ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 255-258

ตอนที่ 255 หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง...

 

อิ๋งฉีรู้สึกเหมือนโดนดาบแทงทะลุหัวใจ กระทั้งหนังศีรษะยังชาวาบ 


 


 


การแสดงออกที่โจ่งแจ้งของจีเฉวียนเช่นนี้ …..ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว 


 


 


ที่แท้แล้วนอกจากท่าทีที่ใช้ไม้อ่อนมากล่อมคนใจแข็ง [1] หรือฌ้อปาอ๋องง้างธนู [2] จีเฉวียนถึงกลับยังมีหนทางที่สามอีกด้วย 


 


 


หน้าด้านหน้าทน [3]  


 


 


พอหันกลับไปมองดู ก็เห็นแม่นางน้อยผู้นั้นได้แต่ขัดเขิน พูดสิ่งใดไม่ออกแล้ว 


 


 


อิ๋งฉีครุ่นคิดดูแล้ว บางทีแม้นางผู้นี้อาจถูกจีเฉวียนบังคับเอาตัวมา 


 


 


ยันต์คุ้มภัยในมือระอุอุ่นขึ้นมา กำเอาไว้ในมือจนแน่น เขาลุกขึ้นอีกครั้ง หันไปกำหมัดถวายคำนับจีเฉวียน “ฝ่าบาททรงมีพระทัยผูกพันลึกซึ้ง ทำให้ผู้คนหวั่นไหวไปด้วย ขอให้ทรงสมปรารถนาโดยไวพะยะค่ะ” 


 


 


ว่าแล้วเขาก็มิได้รอให้จีเฉวียนตรัสคำใดอีก อิ๋งฉีรีบล่าถอยออกมาอย่างว่องไว 


 


 


ยามที่เสด็จออกมาจากกระโจมแล้วนั้น ก็ยังต้องปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากออกไป 


 


 


“คุณชาย เมื่อครู่ท่านถูกฮ่องเต้ต้าโจวทำให้ลำบากใจหรือไม่?” เหล่าผู้ติดตามเห็นท่าทีของเขาเช่นนั้น ก็พากันเป็นห่วง 


 


 


อิ๋งฉีหันกลับไปเหลือบมองกระโจมแวบหนึ่ง ก็หันกลับไปมองดูทะเลทรายที่เวิ่งว้างอีกครั้ง ในใจยังคงรู้สึกถึงแรงเต้นตึกๆ ตักๆ ไม่หาย 


 


 


ที่ผ่านมาเขานึกว่าจีเฉวียนเป็นคนไร้หัวใจ วันนี้พอได้เห็น ถึงรู้ว่าเขาคิดผิดไปแล้ว 


 


 


หัวใจดวงนั้น จะเมื่อขยับก็ต่อเมื่อเขาตกหลุมรักอย่างจริงจัง 


 


 


“คุณชาย ท่านต้องการให้พวกเราทำสิ่งใดหรือไม่?” เหล่าผู้ติดตามเห็นเขายังคงไม่พูดไม่จาก็ยิ่งเป็นกังวลกว่าเดิม 


 


 


หากว่าคุณชายถูกฮ่องเต้ต้าโจวบีบคั้นรังแก พวกเขาย่อมไม่ยินยอมเลิกลาอย่างเด็ดขาด 


 


 


“พวกเจ้าพึงให้ความเคารพต่อฮ่องเต้ต้าโจว หากมิใช่เพราะพระองค์ทรงยอมถอยให้ พวกเราคงต้องเผชิญกับเหตุการณ์พลิกผันอีกมากมาย” 


 


 


อิ๋งฉีตรัสเพียงประโยคเดียว ก็พลิกร่างขึ้นไปบนรถเทียมอูฐ 


 


 


เมื่อเปิดผ้าม่านในตัวรถ ก็เห็นว่าท้องฟ้าสว่างมากแล้ว 


 


 


ยามนี้อากาศยังหนาวอยู่บ้าง รอจนพระอาทิตย์ลอยขึ้นสูง อุณหภูมิในทะเลทรายก็จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว 


 


 


ยามเที่ยง…….จะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง 


 


 


…………………………….. 


 


 


ภายในกระโจม รอจนกระทั่งอิ๋งฉีจากไปจนลับตาแล้ว จีเฉวียนถึงได้หันสายพระเนตรกลับมา 


 


 


เขาหันพระเศียรกลับมาเหลือบมองตู๋กูซิงหลันแวบหนึ่ง ในดวงตาหงส์มีประกายเศร้าสร้อย “ความปรารถนาที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันของเรา ช่างอึดอัดและยากจะทนทานเหลือเกิน” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกำลังดื่มน้ำอยู่ ก็สำลักจนเกือบจะพ่นน้ำออกมาแล้ว นางพยายามกลืนน้ำลงไป จนต้องไอออกมาอย่างรุนแรง ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ถึงค่อยเอ่ยขึ้นมาว่า “ฝ่าบาท พวกเรามิใช่ตกลงกันดีแล้วหรือเพคะ ระหว่างเดินทางเพียงพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ ไม่พูดเรื่องความรู้สึก?” 


 


 


พี่ชาย เรื่องความปรารถนาเป็นเรื่องของท่าน หัวใจของข้าเป็นก้อนเหล็ก มันขยับเขยื้อนไม่ได้หรอก! 


 


 


เพราะท่านชอบข้า ข้าจึงจำเป็นต้องชอบท่านหรือ? 


 


 


ฟ้าไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้แบบนั้นสักหน่อย 


 


 


คำพูดนี้ แน่นอนว่าตู๋กูซิงหลันย่อมไม่กล้ากล่าวกับจีเฉวียนต่อหน้าง่ายๆ 


 


 


นางกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง พึมพำนับนิ้วแล้วจึงกล่าวว่า “หม่อมฉันนับนิ้วคำนวนดูแล้ว เกรงว่าใกล้จะได้เวลาที่ฟ้าจะเปลี่ยนแล้ว” 


 


 


ในโลกก่อนนางถือเป็นสุดยอดปรมาจารย์นักพรต ผู้ที่เป็นนักพรต นอกจากสามารถกำจัดผีปราบปีศาจได้แล้ว ยังต้องรู้จักอ่านดูฮวงจุ้ย พยากรณ์อากาศ ดูภูมิประเทศ และอื่นๆ อีกมากมาย 


 


 


ระดับของนางนั้น เพียงแค่เห็นก้อนเมฆม้วนตัว สายลมพัดโบก เมื่อผสานกับลักษณะของภูมิประเทศ ก็สามารถที่จะบ่งบอกสภาพอากาศภายในอาณาบริเวณนั้นได้แล้ว 


 


 


เมื่อคืนนางทำการศึกษาอยู่ทั้งคืน ก็คำนวณเหตุการณ์ได้ว่าวันนี้จะมีสุริยุปราคาเกิดขึ้น 


 


 


ยามที่เกิดสุริยุปราคานั้น พลังหยางทั้งหมดจะถูกสกัดเอาไว้ ส่วนพลังหยินจะเพิ่มพูนเข้มข้น 


 


 


ในยามนั้นเอง มิว่าจะเป็นภูติผีปีศาจใดก็อาจจะปรากฏขึ้นมาได้ทั้งนั้น 


 


 


ทั้งยังมีโอกาสเกิดสถานการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายขึ้นมาได้เช่นกัน 


 


 


การล่มสลายของแคว้นเซอปี่ซือเดิมทีก็ค่อนข้างแปลกประหลาด แคว้นหนึ่งล่มสลาย ประชาชมล้มตาย แต่ว่ากลับไม่เคยมีผู้ใดเห็นศพของพวกเขามาก่อน 


 


 


ดูผิวเผินคือถูกผืนทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลกลบฝังไปจนหมดแล้ว แต่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเช่นไร จะมีใครรู้บ้างกัน 


 


 


เพราะเกรงว่าจีเฉวียนจะมาหยอดภาษารักกับนางอีก ตู๋กูซิงหลันรีบชิงถามออกไปก่อนว่า “ฝ่าบาทเพคะ มิทราบว่าก้าวต่อไปพระองค์ทรงวางแผนเอาไว้เช่นไรเพคะ?” 


