กระบี่จงมา 255.2-255.3
บทที่ 255.2 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด
โดย
ProjectZyphon
ต่อให้คนทั้งสี่คิดจนหัวแตกก็คงคิดไม่ถึงว่า ผู้เฒ่าเรือนไม้ไผ่ที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้เด็กหนุ่มเคยเดินไปสู่จุดสูงสุดของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตสิบมาก่อน จึงไม่เคยรู้สึกว่าเรื่องประเภทนี้เป็นโชควาสนาอะไร ถือเป็นของนอกกายที่ไม่มีประโชน์ต่อรากฐานของวิชาหมัด! ยังเทียบกับซี่โครงไก่ที่เนื้อน้อยไร้รสชาติแต่จะทิ้งก็เสียดายไม่ได้ด้วยซ้ำ เฉินผิงอันที่เรียนวิชาหมัดของเขาจึงไม่ควรเดินทางลัดแบบนี้ หากผู้เฒ่าเปลือยเท้าได้มาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ต้องหัวเราะชอบใจเสียงดัง รู้สึกว่าเด็กหนุ่มทำได้ดี นี่ต่างหากถึงจะเป็น ‘เรื่องโง่’ ที่ ‘เฉินสืออี’ จะทำ
หลังจากซุนเจียซู่กลับมาที่บ้านบรรพบุรุษ ก่อนจะไปพบเฉินผิงอัน บุรพาจารย์สกุลซุนท่านหนึ่งมาพูดหยอกเย้าเจ้าประมุขตระกูลคนปัจจุบันเป็นการส่วนตัวว่า “เจ้าเชิญเทพเซียนคนหนึ่งมาเป็นแขกที่บ้าน”
ซุนเจียซู่สอบถามด้วยความประหลาดใจ บุรพาจารย์ที่มาหลบเร้นกายอยู่ที่สามร้อยกว่าปีจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง ซุนเจียซู่ยกมือตบหน้าผาก กล่าวอย่างอ่อนใจว่า “เทพเซียนจริงๆ ด้วย”
ตอนที่กินข้าวด้วยกัน เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าสีหน้าซุนเจียซู่แปลกประหลาด ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสีหน้าที่ตนเคยมองหลิวป้าเฉียวเมื่อครั้งอดีต…
เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าการที่เขาต่อยมังกรเมื่อเช้านี้นำพาความยุ่งยากมาให้บ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน จึงถามอย่างเป็นกังวลว่า “เป็นอะไรไป? เมื่อเช้าที่ข้าออกหมัดสร้างความตื่นตระหนกให้ตระกูลฝูที่นครมังกรเฒ่าหรือ? พวกเขาก็เลยค้นพบเบาะแสของข้าแล้ว?”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้ายิ้ม “ในนครมังกรเฒ่ามีผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธ์หลายพันหลายหมื่นคน เรื่องแปลกประหลาดมีให้เห็นมากมาย แต่หากเกี่ยวพันกับบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน เรื่องประหลาดจะไม่ดูประหลาดสักเท่าไหร่ อีกอย่างคนอื่นก็ไม่ค่อยกล้ามาลอบมองสถานที่แห่งนี้ด้วย ดังนั้นการออกหมัดครั้งนี้ของเจ้าจึงไม่มีปัญหาอะไร…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซุนเจียซู่รู้สึกผิดต่อเจตจำนงเดิมของตัวเอง อีกทั้งยังรู้สึกเสียดายแทนเฉินผิงอัน จึงเกิดความลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะบอกความจริงแก่เด็กหนุ่มดีหรือไม่
ซุนเจียซู่คิดไม่ตกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมา บอกความจริงแก่เฉินผิงอันที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองพลาดอะไรไป
พอเฉินผิงอันฟังจบก็ดื่มเหล้าเงียบๆ ถามหยั่งเชิงว่า “หากพรุ่งนี้ข้าไปชมแสงอรุณอีกครั้ง จะยังมองเห็นมังกรสีทองพวกนั้นอีกไหม?”
ซุนเจียซู่ฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ดื่มเหล้าอึกใหญ่ พูดอย่างสะท้อนใจว่า “เรียนหนังสือมาน้อยนี่เสียเปรียบจริงๆ”
ซุนเจียซู่มองเฉินผิงอัน เอ่ยหยอกล้อว่า “ทำไม คิดว่าคืนนี้จะไปตกปลาที่ริมน้ำ แล้วก็รอพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันตกตะลึง “ซุนเจียซู่ นี่เจ้าอ่านใจคนออกด้วยหรือ?”
