจ้าไม่คู่ควรกับแซ่…”


เด็กสาวหันหน้าไปมองฝูฉี “พวกเจ้าแซ่อะไรนะ?”


ฝูฉีตอบอย่างนอบน้อม “เรียนคุณหนู พวกเราแซ่ฝู”


 เด็กสาวไม่ใคร่จะพอใจนัก แต่ความโกรธเกรี้ยวทั้งหมดก็ไม่หลืออยู่แล้ว นางขดตัวอย่างเกียจคร้านอยู่ในเก้าอี้ หรือควรจะพูดว่าขดตัวอยู่ในชุดคลุมมังกรตัวนั้น


อีกแค่เสี้ยวเดียวจิตใจของฝูหนันหัวก็จะแหลกสลายแล้ว


เด็กสาวก้มหน้าลงมองประเมินชุดคลุมมังกรเฒ่า “เลือด กระดูก ลมปราณและเส้นเอ็นของฮ่องเต้เก้าท่านในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป อืม ไม่เลว”


เส้นสายตาของนางไล่ลงต่ำ พึมพำว่า “ทะเลเมฆต่ำไปสักหน่อย”


ดวงตาของนางเปล่งประกายวาบ เผยให้เห็นดวงตาประหลาดที่มีลูกตาดำเป็นสีทอง


ราวกับเดาความคิดของเด็กสาวออก ฝูฉีจึงยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “คุณหนู ทะเลเมฆที่อยู่เหนือนครมังกรเฒ่าผืนนั้น ช่วงนี้ยังไม่สามารถเก็บเข้ามาไว้ในเสื้อคลุมได้ เพราะจะเอิกเกริกเกินไป อาจจะทำให้ผู้คนค้นพบเบาะแสได้ง่าย”


เด็กสาวถอนหายใจหนึ่งที “ข้ารู้หนักรู้เบาดี”


สุดท้ายดวงตานางปรือปรอยเหมือนบุรุษผู้เมามาย “มาถึงที่นี่แล้ว ข้าไม่อยากย้ายรังอีกแล้วจริงๆ”


นางพลันกระโดดพรวดลงมาจากเก้าอี้ สะบัดตัวเบาๆ เสื้อคลุมมังกรเฒ่าที่เดิมทีใหญ่โตดุจผ้าห่มก็เปลี่ยนมาเป็นเหมาะกับตัวนางอย่างพอดิบพอดี นางยืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ มองไปที่นอกประตูคล้ายกำลังสองจิตสองใจ


……


บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน หลังจากได้ยินแผนการจากเจ้าประมุขคนปัจจุบัน บุรพาจารย์ก็ยิ้มเฝื่อน “คุ้มค่าจริงๆ หรือ? ไม่กลัวหรือว่าหลังผ่านศึกนี้ไปจะล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ตระกูลฝูอาจจะร่วมมือกับสี่ตระกูลเขมือบกลืนพวกเรา?”


สีหน้าของซุนเจียซู่เป็นปกติ “ข้าแค่เจ็บใจที่สมบัติของตระกูลซุนไม่มากพอ ข้าซุนเจียซู่จึงได้แต่เดิมพันให้ใหญ่โตถึงขนาดนี้”


บุรพาจารย์ตระกูลซุนเงียบงันไปนาน ก่อนจะถามว่า “ถ้าเด็กหนุ่มคนนั้นรู้เจตนาเดิมของพวกเราล่ะ?”


สายตาของซุนเจียซู่ยืนกรานหนักแน่น “เขาไม่มีทางรู้ ต่อให้ถอยไปพูดหมื่นก้าว เขารู้ความจริง ทว่าตระกูลซุนของพวกเราจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลถึงเพียงนี้เพื่อเขา การตอบแทนของเขาในวันหน้ามีแต่จะมาก ไม่มีน้อย”


บุรพาจารย์ตระกูลซุนถามอีกว่า “กระหายในความสำเร็จและผลประโยชน์เฉพาะหน้าขนาดนี้ จะเหมาะสมจริงๆ หรือ? จะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ น้ำมาคลองสำเร็จเหมือนการฝ่าขอบเขตสามสู่ขอบเขตสี่อย่างเด็กหนุ่มไม่ได้หรือ?”


ซุนเจียซู่ส่ายหน้า “ข้าซุนเจียซู่คนเดียวย่อมรอได้ ทว่าแนวโน้มสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปและของใต้หล้าไม่สามารถรอได้!”