 


 


 


 


 


 


 


 


สำหรับผู้ที่มีความสามารถเช่นจีเฉวียน มิว่าจะทำเรื่องใดย่อมต้องมีแผนการอย่างแน่นอน 


 


 


พอมาถึงแดนทะเลทรายก็กางกระโจมนอนไปคืนหนึ่ง ราวกับว่ามิได้มีสิ่งใดให้รีบร้อน 


 


 


คิดดูแล้วแสดงว่าเขาจะต้องเตรียมการมาอย่างถี่ถ้วนเป็นแน่ 


 


 


จีเฉวียนมองดูนาง ดวงเนตรเปี่ยมไปด้วยความเอาอกเอาใจ 


 


 


“หากว่าเจ้าจูบเราครั้งหนึ่ง เราก็จะบอกเจ้า” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “…….” ถือว่านางไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้นเถอะ 


 


 


ให้เจ๊ไปจูบนิดนึงนะหรอ เกรงว่าท่านคงจะไม่อยากจะมีใบหน้าอีกต่อไปแล้ว! 


 


 


จีเฉวียนนั่น……จริงๆ เลย นับตั้งแต่ที่เขาสารภาพรักออกมา ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้ยุทธวิธีแสดงพลังแบบท่านผู้นำใช่ไหม? 


 


 


นางรู้มาตลอดว่าจีเฉวียนเป็นคนไร้ยางอาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้ 


 


 


“ใบหน้าของเราก็ไม่มีพิษสักหน่อย จะมาทำเป็นรังเกียจเพื่ออะไร?” จีเฉวียนทางหนึ่งตรัส ทางหนึ่งก็หยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งขึ้นมา เช็ดถูใบหน้าข้างแก้ม พอเช็ดเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไม่ลืมที่จะส่งผ้าผืนนั้นมาที่เบื้องหน้า ให้ตู๋กูซิงหลันได้ดู “นี่ไง ไม่มีฝุ่นละอองแม้แต่น้อย” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพูดไม่ออกแล้ว ใบหน้าจะสะอาดหรือไม่ ก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสักหน่อย 


 


 


ความลังเลของนาง ทำให้ฝ่าบาททรงจับจ้องกลับมาราวกับพยัคฆ์ดุดัน “ตู๋กูซิงหลัน เจ้ารู้หรือไม่ว่า บนโลกใบนี้สตรีที่คิดจะใกล้ชิดเรา มีอยู่เกลื่อนแผ่นดินไปหมด เรามอบโอกาสให้กับเจ้าได้ใกล้ชิด เจ้าไม่ต้องการหรือไร?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันส่ายศีรษะไปมา “ไม่ต้องการ หม่อมฉันรักษาจารีตประเพณี ไม่อาจกระทำเรื่องที่ผิดธรรมเนียมได้” 


 


 


จีเฉวียนหัวเราะออกมาคำหนึ่งในทันที หันพระองค์กลับมาประสานสายตาทั้งสี่กับนาง “จารีตและขนบธรรมเนียม ผู้อื่นพูดออกมาเรายังพอจะเชื่อถืออยู่บ้าง เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนจึงกล้ากล่าวคำนี้ออกมา?” 


 


 


ว่าแล้ว พระองค์ก็ทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา ทัดปอยผมของนางลงไปที่ด้านหลังใบหู 


 


 


ปลายพระหัตถ์ไล้บางๆ จากขอบหูไปจนถึงลำคอของนาง จากนั้นก็ลากมาจนถึงปลายคาง จึงค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างช้าๆ ในชั่วพริบตาประหนึ่งประกายไฟจากก้อนหินพาดผ่านนั้นก็ทรงประทับจุมพิตลงไปอย่างแผ่วเบาครั้งหนึ่ง 


 


 


“เจ้าไม่ยอมใกล้ชิดเรา เราก็ได้แต่ใกล้ชิดเจ้าแล้ว” 


 


 


ใบหน้าของตู๋กูซิงหลันกลายเป็นความตกตะลึงพรึงเพริด นางเกือบจะคว้ารองเท้ามาทักทายกับใบหน้าของเขาอยู่แล้ว 


 


 


คิดจะลวนลามก็ลวนลามไป แล้วยังจะมาทำเป็นพูดมากยักท่าอยู่ทำไม 


 


 


หากมิใช่เพราะว่าดวงพักตร์นี้งดงามจนเกินไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันมีหวังได้เลี่ยนตายไปแล้ว 


 


 


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง จีเฉวียนถึงได้ปลดปล่อยนาง “วันนี้หลังจากเที่ยงเป็นต้นไป จะมีอันตรายนานาประการ จดจำเอาไว้ว่าจะต้องติดตามเราอย่างใกล้ชิดอยู่ตลอด ไม่อาจห่างแม้ครึ่งก้าว รู้หรือไม่?” 


 


 


สายพระเนตรของพระองค์เปลี่ยนเป็นเข้มงวดขึ้นมาในทันที ตรัสแล้วก็ทรงล้วงเอาเชือกสีแดงเส้นหนึ่งออกมา ผูกปลายข้างหนึ่งเอาไว้บนข้อพระหัตถ์ ปลายอีกข้างหนึ่งผูกเอาไว้บนข้อมือของตู๋กูซิงหลัน 


 


 


ทันทีที่ผูกเสร็จก็เห็นเชือกเส้นนั้นหาบแวบไป ข้อมือของคนทั้งสองกลับเป็นปกติเหมือนดังที่ผ่านมา 


 


 


“ด้ายผูกชะตา?” ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะลงมองดูข้อมือของตนเอง ถึงได้พบว่าตนเองประเมินจีเฉวียนต่ำไปแล้ว แม้แต่สิ่งของเช่นนี้เขาก็ยังมี 


 


 


ด้ายเช่นนี้ทันทีที่ผูกลงไป ก็จะเหมือนกับมีสายโซ่ระหว่างคนทั้งสอง ภายในขอบเขตที่จำกัดสามารถรู้สึกถึงการคงอยู่ของอีกฝ่ายได้ 


 


 


ในโลกก่อน ยามที่ท่านอาจารย์ส่งนางออกไปฝึกฝน ก็มักจะใช้ด้ายผูกชะตาผูกเอาไว้บนข้อมือของพวกนางเช่นนี้ 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูความเคลื่อนไหวของจีเฉวียน อยู่ๆ ก็คิดไปถึงชายชราขี้เหงาอย่างซื่อมั่วขึ้นมา 


 


 


นางพึ่งจะเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นศีรษะของคนสองคนโผล่เข้ามาในกระโจม 


 


 


“ฝ่าบาท ข้างนอกลมแรงมากเลย ทั้งยังมีเมฆครึ้ม ท้องฟ้าดูแล้วอึมครึมไปหมด ราวกับว่ามันจะหล่นลงมาแล้ว” หยวนเฟยเบียดเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ตู๋กูซิงหลัน “หม่อมฉันกลัวมากๆ เลย ขอหม่อมฉันอยู่กับไทเฮาได้ไหมเพคะ?” 


 


 


ฮ่องเต้ก็ฮ่องเต้เถอะ ขอพักเอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะ เรื่องนี้มันสำคัญถึงชีวิต ขอนางอยู่ข้างๆ ไทเฮาเอาไว้ก่อน 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 软磨硬泡 ruǎn mó yìng pào: ใช้วาจาหว่านล้อมจนกว่าจะยอมใจอ่อน 


 


 


[2] 霸王硬上弓: อันธพาลที่ใช้กำลังเข้าข่มเหง 


 


 


[3] 死皮赖脸sǐ pí lài liǎn: รุกไล่อย่างหน้าไม่อาย 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง 


 


 


ไรท์: ลูกน้องของอิ๋งฉี เรียกอิ๋งฉีเป็น คุณชาย (公子) (ไรท์เดาว่าผู้แต่งมีเจตนาปิดบังฐานะของเขา ไรท์ก็เลยคุณชายตามต้นฉบับไปนะจ๊ะ) 


 


 


รถเทียมอูฐ: อูฐเป็นสัตว์ทะเลทรายที่พบได้ทั่วไปในเขตซินเจียงของจีน ใช้เทียมเกวียน หรือลากรถได้เช่นเดียวกันกับม้า ถึงความเร็วจะช้ากว่าเล็กน้อย แต่เมื่ออยู่ในทะเลทรายอูฐแข็งแกร่งกว่า อาหารการกินการดูแลก็ง่ายกว่า เวลาปีนขึ้นปีนลงรถก็ง่ายเพราะสามารถสั่งให้อูฐนั่งลงได้ 

 

 


ตอนที่ 256 เราไม่ถือสาหากว่าเจ้าอยากจ...