ซุนเจียซู่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี โบกมือกล่าวว่า “ข้าไม่มีความสามารถนั้นหรอก แต่ได้ยินว่าบุรพาจารย์ของสำนักการค้าเรามีคนที่มีความสามารถนี้อยู่จริง”
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็พกคันเบ็ดตกปลาไปที่ริมน้ำ ซุนเจียซู่เดินถือข้องปลาตามไปด้วย ถือโอกาสเล่าเรื่องร้านยาฮุยเฉินให้เฉินผิงอันฟัง เฉินผิงอันก็เล่าให้ฟังว่าตัวเองฝ่าทะลุขอบเขตสี่แล้ว จะไปที่ร้านยาฮุยเฉินหรือไม่ ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นอีกแล้ว แต่เขาก็อยากไปเจอคนคุ้นเคยคนนั้นสักหน่อย ซุนเจียซู่เองก็ไม่ได้คัดค้านอะไร บอกว่าพรุ่งนี้สามารถเดินทางได้ แค่ต้องรอเวลาเตรียมการสักเล็กน้อย ตัวเขาเองตามไปไม่ได้แน่นอน เพราะความหวังดีอาจจะทำให้เสียเรื่องเอาได้ แต่จะให้ผู้รับใช้คนหนึ่งของตระกูลซุนที่เป็นขอบเขตโอสถทองติดตามเฉินผิงอันไป
ในฐานะเจ้าประมุขของตระกูล ในมือซุนเจียซู่มีงานให้ต้องทำมากมาย ย่อมไม่มีเวลามานั่งแกร่วอยู่ข้างแม่น้ำเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน และปลาที่ตระกูลซุนของเขาจะตกล้วนต้องตัวใหญ่มาก
เพียงไม่นานซุนเจียซู่ก็เดินกลับมาที่บ้านบรรพบุรุษเพื่อจัดการธุระในตระกูล หลังจากนั่งลงข้างหลังโต๊ะก็กางสมุดบัญชีแต่ละปึกออก ด้านหน้าวางลูกคิดโบราณเก่าแก่ไว้อันหนึ่ง มองภายนอกลูกคิดอันนี้ไม่ได้แปลกใหม่อะไร ส่วนที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริงอยู่ที่โดยรอบลูกคิดมีคนจิ๋วสีทองขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือหลายคนนั่งล้อมอยู่ พวกมันสืบทอดสายเลือดมาจากแมลงเงินในตำนาน ถือกำเนิดขึ้นมาในคลังสมบัติ ด้านหลังของพวกมันมีปีกส่องแสงสีทองระยิบระยับ เวลาอยู่ว่างๆ ก็มักจะชอบกลิ้งไปกลิ้งมาเล่นสนุกกันเอง โดยมีความหมายว่าให้ทรัพย์สินไหลมาเทมา
ขณะที่ซุนเจียซู่พูดตัวเลขในใจอย่างรวดเร็วก็จะต้องมีคนจิ๋วสีทองบินมาบนลูกปัดแล้วผลักมันอย่างว่องไว
ลูกคิดที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษและคนจิ๋วสีทองต่างก็ไม่ใช่สิ่งของธรรมดา แต่สิ่งของทุกอย่างในห้องหนังสือนอกเหนือจากนั้นล้วนเป็นของธรรมดา แม้แต่ตะเกียงน้ำมันบนโต๊ะก็ยังเป็นเช่นนี้ บางครั้งซุนเจียซู่ยังต้องเติมน้ำมันหอมด้วยตัวเอง ตระกูลซุนมีคำสอนลูกหลานจากบรรพบุรุษที่สืบทอดกันมาว่า อะไรที่ประหยัดได้ก็ควรประหยัด เงินหนึ่งอีแปะก็ถือเป็นต้นทุนของตระกูล อะไรที่ควรจ่ายก็จ่าย ต่อให้ทุ่มหมดหน้าตักก็ไม่จำเป็นต้องกะพริบตา
ระหว่างที่ลุกขึ้นเพื่อเติมน้ำมัน ซุนเซียซู่จะมาหยุดอยู่ข้างหน้าต่างเพื่อมองแม่น้ำ หยุดพักชั่วขณะสั้นๆ
ครั้งสุดท้ายที่มองไปยังสีท้องฟ้า จู่ๆ เขาที่เป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลางก็ใช้เสียงในใจส่งข้อความไปพูดกับข้ารับใช้ตระกูลนอกเหนือจากบรรพบุรุษของตระกูลตนเอง “มาพนันเล็กๆ กันเถอะ พวกท่านทั้งสามกล้าพนันกับข้าหรือไม่? หากข้าแพ้ ในเมื่อเป็นการพนันเล็กๆ ก็จะมอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้กับพวกท่าน แต่หากทั้งสามท่านแพ้ต้องช่วยดูแลบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุนไปอีกร้อยปี? แน่นอนว่าเงินเดือนที่ตระกูลซุนควรมอบให้พวกท่านทุกปีก็จะยังคงเดิม”
คนตัดต้นไม้พูดยิ้มๆ ว่า “ซุนเจียซู่ เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าเดิมพัน? ไม่ยุติธรรมเอาซะเลย”
ซุนเจียซู่ยิ้มตอบ “ข้าจะเดิมพันว่าการเฝ้าคืนในครั้งนี้ของเด็กหนุ่มจะยังได้พบภาพมหัศจรรย์ของฟ้าดินอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านจะกล้าเดิมพันหรือไม่?”
“กล้า!”