บรรพบุรุษขอบเขตก่อกำเนิดของตระกูลซุนท่านนี้ได้แต่ถอนหายใจ ไม่พูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก


หลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็เดินจากห้องในหอสูงของเมืองในกลับมาที่บ่อน้ำของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน


เวลาต่อมาผ่านไปอย่างสุขสงบ ลมพัดโชยแสงแดดอบอุ่น


ซุนเจียซู่ยังคงกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษทุกๆ สามวันห้าวัน


และทุกครั้งที่กลับมาจะต้องนอนค้างหนึ่งคืน และจะต้องเดิมพันกับผู้รับใช้ขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสามท่านทุกครั้งที่มาค้าง ครั้งแรกเดิมพันด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ ครั้งที่สองสองเหรียญ ครั้งที่สามสี่เหรียญ ครั้งที่สี่แปดเหรียญ


สุดท้ายซุนเจียซู่ที่เดิมพันสี่ครั้งแพ้ทั้งสี่ครั้งก็ไม่เดิมพันอีก


ส่วนเฉินผิงอันก็ยังคงไปตกปลาทุกคืน แล้วก็รอนาทีที่ดวงตะวันขึ้นทางทิศตะวันออก แสงอรุโณทัยสาดส่องไปหมื่นจั้ง


วันที่ยี่สิบที่เฉินผิงอันมาพักอยู่บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ซุนเจียซู่ที่หลับด้วยวิชานั่งลืมตนของลัทธิเต๋าได้ยินเสียงตะโกนของเฉินผิงอันแว่วมาแต่ไกล “ซุนเจียซู่ รีบมาดูเร็วเข้า!”


ซุนเจียซู่ลุกพรวดขึ้นยืนแล้ววิ่งไปผลักหน้าต่างมองท้องฟ้า แม้แต่รองเท้าก็ไม่สวม


เห็นเพียงว่าทะเลเมฆทางทิศตะวันออกมีมังกรทองหลายสิบตัวกระโจนพรวดลงมาอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ใช้ท่าหมัดโบราณต่อยพวกมันกลับไปครั้งแล้วครั้งเล่า หมัดที่ปล่อยไปแต่ละครั้งสะใจเต็มคราบ ไม่มีลังเลเลยแม้แต่น้อย


ซุนเจียซู่ที่เห็นภาพนี้หมดอาลัยตายอยากกับความสูญเสีย


จิตแห่งเต๋าสูญเสียการควบคุม เกือบจะพังทลาย


โชคดีที่บรรพบุรุษตระกูลซุนรีบมาอยู่ข้างกายเขา ยื่นมือมากดไหล่เขาหนักๆ “เจียซู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้ ต้นไม้ที่ดี (เจียซู่ คำเดียวกับชื่อของซุนเจียซู่) ย่อมเขียวขจีได้ทั้งสี่ฤดู แต่คนกลับไม่สามารถสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง ปีนั้นที่ตั้งชื่อนี้ให้กับเจ้าก็เพื่อวันนี้”


สีหน้าของซุนเจียซู่ซีดขาว พึมพำว่า “ช้าไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”


แม้ว่าสภาพจิตใจของเขาจะยังมั่นคง แต่กระนั้นจิตวิญญาณก็หลุดลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


ราวกับว่าเพิ่งสูญเสียนครมังกรเฒ่าไปทั้งแห่ง


……


เมืองในของนครมังกรเฒ่า หน้าปากตรอกนอกร้านยาฮุยเฉิน เจิ้งต้าเฟิงมองไปยังแสงอรุณรุ่งทางทิศตะวันออกแล้วพลันกระจ่างแจ้ง รีบควักตำราเล่มนั้นออกมา เปิดไปถึงหน้าของบท ‘ความจริงใจ’ แล้วอ่านอยู่ในใจ เมื่อภาพปรากฎการณ์พิเศษแห่งฟ้าดินสิ้นสุดลง เจิ้งต้าเฟิงก็ตบตำราจนแหลกละเอียด ไม่เหลือเบาะแสใดๆ ทิ้งไว้ เขาเดินกลับเข้าไปในตรอก พูดด้วยหน้าตาบึ้งตึง “ผู้ถ่ายทอดมรรคา ฮ่าๆ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของข้าเจิ้งต้าเฟิง…”


—–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)