 

นางเหลือบตามองดูจีเฉวียนด้วยความระมัดระวัง เกรงว่าเขาจะหันมาตำหนินาง 


 


 


“กระหม่อมก็ขออยู่กับไทเฮาด้วยพะยะค่ะ” ตู๋กูเจวี๋ยเองก็เข้ามายืนอยู่ข้างๆ น้องสาวด้วยสีหน้าจริงจัง 


 


 


เห็นอยู่ชัดๆ ว่าด้านนอกกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งท่านปู่และพี่ใหญ่ก็ไม่อยู่ เขาย่อมต้องทุ่มเทความพยายามปกป้องน้องเล็กเอาไว้ให้ได้ 


 


 


หยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ยประกบอยู่ข้างกายตู๋กูซิงหลัน ทั้งสองขนาบอยู่ด้านข้างราวกับเป็นเทพผู้พิทักษ์ประตู 


 


 


จีเฉวียนทรงหรี่พระเนตรลง ดึงตัวตู๋กูซิงหลันออกมาจากระหว่างคนทั้งสอง คล้องเอวของนางเอาไว้ให้ยืนข้างพระองค์ 


 


 


“อย่าได้สร้างความยุ่งยากให้นาง” ฮ่องเต้ตรัสออกมาอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เรียกหลงเซียวเข้ามา 


 


 


“ปกป้องหยวนเฟยและขุนนางอวี้ซื่อให้ดี อย่าได้ทำให้ไทเฮาเป็นกังวล” 


 


 


หลงเซียวถวายคำนับครั้งหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา” 


 


 


พอสิ้นเสียง หลงเซียวก็เข้ามาข้างกายหยวนเฟยและตู๋กูเจวี๋ย จับพวกเขาข้างละคนลากถอยออกมาด้านหลัง “โลกของฝ่าบาทและไทเฮาทั้งสองพระองค์ ท่านทั้งสองก็อย่าได้เข้าไปรบกวนเลย” 


 


 


หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยถึงกับพูดไม่ออก 


 


 


พอออกจากวังหลวงก็พากันโบยบินเป็นอิสระเลยหรือ? แม้แต่คำว่า โลกของคนทั้งสองก็ยังกล้ากล่าวออกมาได้? 


 


 


คนที่อุปนิสัยเย็นชาเป็นแท่นน้ำแข็งอย่างหลงเซียว หากมิใช่เพราะว่ามีฝ่าบาทคอยหนุนหลังอยู่ เขาไหนเลยจะกล้าพูดออกมาเช่นนี้? 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยยิ่งกังวลใจกว่าเดิม ยิ่งทียิ่งเห็นว่าฮ่องเต้ทรงเป็นบุรุษเสเพล น้องเล็กมีหวังต้องถูกเขาขุดหลุมดักทั้งเป็นแน่นอน 


 


 


เขาสะบัดชายแขนเสื้อ จับตาดูอย่างจริงจังจนดวงตาเปล่งประกายงดงามราวแสงสว่างในฤดูใบไม้ร่วง 


 


 


ก่อนที่จะออกมาจากเมืองหลวง ที่จริงเขาได้ส่งคนไปแจ้งแก่พี่ใหญ่ที่ชายแดนเป่ยเจียงแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถมาที่นี่ได้ทันหรือไม่ 


 


 


ว่ากันตามจริงแล้ว ตลอดทางมานี้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบอยู่ตลอดเวลา คล้ายกับกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นได้ทุกเมื่อ 


 


 


การเดินทางของน้องเล็กครั้งนี้ มิใช่ปกติธรรมดา 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยไม่ทันได้ครุ่นคิดให้มากความ ที่ด้านนอกก็เกิดพายุทรายรุนแรงกว่าเดิม เมฆดำลอยต่ำคล้ายจะหล่นใส่ศีรษะ สร้างความกดดันอย่างรุนแรง 


 


 


ลมพัดรุนแรงมากจนแทบจะกระชากเอากระโจมของพวกเขาขึ้นมา ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางทะเลทราย แต่สายลมที่กรีดผ่านร่องอากาศคล้ายดั่งลมที่ถูกรีดออกมาจากช่องภูเขา ทั้งร้อนระอุทั้งรุนแรงจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายตัว 


 


 


มือของจีเฉวียนที่โอบเอวตู๋กูซิงหลันเอาไว้หลวมๆ เปลี่ยนเป็นรวมแน่นกว่าเดิม ดวงเนตรหงส์กวาดมองออกไปด้านนอก เห็แต่พายุทรายที่หมุนวนขึ้นไปบนท้องฟ้า หลอมรวมกับหมู่เมฆดำ คล้ายกับว่ากำลังกลืนกินผืนฟ้าทั้งหมดเข้าไป 


 


 


เพียงแค่ครู่เดียว ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มกว่าเดิม เห็นเงาสีดำกลุ่มหนึ่งคลืบคลานอยู่บนท้องฟ้า เริ่มบดบังแสงอาทิตย์ที่เดิมก็อ่อนแรงอยู่แล้วทีละน้อย 


 


 


อุณหภูมิรอบข้างตกลงอย่างรวดเร็ว รอบด้านมีแต่ความอึมครึมและเหน็บหนาว สายลมโหมอย่างรุนแรง ในอากาศมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นมา จากนั้นผืนทรายพลันเกิดความเคลื่อนไหว สองมือที่แห้งกร้านคู่หนึ่งผุดขึ้นมาจากผืนทราย 


 


 


มือที่มีแต่ผิวหนังหุ้มกระดูกทำให้คนดูแล้วต้องหวาดผวาเสียยิ่งกว่าโครงกระดูกจริงๆ เสียอีก 


 


 


“กี้ กี้ กี้ …” เสียงกรีดร้องโหยหวนแหวกออกมาในอากาศ ทั้งๆ ที่เห็นอยู่ว่าระยะทางยังห่างไกล แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนได้ยินอยู่ที่ริมหู 


 


 


นอกกระโจมมีมือมากมายผุดขึ้นมาเต็มไปหมด มือเหล่านั้นพยายามดึงชายกระโจมเอาไว้ คิดจะยืมแรงเพื่อปีนขึ้นมาจากผืนทราย 


 


 


ทางหนึ่งป่ายปีนทางหนึ่งก็ส่งเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าสยดสยอง ทั้งยังปนเปกับเสียงร่ำไห้ 


 


 


กระโจมถูกดึงทึ้งจนฉีกขาด หยวนเฟยกับตู๋กูเจวี๋ยที่อยู่ในกระโจมก็พากันหน้าถอดสี 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกับจีเฉวียนยังคงสงบนิ่ง ทั้งสองมองออกไปที่ด้านนอก ฝ่าบาททรงกุมมือของตู๋กูซิงหลันเอาไว้โดยไม่ยอมคลายแม้แต่น้อย เขาประทับยืนอยู่ที่เดิม ทอดพระเนตรมองดูสถานการณ์ภายนอก ไม่ได้ขยับพระบาทแม้แต่นิดเดียว 


 


 


ที่ด้านนอกกระโจม เกิดทรายดูดเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ดวงอาทิตย์ที่อยู่เหนือศีรษะถูกบดบังมากขึ้นทุกที อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ทั้งๆ ที่เป็นกลางฤดูร้อนแท้ๆ แต่กลับรู้สึกว่าตกอยู่ในกลางฤดูหนาวที่รุนแรง 