เทพเซียนผู้เฒ่าทั้งสามท่านเอ่ยตอบพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
หากแพ้ก็จ่ายเงินร้อนน้อยสามเหรียญ หากชนะ ในอนาคตอีกร้อยปีตระกูลซุนจะมีขอบเขตโอสถทองเพิ่มอีกสามท่าน หากโชคดี ในบรรดาสามคนนี้ก็อาจจะมีผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตเก้าก่อกำเนิดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน
คิดดูแล้วทั้งสามคนนั้นก็คงรู้ห่วงโซ่ที่สำคัญของเรื่องนี้ดี แค่ทั้งสามท่านต่างก็รู้สึกว่าซุนเจียซู่จะไม่มีทางชนะก็เท่านั้น อีกอย่างสำหรับเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ คนทั้งสามไม่ได้รู้สึกอะไรมานานมากแล้ว แค่อยากจะชนะเดิมพันเทพน้อยแห่งความร่ำรวยของนครมังกรเฒ่าด้วยตัวเองสักครั้งก็เท่านั้น
ทว่าจากนั้นซุนเจียซู่ก็ยิ้มแล้วควักเงินร้อนน้อยสามเหรียญออกมาจากชายแขนเสื้อ วางเรียงกันไว้บนกรอบหน้าต่าง พูดเหมือนเยาะตัวเองว่า “เพิ่งจะสังเกตเห็น ทั้งสามท่านเอาเงินร้อนน้อยไปได้เลย”
คนทั้งสามก็ไม่เกรงใจ พากันร่ายใช้วิชาอภินิหาร เงินร้อนน้อยสามเหรียญจึงหายวับไป
ผู้เฒ่าที่ตบะสูงสุด แต่เป็นคนนำเงินร้อนน้อยไปทีหลังสุดก็คือผู้ฝึกลมปราณที่มีหวังว่าจะเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดมากที่สุด
ซุนเจียซู่ยิ้มบางๆ ไม่ได้กลับไปนั่งที่เดิม แต่ยืนอยู่ข้างหน้าต่าง รอคอยช่วงเวลาที่เฉินผิงอันลืมตาขึ้นมาจากการยืนนิ่ง กุมารน้อยสีทองที่มีมูลค่าควรเมืองพวกนั้นพากันแหงนหน้ามองมา เจ้าตัวน้อยต่างก็รู้สึกสงสัย ทำไมวันนี้เจ้านายถึงได้ไม่รักการหาเงินเหมือนทุกวัน
ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกเป็นสีเงินขมุกขมัวก่อน จากนั้นถึงกลายเป็นสีขาวท้องปลา สุดท้ายแสงรุ่งอรุณสาดส่องไปไกลหมื่นจั้ง สีแดงระยิบระยับเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั่วนครมังกรเฒ่า
จากนั้นก็คือความเงียบสงบของฟ้าดิน ดวงอาทิตย์แห่งทะเลตะวันออกลอยขึ้นมาช้าๆ ก้อนเมฆเดี๋ยวรวมตัวกัน เดี๋ยวแยกย้าย ไม่มีความผิดปกติแม้แต่นิดเดียว
ซุนเจียซู่ที่เสียเงินร้อนน้อยไปสามเหรียญไม่เห็นเป็นสำคัญ
เทพเซียนผู้เฒ่าสามท่านสบายอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด ยังพากันพูดจากหยอกเย้าซุนเจียซู่อีกด้วย
บรรพบุรุษตระกูลซุนท่านนั้นมาที่ห้องหนังสือ ในฐานะผู้ฝึกลมปราณใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิด เขาโบกมือหนึ่งครั้ง ตัดขาดความเชื่อมโยงระหว่างห้องหนังสือกับฟ้าดินภายนอกไปชั่วขณะ แล้วพูดปลอบใจด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นอย่างไร? ยอมแพ้แล้วใช่ไหม ท่านปู่ของเจ้าเคยพูดไว้นานแล้วว่า โชคด้านการเสี่ยงโชคได้ถูกวิชาอภินิหารนั้นของเจ้าเผาผลาญไปหมดสิ้นแล้ว เจ้าน่ะจงตั้งใจทำงานหาเงินไปเถอะ”
ซุนเจียซู่ทอดถอนใจ จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเดินไปที่ประตูห้อง บอกลาบรรพบุรุษแล้วถึงพูดยิ้มๆ ว่า “ข้าจะไปบอกเหล่าซ่งที่ห้องครัวสักหน่อยว่าอาหารเช้าวันนี้ทำให้ปกติหน่อย ไม่ต้องสิ้นเปลืองอาหารอันโอชะ (อาหารชั้นเลิศที่เป็นอาหารป่าและอาหารทะเล ยกตัวอย่างเช่นอุ้งตีนหมี รังนก ฯลฯ) พวกนั้นอีกแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่นก็แยกว่าอะไรดีเลวไม่ออก ไม่แน่ว่าหากเป็นผักดอง หมั่นโถวที่เป็นอาหารปกติ เขาอาจจะชอบมากยิ่งกว่า ข้าจะไม่ชม้ายชายตาให้คนตาบอดอีกแล้ว ต้องประหยัดๆ!”
บรรพบุรุษสกุลซุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มองไปยังคนจิ๋วร่างสีทองที่นั่งอยู่บนลูกคิด สีหน้าของผู้เฒ่าเผยความภาคภูมิใจ ตระกูลฝูมีเงินมากกว่าตระกูลซุน แต่หากจะพูดถึงกุมารเรียกทรัพย์ที่มีระดับสูงสุดแบบนี้ ตระกูลฝูก็มีแค่กุมารร่างทองฝาแฝดคู่หนึ่ง นับรวมๆ แล้วตระกูลฝูมีแค่สามตัวเท่านั้น แต่ตระกูลซุนกลับมีมากถึงสี่ตัว ตระกูลใหญ่อีกสี่แซ่ของนครมังกรเฒ่า ก็มีแค่ตระกูลฟ่านที่โชคดีซื้อตัวหนึ่งมาจากฮ่องเต้ราชวงศ์ใหญ่ที่แคว้นล่มสลาย
ขณะที่รับประทานอาหารเช้า เห็นว่าเฉินผิงอันสวาปามโจ๊ก หมั่นโถวและผักดอง ดูท่าแล้วเอร็ดอร่อยยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ซุนเจียซู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเคี้ยวอย่างละเอียดและกลืนอย่างเชื่องช้าก็เจริญอาหารตามไปด้วย ดื่มเหล้า เจอกับคนที่ชอบดื่มเหมือนกัน กินข้าว เจอกับอาหารที่ถูกปาก ทำให้คนกินได้เยอะมากกว่าปกติอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ย้อนกลับไปที่ริมแม่น้ำและเริ่มตกปลาอย่างจริงจัง ผลเก็บเกี่ยวมากมาย ครึ่งหนึ่งของข้องใส่ปลาคือปลาแม่น้ำที่คนในนครมังกรเฒ่าเรียกกันว่าปลาขาว ส่วนที่เหลืออีกครึ่งข้องคือปลารวมที่มีทั้งปลาหวงล่าติงและปลาตีนเป็นหนึ่งในนั้น
มื้อเที่ยงกินอาหารที่มีแต่เนื้อปลา หลังจากซุนเจียซู่ให้เฉินผิงอันสวมหน้ากากปลอมแปลงโฉมแล้วก็กำชับอีกรอบ ก่อนจะบอกให้เฉินผิงอันติดตามบุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นไปที่บ่อน้ำแห่งหนึ่งนอกบ้านบรรพบุรุษ บุรพาจารย์สกุลซุนโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ด้านในบ่อน้ำที่ใสดุจกระจกก็ปรากฏภาพของบ้านหลังหนึ่ง ผู้เฒ่าบอกเฉินผิงอันว่าสามารถเดินไปบนผิวน้ำของบ่อน้ำได้เลย เฉินผิงอันที่เก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้า สะพายแค่กล่องกระบี่ก้าวออกไปอย่างไม่ลังเล เขาไม่ได้ตกลงไปเบื้องล่างบ่อน้ำ แต่เหยียบลงไปบนผิวกระจก เพียงแต่ว่าใต้ฝ่าเท้ามีริ้วน้ำกระเพื่อม พอเดินออกไปได้หลายก้าว ร่างก็พลันหายวับไป เหมือนเดินเข้าไปในผิวกระจก
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็เดินออกมาในห้องแห่งหนึ่ง มองซ้ายมองขวา รอบด้านก็คือภาพที่เห็นในผิวน้ำก่อนหน้านี้
ทางฝั่งของบ้านบรรพบุรุษตระกูลซุน ผู้เฒ่าที่มองริ้วกระเพื่อมบนผิวน้ำที่ยังไม่นิ่งสงบแล้วพูดชมกับซุนเจียซู่ว่า “เด็กหนุ่มจากต้าหลีคนนี้มีจิตวิญญาณที่มั่นคง มีปณิธานที่หนักแน่น มิน่าเล่าหลิวป้าเฉียวถึงได้เห็นเขาเป็นเพื่อน”
ซุนเจียซู่ส่ายหน้ายิ้มๆ พลางเอ่ยโต้ว่า “หลิวป้าเฉียวไม่ได้มองเฉินผิงอันเป็นเพื่อนด้วยสาเหตุนี้”
ผู้เฒ่าถามจี้ใจซุนเจียซู่ “แล้วเจ้าล่ะ?”
ซุนเจียซู่คิดแล้วก็ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่เคยร่วมทุกข์กันมาก่อน เทียบกับความสัมพันธ์ระหว่างหลิวป้าเฉียวและเฉินผิงอันไม่ได้”
อีกฝั่งของกระจกตั้งอยู่ในเมืองในของนครมังกรเฒ่า มีคนมารอรับอยู่ข้างนอกห้องแล้ว ซึ่งก็คือเทพเซียนขอบเขตโอสถทองของตระกูลซุนท่านนั้น เขาพาเฉินผิงอันเดินเข้าไปในลานกว้างแห่งหนึ่ง เดินออกจากประตูด้านข้าง นั่งโดยสารรถม้าคันหนึ่งที่มารออยู่นานแล้ว เทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองที่ซุกซ่อนพลังอำนาจแท้จริงไว้ภายใน ภายนอกกลับคืนสู่รูปลักษณ์ของธรรมชาติดั้งเดิมทำหน้าที่เป็นสารถีด้วยตัวเอง สุดท้ายรถม้ามาจอดอยู่หน้าปากตรอกแห่งหนึ่ง หน้าตรอกมีต้นไหวต้นหนึ่งที่อายุไม่มากนัก ใต้ต้นไม้คือชายฉกรรจ์ที่นั่งแทะเมล็ดแตงพลางพลิกเปิดหน้าหนังสือ
พอเฉินผิงอันลงจากรถ คนทั้งสองก็มองสบตากัน
ชายฉกรรจ์ลุกยืนแล้วหยิบม้านั่งขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ เดินนำเข้าไปในตรอกก่อน ผู้เฒ่าตระกูลซุนจอดรถไว้ข้างทาง ไม่ได้ติดตามมาด้วย เขาเริ่มหลับตาทำสมาธิ
มาถึงร้านยา เจิ้งต้าเฟิงวางม้านั่งลงที่หน้าประตู บอกให้เฉินผิงอันนั่งลงไป ส่วนตัวเองไปหยิบม้านั่งมาอีกตัว ทันใดนั้นก็มีเสียงความเคลื่อนไหวมาจากทางธรณีประตู ล้วนเป็นพวกหญิงสาวที่มาชมความครึกครื้น น่าเสียดายที่เฉินผิงอันสวมใบหน้าปลอมที่มีรูปโฉมธรรมดา เพียงไม่นานพวกนางก็หมดความสนใจ พากันเดินกลับเข้าไปในร้าน ใช้เวลาของวันให้หมดลงอย่างเกียจคร้าน
บทที่ 255.3 ความจริงใจประทับใจคน แต่ก็ทำร้ายคนให้เจ็บปวด
โดย
ProjectZyphon
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มตาหยีถามว่า “ในเมื่อสลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงได้เองแล้ว ทำไมถึงยังเสี่ยงมาที่นี่? หากข้าจำไม่ผิด เจ้ากับฝูหนันหัวนายน้อยของนครมังกรเฒ่ามีความแค้นที่ลึกล้ำต่อกัน ไม่กลัวว่าจะเผยพิรุธอย่างนั้นหรือ? ถึงเวลานั้นตระกูลซุนสามารถลอยตัวอยู่เหนือเรื่องราวได้ แล้วเจ้านึกว่าข้าจะช่วยเจ้าหรือไง?”