 


 


ครู่ต่อมา ก็มีศพแห้งมากมายผุดขึ้นมาจากผืนทราย 


 


 


ใบหน้าของศพแห้งเหล่านั้นมีแต่ความทุกข์ทรมาน ลูกตาที่แห้งผากติดหลังเบ้าตาจนกลายเป็นหลุมดำๆ 


 


 


แมงป่องดำมากมายนับไม่ถ้วนคลานไปมาอยู่บนศพแห้งเหล่านั้น พวกมันพากันสั่นหางจนเกิดเป็นเสียงดัง ซี่ ซี่ ซี่ออกมา 


 


 


“สุนัขสวรรค์กลืนกินดวงอาทิตย์ทั้งยังเจอกับศพกลุ้มรุม ตายแน่แล้ว!” ตู๋กูเจวี๋ยล้วงสมุดเล็กๆ ออกมาวาดภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าลงไปอย่างรวดเร็ว 


 


 


หยวนเฟยถอยไปด้านข้างอีกก้าวหนึ่ง ถึงแม้ว่ายามปกตินางจะมีขวัญกล้า แต่พอได้มาเห็นภาพที่เบื้องหน้า ในใจก็อดที่จะหวาดผวาไม่ได้ 


 


 


นางยังจำได้ว่า ตอนที่ยังเป็นเด็กนั้น เคยได้เห็นสถานที่ที่มีศพคนตายเกลื่อนกลาดมากมาย นางตกใจเสียจนพูดไม่ได้ไปสามวัน พระบิดาของนางต้องเสาะหาหมอผีมาทำพิธีปัดรังควาญถึงสามวันสามคืน นางถึงได้คลายความวิตกลง 


 


 


พอต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงไปติดๆ กัน 


 


 


เดิมทีคิดว่าฝ่าบาทเพียงพานางกลับมาถิ่นฐานเดิม ถือโอกาสจับแมลงทั้งหลาย คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเผชิญเหตุแบบนี้ ที่มันเท่ากับว่าอุตส่าห์ถ่อมาพันลี้เพื่อตายแท้ๆ 


 


 


ศพแห้งเหล่านั้นพอผุดขึ้นมาจากผืนทรายได้ก็พากันคืบคลานมาทางพวกเขา 


 


 


ทันทีที่พวกมันเริ่มเคลื่อนเข้ามา ก็เห็นผ้าคลุมกระโจมเรืองแสงสว่างวาบขึ้นมา แสงนั้นกระจายตัวออกไปทุกทิศทาง ผลักดันศพแห้งเหล่านั้นอยู่เพียงรอบนอก 


 


 


ในมือของตู๋กูซิงหลันกำแผ่นยันต์เอาไว้ จับตาดูแสงสว่างเหล่านั้น 


 


 


นี้คือวงแหวนเวทย์? นี่คือสิ่งสกัดกั้นบุรุษชุดม่วงเมื่อคืนนี้ 


 


 


ที่นางถนัดเป็นพิเศษคือคาถาอาคม ส่วนพวกวงแหวนเวทย์นี้ ท่านอาจารย์เชี่ยวชาญที่สุด นางเพียงแต่เรียนรู้มาบ้างบางส่วนเท่านั้น 


 


 


วงแหวนเวทย์ของจีเฉวียน สามารถสกัดกั้นได้แม้กระทั่งบุรุษชุดม่วงผู้นั้น หากใช้มันสกัดพวกศพแห้งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากอะไร 


 


 


เช่นนี้ย่อมต้องเกิดคำถามแล้ว วงแหวนเวทย์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เป็นฝีมือของผู้ใดกันแน่? 


 


 


ตลอดทางมานี้เห็นแต่เหล่าองครักษ์ลับ ไม่เคยเห็นจีเฉวียนพานักพรตมาด้วยสักคน แม้แต่นักพรตอู้เจินก็มิได้มา 


 


 


ก่อนหน้านี้ยามอยู่ที่เมืองลี่โจว อย่างน้อยๆ ก็ยังมีพวกนักพรตหนุ่มน้อยหน้ามนอยู่กลุ่มหนึ่ง 


 


 


นางหรี่ตามองดู เห็นหางคิ้วของจีเฉวียนยังคงเย็นชา ไม่มีทีท่าประหลาดใจใดๆ ราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เขาทราบอยู่ก่อนแต่แรกแล้ว 


 


 


“หากกลัวล่ะก็ มากอดเราเอาไว้” จีเฉวียนหรี่พระเนตรเหลือบมาทางนาง แววตาที่ฉายออกมานั้นอ่อนโยนกว่าเดิม “เราไม่ถือสาหากว่าเจ้าอยากกอด” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันมองดูฝ่ามือใหญ่โตที่โอบอยู่รอบเอวของนาง …คิดๆ ดูแล้วตนเองมีหนทางให้ปฎิเสธที่ไหนกัน? 


 


 


ที่ถูกกอดอยู่นี่ก็ราวกับว่าทากาวติดกันอยู่แล้วมิใช่หรือ? 


 


 


เห็นในมือของนางมีแผ่นยันต์อยู่ใบหนึ่ง จีเฉวียนก็ยื่นพระหัตถ์อีกข้างออกมาผลักมันให้นางเก็บกลับไป “ครั้งนี้ ปล่อยทุกสิ่งให้เราเป็นผู้จัดการ สิ่งที่เจ้าปรารถนาเราย่อมต้องนำมามอบให้เจ้า” 


 


 


ก่อนที่จะออกมาจากเมืองหลวง เขาสั่งให้ซุนต้มยามาเข้าเฝ้าเป็นพิเศษ ทำความเข้าใจเรื่องความชื่นชอบของเด็กสาวทั้งหลาย 


 


 


ภรรยาของซุนต้มยาคือแม่สื่อของทางการในเมืองหลวง นางเชี่ยวชาญวิธีการจีบสตรีอย่างถ่องแท้ 


 


 


การที่ฝ่าบาทจะซักถามความเข้าใจจากเขาย่อมเป็นเรื่องสมควรอยู่แล้ว 


 


 


คำแนะนำของซุนต้มยาก็คือ ให้พระองค์ทรงแสดงพลังด้านที่ยิ่งใหญ่และฮึกเหิมออกมา ทำให้ตนเองกลายเป็นที่พึ่ง ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกถึงความปลอดภัย ทางที่ดีที่สุดคือหาโอกาสแสดงบทบาทวีรบุรุษช่วยหญิงงามให้จงได้ นี่จะทำให้อีกฝ่ายหวั่นไหวได้อย่างแน่นอน 


 


 


ฝ่าบาททรงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ในพระทัย พระองค์ทรงเป็นฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรอยู่แล้ว การจะทำให้เกิดความรู้สึกปลอดภัยนั้นช่างง่ายจนเกินไป 


 


 


เพียงแต่อุปนิสัยของตู๋กูซิงหลันเองก็เข้มแข็งมากอยู่แล้ว จึงไม่ได้เปิดโอกาสให้พระองค์ได้แสดงฝีมือบ้างเลย 


 


 


ครั้งนี้ การมาตามหาสมบัติก็ถือเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การไล่จีบว่าที่ภรรยาต่างหากที่สำคัญที่สุด 


 


 


จีเฉวียนมองดูใบหน้าที่กลมเป็นซาลาเปาของตู๋กูซิงหลัน ยิ่งมองหัวใจก็ยิ่งหลอมละลาย “เราเป็นถึงประมุขแห่งต้าโจว ทรงศักดิ์สูงส่ง วาจามีค่าประดุจทองคำ สิ่งที่รับปากเจ้าไว้ ย่อมต้องส่งมอบให้เจ้ากับมือ” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


พี่เต้: มีความฮึกเหิม องอาจ มาดราชาอย่างที่สุด ตอนหน้าพี่จะแมนๆ ใจถึง พึ่งได้ หลันหลันเกาะเราให้แน่นๆ เข้าไว้ 555  

 

 


ตอนที่ 257 เกี่ยวข้องอะไรกับหยกสรรพชี...

 

ตู๋กูซิงหลันถูกเขาหยอดจนเสียวฟันไปหมดแล้ว 


 


 


ไม่รู้จริงๆ ว่าคารมหวานๆ ของฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไปร่ำเรียมมาจากใครกัน 


 


 


พูดกันตามจริงนะ นางไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวเลยสักนิด คิดจะอยากหัวเราะด้วยซ้ำ 


 


 


“ได้ ได้ ได้เพคะ ฝ่าบาททรงยอดเยี่ยมที่สุด” นางกลัวว่าจีเฉวียนจะพูดมากอีก จึงรีบยกนิ้วโป้งชื่นชมเขาเสียก่อน จากนั้นก็เก็บแผ่นยันต์ในมือกลับไป 


 


 


ในตอนนั้นเอง ศพแห้งซึ่งอยู่ภายนอกที่พยายามบุกเข้ามาหลายต่อหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พวกมันจึงเริ่มเปลี่ยนเป้าหมาย 


 


 


ในบรรดาแคว้นเล็กๆ อีกเจ็ดแคว้นย่อมมีผู้ที่คิดจะเข้ามาแอบอิงใบบุญ จึงตั้งกระโจมอยู่ใกล้ๆ กับพวกเขา เพียงแค่ครู่เดียวกระโจมเหล่านี้ก็ตกเป็นเป้าหมายใหม่ของบรรดาศพแห้ง 


 


 


ยังมีพวกที่ไม่กลัวตายที่ปรากฏตัวขึ้นมาชมความครึกครื้น พอได้กลิ่นมนุษย์ที่มีชีวิต ศพแห้งเหล่านั้นก็พากันกระโจนเข้าไปหาอย่างคลุ้มคลั่ง 


 


 


เพียงแค่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงร่ำร้องโหยหวนดังขึ้นมา ปะปนกับเสียงเนื้อแผ่นหนังที่ถูกฉีกออก 


 


 


กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งขึ้นไปในอากาศ คาวจนเสียดแทงจมูกอย่างรุนแรง 


 


 


ในตอนนั้น ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นมืดมิดจนสนิทแล้ว 


 


 


พายุทรายที่โหมขึ้นไปจนครอบคลุมท้องฟ้า อยู่ๆ ก็พลันสงบลง แม้แต่เมฆดำบนฟ้าก็กระจายหายไปจนหมด 


 


 


ทั้งๆ ที่เป็นยามกลางวันอยู่ แต่เพราะดวงอาทิตย์ถูกกลืนกินจนหมด ทั่วทั้งท้องฟ้าจึงปรากฏหมู่ดาวขึ้นมา 


 


 


เมื่อประกอบกับภาพที่มีศพแห้งนับพันนับหมื่นอยู่ทั่วทะเลทราย จึงทำให้เกิดเป็นภาพที่ให้ความรู้สึกลี้ลับชั่วร้ายกว่าเดิม 


 


 


อีกด้านหนึ่ง อิ๋งฉีและเหล่านักพรตจากแคว้นฉินยังคงมิได้เคลื่อนไหว 


 


 


“คุณชาย ศพแห้งเหล่านี้คือประสกนิกรชาวเซอปี่ซือที่ตายไป” เหล่านักพรตต่างพากันตาโต ไม่กล้ากระทำการใดๆ 


 


 


“ตอนนี้พวกมันได้กลิ่นเลือด เกรงว่าพวกมันคงจะเปลี่ยนเป็นโหดเ**้ยมกว่าเดิม ขอคุณชายอย่าผลีผลามกระทำการใดด้วยตนเอง” 


 


 


“หากว่าคุณชายเกิดพลาดพลั้งไปละก็ มิรู้ว่าฝ่าบาทจะเจ็บปวดพระทัยถึงเพียงไหน” 


 


 


พอได้ยินพวกนักพรตเอ่ยถึงฮ่องเต้แคว้นฉิน อิ๋งฉีที่เมื่อครู่มีท่าทีแข็งกร้าวอยู่ก็เปลี่ยนเป็นโอนอ่อนลง 


 


 


“ข้าจะต้องรักษาชีวิตเอาไว้เพื่อนำยาอายุวัฒนะกลับไปให้พระเชษฐาให้จงได้” 


 


 


เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ จับตามองดูพวกศพแห้งที่คลุ้มคลั่งเหล่านั้นอยู่ตลอด พอคิดว่าพระเชษฐากำลังรอเขาอยู่ที่แคว้นต้าฉิน ในใจก็ปราศจากความหวาดกลัวอีก 


 


 


ที่จริง หากเปรียบเทียบกับจีเฉวียนแล้ว พวกศพแห้งเหล่านี้นับเป็นอะไรกัน? 


 


 


ตอนนั้น…..หนุ่มน้อยผู้นั้นอาศัยกำลังของเขาเพียงผู้เดียวเข่นฆ่าสัตว์อสูรและปีศาจดุร้ายไปนับพัน เขาสังหารเสียจนกระทั้งฮ่องเต้แคว้นเหยียนและเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต่างพากันหวาดผวา 


 


 


ในเมื่อเขาสามารถเกลี้ยกล่อมจีเฉวียนได้แล้ว ศพแห้งเหล่านั้นก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป 


 


 


รอจนไปถึงแคว้นเซอปี่ซือ นั่นจึงจะเป็นการเริ่มบททดสอบที่แท้จริง 


 


 


………………… 


 


 


ในมุมมืด ด้านหน้าของอันหร่วนจัดวางข้าวของเอาไว้อย่างมากมาย 


 


 


นางคุกเข่าอยู่ข้างโต๊ะ ปากก็ท่องบทคาถาบางอย่าง จากนั้นก็นำเลือดไก่และเลือดสุนัขทีตระเตรียมเอาไว้เทลงไปบนค่ายกลแห่งหนึ่ง 


 


 


ค่ายกลที่ดูลึกลับใต้ฝ่าเท้าของนางเต็มไปด้วยลวดลายของอักขระที่ซับซ้อน 


 


 


หลังจากที่เติมเลือดลงไปตามลายเส้นจนเต็ม ก็เห็นนางเผาบางสิ่งที่วางเอาไว้ตรงมุมตะวันออก ตะวันตก เหนือ และใต้ทั้งสี่มุม จากนั้นก็ร่ายคาถาอย่างยืดยาว 


 


 


ผ่านไปครู่หนึ่งค่ายกลนั้นก็เปล่งแสงสว่างขึ้นมา 


 


 


หลุมทรายดูดใต้ค่ายกลพลันเคลื่อนไหวดึงดูดผืนทรายทั้งสองด้านลงไป ในที่สุดก็เปิดเผยเส้นทางขึ้นมาเส้นหนึ่งใต้ฝ่าเท้าของนาง 


 


 


ทรายดูดขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางก็ไม่สนใจอะไรให้มากความอีกแล้ว นางเงยหน้าขึ้นหันไปคำนับองค์ชายน้อยที่อยู่ข้างกายครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท อันหร่วนไม่เสียทีที่ได้มอบหมายภารกิจมา เปิดทางเข้านี้ได้สำเร็จ ท่านจะเป็นคนแรกที่เข้าไปในแดนสมบัติลับแห่งนี้ โอกาสทั้งหมดจะเป็นของท่าน” 


 


 


องค์ชายน้อยได้ยินแล้ว ก็พยักพักตร์เบาๆ 


 


 


ที่ด้านข้างของเขามีอินทรีดำขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง บนหลังของอินทรีแบกเหยียนเฉียวหลัวเอาไว้ 


 


 


ที่จริงเหยียนเฉียวหลัวรู้สึกตัวแล้ว นางนั่งอยู่บนหลังอินทรีโดยมิได้ส่งเสียงร่ำร้อง หากแต่สายตาของนางเต็มไปด้วยความแค้นเคือง 


 


 


องค์ชายน้อยผงกเศียรครั้งหนึ่ง ก็พลิกร่างลงไปในหลุมทรายดูด 


 


 


นกอินทรีตัวนั้นก็พาเหยียนเฉียวหลัวติดตามไปด้านหลัง 


 


 


“ครื่นนนน!” 