เฉินผิงอันถามสามคำถาม “ปีนั้นใครเป็นคนบอกบิดาข้าเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต? ใครที่ทำให้บิดาข้าต้องตาย? เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับหยางเหล่าโถวหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงถามกลับยิ้มๆ ด้วยสีหน้าเป็นปกติ “หากเกี่ยวข้องกับท่านผู้เฒ่า เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันเงียบไม่ตอบคำถาม
เจิ้งต้าเฟิงใช้หนังสือเล่มนั้นพัดลมเย็นเข้าหาตัว “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องนี้ท่านผู้เฒ่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าข้าสามารถบอกกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า ตอนแรกนั้นท่านผู้อาวุโสต้องมองเห็นอย่างแน่นอน เพียงแต่รู้สึกว่าไม่มีความหมาย ไม่มีค่ามากพอ จึงคร้านจะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้อง หากเจ้าจะเคียดแค้นท่านผู้เฒ่าที่ตอนนั้นไม่ยื่นมือขัดขวางก็เป็นเรื่องของเจ้าเฉินผิงอัน เพราะข้าก็จะไม่ห้ามเจ้าเหมือนกัน”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มจืดเจื่อน “ข้าจะมาเคียดแค้นด้วยเรื่องนี้ทำไม หยางเหล่าโถวมีนิสัยอย่างไร ข้ารู้ชัดเจนดี เขาไม่เคยติดค้างใคร แล้วก็ไม่เคยให้ใครมาติดค้างเขา ไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ หันหน้ามามองเฉินผิงอัน ยิ้มกว้างพูดว่า “เจ้าคิดได้แบบนี้ย่อมดีที่สุด หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าข้าต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากการด่าทอทุบตีของท่านผู้เฒ่าเพื่อมาต่อยให้หัวเจ้าเละด้วยหมัดเดียว”
เฉินผิงอันไม่สะทกสะท้าน หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาเดานิสัยของคนเฝ้าประตูเมืองเล็กผู้นี้มาได้ตั้งนานแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงโบกหนังสือพัดเอาลมใส่ตัว “ตอนนั้นในบรรดาเด็กทั้งหลาย หากไม่พูดถึงการสืบทอดและฝักฝ่ายของแต่ละคน ข้าเห็นดีในตัวของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาบนถนนฝูลวี่และซ่งจี๋ซินในตรอกหนีผิงมากที่สุด ส่วนหลี่เอ้อร์ศิษย์พี่ของข้า หรือก็คือบิดาของพวกหลี่ไหวหลี่หลิ่ว ถูกน้ำมันหมูบดบังดวงใจ ถึงได้ชื่นชอบเจ้ามากที่สุด ภายหลังสิ่งที่เจ้าพบเจอหลังออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี ข้าที่พอจะเข้าใจเรื่องราวได้คร่าวๆ ถึงได้ค้นพบว่าข้ามองเจ้าผิด แล้วก็มองศิษย์พี่ของข้าผิดด้วย เมื่อก่อนข้านึกว่าพวกเจ้าสองคนเป็นคนโง่ที่ขาดสติปัญญา ตอนนี้ถึงได้ค้นพบว่าเป็นข้าเจิ้งต้าเฟิงที่ตาบอด”
อันที่จริงเจิ้งต้าเฟิงอยากพูดว่า แท้จริงแล้วเขาหลี่เอ้อร์กับเจ้าเฉินผิงอันต่างหากที่เป็นคนฉลาดที่สุด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากตรอกหนีผิงที่ใช้ชีวิตเดียวดายอย่างยากลำบาก เดินแต่ละก้าวมาจนถึงทุกวันนี้ เดินมาจนถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปแล้วถึงเพิ่งจะมาเริ่มถามสามคำถามนี้
เฉินผิงอันถามว่า “กับหยางเหล่าโถว ข้าไม่กล้าถามเรื่องพวกนี้ อีกอย่างถามไปก็เหมือนไม่ได้ถาม แต่ถ้าเป็นเจ้า ข้ารู้สึกว่าพอจะลองถามดูได้”
เจิ้งต้าเฟิงถามยิ้มๆ “ทำไม เพราะรู้สึกว่ามีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองคนหนึ่งให้การปกป้อง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของตัวเองแล้ว?”