 


 


พวกเขาพึ่งจะกระโดลงไป ก็ได้ยินรอบกายเกิดเสียงดังสั่นขึ้นมา จากนั้นก็เกิดพายุทรายพัดขึ้นฟ้าอีกครั้ง 


 


 


คราวนี้เอง พายุทรายพัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปบนฟ้า ราวกับว่าในอากาศมีแรงดึงดูดมหาศาลบางอย่าง ที่สามารถถูกเอาผืนทรายทั้งหมดเข้าไป 


 


 


กระโจมขนาดใหญ่กลางทะเลทรายก็ถูกพลิกตลบ 


 


 


กลุ่มของแคว้นเล็กๆ และขุมอำนาจต่างๆ พากันตกตะลึงไปหมด พวกเขายังไม่ทันจะตั้งสติได้จากเรื่องของศพแห้งด้วยซ้ำไป ตอนนี้แต่ละคนกลับถูกพัดขึ้นฟ้าจนกระจัดกระจายกันไปหมดแล้ว 


 


 


แต่ละคนสีหน้าซีดขาว พวกเขาไม่น่าโผล่ออกมาชมดูความครึกครื้นเลย 


 


 


พอหันหน้ากลับไปดู ก็เห็นกระโจมของฮ่องเต้แคว้นต้าโจวยังคงมิได้เคลื่อนไหว ราวกับว่ามันงอกเงยขึ้นมาจากบนพื้น 


 


 


แคว้นยิ่งใหญ่สมเป็นแคว้นยิ่งใหญ่ แม้แต่กระโจมก็ยังเหนือชั้นจนทิ้งห่างจากพวกเขานับพันลี้ 


 


 


ขณะที่หัวใจของผู้คนกำลังตกอยู่ในความตื่นตระหนก ก็เห็นผืนทรายบนพื้นเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง พายุทรายพัดขึ้นจนครอบคลุมท้องฟ้า บนตาพายุที่สูงขึ้นไปเกิดแสงสว่างขึ้นมากลุ่มหนึ่ง แสงสว่างนั้นกลายเป็นศูนย์กลาง ในขณะที่ทุกสิ่งโดยรอบกำลังพังทลายลงไป 


 


 


เหล่าศพแห้งเหล่านั้นก็ถูกพัดพาเข้าไปด้วย ผู้คนที่หลบหนีไม่ทันก็ถูกดูดขึ้นไปเช่นกัน 


 


 


สถานการณ์ในยามนี้ราวกับว่ามันคือวาระสุดท้ายของโลก 


 


 


หยวนเฟยเคร่งเครียดเสียจนบนศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อชื้นๆ นางตัดสินใจคว้าแขนของตู๋กูเจวี๋ยเอาไว้อย่างรวดเร็ว 


 


 


“พระสนมพะยะค่ะ ท่านอย่าสั่นสิ ฝ่าบาทยังไม่ได้สวรรคตเสียหน่อย นี่ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่” 


 


 


หยวนเฟย “…….” นางสมควรจะชื่มว่าเขามองโลกในแง่ดี หรือด่าว่าเขาไม่รู้จักกลัวตายกันแน่? 


 


 


“ไม่เป็นไรหรอกพะยะค่ะ พวกเราน่ะชะตาแข็งอยู่แล้ว คิดดูสิตอนนั้น กระหม่อมถูกเทพธิดาแห่งสายน้ำลี่เหอกักขังเอาไว้ตั้งครึ่งเดือน ทุกวันได้แต่ดื่มน้ำเปล่าและกินหญ้าก็ยังอดทนจนรอดออกมาได้ นี่ก็แค่มีอะไรก็กินอย่างนั้น ทำอะไรได้ก็ทำไปเหมือนเดิมเท่านั้นเองมิใช่หรือ?” 


 


 


“เอ๋ ที่ด้านนอกยังมีเจ้าติ๊งต๊องของน้องเล็กนั่งกกอยู่บนพื้นอยู่เลย ท่านดูสิเมื่อครู่มันองอาจกล้าหาญเพียงไหน เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจมันก็จิกตีศพแห้งพวกนั้นไปแล้วนับสิบ จิกหัวพวกมันลงมา ท่านลองว่ามาซิ น้องเล็กของข้าเลี้ยงไก่เอาไว้ตัวหนึ่งก็แข็งแกร่งขนาดนี้ เช่นนั้นน้องเล็กจะไม่เก่งได้ยังไงกัน?” 


 


 


“ต่อให้ฝ่าบาททรงสิ้นไป น้องเล็กของข้าก็ยังคงไม่พ่ายแพ้อยู่ดี นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย” 


 


 


ตู๋กูเจวี๋ยเคยเห็นน้องสาวของตนเองควบคุมเทพมาแล้ว จึงมีความมั่นอกมั่นใจในตัวนางอย่างยิ่ง 


 


 


ดวงตาทั้งสองข้างของหยวนเฟยเปียกชื้น พูดกันตามจริงเลยนะ นางยินดีเผชิญหน้าแมลงนับพันตัว แต่ขอไม่ต้องมาอยู่ร่วมกับตู๋กูเจวี๋ยจะได้ไหม คราวนี้ต้องตายแน่แล้ว 


 


 


ไม่เห็นหรือว่าฝ่าบาททรงปกป้องคุ้มครองไทเฮาราวกับเป็นสมบัติล้ำค่าถึงเพียงไหน? เกรงว่าก้าวต่อไปฮ่องเต้คงจะทรงสนพระทัยกับการปกป้องไทเฮา ไม่มีทางหันมาใส่ใจมองดูพวกนางสักนิดเป็นแน่ 


 


 


หากยังคิดว่าฮ่องเต้และไทเฮาจะทรงช่วยเหลือพวกเขาอีก? ฝันไปเถอะ 


 


 


ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น แผ่นดินถล่มก็ยิ่งเคลื่อนตัวมาทางด้านหน้าของพวกนาง 


 


 


คราวนี้ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงเคลื่อนไหวบ้างแล้ว 


 


 


พระองค์หงายพระหัตถ์แสดงปางมือ [1] ด้วยหัตถ์เดียว ในกลางพระหัตถ์ปรากฏไอหยินกลุ่มหนึ่ง 


 


 


ทันทีที่ไอหยินนี้พวยพุ่งขึ้นมา สีหน้าของตู๋กูซิงหลันก็เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง นางขมวดหัวคิ้วแนบแน่น หันไปมองดูจีเฉวียนอย่างไม่อยากจะเชื่อ 


 


 


ไม่รอให้นางได้กล่าวอะไร ใต้ฝ่าเท้าพลันกลายเป็นความว่างเปล่า 


 


 


ความเย็นสุดขั้วขุมหนึ่งห่อหุ้มอยู่รอบกาย รอบด้านมีแต่ความมืดมิด เสียงลมเคลื่อนผ่านริมใบหูดังอู้อยู่ตลอดเวลา 


 


 


ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงไหน กว่าจะได้เห็นแสงสว่างในที่สุด 


 


 


แสงสว่างอ่อนจาง 


 


 


ถึงแม้ว่าร่างจะยังตกลงไปอย่างรวดเร็ว แต่ส่วนเอวก็ยังถูกคนโอบกอดเอาไว้อย่างแนบแน่น ดังนั้นแม้แต่ยามที่ตกลงถึงพื้น นางจึงไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย 


 


 


แสงสว่างที่อ่อนจางนั้น อยู่ๆ ก็กระจ่างสว่างขึ้นกว่าเดิม 


 


 


เบื้องหน้าเป็นผืนหญ้าที่เขียวทั่วทั้งแถบ เหนือศีรษะเป็นต้นไม้เขียวสดสูงใหญ่ ราวกับว่ามันพึ่งจะผ่านฝนตกมาหยกๆ บนใบจึงมีหยดน้ำหยดโตๆ หล่นตามลงมา 


 


 


เสียงเปาะแปะดังขึ้น หยดลงบนใบหน้าของนางพอดี 


 


 


น้ำเย็นจัดราวน้ำแข็ง ราวกับว่าเป็นไอเย็นที่ออกมาจากร่างของจีเฉวียนอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเบาๆ นางถามออกไปคำหนึ่ง “ฝ่าบาท ท่านกับหยกสรรพชีวิตเกี่ยวข้องอะไรกัน?” 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 结印 : ปางมือ หรือมุทรา= การใช้มือเป็นสัญลักษณ์แทนองค์เทพเพื่อประทับทรงหรือร่ายคาถา  

 

 


ตอนที่ 258 โบราณนานมาฮ่องเต้ล้วนแต่เป...

 

แม้จะถูกนางถามเข้าตรงๆ เช่นนี้ จีเฉวียนกลับเอาแต่ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าให้นาง 


 


 


เช็ดทีละนิดๆ จะสะอาดหมดจรด เนื่องเพราะอวบอ้วนขึ้นมา ผิวพรรณของนางจึงยิ่งละเอียดเนียน ราวกับไข่ต้มที่พึ่งจะปอกเปลือกไข่ออก ยิ่งเมื่อได้รับหยดน้ำก็ยิ่งนุ่มลื่น ให้สัมผัสที่ละมุนละไม 


 


 


จีเฉวียนมองดูดวงตาดอกท้อคู่นั้นของนาง ก็ยื่นพระหัตถ์ไปเก็บใบไม้ที่หล่นลงมาบนศีรษะของนางออกไป “สิ่งที่เจ้าอยากรู้ รอจนกลับไปแล้ว เราจะบอกเจ้าเอง” 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง สถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะซักถาม 


 


 


เพียงแต่นางไม่นึกไม่ฝันว่า จีเฉวียนเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับหยกสรรพชีวิตเช่นกัน 


 


 


หยกสรรพชีวิตแตกกระจาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่พลังของมันยังคงแข็งแกร่งเกินสิ่งใดเทียบ หากไม่ใช่ผู้ที่ร่างกายมีคุณสมบัติพิเศษหรือดวงจิตที่มีพลังเหนือธรรมดา ไม่เพียงแต่ไม่อาจควบคุมพลังของหยก ทั้งยังอาจเป็นฝ่ายถูกควบคุมเสียเอง 


 


 


แต่พลังอำนาจของเศษหยกสรรพชีวิตชิ้นนี้ เมื่อดูจากสภาพร่างกายของจีเฉวียนแล้ว แสดงว่าเขาสามารถควบคุมมันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว 


 


 


หากมิใช่ว่าตอนที่อยู่ในทะเลทรายนั้นพลังของมันรั่วไหลออกมาสู่ภายนอก ไม่รู้ว่าต้องอีกนานเท่าไรนางถึงจะรู้ความลับอันนี้ 


 


 


จีเฉวียนผู้นี้…….ยิ่งทียิ่งมีอะไรที่นางอ่านไม่ออก 


 


 


ย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องผึ้งพิษ สุสานของเย่วฮูหยิน ยังมีเรื่องที่เมืองลี่โจวถูกน้ำหลากอีกด้วย ตอนแรกเขาทำเหมือนไม่รู้จักเรื่องภูติผีปีศาจใดทั้งนั้น แต่ตอนหลังกลับใช้ดาบเดียวพิฆาตงูยักษ์ พอถึงตอนนี้ก็สามารถควบคุมพลังของหยกสรรพชีวิตได้อีก 


 


 


ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะรู้ว่า บุรุษผู้นี้เสแสร้งมาโดยตลอด 


 


 


หรือบางที นางอาจถูกเขามองออกหมดมาตั้งแต่แรกแล้ว 


 


 


ตอนที่อยู่ในวังหลวงนางใช้พลังของหยกสรรพชีวิตออกมาตั้งหลายต่อหลายครั้ง ในเมื่อเขาเองก็มีหยกนี้ไว้ในครอบครองมีหรือจะไม่รู้สึกถึงมันได้? 


 


 


ตอนนี้ สายตาของตู๋กูซิงหลันที่มองไปยังเขาเปี่ยมไปด้วยความซับซ้อนมากขึ้นแล้ว 


 


 


เขาเป็นเหมือนกับผู้ควบคุม ในขณะที่พวกนางคือเม็ดหมากบนกระดาน เขาสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวทุกอย่างของพวกนางได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ากำลังชมการแสดงอย่างไรอย่างนั้น 


 


 


แต่หมากอย่างพวกนางกลับนึกเอาเองว่าตนมีอิสระ 


 


 


จีเฉวียนรับรู้ถึงสายตาของนางด้วยพระเนตร ก็เคาะลงบนหน้าผากของนางเบาๆ “อย่าคิดมากไป เรามิได้ชั่วร้ายขนาดนั้น” 


 


 


ตรัสแล้วก็ฉุดนางออกเดินไปข้างหน้า 


 


 


พระหัตถ์ที่ใหญ่โตคว้าชายเสื้อของนางเอาไว้ ถึงแม้ว่าตลอดทางมานี้จะอยู่ใกล้กันอยู่เสมอ แต่เมื่อได้ใกล้ชิดกับนางถึงเพียงนี้ พระทัยของฮ่องเต้ก็ยังคงเต้นระรัว 


 


 


ความรู้สึกเช่นนี้ ซุนต้มยาได้ถ่ายทอดเคล็ดลับที่ได้จากภรรยาของเขา มันคือ กวางน้อยกระโดดโลดเต้น [1]  


 


 


ถึงแม้ว่าหัวใจของจีเฉวียนจะโลดเต้นคึกโครมเหมือนอย่างกวางน้อย แต่สีพระพักตร์ภายนอกยังคงสงบนิ่งเหมือนดั่งภูเขาน้ำแข็ง 


 


 


พอลากตู๋กูซิงหลันออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เปิดกว้างกว่าเดิม 


 


 


สายลมที่โชยมาปะทะใบหน้า นำพากลิ่นดินและกลิ่นหญ้าที่เปียกชื้นมาด้วย ลมกลางฤดูร้อนมิได้อบอ้าว 


 


 


แต่ยามที่พลิ้วผ่านลำคอ กลับเย็นสบายไม่น้อย 


 


 


เส้นผมของตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนถูกลมโบกโบยจนพันเข้าหากัน ทั้งสองยืนเคียงคู่มองออกไปยังเบื้องหน้า ถึงพบว่าตอนนี้พวกนางยืนอยู่บนผาสูงแห่งหนึ่ง ใต้ฝ่าเท้าคือหุบเหวลึกที่ไร้ก้นบึ้ง และด้านตรงข้ามของเหวลึก คือภูเขาสูงที่มียาวต่อเนื่องกันจนเป็นเทือกเขา 


 


 


ภูเขาสูงทะลุไอเมฆขึ้นไปเป็นชั้นๆ คล้ายดั่งเป็นดินแดนเซียน 


 


 


เหนือศีรษะสูงขึ้นไปคือสายรุ้งอันสวยสดงดงาม แสงทองจากสายรุ้งทาบลงมา ทำให้แต่ละช่องชั้นของภูเขาเกิดมีแสงทองเรืองรองครอบคลุมจางๆ 


 


 


ทั้งสองยืนรับสายลมอยู่เคียงกัน เมื่ออยู่ในบรรยากาศโดยรอบเช่นนี้ ก็เหมือนดังเป็นคู่เซียนวิเศษที่ฝึกตนอยู่ในหุบเขาบำเพ็ญเซียน 


 


 


ตู๋กูซิงหลันหายใจเข้าไปอย่างเหน็บหนาว ภูมิประเทศเช่นนี้นับว่างดงามจนเกินคาดไปแล้ว ใครเลยจะไปคิดว่า ใต้พื้นทะเลทรายยังมีดินแดนที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่กัน? 