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า “หยางเหล่าโถวสามารถชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย หากข้าถามถึงเรื่องที่ร้ายแรงจริงๆ เขาอาจจะตบข้าให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว แต่เจ้าเจิ้งต้าเฟิงน่าจะไม่กล้า หากข้าเดาไม่ผิด ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะต้องตายสถานเดียว อีกอย่างค่าตอบแทนที่เจ้าต้องจ่ายก็ต้องไม่ใช่น้อยๆ”
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากพูดว่า เจ้าเจิ้งต้าเฟิงก็เป็นคนทำการค้าเหมือนกัน แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า วิสัยทัศน์และสถานะของชายสกปรกมอมแมมคนนี้เทียบชั้นกับหยางเหล่าโถวไม่ติด
เมื่อเฉินผิงอันเปิดปากถามคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจมาสิบปีเต็มพวกนี้อย่างแท้จริง เขาก็ยังรู้สึกกระวนกระวายอย่างยิ่ง เพียงแต่ว่าหลังเลื่อนสู่ขอบเขตสี่ เขาสามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้แล้ว แค่ให้แกล้งทำท่าผ่อนคลายไม่ยี่หระ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร อีกอย่างพอเดินเข้ามาในตรอกเล็กแห่งนี้ ตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเข้าร้านไปหยิบม้านั่งมา เฉินผิงอันก็หยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกจากห่อสัมภาระมาดื่มเหล้าแล้ว
หากขอบเขตสี่ของตนยังไม่ดีพอ ก็ยังมีชูอีกับสืออู่ และด้านหลังยังมีผู้ฝึกลมปราณขอบเขตโอสถทองของตระกูลซุนท่านนั้นอยู่อีกคน
แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องบางเรื่องที่เก็บมานานนม ก็ได้เวลาที่ควรจะเปิดรอยแผล เอาออกมาตากแดดบ้างแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงมองเด็กหนุ่มที่มีสีหน้าจริงจังแล้วก็ถอนหายใจ ม้วนตำราที่กว่าจะยืมจากเด็กสาวมาได้อีกครั้งก็ต้องพูดจนปากแทบฉีกเล่มนั้นให้เป็นแท่งกลม ใช้มันเคาะเข่าเบาๆ พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เจ้านี่นับวันยิ่งน่ารำคาญ พอเถอะ ไม่ต้องแกล้งทำท่าเป็นผ่อนคลายทั้งที่หวาดผวาจะแย่อีกแล้ว ข้าล่ะเหนื่อยแทน วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางฆ่าเจ้าหรอก ตอนนี้หยางเหล่าโถวให้ความสำคัญกับเจ้ามาก แล้วนับประสาอะไรกับที่แค่เจ้าถามคำถามไม่กี่คำ ข้ายังไม่ถึงขั้นต้องลงมือฆ่าแกงกัน ต่อให้ข้าใจแคบแค่ไหน ก็ไม่มีทางแคบถึงขนาดนั้น”
แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็พูดต่อว่า “แต่คำถามสองข้อนั้น ข้าจะไม่ตอบ เจ้ามีความสามารถก็สืบสาวราวเรื่องเอาเอง…”
พูดมาถึงตรงนี้ เจิ้งต้าเฟิงก็ถามยิ้มๆ ว่า “ทำไมเจ้าไม่ถามฉีจิ้งชุนไปตามตรง?”
เฉินผิงอันผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม เขาเอนหลังที่มีกล่องกระบี่พิงผนังเบาๆ แหงนหน้าดื่มเหล้า เอ่ยประโยคหนึ่งที่ยิ่งทำให้เจิ้งต้าเฟิงสงสัย “ข้ากลัวว่าจะทำให้อาจารย์ฉีผิดหวัง”
เจิ้งต้าเฟิงหันไปตะโกนอีกทางหนึ่ง “เหมยเอ๋อร์ ยกถั่วลิสงและเมล็ดแตงสองจานมารับแขก!”
สตรีหุ่นอวบอิ่มคนหนึ่งยกของว่างสองจานมาตามสั่ง ตอนที่นางโน้มตัวส่งจานมาให้เขา เจิ้งต้าเฟิงแสร้งโวยวายอย่างตกใจ “ภูเขากดทับหัวข้า ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
หญิงสาวกระแทกจานสองใบลงบนมือเจิ้งต้าเฟิงแล้วรีบลุกขึ้นยืน กระทืบเท้าเขาหนึ่งทีพลางคลี่ยิ้มหวานหยดย้อย “นิสัย!”
เจิ้งต้าเฟิงยื่นจานถั่วลิสงให้เฉินผิงอัน ส่วนตัวเองแทะเมล็ดแตง
ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะพอคาดเดาคำตอบของเจิ้งต้าเฟิงได้อยู่แล้ว จึงไม่ได้ผิดหวังเท่าใดนัก เพียงถามว่า “เจ้ามีตำราวิชากระบี่ที่ดีๆ ขายหรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงถามอย่างไม่ใส่ใจนัก “จะเอาวิชากระบี่ตระกูลเซียนของผู้ฝึกลมปราณ หรือว่าคือวิชาลับการเรียนวรยุทธ์ในยุทธภพ?”