 


 


นางสูดลมหายใจเข้าไปจนลึก ก็รู้สึกได้ว่าอากาศแสนสดชื่น 


 


 


ดินแดนแห่งนี่อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ เป็นสถานที่เหมาะสมกับการฝึกตนอย่างยอดเยี่ยม 


 


 


ตอนนี้พวกนางยังอยู่เพียงด้านนอกของหุบเขา ตรงกึ่งกลางของขุนเขาคือภูเขาสูงเหยียดเมฆลูกหนึ่ง เมื่อมองขึ้นไปก็ยังไม่สามารถมองเห็นยอดเขาได้เลยด้วยซ้ำ 


 


 


นางหรี่ตาลง ย้อนคิดไปถึงภาพแผนที่กรุสมบัติที่เคยได้เห็นมา 


 


 


ถึงนั่นเป็นแผนที่เพียงครึ่งแผ่น แต่ก็สามารถนำมาเปรียบเทียบกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าได้ 


 


 


กรุสมบัติแห่งนั้นคงจะต้องอยู่ในสระสวรรค์ที่เป็นใจกลางของยอดเขาเเป็นแน่ 


 


 


“แค๊ก แค๊ก…” ทันใดนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากจุดใดก็บินถลากลับเข้ามาอยู่ในเงาของนาง 


 


 


ครู่ต่อมาเงาดำๆ นั้นก็ปีนออกมาอีกครั้งหมอบพักร่างอยู่บนหัวไหล่ของนาง 


 


 


“อ้ายโย่ว ข้าเกือบจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว” วิญญาณทมิฬทางหนึ่งใช้มือสั้นๆ ของมันเช็ดถูใบหน้า ทางหนึ่งก็มองดูสถานที่โดยรอบไปด้วย “หลันหลัน เมื่อคืนนี้มันคือแผนล่อเสือออกจากถ้ำแท้ๆ มีคนคิดร้ายกับเจ้า จนตัวข้าเองก็เกือบจะโดนไปด้วยเสียแล้ว” 


 


 


วิญญาณทมิฬพูดพลาง ก็คิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ในใจอดจะรู้สึกละอายขึ้นมาไม่ได้ 


 


 


มันได้กินปีศาจไร้หน้าไปหลายตัวติดๆ กันแต่ว่าปีศาจไร้หน้าเหล่านั้นก็ล่อลวงมันเข้าไปในวงเวทย์แห่งหนึ่ง วงเวทย์นั้นถูกจัดเตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก คิดจะกักขังมัน 


 


 


หากมิใช่เพราะว่ามันชาญฉลาดและมีพละกำลังมากพอ เกรงว่าตอนนี้ก็คงจะจบสิ้นไปเสียแล้ว 


 


 


ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองมันแวบหนึ่ง เห็นดวงตากลมโตของมันเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจเลือด บนร่างของมันยังมีไอดำเข้มข้นหมุนวนอยู่ตลอด ได้กินปีศาจไร้หน้าเข้าไปหลายตัว ร่างกายของมันก็มีพื้นฐานที่มั่นคงกว่าเดิม 


 


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง วิญญาณทมิฬถึงได้พึ่งจะรู้สึกตัวว่ารอบตัวไม่มีผู้คนอื่นอยู่อีก มันรีบสอบถามตู๋กูซิงหลันในทันที “ทำไมเจ้าถึงได้อยู่กับเจ้าฮ่องเต้สุนัขกันตามลำพังอีกแล้วเฮอะ? พี่ชายเจ้าล่ะ หยวนเฟยล่ะ แล้วก็ไอ้ไก่ตัวนั้นด้วย?” 


 


 


พูดแล้ว มันก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปทางจีเฉวียนด้วยความไม่ชอบใจอีกรอบ 


 


 


“จะต้องเป็นเพราะว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้คิดไม่ซื่อกับเจ้าเป็นแน่ ก็เลยตั้งใจสลัดพวกพี่ชายเจ้าทิ้งไป” 


 


 


“หลันหลัน ข้าจะบอกเจ้าไว้นะ แต่โบราณนานมาฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นบุรุษเสเพล เจ้าอย่าได้ไปหลงกลเขาเชียวนะ” 


 


 


วิญญาณทมิฬพร่ำพูดออกมาราวกับโดนพี่รองเข้าสิงร่าง ก่อนหน้านี้ยังมิใช่เพราะเกรงว่าจะรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้ ถึงได้บอกให้หลันหลันไปล่อลวงฮ่องเต้สุนัขหรอกหรือ 


 


 


ตอนนี้ปัญหาเรื่องการรักษาชีวิตให้รอดถือว่าคลี่คลายไปกว่าครึ่งแล้ว พอคิดดูแล้ว ซื่อม่อคงจะกำลังรอคอยพวกมันกลับไปอย่างหงอยเหงาอยู่ในโลกโน้นละมั้ง 


 


 


ลูกศิษย์ที่เลี้ยงดูอุ้มชูมาจนเติบใหญ่ จะอย่างไรเสียก็คงจะไม่ยอมให้เจ้าฮ่องเต้สุนัขคาบไปหรอกมั้ง? 


 


 


พอวิญญาณทมิฬพล่ามออกไปชุดใหญ่จนจบ ก็เห็นจีเฉวียนทรงหันพระพักตร์มา ทอดตาดูมันด้วยสายพระเนตรเย็นยะเยือก “เจ้าคิดว่าเราหน้าตาเหมือนสุนัข หรือว่าน่ารักดุจสุนัข?” 


 


 


วิญญาณทมิฬกำลังแคะจมูก แต่ประโยคเดียวของจีเฉวียนทำเอามันเกือบจะหงายท้องตายเสียแล้ว 


 


 


มันหันหัวไปมองจนรอบด้าน จากนั้นก็กลับมามองดูตนเอง 


 


 


สุดท้ายก็หันไปมองตู๋กูซิงหลัน “หลันหลัน ฮ่องเต้สุนัขสมควรจะมองไม่เห็นข้าใช่ไหม?” 


 


 


จากนั้นก็ขอคำยืนยันอีกครั้งหนึ่ง “มองไม่เห็นหรอก ใช่ไหม?” 


 


 


ตู๋กูซิงหลัน “……” 


 


 


ถึงแม้ว่าจีเฉวียนจะผนึกเนตรหยินของตนเองไปแล้ว แต่ว่าในร่างกายของเขามีหยกสรรพชีวิต วิญญาณทมิฬก็พึ่งจะกลืนกินปีศาจไร้หน้าไปหลายตัว ร่างจิตของมันก็เริ่มจะคงที่ขึ้นมา จีเฉวียนไหนเลยยังจะมองไม่เห็นได้อีก? 


 


 


แต่ละคำที่เรียกเขาเป็นฮ่องเต้สุนัขอย่างคล่องแคล่ว ไหนเลยจะไม่ทำให้จีเฉวียนรู้ว่ายามปกตินางมักจะนินทาเขาลับหลังไว้มากมายเพียงไร 


 


 


ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันตอบคำถามของมัน ก็เห็นจีเฉวียนยื่นพระหัตถ์ออกมา ใช้เพียงสองนิ้วก็คีบหลังคอของวิญญาณทมิฬที่ชะตาขาดเอาไว้แล้วตรัสว่า “เราแลดูคล้ายคนที่ตาบอดหรือไร?” 


 


 


วิญญาณทมิฬถูกเขาคีบเอาไว้ ก็ต่อสู้ดิ้นรนอยู่กลางอากาศ เตะต่อยทั้งมือและเท้าสั้นๆ ออกไปอย่างคลุ้มคลั่ง 


 


 


อ๊ากกก! ใครจะไปรู้ว่าฮ่องเต้สุนัขตาบอดอยู่ๆ ก็กลับมาตาดีเสียเฉยๆ? 


 


 


………………………….. 


 


 


คุยกันนิดนึง: 


 


 


หลันหลัน: ลูกเต้อย่างรังแกสัตว์เลี้ยงแม่สิลูก 


 


 


ฉวนฉวน : ไม่ได้รังแกครับแม่ เต้แค่แหย่มันเล่นเท่านั้น (ยิ้มเ**้ยม) 


 


 


ตอนต่อไป “เสี่ยวซิงซิง” หลายตอนมานี้ ชื่อตอนแต่ละตอนจะหวานมาก ไรท์เริ่มปวดฟันแล้ว 


 


 


 


 


 


—— 


 


 


[1] 小鹿乱撞: หัวใจกระสับกระส่ายทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น ราวกับลูกกวางที่อยู่ไม่สุข 

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)