เฉินผิงอันตอบไปตามตรง “เจ้าน่าจะมองออกว่า สะพานอมตะของข้าขาดไปนานแล้ว คิดจะฝึกกระบี่ก็ได้แต่ฝึกตำรากระบี่ของผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น”
เจิ้งต้าเฟิงเองก็พูดตรงเช่นกัน “ตำราลับการเรียนวรยุทธ์ที่ดีที่สุด ข้าช่วยเจ้าหาได้ แล้วก็จะเอามาขายให้เจ้าด้วยราคาที่สูงเทียมฟ้า แต่นั่นไม่มีความหมายอะไร ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าพยายามไปตามหาวิชาลับเลิศล้ำในยุทธภพอะไรเลย ตัวข้าเจิ้งต้าเฟิงคือคนบนวิถีวรยุทธ์ รู้ถึงความตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ดี ในเมื่อตอนนี้เจ้าฝึกวิชาหมัดได้ดีมากแล้วก็อย่าให้มีปัญหาแทรกซ้อน จะเสียเวลาไปเปล่าๆ”
เฉินผิงอันกินถั่วลิสงหนึ่งเม็ด ครุ่นคิดแล้วก็พูดกับบุรุษคนนี้ด้วยความจริงใจ “ขอบคุณมาก เพราะคำพูดเหล่านี้ เงินเหรียญทองแดงห้าเหรียญที่เจ้าติดค้างข้าไว้ก็ไม่ต้องคืนแล้ว”
มุมปากเจิ้งต้าเฟิงกระตุก
ดูเอาสิ เด็กหนุ่มที่น่าเบื่อสุดๆ แบบนี้จะให้เขาเจิ้งต้าเฟิงมองแล้วไม่ขัดหูขัดตาได้อย่างไรไหว?!
แต่จุดลึกในสายตาของชายผู้นี้กลับมีความคลุมเครือยากจะเข้าใจ
เจิ้งต้าเฟิงยืดแขนบิดขี้เกียจอย่างสบายตัว กล่าวอย่างโมโหแต่ทำอะไรไม่ได้ “รบกวนถอดหน้ากากของเจ้าออกเถอะ เดิมทีก็ไม่หล่ออยู่แล้ว ยิ่งมาสวมหน้ากากแบบนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้าเคยมีเรื่องกับฝูหนันหัว? ข้าหรือจะกล้าถอดมันออก มาเดินอาดๆ อยู่ในเมืองในของนครมังกรเฒ่า สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตระกูลฝูจะมีวิชาอภินิหารอะไรคอยจับตามองความเคลื่อนไหวในเมืองหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นวิชาเทพมองภูเขาและแม่น้ำผ่านฝ่ามือ? หากว่ามีอยู่จริงๆ นี่ก็ไม่เท่ากับว่าข้ามาโวยวายอยู่หน้าบ้านคนอื่นให้เขามาฆ่าข้าเร็วๆ หรอกหรือ? เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะโง่ ไม่อย่างนั้นก็ต้องกรูกันออกจากบ้านมาฆ่าข้าให้ตาย”
เจิ้งต้าเฟิงหลุดขำกับคำพูดของเขา จึงหัวเราะพลางเปิดเผยความลับว่า “เอาเถอะ หยางเหล่าโถวเคยกำชับข้าไว้ว่า ขอแค่เจ้าสามารถทำลายยันต์ปราณแท้จริงสองตำลึงได้ด้วยตัวเอง ข้าก็ต้องรับรองว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ในนครมังกรเฒ่า ต่อให้เจ้าจะอยากตาย เดินอาดๆ ไปโอ้อวดตัวที่หน้าประตูใหญ่จวนตระกูลฝู ข้าก็ต้องรับรองว่าเจ้าเฉินผิงอันจะไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
จู่ๆ เจิ้งต้าเฟิงก็พึมพำขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนไม่เห็นรู้สึก แต่ตอนนี้เพิ่งค้นพบว่าชื่อของเจ้านี่ตั้งได้ดีจริงๆ”
เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “เจ้าคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ขอบเขตยอดเขา? หรือว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบน?”
เจิ้งต้าเฟิงฉุนจัดจนกลายเป็นขำ “เจ้าคิดว่าผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเก้าและผู้ฝึกลมปราณขอบเขตหยกดิบคือผักกาดขาวที่อยู่ข้างทาง เจ้าเดินไปไม่กี่ก้าวก็ได้เห็นเป็นแถวใหญ่หรือไง? ต่อให้นครมังกรเฒ่าจะมีสามลัทธิเก้าสาขา มีปลาและมังกรปะปนกันมากแค่ไหน ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตแปดและเซียนพสุธาขอบเขตสิบก็สามารถวางอำนาจบาตรใหญ่ได้ทั่วแล้ว แน่นอนว่าต้องไม่ไปสร้างความเดือดดาลให้แก่ฝูงชน ถ้าแค่ท้าทายหนึ่งตระกูลหนึ่งแซ่ ต่อให้เป็นตระกูลฝูที่มีอาวุธกึ่งเซียนอยู่ชิ้นหนึ่ง ก็ใช่ว่าจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย บุรพาจารย์ขอบเขตก่อกำเนิดคนนั้นก็เป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเก้าเท่านั้น แต่มาอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นเทพเซียนผู้เฒ่าที่สูงส่งเกินกว่าใครจะทัดเทียมแล้ว”
เจิ้งต้าเฟิงกลอกตามองสูง “เจ้าคิดว่าที่นี่คือถ้ำสวรรค์หลีจูหรือไง? ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดขั้นสูงสุดอย่างข้ามีหน้าที่แค่เฝ้าประตูคอยเก็บเงินอย่างนั้นหรือ? หร่วนฉงที่เป็นขอบเขตสิบเอ็ด ก่อนหน้าจะมารับตำแหน่งอริยะก็คอยหลอมกระบี่ตีเหล็กอยู่ริมแม่น้ำหรือไง? ตอนที่ชุยฉานราชครูต้าหลีเข้าไปในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยังต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ เผยโฉมต่อหน้าคนอื่นด้วยร่างจำแลงไม่ใช่หรือ?”
จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามว่า “เจ้าคิดจะให้ข้าถอดหน้ากากออก เพราะมีแผนการอะไรใช่หรือไม่?”
เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่แยแส เอ่ยด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “เรื่องนี้ก็มองออกด้วยหรือ?”
เทพหยินตนหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของควันเขียวมาปรากฎกายอยู่ในจุดอับแสงของมุมกำแพงตรงข้ามกับคนทั้งสอง แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ตอนนี้ในสมองของเจิ้งต้าเฟิงเหลวเป็นแป้งเปียก คิดไม่ออกว่าผู้ปกป้องมรรคากับผู้ถ่ายทอดมรรคาคืออะไรกันแน่ จึงไหว้วานให้ตระกูลฟ่านทุ่มเงินตามหาคนมาทำนายให้ ภาพเสี่ยงทายที่ออกมาก็คือภาพดึงเกาลัดออกมาจากในกองไฟ มีความหมายเป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงอยากจะให้เจ้าลองตกอยู่ในอันตราย ถึงเวลานั้นเขาจะเป็นคนลงมือช่วยเหลือ แล้วให้ข้าเป็นคนปกป้องเจ้าออกไปจากนครมังกรเฒ่า ช่วงเวลาระหว่างนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเข้าใจสองสถานะนี้ได้อย่างชัดเจน หากยังสามารถฝ่าทะลุคอขวดของวิถีวรยุทธ์ขอบเขตแปดได้อย่างราบรื่น ก็จะสอดคล้องกับภาพคำทำนายพอดี”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจิ้งต้าเฟิงที่ทำหน้าเฉย “เงินห้าอีแปะ ติดไว้ก่อน ต่อให้ตอนนี้เจ้าคิดจะคืน ข้าก็ไม่มีทางรับ”
เจิ้งต้าเฟิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “แค่เงินห้าอีแปะจะนับเป็นอะไรได้ ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “เจิ้งต้าเฟิง เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่รู้กฎของหยางเหล่าโถว? ก่อนหน้านี้ข้าจงใจพูดถึงเรื่องเงินขึ้นมา ภายหลังเจ้าพูดถึงเรื่องการเรียนวรยุทธ์และฝึกหมัด ข้าเห็นว่าเจ้าไม่เหมือนคนพูดโกหก ถึงได้ผลักเรือตามน้ำ สะสางบัญชีของพวกเราสองคนให้หมดสิ้น! หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นคนที่ต้องการให้ข้าเป็นคนส่งจดหมาย ก็คือหยางเหล่าโถว คนที่บอกให้เจ้าติดหนี้ ก็ยังต้องเป็นหยางเหล่าโถวอีกกระมัง? ตอนนี้เจ้าเสียใจจนไส้เขียวแล้วสินะ?”
รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เรียบร้อยก็ลุกขึ้นยืน เอาจานเปล่าใบนั้นวางลงบนม้านั่ง แล้วเฉินผิงอันจึงหันไปกุมมือคารวะเทพหยินตนนั้น “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าทำไมท่านถึงยอมเปิดเผยความลับ แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นี่ก็ยังคงเป็นความต้องการของหยางเหล่าโถวอยู่ดี ข้าจึงขอขอบคุณท่าน!”
เทพหยินพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันก้าวยาวๆ เดินจากไป
เจิ้งต้าเฟิงเสียใจจนไส้เขียวเหมือนที่เด็กหนุ่มพูดจริงๆ
เขาหันไปมองเทพหยินที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำลายคำเสี่ยงทายมหามงคลของตน “คือความต้องการของเจ้า หรือความต้องการของท่านผู้อาวุโสเอง? ทางที่ดีที่สุดเจ้าควรอธิบายมาให้ชัดเจน!”
เทพหยินกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา “เจ้าเดาดูสิ?”
เจิ้งต้าเฟิงหัวเราะฮ่าๆ ผ่อนคลายทันใด “เจ้าไม่เคยทำอะไรเองโดยพลการ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นความต้องการของท่านผู้อาวุโส”
เทพหยินแค่นเสียงหยัน “ผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวขอบเขตแปดขั้นสูงสุดคนหนึ่ง ลูกศิษย์ของเสินจวิน (คำเรียกขานเทพเซียนฝ่ายชาย) แต่กลับเชื่อเรื่องการดูดวง เจ้าไม่รู้หรือว่าต่อให้ตระกูลฟ่านไม่ได้เล่นตุกติก แต่คำว่ามหามงคลสำหรับคนทั้งโลก สำหรับเจ้าเจิ้งต้าเฟิงแล้วอาจจะกลับตาลปัตร กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่?”
สีหน้าของเจิ้งต้าเฟิงเปลี่ยนมาเป็นจริงจัง เงยหน้ามองเทพหยินแล้วพยักหน้า “ได้รับคำชี้แนะแล้ว”
เทพหยินไม่สนใจ “ในเมื่อเสินจวินยอมให้เจ้าได้ครอบครองพื้นที่หนึ่งเพียงลำพัง ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็อย่าทำตัวอวดฉลาด ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีไปก็พอ”
เจิ้งต้าเฟิงโบกมือ “โดนเจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นสั่งสอนมาทีหนึ่ง แล้วยังมาโดนเจ้าอบรมอีกรอบ ข้าหงุดหงิดนัก ต้องออกจากตรอกไปผ่อนคลายอารมณ์สักหน่อย”
เทพหยินกำลังจะหายตัวไป
—–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น